หน้าแรก คลังความรู้ คลังความรู้ นานาสาระน่ารู้ ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2564 โดย IMD (2021 IMD World Competitiveness Ranking)
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2564 โดย IMD (2021 IMD World Competitiveness Ranking)
27 พ.ย. 2564
0
นานาสาระน่ารู้

ในปี 2564 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ 64 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ใน IMD World Competitiveness Yearbook 2021 โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้

ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2563-2564 โดย IMD

 ประเทศ  สวิตเซอร์แลนด์  สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ ไทย
ปี 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563
อันดับรวม 1 3 2 6 3 2 4 4 5 1 28 29
1. สมรรถนะทางเศรษฐกิจ 7 18 16 22 17 21 2 1 1 3 21 14
1.1 เศรษฐกิจในประเทศ 4 4 10 20 12 15 16 12 15 7 41 38
1.2 การค้าระหว่างประเทศ 15 13 17 15 10 24 3 2 1 1 21 5
1.3 การลงทุนระหว่างประเทศ 12 18 17 16 24 23 4 5 3 3 32 29
1.4 การจ้างงาน 15 30 30 39 22 27 4 3 18 7 3 10
1.5 ระดับราคา 58 57 41 40 42 41 48 46 57 58 37 28
2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ 2 2 9 14 7 4 12 11 5 5 20 23
2.1 ฐานะการคลัง 1 2 7 12 5 4 10 8 12 6 14 17
2.2 นโยบายภาษี 12 8 58 56 56 40 60 50 8 10 4 5
2.3 กรอบการบริหารด้านสถาบัน 1 2 3 5 5 1 4 4 7 7 36 40
2.4 กฎหมายด้านธุรกิจ 10 12 4 7 2 2 7 4 3 3 30 33
2.5 กรอบการบริหารด้านสังคม 5 5 4 3 3 4 6 8 17 18 43 40
3. ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ 5 9 2 3 1 1 4 4 9 6 21 23
3.1 ผลิตภาพและประสิทธิภาพ 4 8 3 4 1 1 8 7 14 9 40 41
3.2 ตลาดแรงงาน 6 13 5 16 14 8 2 2 4 3 10 15
3.3 การเงิน 1 1 6 7 7 8 4 4 13 10 24 24
3.4 การบริหารจัดการ 9 16 3 4 1 1 15 15 14 14 22 21
3.5 ทัศนคติและค่านิยม 13 17 4 4 6 3 2 9 9 6 20 20
4. โครงสร้างพื้นฐาน 1 3 2 1 3 2 7 9 11 7 43 44
4.1 สาธารณูปโภคพื้นฐาน 5 6 10 7 3 4 6 9 20 18 24 26
4.2 โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี 8 9 3 2 6 5 2 3 1 1 37 34
4.3 โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์  3 2 7 6 11 9 13 13 17 15 38 39
4.4 สุขภาพและสิ่งแวดล้อม 3 5 1 1 4 2 16 15 25 23 49 49
4.5 การศึกษา 1 3 4 8 3 1 12 14 7 2 56 55

สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 1 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 2 อันดับ รองลงมาคือ สวีเดน ซึ่งปีนี้ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 4 อันดับ ถัดมาเป็นเดนมาร์ก ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ เนเธอร์แลนด์ยังคงครองอันดับ 4 ไว้เหมือนปีที่แล้ว อันดับ 5 คือ สิงคโปร์ ตกลงมาจากปีที่แล้วถึง 4 อันดับ เคยได้อันดับ 1 ส่วนไทยได้อันดับ 28 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 29 ในปีที่แล้ว

สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 1 ในปีนี้ เลื่อนอันดับขึ้นกว่าปีก่อน 2 อันดับ เกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย จากทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับขึ้นถึง 11 อันดับ มีอันดับ 7 ในปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้หลายปีมีอันดับอยู่ในระดับปานกลาง 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับ มีอันดับ 5 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัย คือ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ ได้อันดับ 2 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว การเลื่อนอันดับดีขึ้นอย่างมากของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยย่อยการจ้างงานและปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย โดยเฉพาะปัจจัยย่อยการจ้างงาน มีอันดับดีขึ้นถึง 15 อันดับ จากอันดับ 30 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 15 ในปีนี้ ในขณะที่ปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ มีอันดับดีขึ้น 6 อันดับ ได้อันดับ 12 ในปีนี้ จากอันดับ 18 ในปีที่แล้ว ส่วนปัจจัยย่อยระดับราคาภายใต้ปัจจัยเดียวกันมีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดมีอันดับ 57 ในปีที่แล้วและอันดับ 58 ในปีนี้ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของ 4 ปัจจัยย่อย จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ และปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยม โดยเฉพาะปัจจัยย่อยตลาดแรงงานและปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ มีอันดับดีขึ้นถึง 7 อันดับ เหมือนกัน เป็นอันดับ 6 และ 9 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะที่การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 4 ปัจจัยย่อย (มีทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย) เล็กน้อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยย่อยการศึกษา

สวีเดน ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 4 อันดับ มีอันดับ 2 ในปีนี้ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย จากทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ และปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ โดยปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 6 อันดับ เป็นอันดับ 16 ในปีนี้ ซึ่งยังคงครองอันดับในระดับปานกลางเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับดีขึ้น 5 อันดับ จากอันดับ 14 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมามีอันดับอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัยที่เหลือ คือ ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 1 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยย่อยการจ้างงาน ที่มีการเลื่อนอันดับขึ้นถึง 10 และ 9 อันดับ จากอันดับ 20 และ 39 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 10 และ 30 ในปีนี้ ตามลำดับ ภายใต้ปัจจัยเดียวกันปัจจัยย่อยระดับราคามีอันดับในระดับต่ำ ปีที่แล้วได้อันดับ 40 ในขณะที่ปีนี้ได้อันดับ 41 การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัยย่อย จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจ ที่เลื่อนอันดับขึ้น 5, 2 และ 3 อันดับ เป็นอันดับ 7, 3 และ 4 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยย่อยนโยบายภาษีภายใต้ปัจจัยเดียวกันมีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดมีอันดับ 56 ในปีที่แล้วและอันดับ 58 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ที่เลื่อนอันดับขึ้นถึง 11 อันดับ เป็นอันดับ 5 ในปีนี้

เดนมาร์ก ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 3 ในปีนี้ เนื่องมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐและปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน 3 และ 1 อันดับ จากอันดับ 4 และ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 และ 3 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 17 ในปีนี้ เป็นปัจจัยที่มีอันดับอยู่ในระดับปานกลางนานหลายปี ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ครองอันดับ 1 ทั้งปีที่แล้วและปีนี้ ปัจจัยย่อยที่มีผลอย่างมากทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐมีอันดับเลื่อนลง คือ ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี ที่เลื่อนอันดับลงถึง 16 อันดับ จากอันดับ 40 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 56 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยนโยบายภาษีมีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเกิดจากการเลื่อนอันดับลงเล็กน้อยของ 4 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยย่อยการศึกษา

เนเธอร์แลนด์ยังคงครองอันดับ 4 ไว้เหมือนปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการยังครองอันดับ 4 ทั้งปีที่แล้วและปีนี้ของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และอีก 3 ปัจจัยที่เหลือ ได้แก่ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 12 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจยังสามารถครองอันดับไว้เท่าเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ได้แก่ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ปัจจัยย่อยการเงิน และปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ ที่ยังครองอันดับ 2, 4 และ 15 ไว้เหมือนเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ตามลำดับ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับอยู่ในระดับต่ำ ได้แก่ ปัจจัยย่อยระดับราคาภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ และปัจจัยย่อยนโยบายภาษีภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับ 46 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 48 และมีอันดับ 50 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 60 ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยนโยบายภาษีมีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว

สิงคโปร์ ตกลงมาจากปีที่แล้วถึง 4 อันดับ เคยได้อันดับ 1 ในปีที่แล้ว เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจและปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน 3 และ 4 อันดับ จากอันดับ 6 และ 7 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 9 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ และปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ ครองอันดับ 5 ไว้เหมือนเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว มี 4 ปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ได้แก่ ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ปัจจัยย่อยการเงิน และปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยม โดยเฉพาะปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ มีอันดับลดลง 5 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 14 ในปีนี้ ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับเลื่อนลง เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของ 4 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยย่อยการศึกษา โดยเฉพาะปัจจัยย่อยการศึกษา มีอันดับลดลง 5 อันดับ จากอันดับ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยระดับราคาซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว โดยในปีนี้ได้อันดับ 57 ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 58

สำหรับไทยปีนี้ได้อันดับ 28 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 29 ในปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนอันดับขึ้น 3 อันดับ มีอันดับ 20 ในปีนี้ 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ มีอันดับ 21 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 43 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 อันดับ จากอันดับ 14 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 21 ในปีนี้ ทำให้ในปีนี้เป็นปีแรกที่ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจมีอันดับอยู่ในระดับปานกลาง แต่ที่ผ่านมาหลายปีมีอันดับค่อนไปทางที่ดี ในขณะที่ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐและปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจยังคงรักษาอันดับดีปานกลางไว้ในปีนี้เหมือนที่ผ่านมาหลายปี ส่วนปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานยังคงครองอันดับค่อนไปทางที่ไม่ดีไว้ในปีนี้เหมือนหลายปีที่ผ่านมา การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเกิดจากการเลื่อนอันดับขึ้นของ 4 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจ โดยเฉพาะปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ จากอันดับ 40 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 36 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 5 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 2 ปัจจัยย่อยเล็กน้อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐานและปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน ในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมดปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุดถึง 16 อันดับ จากอันดับ 5 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 21 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดีและไม่ดีทั้งในปีที่แล้วและปีนี้ ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสังคมซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับ 40 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 43 2. ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ มีอันดับ 41 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 40 3. ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับ 49 ทั้งในปีที่แล้วและปีนี้ 4. ปัจจัยย่อยการศึกษาซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับ 55 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 56 ทำให้ปัจจัยย่อยการศึกษามีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว ปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีมากในปีนี้ ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยการจ้างงาน มีอันดับ 3 ในปีนี้ เลื่อนอันดับขึ้นจากปีก่อนถึง 7 อันดับ 2. ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี มีอันดับ 4 ในปีนี้ ในขณะที่ปีที่แล้วได้อันดับ 5

คงเป็นข่าวดีสำหรับไทยที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมา 1 อันดับจากปีที่แล้ว แต่ยังต้องพัฒนาอีกหลายด้านเนื่องจากในปีนี้ได้อันดับ 28 ซึ่งเป็นอันดับระดับปานกลาง เพื่อในปีหน้าไทยจะมีอันดับรวมดีขึ้นกว่านี้มาก โดยเฉพาะด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษา ซึ่งทั้งสองด้านมีอันดับที่ต่ำมากและต่ำที่สุด ตามลำดับ ในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมด

แชร์หน้านี้: