ผลการค้นหา :

Google Flood Hub
Google Flood Hub เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดย Google เพื่อคาดการณ์และแจ้งเตือนเหตุการณ์น้ำท่วมล่วงหน้า โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลหลายประเภท เช่น สภาพอากาศ ภูมิประเทศ และข้อมูลประวัติการเกิดน้ำท่วม เพื่อทำนายระดับน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง ช่วยในการเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วมล่วงหน้าได้ดีขึ้น
เทคนิคที่ใช้ใน Google Flood Hub:
Machine Learning (ML): Google Flood Hub ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อสร้างโมเดลการทำนายน้ำท่วม โดยโมเดลนี้จะเรียนรู้จากข้อมูลในอดีต เช่น ปริมาณฝน ระดับน้ำในแม่น้ำ และลักษณะภูมิประเทศ เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ของน้ำท่วมในอนาคต
Hydrological Modeling: โมเดลที่ใช้ในการจำลองการไหลของน้ำในแม่น้ำและภูมิประเทศ เพื่อทำนายระดับน้ำท่วมในสถานการณ์ต่าง ๆ
Satellite Imagery & Remote Sensing: ใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมและเทคโนโลยีตรวจจับระยะไกลเพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของน้ำและพื้นที่ รวมถึงการตรวจจับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่บางส่วน
AI for Social Good: Flood Hub เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ AI for Social Good ของ Google ซึ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อแก้ปัญหาทางสังคม โดย Flood Hub เน้นไปที่การช่วยชีวิตและลดความเสียหายจากภัยพิบัติน้ำท่วม
Google Flood Hub อัปเดตข้อมูลการคาดการณ์น้ำท่วมเป็นรายวัน โดยข้อมูลคาดการณ์นี้สามารถทำนายได้ล่วงหน้าถึง 7 วัน จากเดิมที่เคยให้ข้อมูลล่วงหน้าได้เพียง 48 ชั่วโมง โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น การพยากรณ์อากาศและภาพถ่ายดาวเทียม การผสมผสานเทคโนโลยี ช่วยให้ Google Flood Hub สามารถให้การพยากรณ์ที่แม่นยำและเป็นประโยชน์ในการเตรียมการรับมือน้ำท่วม
ตัวอย่างการใช้งาน Google Flood Hub แสดงระดับน้ำท่วมในประเทศไทย
นานาสาระน่ารู้

เทคโนโลยีป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลชีวมิติในระบบยืนยันตัวตน
เทคโนโลยีป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลชีวมิติในระบบยืนยันตัวตน (Biometric Anti-Spoofing) คือเทคโนโลยีและกระบวนการที่พัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีหรือการปลอมแปลงข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ ใบหน้า หรือม่านตา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ใช้ในระบบยืนยันตัวตนทางชีวมิติ (Biometric Authentication) เพื่อไม่ให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบได้โดยการใช้วิธีการเลียนแบบข้อมูลเหล่านี้
เทคโนโลยีที่ใช้ในการป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลชีวมิติ มีหลายรูปแบบ เช่น
Liveness Detection (การตรวจสอบความมีชีวิต): เป็นวิธีที่ใช้เพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลชีวมิติที่ถูกนำมาใช้นั้นมาจากสิ่งที่มีชีวิตอยู่จริง ไม่ใช่จากรูปภาพ วิดีโอ หรือวัตถุเลียนแบบ เช่น การตรวจสอบการเคลื่อนไหวของดวงตา หรือตรวจจับการไหลเวียนของเลือดในนิ้วมือในขณะสแกนลายนิ้วมือ
ตัวอย่าง: ระบบสแกนใบหน้าจะขอให้ผู้ใช้กระพริบตาหรือขยับศีรษะเพื่อตรวจสอบว่าเป็นบุคคลจริง ไม่ใช่ภาพถ่าย
Multi-modal Biometrics (ชีวมิติแบบหลายรูปแบบ): เป็นการใช้ข้อมูลชีวมิติหลายประเภทในการยืนยันตัวตนพร้อมกัน เช่น การใช้ทั้งลายนิ้วมือและการสแกนใบหน้าในเวลาเดียวกัน ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยเนื่องจากผู้โจมตีจะต้องปลอมแปลงหลายส่วนของข้อมูลชีวมิติ
ตัวอย่าง: ระบบประตูอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องใช้ทั้งลายนิ้วมือและการสแกนม่านตาในการเข้าถึง
Challenge-Response Systems (ระบบท้าทาย-ตอบสนอง): ระบบนี้จะสร้างคำท้าหรือคำสั่งที่ต้องการการตอบสนองในทันทีจากผู้ใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ถูกยืนยันนั้นมาจากบุคคลจริง เช่น การขอให้ผู้ใช้ยิ้ม ขยับนิ้ว หรือมองไปในทิศทางที่กำหนด
ตัวอย่าง: การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าที่ขอให้ผู้ใช้ยิ้มเพื่อยืนยันความมีชีวิต
Thermal Imaging (การใช้ภาพความร้อน): เป็นการตรวจจับความร้อนจากร่างกายมนุษย์เพื่อยืนยันว่าผู้ที่ถูกสแกนเป็นบุคคลจริง เช่น การใช้กล้องตรวจจับความร้อนเพื่อให้แน่ใจว่าใบหน้าที่ถูกสแกนนั้นเป็นของคนจริง ๆ
ตัวอย่าง: การสแกนใบหน้าด้วยกล้องอินฟราเรดเพื่อยืนยันว่ามีอุณหภูมิของร่างกายอยู่จริง
3D Recognition (การรับรู้สามมิติ): การใช้เทคโนโลยีตรวจจับภาพสามมิติ เช่น การสแกนใบหน้าแบบ 3D เพื่อยืนยันตัวตน โดยเทคโนโลยีนี้จะยากต่อการปลอมแปลงด้วยภาพถ่ายสองมิติหรือวิดีโอ
ตัวอย่าง: การสแกนใบหน้าด้วยเทคโนโลยี 3D ที่สามารถตรวจจับโครงสร้างของใบหน้าจากหลายมุมได้
ปัจจุบันเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลทางชีวมิติ เช่น ภาพใบหน้า เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในการยืนยันทำธุรกรรมการเงิน, ใช้จ่ายผ่านแอปคนละครึ่ง เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้ภาพถ่ายใบหน้าในการยืนยันตัวตน ซึ่งอาจมีการปลอมแปลง หรือนำมาแอบอ้างใช้แทนกัน หลาย ๆ แอปพลิเคชันจึงหันไปใช้การตรวจสอบในลักษณะการตอบสนองของผู้ใช้ เช่น กระพริบตา ขยับใบหน้าเข้า-ออก ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาการขยับใบหน้า
สำหรับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนี้ ทางทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้นำเทคโนโลยีป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลชีวมิติในระบบยืนยันตัวตน (Biometric Anti-Spoofing and Deepfake Technology) โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ประเภทโครงข่ายประสาทเทียมแบบคอนโวลูชัน (CNN) ที่จะจำลองการมองเห็นของมนุษย์ที่มองพื้นที่เป็นที่ย่อย ๆ มีความแม่นยำสูง มาพัฒนาปรับแต่งโครงสร้างก่อนนำมาใช้เทรนกับชุดข้อมูลภาพ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับระบบโมบายแอปพลิเคชันที่ใช้ในการยืนยันตัวตน เพื่อใช้ตรวจจับการปลอมแปลงภาพถ่ายใบหน้าได้ว่าเป็นภาพของผู้ใช้จริง ไม่ใช่ภาพใบหน้าที่มาจากภาพถ่าย (2D) และได้มีการพัฒนา ระบบลงเวลาด้วยการยืนยันตัวตนแบบครบวรจร (AtTime) แอปพลิเคชันที่ช่วยให้การลงเวลางาน เข้า-ออกงาน เป็นเรื่องง่ายด้วยการสแกนใบหน้า แก้ปัญหาการลืมพกบัตรพนักงาน เสียเวลารอคิวต่อแถวลงเวลา ลายนิ้วมือไม่ชัดเจน และยังสามารถลงเวลาได้ทุกที่ ทุกเวลา ตอบโจทย์การทำงานในรูปแบบ Work@Anywhere ด้วยระบบการยืนยันตัวตนอย่างปลอดภัย 4FA (Four-Factors Authentication)ประกอบด้วย ใบหน้า, สถานที่ที่กำหนด, รหัสผ่าน และโทรศัพท์มือถือ สนใจใช้งานระบบ AtTime ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://attime.secteam.in.th/
นานาสาระน่ารู้

OpenThaiGPT
OpenThaiGPT เทคโนโลยีทางภาษาแบบ ChatGPT (Large Language Model) พัฒนาเพื่อคนไทยทุกคน เป็นโอเพ่นซอร์ส โมเดลแชทภาษาไทยขนาดใหญ่ขนาด 7, 13 และ 70 พันล้านพารามิเตอร์ ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Facebook LLaMA v2 ให้มีความสามารถในการเข้าใจและเขียนภาษาไทยได้ เปิดโค้ดและโมเดลอย่างเสรี (Opensource) ให้ทุกคนสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดหรือแม้กระทั่งการทำการค้าได้ (Apache 2.0 License) เพื่อเป็น Infrastructure พื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์สำหรับคนไทยทุกคน พัฒนาโดยทีมนักวิจัยจาก สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT), สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) , ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ Pantip.com โดยรวบรวมจากฐานข้อมูลและกระทู้ต่าง ๆ บนพันทิป.คอม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรวม 20 ปี และประมวลผลโดยเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ลันตา (LANTA) ของ สวทช.
เว็บไซต์หลัก OpenThaiGPT https://openthaigpt.aieat.or.th/
จุดเด่น
โมเดลภาษาไทย LLM แบบเปิดที่ทันสมัยที่สุด, ทำคะแนนสอบภาษาไทยได้เฉลี่ยสูงสุดเมื่อเทียบกับโมเดลภาษาไทยแบบเปิดอื่นๆ
เป็นโมเดลเปิดภาษาไทยที่มีขนาดใหญ่ถึง 70 พันล้านพารามิเตอร์โมเดลแรกของโลก
รองรับการสนทนาโต้ตอบหลายครั้งแบบต่อเนื่อง (Multi-turn Conversation)
โมเดลมีความสามารถในการค้นหาข้อมูลและสกัดคำตอบบน Prompt ที่มีความยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเร็วในการตอบคำถามรวดเร็ว ด้วยการเพิ่มคำภาษาไทยที่พบบ่อยมากถึง 10,000 คำลงในพจนานุกรมของโมเดล
เรียนรู้บนข้อมูลภาษาไทย (Pretraining) กว่า 65 พันล้านคำ มีการกำจัดข้อมูลภาษาไทยซ้ำซ้อนที่ใช้ในเรียนรู้ (Deduplicated Dataset) และปรับจูนให้ตอบคำถามทั่วไปภาษาไทย (Finetuning) บนมากกว่า 1 ล้านตัวอย่าง
สามารถเข้าใจและประมวลผล บริบทของข้อมูลภาษาไทยได้ถึง 4096 คำ, ช่วยให้สามารถให้คำแนะนำที่ละเอียดและซับซ้อนได้
OpenThaiGPT มี 3 เวอร์ชันหลัก
OpenthaiGPT 0.0.4 พูดคุย Chat ได้อยู่บ้าง แต่ยังไม่สามารถตอบคำถามได้ตรงและยังไม่สามารถทำ Few Shot Learning ได้
OpenthaiGPT 0.1.0 แปลภาษา ไทย-อังกฤษ ได้และทำ Few Shot Learning ได้บางส่วน สามารถพูดคุย Chat ได้เต็มรูปแบบ
OpenthaiGPT 1.0.0 สามารถทำ Few shot learningได้ แปลภาษา ไทย-อังกฤษ พูดคุย Chat ได้เต็มรูปแบบและเปิดใช้งานในปัจจุบัน
ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดโมเดล
7b - https://huggingface.co/openthaigpt/openthaigpt-0.0-7b-chat
7b (GGUF) - https://huggingface.co/openthaigpt/openthaigpt-0.0-7b-chat-gguf
13b - https://huggingface.co/openthaigpt/openthaigpt-0.0-13b-chat
70b - https://huggingface.co/openthaigpt/openthaigpt-0.0-70b-chat
สำหรับนักพัฒนาการทดลองใช้งานแบบ Colab Demo สามารถใช้ได้แบบในการ Load model, Finetune, Inference โดย Model Pipeline สามารถโหลดโมเดล และใช้งานโมเดลได้ผ่าน google colab
https://colab.research.google.com/drive/1w1giDWhmq3WIUCK4AISFJtGIqiPDtRSC?usp=sharing
และ สำหรับการทดลองใช้งานแบบ Web Demo สามารถทดลองได้ที่ https://openthaigpt.openservice.in.th/
นานาสาระน่ารู้

‘NomadML’ แพลตฟอร์มเทรน AI เทรนง่าย ไม่ต้องเขียนโคด
เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะด้าน computer vision หรือการประมวลผลภาพเพื่อแยกประเภทวัตถุ ตรวจจับตำแหน่ง หรือระบุพื้นที่ภายในภาพ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตาว่าจะมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในอนาคต เพราะเทคโนโลยีนี้นอกจากจะช่วยลดเวลาการตรวจสอบคุณภาพสินค้าได้แล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในภาพรวมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา NomadML (โนแมดเอ็มแอล) แพลตฟอร์มผลิตโมเดล AI ฟังก์ชัน computer vision ในรูปแบบใช้งานง่าย วิธีเทรนไม่ซับซ้อน ที่สำคัญไม่ต้องเขียนโคด เหมาะทั้งการใช้ทดสอบระบบหรือ Proof of Concept (PoC) และการผลิตโมเดล AI เพื่อใช้งานจริง โดยแพลตฟอร์มนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก AI for Thai Platform และโครงการยกระดับแพลตฟอร์มการบริหารจัดการข้อมูลทางการแพทย์ภายใต้ Medical AI Consortium
[caption id="attachment_60791" align="aligncenter" width="750"] ดร.ธีศิษฏ์ ลีลาสวัสดิ์สุข นักวิจัยทีมวิจัยสมองกลอัจฉริยะและความจริงเสมือน เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.ธีศิษฏ์ ลีลาสวัสดิ์สุข นักวิจัยทีมวิจัยสมองกลอัจฉริยะและความจริงเสมือน เนคเทค สวทช. อธิบายว่า NomadML เป็นแพลตฟอร์มสำหรับผลิตโมเดล AI ด้าน computer vision ที่ใช้งานได้ง่ายแค่เพียงทำ 3 ขั้นตอน ขั้นแรกคือการนำชุดข้อมูลภาพที่ผ่านการคัดประเภทแล้วเข้าสู่ระบบ ขั้นที่สองปรับแต่งฟังก์ชันหรือพารามิเตอร์ (parameter) สำหรับประมวลผล หรือเลือกใช้ NomadML-Auto ฟังก์ชันปรับแต่งอัตโนมัติที่ออกแบบให้มีความแม่นยำสูงในการปรับแต่งพารามิเตอร์เสมือนผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ปรับแต่งให้ โดยหลังจากเลือกปรับแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คลิกปุ่มเริ่มเทรนโมเดล เมื่อระบบประมวลผลสร้างโมเดล AI เสร็จแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายให้ผู้ใช้งานตรวจสอบความแม่นยำของโมเดลว่าวิเคราะห์ได้มีประสิทธิภาพเพียงไร หากผลเป็นที่พึงพอใจ ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดโมเดลไปใช้งานจริงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยสามารถเขียนซอฟต์แวร์เรียกใช้งานโมเดลตามตัวอย่างที่ทีมวิจัยเตรียมไว้ให้และต่อยอดนำโมเดลไปใช้งานบนอุปกรณ์อื่น ๆ ได้
“NomadML ผ่านการออกแบบเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมถึงลดการใช้เวลาและงบประมาณในการพัฒนาระบบ ซึ่งเดิมต้องใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นผู้ที่สนใจใช้งานแพลตฟอร์มนี้แต่ไม่มีพื้นฐานด้านการเทรนโมเดล AI มาก่อนก็สามารถเรียนรู้วิธีการใช้งานด้วยตัวเองจากคู่มือที่ทีมวิจัยจัดเตรียมไว้ให้ได้ ส่วนทางด้านโปรแกรมเมอร์ วิศวกรซอฟต์แวร์ หรือ SI (system integrator) NomadML จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการลดเวลาการทำงาน ทำให้มีเวลาทำ PoC หลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น และได้โมเดล AI ที่ตอบโจทย์การใช้งานในเวลาอันรวดเร็ว
“ทั้งนี้ผู้ใช้งาน NomadML ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล เพราะระบบผ่านการออกแบบด้านการรักษาความปลอดภัยในรูปแบบ SSO (Single-Sign-On) หรือการต้อง log in เข้าสู่ระบบก่อนใช้งานเสมอ โดยผู้ใช้งานและผู้ดูแลระบบจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นได้ การดึงข้อมูลของผู้ใช้งานจากเครื่องแม่ข่ายมาแสดงผลจะเป็นรูปแบบ API (Application Programming Interfaces) ที่ต้องยืนยันตัวตนผ่านระบบ SSO ทุกครั้งที่ขออนุญาตเข้าถึงข้อมูล ดังนั้นระบบจึงมีความปลอดภัยสูง”
ปัจจุบัน NomadML เริ่มมีการทดลองใช้งานแล้วในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนเหล็ก เป็นการใช้โมเดล AI เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าว่ามีตำหนิประเภทต่าง ๆ หรือไม่ อาทิ รอยขีดข่วน การพ่นสีที่ไม่สม่ำเสมอ อุตสาหกรรมอาหารแช่แข็ง คือโมเดล AI เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าว่าขนาดและรูปทรงตรงตามที่กำหนดหรือไม่ ส่วนทางด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ ทีมวิจัยเคยทดสอบกับฐานข้อมูลแบบเปิด (open source dataset) เช่น การวิเคราะห์ฟิล์มรังสีเอกซ์ เพื่อจำแนกโรคโควิด-19 วัณโรค และปอดอักเสบ หรือประมวลผลภาพถ่ายรูม่านตาเพื่อวิเคราะห์การเป็นโรคต้อชนิดต่าง ๆ เช่น ต้อหิน ต้อลม
ดร.ธีศิษฏ์ เล่าต่อว่า ปัจจุบันแพลตฟอร์ม NomadML เปิดให้ทดสอบใช้งานระบบแล้ว ผู้ที่สนใจใช้บริการได้ที่ www.nomadml.in.th โดยหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบระบบ ทีมวิจัยจะเปิดให้ใช้งาน 2 รูปแบบ คือ แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับบุคคลทั่วไป และแบบสมาชิกที่จะมีการเรียกเก็บค่าบริการรายปี โดยสิ่งที่สมาชิกจะได้รับคือพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูล ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลในระบบ และระยะเวลาในการทำงานสูงสุดต่องานมากกว่าบุคคลทั่วไป รวมถึงไม่ต้องรอคิวในการใช้งานระบบร่วมกับผู้ใช้งานทั่วไปด้วย
“ส่วนทางด้านการพัฒนา NomadML ต่อไปในอนาคต ทีมวิจัยมีแผนที่จะอัปเดตประสิทธิภาพระบบ parameter setting อย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบผู้ใช้งานเป็นผู้ปรับแต่งเอง และแบบฟังก์ชัน NomadML-Auto นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเชื่อมต่อแพลตฟอร์มกับเทคโนโลยี High-Performance Computing (HPC) หรือ Cloud GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาในการประมวลผล”
NomadML เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญภายใต้โพรเจกต์ AI Thailand หรือโพรเจกต์ที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยเข้าถึงการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี AI ได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการเรียนรู้ การทำงาน การสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือการยกระดับคุณภาพของคนไทย ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ได้ที่ www.nomadml.in.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

การสนับสนุนกองทุนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช.
การสนับสนุนกองทุนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช.
https://www.nstda.or.th/donation/
เนื่องจาก ดัชนีวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นบันไดสู่การพัฒนาประเทศ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ สวทช.ขอเชิญชวนท่านมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศได้ที่ https://www.nstda.or.th/donation/
ประเภทการสนับสนุนเงินเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบไปด้วย
มาตราการ BOI บริจาคเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก BOI ตามคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ได้มีประกาศที่ ๑๐/๒๕๖๕ เรื่อง มาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ข้อที่ ๑ ผู้ประกอบการสามารถขอรับสิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน กรณีโครงการที่ได้ลงทุนหรือมีค่าใช้จ่าย ในข้อย่อยที่ ๑.๑ (๔) การสนับสนุนองค์กรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น สถาบันการศึกษา ศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทาง สถาบันวิจัย หน่วยงานของภาครัฐ เป็นต้น รวมถึง กองทุนด้านต่าง ๆ เช่น ด้านพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านพัฒนา บุคลากร ตามที่คณะกรรมการเห็นชอบ เพื่อจูงใจและกระตุ้นให้มีการลงทุนหรือการใช้จ่ายในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ หรืออุตสาหกรรมโดยรวมมากขึ้น
มาตราการ RDI บริจาคเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อลดหย่อนภาษีจากกรมสรรพากร พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 770) พ.ศ. ๒๕๖๖
กำหนดมาตรการเพื่อยกเว้นภาษีให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศ ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศ วิจัย และนวัตกรรม ให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด และ มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก โดยการนำความสามารถอันเหนือชั้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยให้ภาคการ เกษตรและภาคอุตสาหกรรมสามารถดำเนินงานได้ดี มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่ง สวทช. ได้ดำเนินงานผ่านการทำงานร่วมกันของศูนย์ทั้ง 5 ศูนย์แห่งชาติ ได้แก่
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) มุ่งพัฒนางานด้านเทคโนโลยีชีวภาพ
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) มุ่งพัฒนางานด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับวัสดุต่างๆ
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) มุ่งพัฒนางานด้านอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) มุ่งพัฒนางานด้านนาโนเทคโนโลยี
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานของประเทศ
สำหรับการนำเงินบริจาคไปใช้ มีกิจกรรมตาม 4 พันธกิจหลักประกอบด้วย
ด้านการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม
ด้านการพัฒนาบุคลากรทางเทคนิค
ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีของผู้ประกอบการขนากกลางและย่อม (SMEs) ในประเทศ
ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เพื่ออุตสาหกรรมและบริการ
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
งานสนับสนุนการวิจัยพัฒนาภาคเอกชน (PSR)
111 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
ถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง
อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
โทรศัพท์ : 0-2564-7000 ต่อ 1308, 1335
อีเมล : ipd-psr@nstda.or.th
นานาสาระน่ารู้

แนะนำ Low Code Development Platforms
Low Code Development Platforms คือแพลตฟอร์มการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สามารถสร้างแอปพลิเคชันได้โดยใช้การเขียนโค้ดน้อยที่สุด มีอินเทอร์เฟซแบบกราฟิก (GUI) ที่ผู้ใช้สามารถลากและวางเครื่องมือหรือคอมโพเนนต์ต่าง ๆ เพื่อสร้างแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งพาการเขียนโค้ดแบบดั้งเดิม
คุณสมบัติหลักของ Low Code Development Platforms:
Visual Development : นักพัฒนาสามารถออกแบบอินเทอร์เฟซและกระบวนการทำงานของแอปพลิเคชันได้ด้วยการลากและวางคอมโพเนนต์
Pre-Built Modules : มีคอมโพเนนต์และโมดูลที่สร้างไว้ล่วงหน้า เช่น ส่วนของอินเทอร์เฟซผู้ใช้ ตัวเชื่อมต่อฐานข้อมูล และเครื่องมือสำหรับการทำงานเชิงตรรกะ ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ง่าย
Automation : แพลตฟอร์มจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การเชื่อมต่อข้อมูลและการนำแอปพลิเคชันไปใช้งาน
Integration Capabilities : มักมีระบบการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล, API และบริการอื่น ๆ ที่ง่ายต่อการรวมเข้าด้วยกัน
Rapid Prototyping : สามารถสร้างและทดสอบต้นแบบแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วผ่านการใช้เครื่องมือที่มีอยู่
Low Code Development Platforms สามารถแบ่งตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้:
1.General-Purpose Low Code Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชันที่หลากหลาย ทั้งเว็บและมือถือ โดยไม่ได้เจาะจงสำหรับอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง
ตัวอย่าง: OutSystems, Mendix, Microsoft Power Apps
2.Business Process Management (BPM) Platforms
ลักษณะ: เน้นการจัดการและปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ (Business Processes) โดยให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันและการปรับปรุงการไหลของข้อมูล
ตัวอย่าง: Appian, Pega, ProcessMaker
3.Database-Centric Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์มที่เน้นการสร้างแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลอย่างง่ายดาย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่จัดการและประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่าง: Knack, Caspio, Airtable
4.Request Handling and Form-Based Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคำร้องขอ (Request Handling) หรือฟอร์มต่างๆ ที่สามารถรวบรวมและจัดการข้อมูลได้
ตัวอย่าง: Zoho Creator, Nintex, Quick Base
5.Integration-Focused Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์มที่เน้นการเชื่อมต่อและผสานรวมระบบต่างๆ ภายในองค์กร เพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถเข้าถึงข้อมูลจากหลายแหล่งและประสานงานระหว่างระบบได้
ตัวอย่าง: Boomi, MuleSoft, Retool
6.Customer Relationship Management (CRM) Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์ม Low Code ที่เน้นการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อจัดการและพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลลูกค้าและกระบวนการขายได้
ตัวอย่าง: Salesforce Lightning, Zoho CRM, Creatio
7.Open Source Low Code Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์ม Low Code ที่เป็นโอเพนซอร์ส ซึ่งสามารถปรับแต่งและพัฒนาต่อยอดได้อย่างอิสระ โดยชุมชนผู้ใช้งานหรือองค์กร
ตัวอย่าง: Budibase, Joget, Appsmith
8.Industry-Specific Low Code Platforms
ลักษณะ: แพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบมาสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น การเงิน การแพทย์ หรือการผลิต
ตัวอย่าง: Vantiq (สำหรับ IoT และ AI), Unqork (สำหรับภาคการเงินและประกันภัย)
นานาสาระน่ารู้

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คืออะไร
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หมายถึง ศาสตร์ที่รวบรวมองค์ความรู้ในหลายสาขาวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ มาพัฒนาให้เครื่องจักรหรือระบบคอมพิวเตอร์มีความชาญฉลาด สามารถคิด คำนวณ วิเคราะห์ เรียนรู้ และตัดสินใจโดยใช้เหตุผลได้เสมือนสมองของมนุษย์ และสามารถเรียนรู้ พัฒนา และปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์เองได้
ประเภทของ AI
ANI (Narrow AI):
AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานเฉพาะทาง เช่น การจดจำเสียง (Voice Recognition) การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการเล่นเกมโกะ AI ประเภทนี้พบได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ผู้ช่วยส่วนตัวดิจิทัล (Siri, Alexa) และระบบแนะนำสินค้าของเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์
AGI (General AI):
AI ที่สามารถทำงานได้หลากหลายคล้ายมนุษย์ โดยสามารถนำมาใช้งานหลากหลาย เช่น การสร้างภาพ การประมวลผล การสร้างเสียงดนตรี
ASI (Superintelligent AI):
แนวคิดที่ AI จะมีความฉลาดที่เหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน แต่ยังคงเป็นเพียงทฤษฎีและอยู๋ระหว่างการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
ขั้นตอนหลักในการทำงานของ AI มีดังนี้:
การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection):
AI ต้องการข้อมูลจำนวนมากในการฝึกฝน เช่น ข้อมูลภาพ เสียง ข้อความ หรือข้อมูลดิบอื่น ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้เป็นตัวอย่างเพื่อให้ระบบเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
การประมวลผลข้อมูล (Data Processing):
ข้อมูลที่ได้รับจะถูกประมวลผลและแปลงให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์ AI จะทำการค้นหาแบบแผนและความสัมพันธ์ในข้อมูลเหล่านี้
การเรียนรู้ (Learning):
AI จะใช้ อัลกอริทึมการเรียนรู้ เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงตนเอง ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้แบบจำแนกประเภท (Classification) หรือการเรียนรู้แบบจับกลุ่ม (Clustering)
การทำนายหรือการตัดสินใจ (Prediction/Decision Making):
AI สามารถทำการทำนายหรือการตัดสินใจได้ เมื่อระบบได้เรียนรู้แล้ว เช่น การทำนายแนวโน้มของตลาดหุ้นหรือการแนะนำสินค้าตามพฤติกรรมการซื้อของผู้ใช้
การปรับปรุงตนเอง (Self-Improvement):
AI ที่ทำการปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่องโดยการเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ๆ ที่ได้รับเข้ามา ซึ่งทำให้มันมีความแม่นยำและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น
ตัวอย่างของการประยุกต์ใช้ AI เช่น:
ผู้ช่วยส่วนตัวดิจิทัล: เช่น Siri, Google Assistant ที่สามารถช่วยตอบคำถาม จัดการปฏิทิน หรือควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะในบ้าน
การวิเคราะห์ข้อมูล: AI ถูกใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในธุรกิจเพื่อช่วยในการตัดสินใจและสร้างกลยุทธ์
การรักษาทางการแพทย์: AI ช่วยในการวินิจฉัยโรคและการพัฒนายาใหม่ ๆ ที่มีความแม่นยำสูง
การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ: ที่ใช้ AI ในการนำทางและตัดสินใจในสภาพแวดล้อมจริง
ดังนั้นการเข้าใจพื้นฐานและการทำงานของ AI จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การพัฒนา AI ยังมาพร้อมกับความท้าทายทั้งด้านเทคโนโลยีและจริยธรรมที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
นานาสาระน่ารู้

โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ https://www.thailandtechshow.com/
โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ (https://www.thailandtechshow.com/) จัดทำขึ้นเพื่อเป็นตลาดเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ง่าย ผู้ซื้อพบผู้ขาย ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและพัฒนาในเชิงพาณิชย์ เป็นโครงการที่เชื่อมโยงภาคเอกชนให้สามารถเข้าถึงและนำผลงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาจากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยออกสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่สร้างคุณค่าให้แก่เศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยอาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นฐาน ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยออกสู่เชิงพาณิชย์เสริมศักยภาพและยกระดับผู้ประกอบการ เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยในภาคเอกชน
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาต่อยอดในภาคเอกชน
เพื่อยกระดับผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งรวมงานวิจัยและพัฒนา เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
เพื่อรับทราบข้อมูล ปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดของเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การพัฒนาผลงานวิจัยให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรม
สำหรับรายชื่อเผลงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาจากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัย มีรายละเอียดแบ่งตาม แบ่งเป็นหมวดหมู่ 8 หมวดด้วยกันประกอบไปด้วย
เกษตร/ประมง
เครื่องมือ /เครื่องจักร
เวชสำอาง /เวชภัณฑ์
การแพทย์
อาหาร/เครื่องดื่ม
อิเล็กทรอนิกส์
สื่อการเรียน
เครื่องประดับ
ผู้ใช้งานสามารถดูแต่ละสถานภาพการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหมด ประกอบไปด้วย
องค์ความรู้
ลิขสิทธิ์
สิทธิบัตร (granted)
อนุสิทธิบัตร (granted)
คำขอสิทธิบัตร (filed)
คำขออนุสิทธิบัตร (filed)
อยู่ระหว่างดำเนินการขอรับความคุ้มครอง
ความลับทางการค้า
รวมถึงแสดงสถานภาพของผลงานวิจัยทั้งหมด ประกอบไปด้วย
ผลการทดลองระดับห้องปฏิบัติการได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นไปได้
ได้ต้นแบบในระดับห้องปฏิบัติการ
ต้นแบบระดับห้องปฏิบัติการได้ถูกทดสอบในสภาวะจำลอง
ได้ต้นแบบระดับ pilot scale
ต้นแบบระดับ pilot scale ได้ถูกทดสอบในสภาวะทำงานจริง
ตัวอย่างข้อมูลผลงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ปรากกฎ
ทั้งนี้หากผู้ที่สนใจต้องการขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เหมาะสำหรับผู้สนใจ, นักลงทุน, ผู้ประกอบการเพื่อการผลิตและจำหน่ายท่านสามารถดูรายละเอียด ผ่าน www.thailandtechshow.com จะมีข้อมูลคุณสมบัติของผู้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ รูปแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการยื่นความจำนงเพื่อขอถ่ายทอดเทคโนโลยี
นานาสาระน่ารู้

สานพลังพิชิต ฝ่าวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลัง
ประเทศไทยผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังแปรรูปมากเป็นอันดับต้นของโลก โดยในปี 2564 กรมการค้าต่างประเทศรายงานว่าประเทศไทยส่งออกมันสำปะหลังแปรรูปเป็นมูลค่ารวมสูงกว่า 1.23 แสนล้านบาท แต่ทว่าหลังจากช่วงปี 2562 ที่ไทยเริ่มพบรอยโรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava Mosaic Disease: CMD) และประกาศการระบาดอย่างเป็นทางการในปี 2565 อุตสาหกรรมมันสำปะหลังกลับต้องเผชิญกับความสั่นคลอนจากการขาดแคลนวัตถุดิบเรื่อยมา เพราะโรค CMD นอกจากจะทำให้หัวมันแคระแกร็นและคุณภาพผลผลิตตกต่ำแล้ว ยังเป็นโรคที่แพร่ระบาดได้ง่าย รวดเร็ว แต่ยับยั้งการแพร่ระบาดยากเพราะมีแมลงหวี่ขาวเป็นตัวกระจายโรค พื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่ของไทยจึงกลายไปเป็นพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ที่ต้องเผชิญปัญหาโรค CMD ระบาดภายในระยะเวลาเพียง 2-3 ปี
อย่างไรก็ตามท่ามกลางวิกฤตใหญ่ที่ทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ยังมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกมันสำปะหลังที่เลือกยืนหยัดหาแนวทางฝ่าฟันวิกฤตนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า ‘การสู้ไปด้วยกันจะนำไปสู่การผ่านพ้นวิกฤตได้’
[caption id="attachment_60352" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะต้นมันสำปะหลังติดโรค CMD[/caption]
[caption id="attachment_60353" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะต้นมันสำปะหลังติดโรค CMD[/caption]
ปัญหาเกิด ‘ตัวกลางเร่งขยับ’
[caption id="attachment_60344" align="aligncenter" width="650"] ชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช.[/caption]
ชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า นับตั้งแต่เริ่มพบโรค CMD ในประเทศไทยเมื่อปี 2562 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.มรกต ตันติเจริญ ที่ปรึกษาอาวุโสของ สท. ณ ขณะนั้น ได้มอบแนวทางให้บุคลากร สท. สร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ และผสานการนำเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคที่นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. พัฒนาไว้มาช่วยรับมือกับปัญหานี้ทันที ในปีนั้น สท. จึงได้ร่วมกับไบโอเทคจัดการประชุมเพื่อสร้างความตระหนักถึงโรคนี้ให้ภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดย สท. ได้เชิญนักวิชาการด้านการเกษตรจากหน่วยงานต่าง ๆ มาให้ความรู้เกี่ยวกับโรคใบด่างมันสำปะหลัง ส่วนนักวิจัยไบโอเทคได้นำเสนอเทคโนโลยีรับมือกับการระบาดของโรคทั้งในส่วนเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคและอุปกรณ์ตรวจโรค
“ผลจากการประชุมครั้งนั้นก่อให้เกิดความร่วมมือครั้งใหญ่กับภาคเอกชน คือ กลุ่มพูลผล โดยบริษัทพูลอุดม จำกัด กลุ่มธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังหลายรูปแบบ ในการนำร่องสร้างกระบวนการรับมือโรค CMD อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยผู้บริหารของบริษัทมีวิสัยทัศน์ว่าโรค CMD ไม่น่าใช่ปัญหาเล็ก และมีแนวโน้มจะลุกลามไปเป็นวิกฤตการณ์โรคระบาดใหญ่ได้ในไม่ช้า ซึ่งผลจากการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ ของบริษัท ทำให้ขณะนี้บริษัทมีเทคโนโลยี ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และความเข้มแข็งด้านองค์ความรู้ สำหรับสร้างระบบการผลิตขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น และใช้ประคับประคองเกษตรกรพันธมิตรของบริษัทกว่า 2,000 ครัวเรือน ไม่ให้ล้มพับในวันที่พื้นที่เพาะปลูกหลายแสนไร่ทั่วประเทศกลายเป็นพื้นที่สีแดงอย่างทุกวันนี้ได้”
หลังจากบริษัทพูลอุดมฯ รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากไบโอเทคในปี 2563 บทบาทของนักวิชาการจาก สท. ได้ขยับปรับเปลี่ยนจากการเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงเพื่อสร้างความตระหนัก มาเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งที่จะช่วยยับยั้งการระบาดของโรค CMD เพื่อรักษาพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ปลอดโรคเอาไว้ให้ได้นานที่สุด จนกว่าจะมีเทคโนโลยีที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญมาช่วยพลิกสถานการณ์นี้
ชวินทร์ เล่าว่า ตั้งแต่วันแรกที่บริษัทพูลอุดมฯ และนักวิจัยจากไบโอเทค สวทช. ตัดสินใจดำเนินงานร่วมกัน นักวิชาการจาก สท. ยังคงทำหน้าที่ช่วยประสานการดำเนินงานเสมอมา นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ที่ช่วยเชื่อมโยงการดำเนินงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิจัย และเกษตรกรด้วย เพราะตระหนักดีว่าโรค CMD ไม่ใช่ปัญหาเล็กที่จะแก้ไขได้ด้วยใครเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นปัญหาระดับประเทศที่ต้องการกำลังจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ดังนั้น สท. จะไม่หยุดหมุนเฟืองจนกว่าประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้
เทคโนโลยีรักษาพื้นที่สีเขียว ‘เอาน้ำดีไล่น้ำเสีย’
[caption id="attachment_60341" align="aligncenter" width="650"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. เล่าต่อในมุมไบโอเทคว่า เดิมทีก่อนจะพบการระบาดโรค CMD ในประเทศไทย นักวิจัยไบโอเทคนำโดย ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ หน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ได้พัฒนาเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันสำปะหลังพันธุ์เศรษฐกิจของไทยไว้ก่อนแล้วด้วย 2 เหตุผลหลัก คือ การอนุรักษ์ต้นพันธุ์แท้ปลอดโรค และการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์วิกฤตที่อาจทำให้ขาดแคลนต้นพันธุ์ เช่น เกิดเหตุโรคระบาด เกิดภัยธรรมชาติ
[caption id="attachment_60342" align="aligncenter" width="650"] ต้นอ่อนมันสำปะหลัง[/caption]
“ในตอนนั้นช่วงปี 2563 หลังจากตัวแทนจากบริษัทพูลอุดมฯ แสดงความสนใจที่จะรับถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรค ดร.ธราธร และทีมได้ดำเนินการถ่ายทอดวิธีการผลิตต้นพันธุ์ด้วยกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อทันที พร้อมช่วยดูแลการพัฒนาห้องปฏิบัติการภายในโรงงานของบริษัท และช่วยเป็นพี่เลี้ยงด้านการปรับปรุงกระบวนการอนุบาลและเพาะปลูก จนบริษัทสามารถผลิตและส่งต่อท่อนพันธุ์ให้เกษตรกรใช้ปลูกจริงได้แล้ว ซึ่งในตอนนั้นทีมวิจัยได้ช่วยผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคเพื่อเป็นต้นแม่พันธุ์ให้บริษัทนำไปใช้ขยายพันธุ์ต่อ รวมแล้วมากกว่า 20,000 ต้น
[caption id="attachment_60351" align="aligncenter" width="650"] ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ หน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
“นอกจากเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์แล้ว อีกหนึ่งตัวอย่างเทคโนโลยีสำคัญที่ไบโอเทคนำไปช่วยเหลือ คือ ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test เทคโนโลยีตรวจโรค CMD ที่ ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. และทีมพัฒนาขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรเข้าถึงอุปกรณ์การตรวจที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาจับต้องได้ ที่สำคัญวิธีการตรวจง่าย เกษตรกรตรวจได้ด้วยตัวเองภายในพื้นที่เพาะปลูก ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกษตรกรตรวจโรคได้บ่อยครั้งขึ้นและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่พบในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที”
[caption id="attachment_60343" align="aligncenter" width="650"] ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
[caption id="attachment_60354" align="aligncenter" width="650"] ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test[/caption]
นอกจากการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการพัฒนาต้นพันธุ์ปลอดโรคเพื่อรักษาพื้นที่สีเขียวเอาไว้ให้ได้นานที่สุด นักวิจัยไบโอเทคยังมองไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีฐานเพื่อรองรับการล้างพื้นที่สีแดงแบบเอาน้ำดีไล่น้ำเสียในอนาคตด้วย
ดร.ยี่โถ เล่าว่า จนถึงปัจจุบันทีมวิจัยยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับการแก้ปัญหาโรค CMD และการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยมาอยู่ตลอด โดยทีมได้พัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันสำปะหลังด้วยเทคนิคไบโอรีแอกเตอร์ (bioreactor) แบบกึ่งจมจนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะเทคโนโลยีนี้แม้จะต้องลงทุนสูงในช่วงเริ่มต้น แต่ด้วยความรวดเร็วในการขยายต้นพันธุ์ปลอดโรคจะทำให้ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานพันธมิตรที่มีห้องปฏิบัติการสามารถขยายต้นพันธุ์กลุ่มทนทานโรค CMD และต้านทานโรค CMD พันธุ์ต่าง ๆ (ข้อมูล ณ มิถุนายน 2567 มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทยสามารถพัฒนาพันธุ์ต้านทานโรค CMD ได้แล้ว 3 พันธุ์ อยู่ในช่วงวางแผนเตรียมการขยายพันธุ์) ในระดับหลักแสนหรือกระทั่งหลักล้านต้นได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนที่เราสามารถช่วยกันเอาน้ำดีไล่น้ำเสีย คืนพื้นที่ทั่วประเทศให้กลับมาเป็นพื้นที่สีเขียวอีกครั้ง และทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลตอบแทนคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว
[caption id="attachment_60340" align="aligncenter" width="650"] กระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยเทคนิคไบโอรีแอกเตอร์ (bioreactor) แบบกึ่งจม[/caption]
“อีกหนึ่งเทคโนโลยีการผลิตพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและไบโอเทคกำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย คือ การพัฒนาระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในระบบ somatic embryogenesis หรือการโคลนนิง (cloning) พืชผ่านเซลล์แคลลัส ควบคู่กับการพัฒนากระบวนการ genetic transformation หรือการส่งถ่ายยีนเข้าสู่เซลล์เพื่อปรับแต่งรหัสพันธุกรรมของพืช โดยในกรณีมันสำปะหลัง สามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อพัฒนาพันธุ์ให้มีลักษณะตามวัตถุประสงค์การใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน เช่น ต้านทานโรค ต้นพันธุ์ให้แป้งสูง ต้นพันธุ์ที่เหมาะแก่การผลิตเอทานอล หรืออื่น ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้นในอนาคตได้”
‘ความยั่งยืน’ โจทย์ที่เอกชนใส่ใจ
[caption id="attachment_60339" align="aligncenter" width="650"] เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด[/caption]
เพ็ญนภา บานเย็น ผู้จัดการโครงการวิจัยเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด เล่าต่อในมุมภาคเอกชนว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมานโยบายของบริษัทที่ผู้บริหารวางเป็นแนวทางในการทำงานให้แก่พนักงานมาตลอดคือความยั่งยืน ซึ่งความยั่งยืนนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนในห่วงโซ่ผลลัพธ์ (impact value chain) เติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง จากนโยบายนั้นทำให้ทันทีที่ผู้บริหารทราบข่าวการเข้ามาของโรค CMD ก็ตัดสินใจลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับช่วยประคับประคองทุกภาคส่วนในสายการผลิตของบริษัทให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันทันที
“นับตั้งแต่ปี 2563 ที่ทีมวิจัยไบโอเทคได้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงบริษัทในด้านการพัฒนากระบวนการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ในโครงการกระจายพันธุ์ต้านทานโรคให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในจังหวัดชัยภูมิ ปัจจุบันบริษัทสามารถผลิตต้นพันธุ์สะอาดเฉลี่ย 15,000-20,000 ต้น/เดือน เพื่อจัดส่งให้เกษตรกรพาร์ตเนอร์ใช้ปลูกได้แล้ว นอกจากนี้บริษัทยังกำลังร่วมดำเนินการผลิตต้นพันธุ์ต้านทานโรคภายใต้โครงการกระจายพันธุ์ต้านทานโรคของบริษัทสยามควอลิตี้สตาร์ช จำกัด เพื่อส่งมอบให้เกษตรกรในจังหวัดชัยภูมิใช้ปลูกเพื่อผลิตมันสำปะหลังคุณภาพหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมด้วย โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตให้ได้มากกว่า 400,000 ต้น ทั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณผู้ให้การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทีมวิจัยไบโอเทคและนักวิชาการจาก สท. สวทช. ที่สนับสนุนองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตของบริษัทเสมอมา
“ภายหลังจากการช่วยเหลือเกษตรกรในบริเวณพื้นที่ตั้งของโรงงานประสบความสำเร็จแล้ว บริษัทยังมีแผนจะพัฒนากระบวนการผลิตต่อเพื่อผลิตท่อนพันธุ์ปลอดโรคได้มากขึ้น และกระจายไปยังเกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ เพราะนอกจากบริษัทจะต้องพึ่งพิงผลผลิตจากพวกเขาแล้ว การที่เกษตรกรเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันกับบริษัทได้ ก็เป็นสัญญาณอันดีว่าอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยจะกลับมามั่นคงได้อีกครั้ง”
[caption id="attachment_60329" align="aligncenter" width="650"] เกรียงศักดิ์ แจ้งเสถียรสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด (คนที่ 6 จากซ้ายมือ) และทีมงานผู้ผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค[/caption]
เกรียงศักดิ์ แจ้งเสถียรสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าเกษตร บริษัทพูลอุดม จำกัด เสริมว่า ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรในบริเวณพื้นที่ตั้งของโรงงานทั้งในจังหวัดชัยภูมิและบุรีรัมย์ในรูปแบบพาร์ตเนอร์ที่ดูแลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด โดยได้สนับสนุนต้นพันธุ์สะอาดทั้งพันธุ์ทนทานและพันธุ์ต้านทานให้แก่เกษตรกร มีทีมงานให้ความรู้ในการเรื่องการคัดเลือกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดีเหมาะกับสภาพดินและน้ำ รวมถึงช่วยแนะนำวิธีการปลูกและดูแลอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังได้นำเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองโรค CMD ในรูปแบบ strip test ที่ไบโอเทค สวทช. พัฒนาไปให้ความรู้ เพื่อช่วยเสริมความเข้มแข็งให้เกษตรกรเครือข่ายด้วย ทุกคนต่างดำเนินงานตามค่านิยมของกลุ่มบริษัทฯ ที่ว่า ‘ซื่อสัตย์ โปร่งใส ใส่ใจในทุกปัญหา สร้างความเชื่อมั่นและรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย’ ซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในที่นี้ครอบคลุมทั้งเกษตรกร สังคม และสิ่งแวดล้อม
คำบอกเล่าของทั้ง 4 คน อาจไม่ใช่เสียงที่สะท้อนให้เห็นภาพใหญ่ของวิกฤตโรค CMD ระบาดหนักในประเทศไทยได้ แต่คำบอกเล่าเหล่านี้จะช่วยฉายภาพให้เห็นว่าการที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตัดสินใจร่วมมือฝ่าฟันปัญหาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คือหนทางที่นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทยอย่างยั่งยืนได้
ด้วยความระลึกถึง ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ และ ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ผู้อุทิศทั้งกำลังกายและใจช่วยเหลือประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตโรค CMD จนวาระสุดท้ายของชีวิต
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย สวทช. และบริษัทพูลอุดม จำกัด
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

3 สัญญาณเตือน แบตเตอรี่กำลังเสื่อม
แบตเตอรี่ก็เหมือนกับร่างกายของคนเราที่มีวันเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา ส่วนจะเสื่อมเร็ว เสื่อมช้า เสื่อมน้อย เสื่อมมาก ถ้าสังเกตดูเราก็จะเห็นสัญญาณบางอย่างที่บอกให้รู้ว่า แบตเตอรี่ของเราไม่ทรงพลังเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
สัญญาณแรกที่อาจสังเกตได้คือ จำนวนชั่วโมงการใช้งานลดลง เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม พลังงานของแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ต่อการชาร์จเต็มจะลดลงจากปกติ เนื่องจากความสามารถในการกักเก็บและจ่ายพลังงานไฟฟ้า หรือที่เรียกกันว่า ความจุของแบตเตอรี่น้อยลง เช่น ปกติเราชาร์จแบตเตอรี่พัดลมมือถือเต็มแล้วใช้งานได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมงกว่าแบตเตอรี่จะหมด แต่พอแบตเตอรี่เสื่อมจะใช้งานได้น้อยกว่า 5 ชั่วโมง
สัญญาณที่สองคือ ความร้อนของแบตเตอรี่สูงขึ้น เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม ความต้านทานภายในตัวแบตเตอรี่จะสูงขึ้น ความร้อนจึงเกิดขึ้นมากกว่าแบตเตอรี่ใหม่ที่มีกระแสเท่ากัน ดังนั้นหากเรากำลังใช้งานอุปกรณ์ใด ๆ อยู่ แล้วรู้สึกว่าตรงบริเวณที่ใส่แบตเตอรี่มีความร้อนเกิดขึ้น แสดงว่าแบตเตอรี่ที่ใช้ในอุปกรณ์นั้นอาจจะเริ่มเสื่อมแล้ว
สัญญาณที่สามคือ แบตเตอรี่มีลักษณะผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากข้างในแบตเตอรี่มีวัสดุและสารเคมีที่เรียกว่า อิเล็กโทรไลต์ บรรจุอยู่ หากวัสดุและสารเคมีเหล่านี้เสื่อมสภาพก็อาจทำให้เกิดแก๊สสะสมภายในแบตเตอรี่ ส่งผลให้แบตเตอรี่เกิดอาการบวม เกิดรอยรั่ว และมีสารเคมีรั่วซึมออกมาภายนอก ซึ่งสารเคมีหลายชนิดส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ตั้งแต่เบาบางไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้นเมื่อพบว่าแบตเตอรี่ที่เรากำลังใช้งานอยู่นั้นเริ่มส่งสัญญาณ 3 อย่างดังที่กล่าวมา ก็ให้เตรียมเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว เพราะการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อมสภาพต่อไปอาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเราเสียหาย และหากแบตเตอรี่เสื่อมจนเกิดการรั่วซึมของสารเคมีก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราด้วย
ที่มา : เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่
เรียบเรียงโดย รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ออกแบบกราฟิกโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
นานาสาระน่ารู้
บทความ

เครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูล Data Analysis
การวิเคราะห์ข้อมูล Data Analysis เป็นกระบวนการตรวจสอบ, แปลง, และจัดระเบียบข้อมูลดิบเพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึก, รูปแบบ, แนวโน้ม, หรือข้อสรุปที่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้ กระบวนการนี้ประกอบด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล, การทำความสะอาด, การสำรวจ, การแปลง, และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปสู่การสรุปที่เป็นประโยชน์
ประเภทของเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการทำ Data Analysis
1. เครื่องมือสเปรดชีต (Spreadsheet Tools)
Microsoft Excel: นิยมใช้มากที่สุดในธุรกิจ มีฟังก์ชันที่หลากหลายในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึง Pivot Tables, การทำกราฟ, และการใช้สูตรทางสถิติ
Google Sheets: คล้าย Excel แต่เป็นเครื่องมือออนไลน์ที่สามารถทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์และมีการเชื่อมต่อกับ Google Data Studio สำหรับการรายงาน
2. เครื่องมือ BI (Business Intelligence Tools)
Power BI: เป็นเครื่องมือจาก Microsoft ที่ช่วยในการสร้างรายงานและแผนภูมิแบบอินเตอร์แอคทีฟจากข้อมูลขนาดใหญ่
Tableau: เครื่องมือ BI ที่มีความสามารถในการสร้าง Dashboard และการทำ Data Visualization ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Qlik Sense: เป็นเครื่องมือ BI ที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Visual และทำ Data Discovery
3. เครื่องมือทางสถิติ (Statistical Tools)
R: ภาษาการเขียนโปรแกรมที่ออกแบบมาสำหรับการวิเคราะห์ทางสถิติ มีแพ็คเกจหลากหลายสำหรับการทำ Data Analysis
Python (Libraries เช่น Pandas, NumPy, SciPy, Matplotlib, Seaborn): ภาษาโปรแกรมที่ได้รับความนิยมมากใน Data Analysis และ Data Science โดยมีไลบรารีต่างๆ สำหรับการทำงานกับข้อมูล
SAS: ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติและการสร้างแบบจำลองทางสถิติ มีความนิยมในองค์กรขนาดใหญ่
4. เครื่องมือด้านการทำเหมืองข้อมูล (Data Mining Tools)
RapidMiner: เครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับการทำเหมืองข้อมูล (Data Mining) และการสร้างโมเดลการวิเคราะห์
KNIME: แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูลโอเพนซอร์สที่มีเครื่องมือสำหรับการทำ Data Mining และการวิเคราะห์ทางสถิติ
5. เครื่องมือการจัดการฐานข้อมูล (Database Management Tools)
SQL: ภาษาในการจัดการฐานข้อมูลที่นิยมใช้ในการดึงข้อมูลและการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
Microsoft SQL Server: ระบบการจัดการฐานข้อมูลที่มีความสามารถในการทำ Data Analysis โดยใช้ SQL
MySQL/PostgreSQL: ระบบการจัดการฐานข้อมูลโอเพนซอร์สที่นิยมใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลในระดับองค์กรและเว็บแอปพลิเคชัน
6. เครื่องมือการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Tools)
Apache Hadoop: แพลตฟอร์มโอเพนซอร์สสำหรับการประมวลผลและจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)
Apache Spark: เครื่องมือสำหรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวดเร็วกว่า Hadoop และมีไลบรารีสำหรับการทำงานกับข้อมูล เช่น MLlib สำหรับการทำ Machine Learning
Google BigQuery: บริการคลาวด์จาก Google สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์
7. เครื่องมือในการทำ Data Visualization
Matplotlib/Seaborn (Python): ไลบรารีใน Python สำหรับการทำ Data Visualization และการสร้างกราฟที่ซับซ้อน
D3.js: ไลบรารี JavaScript สำหรับการสร้างการแสดงผลข้อมูลที่มีความซับซ้อนและอินเตอร์แอคทีฟบนเว็บ
Power BI: เป็นเครื่องมือจาก Microsoft ที่ช่วยในการสร้างรายงานและ Data Visualization แบบอินเตอร์แอคทีฟ
8. เครื่องมือในการทำ Data Wrangling
OpenRefine: โอเพนซอร์สสำหรับการทำ Data Cleaning และการจัดการข้อมูล
Trifacta Wrangler: เครื่องมือที่ช่วยในการแปลงและจัดระเบียบข้อมูล
นานาสาระน่ารู้

ระบบ Open source ERP สำหรับหน่วยงานภาครัฐ
ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) คือระบบซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการและบูรณาการกระบวนการทางทรัพยากรของภายในองค์กร ระบบนี้ช่วยให้องค์กรสามารถรวบรวมข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ เข้าด้วยกันในระบบเดียว ทำให้สามารถวิเคราะห์และบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาต้นแบบ ระบบ Open source ERP สำหรับหน่วยภาครัฐ เพื่อระบบสารสนเทศ เพื่อการบริหารทรัพยากรขององค์กร (ERP) ที่พัฒนาด้วยซอฟแวร์ Open source Odoo โดยชื่อเรียกว่า NSTDA ERP-Government (NSTDA eGov)เหมาะสำหรับภาครัฐ/หน่วยงานที่มีความต้องการใช้ระบบ ERP ในการวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ
เป้าหมายของโครงการ
1.เป็นต้นแบบระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรขององค์กร (ERP) ที่พัฒนาโดยใช้ซอฟต์แวร์ Open source (Odoo เวอร์ชัน 15 พัฒนาภาษาด้วย Python 3.8 ขึ้นไป โดยใช้ฐานข้อมูล PostgreSQL 10 ขี้นไป) ที่ครอบคลุมและรองรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เชื่อมโยงส่วนการบริหารทรัพยากรองค์กรทั้งหมด และสอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องขององค์กร รวมจำนวน 7 โมดูล (Modules) รวมทั้งรายงานและข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองต่างๆ ได้แก่
1) Organization Structure การบริหารจัดการโครงสร้างองค์กร
2) Budgeting Module การบริหารงบประมาณ
3) Procurement Module การบริหารการจัดซื้อจัดจ้าง
4) Finance & Accounting Module การบริหารการเงินและบัญชี
5) Agreement and Contract Module การจัดการสัญญา
6) Assets Module การบริหารครุภัณฑ์
7) Inventory Module การบริหารวัสดุคงคลัง
2. ลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์ที่มีค่าลิขสิทธิ์จากต่างประเทศ และส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรม Opensource ERP (กลาง/ใหญ่) ในประเทศไทย
เพื่อการนำไปใช้งานสามารถติดตั้งแพ็คเกจ ERP-Government พื้นฐาน สามารถนำไปกำหนดค่าตั้งต้นต่างๆ และปรับประยุกต์ใช้กับองค์กรของตนเองได้
ซึ่งครอบคลุมและรองรับกระบวนการทำงานอย่างประสิทธิภาพเชื่อมโยงส่วนการบริหารทรัพยากรองค์กรทั้งหมด และสอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องขององค์กร
ภาพรวมของระบบ
ระบบเบิกจ่าย
เบิกจ่ายแบบผ่านพัสดุ/ไม่ผ่านพัสดุ
มี Workflow การขออนุมัติ
การตรวจสอบงบประมาณ
การติดตามสถานะ
ระบบบริหารงบประมาณ
การวางแผนงบประมาณผ่าน spreadsheet เพื่อ Import
การควบคุมงบประมาณหลายเงื่อนไข
การตรวจสอบงบประมาณแบบรวมภาษี หรือไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
มุมมองวิเคราะห์งบประมาณได้หลายแบบ
ผูกกิจกรรม (Activity) การดำเนินงานกับรหัสบัญชี
ระบบจัดซื้อจัดจ้าง
ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง 2560
ตั้งค่าการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ วงเงินเล็กน้อย / 79วรรคสอง / ว.119
การบริหารสัญญา
การตรวจรับผ่านระบบ (Paperless)
ระบบการเงิน และบัญชี
รองรับระบบภาษีไทย (ภาษีมูลค่าเพิ่ม / ภาษีหัก ณ ที่ จ่าย)
ส่งข้อมูลภาษีเชื่อมโยงกับระบบ กรมสรรพการ
เชื่อมโยงผังบัญชีองค์กรกับ GFMIS, CFS
รองรับการโอนผ่านธนาคาร BBL, KTB
กำหนดประเภทครุภัณฑ์/ออกทะเบียนคุมครุภัณฑ์
ระบบงานขาย
บันทึกขายแบบรับรายได้งวดเดียว แบ่งงวดได้
แจ้งเตือนการเปิดใบสั่งขายตามวงเงินการรับงาน (Credit Limit)
ลงนามใบสั่งขายด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์
ส่งใบเสนอราคา/ใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงิน ให้ลูกค้าทางอีเมลอัตโนมัติ
ช่องทางติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
NSTDA ERP-Government (NSTDA eGov)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
email : eprgov_service@nstda.or.th
Website: http://www.nstda.or.th/erp-government
นานาสาระน่ารู้