ผลการค้นหา :

ตอนที่ 31 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://www.youtube.com/watch?v=DgbIchJIzjE
เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย
ระดับนานาชาติ และชาติ
ดร.นิธิ อัตถิ ผลงานเรื่อง “FleXARs: antifouling film to protect your surface and shift the world”
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานบริหารสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งเอเชีย The Asia Nano Forum (ANF)
ดร.วรายุทธ สะโจมแสง ผลงานเรื่อง “Polymer-Based Nanomaterials and Applications”
ดร.อัชฌา กอบวิทยา ได้รับคัดเลือกให้เป็น SPIE Women in Optics ประจำปี 2022
ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผลงานเรื่อง “G.O. –SENSOR Screening for kidney disease”
คุณสิรินทร อินทร์สวาท และคณะ ได้รับรางวัล ASEAN Energy Efficiency and Conservation Best Practice Awards 2020
ดร.คทาวุธ นามดี ผลงานเรื่อง “นาโนวัคซีนแบบจุ่ม โดยเลียนแบบเชื้อก่อโรคในปลา”
30 ปี สวทช.
คลัง VDO

REMI แชตบอตติดตามสุขภาพหญิงตั้งครรภ์จากทางไกล
จากปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ประกอบกับการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีหญิงตั้งครรภ์จำนวนหนึ่งหลุดจากระบบการตรวจติดตามสุขภาพโดยแพทย์ระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งการขาดการประเมินสุขภาพและการได้รับคำแนะนำจากสูตินารีแพทย์ตามการนัดหมาย อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เป็นอันตรายร้ายแรงแก่ทั้งแม่และทารกในครรภ์ อาทิ ครรภ์เป็นพิษ คลอดก่อนกำหนด การแท้ง
[caption id="attachment_30790" align="aligncenter" width="750"] ดร.พิมพ์วดี เชาวลิต อาหวาด ทีมวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช.[/caption]
[caption id="attachment_30791" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยแชตบอต "REMI"[/caption]
ดร.พิมพ์วดี เชาวลิต อาหวาด ทีมวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า หลังจากทีมวิจัยได้มีโอกาสรับทราบปัญหาจากสูตินารีแพทย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จึงได้ร่วมมือกันนำความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาวิจัยและพัฒนาระบบติดตามสุขภาพหญิงตั้งครรภ์จากทางไกล (Telemedicine) จนได้เป็น “REMI (Robot for Expecting Mother’s Information) ระบบตอบกลับอัตโนมัติ (แชตบอต) สำหรับหญิงตั้งครรภ์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์”
“REMI แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือระบบสำหรับให้บริการหญิงตั้งครรภ์ โดยหลังจากการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว แพทย์ผู้ดูแลจะเป็นผู้แนะนำการใช้งานระบบแชตบอตเพื่อใช้ติดตามประเมินสุขภาพตลอดช่วงตั้งครรภ์ การเริ่มต้นใช้งานผู้ใช้จะต้องลงทะเบียนและใส่รายละเอียดที่สำคัญ อาทิ น้ำหนัก ส่วนสูง อายุครรภ์ โรคประจำตัว หลังจากนั้นทุกสัปดาห์จึงเข้ามาบันทึกข้อมูลน้ำหนัก อาหารที่บริโภค รวมถึงการออกกำลังกาย เพื่อให้ระบบช่วยประเมินความเหมาะสมของน้ำหนักตามอายุครรภ์ เพราะน้ำหนักที่น้อยหรือมากเกินเกณฑ์อาจเป็นข้อบ่งชี้ถึงการมีโรคแทรกซ้อนหรือการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมาะสมได้ สำหรับการบริโภคของหญิงตั้งครรภ์ระบบจะช่วยแนะนำปริมาณพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน รวมถึงประเภทอาหารที่ควรบริโภคตามความเหมาะสมของแต่ละคน
นอกจากนี้หากผู้ใช้งานมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ อาทิ อาหารที่ไม่ควรบริโภค การออกกำลังกาย การมีเพศสัมพันธ์ การบริโภคยา หรืออาการผิดปกติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ สามารถพูดคุยกับแชตบอตเสมือนพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่งเพื่อให้แชตบอตแนะนำข้อมูลทางด้านการแพทย์ รวมถึงข้อมูลสำหรับศึกษาเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตามแชตบอตไม่สามารถทำหน้าที่ประเมินอาการผิดปกติหรือโรคแทนแพทย์ผู้ดูแล”
ดร.พิมพ์วดี อธิบายต่อว่า ส่วนที่สองของระบบ REMI คือส่วนของแพทย์ผู้ดูแล หลังจากหญิงตั้งครรภ์บันทึกข้อมูลเข้าระบบแล้ว เซิร์ฟเวอร์จะประมวลผลข้อมูลและแสดงผลไปยังแดชบอร์ด โดยจะแสดงข้อมูลของหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในการดูแลทุกคนพร้อมโคดสีที่สื่อถึงความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ อิงตามเกณฑ์การประเมินสุขภาพทางการแพทย์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตามผล และหากแพทย์ผู้ดูแลพบความผิดปกติสามารถแชตเพื่อพูดคุยกับหญิงตั้งครรภ์ผ่านระบบนี้ได้
“ระบบ REMI เป็นระบบการตรวจสุขภาพที่เหมาะแก่การใช้ประเมินสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์เบื้องต้นในช่วงที่ไม่มีความจำเป็นต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล ซึ่งนอกจากจะช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ดูแลตนเองได้มีประสิทธิภาพ ลดเวลา ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงในการติดโรคจากการเดินทางมายังสถานพยาบาล โดยเฉพาะในสภาวะวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 แล้ว ยังช่วยลดภาระงานให้กับแพทย์ได้อีกด้วย ปัจจุบันมีการทดสอบการใช้งานระบบ REMI แล้วที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และจะมีการประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการ รวมถึงพัฒนาให้ระบบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป”
ดร.พิมพ์วดี ทิ้งท้ายว่า สำหรับผู้ที่สนใจทั้งผู้ประกอบการและสถานพยาบาล เนคเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีรวมถึงร่วมทำวิจัยเพื่อพัฒนาระบบ Telemedicine สำหรับให้บริการผู้ป่วยโรคต่างๆ เพื่อหนุนเสริมให้คนไทยเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขให้กับคนไทยตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติในปัจจุบัน
ผลงาน ‘REMI (Robot for Expecting Mother’s Information) ระบบตอบกลับอัตโนมัติ (แชตบอต) สำหรับหญิงตั้งครรภ์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์’ เป็นหนึ่งในผลงานที่เผยแพร่ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้หัวข้องาน ‘พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG’ ซึ่งในปีนี้จะมีการจัดงานแบบออนไลน์ในวันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ติดตามงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ตอนที่ 30 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://youtu.be/wwGEo_rnldA
เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย
ระดับนานาชาติ และชาติ
ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน 9 ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก
ดร.จิตติ มังคละศิริ ได้รับเลือกเป็น Steering Committee ของ Life Cycle Initiative (UN environment)
ดร.สมประสงค์ ทองคำ ผลงานเรื่อง “การเตรียมบล็อกโคพอลิเมอร์ฐานชีวภาพจากมอนอเมอร์เอทิลีนฟูราโนเอทแบบวงด้วยเทคนิคพอลิเมอร์ไรเซชันที่มีประสิทธิภาพสูงและควบคุมน้ำหนักโมเลกุลของพอลิเมอร์ได้สำหรับเส้นใยสีเขียว”
ดร.อรอนงค์ หนูชูเชื้อ ผลงานเรื่อง “ผลของสารสกัดและสารไตรเทอพีนซาโปนินจากเชียงดาต่อการผลิตไนตริกอ็อกไซด์ของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดในสภาวะระดับน้ำตาลกลูโคสสูงจำลอง”
ดร.ภาวินี นันตา ผลงานเรื่อง “Supercritical CO2-assisted spray-drying technique for porous starch microspheres fabrication and their applications as a carrier for drug delivery”
ดร.ศรัณย์ อธิการยานันท์ ผลงานเรื่อง “การพัฒนาสารเคลือบทำความเย็นทางรังสีโดยมีอนุภาคไมโครสองชนิดเป็นองค์ประกอบ”
ดร.วสันต์ ภัทรอธิค ผลงานเรื่อง “Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง”
ดร.มนฤดี เลี้ยงรักษา ผลงานเรื่อง “กลไกเชิงโมเลกุลสำหรับการพัฒนาวัสดุคาร์บอนจากชีวมวลเป็นสารขั้วอิเล็กโทรดประสิทธิภาพสูงในอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน” และ “Deep-learning based identification of synergistic effects between herbal compounds and conventional chemotherapeutic agents”
ดร.จามร เชวงกิจวณิช ผลงานเรื่อง “การพัฒนาตัวเร่งปฎิกิริยาไทเทเนียมไดออกไซด์เจือด้วยกราฟีนออกไซด์ที่ตอบสนองต่อแสงที่ตามองเห็น เพื่อบำบัดไมโครพลาสติกในน้ำทะเล”
ดร. อรรณพ คล้ำชื่น และคณะ ผลงานเรื่อง “วัสดุคอมโพสิตนาโนซิลิกาและคาร์บอนกัมมันต์จากแกลบ: วัสดุแอโนดศักยภาพสูงสำหรับแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไออนเพื่อยานยนต์ไฟฟ้า”
30 ปี สวทช.
คลัง VDO

จบปัญหามะนาวแพง ! “มะนีมะนาว” นวัตกรรมน้ำมะนาวแช่แข็งเกรดพรีเมียมในราคาจับต้องได้
“มะนาวราคาผันผวน” คือ ปัญหาที่เกษตรกร ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้บริโภคต้องเผชิญกันเป็นประจำเกือบทุกปี เพราะประเทศไทยไม่ได้ปลูกมะนาวได้ดีทุกฤดูกาล ตรงข้ามกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีอยู่ตลอด ช่วงมะนาวติดดอกออกผลมากจนล้นตลาดราคาก็ตกต่ำ ช่วงนอกฤดูกาลก็ต้องพึ่งพาสารเคมีให้ออกผล จนต้นทุนการผลิตพุ่งสูงลิ่ว จะดีกว่าไหม ถ้ามีทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตได้ราคาดีในช่วงฤดูกาล และมีผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวคุณภาพเยี่ยมให้ผู้บริโภคได้รับประทานแบบปลอดภัยในราคาที่จับต้องได้ตลอดทั้งปี
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์ “มะนีมะนาว” ให้เก็บในช่องแช่แข็งได้นาน 2 ปี และเก็บในช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน โดยคงกลิ่นและรสชาติที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสด เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงน้ำมะนาวสำเร็จรูปคุณภาพสูงที่มีราคาใกล้เคียงกับการใช้มะนาวผลสดในช่วงราคาปกติ
[caption id="attachment_30755" align="aligncenter" width="750"] ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีบริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เป็นผู้ผลิตน้ำมะนาวแช่แข็งเพื่อจำหน่ายแบบ B2B ให้แก่ร้านอาหารเชนใหญ่ที่มีห้องแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาวัตถุดิบเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่บริษัทติดปัญหาว่าไม่สามารถขยายการจำหน่ายไปยังผู้ประกอบการรายย่อยหรือผู้บริโภคทั่วไป เพราะแม้ผลิตภัณฑ์จะมีกลิ่นและรสชาติดี แต่มีจุดอ่อนเรื่องอายุการใช้งานหลังนำออกจากห้องแช่แข็งสั้น ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้หมดภายใน 1-2 วัน ทางบริษัทจึงได้ร่วมมือกับทีมวิจัยในการคิดค้นกระบวนการยืดอายุผลิตภัณฑ์
“โดยทั่วไปน้ำมะนาวคั้นสดที่มีการจำหน่ายในตลาดจะผ่านกระบวนการการพาสเจอไรซ์หรือใช้ความร้อนในการหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้น้ำมะนาวเสียสภาพ เพื่อยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้เก็บรักษาได้นานขึ้น แต่วิธีการนี้มีจุดอ่อนสำคัญคือทำให้น้ำมะนาวมีกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนกับน้ำมะนาวคั้นสด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นัก
ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสด โดยใช้ความเย็นระดับเยือกแข็งในการปรับเปลี่ยนรูปร่างของเอนไซม์ในน้ำมะนาวไม่ให้สามารถทำงานได้ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยืดอายุด้วยวิธีนี้จัดเก็บที่อุณหภูมิ -18°C หรือช่องแช่แข็งได้นานถึง 2 ปี และจัดเก็บที่อุณหภูมิ 0-5°C หรือช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ยังคงจุดแข็งของแบรนด์มะนีมะนาวในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสดเอาไว้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”
[caption id="attachment_30756" align="aligncenter" width="750"] วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด[/caption]
วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด อธิบายเสริมข้อมูลว่า มะนาวที่นำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ เป็นมะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องรสชาติคงที่ น้ำเยอะ ไร้เมล็ด อีกทั้งต้นมะนาวยังแข็งแรงทนทานต่อโรค ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีในการดูแล ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้เป็นเรื่องดีต่อทั้งบริษัท เกษตรกร และผู้บริโภค อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเกษตรกรไม่ค่อยนิยมปลูกมะนาวพันธุ์นี้เท่าไหร่นัก เพราะขาดกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการผลผลิตอย่างชัดเจน และยังต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาตลาดในแต่ละปี
“ทางบริษัทจึงได้ทำสัญญารับซื้อกับเกษตรกร โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกษตรกรเครือข่ายหลายร้อยครัวเรือนในภาคเหนือช่วยดำเนินการผลิตมะนาวสายพันธุ์นี้ตามมาตรฐานเกษตรปลอดภัยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แล้วจัดส่งให้แก่บริษัทเพื่อนำผลผลิตมะนาวคุณภาพดีมาใช้ผลิตสินค้ามาตรฐาน GMP และ HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการส่งออกระดับสากล”
[caption id="attachment_30753" align="aligncenter" width="750"] มะนาวพันธุ์ตาฮิติ[/caption]
วิริยาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหลังจากร่วมทำวิจัยกับนาโนเทค สวทช. จนสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว บริษัทจึงได้วางจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศในราคาที่จับต้องได้ และล่าสุดบริษัทได้ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีมาตรฐานการนำเข้าสินค้าสูงมากสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวได้รับการยอมรับจากเชฟอาหารไทยในญี่ปุ่นทั้งด้านความคงที่ของรสชาติและความสะดวกในการใช้งาน หลังจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการทำตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีร้านอาหารไทยต่อไป
“การยกระดับผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ไม่เพียงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจให้เติบโต แต่ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ลดการใช้สารเคมี เพิ่มคุณภาพชีวิต ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีทางเลือกในการจับจ่ายน้ำมะนาวคุณภาพดีมาใช้ประกอบอาหารมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในอนาคตผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวอาจเป็นหนึ่งในสินค้าไทยที่สามารถตีตลาดอาหารโลกก็เป็นได้”
[caption id="attachment_30751" align="aligncenter" width="750"] มะนีมะนาว[/caption]
ผลงานการวิจัยกระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์มะนีมะนาวเป็นหนึ่งในผลงานที่เผยแพร่ใน “งานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022)” ภายใต้หัวข้องาน “พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG” ซึ่งในปีนี้จะมีการจัดงานแบบออนไลน์ในวันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ติดตามงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

‘เอนก’ ขนทัพนักวิจัย สวทช. มหาวิทยาลัย จับมือภาคเอกชน ปูพรมพัฒนาคุณภาพชีวิต 5 จังหวัด พื้นที่ ‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG
For English-version news, please visit : NSTDA brings technology and innovation to enhance the quality of life in Thung Kula Ronghai
รัฐมนตรีฯ กระทรวง อว. นำนักวิจัย สวทช. ถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สู่ชุมชน ต่อยอดเทคโนโลยีนาโน เพื่อยกระดับผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเป็นการพัฒนาฐานทุนเดิมที่เป็นจุดแข็งของทุ่งกุลาร้องไห้ให้มีความโดดเด่นและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นช่องทางทางการตลาดและรายได้แก่ประชาชน พร้อมกันนี้ สวทช. ยังส่งเสริมการปลูกพืชหลังนา อย่าง ‘ถั่วเขียว’ ซึ่งได้ร่วมพัฒนาพันธุ์กับเครือข่ายมหาวิทยาลัย และภาคเอกชน โดยนำเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวมาสนับสนุนแก่กลุ่มเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาฯ และมีการประกันราคารับซื้อจากภาคเอกชนเพื่อให้ประชาชนสร้างอาชีพและมีรายได้ตลอดทั้งปี สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้ประชาชนอยู่ดี กินดี คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีรายได้เพิ่มพ้นความยากจน
(เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2565) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ : ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศ. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. ผศ. ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรี อว. ดร.กิติพงษ์ พร้อมวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมด้วยผู้บริหาร สวทช. นำโดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมลงพื้นที่พบปะและแลกเปลี่ยนความรู้กับประชาชนในพื้นที่ ภายใต้กิจกรรม สวทช. เสริมแกร่งภูมิภาค ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG “ขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” ณ จ.ศรีสะเกษ ระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม 2565
@ ยกระดับผลิตภัณฑ์สิ่งทออัตลักษณ์พื้นถิ่น ผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมBCG
ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความยากจน โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ สวทช. และหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ลงพื้นพื้นที่ภายใต้แผนงาน “ขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” โดยเฉพาะมิติทางด้านเศรษฐกิจและรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยโสธร และสุรินทร์ เนื่องจากพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์และต่างมีภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าที่เข้มแข็ง
ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น ผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ยังมีความงดงามตามวิถีอันเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ดังเช่น ‘ผ้าทอเบญจศรี’ ของดีศรีสะเกษ ที่นำเอาวัตถุดิบสำคัญของจังหวัดมาใช้ย้อมสีไหมหรือฝ้ายเพื่อสร้างผ้าทอที่คงคุณค่าความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน รวมไปถึงลวดลาย ซึ่งนำเอาวัฒนธรรม วิถีชีวิต มาเป็นลวดลายเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตามแม้พื้นที่ทุ่งกุลาฯ จะโดดเด่นด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม แต่ด้วยปัญหาภัยธรรมชาติ และสินค้าภูมิปัญญาที่ยังไม่ตอบโจทย์ตลาด
ดังนั้นกระทรวง อว. โดย สวทช. ได้นำนวัตกรรมมาถ่ายทอดสู่ชุมชนบนพื้นฐานอัตลักษณ์ของชุมชน เช่น การใช้เอนไซม์เอนอีซ "ENZease" สารจากธรรมชาติที่ช่วยทำความสะอาดและลอกแป้งออกจากเส้นใยในขั้นตอนเดียว ทำให้ย้อมสีธรรมชาติได้ดีขึ้น สีสวย สม่ำเสมอ และยังช่วยลดต้นทุน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังได้สร้างมูลค่าเพิ่มโดยการใช้นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี มาเพิ่มสมบัติพิเศษต่างๆ เช่น ความนุ่มลื่น การป้องกันรังสียูวี การยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงการเติมกลิ่นหอม โดยนำ ‘กลิ่นดอกลำดวน’ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษมาเติมลงในผ้าทอเบญจศรี เพื่อสร้างเสน่ห์และอัตลักษณ์ให้กับผ้าทอของจังหวัดศรีสะเกษ
นอกจากนี้ยังมีการเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ณ กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ซึ่ง สวทช. ได้เชื่อมประสานกับสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษในเรื่องของดีไซน์ต่างๆ และเทคโนโลยีกี่ทอมืออัตโนมัติที่เข้ามาช่วยจดจำลวดลายและเพิ่มกำลังการผลิต การนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาให้แนะนำการออกแบบลายผ้า รวมถึงการตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีรูปแบบที่ทันสมัยตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของการอนุรักษ์ภูมิปัญญา ศูนย์เนคเทค สวทช. นำแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลแบบดิจิทัลเข้ามาช่วยในการเก็บรักษาฐานข้อมูลและรูปภาพในเรื่องลายผ้าต่างๆ ไว้ให้ลูกหลานสืบสาน รักษา ต่อยอดลายผ้าจากรุ่นสู่รุ่น รวมทั้งใช้เป็นฐานทุนทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าควรค่าแก่การอนุรักษ์และเชื่อมโยงสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวบนฐานความรู้ได้อีกด้วย
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำหรับการยกระดับผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ นักวิจัย สวทช. นำพัฒนาเทคโนโลยีด้านไบโอเทคโนโลยีที่เรียกว่านวัตกรรม เอนไซม์เอนอีซ (ENZease) ซึ่งผลิตได้จากการหมักเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรโดยใช้จุลินทรีย์ที่คัดเลือกคลังจุลินทรีย์กว่า 80,000 สายพันธุ์ของ สวทช. โดยจุลินทรีย์นี้สามารถทำงานได้ดีในช่วงค่าพีเอช (pH) และอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกัน คือ pH 5.5 และที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เอนไซม์เอนอีซ มีจุดเด่นสำคัญคือ ไม่ส่งผลเสียต่อคุณภาพความแข็งแรงของผ้า
สามารถลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกบนผ้าได้พร้อมกันในขั้นตอนเดียวช่วยประหยัดเวลา ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนในการผลิต และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยถนอมคุณภาพของผ้าให้คงคุณภาพสูง ผ้าไม่ถูกทำลายเหมือนการใช้สารเคมี นอกจากนั้นแล้ว นักวิจัย สวทช. ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มโดยการใช้นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี มาเพิ่มสมบัติพิเศษต่างๆ เช่น ความนุ่มลื่น การป้องกันรังสียูวี การยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงการเติมกลิ่นหอม ‘ดอกลำดวน’ ในระดับนาโนแคปซูลกลิ่นดอกลำดวนจะเกิดการปล่อยกลิ่นเมื่อมีการสัมผัสกซึ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าไหมของจังหวัดศรีสะเกษ
@ ยกระดับรายได้จากอาชีพเสริมพืชหลังนา
จากนั้น (วันที่13มีนาคม) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่พบปะแลกเปลี่ยนความรู้ สวทช.กับประชาชน ด้วยโมเดลBCG ขับเคลื่อนโปรแกรมยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จ.ศรีสะเกษ มีนายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายนพ พงศ์พลาดิสัย นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายชัยยงค์ เมธาสุรวิทย์ นายอำเภอราษีไศล นายวิชัย ศรีโพธิ์งาม เกษตรจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และเครือข่ายเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ (กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน ตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ ร่วมให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สวทช. ยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาสายพันธุ์ถั่วเขียวที่ให้ผลผลิตสูง มีความต้านทานต่อโรคราแป้งและใบจุด และถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรทั้งกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ และเกษตรกรผู้ผลิตถั่วเขียวเข้าโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งแต่สายพันธุ์ การบริหารจัดการแปลง การจัดการโรคและแมลง การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2563
ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดสุรินทร์ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 100 คน พื้นที่ปลูก 500 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 120 -150 กิโลกรัมต่อไร่ สร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรเฉลี่ย 2,600 – 3,300 บาทต่อไร่ ซึ่งการปลูกพืชถั่วเขียว เป็นพืชหลังการเก็บเกี่ยวข้าวในนาข้าวแล้ว เป็นการเสริมรายได้ให้เกษตรกร และเป็นหนึ่งในแผนงานของโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและกลุ่มคนจนเป้าหมายในมิติเศรษฐกิจ
โดยมี สวทช. ขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้และเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ โดยเชื่อมโยงกับภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) มีปริมาณการรับซื้อ 1,000 ตันต่อปี และบริษัท กิตติทัต จำกัด มีปริมาณการรับซื้อ 3,500 ตันต่อปี เพื่อให้มีผลผลิตถั่วเขียวที่เพียงพอ ต่อความต้องการของตลาดต้องการพื้นที่ปลูก จำนวน 30,000 ไร่ (ผลผลิตเฉลี่ย 150 กิโลกรัมต่อไร่)
“กระทรวง อว. ยังเดินหน้านำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้าไปช่วยขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในมิติต่างๆ โดยใช้ TPMAP ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนได้ตรงจุดและรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีต่างๆ ไปช่วยเพิ่มศักยภาพและเพิ่มมูลค่าของสินค้าเกษตร การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้มีรายได้ที่นำพาให้คนทุ่งกุลาร้องไห้หลุดพ้นความยากจนได้” รัฐมนตรีกระทรวง อว. กล่าว
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานและผลผลิต ในฤดูกาลผลิตถั่วเขียว ปี 2564/2565 สวทช. ได้ร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และสำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานส่งเสริมการปลูกถั่วเขียวหลังนานำร่องในพื้นที่เป้าหมายในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ จำนวน 2,161 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 317 คน
ได้แก่ 1. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมขยายพันธุ์ข้าว ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ 2. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนบ้านโนนสวรรค์ ตำบลทุ่งหลวง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 3. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานบ้านหนองฮี ตำบลเมืองเตา อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 4. กลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนยั่งยืนน้ำอ้อม ตำบลน้ำอ้อม อำเภอค้อวัง จังหวัดยโสธร และ 5. กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ รวมทั้งเกษตรกรเครือข่ายในพื้นที่ 5 จังหวัดทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเชื่อมโยงกับบริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) ในการรับซื้อผลผลิต จำนวน 1,679 ไร่ คาดว่าเมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะได้ผลผลิตถั่วเขียว จำนวน 324 ตัน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรไม่ต่ำกว่า 7.13 ล้านบาท
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์

บีโอไอ ร่วมกับ NIA ขอเชิญร่วมงานมหกรรม “BCG Startup Investment Day” ส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้นเข้าถึงแหล่งทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วม “งานมหกรรม BCG Startup Investment Day” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green Economy (BCG) ในวันที่ 24 มีนาคม 2565 เพื่อพัฒนาความเข้มแข็งจากศักยภาพภายในประเทศ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพโดยนำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเน้นกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ด้าน BCG เพื่อยกระดับความสามารถและต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกิดขึ้นได้ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดดบนฐานรากการพัฒนาที่ยั่งยืน
ภายในงานมหกรรม BCG Startup Investment Day จะประกอบไปด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ
พิธีเปิดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี
กิจกรรมเสวนาที่รวบรวม Unicorn Startup มากที่สุด มาร่วมถอดรหัสลับความสำเร็จผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์จาก Unicorn ชั้นนำ ในหัวข้อ “ปลุกพลัง Startup ไทย ก้าวไกลสู่ Unicorn” โดย
คุณญาดา ปิยะจอมขวัญ ผู้ร่วมก่อตั้งและ Chief Product Officer บริษัท Ajaib จำกัด
คุณจรัสพักตร์ การปลื้มจิตต์ พาร์ทเนอร์กลุ่มธุรกิจแฟลช
คุณวีรภัทร กีรติวุฒิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทรัพยากรบุคคล ของ Bitkub Group
คุณณัฐวดี แซ่เอี้ย ผู้บริหารระดับสูง บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด และ บลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด ภายใต้บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด
กิจกรรม BCG Startup Pitching จาก 23 บริษัท กับโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจที่นักลงทุนไม่ควรพลาด
กิจกรรม Networking Session โอกาสที่คุณจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น พูดคุย เจรจาธุรกิจร่วมกัน
การจัดแสดงบูธนิทรรศการทั้ง Startup และหน่วยงานพันธมิตร
ขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วมงาน "งานมหกรรม BCG Startup Investment Day " โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยสามารถเข้าร่วมงานได้ 2 รูปแบบ ทั้งรูปแบบ Onsite ที่จัดขึ้น ณ C asean ชั้น 10 อาคาร CW Tower กรุงเทพฯ ขอจำกัดเฉพาะผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วไม่น้อยกว่า 2 เข็ม และเพื่อการปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด ซึ่งนอกจากการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า การเว้นระยะห่างทางสังคม แล้วทางคณะผู้จัดงานมีความจำเป็นในการขอความร่วมมือผู้เข้าร่วมงานในรูปแบบ Onsite ทุกท่านต้องผ่านจุดตรวจคัดกรอง และมีการตรวจ ATK (ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น สามารถเข้ารับการตรวจ ATK ได้ตั้งแต่ 09.30 น. เป็นต้นไป) ตามขั้นตอนที่กำหนดก่อนเข้าสถานที่จัดงาน สำหรับการเข้าร่วมในรูปแบบ Online ไม่มีการจำกัดจำนวน สามารถรับชมได้ที่ Facebook https://www.facebook.com/boithailandnews
Startup มา pitching 24 ราย เช่น ใบยา ไฟโตฟาร์ม, juiceinnov8, Q Box Point, Nabsolute เป็นต้น
วันที่ 24 มีนาคม 2565
เวลา 10.30 -19.00 น.
รูปแบบ Hybrid event
ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม ได้ที่ : https://www.zipeventapp.com/e/BCG-Startup-Investment-Day
BCG
ข่าวหน่วยงานภายนอก

การประชุมภาคีบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ (Focus group)
ขอเรียนเชิญเข้าร่วมการประชุมภาคีบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ วันที่ 30 มีนาคม 2565 เวลา 09.00-12.00 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การสัมมนาและ focus group ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NSTDA Annual Conference: NAC2022) ภายใต้แนวคิดหลักพลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG (Revitalizing Thai Economy through BCG Research and Innovation) ในการประสานความร่วมมือภาครัฐด้วยกลไกการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การส่งเสริมด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มาตรการทางการเงิน และ การพัฒนาธุรกิจและส่งเสริมการตลาด เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสในการขยายผลเชิงพาณิชย์ให้กับงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพและการแพทย์ และมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
การบรรยาย กลไกภาครัฐสนับสนุนภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ประกอบด้วย
กลไกกลุ่มที่ 1 การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
Thailand Business Innovation Research: TBIR – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
การสนับสนุนทุนวิจัยภายใต้กรอบการแพทย์ – หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
กลไกกลุ่มที่ 2 การส่งเสริมด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่มาตรการการเงิน
มาตรการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (THAI SME-GP) – สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
โครงการ Made in Thailand (MiT) การขอรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อสิทธิประโยชน์จากการให้แต้มต่อของภาครัฐ – สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โครงการ Merit based Incentives สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม สู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
การขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยเพื่อสร้างตลาดภาครัฐ – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
กลไกกลุ่มที่ 3 การสนับสนุนด้านการเงินในการต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์
โปรแกรมบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์และหุ่นยนต์ทางการแพทย์ขั้นสูง – ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน)
โครงการนวัตกรรมมุ่งเป้า (Thematic Innovation) เพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมในระดับอุตสาหกรรม – สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovation and Technology Assistance program: ITAP) การพัฒนาศักยภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียนได้ที่ : https://www.nstda.or.th/nac/2022/seminar/b2-30a-12/
BCG
ปฏิทินกิจกรรม

ตอนที่ 29 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://youtu.be/744N2yGZx9Y
เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย
ระดับนานาชาติ และชาติ
ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง Honorary Professor
ดร.ณัฎฐิกา แสงกฤช ผลงานเรื่อง “Combinatorial nanomedicine for targeting tumor and tumor microenvironment in prostate cancer”
ดร.ธีระ บุตรบุรี ผลงานเรื่อง “การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาอะตอมเดี่ยวที่มีปริมาณโลหะสูง เพื่อเร่งปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีเชิงแสงอย่างมีประสิทธิภาพ”
ดร.อัจฉรา แป้งอ่อน ผลงานเรื่อง “การพัฒนาเส้นใยนาโนคอมพอสิตสำหรับอุปกรณ์กักเก็บพลังงานแบบพกพา”
ดร.พิทักษ์ เอี่ยมชัย และคณะ ผลงานเรื่อง “นวัตกรรมวัสดุนาโนสีเขียวสำหรับตรวจพิสูจน์การปลอมแปลงเอกสารโดยไม่ทำลายตัวอย่าง”
ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ ผลงานเรื่อง “การค้นพบและพัฒนาเปปไทด์ต้านจุลชีพจากแบคทีเรียกรดแลคติกและโปรตีนอาหาร สำหรับการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร”
ดร.ชูศักดิ์ ธนวัฒโน และคณะ ผลงานเรื่อง “เครื่องฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหายใจ” และ “อุปกรณ์ตัวรับรู้แบบสวมใส่เพื่อเฝ้าระวังภาวะเบาหวานและกล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยการตรวจวัดจากเหงื่อ”
30 ปี สวทช.
คลัง VDO

นาโนเทคร่วมชุมชนบ้านไหนหนังยกระดับพืชท้องถิ่น ‘ขลู่’ สู่สินค้านวัตกรรม
‘ขลู่’ คือ พืชท้องถิ่นที่พบได้ในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นพืชที่คนชุมชนบ้านไหนหนัง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ คุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมีการนำมาใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ สร้างรายได้เสริมมายาวนาน โดยในวันนี้ผลิตภัณฑ์จากขลู่จะผ่านการยกระดับไปอีกขั้น เมื่อชุมชนไหนหนังร่วมมือกับนักวิจัยไทยพัฒนาขลู่สู่ ‘สินค้านวัตกรรม’ ที่คนในชุมชนสามารถผลิตได้ด้วยตัวเอง
[caption id="attachment_30453" align="aligncenter" width="500"] “ขลู่” ที่มาภาพ Forest & Kim Starr, CC BY 3.0, via Wikimedia Commons[/caption]
วลีวัลย์ เอกนัยน์ นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อธิบายว่า ขลู่ หรือ Pluchea indica (L.) Less เป็นไม้พุ่ม วงศ์ Asteraceae พบได้บริเวณพื้นที่ชื้นแฉะของประเทศแถบเอเชีย ในใบขลู่มีสารสำคัญที่มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารสำคัญในการดูแลร่างกาย คนในพื้นที่จึงนิยมนำมาแปรรูปเป็นชา และทำเป็นอาหาร เช่น ยำไหนหนังหรือยำใบขลู่ สำรับท้องถิ่นเพื่อสุขภาพสำหรับต้อนรับแขกผู้มาเยือน
[caption id="attachment_30455" align="aligncenter" width="750"] ชาขลู่ ชุมชนบ้านไหนหนัง[/caption]
“ทั้งนี้ชุมชนบ้านไหนหนังมีความต้องการให้ทีมวิจัยนำขลู่มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้โจทย์ 'กระบวนการผลิตที่คนในชุมชนคุ้นเคย’ และผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นจะต้อง ‘เหมาะแก่การวางจำหน่ายในสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ของชุมชน’ จึงได้วิจัยและพัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมอาบน้ำที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจากใบขลู่ในรูปอนุภาคนาโนเป็นส่วนประกอบ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวสายดูแลสุขภาพที่มองหาผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผิวกาย และเป็นการเพิ่มประเภทของสินค้าเพื่อสุขภาพที่มีจุดเด่นเรื่องการนำพืชท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม”
[caption id="attachment_30454" align="aligncenter" width="750"] วลีวัลย์ เอกนัยน์ ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส นาโนเทค สวทช.[/caption]
ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ วลีวัลย์อธิบายว่า ทีมวิจัย (รวิวรรณ ถิรมนัส, ชุติกร พึ่งบุญ และสุภัชยา แจ่มใส) พัฒนากระบวนการสกัดสารต้านอนุมูลอิสระจากใบขลู่ให้อยู่ในรูปอนุภาคนาโน เพื่อลดจุดอ่อนของการนำสารสกัดจากสมุนไพรมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ทั้งเรื่องการแยกชั้น การตกตะกอนของสมุนไพร หรือการทำให้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสี นอกจากนี้การพัฒนาสารสำคัญให้อยู่ในรูปอนุภาคนาโนยังช่วยให้สารออกฤทธิ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงช่วยลดปริมาณการใช้สารสำคัญในผลิตภัณฑ์ให้เหลือเพียง 1% แตกต่างจากการใช้สารสำคัญทั่วไปที่ต้องใช้ในสัดส่วน 2-3% ซึ่งจะส่งผลดีในเรื่องในเรื่องการไม่กระทบต่อสูตรการผลิตผลิตภัณฑ์ และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี
“กระบวนการสกัดสารต้านอนุมูลอิสระจากใบขลู่และพัฒนาให้อยู่ในรูปอนุภาคนาโน (Nano encapsulation) ทำได้ง่าย เพียงต้มวัตถุดิบในอุณหภูมิที่เหมาะสมและนำไปผสมกับองค์ประกอบอื่นๆ ตามสัดส่วนที่กำหนด จากนั้นจึงนำอนุภาคนาโนขลู่ที่ได้มาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมอาบน้ำโดยใช้กระบวนการกวน ซึ่งกระบวนการผลิตส่วนใหญ่ คนในชุมชนมีทักษะ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีอุปกรณ์เป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว”
วลีวัลย์เสริมข้อมูลว่า ปัจจุบันนาโนเทคได้ทำวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการเตรียมถ่ายทอดกระบวนการผลิตสู่ชุมชน โดยในอนาคตชุมชนตั้งเป้าผลิตเป็นสินค้านวัตกรรมเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม และใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมจุดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวของชุมชน อาทิ ให้บริการแก่ลูกค้าในโรงแรมและสปา และใช้เป็นหนึ่งในสินค้าของฝากที่ชูอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านไหนหนัง เพื่อหนุนเสริมการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
“นาโนเทคพร้อมให้บริการการวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ผลิต โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาที่สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” วลีวัลย์กล่าวทิ้งท้าย
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ตอนที่ 28 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://youtu.be/QI4ayhgx9VUเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติ และชาติดร.วันนิตา กลิ่นงาม ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้แทนประเทศไทย เข้าร่วมการประชุม Global Young Scientists Summitดร.วิวรรณ จรีรัตนชาติ ได้รับคัดเลือกเป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ Global Young Scientists Summit (GYSS) 2565 กลุ่ม Viewersดร.นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์ ผลงานเรื่อง “โครงการการค้นหาและประเมินศักยภาพของเอนไซม์ไลเกสชนิด E3 ของเชื้อมาลาเรียเพื่อใช้ในเทคโนโลยีฐาน PROTAC (Identification and Validation of Potential Plasmodium E3 Ligases for PROTAC Platform)”ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ได้รับรางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศ ประจำปี 2563ดร.ณัฏฐพร พิมพะ และคณะ ผลงานเรื่อง “โครงการนวัตกรรมกรองน้ำด้วยนาโนเทคโนโลยีเพื่อการพึ่งตนเองของชุมชนบ้านสัก ตำบลบ้านเอื้อม อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง”ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ได้รับการแต่งตั้งอีกครั้งให้ดำรงตำแหน่ง Adjunct Faculty “โครงการความร่วมมือพัฒนาบัณฑิตวิจัยคุณภาพสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”ดร.สุวัสสา บำรุงทรัพย์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Adjunct Facultyดร.นิศรา การุณอุทัยสิริ ได้รับรางวัลนักเรียนทุนรัฐบาลไทยดาวรุ่งประจำปี พ.ศ. 2564ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ประจำปี 2563ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ได้รับรางวัลประเภทนักสื่อสารวิทยาศาสตร์
30 ปี สวทช.
คลัง VDO

ตอนที่ 27 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://youtu.be/sdsg9SncWKk
เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย
ระดับนานาชาติ และชาติ
ดร.วรรณวิทู วรรณโมลี ผลงานเรื่อง “Controlled catalytic depolymerization of lignin to produce functionalized oligomers in a one-pot process as versatile building blocks for bio-based materials”
ดร.สุภาวดี อิงศรีสว่าง และคณะ ผลงานเรื่อง “โครงการการศึกษาความสัมพันธ์ของชุมชนจุลินทรีย์ในอากาศและฝุ่นละอองในระบบรถไฟใต้ดิน”
ดร.มัตถกา คงขาว ผลงานเรื่อง “โครงการ Development of Preparation Technology of Polymer Nanohydrogels for Unique Physicochemical Properties Using Machine Learning Approach Prior Experimental Maner”
ดร.สัญชัย คูบูรณ์ ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสามัญสมาคมนักวิจัยไทยรุ่นใหม่ ประจำไปี 2564
ดร.ชูศักดิ์ ธนวัฒโน และคณะ ผลงานเรื่อง “อุปกรณ์ตัวรับรู้แบบสวมใส่เพื่อเฝ้าระวังภาวะเบาหวานและกล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยการตรวจวัดจากเหงื่อ”
ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ ผลงานเรื่อง “เอนอีซ (ENZease) เอนไซม์อัจฉริยะทูอินวันสำหรับกระบวนการผลิตสิ่งทอที่สามารถลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกได้พร้อมกันในขั้นตอนเดียว”
สวทช. ได้รับรางวัลประเภทองค์กรสื่อสารวิทยาศาสตร์ (Science Communicator Award for Organization)
ดร.อนันต์ลดา โชติมงคล และคณะ ผลงานเรื่อง “ระบบบริการคำบรรยายแทนเสียงแบบทันต่อเวลา”
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล และคณะ ผลงานเรื่อง “สมบัติทางกลและการขึ้นรูปโลหะผสมจำรูปสำหรับการใช้งานทางด้านการแพทย์และทันตกรรม”
30 ปี สวทช.
คลัง VDO

‘eLysozyme’ สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาว สร้างความปลอดภัยทั้งในอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์
เมื่อต้นทางของอาหารส่วนใหญ่มาจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ การทำให้วัตถุดิบสะอาด ปลอดภัย ไร้การปนเปื้อนตั้งแต่ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่เพียงช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการสูญเสียสัตว์เศรษฐกิจจากโรคต่างๆ ในฟาร์มด้วย
ล่าสุดนับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของนักวิจัยไทย เมื่อผลงานวิจัยเรื่อง “eLysozyme (เอนฮานซ์ ไลโซไซม์) สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์” ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ประเภทผลงานประดิษฐ์คิดค้น ระดับดีมาก สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา ในงานวันนักประดิษฐ์แห่งชาติ 2564-2565 พัฒนาโดย ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหงชาติ (สวทช.) และคณะวิจัยไบโอเทค ประกอบด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. ดร.สิทธิรักษ์ รอยตระกูล นางจันทิมา จเรสิทธิกุลชัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีโปรตีโอมิกส์เชิงหน้าที่ กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร นายสุรพล เค้าภูไทย บริษัทโอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด และ Dr. Fabien De Meester บริษัทดีเอ็มเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด
[caption id="attachment_30120" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัย eLysozyme สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์[/caption]
ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ เปิดเผยว่า ผลงานดังกล่าวเป็นการพัฒนาสารยับยั้งแบคทีเรียจากธรรมชาติ โดยใช้ไลโซไซม์ที่แยกจากไข่ไก่เป็นวัตถุดิบตั้งต้น ทำการปรับปรุงคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรียให้ดีขึ้นจนได้เป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ eLysozyme ซึ่งประกอบด้วยโปรตีนและเปปไทด์หลายชนิดที่เสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน ช่วยในการยับยั้งแบคทีเรียทั้งแกรมบวกและแกรมลบ โดยแบคทีเรียแกรมลบ เช่น เชื้ออีโคไล เชื้อซาลโมเนลลา เชื้อวิบริโอ ยังเป็นปัญหาใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์ ขณะที่ไลโซไซม์ที่มีจำหน่ายทั่วไปในปัจจุบันยังไม่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแกรมลบเหล่านี้ได้ โดยฟังก์ชันเดิมของไลโซไซม์จะเร่งการย่อยสลายผนังเซลล์แบคทีเรียอย่างเดียวเท่านั้น แต่ด้วยองค์ความรู้ของทีมวิจัยไบโอเทค สามารถศึกษาและคิดค้นดัดแปลงให้ไลโซไซม์ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียผ่านกลไกอื่นนอกเหนือจากการเร่งการย่อยสลายผนังเซลล์แบคทีเรียได้ด้วย เช่น การเจาะและสร้างรูพรุนบนผนังเซลล์แบคทีเรีย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการยับยั้งแบคทีเรียแกรมลบได้ดีทั้งในอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์ โดย eLysozyme ที่ทีมวิจัยคิดค้นขึ้นขณะนี้มี 2 สูตร ได้แก่ eLysozyme-T2 (eLYS-T2) สำหรับใช้ควบคุมเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในการเพาะเลี้ยงสัตว์ สามารถผสมกับอาหารสัตว์ เพื่อใช้ลดปริมาณเชื้อวิบริโอในลำไส้กุ้ง กระตุ้นการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันและการต้านอนุมูลอิสระในกุ้ง เพิ่มอัตราการรอด และควบคุมอาการขี้ขาวได้อย่างมีนัยสำคัญ
[caption id="attachment_30121" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบ eLysozyme ในห้องปฏิบัติการ[/caption]
“ช่วงที่ทีมทำวิจัยนั้น กุ้งในฟาร์มเลี้ยงเป็นโรคตายด่วนค่อนข้างมาก ซึ่ง eLysozyme-T2 ที่เราพัฒนาขึ้นมา สามารถยับยั้งเชื้อวิบริโอในลำไส้กุ้งที่เป็นสาเหตุของโรคตายด่วนในกุ้งได้ด้วย แม้ภายหลังโรคตายด่วนในกุ้งลดลงจนไม่ได้เป็นปัญหาในอุตสาหกรรมแล้ว แต่ก็มีโรคขี้ขาวเข้ามาแทน ซึ่งสาเหตุเกิดจากเชื้อวิบริโอเช่นกัน ทำให้ทีมวิจัยประยุกต์ใช้ eLysozyme-T2 ไปจัดการโรคขี้ขาวในกุ้งในฟาร์มเลี้ยงทั้งภาคตะวันออกและภาคกลาง โดยทดลองให้กุ้งที่มีอาการขี้ขาวได้กินอาหารที่มีส่วนผสมของ eLysozyme-T2 พบว่าช่วยหยุดอาการขี้ขาวได้ภายใน 3-5 วัน จากการเก็บข้อมูลหลายฟาร์ม ช่วยเพิ่มอัตราการรอดของกุ้งได้ 200 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 500 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเทียบกับบ่อกุ้งที่ไม่ได้ใช้ eLysozyme-T2 ในการแก้ไขปัญหาโรคขี้ขาว ที่สำคัญ eLysozyme-T2 ยังทำหน้าที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันของกุ้งเลี้ยงทำให้กุ้งแข็งแรงและป้องกันเชื้อโรคใหม่ที่จะเข้ามาได้ดีขึ้น”
[caption id="attachment_30122" align="aligncenter" width="750"] การทดลองใช้ eLysozyme กับกุ้งขาว[/caption]
[caption id="attachment_30123" align="aligncenter" width="750"] การทดลองใช้ eLysozyme ในบ่อเลี้ยงกุ้งขาว[/caption]
ปัจจุบันผลงานวิจัยดังกล่าวได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์ให้แก่ บริษัทโอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด เป็นผู้ผลิต และบริษัทไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่าย ภายใต้ผลิตภัณฑ์ ‘เมจิค ดีพลัส’ (Magic DePlus) ช่วยสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมอาหาร อาหารสัตว์ และการเพาะเลี้ยงสัตว์ โดยสามารถเพิ่มมูลค่าส่วนผสมฟังก์ชันจากโปรตีนไข่ขาว 400 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มผลตอบแทนให้แก่การเพาะเลี้ยงกุ้งขาวกว่า 300 เปอร์เซ็นต์ เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นแล้วอย่างน้อย 36.5 ล้านบาท ซึ่งทีมวิจัยและผู้ประกอบการเตรียมนำทดลองไปใช้ในอุตสาหกรรมสัตว์ประเภทอื่นๆ เช่น ไก่ สุกร ต่อไป
[caption id="attachment_30124" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ eLysozyme[/caption]
[caption id="attachment_30125" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ eLysozyme[/caption]
[caption id="attachment_30126" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ eLysozyme[/caption]
ดร.วีระพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้พัฒนา eLysozyme อีก 1 สูตร โดยร่วมวิจัยกับ บริษัทโอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด คือ eLysozyme-T1 (eLYS-T1) สำหรับใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร มีประสิทธิภาพยับยั้งแบคทีเรียสูงกว่าไลโซไซม์ที่พบได้ในไข่ขาวทั่วไป 2–100 เท่า (ขึ้นอยู่กับชนิดของแบคทีเรีย) สามารถทดแทนวัตถุกันเสียเพื่อใช้ควบคุมเชื้อแบคทีเรียในผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์ โดยสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ไข่รวมเหลวพาสเจอร์ไรซ์ในระหว่างการเก็บรักษาแบบแช่เย็นจากเดิม 4 สัปดาห์ เป็น 8 สัปดาห์ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติเชิงหน้าที่ของไข่รวมเหลวพาสเจอร์ไรซ์
“ไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์ คือ การนำไข่ไก่ไปผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนในอุณภูมิพอเหมาะ ช่วยให้การเก็บรักษาไข่เหลวอยู่ได้ประมาณ 4 สัปดาห์ หลังจากครบกำหนดแล้วอาจมีเชื้อแบคทีเรียต่างๆ เจริญเติบโตขึ้น แต่ทีมวิจัยอาศัยความเชี่ยวชาญโดยใช้ eLysozyme ซึ่งมีต้นกำเนิดจากไข่ไก่ ผสมกลับไปเพื่อช่วยควบคุมไม่ให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ จากการทดลองพบว่าช่วยยืดอายุไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 4 สัปดาห์ รวมเป็น 8 สัปดาห์ ทำให้ยืดอายุสินค้าวางขายบนเชลฟ์วางสินค้าได้นานขึ้น เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อไปใช้ในครัวเรือนได้นานขึ้น โดยไม่ต้องรีบใช้ให้หมดในครั้งเดียว ถือเป็นการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ลดการใช้สารเคมีกันเสียหรือสารกันบูด สร้างความปลอดภัยในการบริโภคอาหาร โดยใช้ไลโซไซม์ซึ่งเป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์มาช่วยยืดอายุอาหาร”
eLysozyme นับเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในสัตว์เพื่อทำให้สุขภาพสัตว์ดี มีความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทางที่ฟาร์มเพาะเลี้ยง สู่ความปลอดภัยในการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น