หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เอ็มเทคพัฒนา “Well-Living Systems” ระบบดูแลผู้สูงอายุ ผู้ช่วยของลูกหลาน
For English-version news, please visit : Well-Living Systems to support independent living for seniors   ผ่านพ้นมาไม่นานสำหรับ “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้ตรงกับวันขึ้นปีใหม่ไทย หรือ วันสงกรานต์ คือวันที่ 13 เมษายนของทุกปี วันสำคัญที่ชักชวนให้คนไทยหันมาใส่ใจผู้สูงอายุมากขึ้น ยิ่งเฉพาะในปี 2565 นี้ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ระบุว่าเป็นปีที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” เนื่องจากมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ดังนั้นการเร่งปรับตัว และเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุมีความสำคัญอย่างมาก ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนา “ระบบดูแลผู้พักอาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัย หรือ Well-Living Systems” เพื่อช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้ลูกหลานดูแลผู้สูงอายุได้อย่างปลอดภัยและอุ่นใจมากขึ้น   [caption id="attachment_31280" align="aligncenter" width="600"] ดร.สิทธา สุขกสิ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช.[/caption] ดร.สิทธา สุขกสิ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยเอ็มเทคได้พัฒนาระบบ Well-Living Systems ที่จะเข้ามาเป็น “ผู้ช่วย” ของลูกๆ หลานๆ ในการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้านภายใต้แนวคิด “ทุกคนที่บ้านสบายดี (All is well at home)” เพื่อสร้างความอุ่นใจให้ทั้งผู้ใหญ่ที่บ้านและลูกหลานที่ต้องออกไปทำงาน โดยระบบมีศูนย์กลาง LANAH (Learning and Need-Anticipating Hub) ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ LANAH AI (Artificial Intelligence) ที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย และแจ้งเตือนผู้ดูแลเมื่อผู้สูงอายุเกิดเหตุฉุกเฉินหรือมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ผ่านแอปพลิเคชัน LANAH App เพื่อช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย “ระบบจะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตรวจวัดต่างๆ (Sensors) ที่ไม่มีกล้อง ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย เพราะทีมวิจัยมุ่งหวังให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด เน้นสร้างความมั่นใจว่าหากมีเหตุฉุกเฉินจะมีผู้เข้ามาช่วยเหลือได้ทันที เป็นการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย สร้างความสบายใจ ลดการพึ่งพาผู้ดูแล สนับสนุนการเป็น “สูงวัยอย่างมีคุณภาพ หรือ Active aging” ให้ได้นานที่สุด”     ดร.สิทธา กล่าวว่า สำหรับการทำงานของระบบแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. กรณีไม่ฉุกเฉิน ใช้ AI เรียนรู้รูปแบบพฤติกรรมกิจวัตรประจำวันของผู้อยู่อาศัยเพื่อบ่งบอกถึงปัญหา ซึ่งมีตัวอย่างอุปกรณ์ 4 ระบบในแอปพลิเคชัน ได้แก่ 1) Occupancy sensor เครื่องมือสังเกตการณ์บุคคลที่อยู่ในแต่ละพื้นที่ของบ้าน เรียนรู้พฤติกรรมการใช้เวลาในบ้านของผู้อยู่อาศัย เช่น ช่วงสายวันอาทิตย์มักมีคนอยู่ในครัว 2) Door sensor เรียนรู้พฤติกรรมการเปิด-ปิดประตูต่างๆ เช่น ปกติประตูห้องน้ำถูกเปิดกี่ครั้งในช่วงดึก 3) Gate sensor ใช้สังเกตระยะเวลาการเข้าไปแต่ละพื้นที่ เช่น ระยะเวลาการอยู่ในห้องน้ำปกติหรือนานกว่าปกติ และ 4) Logger ปุ่มกดช่วยบันทึกเวลาการทำกิจกรรม เช่น เวลากินยา และช่วยเตือนเมื่อผู้อยู่อาศัยอาจลืม ด้วยการส่งเสียงผ่าน Wireless Speakers “ส่วนกรณีฉุกเฉิน มีอุปกรณ์ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ได้แก่ 1) Emergency Button ปุ่มฉุกเฉินขนาดเล็กที่พกพาได้สะดวก ใช้ขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลที่อยู่ไกล 2) Bell กระดิ่งเรียกคนอื่นในบ้าน และแจ้งเตือนเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลที่อยู่ไกล 3) Fall detection sensor ช่วยตรวจจับเมื่อผู้อยู่อาศัยเกิดการหกล้ม เป็นอุปกรณ์รูปแบบสวมใส่ หรือติดผนังแบบไม่มีกล้อง เหมาะใช้งานในพื้นที่ส่วนตัว เช่น ห้องน้ำ และแจ้งเตือนเพื่อขอความช่วยเหลือ 4) Check-In ผู้อยู่อาศัยใช้ทักทายคนในครอบครัวหรือเพื่อนที่อยู่ไกลแบบเงียบๆ ไม่รบกวนเวลา 5) Wireless Speakers ลำโพงไร้สายที่วางได้ทุกที่ในบ้านทำงานร่วมกับ LANAH App เพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้รับฟังข้อความเสียงจากผู้ดูแลที่อยู่ไกลมาที่บ้านในกรณีฉุกเฉิน”     ดร.สิทธา กล่าวว่า ปัจจุบันระบบ LANAH App และอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ในขั้นตอนการทดลองในห้องปฏิบัติการและขยายผลสู่ภาคสนาม ซึ่งกำลังมองหาพาร์ทเนอร์เพื่อทดสอบการใช้งานจริง โดยคาดว่าจะต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้ภายในปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 ทั้งนี้ตัวระบบนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลายแบบ เช่น บ้านผู้สูงอายุ คอนโดที่มีผู้อยู่อาศัยคนเดียว สถานดูแลผู้สูงอายุ โรงพยาบาล ซึ่งหวังว่าระบบที่พัฒนาขึ้นจะเป็นประโยชน์ในการดูแลผู้สูงอายุ ทำให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาผู้ดูแล และช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีในที่พักอาศัยที่อุ่นใจและปลอดภัย นับเป็นตัวอย่างผลงานการวิจัยและพัฒนาของนักวิจัยไทยจาก สวทช. ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตพึ่งพาตนเองได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข สอดคล้องกับนโยบายโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) วาระแห่งชาติ ที่มุ่งส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยและเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ตอนที่ 33 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=tkvxTNqy54kเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติ และชาติศ.ดร.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ได้รับรางวัลเกียรติยศและเชิดชูเกียรตินักเคมีอาวุโส จาก สมาคมเคมีแห่งประเทศไทยในพระอุปถัมภ์ของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารีดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ได้รับรางวัล 2021 Chinese Government Friendship Award จาก กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาธารณรัฐประชาชนจีนดร.อัญชลี มโนนุกุล ผลงานโครงการ “การขึ้นฉีดรูปผงโลหะผสมไทเทเนียมชนิดใหม่ที่มีอิลาสติกโมดูลัสต่ำใกล้เคียงกับกระดูกมนุษย์สำหรับการใช้งานทางการแพทย์”ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม และคณะ ผลงานเรื่อง “แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมืองผ่านระบบพูดคุยอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์”ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง และคณะ ผลงานเรื่อง “ปุ๋ยคีเลตธาตุอาหารเพื่อเร่งการเจริญของพืช”ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผลงานเรื่อง “หอมข้าว :อุปกรณ์ตรวจสอบความหอมในข้าวหอมมะลิแบบพกพาด้วยเทคนิคปัญญาประดิษฐ์”ดร.กันตพัฒน์ จันทร์แสนภักดิ์ และคณะ ผลงานเรื่อง “อนุภาคนาโนพอลิเมอร์ห่อหุ้มด้วยสารประกอบเอซา-บอดิปี้สำหรับใช้เป็นระบบนำส่งสำหรับรักษามะเร็งแบบใช้แสงกระตุ้น”ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ และคณะ ผลงานเรื่อง “eLysozyme สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์”ดร.ไว ประทุมผาย และคณะ ผลงานเรื่อง “การผลิตเบต้ากลูแคนโพลีแซคคาไรด์ และเบต้ากลูแคนโอลิโกแซคคาไรด์ชนิดใหม่จากเชื้อรา Ophiocodyceps dipterigena BCC 2073 เพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ”คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ ผลงานเรื่อง “COXY-AMP ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์ เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว”ดร.วรายุทธ สะโจมแสง ผลงานเรื่อง “ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียแลไวรัสจากออร์แกนิคซิงค์ไอออน”ดร.พิศิษฐ์ คำหน่อแก้ว และคณะ ผลงานเรื่อง “กระบวนการผลิตโซล่าเซลล์ชนิดเพอร์รอฟสไกต์แบบลายชั้นทีละชั้นที่ควบคุมได้เป็นครั้งแรกของโลก ที่มีประสิทธิภาพและความทนทานความชื้นสูง”คุณรังสิมา ตัณฑเลขา ได้รับรางวัลนิสิตเก่าดีเด่น จาก สมาคมนิสิตเก่าวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
หนังสือ 3 ทศวรรษ 5 วิสัยทัศน์ สวทช.
หนังสือ 3 ทศวรรษ 5 วิสัยทัศน์ สวทช. Download (40 MB) High Resolution Download (98 MB) Flip Book  
เอกสารเผยแพร่
 
ไบโอเทค สวทช. พัฒนา ‘ไวรัสตัวแทน’ ทดสอบสูตรวัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 แบบเชิงรุก
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA develops a pseudotyped virus for testing COVID vaccines   ที่ผ่านมาการศึกษาวิจัยพัฒนาวัคซีน ประเมินประสิทธิภาพวัคซีน และยารักษาโรคโควิด-19 นักวิจัยต้องแยกไวรัส SARS-CoV-2 จากสารคัดหลั่งของผู้ป่วยในประเทศและเพิ่มปริมาณไวรัสให้ได้จำนวนมากพอเพื่อใช้ศึกษาทดลอง ซึ่งทราบกันดีว่าไวรัส SARS-CoV-2 ก่อโรคโควิด-19 แพร่ระบาดได้รวดเร็วและมีความรุนแรง นักวิจัยต้องทำงานบนความเสี่ยงสูง รวมทั้งต้องมีห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (BSL3) ซึ่งในประเทศไทยมีไม่มากนัก จึงทำให้ยากต่อการพัฒนายาและวัคซีนให้ทันต่อการระบาดของโรค อีกทั้งยังไม่นับรวมการเตรียมรับมือกับไวรัสที่กลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา   [caption id="attachment_31106" align="aligncenter" width="750"] ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า เพื่อให้ประเทศไทยรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนา ‘Pseudotyped Virus’ หรือ ‘ไวรัสตัวแทน’ ที่มีกลไกในการติดเชื้อเข้าสู่เซลล์ได้เหมือนไวรัสตัวจริงแต่ตัวไวรัสเองถูกปรับให้มีคุณสมบัติที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อมนุษย์ เป็นเทคโนโลยีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมถึงมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน มาใช้พัฒนา ‘ไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคโควิด-19’ สำเร็จเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยเทคโนโลยีที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นนี้สามารถใช้ผลิตไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคโควิด-19’ จากข้อมูลรหัสพันธุกรรมได้ทุกสายพันธุ์   [caption id="attachment_31107" align="aligncenter" width="650"] Pseudotyped Virus หรือ ไวรัสตัวแทน[/caption]   “ไวรัสตัวแทนเป็นเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบไวรัสก่อโรคโควิด-19 จากที่ทราบกันดีว่าไวรัส SARS-CoV-2 ใช้โปรตีนตรงส่วนหนามในการจับและเข้าสู่เซลล์ ทีมวิจัยได้นำโปรตีนหนามของไวรัส SARS-CoV-2 มาใส่ไว้ในไวรัสอีกตัวหนึ่งซึ่งมีความปลอดภัยและไม่อันตราย โดยจุดเด่นของไวรัสตัวแทนที่สำคัญอันดับแรกคือช่วยให้นักวิจัยสามารถทำงาน ‘เชิงรุก’ เมื่อมีการค้นพบการกลายพันธุ์ของไวรัสก่อโรคโควิด-19 นักวิจัยสามารถนำข้อมูลรหัสพันธุกรรมมาสร้างไวรัสตัวแทนเพื่อใช้ดำเนินงานได้ทันที ไม่ต้องรอให้มีการติดเชื้อของสายพันธุ์นั้นในประเทศแล้วค่อยแยกออกมาจากผู้ป่วย สองคือ ‘ปลอดภัย’ ไวรัสตัวแทนไม่ก่อให้เกิดโรค นักวิจัยหรือเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการไม่ต้องทำงานภายใต้ความเสี่ยงสูง และนำไปใช้ในห้องปฏิบัติการของสถานพยาบาลทั่วไปได้ สามคือ ‘ทดสอบได้รวดเร็ว’ ไวรัสตัวแทนสามารถแสดงผลการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ให้เห็นอย่างชัดเจนภายใน 48 ชั่วโมง ต่างจากไวรัสของจริงที่ต้องใช้เวลา 5-6 วัน นอกจากนี้การทดสอบด้วยไวรัสตัวแทนยังทำได้มากถึงครั้งละ 90 ตัวอย่าง ขณะที่การทดสอบด้วยไวรัสของจริงทำได้เพียงครั้งละ 6 ตัวอย่างเท่านั้น สี่คือ ‘ผลิตได้ปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็ว’ ทำให้มีปริมาณไวรัสมากพอในการทดสอบ วิจัยได้อย่างประสิทธิภาพมากขึ้น และสุดท้ายคือ ‘ลดค่าใช้จ่าย’ ในการปฏิบัติงานได้มากถึง 20-30 เท่า” ดร.อนันต์ กล่าวเสริมว่า ด้วยจุดเด่นของไวรัสตัวแทนที่กล่าวถึงข้างต้น ทำให้การวิจัยและพัฒนาวัคซีน สูตรการฉีดวัคซีน รวมถึงยารักษาโรคจากไวรัสต่างๆ ของประเทศไทยนับจากนี้จะมีความราบรื่นและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังใช้สร้างไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์กลายพันธุ์ที่น่ากังวลใหม่ๆ ในการศึกษาวิจัย เพื่อเตรียมรับมือการระบาดรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต “ทั้งนี้ที่ผ่านมาไบโอเทคได้นำไวรัสตัวแทนที่พัฒนาขึ้นให้บริการการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในประเทศแล้ว ทั้งการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่มีการฉีดภายในประเทศ การทดสอบสูตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับบุคคลกลุ่มต่างๆ และการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตขึ้นในประเทศ อาทิ วัคซีน Chula-CoV-19 วัคซีนใบยา และวัคซีน HXP–GPOVac” อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีการผลิตไวรัสตัวแทนที่ไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้น ไม่เพียงนำมาใช้ได้กับการพัฒนายาและวัคซีนโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังใช้ผลิตไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคชนิดอื่นๆ รวมถึงการป้องกันการระบาดของโรคจากสัตว์สู่คนแบบเชิงรุก ช่วยให้นักวิจัยไทยดำเนินงานสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นคงทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้แก่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น  
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ตอนที่ 32 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/g1ANXT5b_4w เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ระดับนานาชาติ และชาติ ดร.ณัฐปภัสร วิริยะชัยพร และคณะ ผลงานเรื่อง “NanoFlu AB Duplex Rapid Test (ชุดตรวจสำหรับการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่)” ดร.วรายุทธ สะโจมแสง และคณะ ผลงานเรื่อง “Development of Hydrophilic Nanofiltration Membrane for Water Purification” ดร.นิธิ อัตถิ ผลงานเรื่อง “Flexible Polymers with Antifouling Robust Microstructure for Marine and Medical Applications” และ “Fabrication of robust 3-D microstructure with superhydrophobic properties for marine and medical applications” ดร.ธันยกร เมืองนาโพธิ์ ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ปฏิบัติการสหกิจศึกษาในสถานประกอบการดีเด่น ประจำปีการศึกษา 2563 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. ได้รับใบรับรองลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับอาคาร ประจำปี 2563 (Carbon Reduction Certification for Building) ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา และคณะ ผลงานเรื่อง “Investigating the potential adaptive responses of the Thai Rice Resource to biotic and abiotic stresses under future climate change conditions” ดร.จันทร์เพ็ญ ครุวรรณ์ และคณะ ผลงานเรื่อง “ขั้วไฟฟ้าชนิดพิมพ์สกรีนกราฟีนและของเหลวไอออนิกแบบใช้แล้วทิ้งสำหรับงานเซนเซอร์เคมีไฟฟ้า” ดร.พิศิษฐ์ คำหน่อแก้ว และคณะ ผลงานเรื่อง “ท่อดูดซับความร้อนด้วยอนุภาคนาโนกราฟีน-ซิลิกาสำหรับระบบพลังงานรวมแสงอาทิตย์เข้มข้น” ดร.กันตพัฒน์ จันทร์แสนภักดี และคณะ ผลงานเรื่อง “สารเรืองแสงอินทรีย์ในช่วงใกล้อินฟาเรดที่ตอบสนองต่อค่าพีเอชสำหรับการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้าด้วยการกระตุ้นแสง” ดร.สุทธิพงศ์ ธัชยพงษ์ และคณะ ผลงานเรื่อง “ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า: Thai People Map and Analytics Platform หรือ TPMAP”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
นวัตกรรมในเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้
เครื่องมือของ Clarivate (Derwent World Patent Index (DWPI) และ Derwent Patent Citation Index (DPCI)) ให้ข้อมูลสิทธิบัตรที่เป็นที่ยอมรับ ใช้ศึกษานวัตกรรมในเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้ นักวิเคราะห์ในการศึกษาครั้งนี้ทดสอบสิทธิบัตรที่ยื่นจดระหว่างปี 2015 ถึง 2019 โดยหน่วยงานใน 8 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย, ศรีลังกา, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม หน่วยงานรวมถึงสถาบันวิจัยของรัฐบาล, มหาวิทยาลัย และบริษัท หลังจากการวิเคราะห์มากกว่า 100,000 การประดิษฐ์ที่ยื่นจดโดย 8 ประเทศดังกล่าวข้างต้นระหว่างปี 2015 ถึง 2019 ทำให้ได้ 276 หน่วยงานที่เป็นผู้นำการประดิษฐ์ โดย 58% เป็นสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยของรัฐบาล ส่วน 42% เป็นบริษัท พบจาก 276 หน่วยงาน เป็นหน่วยงานในอินเดียเป็นอันดับ 1 จำนวน 167 หน่วยงาน อันดับที่ 2 คือ อินโดนีเซีย จำนวน 44 หน่วยงาน อันดับถัดมา คือ ฟิลิปปินส์ จำนวน 28 หน่วยงาน อันดับที่ 4 คือ สิงคโปร์ จำนวน 19 หน่วยงาน อันดับที่ 5 คือ มาเลเซีย จำนวน 8 หน่วยงาน อันดับ 6 คือ เวียดนาม จำนวน 7 หน่วยงาน อันดับ 7 คือ ไทย จำนวน 2 หน่วยงาน อันดับ 8 คือ ศรีลังกา จำนวน 1 หน่วยงาน รายชื่อของทั้งหมด 276 หน่วยงาน เผยแพร่ไว้ใน https://clarivate.com/lp/2021-innovation-in-south-and-southeast-asia/ สำหรับประเทศไทยพบ 2 หน่วยงาน (เป็นบริษัททั้งหมด) จาก 276 หน่วยงานที่เป็นผู้นำการประดิษฐ์ ได้แก่ 1. Ptt Group และ 2. Siam Cement Group นอกจากนี้ในการศึกษาครั้งนี้ยังได้วิเคราะห์หาหน่วยงานผู้นำการประดิษฐ์ใน 9 ประเทศ คือ 8 ประเทศดังกล่าวข้างต้น และเพิ่มอีก 1 ประเทศ คือ บรูไน ดังข้างล่าง ประเทศที่ไม่สามารถหาหน่วยงานผู้นำการประดิษฐ์ได้ คือ ประเทศที่มีหน่วยงานไม่สามารถผลิตสิทธิบัตรระหว่างปี 2015 ถึง 2019 ได้พอกับเกณฑ์ ประเทศทั้ง 9 ด้านล่างเรียงลำดับตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ สถาบันการศึกษาผู้นำการประดิษฐ์ - บรูไน ไม่สามารถหาสถาบันการศึกษาได้ - อินเดีย Indian Institute of Technology Bombay - อินโดนีเซีย Universitas Diponegoro - มาเลเซีย Universiti Putra Malaysia (UPM) - ฟิลิปปินส์ Cebu Technological University - สิงคโปร์ National University of Singapore (NUS) - ศรีลังกา ไม่สามารถหาสถาบันการศึกษาได้ - ไทย ไม่สามารถหาสถาบันการศึกษาได้ - เวียดนาม Hanoi University of Science and Technology (HUST) สถาบันวิจัยของรัฐบาลผู้นำการประดิษฐ์ - บรูไน ไม่สามารถหาสถาบันวิจัยของรัฐบาลได้ - อินเดีย Council of Scientific and Industrial Research (CSIR) - อินโดนีเซีย The Indonesian Institute of Sciences (LIPI) - มาเลเซีย The Malaysian Palm Oil Board (MPOB) - ฟิลิปปินส์ ไม่สามารถหาสถาบันวิจัยของรัฐบาลได้ - สิงคโปร์ The Agency for Science, Technology and Research (A*STAR) - ศรีลังกา ไม่สามารถหาสถาบันวิจัยของรัฐบาลได้ - ไทย ไม่สามารถหาสถาบันวิจัยของรัฐบาลได้ - เวียดนาม Vietnam Academy of Science and Technology (VAST) บริษัทผู้นำการประดิษฐ์ - บรูไน ไม่สามารถหาบริษัทได้ - อินเดีย ดูได้จากรายละเอียดด้านล่าง บริษัทผู้นำการประดิษฐ์ในอินเดีย - อินโดนีเซีย PT Pertamina - มาเลเซีย Top Glove Corporation Berhad - ฟิลิปปินส์ ไม่สามารถหาบริษัทได้ - สิงคโปร์ ASM Pacific Technology Limited - ศรีลังกา MAS Holdings - ไทย Siam Cement Group - เวียดนาม Viettel Group บริษัทผู้นำการประดิษฐ์ในอินเดียในอุตสาหกรรมต่าง ๆ (เรียงลำดับอุตสาหกรรมตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ) - ธุรกิจการเกษตร UPL Limited - ยานยนต์ Mahindra and Mahindra Limited - สารเคมีและพลังงาน Indian Oil Corporation Limited - สินค้าประเภทบริโภค ITC Limited - อุตสาหกรรมหนัก Bharat Heavy Electricals Limited - อื่น ๆ Welspun Group - ยา Suven Life Sciences Limited - ซอฟต์แวร์ Wipro Limited ที่มา: Clarivate. 2021 Innovation in South and Southeast Asia. Retrieved February 14, 2022, from https://clarivate.com/lp/2021-innovation-in-south-and-southeast-asia/
นานาสาระน่ารู้
 
‘Functional Food’ นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต
  วิกฤตการณ์การระบาดโรคโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ หรือแม้แต่สถานการณ์โลกที่กำลังเข้าสู่ศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ ล้วนเป็นตัวเร่งให้ประชาชนหันมาตระหนักถึงการใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้   เทรนด์ ‘ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ’ และ ‘อาหารฟังก์ชัน (Functional Food)’ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สร้างโอกาสทองให้ผู้ประกอบการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง หากแต่ผู้บริโภคจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเหล่านั้นมีคุณภาพดีและปลอดภัยสมตามสรรพคุณที่กล่าวอ้างจริง แน่นอนว่าผลงานการศึกษาวิจัยคือหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันในเรื่องนี้ ทว่าการลงทุนทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการวิจัยเชิงคลินิกนั้นต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากรซึ่งมีต้นทุนค่อนข้างสูง จึงอาจเป็นข้อจำกัดหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ด้วยเหตุนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ได้จัดทำ ‘โครงการการวิจัย พัฒนา และทดสอบทางคลินิกสำหรับอาหารฟังก์ชัน’ เพื่อสนับสนุนบ่มเพาะผู้ประกอบการไทยในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันและการวิจัยทางคลินิก ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจและความเชื่อมั่นถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันได้   รัฐร่วมเอกชนวิจัยพัฒนา ‘นวัตกรรมอาหารฟังก์ชัน’ อาหารฟังก์ชัน หรือ Functional Foods คืออาหารที่ประกอบด้วยสารสำคัญหรือสารออกฤทธิ์ที่ไม่ได้มีเพียงคุณค่าทางโภชนาการพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ยังมีส่วนช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเรสเตอรอล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูสภาพร่างกาย อาหารฟังก์ชันยังรวมถึงการพัฒนาอาหารที่มีความเหมาะสมกับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ โดยกลไกที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการพัฒนายกระดับวัตถุดิบที่มีสู่ผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันได้สำเร็จคือ ‘การวิจัยพัฒนา’   [caption id="attachment_31002" align="aligncenter" width="750"] รศ. ดร.สุวิมล ทรัพย์วโรบล ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[/caption]   รศ. ดร.สุวิมล ทรัพย์วโรบล ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า โครงการการวิจัย พัฒนา และทดสอบทางคลินิกสำหรับอาหารฟังก์ชัน นับเป็นโครงการดีๆ ที่เข้ามาช่วยให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารได้มีโอกาสมาร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารฟังก์ชันร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ จากหน่วยงานภาครัฐหรือสถาบันการศึกษา “ขั้นตอนการทำงานคือผู้ประกอบการจะมีวัตถุดิบและโจทย์ที่สนใจอยู่แล้วว่าอยากพัฒนาอาหารฟังก์ชันแบบใด เพื่อใช้กับกลุ่มเป้าหมายใด เมื่อทีมวิจัยได้รับโจทย์มาก็จะศึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ยกตัวอย่างโครงการที่ได้ดำเนินการร่วมกับบริษัทไบโอบอร์น จำกัด ทางผู้ประกอบการมีโจทย์ว่า มีวัตถุดิบคือผงไข่ขาว หรือ อัลบูมินอยู่ และต้องการพัฒนาเป็นอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยล้างไต พอได้โจทย์แบบนี้ สิ่งที่นักวิจัยต้องทำคือศึกษาข้อมูลก่อนว่า ผู้ป่วยล้างไตต้องการพลังงานปริมาณเท่าไหร่ นอกจากโปรตีนจากไข่ขาวแล้ว ยังต้องการสารอาหารอะไรในปริมาณสูง หรือต้องจำกัดสารอาหารประเภทใด เพื่อวางแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่เหมาะสม” ความท้าทายในการวิจัยไม่ใช่เพียงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ตอบโจทย์ผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ตัวผลิตภัณฑ์ยังต้อง ‘ได้รับความพึงพอใจ’ จากกลุ่มเป้าหมาย และตรงตามความต้องการของตลาด “ทีมวิจัยต้องไปดูด้วยว่ากลุ่มผู้ป่วยล้างไตชอบรสชาติแบบใด ต้องนำอัลบูมินมาเติมสารอาหารอะไรบ้าง เติมรสชาติอย่างไร ความเข้มข้นเท่าไหร่ กระทั่งเมื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบเสร็จ เรามีการนำไปทดสอบกับกลุ่มคนปกติก่อนว่า รสชาติ ความข้นหนืด เป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ ถ้าเป็นที่ยอมรับจะนำไปทดสอบในผู้ป่วยล้างไตอีกครั้งว่า ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมา ซึ่งปัจจุบันมี 5 รสชาติ และมีทั้งรูปแบบชงดื่มและซุปนั้น ผลิตภัณฑ์แบบใด รสชาติแบบไหน ที่เข้ากับผู้ป่วยล้างไตได้ดีที่สุด”   [caption id="attachment_30997" align="aligncenter" width="500"] ผลิตภัณฑ์ Albupro Plus ซุปไข่ขาวสำหรับผู้ป่วยล้างไต ชนิดผง[/caption]   ผลจากการร่วมวิจัยนำมาสู่ ผลิตภัณฑ์ Albupro Plus ซุปไข่ขาวสำหรับผู้ป่วยล้างไต ชนิดผง ซุปจากไข่ขาวเจ้าแรกในท้องตลาด โดยใช้ไข่ขาวสกัดด้วยกระบวนการพิเศษ ขจัดสารอะวิดินและไลโซไซม์ ทำให้ไม่ขัดขวางกระบวนการดูดซึมวิตามินบี รวมถึงมีโปรตีนอัลบูมินสูง ตรงตามความต้องการของผู้ป่วยล้างไต รศ. ดร.สุวิมล เล่าว่า จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ Albupro Plus คือเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ป่วยล้างไตโดยเฉพาะ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่ได้มีแค่โปรตีนสูง แต่ยังมีสารอาหารครบถ้วนทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ ในปริมาณที่เหมาะสม ตอบโจทย์ผู้ป่วยล้างไตที่มักจะเกิดภาวะ ทุพโภชนาการ อีกทั้งยังมีรสชาติอร่อย รับประทานง่าย และเป็นที่พึงพอใจของกลุ่มผู้ป่วย “การที่ ITAP สวทช. และ TCELS สนับสนุนทุนวิจัยให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้วิจัยร่วมกัน มีส่วนสำคัญอย่างมากในการผลักดันให้ผลงานวิจัยออกสู่เชิงพาณิชย์ได้จริง ไม่ต้องเก็บไว้บนหิ้ง อีกทั้งผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันที่เกิดขึ้นยังเกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อุตสาหกรรมผู้ผลิตไข่ก็ได้รับประโยชน์ ผู้ประกอบการได้ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ผู้ป่วยล้างไตได้รับผลิตภัณฑ์ที่ดี มีสารอาหารครบถ้วนในการเสริมโภชนาการ ขณะที่นักวิจัยก็ได้ใช้ความรู้ความสามารถในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์” ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Albupro Plus อยู่ระหว่างการขอรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการวิจัยทางคลินิก (Clinical Trial) ในกลุ่มผู้ป่วยโรคไตของโครงการฯ ต่อไป     ‘วิจัยเชิงคลินิก’ พิสูจน์คุณภาพผลิตภัณฑ์ ทุกวันนี้คุณประโยชน์หรือสรรพคุณของอาหารฟังก์ชันและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพส่วนใหญ่ล้วนมาจากการอ้างอิงงานวิจัยหรือข้อมูลสารสำคัญที่ใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น หากผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบของขิง จะเชื่อว่ามีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลิตภัณฑ์จะมีผลต่อร่างกายเช่นนั้นจริงหรือไม่ ต้องอาศัย ‘การวิจัยทางคลินิก’   [caption id="attachment_31000" align="aligncenter" width="750"] ผศ. ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล[/caption]   ผศ. ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าว่า การนำผลงานวิจัยถึงสารสำคัญต่างๆ มาใช้อ้างอิงไม่สามารถยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้ทั้งหมด เพราะอย่าลืมว่าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการจะนำสาระสำคัญหรือวัตถุดิบ ซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน มาผสมกับส่วนผสมต่างๆ และยังผ่านกระบวนการผลิต รวมถึงการเก็บรักษาที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นต่อร่างกายอาจจะแตกต่างกันไปด้วย การวิจัยเชิงคลินิกกับผลิตภัณฑ์โดยตรงจึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีผลต่อร่างกายตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ “งานวิจัยเชิงคลินิกเป็นงานวิจัยที่ศึกษาในมนุษย์ เป็นการศึกษาว่าหลังจากที่รับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งเข้าไปแล้ว ในระยะเวลาต่างๆ อาจเป็นการศึกษากลไกการดูดซึมหรือศึกษาผลที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับเข้าไปแล้วระยะเวลาหนึ่ง เช่น 30 วัน 60 วัน หรือ 120 วัน จะมีผลเปลี่ยนแปลงต่อระบบต่างๆ ของร่างกายอย่างไรบ้าง มีความปลอดภัยหรือไม่ มีผลต่อตับ ไต หรือเปล่า ยกตัวอย่างโครงการที่ทีมวิจัยทำร่วมกับบริษัทฟอร์แคร์ จำกัด ภายใต้การสนับสนุนของ ITAP และ TCELS ต้องการวิจัยว่าผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มดาร์กช็อกโกแลตผสมคาเคาออร์แกนิก (เมล็ดโกโก้ดิบ) มีผลช่วยพัฒนาในเรื่องของการผ่อนคลายสมอง ร่างกาย และช่วยให้ความทรงจำได้ดีขึ้นตามเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่” ในการทำงาน ทีมวิจัยได้ร่วมกันวางแผนออกแบบกระบวนการวิจัยเชิงคลินิกซึ่งต้องมีความรอบคอบอย่างมาก รวมทั้งยังมีการทดสอบและเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายในส่วนต่างๆ จากอาสาสมัครต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ “กลุ่มอาสาสมัครจะต้องบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น การรับประทานอาหาร การขับถ่าย การนอนหลับ รวมทั้งเรามีการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ความจำ การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ การตอบสนองของสมอง การเปลี่ยนแปลงของสารชีวเคมีต่างๆ เช่น ระดับคอเลสเตอรอล ไขมัน ตัวชี้วัดการอักเสบของร่างกายอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้วิเคราะห์ผล ซึ่งผลการวิจัยในเชิงคลินิกของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มดาร์กช็อกโกแลตผสมคาเคาออร์แกนิกที่นำมาทดสอบพบว่า ได้ผลค่อนข้างดี ที่เห็นได้ชัดคือช่วยให้ความจำดีขึ้น ความเหนื่อยล้าลดลง ความดันโลหิตลดลง แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ยังไม่เห็นผลชัดเจนตามที่ผู้ประกอบการตั้งเป้าไว้ ซึ่งทีมวิจัยได้ให้คำแนะนำถึงแนวทางปรับสูตรเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามเป้าหมายในอนาคต”   [caption id="attachment_30998" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มดาร์กช็อกโกแลตผสมคาเคาออร์แกนิก[/caption]   อย่างไรก็ดีกว่าจะได้ผลวิจัยเชิงคลินิกของผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผศ. ดร.ฉัตรภา สะท้อนถึงความยากในการวิจัยให้ฟังว่า ด้วยเป็นงานวิจัยในมนุษย์จึงต้องผ่านคณะกรรมการจริยธรรมก่อน ถึงจะทำการทดสอบได้ ซึ่งกว่างานวิจัยจะผ่านออกมาได้ต้องมีการตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีความปลอดภัย มีงานวิจัยที่รองรับสนับสนุน อีกทั้งกระบวนการต่างๆ มีทั้งการเจาะเลือด การบันทึกผลอย่างละเอียด ผู้เข้าร่วมโครงการต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี การออกแบบงานวิจัยต้องมีความรัดกุม กลุ่มเป้าหมายต้องมีจำนวนมากพอ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนตามที่ต้องการและมีความน่าเชื่อถือ “กระบวนการวิจัยเชิงคลินิกต้องใช้ระยะเวลานานและมีค่าใช้จ่ายในงานวิจัยสูง จึงเป็นเรื่องยากในการลงทุนของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การที่หน่วยงานภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนภาคเอกชนในการวิจัยเชิงคลินิกนับว่าเป็นประโยชน์มากที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาอาหารฟังก์ชันที่มีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย มีผลวิจัยที่ยืนยันถึงความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยรับรองถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ในการส่งออกไปยังต่างประเทศ นอกจากนี้ การที่ผู้ประกอบการได้ร่วมทำงานวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญ ยังช่วยให้กลุ่มวิจัยและพัฒนาของบริษัทได้ร่วมเรียนรู้ และนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ช่วยให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีต่อไปในอนาคต”     นวัตกรรมสร้างความต่าง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ในโลกยุคปัจจุบันที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างเร็ว ประกอบกับเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารในรูปแบบเดิมคงไม่เพียงพอ การใช้นวัตกรรมเพื่อต่อยอดสู่อาหารฟังก์ชันอาจเป็นหนทางที่สร้างความแตกต่างและโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอย่างก้าวกระโดด   [caption id="attachment_31001" align="aligncenter" width="450"] ดร.สรวง สมานหมู่ ผู้เชี่ยวชาญดำเนินโครงการวิจัย[/caption]   ดร.สรวง สมานหมู่ ผู้เชี่ยวชาญดำเนินโครงการวิจัย (ปัจจุบันเป็นอนุกรรมการสภาความร่วมมือด้านผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์แห่งประเทศไทย (MPCT) / คณะกรรมการบริษัท Cannabi Biosciences (ฮ่องกง ประเทศจีน) เล่าว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราแตกต่างจากสินค้าในตลาดทั่วไปก็คืองานวิจัย ซึ่ง ITAP สวทช. ได้ให้ทุนสนับสนุนการขับเคลื่อนงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์มาโดยตลอด และสำหรับการพัฒนาอาหารฟังก์ชัน พิเศษกว่า เมื่อ ITAP ได้ร่วมกับ TCELS ให้ทุนผู้ประกอบการในการพัฒนาส่วนผสมเชิงหน้าที่ (Functional Ingredient) จากผลผลิตทางการเกษตร เพื่อให้ได้สารชีวภาพที่ให้คุณสมบัติพิเศษสำหรับนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อาหารเสริมสุขภาพ อาหารฟังก์ชัน เครื่องสำอางและยา ซึ่งตรงตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ “ตัวอย่างงานวิจัยที่ได้พัฒนาให้ บริษัทแอดวาเทค จำกัด คือ Cell Synapse Enhancer เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นสาร Co-Supplement สำหรับใช้เติมในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ หรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพต่างๆ ซึ่ง Cell Synapse Enhancer มีสมบัติช่วยเพิ่มการดูดซึมสารสกัดจากธรรมชาติให้เข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น ดังนั้นในกลุ่มผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ เมื่อมีการเติม Cell Synapse Enhancer ลงในผลิตภัณฑ์แล้ว จะช่วยให้เติมสารสกัดจากธรรมชาติหรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพในปริมาณที่น้อยลง เพราะร่างกายดูดซึมได้มากขึ้น เรียกว่ารับประทานน้อยได้มาก ประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการผลิต อีกทั้งยังเป็นสารตั้งต้นที่นำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย”   [caption id="attachment_30999" align="aligncenter" width="750"] Cell Synapse Enhancer[/caption]   Cell Synapse Enhancer ได้รับรางวัลเหรียญทองจากงานประกวดนวัตกรรมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งได้มีการต่อยอดนำผลิตภัณฑ์ Cell Synapse ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทรีวาน่าของบริษัทอินนาเธอร์ จำกัด ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจนของบริษัท มานา เนเจอร์อินโนเวชั่น จำกัด  และมีพันธมิตรที่สนใจจะนำสาร Cell Enhancer ไปต่อยอดใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายผลิตภัณฑ์ ดร.สรวง เล่าว่า จากทุนของโครงการ ITAP สวทช. และ TCELS ช่วยสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ เป็นจุดเริ่มต้นในการวิจัย ทำให้ผู้ประกอบการและนักวิจัยร่วมกันผลักดันงานวิจัยให้ก้าวข้ามหุบเหวมรณะ (Valley of Death) สามารถพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ และยังต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่แตกกิ่งก้านสาขาได้เยอะมาก เป็นการเพิ่มมูลค่าความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ให้กลายเป็นสินค้า ที่นำรายได้กลับเข้าประเทศได้สำเร็จ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระของชาติ “หลังจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เราเริ่มเห็นผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อการวิจัยมากขึ้น ถามว่าทำไมต้องทำงานวิจัย เพราะว่างานวิจัยจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีมูลค่าเพิ่มขึ้นและแตกต่าง จากที่เคยแข่งขันกันในตลาดที่เรียกว่า Red Ocean ซึ่งเป็นตลาดที่มีของคล้ายๆ กัน มุ่งแข่งขันทางด้านราคา ซึ่งต้องบอกว่าใครสายป่านยาวคนนั้นก็ชนะ แต่วันนี้เราจะไม่พูดแบบนั้นแล้ว เพราะเราจะทำให้คนที่มีสายป่านสั้นๆ สามารถชนะในตลาดนี้ได้ด้วยนวัตกรรม เป็น Blue Ocean ฉะนั้นวันนี้ต้องถามตัวเองแล้วว่า เราจะยืนในพื้นที่ไหนระหว่างทะเลเลือด หรือว่ามหาสมุทรสีฟ้าที่กว้างใหญ่” ปลายทางความสำเร็จในการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถพัฒนาอาหารฟังก์ชันใหม่ๆ คงไม่ใช่แค่ตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารที่จะสร้างกำไรหรือโอกาสทางการตลาดให้แก่อุตสาหกรรมอาหารเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดประชาชนจะได้ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย และมั่นใจถึงความปลอดภัยได้อย่างแท้จริง  
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ตอนที่ 31 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=DgbIchJIzjE เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ระดับนานาชาติ และชาติ ดร.นิธิ อัตถิ ผลงานเรื่อง “FleXARs: antifouling film to protect your surface and shift the world” ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานบริหารสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งเอเชีย The Asia Nano Forum (ANF) ดร.วรายุทธ สะโจมแสง ผลงานเรื่อง “Polymer-Based Nanomaterials and Applications” ดร.อัชฌา กอบวิทยา ได้รับคัดเลือกให้เป็น SPIE Women in Optics ประจำปี 2022 ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผลงานเรื่อง “G.O. –SENSOR Screening for kidney disease” คุณสิรินทร อินทร์สวาท และคณะ ได้รับรางวัล ASEAN Energy Efficiency and Conservation Best Practice Awards 2020 ดร.คทาวุธ นามดี ผลงานเรื่อง “นาโนวัคซีนแบบจุ่ม โดยเลียนแบบเชื้อก่อโรคในปลา”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
REMI แชตบอตติดตามสุขภาพหญิงตั้งครรภ์จากทางไกล
จากปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ประกอบกับการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีหญิงตั้งครรภ์จำนวนหนึ่งหลุดจากระบบการตรวจติดตามสุขภาพโดยแพทย์ระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งการขาดการประเมินสุขภาพและการได้รับคำแนะนำจากสูตินารีแพทย์ตามการนัดหมาย อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เป็นอันตรายร้ายแรงแก่ทั้งแม่และทารกในครรภ์ อาทิ ครรภ์เป็นพิษ คลอดก่อนกำหนด การแท้ง   [caption id="attachment_30790" align="aligncenter" width="750"] ดร.พิมพ์วดี เชาวลิต อาหวาด ทีมวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช.[/caption]   [caption id="attachment_30791" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยแชตบอต "REMI"[/caption]   ดร.พิมพ์วดี เชาวลิต อาหวาด ทีมวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า หลังจากทีมวิจัยได้มีโอกาสรับทราบปัญหาจากสูตินารีแพทย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จึงได้ร่วมมือกันนำความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาวิจัยและพัฒนาระบบติดตามสุขภาพหญิงตั้งครรภ์จากทางไกล (Telemedicine) จนได้เป็น “REMI (Robot for Expecting Mother’s Information) ระบบตอบกลับอัตโนมัติ (แชตบอต) สำหรับหญิงตั้งครรภ์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์” “REMI แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือระบบสำหรับให้บริการหญิงตั้งครรภ์​ โดยหลังจากการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว แพทย์ผู้ดูแลจะเป็นผู้แนะนำการใช้งานระบบแชตบอตเพื่อใช้ติดตามประเมินสุขภาพตลอดช่วงตั้งครรภ์ การเริ่มต้นใช้งานผู้ใช้จะต้องลงทะเบียนและใส่รายละเอียดที่สำคัญ อาทิ น้ำหนัก ส่วนสูง อายุครรภ์ โรคประจำตัว หลังจากนั้นทุกสัปดาห์จึงเข้ามาบันทึกข้อมูลน้ำหนัก อาหารที่บริโภค รวมถึงการออกกำลังกาย เพื่อให้ระบบช่วยประเมินความเหมาะสมของน้ำหนักตามอายุครรภ์ เพราะน้ำหนักที่น้อยหรือมากเกินเกณฑ์อาจเป็นข้อบ่งชี้ถึงการมีโรคแทรกซ้อนหรือการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมาะสมได้ สำหรับการบริโภคของหญิงตั้งครรภ์ระบบจะช่วยแนะนำปริมาณพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน รวมถึงประเภทอาหารที่ควรบริโภคตามความเหมาะสมของแต่ละคน นอกจากนี้หากผู้ใช้งานมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ อาทิ อาหารที่ไม่ควรบริโภค การออกกำลังกาย การมีเพศสัมพันธ์ การบริโภคยา หรืออาการผิดปกติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ สามารถพูดคุยกับแชตบอตเสมือนพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่งเพื่อให้แชตบอตแนะนำข้อมูลทางด้านการแพทย์ รวมถึงข้อมูลสำหรับศึกษาเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตามแชตบอตไม่สามารถทำหน้าที่ประเมินอาการผิดปกติหรือโรคแทนแพทย์ผู้ดูแล”​     ดร.พิมพ์วดี อธิบายต่อว่า ส่วนที่สองของระบบ REMI คือส่วนของแพทย์ผู้ดูแล หลังจากหญิงตั้งครรภ์บันทึกข้อมูลเข้าระบบแล้ว เซิร์ฟเวอร์จะประมวลผลข้อมูลและแสดงผลไปยังแดชบอร์ด โดยจะแสดงข้อมูลของหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในการดูแลทุกคนพร้อมโคดสีที่สื่อถึงความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ อิงตามเกณฑ์การประเมินสุขภาพทางการแพทย์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตามผล และหากแพทย์ผู้ดูแลพบความผิดปกติสามารถแชตเพื่อพูดคุยกับหญิงตั้งครรภ์ผ่านระบบนี้ได้   “ระบบ REMI เป็นระบบการตรวจสุขภาพที่เหมาะแก่การใช้ประเมินสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์เบื้องต้นในช่วงที่ไม่มีความจำเป็นต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล ซึ่งนอกจากจะช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ดูแลตนเองได้มีประสิทธิภาพ ลดเวลา ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงในการติดโรคจากการเดินทางมายังสถานพยาบาล โดยเฉพาะในสภาวะวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 แล้ว ยังช่วยลดภาระงานให้กับแพทย์ได้อีกด้วย ปัจจุบันมีการทดสอบการใช้งานระบบ REMI แล้วที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และจะมีการประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการ รวมถึงพัฒนาให้ระบบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป” ดร.พิมพ์วดี ทิ้งท้ายว่า สำหรับผู้ที่สนใจทั้งผู้ประกอบการและสถานพยาบาล เนคเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีรวมถึงร่วมทำวิจัยเพื่อพัฒนาระบบ Telemedicine สำหรับให้บริการผู้ป่วยโรคต่างๆ เพื่อหนุนเสริมให้คนไทยเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขให้กับคนไทยตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติในปัจจุบัน          ผลงาน ‘REMI (Robot for Expecting Mother’s Information) ระบบตอบกลับอัตโนมัติ (แชตบอต) สำหรับหญิงตั้งครรภ์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์’ เป็นหนึ่งในผลงานที่เผยแพร่ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้หัวข้องาน ‘พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG’ ซึ่งในปีนี้จะมีการจัดงานแบบออนไลน์ในวันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ติดตามงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ตอนที่ 30 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/wwGEo_rnldA เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ระดับนานาชาติ และชาติ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน 9 ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ดร.จิตติ มังคละศิริ ได้รับเลือกเป็น Steering Committee ของ Life Cycle Initiative (UN environment) ดร.สมประสงค์ ทองคำ ผลงานเรื่อง “การเตรียมบล็อกโคพอลิเมอร์ฐานชีวภาพจากมอนอเมอร์เอทิลีนฟูราโนเอทแบบวงด้วยเทคนิคพอลิเมอร์ไรเซชันที่มีประสิทธิภาพสูงและควบคุมน้ำหนักโมเลกุลของพอลิเมอร์ได้สำหรับเส้นใยสีเขียว” ดร.อรอนงค์ หนูชูเชื้อ ผลงานเรื่อง “ผลของสารสกัดและสารไตรเทอพีนซาโปนินจากเชียงดาต่อการผลิตไนตริกอ็อกไซด์ของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดในสภาวะระดับน้ำตาลกลูโคสสูงจำลอง” ดร.ภาวินี นันตา ผลงานเรื่อง “Supercritical CO2-assisted spray-drying technique for porous starch microspheres fabrication and their applications as a carrier for drug delivery” ดร.ศรัณย์ อธิการยานันท์ ผลงานเรื่อง “การพัฒนาสารเคลือบทำความเย็นทางรังสีโดยมีอนุภาคไมโครสองชนิดเป็นองค์ประกอบ” ดร.วสันต์ ภัทรอธิค ผลงานเรื่อง “Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง” ดร.มนฤดี เลี้ยงรักษา ผลงานเรื่อง “กลไกเชิงโมเลกุลสำหรับการพัฒนาวัสดุคาร์บอนจากชีวมวลเป็นสารขั้วอิเล็กโทรดประสิทธิภาพสูงในอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน” และ “Deep-learning based identification of synergistic effects between herbal compounds and conventional chemotherapeutic agents” ดร.จามร เชวงกิจวณิช ผลงานเรื่อง “การพัฒนาตัวเร่งปฎิกิริยาไทเทเนียมไดออกไซด์เจือด้วยกราฟีนออกไซด์ที่ตอบสนองต่อแสงที่ตามองเห็น เพื่อบำบัดไมโครพลาสติกในน้ำทะเล” ดร. อรรณพ คล้ำชื่น และคณะ ผลงานเรื่อง “วัสดุคอมโพสิตนาโนซิลิกาและคาร์บอนกัมมันต์จากแกลบ: วัสดุแอโนดศักยภาพสูงสำหรับแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไออนเพื่อยานยนต์ไฟฟ้า”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
จบปัญหามะนาวแพง ! “มะนีมะนาว” นวัตกรรมน้ำมะนาวแช่แข็งเกรดพรีเมียมในราคาจับต้องได้
  “มะนาวราคาผันผวน” คือ ปัญหาที่เกษตรกร ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้บริโภคต้องเผชิญกันเป็นประจำเกือบทุกปี เพราะประเทศไทยไม่ได้ปลูกมะนาวได้ดีทุกฤดูกาล ตรงข้ามกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีอยู่ตลอด ช่วงมะนาวติดดอกออกผลมากจนล้นตลาดราคาก็ตกต่ำ ช่วงนอกฤดูกาลก็ต้องพึ่งพาสารเคมีให้ออกผล จนต้นทุนการผลิตพุ่งสูงลิ่ว จะดีกว่าไหม ถ้ามีทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตได้ราคาดีในช่วงฤดูกาล และมีผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวคุณภาพเยี่ยมให้ผู้บริโภคได้รับประทานแบบปลอดภัยในราคาที่จับต้องได้ตลอดทั้งปี   ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์ “มะนีมะนาว” ให้เก็บในช่องแช่แข็งได้นาน 2 ปี และเก็บในช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน โดยคงกลิ่นและรสชาติที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสด เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงน้ำมะนาวสำเร็จรูปคุณภาพสูงที่มีราคาใกล้เคียงกับการใช้มะนาวผลสดในช่วงราคาปกติ   [caption id="attachment_30755" align="aligncenter" width="750"] ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีบริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เป็นผู้ผลิตน้ำมะนาวแช่แข็งเพื่อจำหน่ายแบบ B2B ให้แก่ร้านอาหารเชนใหญ่ที่มีห้องแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาวัตถุดิบเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่บริษัทติดปัญหาว่าไม่สามารถขยายการจำหน่ายไปยังผู้ประกอบการรายย่อยหรือผู้บริโภคทั่วไป เพราะแม้ผลิตภัณฑ์จะมีกลิ่นและรสชาติดี แต่มีจุดอ่อนเรื่องอายุการใช้งานหลังนำออกจากห้องแช่แข็งสั้น ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้หมดภายใน 1-2 วัน ทางบริษัทจึงได้ร่วมมือกับทีมวิจัยในการคิดค้นกระบวนการยืดอายุผลิตภัณฑ์ “โดยทั่วไปน้ำมะนาวคั้นสดที่มีการจำหน่ายในตลาดจะผ่านกระบวนการการพาสเจอไรซ์หรือใช้ความร้อนในการหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้น้ำมะนาวเสียสภาพ เพื่อยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้เก็บรักษาได้นานขึ้น แต่วิธีการนี้มีจุดอ่อนสำคัญคือทำให้น้ำมะนาวมีกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนกับน้ำมะนาวคั้นสด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นัก ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสด โดยใช้ความเย็นระดับเยือกแข็งในการปรับเปลี่ยนรูปร่างของเอนไซม์ในน้ำมะนาวไม่ให้สามารถทำงานได้ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยืดอายุด้วยวิธีนี้จัดเก็บที่อุณหภูมิ -18°C หรือช่องแช่แข็งได้นานถึง 2 ปี และจัดเก็บที่อุณหภูมิ 0-5°C หรือช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ยังคงจุดแข็งของแบรนด์มะนีมะนาวในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสดเอาไว้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”   [caption id="attachment_30756" align="aligncenter" width="750"] วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด[/caption]   วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด อธิบายเสริมข้อมูลว่า มะนาวที่นำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ เป็นมะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องรสชาติคงที่ น้ำเยอะ ไร้เมล็ด อีกทั้งต้นมะนาวยังแข็งแรงทนทานต่อโรค ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีในการดูแล ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้เป็นเรื่องดีต่อทั้งบริษัท เกษตรกร และผู้บริโภค อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเกษตรกรไม่ค่อยนิยมปลูกมะนาวพันธุ์นี้เท่าไหร่นัก เพราะขาดกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการผลผลิตอย่างชัดเจน และยังต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาตลาดในแต่ละปี “ทางบริษัทจึงได้ทำสัญญารับซื้อกับเกษตรกร โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกษตรกรเครือข่ายหลายร้อยครัวเรือนในภาคเหนือช่วยดำเนินการผลิตมะนาวสายพันธุ์นี้ตามมาตรฐานเกษตรปลอดภัยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แล้วจัดส่งให้แก่บริษัทเพื่อนำผลผลิตมะนาวคุณภาพดีมาใช้ผลิตสินค้ามาตรฐาน GMP และ HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการส่งออกระดับสากล”   [caption id="attachment_30753" align="aligncenter" width="750"] มะนาวพันธุ์ตาฮิติ[/caption]   วิริยาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหลังจากร่วมทำวิจัยกับนาโนเทค สวทช. จนสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว บริษัทจึงได้วางจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศในราคาที่จับต้องได้ และล่าสุดบริษัทได้ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีมาตรฐานการนำเข้าสินค้าสูงมากสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวได้รับการยอมรับจากเชฟอาหารไทยในญี่ปุ่นทั้งด้านความคงที่ของรสชาติและความสะดวกในการใช้งาน หลังจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการทำตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีร้านอาหารไทยต่อไป “การยกระดับผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ไม่เพียงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจให้เติบโต แต่ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ลดการใช้สารเคมี เพิ่มคุณภาพชีวิต ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีทางเลือกในการจับจ่ายน้ำมะนาวคุณภาพดีมาใช้ประกอบอาหารมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในอนาคตผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวอาจเป็นหนึ่งในสินค้าไทยที่สามารถตีตลาดอาหารโลกก็เป็นได้”   [caption id="attachment_30751" align="aligncenter" width="750"] มะนีมะนาว[/caption]   ผลงานการวิจัยกระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์มะนีมะนาวเป็นหนึ่งในผลงานที่เผยแพร่ใน “งานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022)” ภายใต้หัวข้องาน “พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG” ซึ่งในปีนี้จะมีการจัดงานแบบออนไลน์ในวันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ติดตามงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘เอนก’ ขนทัพนักวิจัย สวทช. มหาวิทยาลัย จับมือภาคเอกชน ปูพรมพัฒนาคุณภาพชีวิต 5 จังหวัด พื้นที่ ‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG
For English-version news, please visit : NSTDA brings technology and innovation to enhance the quality of life in Thung Kula Ronghai รัฐมนตรีฯ กระทรวง อว. นำนักวิจัย สวทช. ถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม  สู่ชุมชน ต่อยอดเทคโนโลยีนาโน เพื่อยกระดับผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเป็นการพัฒนาฐานทุนเดิมที่เป็นจุดแข็งของทุ่งกุลาร้องไห้ให้มีความโดดเด่นและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นช่องทางทางการตลาดและรายได้แก่ประชาชน พร้อมกันนี้ สวทช. ยังส่งเสริมการปลูกพืชหลังนา อย่าง ‘ถั่วเขียว’ ซึ่งได้ร่วมพัฒนาพันธุ์กับเครือข่ายมหาวิทยาลัย และภาคเอกชน โดยนำเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวมาสนับสนุนแก่กลุ่มเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาฯ และมีการประกันราคารับซื้อจากภาคเอกชนเพื่อให้ประชาชนสร้างอาชีพและมีรายได้ตลอดทั้งปี สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้ประชาชนอยู่ดี กินดี คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีรายได้เพิ่มพ้นความยากจน (เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2565) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ : ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศ. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. ผศ. ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรี อว. ดร.กิติพงษ์ พร้อมวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมด้วยผู้บริหาร สวทช. นำโดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมลงพื้นที่พบปะและแลกเปลี่ยนความรู้กับประชาชนในพื้นที่ ภายใต้กิจกรรม สวทช. เสริมแกร่งภูมิภาค ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG “ขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” ณ จ.ศรีสะเกษ ระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม 2565 @ ยกระดับผลิตภัณฑ์สิ่งทออัตลักษณ์พื้นถิ่น ผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมBCG ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความยากจน โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ สวทช. และหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ลงพื้นพื้นที่ภายใต้แผนงาน “ขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” โดยเฉพาะมิติทางด้านเศรษฐกิจและรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยโสธร และสุรินทร์ เนื่องจากพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์และต่างมีภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าที่เข้มแข็ง ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น ผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ยังมีความงดงามตามวิถีอันเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ดังเช่น ‘ผ้าทอเบญจศรี’ ของดีศรีสะเกษ ที่นำเอาวัตถุดิบสำคัญของจังหวัดมาใช้ย้อมสีไหมหรือฝ้ายเพื่อสร้างผ้าทอที่คงคุณค่าความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน รวมไปถึงลวดลาย ซึ่งนำเอาวัฒนธรรม วิถีชีวิต มาเป็นลวดลายเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตามแม้พื้นที่ทุ่งกุลาฯ จะโดดเด่นด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม แต่ด้วยปัญหาภัยธรรมชาติ และสินค้าภูมิปัญญาที่ยังไม่ตอบโจทย์ตลาด ดังนั้นกระทรวง อว. โดย สวทช. ได้นำนวัตกรรมมาถ่ายทอดสู่ชุมชนบนพื้นฐานอัตลักษณ์ของชุมชน เช่น การใช้เอนไซม์เอนอีซ "ENZease" สารจากธรรมชาติที่ช่วยทำความสะอาดและลอกแป้งออกจากเส้นใยในขั้นตอนเดียว ทำให้ย้อมสีธรรมชาติได้ดีขึ้น สีสวย สม่ำเสมอ และยังช่วยลดต้นทุน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังได้สร้างมูลค่าเพิ่มโดยการใช้นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี มาเพิ่มสมบัติพิเศษต่างๆ เช่น ความนุ่มลื่น การป้องกันรังสียูวี การยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงการเติมกลิ่นหอม โดยนำ ‘กลิ่นดอกลำดวน’ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษมาเติมลงในผ้าทอเบญจศรี เพื่อสร้างเสน่ห์และอัตลักษณ์ให้กับผ้าทอของจังหวัดศรีสะเกษ นอกจากนี้ยังมีการเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ณ กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ซึ่ง สวทช. ได้เชื่อมประสานกับสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษในเรื่องของดีไซน์ต่างๆ และเทคโนโลยีกี่ทอมืออัตโนมัติที่เข้ามาช่วยจดจำลวดลายและเพิ่มกำลังการผลิต การนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาให้แนะนำการออกแบบลายผ้า รวมถึงการตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีรูปแบบที่ทันสมัยตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของการอนุรักษ์ภูมิปัญญา ศูนย์เนคเทค สวทช. นำแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลแบบดิจิทัลเข้ามาช่วยในการเก็บรักษาฐานข้อมูลและรูปภาพในเรื่องลายผ้าต่างๆ ไว้ให้ลูกหลานสืบสาน รักษา ต่อยอดลายผ้าจากรุ่นสู่รุ่น รวมทั้งใช้เป็นฐานทุนทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าควรค่าแก่การอนุรักษ์และเชื่อมโยงสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวบนฐานความรู้ได้อีกด้วย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำหรับการยกระดับผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ นักวิจัย สวทช. นำพัฒนาเทคโนโลยีด้านไบโอเทคโนโลยีที่เรียกว่านวัตกรรม เอนไซม์เอนอีซ (ENZease) ซึ่งผลิตได้จากการหมักเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรโดยใช้จุลินทรีย์ที่คัดเลือกคลังจุลินทรีย์กว่า 80,000 สายพันธุ์ของ สวทช. โดยจุลินทรีย์นี้สามารถทำงานได้ดีในช่วงค่าพีเอช (pH) และอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกัน คือ pH 5.5 และที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เอนไซม์เอนอีซ มีจุดเด่นสำคัญคือ ไม่ส่งผลเสียต่อคุณภาพความแข็งแรงของผ้า สามารถลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกบนผ้าได้พร้อมกันในขั้นตอนเดียวช่วยประหยัดเวลา ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนในการผลิต และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยถนอมคุณภาพของผ้าให้คงคุณภาพสูง ผ้าไม่ถูกทำลายเหมือนการใช้สารเคมี นอกจากนั้นแล้ว นักวิจัย สวทช. ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มโดยการใช้นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี มาเพิ่มสมบัติพิเศษต่างๆ เช่น ความนุ่มลื่น การป้องกันรังสียูวี การยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงการเติมกลิ่นหอม ‘ดอกลำดวน’ ในระดับนาโนแคปซูลกลิ่นดอกลำดวนจะเกิดการปล่อยกลิ่นเมื่อมีการสัมผัสกซึ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าไหมของจังหวัดศรีสะเกษ @ ยกระดับรายได้จากอาชีพเสริมพืชหลังนา จากนั้น (วันที่13มีนาคม) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่พบปะแลกเปลี่ยนความรู้ สวทช.กับประชาชน ด้วยโมเดลBCG ขับเคลื่อนโปรแกรมยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จ.ศรีสะเกษ มีนายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายนพ พงศ์พลาดิสัย นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายชัยยงค์ เมธาสุรวิทย์ นายอำเภอราษีไศล นายวิชัย ศรีโพธิ์งาม เกษตรจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และเครือข่ายเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ (กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน ตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ ร่วมให้การต้อนรับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สวทช. ยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาสายพันธุ์ถั่วเขียวที่ให้ผลผลิตสูง มีความต้านทานต่อโรคราแป้งและใบจุด และถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรทั้งกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ และเกษตรกรผู้ผลิตถั่วเขียวเข้าโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งแต่สายพันธุ์ การบริหารจัดการแปลง การจัดการโรคและแมลง การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2563 ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดสุรินทร์ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 100 คน พื้นที่ปลูก 500 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 120 -150 กิโลกรัมต่อไร่ สร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรเฉลี่ย 2,600 – 3,300 บาทต่อไร่ ซึ่งการปลูกพืชถั่วเขียว เป็นพืชหลังการเก็บเกี่ยวข้าวในนาข้าวแล้ว เป็นการเสริมรายได้ให้เกษตรกร และเป็นหนึ่งในแผนงานของโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและกลุ่มคนจนเป้าหมายในมิติเศรษฐกิจ โดยมี สวทช. ขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้และเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ โดยเชื่อมโยงกับภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) มีปริมาณการรับซื้อ 1,000 ตันต่อปี และบริษัท กิตติทัต จำกัด มีปริมาณการรับซื้อ 3,500 ตันต่อปี เพื่อให้มีผลผลิตถั่วเขียวที่เพียงพอ ต่อความต้องการของตลาดต้องการพื้นที่ปลูก จำนวน 30,000 ไร่ (ผลผลิตเฉลี่ย 150 กิโลกรัมต่อไร่) “กระทรวง อว. ยังเดินหน้านำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้าไปช่วยขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในมิติต่างๆ โดยใช้ TPMAP ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนได้ตรงจุดและรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีต่างๆ ไปช่วยเพิ่มศักยภาพและเพิ่มมูลค่าของสินค้าเกษตร การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้มีรายได้ที่นำพาให้คนทุ่งกุลาร้องไห้หลุดพ้นความยากจนได้” รัฐมนตรีกระทรวง อว. กล่าว ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานและผลผลิต ในฤดูกาลผลิตถั่วเขียว ปี 2564/2565 สวทช. ได้ร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และสำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานส่งเสริมการปลูกถั่วเขียวหลังนานำร่องในพื้นที่เป้าหมายในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ จำนวน 2,161 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 317 คน ได้แก่ 1. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมขยายพันธุ์ข้าว ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ 2. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนบ้านโนนสวรรค์ ตำบลทุ่งหลวง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 3. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานบ้านหนองฮี ตำบลเมืองเตา อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 4. กลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนยั่งยืนน้ำอ้อม ตำบลน้ำอ้อม อำเภอค้อวัง จังหวัดยโสธร และ 5. กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ รวมทั้งเกษตรกรเครือข่ายในพื้นที่ 5 จังหวัดทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเชื่อมโยงกับบริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) ในการรับซื้อผลผลิต จำนวน 1,679 ไร่ คาดว่าเมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะได้ผลผลิตถั่วเขียว จำนวน 324 ตัน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรไม่ต่ำกว่า 7.13 ล้านบาท    
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์