หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
“สุรศักดิ์” แถลงความสำเร็จนโยบาย Quick Win อว. : 60 วันแห่งความสำเร็จ ชู 5 ผลงานเด่น มุ่งประโยชน์พี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม
“สุรศักดิ์” แถลงผลสำเร็จนโยบาย Quick Win อว. : 60 วันแห่งความสำเร็จ ชู 5 ผลงานเด่น  “โดรนคนละครึ่งพลัส – วิทย์พิชิตภัยช่วยน้ำท่วมใต้ - มหาวิทยาลัยสีเขียว - Upskill–Reskill ช่วยคนตกงาน – AI วันที่ 8 ธันวาคม 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าว “Quick Win อว. : 60 วันแห่งความสำเร็จ” โดยมี น.ส.พิมพ์พร ชีวานันท์ เลขานุการ รมว.อว. ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. น.ส.วราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวง อว. ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวง อว. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. และผู้บริหารหน่วยงานกระทรวง อว. เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวง อว. (อาคารโยธี) นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้แถลงนโยบายเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง รมว.อว. เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมาว่าจะเร่งดำเนินนโยบาย Quick Win เพื่อให้เกิดผลงานเป็นรูปธรรมแก่ประชาชนโดยเร็วที่สุด จนถึงวันนี้ครบ 2 เดือน หรือ 60 วันพอดี ตนได้ดำเนินการตามนโยบาย Quick Win ที่ประกาศไว้เป็นผลสำเร็จ โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มแรก “วิจัยติดดิน กินได้” ดำเนินโครงการ “โดรนคนละครึ่งพลัส สู่สมาร์ทฟาร์มมิ่ง” เพื่อช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้ได้ประโยชน์ "4 ลด" คือ ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้แรงงาน ลดเวลาในการทำงาน และลดความเสี่ยงสารเคมีต่อสุขภาพ และ "4 เพิ่ม" คือ เพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพิ่มรายได้เกษตรกร เพิ่มความแม่นยำในการพ่น/หว่าน และเพิ่มคุณภาพชีวิตเกษตรกร โดยโครงการนี้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่ผ่านมา นำร่องใน 3 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และปทุมธานี มีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 3,300 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 1 แสนไร่ กลุ่มที่สอง “วิทย์พิชิตภัย” ในสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ได้สั่งการให้ GISTDA ใช้ดาวเทียม THEOS-1 และ THEOS-2 รวมทั้งเครือข่ายโลก (Disaster Charter) ชี้พิกัดน้ำท่วมและจุดวิกฤต พร้อมส่ง “แผนที่นำทางน้ำท่วม” สนับสนุนการกู้ภัยแบบแม่นยำ ขณะเดียวกันให้ สสน. ใช้ “คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ (ThaiWater)” และโทรมาตร วิเคราะห์และเตือนภัยล่วงหน้า 24–48 ชั่วโมง พร้อมจัดตั้ง War Room ชี้เป้าเมืองหาดใหญ่เพื่อติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องทั้งในช่วงน้ำท่วมและช่วงการฟื้นฟู นอกจากนี้ยังใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue รวมคำร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและป้องกันการตกหล่นของความช่วยเหลือจากภาครัฐ รวมทั้งใช้ GeoAI ช่วยฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่ กู้วิกฤตน้ำท่วม และระดมทีมเทคโนโลยีให้ความช่วยเหลือประชาชน กลุ่มที่สาม “มหาวิทยาลัยสีเขียวสู่ Net Zero ปี 2050” ดำเนินโครงการ “จากครัว…สู่เครื่อง” ด้วยการนำน้ำมันพืชที่ใช้แล้วมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน ร่วมกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) โดยมีเป้าหมายให้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศเป็นกลไกสำคัญและเป็นต้นแบบในการจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ กระทรวง อว. ได้สนับสนุนการตั้งจุดรวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้วในมหาวิทยาลัยนำร่องกว่า 20 แห่งทั่วประเทศเพื่อนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยาน กลุ่มที่สี่ “Upskill–Reskill ครั้งใหญ่” ช่วยคนตกงาน พลิกโฉมแรงงานไทยสู่ตลาดงานยุคใหม่ กระทรวง อว. ได้เปิดโครงการ Upskill-Reskill ผ่านมหาวิทยาลัย หน่วยวิจัย ศูนย์เรียนรู้ และแพลตฟอร์มทั่วประเทศในสาขาที่มีความจำเป็นเร่งด่วน อาทิ ไมโครอิเล็กทรอนิกส์, วิทยาการข้อมูลเชิงพื้นที่, ระบบราง, ดิจิทัล และ AI ด้านสุขภาพ เป็นต้น มีทั้งหลักสูตรเสริมทักษะเร่งด่วน และหลักสูตรระยะสั้นแต่ได้ผลระยะยาว ผ่านหลักสูตรแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เพื่อช่วยคนตกงานกลับสู่ตลาดแรงงานและยกระดับสู่แรงงานสมรรถนะสูง โดยในปี 2568 สามารถพัฒนาทักษะให้กับแรงงานรวม 543,646 คน กลุ่มที่ห้า “AI love U (เอไอเลิฟยู) เร่งพลังอนาคตไทย Accelerating the Future” ได้ลงนามประกาศกระทรวง อว. เรื่อง “แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในหลักสูตรการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2568” เพื่อยกระดับการศึกษาให้ทันสมัย รองรับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เป้าหมายคือสร้างบัณฑิตที่มีทักษะพร้อมใช้ AI ควบคู่กับการพัฒนาระบบนิเวศการศึกษาไทย โดยประกาศนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2568 นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการนำ AI มาใช้ประโยชน์ในหลายด้าน เช่น การเฝ้าระวังสุขภาพปอดเชิงรุกด้วย AI Chest X-ray เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงการตรวจสุขภาพปอดของประชาชนอย่างเท่าเทียม โดยจะขยายสู่ 300 โรงพยาบาล คัดกรองประชาชนในพื้นที่ห่างไกลมากกว่า 300,000 คน อีกทั้งโครงการ “AI คนละครึ่ง” ช่วยสนับสนุนค่าใช้บริการ AI ไทย 50% ให้บริษัทเจ้าของนวัตกรรมภายในเวลาไม่เกิน 1 ปี รวมถึงสนับสนุนโครงการ Super AI Engineer ซึ่งปีล่าสุดมีผู้สมัครกว่า 12,000 คน และก่อให้เกิดผลงานประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์หลายร้อยโครงการ “AI คือ ‘อนาคต’ และกระทรวง อว. คือ ‘สะพานเชื่อม’ สู่โลกยุคใหม่ แคมเปญ AI love U คือการ ‘สร้างคน’ ให้พร้อมกับเศรษฐกิจ AI ตั้งแต่เยาวชน นักศึกษา สตาร์ทอัพ จนถึง SMEs ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แนวคิด ‘ก้าวสู่อนาคตใหม่’ ด้วยนโยบายที่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เพื่อให้ประเทศไทยพร้อมแข่งขันอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายสุรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. วางพวงมาลา ถวายสักการะเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันที่ 8 ธันวาคม 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นำคณะผู้บริหาร และพนักงาน สวทช. วางพวงมาลาถวายสักการะเบื้องหน้าพระโกศ พระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อถวายความอาลัยพระเกียรติสูงสุด และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการประชุมวิชาการข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 6
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการประชุมวิชาการข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 6 การประชุมเวทีข้าวไทย ปี 2568 งาน Thailand Rice Fest 2025 และงาน Thailand Coffee Fest 2025 (5 ธันวาคม 2568) อิมแพ็ค เมืองทองธานี – สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการประชุมวิชาการข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ภายใต้หัวข้อ “ข้าวเปลี่ยนวิถี อาหารเปลี่ยนโลก” การประชุมเวทีข้าวไทย ปี 2568 งาน Thailand Rice Fest 2025 และงาน Thailand Coffee Fest 2025 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งจัดโดย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ บริษัท คลาวด์แอนด์กราวนด์ จำกัด และหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ โอกาสนี้ คณะผู้บริหารจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช. และคณะผู้บริหารจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ได้แก่ ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รองผู้อำนวยการ ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รองผู้อำนวยการ และ ดร.มีชัย เซี่ยงหลิว นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ได้เข้าร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ ภายในงาน ไบโอเทค สวทช. ได้จัดแสดงนิทรรศการ “ข้าวคาร์บอนต่ำและพันธุ์ข้าวรักษ์โลกสู่อนาคตยั่งยืน” นำเสนอความก้าวหน้าด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวผลผลิตสูง และระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมแสดงเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติจริงที่สามารถนำไปใช้ในแปลงนาข้าวได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยนำเสนอสายพันธุ์ข้าวผลผลิตสูง ได้แก่ • พันธุ์หอมสยาม: ข้าวหอมไทยคุณภาพพรีเมียม หอม นุ่ม ให้ผลผลิตสูงถึง 800 กิโลกรัม/ไร่ ปลูกฤดูนาปี ต้นเตี้ย ทนแล้ง • พันธุ์หอมสยาม 2: ข้าวหอมไทยคุณภาพพรีเมียม หอม นุ่ม ผลผลิต 660 กิโลกรัม/ไร่ ปลูกฤดูนาปี ทนน้ำท่วมฉับพลัน ภายในนิทรรศการยังมี ข้าวสวยหุงสด จากข้าวสายพันธุ์ดั้งเดิม (พันธุ์ กข15 และพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105) และข้าวพันธุ์ปรับปรุงผลผลิตสูง (พันธุ์หอมสยาม และพันธุ์หอมสยาม 2) เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เปรียบเทียบลักษณะรสชาติ พร้อมเปิดโอกาสให้ร่วมให้คะแนนและแสดงความคิดเห็น นิทรรศการยังนำเสนอความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแปลงนา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดก๊าซมีเทน (CH4) ที่สำคัญ พร้อมแนะนำแนวทางการทำนาอย่างยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (Alternate Wetting and Drying - AWD) ผ่านกรณีศึกษา “ข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1” ซึ่งแสดงผลว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้มากถึง 46% เมื่อปลูกภายใต้ระบบ AWD นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงเครื่องมือและเทคโนโลยีสำหรับวัดก๊าซเรือนกระจกในแปลงนา ได้แก่ •ตู้ระบบปิด: ติดตั้งเซนเซอร์สำหรับตรวจวัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซมีเทน (CH4) แบบอัตโนมัติ •เครื่องตรวจสภาวะอากาศขนาดเล็ก: สำหรับบันทึกข้อมูลระดับน้ำและอุณหภูมิ การจัดแสดงนี้สะท้อนบทบาทสำคัญของ สวทช. ในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาพัฒนาภาคการเกษตรไทยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งด้านผลผลิต ความยั่งยืน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไทย ร่วมกำหนดทิศทาง APASTI 2026-2035 ในเวที Cyberjaya Summit 2025 สร้างความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันในอาเซียน
วันที่ 3 ธันวาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย – ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับเกียรติเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำระดับสูง Cyberjaya Conversations Summit 2025 ณ ศูนย์การประชุมกัวลาลัมเปอร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย ภายใต้หัวข้อ “Achieving ASEAN Sustainable Competitiveness Beyond 2025” โดยมี YAB Dato’ Seri Dr. Ahmad Zahid bin Hamidi รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย YB Tuan Chang Lih Kang เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (MOSTI) สหพันธรัฐมาเลเซีย และ H.E. Dr. Kao Kim Hourn เลขาธิการสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) เข้าร่วมการประชุม ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ "APASTI 2026-2035: Mobilising ASEAN for a Shared Future" เพื่อร่วมกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ของ แผนปฏิบัติการอาเซียนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (APASTI) ฉบับถัดไป โดยได้นำเสนอ 3 ยุทธศาสตร์หลักที่ประเทศไทยพร้อมผลักดันและร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ การใช้ SDGs เป็นหมุดหมายหลักของการวิจัยร่วม เน้นการปฏิบัติจริงโดยมีแผนปฏิบัติการ APASTI เป็นหัวใจสำคัญ โดยกำหนดรายละเอียดของแผนการดำเนินงานร่วมกันของอาเซียนให้ชัดเจนและพร้อมใช้งานได้จริงในทุกขั้นตอน สามารถวัดผลได้และมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับความหลากหลายของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อให้วิสัยทัศน์ที่วางไว้สามารถแปรเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศสมาชิกได้อย่างแท้จริง และการร่วมกันพัฒนากำลังคนของอาเซียนให้มีความพร้อมสำหรับโลกแห่งอนาคต พร้อมทั้งได้เชิญชวนบัณฑิตและนักวิจัยรุ่นใหม่ในอาเซียนมาร่วมฝึกอบรมและทำวิจัยกับ สวทช. รวมถึงได้แบ่งปันประสบการณ์ในการพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษและอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย และการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมที่ครอบคลุม เพื่อแก้ไขปัญหาช่องว่างทางทักษะให้กับภูมิภาค และแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเป็นผู้เล่นหลักในการขับเคลื่อน APASTI 2026-2035 ให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความเจริญเติบโตอย่างเท่าเทียมและยั่งยืนให้กับประชาคมอาเซียนในทศวรรษหน้า ในการเสวนา ได้เน้นย้ำถึงการมีเป้าหมายร่วมของภูมิภาคเพื่อนำผลงานวิจัย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ให้เกิดผลได้จริงเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร ลดความเหลื่อมล้ำ และเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาค ด้วยการเฟ้นหาจุดแข็งของอาเซียนเพื่อกำหนดเป็นแผนการดำเนินงานและเป้าหมายร่วมกันผ่าน APASTI ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างประเทศสมาชิกให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยการลงมือทำและมีการวัดผลร่วมกันอย่างจริงจัง แผนปฏิบัติการอาเซียนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (APASTI) คือ แผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคของอาเซียน ที่เป็นกรอบทิศทางเชิงกลยุทธ์สำหรับความร่วมมือด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (STI) ของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมด เป็นการกำหนดลำดับความสำคัญและเป้าหมายร่วมกันในด้าน STI เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน เป็นกลไกหลักในการส่งเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน ทั้งในด้านการวิจัย การพัฒนาบุคลากร การถ่ายโอนเทคโนโลยี และการสร้างเครือข่ายระหว่างสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และภาคอุตสาหกรรมในอาเซียน มุ่งเน้นการใช้ STI เพื่อแก้ไขปัญหาความท้าทายในภูมิภาคและการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของภูมิภาค (Regional Resilience) รวมถึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนอาเซียนให้เป็นภูมิภาคที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven region) การประชุม Cyberjaya Conversations Summit เป็นแพลตฟอร์มระหว่างผู้นำภาครัฐและภาคเอกชน ที่มาเลเซียจัดขึ้นให้เกิดการรวมกลุ่มของผู้นำทางความคิด ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำอุตสาหกรรม ได้เข้าร่วมกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนของอาเซียน โดยมีแนวคิดหลักเพื่อการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (STI) ในภูมิภาค การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และความร่วมมือที่มีความหมาย ที่เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนของอาเซียนในระยะยาว
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมงาน 5 ธันวาคม ดนตรีในสวน: H.M. Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อ เทิดพระเกียรติ รัชกาลที่ 9
  เมื่อช่วงเย็นวันที่ 5 ธันวาคม 2568 ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงาน "ดนตรีในสวน: H.M. Song อว. บรรเลงเพลงของพ่อ" เพื่อเทิดพระเกียรติพ่อแห่งแผ่นดิน ในหลวงรัชกาลที่ 9 อัครศิลปินผู้เปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพด้านดนตรี และให้ประชาชนร่วมดื่มด่ำบทเพลงอันทรงคุณค่า บทเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้และถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมถึงเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยงานนี้ได้จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 และมีการจัดงานทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ น.ส.วราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวง อว. เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และมี รองศาสตราจารย์ ดร.สิทธิเดช พงศ์กิจวรสิน รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายเอกพงศ์ มุสิกะเจริญ ผู้อำนวยการ กองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวง อว., ผู้บริหารกระทรวง อว. ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), รวมถึงผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ เข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก แม้ว่าจะมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ประชาชนยังทยอยเดินทางมาเข้าร่วมงานอย่างต่อเนื่องและคับคั่ง ท่ามกลางบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่วงดนตรีจากสถาบันอุดมศึกษาร่วมกันบรรเลง ต่อมาเวลา 18.00 น. ประชาชนที่มาร่วมงาน ณ อุทยาน 100 ปีฯ และในสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดกระทรวง อว. ทั่วประเทศที่จัดงานพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ร่วมกันร้องเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีจอมราชา และเพลงพระราชนิพนธ์ “แผ่นดินของเรา” อย่างกึกก้องเพื่อเทิดพระเกียรติ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อเหล่าปวงชนชาวไทย น.ส.วราภรณ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ งานนี้ยังทำให้เห็นชัดเจนว่าศักยภาพของนิสิต นักศึกษาไทยไม่ได้มีแค่ด้านวิชาการ แต่ยังโดดเด่นด้านดนตรีและศิลปวัฒนธรรมด้วย เยาวชนได้ใช้โอกาสสำคัญนี้เรียนรู้เรื่องพระราชวงศ์ ผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์และเรื่องราวพระราชกรณียกิจ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในสถาบันพระมหากษัตริย์ และแรงบันดาลใจในการนำความรู้ความสามารถของตนไปพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป ภายในงาน สวทช. ได้ร่วมนำผลงานวิจัยและพัฒนาของ BIOTEC NANOTEC รวมถึงพันธมิตร เข้าร่วมจัดกิจกรรม ประกอบด้วย ข้าวหอมสยาม และไข่ไก่โอเมก้า-3 สูง จัดปรุงเป็นข้าวหอมสยามราดไข่เจียวโอเมก้าสูง แจกให้กับประชาชนที่มาร่วมงานจำนวน 200 ชุด ทั้งนี้ขอเชิญชวนประชาชนและผู้สนใจเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ณ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างเวลา 17.30 – 21.00 น. หรือรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทางเฟซบุ๊กกระทรวง อว.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. รับ 2 รางวัล จากงาน Thailand Triple S Award 2025
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้ารับรางวัลเพื่อประกาศเชิดชูเกียรติ Thailand Triple S Awards 2025 ภายใต้งานเสวนา “ทิศทางวิจัย x นวัตกรรมไทย 2569: Thailand SRI Index 2025” จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ณ ห้องนภาลัย แกรนด์บอลรูม โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ การจัดงานมีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องและสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของผลงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นต้นแบบ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่ร่วมลงทุนในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) หน่วยงานขับเคลื่อน และหน่วยงานผู้ใช้ประโยชน์ที่ทำให้เกิดผลกระทบสูงในเชิงพาณิชย์ สังคม และนโยบาย เพื่อการพัฒนาและแก้ปัญหาที่สำคัญของประเทศ ในการนี้ สวทช. ได้รับรางวัลเพื่อประกาศเชิดชูเกียรติ 2 รางวัล โดย ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นผู้แทนเข้ารับมอบรางวัล หน่วยงานผู้ขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ผลงาน ววน. ดีเด่น (Best Organization for Research Intermediary Awards) ด้านพาณิชย์ และ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เข้ารับมอบรางวัล ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีผลกระทบสูง (High Impact Innovation Awards) ในการสร้างผลกระทบสูงด้านสังคม เรื่อง “Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการเมือง (Traffy Fondue: Citizen Engagement & Empowerment Platform)” ความสำเร็จจากการได้รับรางวัลในครั้งนี้ นับเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของ สวทช. ในการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ สวทช. เดินหน้าพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ปล่อยคาราวาน กระทรวง อว.ลำเลียงสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลาและพื้นที่ภาคใต้
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วันที่ 5 ธันวาคม 2568 : พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมม (อว.) เป็นประธานปล่อย “คาราวานรถบรรทุกสิ่งของบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยมหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ครั้งที่ 2” เพื่อลำเลียงความช่วยเหลือไปสู่ประชาชนอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นสิ่งของบริจาคจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. สถาบันอุดมศึกษาและภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และจังหวัดปัตตานี โดยมีสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการฟื้นฟูที่พักอาศัย สิ่งของจำเป็นทางด้านสาธารณสุข โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ดร.วันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล รองผู้อำนายการนาโนเทค สวทช. คณะผู้บริหารจากหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว.เข้าร่วม โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก บริเวณหน้าอาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว. (โยธี) รถบรรทุกได้นำสิ่งของบริจาคนวัตกรรมพร้อมใช้ของนาโนเทค สวทช.และพันธมิตร ไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ประกอบด้วย โลชั่นกันยุง สูตรนาโน Skin Soft สำหรับทาผิวป้องกันยุง ไม่ระคายเคืองต่อผู้ใช้ สามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบป้องกันได้ยาวนาน 7 ชั่วโมง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคชนิดเข้มข้น Agermgo ใช้ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:100 (1%) โดยเตรียมน้ำสะอาด 990 มิลลิลิตร แล้วนำไปแช่ เช็ดถู ฉีดพ่นในอาคาร โรงเรือน หรือบริเวณที่ต้องการฆ่าเชื้อ ทิ้งไว้อย่างน้อย 10 นาที สเปรย์ไล่ยุง สูตรอ่อนโยนต่อผิว ครีมรักษาโรคน้ำกัดเท้า Whitfield และ ครีมเพิ่มความชุ่มชื้นเท้า บรรเทาอาการจากน้ำกัดเท้าในช่วงน้ำท่วม สิ่งของบรรเทาทุกข์ทั้งหมดจะถูกนำไปกระจายยังจุดช่วยเหลือ 2 แห่งหลัก ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ และวิทยาเขตปัตตานี โดยจะมีเจ้าหน้าที่ อว. ลงพื้นที่ส่งมอบถึงมือประชาชน และสำรวจความต้องการเพิ่มเติมเพื่อวางแผนการสนับสนุนในระยะฟื้นฟูต่อไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จากสวนปาล์มสู่มหานคร: EnPAT นำร่องใช้งานจริงในกรุงเทพฯ ร่วมกับ กฟน. จุดประกายเครือข่ายไฟฟ้าสีเขียว
(วันที่ 4 ธันวาคม 2568) ณ การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ : นายดิเรก บุญปิยทัศน์ รองผู้ว่าการวางแผนและนวัตกรรมระบบไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นประธานในงานแถลงข่าวการใช้งาน EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทยในระบบไฟฟ้าสังคมเมือง ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง “EnPAT พลังแห่งนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนมหานครสู่อนาคตที่ยั่งยืน” พร้อมด้วย รศ. ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผศ. ดร.กานดา บุญโสธรสถิตย์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมพัฒนา EnPAT และหัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง กลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. และผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ นายไตรภพ เธียรถาวร กองบริหารจัดการหม้อแปลงระบบจำหน่าย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นายสุเทพ สิงหฤกษ์ ผู้อำนวยฝ่ายบริหารจัดการสินทรัพย์ระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นายอาศิรวรรธน์ โพธิพันธุ์ นักวิชาการมาตรฐานชำนาญการพิเศษ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) นายเสกสรร ครองพาณิชย์ กรรมการบริหารและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) ดร.ธัญญรัตน์ บุญถีกูล ผู้จัดการฝ่ายงานการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) และนายกวิน กิตติรัตนวิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด นายดิเรก บุญปิยทัศน์ รองผู้ว่าการวางแผนและนวัตกรรมระบบไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กล่าวว่า การไฟฟ้านครหลวงมีความยินดีที่ได้ร่วมพัฒนา EnPAT กับ สวทช. และพันธมิตร มาตั้งแต่ต้นจนถึงความสำเร็จในการนำร่องใช้งานหม้อแปลงบรรจุ EnPAT เครื่องแรกในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟน. ในพื้นที่การไฟฟ้านครหลวงเขตลาดกระบังเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของนวัตกรรมพลังงานที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัย ความยั่งยืน และอนาคตของมหานคร โดย EnPAT สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ในปี ค.ศ.2050 และวิสัยทัศน์ไฟฟ้าสีเขียว (Green Electricity) ของ กฟน. เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจเข้าถึงไฟฟ้าที่สะอาดและมั่นคง ทั้งนี้ Green Electricity ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลาง Green Data Center ในภูมิภาค ซึ่งต้องการไฟฟ้าที่สะอาดและมีเสถียรภาพ โดย กฟน. พร้อมเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานนี้ นอกจากนั้น EnPAT ยังช่วยต่อยอดอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย สร้างรายได้มั่นคงให้เกษตรกรกว่าสี่แสนครัวเรือน และเป็นต้นแบบการขยายสู่หม้อแปลงในพื้นที่สำคัญอื่น ๆ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ด้านความปลอดภัยและความยั่งยืน รศ. ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การนำร่องใช้งาน EnPAT ในแขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง ไม่เพียงเป็นความสำเร็จของ กฟน. แต่ยังสะท้อนวิสัยทัศน์ของ กรุงเทพฯ ในการยกระดับความปลอดภัยของระบบสาธารณูปโภคและส่งเสริมนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบาย “กรุงเทพ 9 ด้าน 9 ดี” โดยเฉพาะด้าน “ปลอดภัยดี” มุ่งเน้นไปที่การลดความเสี่ยงและการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยที่อาจเกิดขึ้น จากสถิติของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพฯ พบว่าในปี 2568 ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคม มีเหตุอัคคีภัย จำนวน 3,443 ครั้ง ซึ่งเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร จำนวน 1,243 ครั้ง น้ำมัน EnPAT มีจุดเด่นที่จุดติดไฟสูงกว่าน้ำมันหม้อแปลงทั่วไป ทำให้การลุกติดไฟเกิดได้ยาก ลดความเสี่ยงจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์หม้อแปลงระเบิดในพื้นที่ชุมชน นอกจากนี้ หากเกิดการรั่วไหล น้ำมันชนิดนี้ยังสามารถย่อยสลายได้ง่ายและไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม จึงถือเป็นการป้องกันเชิงรุกที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความปลอดภัยและความยั่งยืนในพื้นที่เมืองหลวง กรุงเทพฯ ขอชื่นชมทีมวิจัยจาก สวทช. และ กฟน. รวมถึงทุกภาคส่วนที่ร่วมกันผลักดันนวัตกรรมนี้สู่การใช้งานจริง กรุงเทพฯ เห็นถึงความสำคัญในการขยายผลการใช้งาน EnPAT ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนในทุกชุมชนได้รับความปลอดภัยในระดับเดียวกันกับพื้นที่นำร่อง และเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน กรุงเทพฯ พร้อมเดินหน้าเป็นเมืองต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและความยั่งยืน และขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนนวัตกรรมนี้ให้เกิดผลในระดับประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและอนาคตของประเทศ ผศ. ดร.กานดา บุญโสธรสถิตย์ ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)  กล่าวว่า EnPAT ได้รับรางวัล “PMUC Country First Award ครั้งแรกของไทย งานวิจัยเปลี่ยนประเทศ” ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพในการรวมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain)  ของอุตสาหกรรมน้ำมันหม้อแปลงชีวภาพมาร่วมกันผลักดันให้เกิดระบบนิเวศที่เหมาะสมและพร้อมต่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ การนำร่องใช้งานหม้อแปลงบรรจุ EnPAT ครั้งแรกของประเทศที่ จ.ชลบุรี โดย กฟภ. การต่อยอดในพื้นที่กรุงเทพมหานครโดย กฟน. และการขยายการใช้งานเพิ่มเติมในอนาคต โดย กฟผ. จะเป็นพลังสำคัญในการสร้างความต้องการ ที่ชัดเจนและผลักดันการผลิตและใช้งานน้ำมันหม้อแปลงชีวภาพในระดับอุตสาหกรรม ความสำเร็จในวันนี้แสดงถึงการบูรณาการงานวิจัย ภาคอุตสาหกรรม และผู้ให้บริการไฟฟ้า เพื่อสร้าง ความต้องการเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนว่า EnPAT ไม่ใช่เพียงการสร้างโอกาสทางการค้า แต่ยังเป็นการส่งเสริมภาคการเกษตรตามยุทธศาสตร์การเพิ่มมูลค่าผลผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรปาล์มน้ำมันไทยกว่า 400,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. กล่าวว่า วันนี้ ENTEC ขอเปิดบทใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานไทย โดยเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มไปจนถึงระบบไฟฟ้าในเมืองหลวง สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีที่ผลักดันการเพิ่มมูลค่าปาล์มน้ำมัน ENTEC จึงพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ (ENPAT) ตามกลยุทธ์ S&T Implementation for Sustainable Thailand (STIST) ของ สวทช. โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ทั้งนี้ บทบาทเชิงรุกของ กฟน. กฟภ. และ กฟผ. ในการนำร่องใช้งานจริง ร่วมกับการกำหนดนโยบายสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยสร้างความต้องการที่ชัดเจนในการใช้งาน EnPAT และผลักดันให้เกิดการผลิตและใช้งานในเชิงพาณิชย์  ซึ่งจะเปิดประตูสู่การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูงของประเทศ สร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนในการลงทุนพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ การผลักดันให้เกิดความต้องการจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมหม้อแปลงชีวภาพของไทย แต่ยังเป็นการกระจายรายได้กลับสู่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันกว่า 4 แสนครัวเรือน ด้าน ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมพัฒนา EnPAT และหัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง กลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) กล่าวเสริมว่า EnPAT ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นหนึ่งในคำตอบสำคัญในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของระบบไฟฟ้าและส่งเสริมไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งจะทำให้ไทยพร้อมตอบโจทย์ทั้งเป้าหมาย Net Zero และการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลสีเขียวในภูมิภาค ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากการไฟฟ้านครหลวง นำมาสู่การนำร่องในงานหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT ที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร โดยหม้อแปลงที่ติดตั้งเป็นชนิด 3 เฟส ขนาด 150 กิโลโวลต์แอมแปร์ (kVA) ในระบบ 24 กิโลโวลต์ (kV) การดำเนินงานในครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากการติดตั้งหม้อแปลง EnPAT เครื่องแรกของประเทศ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2567 ร่วมกับ กฟภ. นับจนถึงปัจจุบันได้จ่ายไฟฟ้าให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องมาแล้วกว่า 1 ปี 8 เดือน และ  EnPAT กำลังก้าวต่อไปสู่ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยการสนับสนุนจาก กฟผ. โดยหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT มีแผนที่จะติดตั้งในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เขื่อนสิรินธร และในอนาคตอันใกล้จะมีการศึกษาการนำร่องใช้งาน EnPAT เพิ่มเติม ได้แก่ การใช้งานในหม้อแปลงแกนเหล็ก Amorphous การใช้งานในหม้อแปลงเครื่องมือวัด การใช้งานทดแทนน้ำมันแร่ในการซ่อมบำรุงหม้อแปลง นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังมุ่งมั่นในการส่งเสริมศักยภาพผู้ผลิตหม้อแปลงสัญชาติไทยให้มีความพร้อมทั้งด้านเทคนิคและความเชี่ยวชาญในการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT โดยความร่วมมือเชิงรุกร่วมกับบริษัทผลิตหม้อแปลงต่าง ๆ คือกุญแจสำคัญในการสร้างความพร้อมของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อรองรับความต้องการเชิงพาณิชย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งความต้องการที่เริ่มต้นจากหน่วยงานภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาคอุตสาหกรรมไทยลงทุนสร้างห่วงโซ่อุปทาน ที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ถือเป็นการวิจัยที่ผลักดันการใช้งาน EnPAT เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไฟฟ้าของไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลก พร้อมกระจายรายได้สู่เกษตรกรและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก EnPAT จึงไม่ใช่แค่น้ำมันหม้อแปลงชีวภาพ แต่คือพลังแห่งความร่วมมือเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทย  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมบริจาคสิ่งของฟื้นฟูหลังน้ำท่วมหาดใหญ่ ผ่านศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม อว. เพื่อประชาชน
วันที่ 4 ธันวาคม 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ได้ส่งมอบสิ่งของสำหรับช่วยเหลือฟื้นฟูหลังเกิดอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ส่งมอบให้กับ ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม อว. (ศปก.อว.) เพื่อประชาชน สำนักงานปลัดกระทรวง อว. โดยมี นางสารี่ เจียรวาปี ผู้อำนวยการกลุ่มอำนวยการ เป็นผู้แทนรับมอบ ซึ่งสิ่งของทั้งหมด ศปก.อว. จะดำเนินการนำลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วนต่อไป สิ่งของช่วยเหลือดังกล่าว ดร. ภญ.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ได้รับมอบผลิตภัณฑ์พร้อมใช้จากพันธมิตรที่รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก สวทช. ได้แก่ โลชั่นกันยุง สูตรนาโน Skin Soft จำนวน 5,000 ขวด จาก บริษัท โว อินโนเวชั่น จำกัด, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคชนิดเข้มข้น Agermgo จำนวน 120 ขวดและสเปรย์ไล่ยุง จำนวน 960 ขวด จากบริษัท ไบโอ อินโนเทค จำกัด, ครีมน้ำกัดเท้า Whitfield จำนวน 300 ขวด ผลิตโดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) รวมถึงครีมเพิ่มความชุ่มชื้นเท้า จำนวน 1,000 กระปุก ผลิตโดยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง (CPP) นาโนเทค สวทช. เพื่อช่วยบรรเทาและฟื้นฟูวิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ นวัตกรรมพร้อมใช้ ประกอบด้วย - โลชั่นกันยุง สูตรนาโน Skin Soft สำหรับทาผิวป้องกันยุง ไม่ระคายเคืองต่อผู้ใช้ สามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบป้องกันได้ยาวนาน 7 ชั่วโมง - ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคชนิดเข้มข้น Agermgo ใช้ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:100 (1%) โดยเตรียมน้ำสะอาด 990 มิลลิลิตร แล้วนำไปแช่ เช็ดถู ฉีดพ่นในอาคาร โรงเรือน หรือบริเวณที่ต้องการฆ่าเชื้อ ทิ้งไว้อย่างน้อย 10 นาที - สเปรย์ไล่ยุง สูตรอ่อนโยนต่อผิว - ครีมรักษาโรคน้ำกัดเท้า Whitfield และ ครีมเพิ่มความชุ่มชื้นเท้า บรรเทาอาการจากน้ำกัดเท้าในช่วงน้ำท่วม สวทช. โดยนาโนเทค เดินหน้าเต็มกำลังรับโยบาย กระทรวง อว. ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา บรรเทาผลกระทบให้แก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุดอย่างเต็มสรรพกำลังและต่อเนื่อง รวมถึงความร่วมมือจากพันธมิตรทั้งหน่วยงานการศึกษา วิจัย และเอกชนที่เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน วทน. และนวัตกรรมพร้อมใช้ไปสู่ภาคส่วนที่ต้องการทั้งในเชิงพาณิชย์ และเชิงสาธารณประโยชน์ โดยเฉพาะในสถานการณ์เฉพาะหน้าเช่นนี้
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ต้อนรับคณะบริษัทในเครือ SCG แลกเปลี่ยนเรียนรู้ Industry 4.0
วันที่ 4 ธันวาคม 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้การต้อนรับคณะผู้บริหาร วิศวกร และพนักงาน จากบริษัท สยามไฟเบอร์ซีเมนต์กรุ๊ป จำกัด และบริษัท เอสซีจี รูฟฟิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเอสซีจี (SCG) การเข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจนวัตกรรมและแนวโน้มด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning ของไทย รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ สู่การเป็น Smart Factory โดยได้รับเกียรติจาก ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต้อนรับและบรรยายภาพรวมการดำเนินงานของ สวทช. ในหัวข้อ “สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี ในช่วงการบรรยาย สวทช. ได้จัดเตรียมหัวข้อที่สอดคล้องกับความต้องการของคณะฯ โดยเริ่มด้วยการบรรยายในหัวข้อ “เส้นทางสู่อุตสาหกรรม 4.0 ของไทย ด้วย Thailand i4.0 Index” โดย ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม สวทช. จากนั้นเป็นการบรรยายเจาะลึกในหัวข้อ “The Sixth Sense of AI: Discovering Hidden Insights for Industrial Success” โดย ดร.กฤษฎา ท่าพระเจริญ นักวิจัยทีมวิจัยระบบวิศวกรรมขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลตอบโจทย์ผู้ใช้งานในภาคอุตสาหกรรม หลังจากการบรรยาย คณะฯ ได้เข้าเยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC Learning Center) ณ อาคาร NECTEC Pilot Plant เพื่อศึกษาดูงานในส่วนของโรงงานแห่งการเรียนรู้ดิจิทัลลีน, ระบบชุดสาธิตการเชื่อมต่อและการทำงานเครื่องจักรด้วย IIoT, ระบบควบคุมอัตโนมัติและ IIoT ในงานอุตสาหกรรม และ ชุดทดสอบมอเตอร์และระบบส่งกำลัง จากนั้นได้เข้าเยี่ยมชม ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC) ณ อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 (INC2) เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับศักยภาพของคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงของประเทศ โดยมีคณะวิจัยจาก ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ และ ThaiSC ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ร่วมให้การต้อนรับและแนะนำข้อมูล ตามลำดับ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวก. เปิดให้บริการศูนย์ข้อมูลการวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีการเกษตร “ARDA-CADS” ยกระดับระบบ TARR รองรับผู้ใช้ทุกกลุ่ม
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เดินหน้าพัฒนาระบบข้อมูลด้านการเกษตร เปิดให้บริการ ศูนย์บริการข้อมูลการวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีการเกษตร (ARDA-CADS) มุ่งยกระดับจากระบบคลังข้อมูลการวิจัยการเกษตรไทย (TARR) เพื่อให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านงานวิจัย นวัตกรรม และองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง รองรับผู้ใช้งานหลากหลายกลุ่ม ทั้งนักวิจัย เกษตรกร ผู้ประกอบการ และหน่วยงานรัฐ สวก. มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนงานวิจัย พัฒนาบุคลากรด้านวิจัยการเกษตร รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศด้านการศึกษา ค้นคว้า พัฒนา และองค์ความรู้ทางการเกษตร ผ่านระบบ TARR ซึ่งมีฐานข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 50 หน่วยงาน และมีผู้ใช้งานต่อเนื่องตลอดหลายปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงข้อมูล สวก. จึงพัฒนาระบบ ARDA-CADS ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งด้านโครงสร้างข้อมูล รูปแบบการใช้งาน และโมดูลสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อเสริมศักยภาพผู้ใช้ในการค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ และนำข้อมูลงานวิจัยไปใช้พัฒนาภาคการเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม ARDA-CADS ประกอบด้วย 3 ระบบหลัก ระบบค้นคืน (Search)สำหรับสืบค้นข้อมูลผลงานวิจัยและองค์ความรู้ทางการเกษตรจากหลากหลายแหล่ง ระบบ e-Scholarshipรวบรวมผลงานการศึกษา หลักสูตรฝึกอบรม และเนื้อหาความรู้จาก สวก. ระบบประเมินผลกระทบเชิงลึก (SROI)เครื่องมือวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมเบื้องต้นจากโครงการวิจัยด้านการเกษตร นอกจากนี้ ระบบยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยการเกษตร เพื่อเสริมความเข้าใจและเพิ่มประสิทธิภาพการนำความรู้ไปใช้จริง สวก. ขอเชิญชวนบุคลากร นักวิจัย และผู้สนใจทุกท่านเข้าใช้บริการได้ที่👉 https://cads.arda.or.thหรือทาง LINE Official: @arda พร้อมกันนี้ สวก. ขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ ช่วยประชาสัมพันธ์ระบบ ARDA-CADS รวมถึงพิจารณาปรับเปลี่ยนแบนเนอร์จากระบบ TARR เดิม เป็นแบนเนอร์ระบบ ARDA-CADS ตามไฟล์แนบที่จัดส่งไปยังหน่วยงาน
ข่าว
 
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
งานมหกรรม “ภูมิพลังแผ่นดิน” และ “เกษตรไทยก้าวสู่อนาคต ด้วยศาสตร์พระราชา” 4 – 7 ธันวาคม 2568
พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ ได้กำหนดจัดงานมหกรรมในหลวงรักเรา “ภูมิพลังแผ่นดิน” และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดจัดงานมหกรรม “เกษตรไทยก้าวสู่อนาคต ด้วยศาสตร์พระราชา” ระหว่างวันที่ 4 – 7 ธันวาคม 2568 เวลา 08.00–17.00 น. ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบิดาแห่งดินโลก ผ่านนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ การเรียนรู้พระอัจฉริยภาพด้านการจัดการดิน การอนุรักษ์ทรัพยากรดิน และการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน  การจัดงานมุ่งเผยแพร่ศาสตร์พระราชาด้านการพัฒนาดิน น้ำ และการเกษตรอย่างยั่งยืน พร้อมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผ่านนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและกิจกรรมเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ กิจกรรมไฮไลต์ภายในงาน อบรมฟรี “วิชาของแผ่นดิน” จำนวน 16 วิชา ถ่ายทอดองค์ความรู้เกษตรสมัยใหม่และการจัดการดิน–น้ำอย่างยั่งยืน ตลาดสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนกว่า 200 ร้านค้า ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ แสดงพระอัจฉริยภาพด้านการจัดการดินของรัชกาลที่ 9 ชม ชิม ช้อป ผลิตผลเกษตรคุณภาพและนวัตกรรมเกษตรรุ่นใหม่ กิจกรรมพิเศษ วันที่ 5 ธันวาคม เวลา 08.00 น. ร่วมตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระสงฆ์จำนวน 69 รูป เวลา 17.00 น. พิธีน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมการแสดงโขนและบทเพลงเฉลิมพระเกียรติ งานนี้จัดขึ้นเพื่อเปิดพื้นที่เรียนรู้การเกษตรไทยในมิติใหม่ ผ่านศาสตร์พระราชาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พร้อมเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป รายละเอียดเพิ่มเติม Facebook: พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ หรือ www.wisdomking.or.th
ข่าว
 
ข่าวหน่วยงานภายนอก