หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ร่วมยินดีในพิธีมอบโล่ องค์กรนำผลงานเสนอในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568
 (20 มิถุนายน 2568) ณ บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอด เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) : ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีปิดงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025)” พร้อมมอบรางวัล Thailand Research Expo 2025 Award และมอบโล่แสดงความขอบคุณแก่หน่วยงานที่นำผลงานร่วมนำเสนอในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ผู้บริหาร วช. ผู้บริหารหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัย และผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. เข้าร่วม โดยในโอกาสนี้ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เป็นผู้แทน สวทช. เข้ารับรางวัล ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า ขอขอบคุณหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทุกหน่วยงาน เครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย หรือ Research University Network (RUN) หน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม หรือ Program Management Unit, PMU และหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ได้นำผลงานวิจัยและนวัตกรรมเข้าร่วมนำเสนอในภาคนิทรรศการ ภาคการประชุม และกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยในส่วนต่าง ๆ ภายในงาน "มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568" ทำให้การจัดงานเป็นไปด้วยความสำเร็จ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย พร้อมกันนี้ขอแสดงความยินดีกับหน่วยงานที่ได้รับรางวัล Thailand Research Expo 2025 Award ซึ่งได้แสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมอันมีศักยภาพ และสร้างสีสันการนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมได้อย่างโดดเด่น รวมถึงขอแสดงความยินดีแก่นักวิจัยศักยภาพสูง ศาสตราจารย์วิจัยดีเด่น และเมธีวิจัยอาวุโส รวมทั้งทุกรางวัลผลงานในงานครั้งนี้ด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศ กองทัพอากาศ เข้าศึกษาเยี่ยมชมงานทดสอบยุทโธปกรณ์ทางทหาร สวทช.
18 มิถุนายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับ ศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศ กองทัพอากาศ นำโดย พลอากาศตรี กาลิทัส กมุทชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัย ศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศ พร้อมคณะข้าราชการ เข้าศึกษาเยี่ยมชมด้านมาตรฐานการทดสอบยุทโธปกรณ์ทางทหารตามมาตรฐาน Military Standard เพื่อสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านมาตรฐานการทดสอบ ในแนวทางการพัฒนาระบบวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพอากาศ สำหรับการเข้าสู่สายการผลิตในระดับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดย คุณอรรถกร ศิริสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. เป็นผู้แทนผู้บริหารในการให้การต้อนรับ และได้รับเกียรติ จาก ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. บรรยายเรื่องมาตรฐาน Military Standard Mil-STD 461, Mil-STD810 และ RTCA DO 160 พร้อมนำคณะเยี่ยมชมศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ห้องทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สำนักงานศาลปกครอง จับมือ เนคเทค สวทช. พลิกโฉม “ศาลอัจฉริยะ” ดันใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับให้บริการกระบวนการยุติธรรมแก่ประชาชน
19 มิถุนายน 2568 สำนักงานศาลปกครอง ผนึกกำลัง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล หวังใช้พลังเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เสริมภารกิจ พลิกโฉมการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง ที่สะดวกรวดเร็ว เที่ยงตรง และเป็นธรรม โดยมีนายจำนงค์ ถาวรวิสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง และดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. เป็นประธานในพิธีลงนาม พร้อมด้วยผู้บริหารจากทั้งสองหน่วยงาน ได้แก่ นายชำนาญ ทิพยชนวงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง และดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ร่วมเป็นสักขีพยาน นายจำนงค์ ถาวรวิสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง กล่าวว่า สำนักงานศาลปกครอง โดยศูนย์วิทยาการสารสนเทศ และเนคเทค สวทช. มีความร่วมมือในการนำ AI คือ Speech to text มาประยุกต์ใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ซึ่งได้ร่วมกันพัฒนาและใช้งานถอดความเสียงจนประสบความสำเร็จมาเป็นลำดับ ต่อยอดมาสู่ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะ AI มาใช้เพื่อให้บริการแก่ประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรมการปกครอง โดยสำนักงานศาลปกครองมีภารกิจหน้าที่ในการสนับสนุนกระบวนงานพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการองค์กร การบริการให้แก่ประชาชนด้วยระบบดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อขับเคลื่อนการเป็นศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์ ในปีพ.ศ. 2570 และเป็นศาลปกครองอัจฉริยะ (Smart Admin Court) ในปี พ.ศ. 2575 ที่จะอำนวยความยุติธรรม สร้างระบบในการพิจารณาคดีด้วยความเป็นธรรม รวดเร็ว ทันสมัย เสริมสร้างธรรมาภิบาลในสังคมด้วยมาตรฐานที่เป็นสากล เพื่อส่งมอบบริการที่ดี และสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน AI นอกจากจะเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานส่วนบุคคลได้เป็นอย่างดีแล้ว กำลังจะกลายเป็นพลังที่ถูกนำมาใช้ในหน่วยงานอย่างเป็นระบบเพื่อยกระดับบริการภาครัฐ สำนักงานศาลปกครอง ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญที่สามารถเป็นต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านนี้ พร้อมย้ำถึงบทบาทของ สวทช. ในการผลักดันแผนปฏิบัติการด้าน AI แห่งชาติ (พ.ศ. 2565 – 2570) ที่มี 5 ยุทธศาสต์หลักทั้งการใช้งาน AI อย่างถูกต้อง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนากำลังคน พัฒนานวัตกรรม และการประยุกต์ใช้งานจริงในภาคส่วนต่าง ๆ โดยเนคเทค สวทช. เปรียบเสมือนเป็น “เครื่องจักรสำคัญในการสร้างฐานรากทางเทคโนโลยีให้ประเทศ” พร้อมนำความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญของทีมนักวิจัยด้าน AI ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี ร่วมมือสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ หรือ Generative AI และ LLM โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่เป็นหัวใจอยู่เบื้องหลัง ที่เนคเทค สวทช. ได้พัฒนา “Pathumma LLM” ที่สามารถเข้าใจภาษาไทยได้เป็นอย่างดี และเป็น Opensource ให้กับประเทศไทย ซึ่งจะนำมาใช้พัฒนาให้ตอบโจทย์ในบริบทของสำนักงานศาลปกครองที่มีเนื้อหาข้อมูลเฉพาะเจาะจงทางด้านข้อกฎหมาย และการพิจารณาคดี ยังรวมถึง AI อื่น ๆ เพื่อพัฒนากระบวนพิจารณาพิพากษาคดี ตลอดจนการให้บริการต่างๆ ตามภารกิจของสำนักงานศาลปกครอง 5 มิติสำคัญของความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลงฯ ฉบับนี้ ได้แก่ การพัฒนาและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) ที่เข้าใจภาษากฎหมายไทย ผนวกกับชุดข้อมูลศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง เพื่อช่วยตรวจวิเคราะห์ข้อมูลคดี ในรูปแบบที่แม่นยำ และรวดเร็ว การนำเทคโนโลยี OCR ที่เหมาะสมกับเอกสารคดีปกครอง เสริมการแปลงข้อมูลจากเอกสารกระดาษเป็นดิจิทัล เพื่อให้บริการประชาชนและการพิจารณาพิพากษาคดี ช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานของเจ้าหน้าที่ การพัฒนาแพลตฟอร์มด้าน NLP และ Speech & Text Understanding ที่เกี่ยวข้องกับภาษาพูดและภาษาเขียน รองรับในบริบทข้อมูลของศาลปกครอง เพื่อช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลและความรู้ทางกฎหมายสำหรับประชาชนง่ายและเข้าใจได้มากขึ้น การทดสอบและใช้งานเทคโนโลยีต้นแบบจากเนคเทค สวทช. สำหรับการประยุกต์ใช้กับข้อมูลของศาลปกครองในการให้บริการประชาชน หน่วยงานของรัฐ และสนับสนุนการพิจารณาพิพากษาคดีของตุลาการศาลปกครอง การพัฒนาทักษะ ศักยภาพบุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวแรกของการสร้าง “ศาลปกครองอัจฉริยะ” ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลอย่างแท้จริง พร้อมสร้างให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีเหล่านั้น อันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความยุติธรรมการปกครอง ยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชน และยังถือเป็นก้าวสำคัญของการสร้างต้นแบบที่สามารถขยายผลไปสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรม หรือกระบวนการทำงานในหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ให้ก้าวทันยุคดิจิทัลได้ในอนาคต ภายหลังพิธีลงนามฯ ท่านเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ได้นำคณะผู้บริหาร และทีมงานจากเนคเทค สวทช. เข้าเยี่ยมชมพื้นที่การให้บริการของศาลปกครอง อาทิ ห้องพิจารณาคดี พื้นที่ให้คำปรึกษาทางคดี รวมถึงหอสมุดกฎหมายมหาชน ที่มีบริการยืม-คืน หนังสือกฎหมายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และพิพิธภัฑณ์ศาลปกครอง ซึ่งได้รวบรวมเรื่องราววิวัฒนาการขององค์กรวินิจฉัยคดีปกครอง เปิดบริการในวัน/ เวลาราชการ ให้แก่ประชาชนทั่วไปเข้าไปศึกษาค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับข้อกฎหมาย การพิจารณาคดี และประวัติความเป็นมาของศาสปกครองในประเทศไทย ท่านที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.admincourt.go.th/
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ผ่านการรับรองคุณภาพคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ NECAST ระดับ 3
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผ่านการรับรองคุณภาพคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (National Ethics Committee Accreditation System of Thailand: NECAST) ระดับ 3 โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โอกาสนี้ นางฐิติวรรณ เกิดสมบุญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาคุณภาพและจริยธรรมการวิจัย สวทช. และ เลขานุการคณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมและสนับสนุนจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ ของ สวทช. (NSTDA-IRB) เป็นผู้แทนเข้ารับโล่และใบประกาศเกียรติคุณ จาก นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ในงานมหกรรมการวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025) ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร ระบบการรับรองคุณภาพคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (National Ethics Committee Accreditation System of Thailand: NECAST) เป็นระบบที่จัดทำขึ้นเพื่อประเมินและรับรองคุณภาพของคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ในประเทศไทย โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจว่าการวิจัยในมนุษย์ได้รับการดำเนินการอย่างมีจริยธรรม คุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมการวิจัย และสร้างความน่าเชื่อถือของผลงานวิจัย ซึ่งสามารถแบ่งระดับของการรับรองคุณภาพเป็น 3 ระดับ โดย NECAST ระดับ 3 คือ การรับรองคุณภาพสำหรับคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ประจำสถาบัน ที่พิจารณาโครงการวิจัยทุกประเภท รวมถึงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนอาหาร ยา และเครื่องมือแพทย์ และการวิจัยที่อาจเกิดภยันตรายต่อสังคมในวงกว้าง
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. และ IRD ต่ออายุความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ ร่วมขับเคลื่อนการวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ภูมิอากาศ และการศึกษาสิ่งแวดล้อม
(19 มิถุนายน 2568) ณ ห้อง แถลงข่าวชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส (IRD) ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับใหม่ ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี เพื่อเดินหน้าสานต่อความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยพิธีลงนามได้รับเกียรติจากผู้แทนระดับสูงของทั้ง สวทช. IRD และสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมืออันแน่นแฟ้นด้านวิทยาศาสตร์ระหว่างสองประเทศ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อความท้าทายระดับโลกในยุคปัจจุบัน ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  กล่าวว่า “บันทึกข้อตกลงนี้เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างปี พ.ศ. 2568 - 2573 มุ่งเน้นการวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การกักเก็บคาร์บอน การเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมผ่านเทคโนโลยีโลกเสมือน และสาขาอื่น ๆ เป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของโครงการความร่วมมือที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงความร่วมมือระหว่างพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกันของเราต่อโลกและชนรุ่นหลัง โดย สวทช. และ IRD มุ่งมั่นที่จะสร้างองค์ความรู้ พัฒนาเครื่องมือ เทคโนโลยี และทรัพยากรบุคคล เพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืนทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก” นายฌิล เปกาซู (Mr. Gilles Pecassou) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IRD กล่าวเสริมว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ IRD ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2560 เราได้ร่วมมือกับ สวทช. ในโครงการต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียง การต่ออายุบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้เป็นเครื่องสะท้อนถึงความไว้วางใจและวิสัยทัศน์ร่วมกันในการผลักดันงานวิจัยสหวิทยาการ ส่งเสริมนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ และสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมผ่านนวัตกรรมและการศึกษาที่เปิดกว้าง” นางลีส ตาลโบต์ บาเร (Mrs. Lise Talbot- Barré) ที่ปรึกษาฝ่ายวัฒนธรรมและความร่วมมือ สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส บันทึกข้อตกลงฉบับนี้ไม่เพียงเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่าง สวทช. และ IRD หากยังสะท้อนถึงสายใยมิตรภาพอันยาวนานระหว่างสองประเทศ ซึ่งยึดโยงกันด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และเจตจำนงร่วมในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ความสำเร็จจากโครงการความร่วมมือระหว่าง 2 สถาบันในระยะแรก ได้แก่ BIMOMS (Biodiversity Modelling at Multiple Scale) – จากระบบนิเวศท้องถิ่นสู่การเปลี่ยนแปลงระดับภูมิภาค โครงการ JEAI BIMOMS (พ.ศ. 2565–2567) ภายใต้โครงการ Young Teams Associated with IRD ทีมวิจัยนำโดยนักวิจัยไทยรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญในด้านการสร้างแบบจำลองระบบนิเวศ ตั้งแต่พลวัตความหลากหลายทางชีวภาพในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ไปจนถึงรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของป่าไม้และการใช้ที่ดินในระดับภูมิภาค ผ่านการบูรณาการข้อมูลภาคสนาม ภาพถ่ายดาวเทียม เครื่องมือระดับโมเลกุล และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความสำเร็จของโครงการจะได้รับการสานต่อภายใต้ MOU ฉบับใหม่นี้ด้วยการขยายแบบจำลองข้อมูล ไปยังการใช้โดรนติดตามความหลากหลายทางชีวภาพ และการบูรณาการสู่ยุทธศาสตร์ด้านภูมิอากาศในระดับภูมิภาคต่อไป SIMPLE (Sustainability Issue Metaverse for Building Participatory Learning Environments)– เมตาเวิร์สเพื่อการเรียนรู้และสร้างความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม โครงการ SIMPLE เป็นโครงการร่วมวิจัยระหว่างหน่วยงานวิจัย 3 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เวียดนาม และไทย โดยผสานเทคโนโลยีการเรียนรู้ผ่านโลกเสมือนจริง (AR/VR) เข้ากับการเรียนรู้เพื่อสร้างความตระหนักในด้านการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพให้กับเยาวชนไทย โดยกิจกรรมนำร่องชื่อ “BiodiVRestorer: Immersive VR Experience for Biodiversity Restoration” ได้เข้าถึงนักเรียนมัธยมศึกษากว่า 219 คน จาก 21 โรงเรียน ในเขตกรุงเทพฯ จังหวัดปทุมธานี และเชียงใหม่ ผลการสำรวจพบว่า นักเรียนมีความเข้าใจในประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้น และจดจำเนื้อหาได้ในระยะยาว ครูผู้สอนระบุว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียนและการมีส่วนร่วมของนักเรียนในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะถัดไปทีมวิจัย SIMPLE จะพัฒนาเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อพร้อมจัดทำหลักสูตรฉบับสมบูรณ์สำหรับเผยแพร่ภายในต้นปี พ.ศ. 2569 NATURAL FORESTORE – Capture and Storage of Carbon in Natural Tropical Forests การดูดซับและการกักเก็บคาร์บอนในป่าเขตร้อนตามธรรมชาติ NATURAL FORESTORE ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิ BNP Paribas เป็นโครงการวิจัยสหวิทยาการที่มุ่งศึกษาการกักเก็บคาร์บอนในป่าเขตร้อนธรรมชาติ โดยบูรณาการองค์ความรู้จากหลากหลายสาขา ทั้งเมตาจีโนมิกส์ การสำรวจระยะไกล ปัญญาประดิษฐ์ และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ควบคู่กับมิติทางสังคมและนโยบายสิ่งแวดล้อม สู่เป้าหมายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนเพื่อการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก โครงการเริ่มดำเนินงานในปี พ.ศ. 2567 ในพื้นที่ศึกษาป่าอนุรักษ์ที่หลากหลาย 3 แห่งในประเทศไทย และอีก 1 แห่งใน สปป.ลาว พื้นที่เหล่านี้ถูกคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันเพื่อเป็น “ห้องปฏิบัติการธรรมชาติ” ที่เป็นตัวแทนของสภาพป่าที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านภูมิประเทศ ชนิดพรรณไม้ ระยะการฟื้นตัวของป่าและประวัติการใช้ที่ดินที่หลากหลาย ความหลากหลายของพื้นที่ศึกษาเช่นนี้ทำให้โครงการสามารถรวบรวมข้อมูลที่ครอบคลุมและรอบด้าน นำไปสู่การสร้างองค์ความรู้เชิงลึกที่สามารถอธิบายปัจจัยและกระบวนการที่ส่งผลต่อการกักเก็บคาร์บอนในป่าเขตร้อนได้อย่างถ่องแท้ การวิจัยนี้ขับเคลื่อนด้วยการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาประยุกต์ใช้ อาทิ เมตาจีโนมิกส์ เพื่อทำความเข้าใจบทบาทของจุลินทรีย์ใต้ดิน การสำรวจระยะไกลด้วยดาวเทียมและ Lidar เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างป่าเหนือพื้นดิน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) เพื่อประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และระบุแนวโน้ม รวมถึงการวิเคราะห์ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ผลลัพธ์ที่ได้คือ แบบจำลองการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในป่าเขตร้อนที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนและกำหนดนโยบายเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ NATURAL FORESTORE ยังสนับสนุนการติดตามและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพตาม “ดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพ” ของสหประชาชาติ ซึ่งสะท้อนการบูรณาการความรู้ด้านนิเวศวิทยา ชีววิทยา สังคมเศรษฐศาสตร์ และนโยบายสาธารณะ เพื่อสร้างทางออกที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Rachel รุ่น Everyday บอดีสูทเสริมการเคลื่อนไหวสำหรับผู้สูงอายุ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในทุกอิริยาบถ
  ทุกวันนี้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ แต่คำว่า ‘สูงอายุ’ ไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองที่ลดลงอย่างมากเหมือนแต่ก่อน เพราะปัจจุบันผู้สูงอายุส่วนใหญ่ใส่ใจดูแลสุขภาพตั้งแต่วัยหนุ่มสาวมากขึ้น แม้จะอยู่ในวัยเกษียณแล้วก็ยังคงดูแลกิจวัตรประจำวันของตัวเองได้เป็นอย่างดี และสนุกกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ต่างจากวัยทำงาน ด้วยเหตุนี้นักวิจัยจากหลายประเทศทั่วโลก​จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยืดช่วง active aging หรือช่วงเวลาที่ผู้สูงวัยยังมีความสุขกับการใช้ชีวิตด้วยตนเองให้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสร้างสรรค์นวัตกรรมเสริมความมั่นใจในการเคลื่อนไหวและช่วยลดความเสี่ยงการพลัดตกหกล้ม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัทไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) พัฒนา Rachel (เรเชล) รุ่น Everyday ชุดชั้นในทรงบอดีสูท (bodysuit) ช่วยกระตุ้นการปรับท่าทางให้อยู่ในอิริยาบถที่เหมาะสม เสริมแรงการเคลื่อนไหว ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูก   [caption id="attachment_70298" align="aligncenter" width="750"] ดร.วรวริศ กอปรสิริพัฒน์ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.วรวริศ กอปรสิริพัฒน์ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า Rachel รุ่น Everyday เป็นผลงานที่วิจัยและพัฒนาโดยนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. และบริษัทไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) โดยบูรณาการเทคโนโลยีการออกแบบ เลือกใช้เนื้อผ้า และตัดเย็บ เพื่อให้ได้ชุดบอดีสูทที่ช่วยปรับท่าทางของไหล่ หลัง สะโพก และต้นขาให้อยู่ในอิริยาบถที่เหมาะสม เพื่อลดสาเหตุการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูก เช่น เมื่อผู้สวมใส่นั่งห่อไหล่และหลังค่อมจะเกิดแรงต้านที่ชุด และเกิดแรงย้อนกลับ (rebound force) เป็นแรงผลักเบา ๆ ช่วยให้ร่างกายยืดไหล่และหลังให้เหยียดตรง ฝึกให้ร่างกายปรับสู่ท่าทางที่ถูกต้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ “ชุด Rachel ได้รับการออกแบบให้ช่วยเสริมแรงการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุได้ โดยความตึงของชุดที่พอเหมาะในแต่ละจุดจะช่วยให้ผู้สวมใส่รับรู้ถึงตำแหน่งของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้สวมใส่ปรับเปลี่ยนอิริยาบถได้มั่นคงขึ้นกว่าเดิม ช่วยเสริมความมั่นใจในการลุกมาทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อชะลอการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อด้วย จากการทดสอบใช้งานจริง กลุ่มผู้ทดลองสะท้อนว่า พวกเขาเริ่มนั่งหลังตรงได้อัตโนมัติและลุก-นั่งสะดวกขึ้น”   [caption id="attachment_70297" align="aligncenter" width="450"] Rachel รุ่น Everyday[/caption]   Rachel รุ่น Everyday เป็นผลงานที่บูรณาการเทคโนโลยีหลายศาสตร์ นอกจากการออกแบบ คัดเลือกเนื้อผ้า และตัดเย็บดังที่กล่าวถึงข้างต้น ยังมีเทคโนโลยีอีก 3 ศาสตร์สำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ คือ Biomechanics (ไบโอเมคานิกส์) ศาสตร์การเคลื่อนไหวร่างกายของมนุษย์ Ergonomics (เออร์โกโนมิกส์) ศาสตร์การออกแบบของใช้ให้เหมาะกับการใช้งาน และ Electromyography (อิเล็กโทรไมโอกราฟี) ศาสตร์การทดสอบไฟฟ้ากล้ามเนื้อ เพื่อวัดว่าอุปกรณ์ที่สวมใส่ช่วยลดภาระการใช้งานกล้ามเนื้อในระดับที่เหมาะสมได้จริงหรือไม่     ในการวิจัยและพัฒนา เอ็มเทค สวทช. ยังได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในการทดสอบเชิงคลินิกเพื่อพัฒนาชุดให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับนำผลงาน Rachel รุ่นอื่น ๆ เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ ดร.วรวริศ เล่าว่า ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนา Rachel รุ่น Everyday ประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดย Rachel รุ่นที่จะวางจำหน่ายในอนาคตอันใกล้ผ่านการออกแบบให้มีรูปทรงหลากหลายเพื่อรองรับสรีระผู้หญิงและผู้ชาย มีให้เลือกถึง 7 ขนาด ชุดสวมใส่ได้ง่าย ระบายอากาศดี ไม่ร้อน ไม่อับชื้น มีช่องเปิดสำหรับทำธุระในห้องน้ำสะดวก และซักด้วยเครื่องซักผ้าได้เหมือนชุดชั้นในทั่วไป ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สูงอายุใส่ได้อย่างมีความสุขและสะดวกสบายในทุกวัน Rachel รุ่น Everyday เตรียมวางจำหน่ายโดยบริษัทไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ช่วงปลายปี 2568 ผู้ที่สนใจติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เร็ว ๆ นี้ ทางเว็บไซต์ www.wacoal.co.th และช่องทางโซเชียลมีเดียของบริษัท     ผู้ให้การสนับสนุนในการวิจัยและพัฒนา นายกนกลักษณ์ ดูการณ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์อบรมแพ็ทเทิร์นอุตสาหกรรม แพ็ทเทิร์น ไอที รศ. ดร.วีรวัฒน์ ลิ้มรุ่งเรืองรัตน์ อาจารย์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล ผศ. นพ.บวรรัฐ วนดุรงค์วรรณ ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล นายพิชิตพล เกิดสมนึก นักวิทยาศาสตร์การกีฬา ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพถ่ายโดย ชุมพล พินิจธนสาร และคุณากร เจริญวงศ์ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. และภาพจาก shutterstock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สร้างสรรค์สื่อวิดีโอ Infographic อย่างมืออาชีพด้วย Canva (รุ่นที่ 5)
🎯 หลักสูตรที่พลาดไม่ได้: สร้างสรรค์สื่อวิดีโอ Infographic อย่างมืออาชีพด้วย Canva (รุ่นที่ 5) 🎯 สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (CFA) สวทช. ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมพัฒนาทักษะการสร้างสรรค์สื่อวิดีโอ Infographic เพื่อการนำเสนอที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วย Application Canva ในยุคที่ AI Generative เข้ามามีบทบาทสำคัญ การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่เข้าถึงและโดนใจกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งจำเป็น หลักสูตรนี้จะพาคุณเจาะลึกกระบวนการคิดและการสร้างสรรค์ ตั้งแต่การวาง Direction Concept ไปจนถึงการผลิตสื่อวิดีโอคุณภาพสูงในรูปแบบ Infographic ด้วย Canva Pro ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่างสูง สิ่งที่คุณจะได้รับจากหลักสูตรนี้: ✅ เรียนรู้การใช้ Canva Pro เพื่อสร้างสรรค์การนำเสนอที่ทันสมัยและมีคุณภาพ ✅ ทำความเข้าใจกระบวนการสร้าง Content ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ✅ สัมผัสประสบการณ์การใช้ เครื่องมือ AI ที่จะช่วยให้การสร้างวิดีโอเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วขึ้น ✅ โอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานจริง และพัฒนาทักษะการนำเสนอในยุคดิจิทัล รายละเอียดหลักสูตร: วันที่: 26 - 27 มิถุนายน 2568 เวลา: 09.00 – 16.00 น. สถานที่ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ หรือเทียบเท่า ค่าลงทะเบียน:บุคคลทั่วไป: 9,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หน่วยงานภาครัฐ: 9,252.34 บาท ราคารวม: อาหารว่าง อาหารกลางวัน เอกสารประกอบการเรียน และคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการฝึกอบรม 🔥 จำนวนจำกัดเพียง 9 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น! 🔥 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ตัวอย่างผลงานผู้เข้าร่วม และลงทะเบียนได้ที่: https://www.career4future.com/vinfo/    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: คุณใหม่: 08 5289 2669 อีเมล: bas@nstda.or.th มาร่วมยกระดับทักษะการนำเสนอของคุณไปอีกขั้นกับ สวทช. นะคะ!
ปฏิทินกิจกรรม
 
เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง และ บพท. ผนึกกำลังจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วม แปรรูปและใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่
18 มิถุนายน 2568: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีวัสดุก่อสร้างจากไม้ไผ่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ระหว่าง เอ็มเทค สวทช. และ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง จัดขึ้นภายในงาน “สัมมนาไทย - จีนด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน: การถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม การแปรรูปไม้ไผ่และการประยุกต์ใช้งาน "Thailand - China Symposium on Innovation and Sustainability: Technology and Innovation Transfer on Bamboo Processing and Its Applications” ภายใต้งานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.พสุภา ชินวรโสภาค อัครราชทูตที่ปรึกษา ฝ่ายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม นายหม่า หมิงเกิง ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Counselor (Science and Technology) สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย  และศาสตราจารย์ ดร.ซรู่ว จาง รองคณบดีวิทยาลัยวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง ดร.ปุ่น เที่ยง บูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และ ดร.ลักษมณ สมานสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องโลตัส 5-6 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง (Nanjing Forestry University) ในครั้งนี้เป็นความร่วมมือในการแสวงหาและถอดบทเรียนว่าประเทศไทยและจีนสามารถร่วมมือกันอย่างไร ในการปลดล็อกศักยภาพของไม้ไผ่ ทั้งในมิติด้านงานวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการประยุกต์ใช้ในบริบทจริง ซึ่ง “ไม้ไผ่” ในมุมมองที่เป็นวัสดุชีวภาพที่มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกทดแทนได้ และมีความหลากหลายในการใช้งาน นับเป็นวัสดุทางเลือกที่มีศักยภาพเป็นอย่างมากและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีส่วนสำคัญในการช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเป็นแหล่งวัตถุดิบตั้งต้นในการพัฒนานวัตกรรมวัสดุชีวภาพ โดย สวทช. มีความยินดีและภาคภูมิใจที่ได้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นการบูรณาการแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ผ่านกลไกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดนเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ต่อไป” รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า “การลงนามครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง เอ็มเทค สวทช. กับ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง (Nanjing Forestry University) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีวัสดุก่อสร้างจากไม้ไผ่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในการแลกเปลี่ยนทรัพยากรและดำเนินงานวิจัยที่เสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะด้านการแปรรูปและใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่ รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นไปปรับใช้ในบริบทพื้นที่จริง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ใช้งานได้จริงและเกิดผลกระทบอย่างยั่งยืน” สำหรับวัตถุประสงค์ของการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและร่วมอภิปรายแนวโน้มงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมวัสดุและความยั่งยืนในปัจจุบัน ตลอดจนการประยุกต์ใช้และต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้มีความยั่งยืนในอนาคต และเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม ผ่านการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรและดำเนินงานวิจัยร่วมกันที่เสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะในด้านการแปรรูปและใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่ รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่พัฒนานำไปสู่การใช้จริงในบริบทพื้นที่จริง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ใช้งานได้จริงและเกิดผลลัพธ์ผลกระทบอย่างยั่งยืนในระยะยาว อย่างไรก็ตามความร่วมมือระหว่างสวทช. และ จีนในครั้งนี้ ที่ผ่านมาทาง เอ็มเทค สวทช. มีการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ (Technology Localization) โดยใช้กลยุทธ์การจัดหาเทคโนโลยีและเครื่องจักรจากต่างประเทศที่มีการพัฒนาไปไกลมาก ผ่านการออกแบบ พัฒนาและต่อยอดโดยคนไทย จึงเป็นแนวทางที่ทำให้เกิดการใช้งานจริงในระดับผู้ประกอบการไทยและกลุ่มลูกค้าปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยการสนับสนุนที่แข็งแกร่งของหน่วยงานพันธมิตรจีนและไทย โดยเฉพาะโครงการในลุ่มแม่น้ำโขงของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่เชื่อมโยงทั้ง 2 หน่วยงานนำมาสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ทำให้ เอ็มเทค สวทช. ได้มีโอกาสได้รู้จักกับคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์วัสดุ มหาวิทยาลัยป่าไม้หนานจิง (College of Materials and Engineering, Nanjing Forestry University (NJFU)) นอกจากนี้จากการเยือน NJFU ของคณะจาก เอ็มเทค สวทช. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ยังเป็นการเพิ่มความมั่นใจของทั้งสองฝ่ายที่จะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการแปรรูปไม้ไผ่ระหว่างจีนและไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของทั้งสองประเทศที่จะได้มีความร่วมมือในด้านใหม่ ๆ อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 50 ปี ซึ่งสะท้อนถึงมิตรภาพและความร่วมมืออันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมลงนามความร่วมมือส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพฯ กับกรมส่งเสริมการเกษตร และพันธมิตร รวมกว่า 36 หน่วยงาน
(18 มิ.ย. 2568) ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ - ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วมลงนามความร่วมมือใน “พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ในการส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพ การวิจัย และพัฒนาตลอดห่วงโซ่อุปทานกาแฟอย่างยั่งยืน" ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 36 หน่วยงาน เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนห่วงโซ่คุณค่ากาแฟไทย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มุ่งยกระดับการผลิตกาแฟคุณภาพ เสริมความเชื่อมั่นด้านตลาด และสร้างรายได้ที่เป็นธรรมแก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟทั่วประเทศ โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี ร่วมด้วย นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และผู้บริหารหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมงานอย่างคับคั่ง ภายใต้การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) จะร่วมเป็นเครือข่ายส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพ การวิจัยและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานกาแฟอย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้มีสาระสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ การส่งเสริมการวิจัยและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การพัฒนาระบบการตลาดที่เป็นธรรม การรับซื้อผลผลิตในราคายุติธรรม ลดการเผาในพื้นที่เกษตร ส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ ภายใต้กรอบ MOU จะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อกำกับติดตามผลการดำเนินงาน พร้อมตั้งเป้าหมายพัฒนาเกษตรกรกว่า 12,000 ครัวเรือน เข้าสู่ระบบกาแฟคุณภาพภายใน 3 ปี โดยนำร่องในพื้นที่ 1,000 ไร่ พร้อมเปิดโอกาสให้เกษตรกรและยุวเกษตรกร เข้าสู่เวทีการแข่งขันในระดับสากล พร้อมส่งเสริมการวิจัย เทคโนโลยี ตลาดที่โปร่งใส และการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดัน “กาแฟไทย” ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นธรรม และมีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกอย่างแท้จริง     
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
วช. – สวทช. เปิดตัว 3 นักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568
(18 มิถุนายน 2568) ณ ห้อง Lotus Suite 9 ชั้น 22 บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมจัด “งานเปิดตัวนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568” โดย นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์กิตติคุณพีระศักดิ์ จันทร์ประทีป ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว 3 นักวิจัยศักยภาพสูง ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 และแถลงความสำคัญของโครงการวิจัยที่จะดำเนินการ รวมถึงผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยมีคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ผู้บริหาร วช. ผู้บริหาร สวทช. ผู้บริหารต้นสังกัดนักวิจัย นักวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของ วช. โดยมุ่งเน้น 4 ด้าน ได้แก่ 1) ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยไทย เพื่อให้เกิดกลุ่มวิจัยที่เข้มแข็ง ทำงานเป็นทีม และมีโครงสร้างการพัฒนานักวิจัยอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับนักศึกษา นักวิจัยรุ่นใหม่ นักวิจัยรุ่นกลาง จนถึงนักวิจัยอาวุโส 2) สร้างและบูรณาการองค์ความรู้ เพื่อสร้างผลกระทบ และความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของประเทศ 3) สร้างโอกาสการวิจัยและการใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ เช่น ด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและชุมชน ด้านนโยบาย และ 4) สร้างเครือข่ายการวิจัยระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อผลักดันผลผลิตงานวิจัย รวมถึงการสื่อสารข้อค้นพบทางวิชาการให้กับสังคมและชุมชน และการตอบสนองต่อปัญหาวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ โดยในปี 2568 วช. ร่วมกับ สวทช. เปิดรับข้อเสนอการวิจัยและนวัตกรรม “ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือด้านสังคมศาสตร์ หรือด้านมนุษยศาสตร์ และได้ให้การสนับสนุนนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ชัย จาตุรพิทักษ์กุล จากสาขาวิศวกรรมและเทคโนโลยี ศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิงณัฎฐิยา หิรัญกาญจน์ จากสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพ และศาสตราจารย์ ดร.สุวบุญ จิรชาญชัย จากสาขาวิศวกรรมและเทคโนโลยี งบประมาณรวมไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อโครงการ ระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี ปัจจุบันทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูงนี้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 ให้การสนับสนุนไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 12 โครงการ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานที่ดูแลและบริหารจัดการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง โดยอาศัยกระบวนการบริหารจัดการงานวิจัยและกลไกบริหารโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่ สวทช. มีอยู่ รวมถึงการใช้ทรัพยากรและกระบวนการของ สวทช. ไม่ว่าจะเป็นฐานนักวิจัย โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือกลไกบริหารโครงการวิจัย โดยความร่วมมือระหว่าง วช. และ สวทช. จะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ วช. และ สวทช. ร่วมดำเนินการพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัย โดยใช้เกณฑ์ครอบคลุมศักยภาพของบุคลากรและคุณค่าของโครงการ ผ่านคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อคัดเลือกโครงการที่มีความโดดเด่นและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศอย่างแท้จริง ศาสตราจารย์กิตติคุณพีระศักดิ์ จันทร์ประทีป ผู้แทนคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง กล่าวแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับนักวิจัยทั้ง 3 ท่านและทีมวิจัย ที่ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ซึ่งล้วนเป็นนักวิจัยระดับแนวหน้าของประเทศที่มีผลงานวิจัยโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับ ทุนวิจัยนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างทีมวิจัยที่เข้มแข็งที่มีศักยภาพระดับในและต่างประเทศ ซึ่งการทำงานเป็นทีมย่อมสร้างผลงานที่มีผลกระทบสูงและสามารถขยายผลได้อย่างกว้างขวางมากกว่าการทำงานเพียงลำพัง และการสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักวิจัยก้าวข้ามอุปสรรค บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังให้ทีมวิจัยเหล่านี้เป็นคลังสมองของประเทศ เพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ ๆ ขยายบทบาทสู่เวทีนานาชาติ และเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ภายในงาน ยังมีการแถลงงานวิจัยของนักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 และแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการวิจัยดังกล่าว โดยผู้ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ 1. ศาสตราจารย์ ดร.ชัย จาตุรพิทักษ์กุล สังกัด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โครงการ “เทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นแนวหน้าในอุตสาหกรรมก่อสร้างเพื่อรองรับการพัฒนาเมกะซิตี้แห่งอนาคต” ผลผลิตที่ได้จากโครงการนี้จะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาเมกะซิตี้แห่งอนาคตของประเทศไทยในทุกมิติ ทั้งด้านกำลังคนทักษะสูง ด้านนวัตกรรมวัสดุสมัยใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้านบริหารจัดการเมืองและการประเมินความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาเศษฐกิจและนโยบายเพื่อการสร้างเมืองแห่งอนาคตที่ยั่งยืน” 2. ศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิงณัฎฐิยา หิรัญกาญจน์ สังกัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการ “แนวทางใหม่ในภูมิคุ้มกันบำบัด: ผสานการวิศวกรรมเซลล์ขั้นสูง การปรับโปรแกรมเซลล์ และการรักษาเสริมเพื่อโรคมะเร็งและโรคอักเสบที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน” จุดเด่นของโครงการนี้คือ การพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานจริงในโรงพยาบาลไทย ผ่านแพลตฟอร์มหลากหลาย รวมถึงแนวทาง Combination Therapy ที่ปรับระบบภูมิคุ้มกันหลายระดับพร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคที่ซับซ้อน เช่น มะเร็ง โรคอักเสบเรื้อรัง และโรคภูมิต้านตนเอง การวิจัยครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบเซลล์รักษาเฉพาะบุคคล (CAR T cells) การพัฒนาแอนติบอดีรูปแบบใหม่ (BiTEs และ TriKEs) การใช้ข้อมูลพันธุกรรมเพื่อเพิ่มความแม่นยำไปจนถึงการปรับเมตาบอลิซึมของเซลล์ด้วยโปรไบโอติกที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในกลุ่มโรคอ้วน ซึ่งสัมพันธ์กับการอักเสบเรื้อรังและความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระยะยาว โครงการนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการแพทย์เฉพาะบุคคล 3. ศาสตราจารย์ ดร.สุวบุญ จิรชาญชัย สังกัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการ “บนความท้าทายของไบโอรีไฟเนอรี่อุตสาหกรรมขั้นปลาย: การพัฒนาวัสดุขั้นสูง วัสดุกลไกพิเศษ และวัสดุนวัตกรรมจากพอลิเมอร์ สีเขียวเพื่อการแข่งขันได้อย่างยั่งยืนของประเทศไทย” มุ่งเปลี่ยนผ่านจากการใช้ทรัพยากรปิโตรเลียมสู่การใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างชาญฉลาด ด้วยองค์ความรู้ด้านเคมีพอลิเมอร์ในการพัฒนาโครงสร้างวัสดุใหม่ เช่น ตัวเร่งปฏิกิริยาเปิดปิดตนเองได้ อุปกรณ์ขยายหลอดเลือดจดจำรูปร่างได้ อีลาสโตเมอร์ชีวภาพย่อยสลายได้ พลาสติกจากแป้งซ่อมแซมตัวเองได้ พลาสติกจากเมล็ดยางซ่อมแซมตัวเองได้ เจลชีวภาพเคลื่อนไหวได้ บรรจุภัณฑ์นำไฟฟ้าจากพลาสติกชีวภาพ ถุงร้อนถุงเย็นจากพลาสติกชีวภาพ นวัตกรรมดึงยืดเพื่อเพิ่มความเหนียวพลาสติกชีวภาพ นวัตกรรมควบคุมการย่อยสลายพลาสติกชีวภาพ และวัสดุขั้นสูงทางการแพทย์ สะท้อนภาพอนาคตของอุตสาหกรรมไทยภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจชีวภาพ” (Bioeconomy) และ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” (Sustainable Development Goals) ทั้งนี้ผลงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของนักวิจัยศักยภาพสูงทั้ง 3 ท่าน มุ่งเน้นผลสำเร็จ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ ทั้งมิติด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ และด้านนโยบาย เพื่อใช้เป็นกลไกในการพัฒนาและแก้ปัญหาเร่งด่วนสำคัญของประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนากำลังคนและสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้เป็นฐานการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศแบบก้าวกระโดดและอย่างยั่งยืน โดยใช้วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือพันธมิตร เฟ้นหา ‘สุดยอดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ’ สู่เวที gSIC
(วันที่ 13 มิถุนายน 2568) อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ จัดกิจกรรมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ครั้งที่ 17 (Student Innovation Challenge: SIC Thailand 2025) เพื่อคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยสู่การประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุของนักศึกษาระดับนานาชาติ (Global Student Innovation Challenge: gSIC 2025) ซึ่งจะจัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับการจัดกิจกรรม SIC Thailand 2025 ในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ประธานกลุ่มความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย (i-CREATe Asia) กล่าวเปิดงาน พร้อมกันนี้ ผู้เชี่ยวชาญจาก Nanyang Technological University ประเทศสิงคโปร์ สภากาชาดไทย สภากายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ทีมวิจัยจากกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ และ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. ร่วมเป็น คณะกรรมการตัดสินการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ทั้งนี้ สวทช. ได้ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยมหิดล และ กลุ่มความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย (Coalition on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology of Asia: CREATe Asia) เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติเรื่องวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกครั้งที่ 18 (The 18th International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology: i-CREATe 2025) เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา ระหว่างวันที่ 24-26 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล กรุงเทพมหานคร โดยการสนับสนุนจาก บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) งานประชุมวิชาการ i-CREATe 2025 มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลงานวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติด้านวิศวกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ในงานประชุมวิชาการฯ และกำหนดให้มีการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (gSIC) เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาได้คิดและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นนวัตกรรมช่วยเหลือคนพิการและผู้สูงอายุ โดย สวทช. เป็นผู้คัดเลือกสิ่งประดิษฐ์ของนักเรียน นิสิต นักศึกษาตัวแทนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประกวดดังกล่าว  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดตัวฐานข้อมูลจีโนไทป์-ฟีโนไทป์มันสำปะหลัง หนุนการพัฒนาพืชเศรษฐกิจของไทยด้วยความร่วมมือไทย-เยอรมนี
กรุงเทพฯ, 16 มิถุนายน 2568 - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบัน Institute of Bio- and Geosciences (IBG-2), Forschungszentrum Jülich เยอรมนี และพันธมิตร เปิดตัวฐานข้อมูลจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของมันสำปะหลัง หนึ่งในฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากความร่วมมือวิจัยระหว่างประเทศไทยและเยอรมนี เพื่อเป้าหมายสนับสนุนการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว โดยได้รับเกียรติจาก Mr. Johannes Kerner, Economic and Commercial Counsellor, German Embassy in Bangkok กล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยผู้บริหาร นักวิจัย จากไบโอเทค และ Forschungszentrum Jülich เยอรมนี โครงการ CASSAVASTORE หรือโครงการการศึกษาข้อมูลฟีโนไทป์ จีโนไทป์ และสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลัง (Manihot esculenta Crantz) เพื่อประโยชน์สำหรับงานปรับปรุงพันธุ์เพื่อเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังของประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนงบประมาณรวมกว่า 62 ล้านบาท ดำเนินการโดย สวทช. และ สถาบัน Forschungszentrum Jülich สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยในส่วนของงบประมาณสนับสนุนการวิจัยสถาบัน Julich โดยการดำเนินงานวิจัยของทีมนักวิจัยเยอรมันได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลเยอรมัน จำนวนเงิน 803,356 ยูโร หรือประมาณ 32 ล้านบาท ส่วนงบประมาณสนับสนุนการวิจัยของทีมนักวิจัยไทยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก สวทช. ประมาณ 30 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี ระหว่างปี 2560-2562หน่วยงานหลักที่ร่วมดำเนินโครงการจากทั้งสองประเทศ ได้แก่ Forschungszentrum Jülich ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง กรมวิชาการเกษตร ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า “ผลสำเร็จของโครงการหลังจากสิ้นสุดระยะเวลาโครงการคือประเทศไทยได้ข้อมูลที่สำคัญของลักษณะทางฟีโนไทป์ จีโนไทป์ และสรีรวิทยา ของการเจริญพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลังทั้งพันธุ์ไทยและพันธุ์จากต่างประเทศกว่า 600 พันธุ์/สายพันธุ์ ที่เก็บรวมรวมไว้ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง กรมวิชาการเกษตร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สำคัญต่อการวิจัยและพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในอนาคต” Prof. Dr. Uwe Rascher  ผู้แทนสถาบัน Institute of Bio- and Geosciences (IBG-2), Forschungszentrum Jülich กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับนักวิจัยไทยในการนำเทคโนโลยี Magnetic Resonance Imaging (MRI) จากสถาบัน Julich มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ฟีโนไทป์และสรีรวิทยาร่วมกับการพัฒนา VDO box โดยเนคเทคเพื่อถ่ายภาพการเจริญพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลังทั้ง 600 พันธุ์/สายพันธุ์ สามารถตรวจสอบปัจจัยและกระบวนการสำคัญที่มีผลในการเจริญเติบโตและการพัฒนารากสะสมอาหารของมันสำปะหลังได้อย่างแม่นยำ ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในงานวิจัยด้านการเกษตรไทยและภูมิภาค” ด้าน ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ไบโอเทค สวทช. เสริมว่า “ข้อมูลที่ได้จากโครงการนี้ ได้รับการจัดเก็บอย่างเป็นระบบไว้ที่ NBT และพร้อมเปิดให้เข้าถึงสำหรับนักวิจัยและผู้พัฒนาพันธุ์พืชทั่วโลกเร็วๆนี้ โดยตั้งเป้าให้เป็นแหล่งข้อมูลพันธุกรรมมันสำปะหลังที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก” Dr. Tobias Wojciechowski นักวิจัยอาวุโสจาก สถาบัน IBG-2 at Forschungszentrum Jülich กล่าวว่า ”ความร่วมมือระหว่างนักวิจัยไทยและเยอรมันในโครงการ CASSAVASTORE ไม่เพียงสร้างฐานข้อมูลฟีโนไทป์และจีโนไทป์ของมันสำปะหลังขนาดใหญ่ระดับโลกเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการวิจัยข้ามพรมแดนที่สามารถยกระดับการเกษตรของไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาพันธุ์พืชอย่างยั่งยืน” ฐานข้อมูลที่พัฒนาในโครงการนี้จะเป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับนักวิจัย นักปรับปรุงพันธุ์ และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการเกษตรทั่วโลกในการขับเคลื่อนการผลิตมันสำปะหลังที่มีประสิทธิภาพ ทนทานต่อโรค และปรับตัวได้ในหลากหลายสภาพแวดล้อม เพื่อรองรับความมั่นคงทางอาหารของโลกในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์