หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ประกาศแล้ว ผู้ชนะการประกวดผลงาน วทน. ‘NSTIF 2021’ ครั้งที่ 1 สวทช.- วช. หนุนสร้าง ‘นวัตกร’ พัฒนากำลังคนของประเทศ
วันที่ 19 มีนาคม 2564 ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประกาศผล “การประกวดผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (วทน.) ครั้งที่ 1 (The 1st National Science Technology and Innovation Fair 2021 หรือ NSTIF 2021)” เป็นผลงานที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศมาจากเวทีการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (YSC) ครั้งที่ 23 และจากเวทีการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (NSC) ครั้งที่ 23 ในรูปแบบออนไลน์ โดยมี ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ นายธีรวัฒน์ บุญสม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ร่วมงานประกาศรางวัลแบบออนไลน์ถ่ายทอดสดผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก NSTDA-สวทช. https://www.facebook.com/NSTDATHAILAND (more…)
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ผนึก มธ. เสริมแกร่งบริการ-วิเคราะห์ทดสอบ ยกระดับอุตสาหกรรมและงานวิจัยตามมาตรฐานสากล
19 มีนาคม 2564 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC: NSTDA Characterization and Testing Service Center) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานแถลงข่าวการลงนามการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิเคราะห์ทดสอบเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ระหว่าง สวทช. กับ สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเสริมแกร่งในการพัฒนาวิธีการและบริการแบบทวิภาคี โดยมี ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. และ รองศาสตราจารย์ เกศินี  วิฑูรชาติ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมลงนาม ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิเคราะห์ทดสอบเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ในการพัฒนาวิธีการและบริการแบบทวิภาคี ณ ชั้น 1 Towe-C Hall อาคาร INC 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ภายใต้กระทรวง อว. เป็นองค์กรที่มุ่งสร้างเสริมการวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรมให้สามารถถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ พร้อมส่งเสริมด้านการพัฒนากำลังคน และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จำเป็น โดยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพ (National Quality Infrastructure: NQI) ดำเนินงานเพื่อให้เกิดมาตรฐานของประเทศไทยที่เทียบเท่ามาตรฐานสากล ผ่านศูนย์ NCTC ซี่งเป็นผู้ให้บริการวิเคราะห์ทดสอบตามวิธีมาตรฐานสากล ซึ่ง NCTC เป็นศูนย์เครื่องมือกลางของ สวทช. สนับสนุนงานวิจัยและให้บริการวิเคราะห์ทดสอบและพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ทดสอบด้วยเทคนิคต่าง ๆ ร่วมกัน (Share use) ลดภาระการลงทุนซ้ำซ้อนของเครื่องมือ สวทช. และประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ในการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบตามวิธีมาตรฐานต่าง ๆ สนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้ามูลค่าสูง เพื่อเป็นศูนย์กลางการดำเนินงานในการพัฒนาและส่งเสริมงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ควบคุมระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ISO/IEC17025 เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานขององค์กร ปัจจุบัน สวทช. และภาคเอกชนในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย รวมถึงเครือข่ายและพันธมิตรที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญและความจำเป็นในด้านการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์และมาตรฐานชิ้นงานที่สร้างความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ จึงได้พัฒนาบริการวิเคราะห์ทดสอบเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย และการตรวจประเมินให้การรับรองที่ได้มาตรฐานสากลให้กับภาคเอกชนและหน่วยงานของรัฐ ทั้งมาตรฐาน ISO มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานเฉพาะทางอื่น ๆ โดย สวทช. มีเครื่องมือวิเคราะห์ทดสอบเพื่อรองรับการวิเคราะห์ทดสอบงานวิจัยและพัฒนาครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งสนับสนุนการทำวิจัยที่มีนักวิจัยและเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้ามูลค่าสูงให้กับภาครัฐและเอกชนในหลายอุตสาหกรรม “การสนับสนุนการวิจัย วิเคราะห์ทดสอบ และการบริการ ให้มีมาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ของ สวทช. นั้น จะเป็นไปอย่างสมบูรณ์ไม่ได้ หากขาดความร่วมมือและบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยขั้นสูง สวทช. จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือ เพื่อการวิเคราะห์ทดสอบเครื่องมือวิทยาศาสตร์ พัฒนาวิธีการและบริการแบบทวิภาค ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพกระบวนการวิจัยและพัฒนาการวิเคราะห์ทดสอบด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยขั้นสูง เพิ่มโอกาสให้ร่วมกันพัฒนาศักยภาพของห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบให้ได้มาตรฐาน ทำให้ศักยภาพการวิจัยและพัฒนาวิเคราะห์ทดสอบในประเทศเทียบเท่ามาตรฐานสากล รวมถึงบูรณาการความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานความรู้ของประเทศต่อไป” ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว ด้าน รองศาสตราจารย์ เกศินี  วิฑูรชาติ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การลงนามร่วมกันครั้งนี้ สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมี ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อการวิจัยขั้นสูง ศูนย์วิจัยค้นคว้าและพัฒนายา ศูนย์สัตว์ทดลอง ศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาและบ่มเพาะวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้บริการเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการ สัตว์ทดลอง ทางด้านการวิจัยและให้บริการด้านทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ส่วนศูนย์ NCTC สวทช. เป็นหน่วยงานที่มีชื่อเสียงและเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและส่งเสริมงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านวิทยาศาสตร์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีคุณภาพห้องปฏิบัติการที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ของสังคมซึ่งจะนำไปสู่นวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศชาติ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้หน่วยงานทั้งสองฝ่ายได้มีความร่วมมือทางด้านวิเคราะห์ทดสอบ เกิดความร่วมมือในการพัฒนาวิธีการและบริการด้วยเครื่องวิทยาศาสตร์แบบทวิภาคีร่วมกัน เกิดองค์ความรู้ที่บูรณาการระหว่างบุคลากร การประยุกต์ใช้เครื่องมือและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ จนนำไปสู่นวัตกรรมอันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โอกาสสำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Economy Model
“เราจะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทย ไปสู่ประเทศที่หลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีได้อย่างไร โดยเฉพาะเรื่อง BCG ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ” บางช่วงบางตอนซึ่ง เป็นทั้งคำถามและชี้ให้เห็นถึงโอกาส…หากลองทำความเข้าใจกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ หรือ BCG Economy Model ของ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ในการแถลงข่าว การจัดงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 16 (16th NSTDA Annual Conference: NAC2021) ภายใต้แนวคิด “30 ปี สวทช. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เพราะหลายสิบปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวช้า ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังมีรายได้น้อย เป็นเหตุให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยังติดกับดักรายได้ปานกลางมาอย่างยาวนาน เมื่อรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยไปสู่รูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า BCG Economy Model โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่จะช่วยต่อยอดจุดแข็งของประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยอาศัยกลไกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง โดยเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจาก ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ไปสู่ ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ แล้ว BCG คืออะไร ทำไมถึงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย BCG Economy Model คือ 3 เศรษฐกิจหลัก ได้แก่ B = Bio Economy ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า เชื่อมโยงกับ C = Circular Economy ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และทั้ง 2 เศรษฐกิจนี้ อยู่ภายใต้ G = Green Economy ระบบเศรษฐกิจสีเขียว ที่มุ่งเน้นแก้ไขปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็งและประชาชนมีรายได้สูงขึ้น ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วย BCG เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2564-2569 ประกอบด้วย 4 แผนยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1. เกษตรและอาหาร 2. สุขภาพและการแพทย์ 3. พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4. การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งในฐานความหลายหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมของประเทศไทย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เน้นย้ำถึงการใช้ วทน. กับโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ได้อย่างน่าสนใจว่า “จุดสำคัญในการพัฒนาประเทศในหลายๆ ประเทศ จะอยู่บนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรที่เป็นจุดแข็งและต้นทุนสำคัญของการพัฒนาประเทศนั้นๆ สำหรับประเทศไทยมีจุดแข็ง คือความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพนั้นเกิดขึ้นใหม่ได้ และหากใช้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพจะไม่หมดไป มีแต่เพิ่มพูน สังเกตได้ชัดจากช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 มีการล็อกดาวน์ งดการเดินทาง ทำให้แหล่งท่องเที่ยวที่เคยเสื่อมโทรม ทรัพยากรต่างๆ กลับฟื้นตัวขึ้นมา ทว่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติหลังยุคโควิดจะทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว ต้องมีการย่อยอด เพิ่มพูน สานต่อและใช้ประโยชน์ให้เกิดความยั่งยืน” ดร.ณรงค์ อธิบายต่อว่า ขณะเดียวกันต้องนำสิ่งที่เพิ่มพูนแล้ว ให้ชุมชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์ได้ด้วย เพราะหากชุมชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้ อาจจะไม่ต้องแปลงมูลค่าเป็นตัวเงิน แต่เปลี่ยนจากการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เป็นการสร้างมั่นคงในอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ทำให้ชุมชนมีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ มีแหล่งพักผ่อนที่สมบูรณ์ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขโดยไม่ต้องแปลงเป็นตัวเงินได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี บนความหมายหลายทางชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย เมื่อเกิดการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าและยั่งยืนแล้ว ผอ. สวทช. ยังชวนมองโอกาส ที่สามารถสร้างจากความหลากหลายนั้นๆ ให้เกิดเป็นอุตสาหกรรมที่เพิ่มมูลค่า ด้วยงานวิจัย ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางด้าน วทน. เพิ่มเติมเข้ามาด้วยเช่นกัน ดังตัวอย่างนวัตกรรมที่ สวทช. เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ ได้เห็นตัวอย่าง จากงานวิจัยที่ต่อยอดจากความหลายหลากทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Economy Model โดย สวทช. ได้รวบรวมไว้บนแพลตฟอร์มออนไลน์เต็มรูปแบบ ซึ่งสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ทางเว็บไซต์ www.nstda.or.th/nac และแนะนำให้รับชมผ่านออนไลน์ได้ 6 วันเต็ม ระหว่างวันที่ 25-30 มีนาคมนี้ ขอยกตัวอย่างเพียงบางส่วนของผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น ด้านอาหารทางเลือก: ผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกจาก Mycoprotein หรือ เนื้อเทียมประเภท ‘มัยคอโปรตีน’ ไม่มีคอเลสเตอรอลและมีไขมันอิ่มตัวต่ำ นวัตกรรมสำหรับต่อยอดในธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Plant-based chicken meat) พัฒนาขึ้นโดยอาศัยองค์ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบโครงสร้างของอาหาร และคุณสมบัติของโปรตีน ประกอบกับการใช้สารที่ทำหน้าที่ยึดเกาะ และเส้นใยอาหารที่เหมาะสมในการสร้างเนื้อสัมผัสให้คล้ายคลึงกับเนื้อไก่ สามารถปั้นขึ้นรูปได้ง่ายภายหลังการปั่นผสม และสามารถนำไปปรุงเป็นเมนูอาหารต่างๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแช่แข็ง เช่น วิธีการทอด ย่าง ผัด หรือ แกง ทำให้ง่ายต่อการผลิตในระดับอุตสาหกรรม เครื่องดื่มโปรตีนสูงชนิดเจลจากโปรตีนถั่วเขียว (M-Pro Jelly Drink) ที่มีปริมาณโปรตีนสูงมากกว่าร้อยละ 20 มีการเสริมแคลเซียมกว่าร้อยละ 10 เหมาะสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป   เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ มาเพิ่มศักยภาพให้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี   นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกหลายกิจกรรมของงาน NAC2021 อาทิ กิจกรรมสัมมนาออนไลน์มากกว่า 34 หัวข้อ เช่น การพัฒนาวัคซีนโควิด-19, นาโนโรโบติกพิชิตมะเร็ง, การวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับความปลอดภัยด้านการคมนาคมขนส่งในระบบราง นิทรรศการออนไลน์ เช่น โซนเทิดพระเกียรติครบรอบ 20 ปี ความร่วมมือไทย-เซิร์น (CERN), โซน BCG Economy Model 8 กลุ่ม เช่น ยาและวัคซีน เครื่องมือแพทย์ ท่องเที่ยว เศรษฐกิจหมุนเวียน การจัดกิจกรรมเยี่ยมชม Open House แบบออนไลน์ 8 เส้นทางสู่การต่อยอดธุรกิจนวัตกรรม กิจกรรม S&T Job Fair รับสมัครงานออนไลน์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2,000 อัตราจาก 30 องค์กรชั้นนำ และกิจกรรมวิทยาศาสตร์แบบออนไลน์สำหรับเยาวชน เป็นต้น 25-30 มีนาคมนี้ โอกาสอยู่แค่ปลายนิ้ว ลงทะเบียนล่วงหน้าคลิก www.nstda.or.th/nac
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ครั้งแรกในไทย วิจัย “โปรตีนทางเลือกจากจุลินทรีย์” พัฒนาสู่เนื้อบดเทียมทดแทนเนื้อสัตว์ ปลอดภัย ไร้สารปนเปื้อน
  ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมหันมารับประทานโปรตีนทางเลือกมากขึ้น เนื่องด้วยความใส่ใจในสุขภาพ และความกังวลต่อความปลอดภัยของเนื้อสัตว์ที่อาจพบการปนเปื้อนของยาปฏิชีวนะ รวมถึงโรคต่างๆ ที่สัตว์อาจติดมา ทำให้มีผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกต่างๆ เช่น โปรตีนจากพืช โปรตีนจากแมลง รวมถึงโปรตีนจากจุลินทรีย์กินได้ออกมาวางจำหน่ายจำนวนมากในท้องตลาด ล่าสุด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัวความสำเร็จผลงานวิจัย “โปรตีนทางเลือกจากจุลินทรีย์” หรือ “มัยคอโปรตีน (Mycoprotein)” ที่ผลิตได้ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยโปรตีนที่ได้มีลักษณะเส้นใยคล้ายเนื้อสัตว์ ไม่มีคอเลสเตอรอล อุดมด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และเบต้ากลูแคน ที่สำคัญบริโภคได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย ไร้สารปนเปื้อน ที่สำคัญเตรียมร่วมมือบริษัทเอกชน พัฒนาสู่ “เนื้อบดเทียม” และ “ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป” ออกสู่ตลาด   [caption id="attachment_16297" align="aligncenter" width="700"] รศ.ดร.ประเสริฐ ภวสันต์ ที่ปรึกษา บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด (ซ้าย)นางอัจฉรา งานทวี ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด (กลาง) ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง นักวิจัยอาวุโส ไบโอเทค สวทช. (ขวา)[/caption] ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง นักวิจัยอาวุโส กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยในงานแถลงข่าวการจัดงานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2564 (NAC2021) ว่า โปรตีนจากจุลินทรีย์ หรือ มัยคอโปรตีน ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใหม่ เพราะมีการวางขายแล้วในยุโรป ส่วนในประเทศไทยที่ผ่านมายังไม่สามารถผลิตเองได้ และมีการนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ขณะนี้ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. สามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตโปรตีนจากจุลินทรีย์ได้สำเร็จ ถือเป็นเทคโนโลยีของคนไทย และผลิตจากจุลินทรีย์ที่พบในประเทศ “การพัฒนาเทคโนโลยี ทีมวิจัยได้คัดเลือกสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่มีความปลอดภัย เป็นเกรดอาหาร (food-grade microbe) และมีประสิทธิภาพในการผลิต โดยมีคุณสมบัติเด่น คือ 1. เป็นสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่ผลิตโปรตีนปริมาณมาก 2. มีการสร้างเส้นใยที่มีลักษณะเหมาะสม และ 3. เป็นสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่ปลอดภัย ไม่สร้างสารพิษ หรือ มัยคอทอกซิน (Mycotoxin) ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยทีมวิจัยนำเส้นใยมัยคอโปรตีนที่ผลิตได้ไปตรวจวิเคราะห์เพื่อรับรองความปลอดภัยด้วย หลังจากได้สายพันธุ์จุลินทรีย์ที่เหมาะสม มีการพัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการผลิตทั้งในระดับห้องปฏิบัติการ และโรงงานต้นแบบ เพื่อให้พร้อมต่อยอดสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการผลิตโปรตีนที่มีคุณภาพและต้นทุนต่ำ เพื่อให้แข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้ โปรตีนที่จุลินทรีย์ผลิตมีลักษณะเป็นเส้นใยคล้ายกับเนื้อสัตว์ แต่ทีมวิจัยได้ปรับปรุงโครงสร้างทางกายภาพเพิ่มเติมเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่ดีมากขึ้น ตอนนี้ผลิตภัณฑ์จะมีลักษณะคล้ายเนื้อเทียมบด สามารถใช้ประกอบอาหารปรุงรสทดแทนเนื้อสัตว์บดได้ ซึ่งในอนาคตมีแผนพัฒนาขึ้นรูปให้เป็นชิ้นเนื้อที่มีความคล้ายคลึงเนื้อสัตว์มากขึ้น ส่วนคุณค่าทางโภชนาการพบว่ามีโปรตีนสูงเทียบเท่ากับโปรตีนจากไข่ ไม่มีคอเลสเตอรอล อีกทั้งยังมีกรดอะมิโนจำเป็นครบทุกตัว มีไฟเบอร์ ไวตามิน รวมถึงเบต้ากลูแคน นอกจากจะเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพแล้ว ยังมีความปลอดภัยในการบริโภคด้วย เพราะในกระบวนการผลิตซึ่งเป็นเทคโนโลยีการหมัก ไม่ใช้สารเคมี และไม่มียาปฏิชีวนะ อย่างไรก็ดีขณะนี้ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมกับ บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด เจ้าของแบรนด์ “น้ำตาลลิน” ผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ของประเทศไทย เดินหน้าการวิจัยต่อยอดในระดับกึ่งอุตสาหกรรม รวมทั้งการวิจัยพัฒนาเพิ่มมูลค่าโปรตีนทางเลือกสู่ผลิตภัณฑ์เนื้อเทียมต่างๆ ด้วย” [caption id="attachment_16293" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์จะมีลักษณะคล้ายเนื้อเทียมบด สามารถใช้ประกอบอาหารปรุงรสทดแทนเนื้อสัตว์บดได้[/caption]          ด้าน นางอัจฉรา งานทวี ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด กล่าวว่า ทุกวันนี้น้ำตาลถูกมองเป็นสิ่งที่อันตรายต่อสุขภาพ และรณรงค์ให้ทานน้ำตาลน้อยลง บริษัทจึงพยายามมองหานวัตกรรมที่จะต่อยอดการผลิตไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่มีมูลค่า มากขึ้น กระทั่งมาเจองานวิจัยการพัฒนามัยคอโปรตีนจากจุลินทรีย์ของไบโอเทค สวทช. ทำให้เห็นโอกาส และเกิดเป็นความร่วมมือในการวิจัยพัฒนา เนื่องจากในกระบวนการผลิตต้องใช้น้ำตาลเป็นอาหารให้แก่จุลินทรีย์ ประกอบกับโปรตีนทางเลือกคือ “เทรนด์อาหารแห่งอนาคต” เป็นอุตสาหกรรมอาหารรูปแบบใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างมาก   [caption id="attachment_16295" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างอาหารจากโปรตีนทางเลือกจากจุลินทรีย์[/caption] [caption id="attachment_16300" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างอาหารจากโปรตีนทางเลือกจากจุลินทรีย์[/caption] [caption id="attachment_16299" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างอาหารจากโปรตีนทางเลือกจากจุลินทรีย์[/caption] “ตอนนี้เรามองการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปที่อาหารสำเร็จรูป รวมถึงการขายเป็นวัตถุดิบเนื้อเทียมให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมอาหารต่างๆ เพราะผู้บริโภคปัจจุบันรักสุขภาพมากขึ้น สังเกตจากผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ปรับเปลี่ยนมารับประทานโปรตีนจากพืชจำนวนมาก หรือแม้แต่ในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพฟันและระบบการย่อยอาหาร ไม่สามารถทานเนื้อสัตว์ได้ปริมาณมาก โปรตีนจากจุลินทรีย์จะเป็นทางเลือกหนึ่งที่มาทดแทนได้ นอกจากนี้ยังตอบโจทย์กลุ่มคนที่รักสิ่งแวดล้อม เพราะการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ถือเป็นวิธีหนึ่งในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ สำหรับความคืบหน้าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอนนี้อยู่ระหว่างการวิจัยปรับเนื้อสัมผัสให้เหมือนเนื้อสัตว์มากที่สุด มีรสชาติดี และตุ้นทุนการผลิตต่ำเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด คาดว่าอาจจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้ภายในปลายปี 2564 นี้” ผู้ที่สนใจงานวิจัย “โปรตีนทางเลือกจากจุลินทรีย์” นวัตกรรมอาหารแห่งโลกยุคใหม่ ธุรกิจอาหารมุมมองใหม่แห่งอนาคต ติดตามเพิ่มเติมได้ที่งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 16 (NAC2021: NSTDA Annual Conference 2021) ซึ่งจะจัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์เท่านั้น ระหว่างวันที่ 25-30 มีนาคม 2564 นี้ ลงทะเบียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ที่ https://www.nstda.or.th/nac/2021/ สอบถามเพิ่มเติม 02-5648000 ///////////////   ผู้เรียบเรียง: นางสาวณัฐมน ทีฆาวงศ์, นางสาววัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพ: ทีมประชาสัมพันธ์ สวทช. กราฟิก: นางสาวฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
บทความ
 
เอ็มจี เดินหน้าหนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทยจับมือ สวทช. กำหนดมาตรฐานสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าพร้อมเตรียมเปิดให้บริการสถานีชาร์จ MG SUPER CHARGE
For English-version news, please visit : MG-NSTDA partnership to establish standards for EV charging stations บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เร่งผลักดันการใช้รถยนต์พลังานไฟฟ้าในประเทศให้เติบโต อย่างแข็งแกร่ง แถลงความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาระบบการรับรองและมาตรฐาน EV Charging Station  และเดินหน้าทยอยเปิดให้บริการสถานีชาร์จ MG SUPER CHARGE หลังบรรลุแผนติดตั้งสถานีชาร์จที่โชว์รูมเอ็มจีทั่วประเทศแล้วเสร็จจำนวนทั้งสิ้น 108 แห่ง พร้อมเดินแผนขยายเพิ่มอย่างต่อเนื่องอีก 500 แห่งภายในปีนี้ เอ็มจี  ถือเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ให้ความสำคัญกับสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV Ecosystem) ของประเทศไทย โดยได้เดินหน้าแผนงานด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อน ประเทศไทยให้เข้าใกล้สังคมยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งการแนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด รวมทั้งการสนับสนุนและทำงานร่วมกับหน่วยงานของทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและเอกชน เพื่อให้สังคม ยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมามีการลงนามความร่วมมือกับ การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ในการร่วมกันขยายจุดชาร์จไฟเพื่อรองรับปริมาณยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการร่วมกันส่งเสริมและสร้างสรรค์สังคมยานยนต์ไฟฟ้าให้มีความแพร่หลาย โดยได้ลงนามบันทึกข้อตกลงด้านการพัฒนาระบบการรับรองและมาตรฐานสำหรับ EV Charging Station ผ่านการทดสอบสถานีอัดประจุไฟฟ้าของเอ็มจี หรือ MG SUPER CHARGE เพื่อให้เป็นต้นแบบในการศึกษาวิจัยและใช้งานสถานีชาร์จอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดมาตรฐานที่เป็นหนึ่งเดียวกันให้กับระบบการชาร์จไฟฟ้าของประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี มร. จาง ไห่โป กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยว่า “การร่วมมือกันในครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเมืองไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่มีเป้าหมายเดียวกันเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทย ถือเป็นการยกระดับองค์ความรู้ สร้างบรรทัดฐานระบบการชาร์จและเสริมความแข็งแกร่งให้กับ EV Ecosystem วันนี้เราต่างต้องการให้คนไทยมีความสบายใจในการเลือกและใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า’ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้า สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ มีเป้าหมายหลักเพื่อรับรองความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และ “มาตรฐาน” ของสถานีชาร์จเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ามากขึ้นและให้คนไทยรู้ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าใช้งานง่ายเพียงใด ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศและยกระดับประเทศไทยไปสู่สังคมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไปอีกขั้น” ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “จากนโยบายของภาครัฐ โดยกระทรวงพลังงานที่มีการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าให้เป็นส่วนหนึ่งในแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2558-2579 (Energy Efficiency Plan: EEP 2015) มีเป้าหมายให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 1.2 ล้านคันภายในปี พ.ศ. 2579 ดังนั้น การร่วมมือกันระหว่าง สวทช. และ เอ็มจี ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างครั้งสำคัญ ในการยกระดับมาตรฐานให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next Generation Automotive) ให้มีศักยภาพและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของไทย และขับเคลื่อนให้เกิดสังคมยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เราเห็นถึงความตั้งใจของเอ็มจีในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า โดยได้ให้ความสำคัญกับมาตรฐาน ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ EV Charger ทั้งระดับประเทศไทย และระดับสากล  โดย สวทช.  ได้ร่วมดำเนินการผ่านการทดสอบของศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC พร้อมกันนี้ สวทช. ยังได้ตั้งเป้าหมายให้เกิดการใช้งานห้องปฏิบัติการทดสอบแบตเตอรี่ และ EV Charger ในประเทศไทย รวมถึงการพัฒนาทักษะองค์ความรู้ของผู้ปฏิบัติงานทดสอบในประเทศ เพื่อสนองนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรม ยานยนต์สมัยใหม่ให้ครบวงจรอีกด้วย นอกจากนี้ ทางเอ็มจียังได้ดำเนินการติดตั้งสถานีชาร์จจำนวน 3 แห่ง ให้กับ สวทช. ซึ่งจะกระจายติดตั้งที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี อาคารวิจัยโยธี ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ และศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อสนับสนุนการให้บริการผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างครอบคลุม” มร. จาง ไห่ โป กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับความคืบหน้าของแผนงานการขยายสถานีชาร์จของเอ็มจีที่ประกาศไว้ เมื่อปีที่ผ่านมา ล่าสุดได้บรรลุแผนระยะที่ 1 มีการติดตั้งสถานีชาร์จ จำนวน 108 สถานีที่โชว์รูมและศูนย์บริการเอ็มจีเรียบร้อยแล้ว โดยมีความพร้อมเปิดให้บริการแล้ว 67 สถานี ซึ่งราคาค่าบริการในช่วง Off Peak* จะอยู่ที่ 6.5 บาท ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง และในช่วงเวลา Peak* จะอยู่ที่ 7.5 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง พร้อมเดินหน้าสู่แผนระยะที่ 2 ในการติดตั้งสถานีชาร์จ MG SUPER CHARGE อีก 500 จุดทั่วประเทศด้วยงบลงทุนมูลค่า 500 ล้านบาท ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อลดความกังวลเกี่ยวกับสถานีชาร์จ และเพิ่มความมั่นใจในการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าด้วยจำนวน สถานีชาร์จที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น” MG SUPER CHARGE ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดที่ใช้งานง่าย ลูกค้าสามารถใช้เครื่องชาร์จได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถตรวจสอบเวลาการทำงานและความพร้อมใช้งานของ MG SUPER CHARGE ค้นหา จอง และเติมเงินก่อนเริ่มชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้จากโทรศัพท์มือถือผ่านแอพพลิเคชั่น i-SMART ซึ่งลูกค้าสามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่นใหม่ของ i-SMART ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ สำหรับ เอ็มจี ถือเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยด้วยความสำเร็จด้านยอดขายหลังจากการเปิดตัว MG ZS EV ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อีก 2 รุ่น ได้แก่ MG HS PHEV และ MG EP เมื่อปีที่แล้ว โดยทั้งสองโมเดลได้รับการตอบรับที่ดีเกินความคาดหมายเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เอ็มจีพร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์และพัฒนายนตรกรรมที่มีคุณภาพที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านเทคโนโลยี (Technology) ความทันสมัย (Fashion) และความคุ้มค่า (Value) เพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนบริการที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าของเอ็มจี ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตและยกระดับอุตสาหกรรม ยานยนต์ไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้นต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. คว้ารางวัล “The Most Startup Friendly Technology Institute of ASIA” ในงาน WBAF 2021
For English-version news, please visit : NSTDA named the Most Startup-Friendly Technology Institute of Asia กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ฐิตาภา  สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ได้รับมอบรางวัล “The Most Startup Friendly Technology Institute of ASIA” ภายในงาน WORLD CONGRESS OF ANGEL INVESTORS – WBAF 2021 ซึ่งเป็นงานสัมมนาประจำปีด้านการลงทุนระดับโลก ที่รวมผู้นํา นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมาร่วมกัน เพื่อสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความคิดเห็น ด้านการรวมทุนและตลาดทุนในระยะเริ่มต้น (Early Stage Equity and Capital Markets) รวมถึงกิจกรรมการนำเสนอผลงานจากสุดยอดสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกจากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก (The Global Fundraising Stage: GFRS) เพื่อสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจาก WBAF Angel Investment Fund ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมา สวทช. ได้ร่วมมือกับ WBAF จัดตั้ง WBAF Thailand Country Office ซึ่งจะเป็น WBAF Country Office แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน เพื่อช่วยผลักดันให้เกิดการยกระดับขีดความสามารถของนักลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในไทย ควบคู่กับการเป็นศูนย์กลางเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่ลงทุนและต่อยอดผลงานวิจัยรวมถึงธุรกิจเทคโนโลยีในประเทศไทย รางวัล “The Most Startup Friendly Technology Institute of ASIA” สืบเนื่องมาจาก สวทช. ให้ความสำคัญกับการเร่งสร้างและบ่มเพาะธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ (New S-curves) ของประเทศ พร้อมทั้งความท้าทายจากโอกาสในการลงทุน (Investment) ทั้งจากการลงทุนร่วมทุน (Venture Capital) นักลงทุนบุคคล (Angel) และนักลงทุนบริษัทขนาดใหญ่ (Corporate Venture Capital) ในวิสาหกิจเริ่มต้น ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตไปได้ในระยะยาว จึงให้ความสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือของกลุ่มนักลงทุนบุคคล (Thailand Business Angel Network) เพื่อเข้ามีบทบาทในการร่วมทุนในระยะตั้งต้น ควบคู่กับการให้คำปรึกษา เชื่อมโยงเครือข่ายทางธุรกิจ ร่วมเติบโตไปพร้อมกับสตาร์ทอัพที่ร่วมลงทุนต่อไป ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมเครือข่าย Angel Investor สามารถติดต่อสอบถามข้อมลเพิ่มเติมได้ที่ งานส่งเสริมธุรกิจซอฟต์แวร์ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หมายเลขโทรศัพท์ 02 583-9992  ต่อ 1481-1484
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เผย อย. ไฟเขียว โคซี่-แอมป์ ‘COXY-AMP’  ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ผ่านมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยี คัดกรองโควิด-19 เชิงรุก
For English-version news, please visit : COVID-19 test kit COXY-AMP approved by FDA Thailand สวทช. พัฒนาผลงานวิจัย 'COXY-AMP' ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว สำหรับวินิจฉัยโรคโควิด-19 แบบคัดกรองรายบุคคล ซึ่งล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกใบรับรองผ่านการประเมินเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ นับเป็นชุดตรวจโควิด-19 ชิ้นแรกที่ผลิตและผ่านการรับรองในประเทศไทย เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการ ภาคเอกชนที่สนใจ เพื่อผลิตชุดตรวจฯ ใช้คัดกรองเชิงรุกควบคุมโรคโควิด-19 และโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ได้เองในประเทศ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดยกระดับอุตสาหกรรมสู่การผลิตเพื่อส่งออกในอนาคต ที่สำคัญคุณภาพของ 'COXY-AMP' ชุดตรวจโควิด-19 ยังการันตีด้วยการเป็นหนึ่งเดียวจากภูมิภาคเอเชียที่ผ่านการเข้ารอบ 1 ใน 20 ทีมสุดท้าย ในการประกวดของมูลนิธิ XPRIZE ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับโลก ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกใบรับรองผ่านการประเมินเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ ให้แก่ผลงานวิจัย 'COXY-AMP' ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ซึ่งพัฒนาโดยทีมวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล “การผ่านการประเมินครั้งนี้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องเครื่องมือแพทย์ที่ต้องมีการประเมินเทคโนโลยี พ.ศ. 2563 โดยผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องมีการประเมินเทคโนโลยีเพื่อให้การใช้เครื่องมือแพทย์ดังกล่าวเป็นไปอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพปัญหาทางด้านสุขภาพของประชาชน สภาวะเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการประเมินเทคโนโลยีชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อ SARS-CoV-2 หรือ เชื้อก่อโรคโควิด-19 ระบุไว้ว่า แบบตรวจหาสารพันธุกรรม และแบบตรวจหาแอนติบอดี หรือ แอนติเจน ต้องประเมินตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข เช่น ความไว ความจำเพาะ และมาตรฐานอื่นๆ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกำหนด” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า ล่าสุด ทีมวิจัยได้รับการติดต่อจากภาคเอกชนไทยที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว เพื่อนำไปใช้พัฒนาและขยายผลการผลิตระดับอุตสาหกรรม ทำให้ประเทศไทยมีชุดตรวจโควิด-19 ที่ผลิตเองในประเทศ ราคาถูก และสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 เชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รับมือการระบาดของโรคได้ดีขึ้น รวมทั้งเป็นการสนับสนุนความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทย ที่สำคัญแม้การระบาดของโรคโควิด-19 จะยุติลงในอนาคต เทคโนโลยีหลักของชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็ว ยังนำไปประยุกต์ดัดแปลงให้มีความเหมาะสมต่อการตรวจเชื้อโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย นางวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. ผู้พัฒนาชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็ว กล่าวว่า 'COXY-AMP' ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ที่ ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดลพัฒนาขึ้น ใช้เทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ซึ่งเทคนิคแลมป์คือการเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรมของเชื้อโรคอย่างจำเพาะเจาะจงภายใต้อุณหภูมิที่คงที่ จึงทำได้ง่ายในกล่องให้ความร้อนซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง “ส่วนขั้นตอนการใช้งานชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็ว สามารถทำได้ง่าย เพียงแค่ผู้ใช้ใส่สารพันธุกรรม RNA ที่สกัดได้ในหลอดปฏิกิริยาทดสอบ และนำไปบ่มที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 75 นาที หากมีการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สีของสารในหลอดปฏิกิริยาจะเปลี่ยนอัตโนมัติ คือเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีเหลือง ซึ่งสามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า ไม่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการประมวลผล สำหรับประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 จากการทดสอบชุดตรวจนี้กับตัวอย่างเริ่มต้น 146 ตัวอย่าง พบว่ามีความความไว (sensitivity) 92% ความจำเพาะ (Specificity) 100% และมีความแม่นยำ (accuracy) ที่ 97% อีกทั้งยังสามารถแสดงผลได้ภายใน 75 นาที ซึ่งเร็วกว่าวิธี RT-PCR ถึง 2 เท่า นอกจากนี้ในเรื่องของราคา ชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็วมีต้นทุนในการตรวจคัดกรองเพียง 300 บาทต่อตัวอย่าง ขณะที่ RT-qPCR มีต้นทุนสูงกือบ 1,000 บาท นั่นเท่ากับมีราคาถูกกว่าถึง 3 เท่า วรรณสิกา กล่าวต่อว่า นอกจากชุดตรวจดังกล่าวฯ จะผ่านมาตรฐานจาก อย. แล้ว อีกหนึ่งความภูมิใจของทีม คือทีมนักวิจัยไทยได้ส่ง 'COXY-AMP' ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียวเข้าร่วมประกวดกับมูลนิธิ XPRIZE (องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลก ดำเนินการระดมทุนแบบ Crowd Funding เพื่อแก้ปัญหาระดับโลกในมิติต่างๆ) ในโครงการจัดการแข่งขันเอกซ์ไพรซ์เพื่อการตรวจสอบโควิดอย่างรวดเร็ว (XPrize Rapid Covid Testing) เพื่อค้นหาเทคโนโลยีชุดตรวจโควิด-19 ที่ใช้งานง่าย ตรวจได้รวดเร็ว แม่นยำ และราคาถูก ไปใช้ผลิตและขยายผลชุดตรวจในวงกว้างเพื่อช่วยยับยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ภายใต้ชื่อทีม 19-Xolution ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้มีผู้ที่สนใจส่งผลงานเข้าประกวดจากทั่วโลกมากกว่า 702 ทีม จาก 70 ประเทศทั่วโลก โดยทีม 19-Xolution สามารถผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย “เป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่ทีม 19-Xolution จากประเทศไทยเป็น 1 ใน 20 ทีมที่เข้ารอบสุดท้าย  (Finalists) ซึ่งถือเป็นผลงานหนึ่งเดียวจากภูมิภาคเอเชียที่ได้รับคัดเลือก ร่วมกับทีมนักประดิษฐ์จากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเยอรมนี จากนั้นทีมวิจัยได้ส่งชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็ว ที่พัฒนาโดยคนไทยทั้งหมด พร้อมกระบวนการ (Protocol) ไปยังห้องปฏิบัติการวิจัยของ XPRIZE จำนวน 2 แห่ง ณ สหรัฐอเมริกา เพื่อทดสอบทางคลินิกและความเป็นไปได้ในการขยายผล เพื่อคัดเลือกให้เหลือผู้ชนะเพียง 5 ทีม อย่างไรก็ดีที่สุดแล้วผลงานของนักวิจัยไทยแม้จะเป็นเพียงผู้เข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายในการแข่งขันครั้งนี้ แต่ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จ ที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทยและงานวิจัยไทยที่มีคุณภาพทัดเทียมกับเทคโนโลยีในระดับสากล
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ประกาศรับสมัครคัดเลือกนักศึกษาเพื่อรับพระราชทานทุนการศึกษาจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ปีการศึกษา 2564
ด้วยมหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin : UCD) สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานให้แก่นักศึกษาที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดของมหาวิทยาลัยไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตร ๑ ปี จำนวน ๒ ทุน โดยไม่มีภาระผูกพัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ระดับการศึกษา: ระดับปริญญาโท จำนวนทุนการศึกษา: จำนวน 2 ทุน หมดเขตรับสมัคร : วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.princess-it.org/th/scholarship/ucd/ สาขาที่เปิดรับสมัคร 1. College of Engineering and Architecture 2. College of Health and Agricultural Sciences 3. College of Science สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โทรศัพท์ 02 564 7000 ต่อ 81813 (คุณเยาวลักษณ์) หรือ 81922 (คุณสมอนงค์) โทรศัพท์เคลื่อนที่ 089 452 4244 e-mail : info@princess-it.org  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. สนับสนุน โนวากรีน เพาเวอร์ซิสเต็ม พัฒนาระบบวัดอุณหภูมิ-ความชื้นตู้เก็บวัคซีนโควิด-19 ภายใต้โครงการ “FTI ช่วยชาติสู้ COVID-19″
(11 มีนาคม 2564) ณ กระทรวงสาธารณสุข : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดงานแถลงข่าว “โครงการ FTI ช่วยชาติสู้โควิด-19” ส่งมอบตู้เก็บวัคซีนและชุดอุปกรณ์ Monitoring ให้แก่สถานพยาบาลรัฐ 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้การสนับสนุนและพัฒนาระบบวัดอุณหภูมิ-ความชื้นตู้เก็บวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท โนวากรีน เพาเวอร์ซิสเต็ม จำกัด หนึ่งในสมาชิกประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยระบบดังกล่าวได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานจากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) เพื่อให้คนไทยทั้งประเทศได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีรับมอบ พร้อมด้วย ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ และนายจิรเดช อ่อนชุม กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนวากรีน เพาเวอร์ซิสเต็ม จำกัด เข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ (more…)
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ผนึก วช. เฟ้นหา ‘เยาวชนคนเก่ง’ แข่งขันผลงานด้าน ‘วิทย์ฯ -เทคโนโลยี-นวัตกรรม’ บนเวที ‘NSTIF 2021’ ครั้งแรก เพื่อพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศ
For English-version news, please visit : NSTDA and NRCT to host the 1st National Science Technology and Innovation Fair 2021 11 มีนาคม 2564  ที่โถงชั้น 1 อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถนนโยธี : ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือ “สวทช. ผนึก วช. สร้างเยาวชนคนเก่ง เปิดเวที “การประกวดผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1” หรือ ‘NSTIF 2021 ผู้บริหารของทั้ง 2 หน่วยงาน รวมทั้งเปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘ความร่วมมือในการพัฒนากำลังคนและความสำเร็จจากวันวาน..สู่วันนี้’ จากศิษย์เก่าโครงการการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ หรือ YSC และศิษย์เก่าการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย หรือ NSC ได้แก่ รศ.ดร.ทวีธรรม ลิมปานุภาพ หัวหน้าสาขาวิชาเคมีจากวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี 2563 พร้อมด้วย นายณัฎฐ์ ปิยะปราโมทย์ Senior Software Engineer บริษัท Agoda Services Co., Ltd. เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ที่เคยอยู่ในแวดวงนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์จนถึงความสำเร็จในวันนี้กับหน้าที่การงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับแนวหน้าของไทย (more…)
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ตู้เก็บวัคซีน COVID-19 ไฮเทคแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิผิดปกติ
เพื่อรองรับวัคซีนโควิด-19 ที่เตรียมพร้อมฉีดให้กับประชาชนคนไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มอบตู้เก็บวัคซีนโควิด-19 ให้กับกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 77 ตู้ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับสถานพยาบาลของรัฐ 77 จังหวัดทั่วประเทศ ความพิเศษของตู้เก็บวัคซีนโควิด-19 นี้มีความไฮเทคติดตั้งระบบ Monitoring เป็นเซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นภายในตู้ และมีระบบที่สามารถแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลได้ทันทีหากอุณหภูมิภายในตู้เกิดความผิดปกติ ซึ่งวัคซีนโควิด-19 ถูกกำหนดให้เก็บรักษาไว้ในที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้วัคซีนเสื่อมสภาพ  โดยระบบ Monitoring ดังกล่าวพัฒนาโดย บ.โนวากรีน เพาเวอร์ซิสเต็ม จำกัด และสนับสนุนโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. จัด TAIST – Tokyo Tech Virtual Graduation Ceremony 2020 เพื่อแสดงความยินดีแก่มหาบัณฑิตนักเรียนทุน TAIST-Tokyo Tech ในรูปแบบออนไลน์
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (TAIST-Tokyo Tech: Thailand Advanced Institute of Science and Technology – Tokyo Institute of Technology) จัดพิธี “TAIST - Tokyo Tech Virtual Graduation Ceremony 2020” เพื่อแสดงความยินดีและมอบประกาศนียบัตรจบการศึกษาแก่มหาบัณฑิตนักเรียนทุน TAIST-Tokyo Tech ประจำปี 2563 โดยมี ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และร่วมแสดงความยินดีในครั้งนี้ โดยมีนักเรียนทุน TAIST-Tokyo Tech ที่จบการศึกษาทั้งสิ้น 42 คนจาก 3 หลักสูตร ได้แก่ 1.หลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์ (AE: Automotive Engineering) 2.หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อระบบสมองกลฝังตัว (ICTES: Information and Communication Technology for Embedded Systems ) 3.หลักสูตรวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน (SERE: Sustainable Energy and Resources Engineering) (more…)
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน