หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
NSC-YSC-RDC ปั้นนักวิทย์-เทคโนฯ รุ่นเยาว์จากเวทีแข่งขันระดับชาติ
NSC-YSC-RDC ปั้นนักวิทย์-เทคโนฯ รุ่นเยาว์จากเวทีแข่งขันระดับชาติ คงไม่มีใครปฏิเสธถึงความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ "ไอที" ที่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ทุกคนขาดแทบไม่ได้ การสนับสนุนและพัฒนาให้เกิดบุคลากรด้านไอทีขึ้นในประเทศ จึงเป็นนโยบายที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) รวมถึงหน่วยงานภาคีต่าง ๆ ในวงการไอที่ไทยต่างให้ความสำคัญและร่วมกันพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การใช้รูปแบบการประกวดแข่งขันก็เป็นอีกหนึ่งกลวิธีที่สำคัญ ที่จะจุดประกายให้เยาวชนไทยค้นพบความสามารถด้านเทคโนโลยีและไอที และมีการพัฒนาตนเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดังเช่น "การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย" หรือ "National Software Contest: NSC" เวทีการแข่งขันพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เรียกได้ว่าเป็น "ตำนาน" และจุดเริ่มต้นในสายไอทีของหลาย ๆ คน ในปัจจุบัน โครงการนี้ต่อยอดมาจากโครงการสนับสนุนการพัฒนาชอฟต์แวร์ขนาดเล็กที่เนคเทค สวทช. ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ต่อมาได้เปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินโครงการและยกระดับให้เป็นเวทีการประกวดระดับประเทศ และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "NSC" ในปี พ.ศ. 2542 "NSC" เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเรียนนิสิต และนักศึกษาได้มีโอกาสพัฒนาทักษะการพัฒนาซอฟต์แวร์ และนำความรู้ที่ได้จากการเรียนมาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งทางโครงการมีการสนับสนุนเงินทุนเพื่อเป็นแรงจูงใจและกระตุ้นให้นักเรียน นิสิต และนักศึกษาพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปสู่การเป็นนักพัฒนา ทั้งนี้ผู้ชนะเลิศในแต่ละประเภทจะได้รับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการนี้ยังมีการสนับสนุนผู้ที่ได้รับรางวัลให้ไปแข่งขันต่อในเวทีระดับนานาชาติ เช่น งาน Asia Pacific ICT Alliance Awards (APICTA) ซึ่งเป็นการประกวดผลงานด้านซอฟต์แวร์ในด้านต่าง ๆ สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากการประกวดการพัฒนาโปรแกรมซอฟต์แวร์แล้ว เนคเทค สวทช.ยังได้ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน จัดการประกวด "โครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition)" หรือ "YSC" ขึ้นในปี พ.ศ. 2541 โดยเริ่มจากสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งต่อมาได้เพิ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์และการประกวดประเภททีม ซึ่งเปิดกว้างสำหรับทุกสาขาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น โดย "YSC " เป็นการสนับสนุนให้เยาวชนในระดับมัธยมศึกษามีโอกาสแสดงความสามารถและทักษะที่เป็นนวัตกรรมและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้วิธีการจัดการแข่งขันรอบคัดเลือกในแต่ละภูมิภาคเพื่อเฟ้นหาตัวแทนมาเข้าร่วมการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศที่กรุงเทพฯ และผู้ที่ได้รับรางวัลจะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยให้ไปแข่งขันต่อในรายการ "Intel InternationalScience and Engineering Fair" หรือ "Intel ISEF" ที่สหรัฐอเมริกา (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น "Regeneron ISEF" เนื่องจากบริษัท Regeneron เป็นผู้สนับสนุนหลักตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563) ซึ่งเป็นเวทีการประกวดแข่งขันผลงานทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับโลก ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานและผลักดันผลงานของเยาวชนไทยสู่เวทีระดับนานาชาติได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาความรู้ความสามารถของเยาวชนไทยให้ครอบคลุมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือ ICT ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนคเทค สวทช.จึงดำเนินการจัดงาน "มหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (Thailand ICT Contest Festival)" ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 จนถึงปัจจุบัน โดยรวมการประกวดแข่งขันสุดยอดผลงานนวัตกรรมด้าน ICT จากเยาวชนไทยจากทั่วประเทศทั้ง 2 กิจกรรมเข้าไว้ด้วยกัน และเพื่อให้ผลงานที่โดดเด่นของเยาวชนไทยไม่หยุดอยู่แค่การได้รับรางวัล เนคเทค สวทช. ได้ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดตั้ง "โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่" ขึ้นในปี พ.ศ. 2556 เพื่อต่อยอดการพัฒนาเยาวชนจากโครงการ YSC และNSC ให้สามารถสานต่อผลงานสู่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมได้จริง ปัจจุบันโครงการ YSC, NSC และโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่สังกัด สวทช. หนึ่งในตัวอย่างเยาวชนที่ผ่านเวทีการประกวดของ สวทช. และได้รับการต่อยอดในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ จนสามารถขยายผลงานไปสู่ภาคธุรกิจได้ คือ "นายยุทธพงศ์ อุณหทวีทรัพย์" เจ้าของผลงาน "ระบบตรวจวัดและวิเคราะห์น้ำหนักกดบริเวณฝ่าเท้าอัจฉริยะ" ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 2 จากการแข่งขันโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (NSC) ครั้งที่ 13 ประจำปี พ.ศ. 2554 และเข้าร่วมในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ โดยได้รับทั้งทุนสนับสนุนและโอกาสในการขยายผล นำอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นไปทดสอบใช้งานจริง และสามารถสร้างเครือข่ายการใช้งานจนสามารถประกอบเป็นธุรกิจได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ สวทช. ยังสนับสนุนให้เยาวชนพัฒนาด้านหุ่นยนต์ในโครงการพัฒนาทักษะการออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย (Thailand Robot Design Camp: RDC Thailand) หรือชื่อเดิมว่าการแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ซึ่งดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551-2562 โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะ และวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้รับการสนับสนุนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ RDC Thailand เป็นโครงการสำหรับเยาวชนทั่วประเทศที่มีความสนใจพิเศษด้านหุ่นยนต์จากหลากหลายสาขา เพื่อพัฒนาทักษะและความคิดสร้างสรรค์ภายใต้การจำลองการทำงานจริงร่วมกันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์พิชิตโจทย์ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด ใช้รูปแบบเหมือนกับการแข่งขันระดับนานาชาติ RoBocon International Design Contest (IDC Ro Bo Con) ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสถาบันชั้นนำในต่างประเทศ เช่น Massachusetts Institute of Technology(MIT) สหรัฐอเมริกา และ Tokyo Institute of Technology (Tokyo Tech) ญี่ปุ่นในระยะเวลากว่า 12 ปีมีเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ RDC Thailand รวม 1,813 คนจาก 76 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และมีเยาวชนที่ได้ประสบการณ์ในการแข่งขันเวทีระดับนานาชาติจำนวน 78 คน ความสำเร็จของการดำเนินโครงการ RDC Thailand ได้สร้างบุคลากรที่มีความสามารถพิเศษด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติให้แก่หน่วยงานและเอกชนของประเทศ นอกจากนั้นโครงการได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพนักวิจัย พัฒนารูปแบบกิจกรรมการแข่งขันหุ่นยนต์ให้มุ่งเน้นทักษะทางด้านการทำงานร่วมกันเป็นทีม พัฒนาสื่อและอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน ขยายโอกาสการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ การประกวดและแข่งขันสร้างผลงานของเยาวชน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาบุคลากรและทรัพยากรคนด้านไอที ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา มีผลงานที่ได้รับการสนับสนุนจากสวทช. ไปแล้วมากกว่า 10,000โครงการ จากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ นับเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของบุคลากรด้านไอทีในระดับเยาวชน ที่พร้อมจะพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นนักวิจัย นักพัฒนา นวัตกรหรือผู้ประกอบการด้านไอที ที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในยุค "ประเทศไทย4.0" ในสังคมเศรษฐกิจดิจิทัล ที่เทคโนโลยีไอทีคือเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนในทุกภาคส่วน ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
มหาวิทยาลัยเด็กจุดประกายสร้างเด็กไทยหัวใจวิทย์
มหาวิทยาลัยเด็กจุดประกายสร้างเด็กไทยหัวใจวิทย์ แม้ว่าจะมีกลไกในการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศที่ทุกภาคส่วนต่างต้องอาศัย วทน. เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนที่สำคัญขณะเดียวกันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเรียนรู้ "วิทยาศาสตร์" ที่ทำให้รู้จักคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาไปเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศการสร้างรากฐานนี้จำเป็นที่จะต้องปูพื้นฐานตั้งแต่เยาว์วัยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับความร่วมมือกับทั้งภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน จัดทำ "โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย (Thailand Children's University)" ขึ้น เพื่อปูพื้นฐานเด็กไทยให้รักและสนใจการเรียนวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อายุยังน้อย ตลอดจนเกิดแรงบันดาลใจที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ในอนาคตโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ภายหลังที่เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชมโครงการมหาวิทยาลัยเด็กที่เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปี พ.ศ. 2553 ซึ่ง สวทช. ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านวิชาการและการเรียนการสอนทางวิทยาศาสตร์ เช่น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำนักงานคณะกรรมการ ศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มหาวิทยาลัยเครือข่าย กระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรความร่วมมือแลกเปลี่ยนทางวิชาการแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี จัดทำ "โครงการนำร่องมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทย" ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2554 โดยปรับใช้หลักสูตรมาจากโครงการ "มหาวิทยาลัยเด็ก เยอรมนี" ที่พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ดร.คัทธารีนา โคห์เชอ เฮออิงเฮาส์ (Prof. Dr. Katharina Kphse-Hoinghaus) แห่งทอยโทแล็บมหาวิทยาลัยบีเลเฟลด์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในปี พ.ศ. 2547 และในเวลาต่อมาโครงการนี้ได้ขยายผลไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงประเทศไทยโดยโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ถึงปัจจุบันมีเครือข่ายพันธมิตรได้แก่ มหาวิทยาลัย 19 แห่งทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค สสวท. และ สวทช. ได้มีการปรับกิจกรรมการทดลองต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย จัดเป็นกิจกรรมการจำลองการเรียนรู้เหมือนในมหาวิทยาลัยให้เยาวชนในระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษาตอนต้นได้ร่วมทดลองวิทยาศาสตร์ที่สนุกสนานในสาขาวิชาต่าง ๆ รวมถึงคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เทคโนโลยีชีวภาพ สร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิทยาศาสตร์และได้พัฒนาทักษะการสังเกต รู้จักตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบด้วยตนเอง โดยมีผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย นักศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำระหว่างทำกิจกรรม ซึ่งจะมีความหลากหลายและจัดขึ้นตามมหาวิทยาลัยที่ร่วม จากการดำเนินงานโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2554 จนถึงปัจจุบัน โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานร่วมและมหาวิทยาลัย เครือข่ายรวม 21 แห่ง กระจายทั่วประเทศ โดยแต่ละหน่วยงานจัดกิจกรรมการทดลองให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ของแต่ละหน่วยงาน ประกอบด้วยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี มหาวิทยาลัยบูรพามหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี สุรนารี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช สำหรับ สวทช. ที่ผ่านมา ได้นำกิจกรรมทดลองชุดต่าง ๆ ของโครงการมหาวิทยาลัยเด็กฯ ไปใช้ในการจัดกิจกรรมกับนักเรียนอย่างต่อเนื่องที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี รวมถึงมีการพัฒนาไปเป็นกิจกรรมทดลองสำหรับเยาวชนผู้พิการอีกด้วย ในช่วงที่มีวิกฤตการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 สวทช. ได้รวบรวมการทดลองสนุก ๆ ในกิจกรรมจากเครือข่ายโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย มาให้เด็ก ๆ และเยาวชนสามารถนำไปใช้ประโยชน์และทำการทดลองเองที่บ้านพร้อมกับครอบครัวได้ที่ Fun Science @Home by NSTDA ทางแฟนเพจ https://www.facebook.com/sciencecamp.fanpage/ และเว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/sciencecamp/funscience"โครงการมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทย" จึงเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่ทุกฝ่ายร่วมกันในการสร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายความชอบในวิทยาศาสตร์ และเตรียมความพร้อมให้แก่เด็ก ๆ และเยาวชนไทย ในการที่จะเลือกก้าวไปสู่การเป็นนักวิจัยมืออาชีพที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคตดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร” แรงบันดาลใจผ่านค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร
"บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร" แรงบันดาลใจผ่านค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร "ค่ายวิทยาศาสตร์" คือเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายความรักในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่เด็ก ๆ และเยาวชน ซึ่งจะสามารถบ่มเพาะและพัฒนาต่อยอดเป็นบุคลากรวิจัยมืออาชีพในอนาคตได้ จากความมุ่งมั่นบ่มเพาะพัฒนาเยาวชนด้วยกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ในปี พ.ศ. 2548 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร (Permanent Science Camp) เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับจัดกิจกรรมพัฒนาเยาวชน และ สวทช.ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก "สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ-พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี" พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อ "บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร" (Sirindhorn Science Home) เป็นชื่อโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร และเริ่มเปิดดำเนินการ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2552 บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ฝึกทักษะ และพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่เด็กและเยาวชนทั้งที่มีความสนใจและมีศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบครบวงจร ตั้งแต่กระตุ้นความสนใจ สร้างเครือข่ายกับครูและอาจารย์ทั่วประเทศ รวมถึงการค้นหา ส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด สวทช. ได้ใช้ความพร้อมทั้งบุคลากร สถานที่ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อทำให้บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเป็นแหล่งเรียนรู้และสถานที่จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมทักษะความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเยาวชน โดยได้จัดสร้างห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพพืช โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม(Fabrication Lab: FabLab) ซึ่งเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เครื่องมือวิศวกรรมศาสตร์ที่ทันสมัย มีความปลอดภัย เพื่อให้เยาวชนได้ฝึกฝนเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติจริงกับนักวิจัยและนักวิชาการของ สวทช. สำหรับกิจกรรมมีรูปแบบหลากหลายเน้นความเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ สวทช. มีความเชี่ยวชาญ โดยบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรมีการจัดกิจกรรมตลอดทั้งปี ทั้งกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์แบบค่ายหนึ่งวัน ค่ายค้างคืน และค่ายเฉพาะทาง รวมถึงโครงการเสริมสร้างทักษะการทำโครงงานวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนไทย ซึ่งเป็นการพัฒนาการทำโครงงานฯ ด้วยวิธีระเบียบวิจัยที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทำให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม และมีคุณภาพในระดับชาติหรือนานาชาติ ซึ่งแต่ละปีมีเด็กเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมที่จัด ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรกว่า 10,000 คนตัวอย่างผลงานที่สำคัญเช่น การสร้างเครื่องบิน CozyMark IV ชนิด Composite4 ที่นั่ง ซึ่งเป็นกิจกรรมฝึกทักษะทางวิศวกรรมศาสตร์ที่เข้มข้นใช้เวลาการสร้างกว่า 7 ปีและมีนักเรียนกว่า 3,105 คน ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนและปฏิบัติจริงที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ซึ่งมีการทดสอบการวิ่ง(Taxi) ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย นับเป็นเครื่องบินลำแรกของประเทศไทยที่ประกอบโดยเยาวชนไทย และสามารถใช้งานจริงได้และ สวทช. ได้มอบเครื่องบินลำนี้ให้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพในปี พ.ศ. 2560 เพื่อนำไปใช้ในการเรียนการสอนในหลักสูตรฝึกอบรมช่างซ่อมบำรุงอากาศยานตามมาตรฐาน EASA PART 66 CAT B1 ต่อไป ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ในปี พ.ศ. 2563 สวทช. บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรได้จัดทำ Face shield ที่ผลิตจากเครื่องพิมพ์สามมิติแจกจ่ายให้แก่โรงพยาบาลและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการช่วยป้องกันโรคกว่า 3,000 ชิ้น นอกจากนี้บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรได้รับความไว้วางใจในการเป็นสถานที่จัดกิจกรรมเยาวชนนานาชาติ อาทิ เทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ 4 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554 (AYSF 2011) Asian Science Camp 2015 ในปี พ.ศ. 2558 และ The 15th Asia Pacific Conference on Giftedness (APCG2018) ในปี พ.ศ. 2561 อาจกล่าวได้ว่า "บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช." เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมและครบวงจรในการสร้างบุคลากรสายวิทยาศาสตร์ที่ต้องเริ่มจากการสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงกระบวนการเรียนรู้ ทักษะในการเป็นนวัตกรหรือนักวิจัยตั้งแต่วัยเยาว์ และต่อยอดสู่เส้นทางอาชีพนักวิทยาศาสตร์ต่อไป โดยสวทช. คาดหวังว่าบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรจะเป็นแหล่งเรียนรู้ต้นแบบของประเทศ ที่จะมีหน่วยงานอื่นนำไปขยายผลการดำเนินงานสู่ภูมิภาคต่อไปในอนาคตดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ความร่วมมือเซิร์น-เดซี-ลินเดา โอกาสนักวิจัยไทยในเวทีวิทยาศาสตร์ระดับโลก
ความร่วมมือเซิร์น-เดซี-ลินเดา โอกาสนักวิจัยไทยในเวทีวิทยาศาสตร์ระดับโลก การส่งเสริมให้นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยไทยได้มีโอกาสแสดงความสามารถบนเวทีระดับโลก เพื่อสร้างเครือข่ายและยกระดับขีดความสามารถของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาตินั้น นอกจากการส่งผลงานเข้าประกวดหรือร่วมแข่งขันในเวทีต่างๆ แล้ว การได้ทำงานร่วมกับโครงการวิจัยระดับโลกก็ถือว่าเป็นโอกาสที่สำคัญของนักวิทยาศาสตร์และประเทศไทย ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของ "สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี" ทำให้เยาวชนและนักวิจัยไทยมีโอกาสร่วมมือและทำงานกับองค์กรด้านวิทยาศาสตร์ระดับโลก อย่างเช่น เซิร์น หรือองค์กรเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป (European Organization for Nuclear Research: CERN) ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวาสมาพันธรัฐสวิสสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเยือนเชิร์นหลายครั้ง และมี พระราชกระแสรับสั่งกับ "ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช รัชยพงษ์" ว่า "หากนักวิทยาศาสตร์ไทยมีโอกาสทำงานวิจัยร่วมกับเซิร์นก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยเป็นอันมาก" ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จึงได้ประสานงานเพื่อให้มีการหารือร่วมกันระหว่างทีมผู้บริหารของเซิร์นกับสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับความร่วมมือในสาขาวิชาการที่เกี่ยวข้องจนกระทั่งมีการลงนามแสดงเจตจำนงระหว่างสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ประเทศไทย กับสถานีวิจัยซีเอ็มเอส (CMS) ของเซิร์น เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวเปิดโอกาสให้นักศึกษา 2 คน และครูฟิสิกส์ไทย 2 คนได้เข้าร่วมโครงการภาคฤดูร้อนเซิร์น ได้เข้าร่วมทำการทดลองด้านฟิสิกส์อนุภาคพลังงานสูงและมีความร่วมมือด้านวิชาการและวิจัยกับเซิร์นอีกด้วยนอกจากนี้ในครั้งที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเยือนสถาบันเดซี่ องค์กรวิจัยชั้นนำของโลกด้านแสงซินโครตรอนและด้านฟิสิกส์อนุภาคมูลฐาน ณ เมืองฮัมบูร์กสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2545 สถาบันเดซีได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี เพื่อให้นักศึกษาไทยในสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติเข้าร่วมกิจกรรมวิจัยในห้องปฏิบัติการของสถาบันร่วมกับนักศึกษาทั่วโลกที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯสยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สวทช. และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนคัดเลือกเยาวชนไทยเข้าร่วมกิจกรรมวิจัยดังกล่าว จนถึงปัจจุบันมีนักศึกษาไทยเข้าร่วมโครงการ 49 คนอย่างไรก็ดีนอกจากเยาวชนไทยจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่สถาบันเดซี และนักวิทยาศาสตร์ไทยจะได้ทำงานร่วมกับนักวิชาการและวิศวกรชั้นนำในเซิร์นแล้ว สวทช. ยังรับสนองพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้นิสิต นักศึกษา นักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์ของไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อเปิดโลกทัศน์ทางวิชาการ อีกทั้งได้มีโอกาสเรียนรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาการใหม่ ๆ จากประสบการณ์จริงของนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์ผู้เคยได้รับรางวัลโนเบลในอดีตจำนวนมาก ที่ได้รับเชิญให้มานำเสนอผลงานในการประชุมดังกล่าว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา สวทช. ได้ดำเนินการประกาศรับสมัครและคัดเลือกนิสิต นักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยเข้าร่วมกิจกรรมการประชุมดังกล่าว หลังจาก สวทช. และผู้แทนสมาชิกมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในขั้นต้นแล้ว จะนำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อมีพระราชวินิจฉัยคัดเลือกในขั้นตอนสุดท้ายต่อไป จนถึงปัจจุบันมีผู้แทนประเทศไทศไทยที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรมการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา ซึ่งประกอบด้วยนิสิต นักศึกษา อาจารย์นักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่รวมทั้งสิ้น 69 คนที่ผ่านมาภายหลังจากการประชุมที่ลินเดา ตัวแทนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าประชุมจะมีภารกิจในการไปบรรยายเผยแพร่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ตามสถานที่ต่าง ๆ อันเป็นการส่งต่อความรู้และแรงบันดาลใจที่ได้รับมาจากเวทีการประชุมระดับโลกให้แก่เด็กและเยาวชนไทยอีกด้วย การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่สถาบันเดซีของเยาวชนและนักศึกษาการที่นักวิทย์รุ่นใหม่ไทยได้พบปะนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลที่เมืองลินเดา และนักวิทยาศาสตร์ไทยยังได้มีโอกาสทำงานวิจัยร่วมกับเซิร์นล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนางานวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ การสร้างมิตรภาพและเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่ทำงานด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการนำมาต่อยอดพัฒนางานวิจัยของประเทศไทยในปัจจุบันและอนาคตต่อไป ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
พัฒนาบุคลากร STEM รองรับภาคอุตสาหกรรมเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
พัฒนาบุคลากร STEM รองรับภาคอุตสาหกรรมเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามโมเดล "ประเทศไทย4.0" ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี (EEC) ที่จะช่วยยกระดับให้ไทยก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูง หรือประเทศพัฒนาแล้วได้ภายใน ปี พ.ศ. 2575 ตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ แต่เนื่องจาก 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในอีอีซี มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิตและบริการ รวมถึงภาคการสนับสนุนที่จำเป็นต้องใช้แรงงานที่มีทักษะสูงและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ฯลฯ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงจัดทำ "โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics) เพื่อการวิจัยและพัฒนาสำหรับภาคอุตสาหกรรม" ขึ้น เพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากรวิจัยที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โครงการนี้เปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกที่มีความสนใจในการทำโครงการหรืองานวิจัยร่วมกับภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย สามารถสมัครเข้ารับทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายได้โดยมีระยะเวลารับทุน 6-12 เดือน โดย 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของประเทศ ได้แก่ 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ที่ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และ 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S Curve) ประกอบด้วยอุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรทั้งนี้ผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำโครงการศักยภาพบุคลากร STEM เช่น อาจารย์หรือมหาวิทยาลัยที่มีผู้ช่วยวิจัยระดับปริญญาโท-เอก จะได้ใช้ประโยชน์ในการร่วมทำวิจัยกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยสนับสนุนให้งานวิจัยสำเร็จเร็วขึ้น และพัฒนาศักยภาพนักศึกษา เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานจริง มีโอกาสได้รับการจ้างงานและได้รับค่าตอบแทนระหว่างการทำโครงการ สำหรับภาคอุตสาหกรรมสามารถลดต้นทุนในการจ้างผู้ช่วยนักวิจัย และมีโอกาสคัดเลือกนักศึกษา (ผู้ช่วยนักวิจัย) ที่มีศักยภาพเพื่อร่วมงานในอนาคต นอกจากนี้ยังช่วยให้งานวิจัยสำเร็จเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากการช่วยสนับสนุนของอาจารย์และนักศึกษาอีกทั้งยังมีส่วนร่วมสำคัญในการพัฒนาบุคลากรของประเทศร่วมกับมหาวิทยาลัยและ สวทช. โครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งกลไกของ สวทช. ในปี พ.ศ. 2560-2561ในการพัฒนาบุคลากรวิจัยด้าน STEM เผื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมของประเทศแบบเร่งด่วนจำนวน 273 คน และยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยและสร้างสรรค์นวัตกรรมในภาคการผลิตและบริการระหว่าง สวทช. กับสถาบันการศึกษารวมถึงกระตุ้นให้เกิดการนำองค์ความรู้ผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการอีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
TAIST-Tokyo Tech และ JAIST ผลิตผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงด้วยหลักสูตรนานาชาติ
TAIST-Tokyo Tech และ JAIST ผลิตผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงด้วยหลักสูตรนานาชาติ การมีทรัพยากรบุคคลที่เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีขั้นสูงภายในประเทศ คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน หรือย้ายฐานการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาในประเทศไทยเพื่อพัฒนาบุคลากรรองรับการเข้ามาลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศ รวมถึงแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำทั้งใน และต่างประเทศเปิดหลักสูตรนานาชาติสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาโท เพื่อสร้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีขั้นสูงที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมอย่างเช่น โครงการ TAIST-Tokyo Tech หรือสถาบันวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว ซึ่งเป็นโครงการทุนการศึกษาหลักสูตรนานาชาติสำหรับระดับปริญญาโท ในโครงการความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว หรือ Tokyo Tech และสถาบันการศึกษาไทยที่เข้าร่วมโครงการคือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ที่ริเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2550 ปัจจุบัน TAIST-Tokyo Tech เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทใน 3 สาขาหลักซึ่งเป็นแนวโน้มของเทคโนโลยีแห่งอนาคต คือ 1. วิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง (ชื่อเดิม : วิศวกรรมยานยนต์) 2. ปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (ชื่อเดิม : เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อระบบสมองกลฝังตัว) และ 3. วิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืนโครงการความร่วมมือนี้เป็นการใช้ทรัพยากรร่วมกันของหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพในแต่ละหลักสูตร ดำเนินงานในรูปแบบสถาบันเสมือนที่ไม่จำเป็นต้องมีสถานที่ก่อตั้งเหมือนสถาบันการศึกษาทั่วไป โดยแต่ละหลักสูตรจะสอนและถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านอาจารย์จาก Tokyo Tech เป็นหลัก ส่วนการวิจัยเพื่อทำวิทยานิพนธ์ส่วนใหญ่จะดำเนินการในห้องปฏิบัติการต่างๆ ของสวทช. นอกจากโครงการ TAIST-Tokyo Tech แล้ว สวทช. ยังจัดทำโครงการปริญญาเอกสองสถาบันภายใต้ความร่วมมือ JAIST-NSTDA-SIT ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาเอก) สองปริญญาระหว่าง Japan Advanced Institute of Science and Technology ประเทศญี่ปุ่น กับสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมุ่งเน้นการผลิตบัณฑิตวิจัยคุณภาพสูงในระดับนานาชาติ อันเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และการจัดการเทคโนโลยีของประเทศในอนาคต สำหรับนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการจะต้องทำวิจัยภายใต้โครงการร่วมมือวิจัยระหว่างนักวิจัย สวทช. กับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่นักศึกษาสังกัด คือ JAIST และ SIT จากความร่วมมือในระดับนานาชาติที่สถาบันการศึกษาชั้นนำจะมาถ่ายทอดความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ระดับโลก ผนวกกับความแข็งแกร่งด้านวิชาการของภาคการศึกษาไทย และ สวทช. ซึ่งมีนักวิจัยที่เชี่ยวชาญ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการวิจัยและพัฒนา เชื่อว่ากลไกเหล่านี้จะเป็นตัวเร่งและผลักดันให้ประเทศไทยสามารถผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีขั้นสูงรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็ว ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
พัฒนาอัจฉริยภาพเด็กไทย ด้วย “JSTP”
พัฒนาอัจฉริยภาพเด็กไทย ด้วย “JSTP”             หนึ่งในความใฝ่ฝันของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็คือ “รางวัลโนเบล" (Nobel Prize) ซึ่งเปรียบเสมือนเกียรติยศสูงสุดที่แสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะและความเชี่ยวชาญที่โดดเด่นในแต่ละสาขาที่สร้าง คุณประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติ            แต่เส้นทางที่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้นอกจากความสามารถระดับ “อัจฉริยะ” ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้วยังต้องอาศัยการส่งเสริมและพัฒนาให้เหมาะสมกับความถนัดของแต่ละคนด้วย            บุคลากรที่มีความสามารถพิเศษเหล่านี้ แม้ว่าจะยังก้าวไปไม่ถึงรางวัลเกียรติยศระดับโลก แต่ก็เป็นทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่าและสำคัญต่ออนาคตของประเทศไทย โดยเฉพาะในยุคที่ประเทศต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม             “โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน” หรือ “JSTP” (Junior Science Talent Project) หนึ่งในโครงการพัฒนากำลังคนของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เพื่อเฟ้นหาและคัดเลือกเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ตอนปลายและปริญญาตรี เข้ามารับการส่งเสริมและพัฒนาในรูปแบบที่หลากหลายและเหมาะสมกับความถนัดของแต่ละคน เพื่อส่งต่อไปสู่การพัฒนาเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยี และนักวิจัย ที่มีคุณภาพและมีจริยธรรมต่อไปในอนาคต             เนื่องจากการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้รับการบ่มเพาะจากนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงและนักเทคโนโลยีที่มีความสามารถและมุ่งมั่นในการทำวิจัยจะมีส่วนช่วยให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้เติบโตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศได้ โครงการ "JSTP" จึงได้จัดหานักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง ทั้งนักวิจัยจากศูนย์แห่งชาติของ สวทช. รวมถึงเครือข่ายวิจัยที่มีอยู่ทั่วประเทศ คอยให้คำแนะนำและดูแล เพื่อให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้ได้แสดงศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง            โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2563) มีเยาวชนที่สนใจและสมัครเข้าร่วมโครงการ “JSTP” แล้วถึง 27,353 คน และผ่านการคัดเลือกในระดับผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Gifted and talented children) จำนวน 2,394 คน ซึ่งเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้จะอยู่ในกระบวนการส่งเสริมประสบการณ์และพัฒนาศักยภาพเป็นระยะเวลา 1 ปี             ในระหว่างนี้เยาวชนจะได้รับการบ่มเพาะผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบค่ายเสริมประสบการณ์ การฝึกทำวิจัยในห้องปฏิบัติการ และการฝึกอบรมความรู้ รวมถึงสนับสนุนทุนในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยมีนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงเป็นผู้ดูแลและให้คำปรึกษา             ทั้งนี้โครงการฯ ได้คัดเลือกเยาวชนในระดับผู้มีแววอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Genius) จากเยาวชนกลุ่มผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการฯ ในระยะยาวแล้วจำนวน 22 รุ่น รวมทั้งสิ้น 347 คนโดยเยาวชนกลุ่มนี้จะได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาและทุนสนับสนุนการวิจัย จนกว่าจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากสถาบันการศึกษาภายในประเทศ             23 ปีที่ผ่านมา ผลผลิตจากโครงการ “JSTP” เริ่มเห็นผลได้อย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะไม่ได้มีปริมาณมากเหมือนในสถาบันการศึกษา แต่การบ่มเพาะด้วยกลไกและความพร้อมของ สวทช.นี้ ส่งผลให้เยาวชนที่มีความสามารถพิเศษและได้รับทุนต่อเนื่องในระยะยาว เมื่อจบออกไปแล้วกว่า 50% ยังทำงานในสายงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งตรงกับเป้าหมายของโครงการฯ             อย่างเช่น “รองศาสตราจารย์ ดร.นัทธี สุรีย์” JSTP รุ่นที่ 1 ที่จบปริญญาเอกและหลังปริญญาเอกในสาขาชีวเคมีและชีวโมเลกุล ann University of California, Los Angeles สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันทำงานสังกัดภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยรองศาสตราจารย์ ดร.นัทธี ทํางานวิจัยพัฒนายาต้านแบคทีเรียตั้งแต่เรียนปริญญาเอก แต่มีความสนใจส่วนตัวเรื่องไวรัส HIV ขณะที่เรียนอยู่ที่ต่างประเทศมีเพื่อนติดเชื้อ HIV จึงคอยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับเรื่องยา และกลายเป็นความสนใจในเรื่องของกลไกการทำงานของไวรัส จนกระทั่งกลับมาบุกเบิกห้องปฏิบัติการพัฒนายาโรคติดเชื้อเอชไอวี และมุ่งมั่นทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง            นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.นัทธี ยังเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เลี้ยงให้นาย พัชรพงศ์ ทั้งสุนันท์ เยาวชน JSTP รุ่นที่ 9 ขณะที่กำลังศึกษาระดับชั้นปริญญาเอก คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ปัจจุบันเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ซึ่งการดูแลเยาวชนในครั้งนี้ ผลักดันให้นายพัชรพงศ์ ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 ผู้ชนะรางวัล Young Scientist Award 2015 แห่งประเทศไทยประจำปี พ.ศ. 2558 จากการประกวดโครงการวิจัยในหัวข้อ "Combined Computational and Biochemical Approaches for Drug Discovery Targeting HIV-1 Integrase" inlna MERCK Millipore Bioscience (Thailand)            รองศาสตราจารย์ ดร.นัทธี กล่าวว่า “โครงการ JSTP เป็นโครงการที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเราให้ได้มีโอกาสเติบโตเป็นนักวิจัยอย่างเต็มภาคภูมิ"             ส่วน “ดร.ธัญญพร วงศ์เนตร” JSTP รุ่นที่ 4 จบปริญญาตรี-เอก คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และหลังปริญญาเอก สาขา Biological Chemistry ann University of Michigan สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นอาจารย์สังกัดสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ชีวโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี ดร.ธัญญพร มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เมื่อครั้งศึกษาในระดับปริญญาตรี ปริญญาเอก ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น นักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงได้รับทุน ASEMDuo Fellowship Program เพื่อทำวิจัยระยะสั้นเป็นเวลา 4 เดือน ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย            ปัจจุบัน ดร.ธัญญพรได้รับทุนสนับสนุนงานวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และทุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติร่วมกับ Japan Society for the Promotion of Science USPS) ดร.ธัญญพร มีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Sience และคว้ารางวัลโครงการทุนวิจัยลอรีอัลประเทศไทย เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ ประจําปี พ.ศ. 2562 (For Women in Science 2019) ซึ่งนับเป็นหนึ่งในนักวิจัยหญิงผู้มีผลงานวิจัยที่มีผลกระทบต่อประเทศไทย            สำหรับโครงการ JSTP ดร.ธัญญพร กล่าวว่า “โครงการนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งได้เข้ามาสัมผัสว่านักวิทยาศาสตร์ทำงานอย่างไร แต่ยังได้ลงมือทำงานวิจัยร่วมกับนักวิจัยในสถาบันทางวิทยาศาสตร์ชื่อดังของประเทศ นับเป็นโอกาสที่ดีของชีวิต ทำให้เราพัฒนาและเห็นอนาคตของตัวเอง”             ขณะที่ “ดร. นพ.จารุพงษ์ แสงบุญมี” JSTP รุ่นที่ 9 ซึ่งจบการศึกษาปริญญา ตรี-เอก จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปัจจุบันเป็นอาจารย์และแพทย์วิจัย สังกัดภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดร. นพ.จารุพงษ์ เข้าร่วมโครงการ JSTP ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีความ มุ่งมั่นตั้งใจในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นหนึ่งในตัวอย่างของแพทย์วิจัยที่มีผลงานการวิจัยอย่างต่อเนื่อง จนได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำปี พ.ศ. 2556 ต่อมาได้รับพระราชทานทุน “โครงการเยาวชนรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล” ประจำปี พ.ศ. 2561 โดย ดร. นพ.จารุพงษ์ได้รับทุนเพื่อทำวิจัยเป็นเวลา 1 ปี (ตั้งแต่ 1 มกราคมถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563) ณ Department of Genetics,Harvard Medical School was Department of Cancer Biology, Dana-Farber Cancer of Medicine สหรัฐอเมริกา             นอกจากนี้ยังมี “รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีธรรม ลิมปานุภาพ” JSTP รุ่นที่ 4 จบการศึกษาปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาเอกและหลังปริญญาเอก สาขาเคมีคำนวณ Australian National University ปัจจุบันเป็นอาจารย์สังกัดวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล            รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีธรรม เมื่อครั้งเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายได้รับรางวัลจากการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (YSC) และการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (NSC) ต่อเนื่องสามปี พ.ศ. 2545-2547 และคว้ารางวัล Special Award จาก Association of Computing Machinery: ACM ในเวที Intel ISEF 2004 สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นหัวหน้าสาขาวิชาเคมี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล มีความสนใจหลากหลายสาขาทั้งเคมี คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และงานสื่อสารวิทยาศาสตร์สู่สาธารณชน ในรูปแบบของการเขียน เคยเป็นนักเขียนนิตยสารทางวิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายปี มีผลงานการเขียนหนังสือร่วมกับโครงการ JSTP หลายเล่ม จัดทำสื่อการเรียนการสอนและชุดทดลองสำหรับเด็กร่วมกับศูนย์หนังสือ สวทช. ภายใต้ชื่อ “ตามรอยไฟฟ้าจากธรรมชาติสู่เทคโนโลยี" เป็นวิทยากรจัดกิจกรรมค่าย ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เพื่อจุดประกายนักวิจัยรุ่นเยาว์             รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีธรรม ยังเป็นผู้ประสานงานกลุ่มอาสาสมัครวิกิพีเดียในประเทศไทย ร่วมแก้ไขวิกิพีเดีย ร่วมลงคะแนนออกความเห็นในการเปลี่ยนแปลงสำคัญของเว็บไซต์อีกด้วย และในปี พ.ศ. 2563 รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีธรรม ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี พ.ศ. 2563 และเป็นนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงให้เยาวชน JSTP ในรุ่นปัจจุบันอีกด้วย             จากบทบาทการพัฒนาบุคลากรวิจัยของ สวทช. เชื่อว่า “อัจฉริยภาพ" ของเยาวชนไทยยังมีอีกมากที่รอโอกาสในการค้นหาและดึงศักยภาพออกมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อตนเองและประเทศชาติ เหมือนดังที่ ตร. นพ.จารุพงษ์ บอกว่า “JSTP เป็นเหมือนบ้านนักล่าฝันทางวิทยาศาสตร์ ที่ให้โอกาสผมเข้าไปค้นหาศักยภาพของตัวเอง โดยมีนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงเป็น Trainer ที่ช่วยดึงศักยภาพออกมา แล้วช่วยพัฒนาให้บรรลุเป้าหมายตามความฝันนั้น”ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
กลไกการประเมินศักยภาพในการประกอบธุรกิจบนพื้นฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดย TTRS
กลไกการประเมินศักยภาพในการประกอบธุรกิจบนพื้นฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดย TTRS             การจะผลักดันให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นฐานในการเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้า และบริการปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งก็คือโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนซึ่งเทคโนโลยีนวัตกรรมหรือทรัพย์สินทางปัญญานั้นยากเกินกว่าที่จะประเมินออกมาเป็นหลักทรัพย์เพื่อนำเสนอไอเดียหรือค่าประกันให้สถาบันการเงินหรือแหล่งทุนมั่นใจได้            สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดตั้งศูนย์สนับสนุนและให้บริการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทย (TTRS) ขึ้นภายใต้ความร่วมมือของพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศพัฒนากลไกการประเมินจัดลำดับเทคโนโลยีไทย (Thailand Technology Rating System: TTRS) เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการไทยฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมรับทราบถึงขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนและสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มศักยภาพ ในการประกอบธุรกิจใต้อย่างยั่งยืน โดยได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากประเทศเกาหลีใต้เมื่อปี พ.ศ. 2557 และได้เริ่มให้บริการประเมินฯ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561            โมเดล TTRS นี้เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากระบบ KOTEC Technology Rating System: KTRS ร่วมกับการบูรณาการองค์ความรู้และประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ TTRS สวทช.และการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการประกอบธุรกิจ 4 ด้าน คือ 1. ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology & innovation) 2. ด้าน การบริหารจัดการ (Management) 3. ความสามารถด้านการตลาด (Marketability) และ 4. ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ (Business prospect) นอกจากนี้ผู้ประกอบการ จะได้รับผลการประเมินศักยภาพผู้ประกอบการโดย TTRS Model พร้อมใบรับรองระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมและผลการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง และโอกาสในการดำเนินธุรกิจโดยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนา ปรับปรุง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและการดำเนินธุรกิจของบริษัท อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทั้งในส่วนของสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งสามารถใช้ควบคู่กับโครงการค้ำประกันสินเชื่อของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้หรือการร่วมลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลไกสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยี นวัตกรรมในด้านต่าง ๆ จากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการประกอบธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต            ปัจจุบัน สวทช. โดยศูนย์สนับสนุนและให้บริการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทยได้ให้บริการวิเคราะห์ประเมินเทคโนโลยี นวัตกรรม และศักยภาพในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการไทยด้วย            ระบบ TTRS ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากล ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ มีโอกาสในการเข้าถึงกลไกการสนับสนุนทางด้าน Finance และ Non-finance มากขึ้น นับว่าเป็นปัจจัยเร่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการประกอบธุรกิจได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างยั่งยืนสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถยื่นสมัครได้ในระบบ TTRS เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาและตรวจสอบเบื้องต้น จากนั้นจะทำการตรวจประเมินศักยภาพในการประกอบธุรกิจ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและการประกอบธุรกิจ เมื่อเข้าสู่ระบบประเมิน TRS แล้ว จะได้ทราบถึงผลการวิเคราะห์ศักยภาพ 4 ด้านของผู้ประกอบการนั้น ๆ และนำไปสู่การออกใบรับรอง เพื่อเสริมศักยภาพความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการไทยบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) อีกทั้งทำให้ทราบจุดอ่อน จุดแข็ง และโอกาสของธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไปดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“บัญชีนวัตกรรมไทย” สร้างโอกาสผู้ประกอบการบุก “ตลาดภาครัฐ”
“บัญชีนวัตกรรมไทย” สร้างโอกาสผู้ประกอบการบุก “ตลาดภาครัฐ”             ปัจจุบันผลงานวิจัยทั้งในภาครัฐและเอกชนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้รับการนำมาใช้เชิงพาณิชย์ ผลงานเหล่านี้ไม่ใช่...ไม่มีประโยชน์ เพียงแต่ยังขาดโอกาสและแรงผลักดันให้ก้าวผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ไปสู่การเป็นที่ยอมรับและแห่งทันได้ในเชิงพาณิชย์            รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” และเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงกำหนดแนวทางส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมไทยผ่านการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ            จัดทำเป็น “บัญชีนวัตกรรมไทย” เพื่อเป็นเครื่องมือในการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมผลักดันสู่เชิงพาณิชย์อย่างมีมาตรฐานในระดับที่เชื่อถือได้            จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 22 กันยายน พ.ศ. 2558 มอบหมายให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยงานตรวจสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมที่ขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย และมอบหมายให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยตรวจสอบราคาของผลิตภัณฑ์และบริการ            สำหรับคำว่า “นวัตกรรมไทย” ที่สามารถขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยได้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นของใหม่หรือไม่เคยมีมาก่อนในโลก ขอเพียงเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่พัฒนาขึ้นจากกระบวนการวิจัย พัฒนา ปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการเต็มด้วยองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในประเทศไทย โดยคนไทยมีส่วนร่วม ซึ่งอาจเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่มีอยู่แล้วก็ได้             รวมถึงนวัตกรรมไทยในที่นี้ไม่จำเป็นต้องพัฒนาขึ้นในประเทศทั้งหมด อาจซื้อหรือนำเข้าบางส่วนมาจากต่างประเทศ โดยผลงานที่ได้รับการขึ้นบัญชีไปแล้ว 462 ผลงาน (ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2559 ถึงธันวาคม พ.ศ. 2563) บางรายการก็ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก แต่เป็นการวิจัยพัฒนาโดยภาคเอกชนไทย ซึ่งบางอย่างพัฒนาเพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศหรือมีคุณสมบัติใกล้เคียง หรือดีกว่าสิ่งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน            นอกเหนือจากเพื่อให้เกิดการนำไปใช้งานจริงแล้ว มีข้อกำหนดให้ภาครัฐจัดซื้อสินค้าหรือบริการตามรายการในบัญชีนวัตกรรมไทยใต้ไม่น้อยกว่า 30% ของงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทยโดยวิธีเฉพาะเจาะจงหรือวิธีคัดเลือก (กรณีมีผู้ขายหรือผู้ให้บริการ 2 รายขึ้นไป)            สำหรับหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมนั้น กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ขอขึ้นทะเบียนต้องเป็นผลมาจากการวิจัยหรือพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ โดยสถาบันวิจัยไทย สถาบันการศึกษาของไทย หรือภาคเอกชนไทย เจ้าของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ยื่นคำขอขึ้นทะเบียน ต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจ การค้า และมีผู้ถือหุ้นเป็นสัญชาติไทยไม่น้อยกว่า 51% หรือองค์กรภาครัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการผลิตและจำหน่าย            ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ขอขึ้นทะเบียนต้องผ่านการรับรองมาตรฐานบังคับของ ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ๆ (ถ้ามี) รวมทั้งผ่านการตรวจสอบจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ และผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามที่ระบุในเอกสารกำกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงต้องผ่านการทดสอบความปลอดภัยในการใช้งาน และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานวิเคราะห์ทดสอบที่เชื่อถือได้             อย่างไรก็ดีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะได้รับการขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยเป็นเวลาสูงสุด 8 ปี ในกรณีไม่เคยจัดซื้อจัดจ้างกับหน่วยงานภาครัฐมาก่อนหรืออย่างน้อย 3 ปี หากเคยจัดซื้อจัดจ้างมาแล้วเพื่อให้เอกชนไทยมีตลาด รองรับและเริ่มแข่งขันได้             หนึ่งในตัวอย่างผลงานวิจัยคนไทยที่ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยแล้วประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักในตลาดมากขึ้นก็คือ “คีนน์" ผลิตภัณฑ์สารชีวบำบัดขจัดคราบอเนกประสงค์ รวมถึง “คราบน้ำมัน" ของบริษัทคีนน์ จำกัด ซึ่งต่อยอดมาจากงานวิจัยโดยเป็นสูตรผสมของจุลินทรีย์ เอนไซม์ และสารประกอบทางชีวภาพ มีคุณสมบัติย่อยสลายโมเลกุลน้ำมัน คราบน้ำมัน สิ่งสกปรก และสารอินทรีย์ต่าง ๆ มีสภาวะเป็นกลาง ไม่กัดกร่อน ไม่เป็นอันตราย - สามารถใช้ทำความสะอาดอเนกประสงค์ได้             ผลิตภัณฑ์นี้แม้ผู้ผลิตจะนำออกสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ แต่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จึงตัดสินใจเข้าสู่ตลาดภาครัฐ เพราะมองว่ามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากจะเป็นประตูไปสู่หน่วยงานอื่นๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก จึงยื่นขอขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยผ่านกลไกการพิจารณาที่ผลิตภัณฑ์ต้องมีมาตรฐานและการรับรองความเป็นนวัตกรรมด้วยข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เมื่อทำสำเร็จ รายชื่อสินค้าจากคืนนี้จึงปรากฏอยู่ในแค็ตตาล็อกของตลาดภาครัฐ การเข้าสู่ตลาดภาครัฐได้สำเร็จครั้งนั้น ทำให้ "คีนน์" เป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้มีมูลค่าการเติบโต สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องการสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่แบรนด์ที่ผ่านการปั้น “บัญชี นวัตกรรมไทย" จึงเปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่จะเป็นใบเบิกทางไป สู่ตลาดอื่น ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว กระตุ้นการใช้ วทน. และสร้าง รายได้มากขึ้นดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
IP-Licensing กลไกผลักดันงานวิจัยสู่ตลาด
IP-Licensing กลไกผลักดันงานวิจัยสู่ตลาด “จากหิ้งสู่ห้าง” คำนี้คงเคยได้ยินกันบ่อย ๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับงานวิจัยไทยที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จและมีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย จำเป็นต้องมีกลไกหรือตัวช่วยในการเชื่อมต่อระหว่างนักวิจัย ผู้พัฒนาเทคโนโลยีกับผู้ประกอบการที่จะส่งผ่านผลงานดี ๆ ไปสู่ผู้ใช้งานจริง           เรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IP) และการอนุญาตใช้เทคโนโลยีก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ผลงานวิจัยก้าวออกจากห้องปฏิบัติการไปสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ได้มากขึ้น            สำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี (TLO) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (IP Management) ของสวทช. และศูนย์วิจัยแห่งชาติ (ไบโอเทค เอ็มเทค เนคเทค นาโนเทค และเอ็นเทค) รวมไปถึงการให้คำปรึกษาทางด้านนโยบายและกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาแก่นักวิจัยจากหน่วยงานภายในเครือข่ายพันธมิตร            อีกทั้งยังเป็นหน่วยงานกลางในเรื่องการอนุญาตให้ใช้สิทธิเทคโนโลยี (Licensing) ซึ่งมีการประสานงาน เจรจา และดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างศูนย์วิจัยแห่งชาติหน่วยงานวิจัยภายในและหน่วยงานพันธมิตรของ สวทช. กับภาคเอกชน ภาคธุรกิจ และการผลิต            ด้วยการมุ่งเน้น “การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบที่เหมาะสมสู่การนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์” เพื่อผลักดันให้มีการนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศภายใต้แนวคิด “จากงานวิจัยสู่ตลาด...From Lab to Market”            การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาของ สวทช. มีการดำเนินงานตั้งแต่ การสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่มีต่องานวิจัยและการนำไปใช้ประโยชน์ การวางแผนความคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา การขอรับความคุ้มครอง การใช้ประโยชน์ และการสร้างแรงจูงใจให้สร้างผลงานวิจัยที่นำมาใช้ประโยชน์ รวมถึงการให้คำปรึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการ บริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา            นอกจากการให้บริการแก่หน่วยงานภายใน สวทช. แล้ว สำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี ยังมีส่วนร่วมในการสร้างความตระหนักด้านทรัพย์สินทางปัญญาและการนำไปใช้ประโยชน์กับหน่วยงานภายนอก และมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นเพื่อการขับเคลื่อนมาตรการนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญาต่าง ๆ ของประเทศด้วย            ปัจจุบัน สวทช. มีผลงานที่พร้อมถ่ายทอดอนุญาตให้ใช้สิทธิเทคโนโลยีครอบคลุมทั้งด้านเกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ อุตสาหกรรมการผลิตและบริการ พอลิเมอร์ สิ่งทอ และเคมี             โดยมีผลงานพร้อมใช้งาน เช่น น้ำยาเคลือบสิ่งทอสำเร็จรูปสูตรต้านเชื้อแบคทีเรีย กันยูวี สะท้อนน้ำ มีกลิ่นหอม ด้วยกระบวนการผลิตแบบตกแต่งสำเร็จ (Garment Finish/Exhaustion) สำหรับผลิตภัณฑ์สิ่งทอสำเร็จรูป ตัวเร่งปฏิกิริยาไบโอดีเซลจากเปลือกไข่ Eco-Cata ซึ่งสามารถใช้ทดแทน ตัวเร่งปฏิกิริยาของเหลวที่ใช้ในกระบวนการผลิตไบโอดีเซลในปัจจุบัน (แบบ Batch) โดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสภาวะในการทำปฏิกิริยาเพิ่มเติมได้             พร้อมทั้งจมูกอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้สาย (Smart E-Nose) ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำขึ้นเลียนแบบการรับรู้กลิ่นของมนุษย์ โดยนำเอาเทคโนโลยีของเซนเซอร์อาเรย์ในการตรวจวัดก๊าซต่าง ๆ ซึ่งมีการนำมาประยุกต์ใช้ด้านการตรวจวัดสภาพแวดล้อม เพื่อตรวจวัดคุณภาพของอากาศ ณ บริเวณต่าง ๆ ด้วยคุณสมบัติที่ติดตั้งง่ายและใช้ได้ในหลายพื้นที่             เครื่องผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ในระบบบำบัดน้ำเสีย (Onsite Microbial Reactor: OMR) สำหรับผลิตจุลินทรีย์เพื่อใช้บำบัดน้ำเสีย มีระบบเติมอากาศและระบบจัดการน้ำเข้า-ออกแบบอัตโนมัติ ใช้งานได้ง่ายและสะดวก โดยจุลินทรีย์ที่นำมาใช้ผ่านการคัดเลือกแล้วว่ามีความสามารถในการย่อยสลายทั้งน้ำเสียปกติและน้ำเสียที่มีน้ำมันหรือไขมัน เป็นองค์ประกอบ เครื่องนี้ใช้ระยะเวลาเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์เพียง 24-48 ชั่วโมง เมื่อเติมเชื้อจุลินทรีย์ที่ผลิตจากเครื่องฯ พบว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียให้สามารถปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมมีค่าตามเกณฑ์มาตรฐานน้ำทิ้งของกรมโรงงานและอิฐมวลเบาคอมโพสิตจากจีโอพอลิเมอร์และวัสดุมวลเบาจากเศษแก้ว ซึ่งสามารถผลิตได้โดยใช้เครื่องมือง่าย ๆ และนำไปใช้เป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น วัสดุทดแทนอิฐมวลเบาในการก่อสร้างผนังอาคารต่าง ๆ โดยจะแข็งแรงมากกว่าอิฐมวลเบาทั่วไป และเนื่องจากมีผิวเรียบอยู่แล้ว จึงช่วยลดการใช้ปูนซีเมนต์ในการฉาบปูนทับได้           การอนุญาตใช้สิทธิผลงานวิจัยให้แก่ผู้ประกอบสามารถนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้นี้ นอกจากจะเป็นการผลักดันให้งานวิจัยออกจากทั้งสู่ห้างแล้ว รายรับที่ได้จากผู้ขอรับอนุญาตให้ใช้สิทธิยังทำให้เกิดการพัฒนางานวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยจะเป็นทั้งทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาต่อไป และมีการจัดสรรผลประโยชน์บางส่วนให้แก่นักวิจัย เพื่อเป็นแรงจูงใจในการวิจัยและพัฒนาอีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“EECi” เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
“EECi” เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก “ระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีผลงานวิจัยและนวัตกรรมนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีของประชาคมอย่างยั่งยืน”             จากนโยบายรัฐบาลที่ได้กำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาประเทศไทยไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” ที่มีนวัตกรรมเป็นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศรวมทั้งกำหนด 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต “โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” หรือ “อีอีซี” ได้ถูกริเริ่มขึ้นเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวโดยดำเนินการใน 3 จังหวัดภาคตะวันออก คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา            การจะพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวและตอบสนองต่อบริบทโลกที่เปลี่ยนไปได้นั้น จำเป็นจะต้องพัฒนาอุตสาหกรรมหลักของประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมชั้นสูงที่เน้นใช้เทคโนโลยี อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีที่มีในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นตอนการวิจัยพัฒนาระดับห้องปฏิบัติการและเทคโนโลยีที่มีในต่างประเทศนั้นก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันที จำเป็นต้องเอามาปรับแปลงเทคโนโลยีขั้นสูง (Technology Localization) ให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมและตลาดในประเทศและภูมิภาคก่อน ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของแนวคิดการพัฒนา “เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" (Eastern Economic Corridor of Innovation) หรืออีอีซีไอ (EECi) ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรม เพื่อรองรับการขยายผลงานวิจัย การทดสอบการสาธิตเทคโนโลยี การประเมินความเป็นไปได้ทั้งในเชิงเทคโนโลยีและเชิงเศรษฐศาสตร์ รวมถึงการปรับแปลงเทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศมาสู่การใช้ประโยชน์จริงใน 6 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1. นวัตกรรมการเกษตร 2. ไบโอรีไฟเนอรี 3. แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงและการขนส่งสมัยใหม่ 4. ระบบอัตโนมัติหุ่นยนต์และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 5. เทคโนโลยีการบินและอากาศยานไร้นักบิน และ 6. เครื่องมือแพทย์บนพื้นที่กว่า 3,454 ไร่ ในวังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรในทุกภาคส่วน              เพื่อให้อีอีซีไอสามารถทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ภาคอุตสาหกรรม และชุมชน เพื่อการต่อยอดไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และยกระดับความสามารถของภาคอุตสาหกรรมและชุมชนได้ประสบความสำเร็จนั้น ดังนั้นอีอีซีไอจึงได้รับการออกแบบให้เป็นระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำ (Innovation Ecosystem) ที่จะมีโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมชั้นนำสำหรับการวิเคราะห์ ทดสอบและการขยายผล ห้องปฏิบัติการวิจัยของภาครัฐและเอกชน ศูนย์วิจัยของบริษัทเอกชนไทยและบริษัทข้ามชาติ หน่วยบ่มเพาะเทคโนโลยีชั้นนำ และนักลงทุน และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมทั้งผู้ให้บริการเทคโนโลยีที่มาจัดตั้งบริษัทและทำงานร่วมกันอยู่ในพื้นที่ นอกจากนี้อีอีซีไอยังได้ออกแบบพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อรองรับชุมชนนวัตกรขนาดใหญ่ มีการเชื่อมโยงเครือข่ายนวัตกร นักคิดค้นเทคโนโลยี นักลงทุนด้านนวัตกรรม ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างลงตัว            อีอีซีไอถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญระดับประเทศ ซึ่งโครงการได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่อีอีซีไอ (ระยะที่ 1) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 โดยปัจจุบัน มีความคืบหน้าในการดำเนินการ คือ ได้ก่อสร้างกลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่อีอีซีไอก้าวหน้าไปประมาณ 70% มีกำหนดแล้วเสร็จประมาณกันยายน พ.ศ. 2564 นี้ โดยหลังจากนั้นก็จะเป็นเรื่องการตกแต่งพื้นที่ และคาดว่าจะพร้อมเปิดใช้งานราวเดือนเมษายน พ.ศ. 2565             ส่วนความคืบหน้าในการเตรียมการโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของอีอีซีไอที่ได้เริ่มทยอยพัฒนาไปแล้วนั้น ตัวอย่างเช่น            1. เมืองนวัตกรรมชีวภาพ (BIOPOLIS) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพัฒนาโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะส่งเสริมการแปรรูปชีวมวล รวมถึงวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรที่มีมูลค่าต่ำไปสู่สารสกัดที่มีมูลค่าสูงนำไปใช้ในอุตสาหกรรมชีวภัณฑ์ อุตสาหกรรมยา อาหารเสริมและเครื่องสำอางได้ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในต้นปี พ.ศ. 2567 การเริ่มพัฒนาโรงเรือนปลูกพืชและโรงงานผลิตพืช (Smart Green house) เพื่อทดลองปลูกพืชสมุนไพรในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมและจะจัดทำศูนย์สาธิตเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming Demo Site) ใน 3 จังหวัดในพื้นที่อีอีซี โดยดำเนินการร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน เป็นต้น            2. เมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (ARIPOLIS) ซึ่งในปีนี้ได้เริ่มพัฒนาศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center) เพื่อสาธิตสายการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีการผลิต 4.0 ให้เป็นสถานที่พัฒนา/ทดลองทดสอบความเข้ากันได้ของอุปกรณ์และระบบต่าง ๆ ก่อนนำไปใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเป็นแหล่งพัฒนากำลังคน ให้คำปรึกษาแก่ภาคอุตสาหกรรม และบริการจับคู่ความต้องการเทคโนโลยีและผู้ให้บริการอีกด้วย โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการกลางปี พ.ศ. 2565            3. เมืองนวัตกรรมการบินและอวกาศ (SPACE INNOPOLIS) ได้ร่วมกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาพื้นที่ทดลองและทดสอบอากาศยานไร้นักบิน (UAV Sandbox) ขึ้นในวังจันทร์วัลเลย์ และอยู่ในระหว่างพัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อดึงดูดให้นำงานวิจัยมาทดสอบที่พื้นที่ทดลอง (Sandbox) นี้            4. เครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอน (Synchrotron Light Source) เครื่องที่สองของประเทศไทยซึ่งเป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่เปรียบเสมือนกล้องจุลทรรศน์ขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ประโยชน์ในการวิจัยในระดับโมเลกุล ตอนนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบและคาดว่าจะเริ่มสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนได้ในปี พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป            นอกจากความก้าวหน้าในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมแล้ว อีอีซีไอยังมีแพลตฟอร์มสำหรับสนับสนุนผู้ประกอบการและชุมชนที่ได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น การสนับสนุนการยกระดับความสามารถทางเทคโนโลยีให้กับ SMEs และ Startups ไปแล้ว 294 ราย โดยการยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการดังกล่าวได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีกำไรเพิ่มขึ้น 201 ล้านบาทและก่อให้เกิดการลงทุนของเอกชนในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมรวม 54 ล้านบาท รวมถึงได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านการเกษตรสู่ชุมชนในพื้นที่ภาคตะวันออกไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 191 ชุมชน และยังได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับสถานศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรวมทั้งสิ้นกว่า 7,400 คน และจะมีโปรแกรมการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยี (Deep Tech Acceleration) ที่จะเริ่มดำเนินการได้ในกลางปีหน้า            นอกจากนี้หากอีอีซีไอจะก้าวไปสู่การเป็นเขตนวัตกรรมชั้นนำใต้นั้น อีอีซีไอจะต้องเร่งดำเนินการ เช่น การดึงดูดผู้มีความสามารถสูงเข้ามาเพิ่มเติมในอีอีซีไอหรือในส่วนอื่นของประเทศเพื่อให้เกิดมวลที่มากพอสำหรับระบบเศรษฐกิจซึ่งขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมการดึงดูดสถาบันวิจัยชั้นนำของต่างประเทศให้เข้ามาเปิดศูนย์ความเป็นเลิศในประเทศไทย การทำงานกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อร่วมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเพิ่มเติมเพื่อยกระดับขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงการสร้างการยอมรับจากผู้ที่มีส่วนได้เสียและชุมชนในพื้นที่ เป็นต้น            ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดทั้งมวลที่จะเกิดขึ้น จะทำให้อีอีซีไอเป็นพื้นที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาคเอกชน สถาบันวิจัย/มหาวิทยาลัย และชุมชน เพื่อการต่อยอดการทำวิจัยและพัฒนาไปสู่การใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ อันจะนำประเทศไปสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรมควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย “นิคมวิจัยสําหรับเอกชน” แห่งแรกในไทย
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย “นิคมวิจัยสำหรับเอกชน” แห่งแรกในไทย             ปฏิเสธไม่ได้ว่า “อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย” (Thailand Science Park) ภายใต้การดูแลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ก็คือ “นิคมวิจัยสำหรับเอกชน” แห่งแรกของประเทศไทย และยังคงเป็นนิคมวิจัยที่มีความสำคัญและขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน            เป็นเวลาเกือบ 20 ปีที่ “อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย” เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2545 เพื่อเป็น “โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ” ที่ทุกฝ่ายคาดหวังว่าจะรองรับการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ได้อย่างยั่งยืน            จุดเริ่มต้นของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นจากการเล็งเห็นถึงความจำเป็นของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนภาคเอกชนในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และก้าวทันกระแสของการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อีกทั้งเสริมสร้างระบบนวัตกรรมของประเทศ โดยเฉพาะความเชื่อมโยงระหว่างภาคการศึกษาและวิจัยกับภาคการผลิต รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาคการผลิตด้วยกันเอง            สำหรับการพัฒนาประเทศในอนาคต จำเป็นต้องมีการพัฒนากลไกที่มีประสิทธิภาพเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศและแก้ไขจุดอ่อนที่เป็นอยู่ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 6 จึงกำหนดให้มีการจัดตั้งและพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ และมอบหมายให้ 3 กระทรวง คือ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และการพลังงาน (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในปัจจุบัน) ทบวงมหาวิทยาลัย และกระทรวงศึกษาธิการไปศึกษาเพื่อดำเนินการ             ในช่วงปี พ.ศ. 2528-2530 กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ (ปัจจุบันเป็นกระทรวงการอุดมศึกษา) โดยการสนับสนุนของรัฐบาลออสเตรเลีย ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศออสเตรเลียหลายครั้ง และในปี พ.ศ. 2531 กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ติดต่อขอความร่วมมือไปยังสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asian Institute of Technology: AIT) ในการจัดหาที่ดินที่เหมาะสมสำหรับร่วมพัฒนาเป็นอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย            จากนั้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2532 ได้ติดต่อกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนานาชาติ (United Nations Fund for Science and Technology for Development: UNFSTD) ซึ่งมีประสบการณ์ในโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ในเอเชีย ให้มาสำรวจการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย รวมถึงได้มีการจัดสัมมนาเพื่อให้ข้อมูลและปรึกษาหารือกับนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ ผู้ใช้เทคโนโลยี ฝ่ายสถาบันการเงิน ภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งผู้เข้าร่วมการสัมมนาส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนในการจัดตั้ง            คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจฯ จึงมีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ดำเนินการจัดตั้ง “โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย” ขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย และมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ดำเนินการในเวลาต่อมา             ภายใต้งบโครงการที่มีมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท เป็นงบก่อสร้างอาคารสถานที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท และเครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์อีกประมาณ 3,000 ล้านบาท อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยก่อตั้งขึ้นบนพื้นที่กว่า 200 ไร่ โดยตั้งอยู่บริเวณถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ 42 ระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย            พันธกิจหลักคือ การเป็นศูนย์รวมของการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ครบวงจร เป็นแหล่งพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือแบบไตรภาคี ระหว่างสถาบันการศึกษาภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสนับสนุนให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการนำเทคโนโลยีไปใช้เชิงพาณิชย์ พร้อมทั้งกระตุ้นการพัฒนาอุตสาหกรรมผ่านการทำวิจัยและพัฒนาโดยภาคเอกชน            ปัจจุบันอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ เป็นที่ตั้งของสำนักงานกลาง สวทช. และศูนย์วิจัยแห่งชาติทั้ง 5 ศูนย์ คือ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) และศูนย์ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงศูนย์บ่มเพาะธุรกิจนวัตกรรมตามแนวทางธุรกิจที่หลากหลายตามความเหมาะสม ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบที่ได้มาตรฐานสากล และโรงงานต้นแบบต่าง ๆ            ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ครบวงจร ทั้งสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก อุปกรณ์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยที่เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา ร่วมวิจัย และกลไกสนับสนุนที่ช่วยลดข้อจำกัดต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนทั้งไทยและต่างชาติไม่น้อยกว่า 100 บริษัท เช่าพื้นที่เพื่อทำวิจัยและพัฒนา            ส่วนใหญ่เป็นบริษัทด้าน Automation Robotics & Intelligent System และ Food & Agriculture เช่น บริษัทกราวิเทคไทย (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งวิจัยและพัฒนาออกแบบผลิตบอร์ดไมโครคอนโทรเลอร์สำหรับทดลองเป็นบอร์ดต้นแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ และให้บริการออกแบบชิ้นงานต้นแบบเพื่อนำไปทำการวิจัยต่อยอดทางธุรกิจ บริษัทเกรนาเดส ไบโอเทค จำกัด ใช้เป็นสำนักงานประสานงานสำหรับงานด้านเกษตรอาหาร นวัตกรรมด้านการผลิตปศุสัตว์สารเสริมสำหรับสัตว์ การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริษัทซีพี ฟู้ดแล็บ จำกัด เป็นศูนย์วิจัยและพัฒนา และห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางด้านเชื้อจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์อาหาร          นอกจากนี้ยังมีสถาบันพลังงานขั้นสูง มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ใช้เป็น Kyoto University ASEAN Center เพื่อประสานงานวิจัยและให้ทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย รวมถึงบริษัทเฮเดล เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้เพื่อเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Graphene             สำหรับเป้าหมายในอนาคตของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย นอกจากจะกระตุ้นและผลักดันให้เกิดการพัฒนา “เมืองวิทยาศาสตร์ ปทุมธานี” แล้ว คือการก้าวสู่การเป็นสถานที่ชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผู้ประกอบการและธุรกิจที่ใช้ความรู้ วทน. เป็นองค์ประกอบสำคัญ สามารถกำเนิดเติบโต และเจริญรุ่งเรืองได้อย่างยั่งยืนต่อไปดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น