หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ไบโอเทค สวทช. พัฒนาวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 แบบพ่นจมูก เพิ่มประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียง สู้เชื้อกลายพันธุ์
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) เป็นโรคอุบัติใหม่ที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและของโลก สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา ชนิด SARS-CoV-2 ที่สามารถติดเชื้อจากคนสู่คนและแพร่กระจายเป็นวงกว้าง อีกทั้งยังประสบปัญหาการกลายพันธุ์ของเชื้ออีกหลายรูปแบบซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการกลับมาติดเชื้อซ้ำได้อีก ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สังคม และเศรษฐกิจทั่วทั้งโลกอย่างมหาศาล ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 การมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้แก่ประชาชนใช้จึงเป็นความหวังของทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งในปัจจุบันมีวัคซีนที่ได้รับการอนุญาตและมีการฉีดให้แก่ประชาชนแล้วในหลายประเทศ เนื่องจากวัคซีนที่พัฒนาขึ้นต้องผ่านการทดสอบในสัตว์ทดลองและมนุษย์ และมีกำลังการผลิตอยู่ค่อนข้างจำกัด ทำให้หลายประเทศมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนได้ช้าไม่ทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีความจำเป็นต้องพัฒนาวัคซีนใหม่ๆ เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของไวรัสอีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางวัคซีน บริษัทเอกชนและสถาบันวิจัยทั่วโลกจึงมีการพัฒนาวัคซีนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งนักวิจัยของไทยก็ทำงานอย่างหนักในการเร่งพัฒนาวัคซีนเพื่อผลิตใช้เองในประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) แบบพ่นจมูก ชนิด Adenovirus-based และ Influenza-based ซึ่งผ่านการทดสอบการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูทดลองเรียบร้อยแล้ว พบว่ามีประสิทธิภาพต่อการคุ้มโรคที่เกิดขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ได้จะผลักดันให้เป็นวัคซีนต้นแบบป้องกันโรค COVID-19 สามารถนำไปทดสอบทางคลินิกในอาสาสมัครต่อไป ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า ทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ไบโอเทค ได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาวัคซีนต้านโรคติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่มีการเริ่มระบาดในประเทศจีนในเดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา ทางทีมวิจัย เริ่มงานวิจัยโดย การสังเคราะห์ยีนสไปค์ของไวรัสขึ้นเองโดยอาศัยข้อมูลรหัสพันธุกรรมของไวรัสที่เผยแพร่หลังจากที่มีการถอดรหัสสำเร็จ และนำยีนดังกล่าวไปใช้เป็นแอนติเจนหรือโปรตีนกระตุ้นภูมิในรูปแบบต่างๆ ประกอบกับความสามารถในการทำวิจัยเชิงลึกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตัดต่อพันธุกรรมของไวรัส ที่ทีมวิจัยมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการตัดต่อพันธุกรรมไวรัสให้มีความอ่อนเชื้อลง และไม่สามารถแบ่งตัวเพิ่มได้ ซึ่งทีมวิจัยได้ประยุกต์ใช้พัฒนาเป็นต้นแบบวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ซึ่งได้มุ้งเน้นพัฒนาต้นแบบวัคซีน 3 ประเภท คือ 1) วัคซีนประเภท Virus-like particle (VLP) หรือ วัคซีนอนุภาคไวรัสเสมือน เป็นเทคโนโลยีการสร้างโครงสร้างเลียนแบบอนุภาคไวรัสแต่ไม่มีสารพันธุกรรมของไวรัสบรรจุในโครงสร้างดังกล่าว ด้วยเหตุผลดังกล่าววัคซีนรูปแบบนี้จึงปลอดภัย และสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อโปรตีนสไปค์จากผิวของวัคซีนได้ด้วย 2) วัคซีนประเภท Influenza-based คือการปรับไวรัสไข้หวัดใหญ่ให้สามารถแสดงออกโปรตีนสไปค์ของไวรัส SAR-CoV-2 หลังจากนำส่งเข้าสู่ร่างกาย วิธีนี้จะทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อทั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่ และ SARS-CoV-2 ได้ในเวลาเดียวกัน และ 3) วัคซีนประเภท Adenovirus vector-based คือ การปรับพันธุกรรมไวรัส Adenovirus serotype 5 ให้อ่อนเชื้อและสามารถติดเชื้อได้ครั้งเดียว และ เพิ่มยีนที่กำหนดการสร้างโปรตีนสไปค์เพิ่มลงไปในสารพันธุกรรมของไวรัส เมื่อนำไวรัสชนิดนี้ฉีดเข้าสู่ร่างกายจะมีการสร้างโปรตีนสไปค์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้ ซึ่งทีมได้ดำเนินการวิจัยพัฒนาในหลอดทดลองและทดสอบการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูทดลองและประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนแต่ละชนิดต่อการคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นจริงในเฟสต่างๆ ดร.อนันต์ ให้ข้อมูลต่อว่า ปัจจุบันทีมวิจัย สวทช. มีความคืบหน้าในการพัฒนาเป็นต้นแบบวัคซีนเป็นอย่างมาก ซึ่งเราได้ผลักดันต้นแบบวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 แบบพ่นจมูก ออกมาได้ 2 ชนิด คือ วัคซีนชนิด Adenovirus ที่มีการแสดงออกของโปรตีนสไปค์ ออกแบบโดยการพ่นเข้าจมูกผ่านละอองฝอย รูปแบบนี้น่าจะเป็นวัคซีนที่ใกล้เคียงกับหลายๆ ที่ ซึ่งกำลังทดสอบในเฟส 1-2 ของทีม สวทช. ผ่านการทดสอบในหนูทดลองที่ฉีดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว พบว่า หนูทดลองนอกจากไม่มีอาการป่วย ยังมีน้ำหนักขึ้นสูงกว่ากลุ่มที่ฉีดเข้ากล้ามอย่างเห็นได้ชัด ผลการทดสอบความปลอดภัยไม่มีปัญหา การผลิตในระดับ GMP ร่วมมือกับบริษัท KinGen BioTech เรากำลังจะทดสอบวัคซีนนี้ในอาสาสมัครมนุษย์ในรูปแบบที่สร้างจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ในเร็วๆ นี้ ผลงานวิจัยกำลังเร่งรวบรวมผลส่งเข้าตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ และวัคซีนชนิด Influenza virus ที่มีการแสดงออกของโปรตีน RBD ของสไปค์ ตัวนี้กำลังต่อคิวทดสอบประสิทธิภาพการคุ้มโรคโควิด-19 และผลการวิจัยเรื่องระดับภูมิคุ้มกันในหนูทดลองได้ตีพิมพ์ไปแล้ว ซึ่งการทดสอบในหนูทดลองโดยการพ่นเข้าจมูกผ่านละอองฝอยและฉีดเข้ากล้าม พบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันทั้งในรูปแบบแอนติบอดี และ T cell ได้สูง เช่นเดียวกัน ซึ่งวัคซีนตัวนี้ร่วมมือกับทีมองค์การเภสัชกรรม และมีแผนจะออกมาทดสอบความปลอดภัยเป็นตัวต่อไป ซึ่งเมื่อวัคซีนนี้ได้ผ่านขั้นตอนการศึกษาในสัตว์ทดลองแล้ว พบว่าได้ผลดี ไม่มีผลข้างเคียงจึงจะยื่นเอกสารต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขอทดสอบในมนุษย์ โดยจะร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยวางแผนทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนกับเชื้อสายพันธุ์เดลตา หาก อย. อนุมัติเร็ว ก็เริ่มทดสอบในมนุษย์เฟสแรกปลายปี 2564 นี้ และต่อเนื่องเฟส 2 ในเดือนมีนาคม 2565 หากได้ผลดีจะสามารถผลิตใช้ได้ประมาณกลางปี 2565 นี้ ดร.อนันต์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า วัคซีนโควิด-19 ชนิดพ่นจมูก เป็นวัคซีนที่พ่นละอองฝอยในโพรงจมูกผ่านเข็มฉีดพ่นยาชนิดพิเศษที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งวัคซีนไปเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในเยื่อเมือกของระบบทางเดินหายใจส่วนบนโดยตรง ซึ่งไวรัสส่วนใหญ่รวมถึงไวรัสโคโรนาอันเป็นสาเหตุของโควิด-19 มักจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูกและก่อตัวขึ้นในโพรงจมูกก่อนที่จะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายรวมถึงปอด จากการทดสอบพบว่าแอนติบอดีในเยื่อเมือกระบบทางเดินหายใจส่วนบน จะสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วและดีกว่าวัคซีนแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ รวมถึงสามารถกระตุ้นการผลิต อิมมูโนโกลบูลินเอ (Ig A) ที่จำเพาะต่อแอนติเจน และเม็ดเลือดขาวชนิด T cell ในทางเดินหายใจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบฆ่าเชื้อ ซึ่งสามารถสกัดกั้นไวรัสและสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับไวรัสป้องกันการติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกายและลดโอกาสที่ผู้คนจะแพร่เชื้อไวรัสต่อได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงจากภาวะลิ่มเลือดอุดตันได้ จึงถูกมองว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน จากความเชี่ยวชาญของทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. สามารถอัพเดทวัคซีนให้ตอบสนองต่อการกลายพันธุ์ของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่จะอุบัติขึ้นได้ไวภายใน 2-3 สัปดาห์ เพียงเท่านั้น ผลงานวัคซีนโควิด 19 ที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นได้จากองค์ความรู้ที่สั่งสมมาจากงานวิจัยโดยคนไทยทั้งหมด ผสมผสานกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทัดเทียมกับนานาชาติ ประกอบกับการจัดสรรทุนสนับสนุนการวิจัยจากรัฐบาลในการพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 จากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนผลักดันวัคซีนที่พัฒนาขึ้นได้ออกไปสู่ผู้ใช้จริง ซึ่งจะส่งเสริมความสำเร็จในการสร้างวัคซีนโควิด 19 ที่มีคุณภาพสำหรับคนไทย ซึ่งนับว่าเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของการวิจัยและพัฒนาด้านวัคซีนภายในประเทศ ที่จะสามารถรับมือโรคระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเสริมความมั่นคงทางวัคซีนให้กับประเทศไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
GPSC ส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ รพ. สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ
9 สิงหาคม 2564 ณ โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ : คุณจารุวัฒน์ สิงห์สมดี ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสบริหารการเปลี่ยนแปลงและความยั่งยืนองค์กร บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ประกอบด้วย ชุด PPE จำนวน 500 ชุด พร้อมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จำนวน 50,000 ชิ้น เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของทีมบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลสนามฯ โดยมี คุณกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมกับ แพทย์หญิงบุษกร โลหารชุน รองผู้อำนวยการสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ และผู้แทนจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมรับมอบในครั้งนี้
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
🛑(Facebook Live) R&D Sharing 2021 งานวิจัยไทยสู้ภัยโควิด – อยู่อย่างไรเมื่อชีวิตไร้สัมผัส
R&D Sharing ที่คุณไม่ควรพลาด ร่วมค้นหาคำตอบ เราจะอยู่อย่างไรเมื่อชีวิตไร้สัมผัส พบกับนวัตกรรมเปลี่ยนลิฟต์ทั่วไป ให้เป็น "ลิฟต์ MagikTuch ไร้สัมผัส ลดเสี่ยงเลี่ยงโควิด-19" . นักวิจัยไทยทำ เรามีคำตอบ ให้คุณเสมอ! ร่วมรับฟังแลกเปลี่ยนความรู้ ทุกคำถามเรามีคำตอบ ที่จะทำให้คุณรู้เรื่องราวผลงานวิจัยไทยทำ สู้ภัยโควิดก่อนใคร... . แล้วพบกัน!!! 11 สิงหาคมนี้ เวลา 10.30-11.15 น. มาร่วมพูดคุยกับ ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม (ดร.เก่ง) ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. นักวิยไทยทำ สู้ภัยโควิค . Live Facebook Fanpage: NSTDA-สวทช. หรือรับฟังเสียงทาง Club House ชื่อคลับ “Sci Sence” https://www.clubhouse.com/join/sci-scene/DkTV2W8L/xBZ0KzQp #NSTDA#R&D Sharing#Sciscene#clubhouse
ปฏิทินกิจกรรม
 
🛑(Facebook Live) เสวนา “ถุงห่อทุเรียน MagikGrowth เพื่อชาวสวนทุเรียนยุคใหม่ ลดการใช้สารเคมี”
เตรียมพบกับการเปิดตัวถุงห่อทุเรียน "MagicGrowth" นวัตกรรมจากเอ็มเทค สวทช. เพื่อชาวสวนยุคใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ....กว่างานวิจัยจะนำไปสู่การใช้จริง ที่ผ่านการทดสอบจากชาวสวนทุเรียนตัวจริงกับความพร้อมที่จะต่อยอดจำหน่ายเชิงพาณิชย์เพื่อจำหน่ายในเร็วๆนี้ . พบกับ คุณนวลนภา เจริญรวย เจ้าของสวนทุเรียน จ.ระยอง ผศ.ดร ลำแพน ขวัญพูล อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืชสาขาวิชาพืชสวน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ นักวิจัย ทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ดำเนินรายการโดย - อาจารย์เปรม ณ สงขลา ผู้ก่อตั้งนิตยสาร “เคหการเกษตร” . วันที่ 13 สิงหาคม 2564 เวลา 18.30 น. Facebook Live: NSTDA-สวทช.
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคต สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ร่วมจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคต ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2564 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม zoom เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เนื้อหาและกิจกรรมที่ออกแบบเพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารในหลากหลายมุม  ผ่านการทำกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยความรู้พื้นฐานทางด้านอาหารและโภชนาการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร นวัตกรรมทางอาหาร และแนวทางการพัฒนาอาหารเพื่ออนาคต สอดแทรกแนวทางการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ทางด้านอาหาร เพื่อให้เห็นแนวทางการพัฒนาและต่อยอดแนวคิดเป็นผลงาน/นวัตกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในชีวิตประจำวันได้ อันเป็นพื้นฐานของการพัฒนาต่อยอดสู่อุตสาหกรรมอาหาร ที่กำลังเติบโตในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมในระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนในพื้นที่ EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) จำนวน 60 คน  ทั้งนี้ยังมีบุคลากรทางการศึกษามากกว่า 30 ท่าน เข้าร่วมสังเกตการณ์       นางฤทัย จงสฤษดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวต้อนรับ ด้วยอมตะวาจาจาก ม.จ.สิทธิพร กฤดากร “เงินทองของมายา ข้าวปลาสิของจริง” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอาหารต่อมนุษย์ทุกคนบนโลก ดังนั้นการส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีความรู้ ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง จะทำให้สามารถนำกิจกรรมและสื่อจากหลักสูตรนี้ไปใช้เสริมในการออกแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาไปสู่การจัดทำหลักสูตรฐานสมรรถนะในสถานศึกษาที่เน้นการวัดผลจากการนำความรู้มาใช้งาน และจัดประสบการณ์ให้แก่นักเรียนแทนการท่องจำเนื้อหาได้อย่างยั่งยืนต่อไป จากนั้นเป็นการบรรยายภาพรวมโครงการ โดย ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล  รองผู้อำนวยการ สวทช. การอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ประกอบด้วย 4 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ 2) หลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคต 3) หลักสูตรเคมีชีวภาพ “จากทรัพยากรชีวภาพสู่การวิจัยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์” 4) หลักสูตร อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ตอน  ระบบ IoT กับการออกแบบกล่องปลูกพืชโดยใช้แสงเทียม สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักในเขตพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC     โดยมี ดร.สมศักดิ์ ทองเนียม ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง กล่าวเปิดการอบรม ต่อด้วยการบรรยายพิเศษ ภาพรวมการอบรมและพัฒนาครูหลักสูตรอาหารและอาหารสมัยใหม่ โดย อาจารย์ณภัทร ศรีละมัย ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา     กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคตนำโดยวิทยากรหลัก น.ส.สุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. และทีมผู้ช่วยวิทยากร เริ่มการอบรมด้วยการแนะนำภาพรวมหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วยการบรรยายเนื้อหาความรู้และกิจกรรมปฏิบัติการเพื่อให้ครูมีความรู้ความเข้าใจ ได้ประสบการณ์เกี่ยวกับ อาหารในหลากหลายมุม  เน้นให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับความรู้ผ่านการทำกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้วยรูปแบบกิจกรรมและสื่อการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมผ่านช่องทางแชตหรือโปรแกรมช่วยสอนรวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น padlet Quizlet classdojo PollEvalution mentimeter และการใช้ Canva ในการผลิตสื่อนำเสนอ     ต่อด้วยการบรรยายที่น่าสนใจในหัวข้อ “ความสำคัญของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอาหารในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร” โดย ผศ. ดร. กฤษกมล ณ จอม จากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมอาหารในตลาดโลกและของประเทศไทย เชื่อมโยงให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และการพัฒนากำลังคนสู่ภาคอุตสาหกรรมอาหาร ตลอดจนเทรนด์การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มในปัจจุบันและอนาคต ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยทำให้สามารถพัฒนาแนวคิดและผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้     กิจกรรมต่อมาเป็นการบรรยายในหัวข้อ “เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอาหาร” โดย ดร.ยุวเรศ มลิลา นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ นำเสนอแนวคิดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากไข่ พร้อมกิจกรรม “สนุกกับคุณสมบัติของไข่” เพื่อเรียนรู้คุณสมบัตของไข่ขาวและไข่แดง และการนำคุณสมบัติเชิงหน้าที่ที่สำคัญไปประยุกต์ใช้ในอาหารประเภทต่างๆ โดย น.ส.สุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล และ น.ส.จิดากาญจน์ สีหาราช ต่อด้วยการบรรยายหัวข้อ “แนวคิดนวัตกรรมอาหารเพื่อความยั่งยืน” บรรยายแนวคิดอาหารเพื่อความยั่งยืน รวมถึงเทรนด์อาหารในอนาคตเพื่อความยั่งยืน และกิจกรรมกลุ่มในห้องย่อยของ Zoom เพื่อระดมสมอง  คิดเมนู “ไข่พิชิตใจ” เมนูไข่ที่ไม่ใช้ไข่ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาอาหารโปรตีนจากพืช       วันที่ 2 ของการอบรมเริ่มด้วย กิจกรรมบรรยาย หัวข้อ “แนวคิดสร้างสรรค์ อาหารโมเลกุล” ซึ่งเป็นอาหารที่มีรูปลักษณ์แปลกใหม่ที่นำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ เป็นแนวคิด ออกแบบในการประกอบอาหาร โดยใช้ส่วนประกอบสำคัญและเทคนิคการปรุงหรือประกอบอาหาร เพื่อสร้างอาหารที่มีรูปแบบแปลกใหม่ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการรับประทานอาหารที่อร่อยและสวยงาม และกิจกรรม สนุกกับอาหารโมเลกุล “กาแฟเม็ดป๊อป” ที่ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้ทดลองทำอาหารโมเลกุลด้วยตนเอง โดยวิทยากร น.ส.กรกนก จงสูงเนิน และ น.ส.จิดากาญจน์ สีหาราช ต่อด้วยกิจกรรม “นวัตกรรมอาหารเพื่อผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม” หลักโภชนาการ และความต้องการพลังงานและอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเป็นกิจกรรมกลุ่ม ในห้องย่อยของ Zoom เพื่อระดมสมอง ร่วมกันวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ออกแบบอาหารสำหรับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่ม ได้แก่ เด็กน้อยวัยประถม วัยรุ่นวัยใส หนุ่มสาววัยทำงาน วัยแก่แต่เก๋า ผู้มีโรคประจำตัวโดยทำการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย เพื่อทดลองทำผลิตภัณฑ์ จุดเด่น ราคาขาย นำเสนอผลงานโปสเตอร์ Canva และ pitching     เสริมด้วยการบรรยาย หัวข้อ การนำกิจกรรม“อาหารและอาหารเพื่ออนาคต” ไปสู่การออกแบบการจัดทำรายวิชาเพิ่มเติมในสถานศึกษา  โดย คณะศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง  นำโดย ศน.อมร สุดแสวง และคณะศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา นำโดย ศน.ชยากานต์ เปี่ยมถาวรพจน์ ศน.ณภัทร ศรีละมัย เพื่อให้ผู้เข้าอบรมเห็นแนวทางการนำความรู้กิจกรรม ที่ได้รับจากการอบรมนำไปใช้ปรับ ประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนต่อไป ผ่านกิจกรรมระดมความคิดในกลุ่มย่อย ช่วยกันออกแบบร่างแนวทางการนำ นำเสนอแผน ก่อนที่จะสรุปกิจกรรมและร่วมกันวางแผนการดำเนินงานติดตามการนำกิจกรรมไปใช้ในสถานศึกษาต่อไป เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากผู้เข้าร่วมอบรม จาก คุณครูปาณชีวัน รร.พนมสารคาม “พนมอดุลวิทยา” ฉะเชิงเทรา ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การอาหารที่น่าสนใจ เป็นเรื่องใหม่ที่ได้เรียนรู้เพิ่ม ตื่นตัวที่จะนำความรู้ที่น่าสนใจไปถ่ายทอดต่อ มีความคิดอยากสร้างนวัตกรรมทางอาหารใหม่ ๆ ขอบคุณสำหรับอาจารย์ทุกท่านสำหรับความรู้ที่ตั้งใจนำมาถ่ายทอดให้ค่ะ” “วันนี้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนในการผลิตอาหารที่ไม่เคยรู้ ความแตกต่างของ คหกรรม เชฟ ฟู้ดสไตส์ลิสต์ และนวัตกรอาหาร  และได้ลงมือปฏิบัติง่ายๆ ที่สามารถนำมาสอนนักเรียนได้ สุดท้ายได้ใช้เทคโนโลยีและแอพที่ไม่เคยใช้ค่ะ” จาก คุณครูสุมาลี รร.สุนทรภู่พิทยา ระยอง “มีกิจกรรมที่ได้ลงมือทำด้วยตัวเองทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น และยังได้รับความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารในปัจจุบันและอนาคต และการประยุกต์ใช้อาหารต่างๆ รวมถึงได้ทำงานร่วมกันกับครูต่างโรงเรียนได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ” จากคุณครูช่อผกา รร.หนองใหญ่ศิริวรวาทวิทยา ชลบุรี “เป็นการอบรมที่สนุก ได้เรียนรู้และทำกิจกรรมที่หลากหลาย และได้แนวคิดที่จะนำไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนต่อไปค่ะ” จาก คุณครูศศิญา รร.มัธยมสิริวัณวรี ๓ ฉะเชิงเทรา
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
BOI จัดทำวารสารภาษาอังกฤษ Thailand Investment Review (TIR) เรื่อง “Thailand’s Bio-Circular and Green Economy: Living up to Global Challenges”
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้จัดทำวารสารภาษาอังกฤษ Thailand Investment Review (TIR) ประจำเดือนมิถุนายน 2564 เรื่อง "Thailand's Bio-Circular and Green Economy: Living up to Global Challenges" โดยมีบทสัมภาษณ์ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็น Executive Talk : Making BCG Pathways คลิกอ่านฉบับเต็ม : https://www.boi.go.th/upload/ejournal/2021/Vol31/June/index.html ที่มาข้อมูล : BOI NEWSLETTER https://www.boi.go.th/index.php?page=monthly_magazine_list_enews  
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนกรกฎาคม 2564
ข่าว กรมสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานเงิน-สิ่งของให้โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ไบโอเทค สวทช. พัฒนาแบคทีรีโอฟาจ ทำลายเชื้อแบคทีเรียก่อโรคพืชในดิน เนคเทค สวทช. ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม หนุนเยาวชนสร้างสรรค์สื่อดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ (NAVANURAK) ไบโอเทค สวทช. และ มหาวิทยาลัยมหิดล ค้นพบแนวทางการผลิตวัคซีนในกุ้งทะเลจากองค์ความรู้เรื่อง cvcDNA ที่กุ้งสร้างเลียนแบบสารพันธุกรรมของไวรัส คาโอ จับมือ อมตะ-กนอ.-เนคเทค และกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค เปิดโครงการ “ร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก” เอ็มเทค สวทช. เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยี ‘เลี้ยงปลาหนาแน่นระบบน้ำไหลเวียนอัตโนมัติ’ ความเสี่ยงต่ำ กำไรสูง ITAP สวทช. หนุนผู้ประกอบการ ‘พัฒนาชุดตรวจสอบภาคการเกษตร’ ‘น้ำยาล้างผักผลไม้’ ช่วยลดปนเปื้อนจุลินทรีย์-สารเคมีตกค้าง ใช้ง่ายทราบผลทันที คณะจิตอาสาสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา นำอาหารพระราชทาน พร้อมน้ำดื่มและสิ่งของ ให้โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ นาโนเทค สวทช. ส่งมอบหน้ากากอนามัย n-Breeze M03 จำนวน 10,000 ชิ้น ให้กับ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระยอง โดยความร่วมมือจาก บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) สวทช. จัดปฐมนิเทศโครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบ ปี 2564 ลดเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างยั่งยืน สวทช. มอบนวัตกรรมเครื่องกำจัดเชื้อโรคด้วยวิธีการฉายแสงยูวีซี (Girm Zaber UV-C Sterilizer) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่อำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี เอ็มเทค สวทช. ส่งโนฮาว นวัตกรรม ‘เปลความดันลบ’ ให้ บ.สุพรีร่าฯ ผลิตสู้ศึกการระบาดโควิด-19   บทความ สวทช. สร้างเทคโนโลยีฐานสู่การพัฒนาชุดตรวจโควิด-19  Download เอกสารฉบับเต็ม [15.2 MB]  
จดหมายข่าว สวทช.
 
แปรรูปเพิ่มมูลค่า ‘เปลือกจักจั่นทะเล’ สู่อาหารเลี้ยงปลาช่อนทะเล
  ชุมชนบ้านไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต นับเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ “จักจั่นทะเล” สัตว์ทะเลเฉพาะถิ่นที่อยู่คู่กับหาดไม้ขาวมายาวนาน มีลักษณะคล้ายแมลงจักจั่นแต่อาศัยอยู่ในทะเล เป็นสัตว์ที่อยู่กลุ่มเดียวกับกุ้ง ปู ซึ่งชาวบ้านนิยมจับนำไปประกอบอาหาร โดยขายสดหรือนำไปนึ่งสุกและจะแกะส่วนของกระดองหรือเปลือกทิ้ง เนื่องจากเป็นส่วนที่ค่อนข้างแข็งและมีทรายปน ทำให้มีเปลือกจักจั่นเหลือทิ้งจำนวนมาก ขณะเดียวกันในพื้นที่ยังมี “ผักลิ้นห่าน” ผักพื้นเมืองหายาก พบตามชายฝั่ง เป็นพืชอัตลักษณ์ของท้องถิ่นที่มีรสชาติอร่อย โดยมีจุดเด่นที่ความกรอบและรสชาติขม ทั้งนี้เวลาที่ชาวบ้านเก็บขายจะเหลือเศษผักจากการตัดแต่งเกือบครึ่งเช่นเดียวกัน   [caption id="attachment_24453" align="aligncenter" width="1000"] จักจั่นทะเล[/caption]   [caption id="attachment_24451" align="aligncenter" width="1000"] ผักลิ้นห่าน[/caption]   เพื่อนำทรัพยากรเหลือทิ้งในท้องถิ่นมาเพิ่มมูลค่า ผศ.กรรนิการ์ กาญจนชาตรี คณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต ได้จัดทำโครงการนำวัสดุเหลือใช้จากเมนูอาหารยอดฮิตจักจั่นทะเลสู่การแปรรูปเป็นอาหารเลี้ยงปลาช่อนทะเล ภายใต้การสนับสนุนโปรแกรมการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)   [caption id="attachment_24500" align="aligncenter" width="1000"] ผศ.กรรนิการ์ กาญจนชาตรี คณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต[/caption]   ผศ.กรรนิการ์ กล่าวว่า เดิมทีคณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มีการทำงานเป็นเครือข่ายระหว่างวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงปลาช่อนทะเลและประมงพื้นบ้านแหลมทราย วิสาหกิจชุมชนจักจั่นทะเล และวิสาหกิจชุมชนผักลิ้นห่านในพื้นที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเห็นถึงปัญหาการพัฒนาผลิตภัณฑ์และพยายามเชื่อมโยงทรัพยากรที่มีในชุมชนมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้จุดเริ่มต้นการทำโครงการฯ มาจากทางกลุ่มผู้เลี้ยงปลาช่อนทะเลพบอุปสรรคในเรื่องของต้นทุนอาหารปลาที่มีราคาแพงมาก จึงพยายามหาวิธีช่วยลดค่าอาหารปลาช่อนทะเล และพบว่าบ้านไม้ขาวชุมชนส่-วนหนึ่งประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรรม ในขณะที่ชุมชนบ้านแหลมทรายประกอบอาชีพประมง   [caption id="attachment_24456" align="aligncenter" width="1000"] ปลาช่อนทะเล[/caption]   [caption id="attachment_24450" align="aligncenter" width="1000"] ปลาช่อนทะเล[/caption]   “ปลาช่อนทะเลกินอาหารเม็ดลอยน้ำได้ โดยสูตรอาหารเดิมจะมีส่วนผสมของปลาป่นกับหญ้าเนเปียซึ่งปลาป่นต้นทุนค่อนข้างสูง ส่วนหญ้าเนเปียหายากในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เราเห็นว่าบ้านไม้ขาวมีหยวกกล้วยและแกลบที่ชาวบ้านทิ้ง รวมทั้งยังมีเศษผักลิ้นห่านเหลือจำนวนมาก เพราะปกติเวลาชาวบ้านเก็บผักลิ้นห่านจะตัดส่วนที่ไม่ได้ใช้ทิ้ง คือถ้าเก็บผัก 5 กิโลกรัม จะมีการตัดแต่งผักส่งขายได้เพียง 3 กิโลกรัม และจะเหลือเศษผักมากถึง 2 กิโลกรัม ขณะเดียวกันก็ยังมีเปลือกจักจั่นทะเลที่ถูกทิ้งอย่างสูญเปล่าจำนวนมาก เราจึงมีแนวคิดนำมาทดลองพัฒนาสูตรอาหารปลาช่อนทะเลด้วยการใช้ผักลิ้นห่านบดแทนหญ้าเนเปีย และนำเครื่องในปลามาผสมกับรำที่สีจากแกลบหมักทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ เพื่อให้เกิดกลิ่นดึงดูดปลาแทนปลาป่น จากนั้นนำมาผสมกับเปลือกจักจั่นทะเลบดแห้ง และส่วนผสมอื่นๆ”   [caption id="attachment_24457" align="aligncenter" width="1000"] อาหารปลาช่อนทะเล[/caption]   วัตถุดิบที่นำมาใช้เป็นส่วนผสมในสูตรอาหารไม่ได้เพียงมีคุณสมบัติที่ช่วยสร้างอาหารเม็ดลอยน้ำที่ลดต้นทุนได้เท่านั้น แต่ทั้งผักลิ้นห่านและเปลือกจักจั่นทะเลล้วนมีคุณค่าทางสารอาหารสูง “เศษผักลิ้นห่านพบคุณประโยชน์ทั้ง วิตามินเอ โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 วิตามินบี 3 และวิตามินบี 9 ส่วนเปลือกของจักจั่นทะเลเมื่อส่งไปวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ พบว่าเปลือกจักจั่นทะเลมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าส่วนที่เป็นตัวของจักจั่นที่ใช้รับประทานเสียอีก โดยเฉพาะมีไขมันสูงมาก อีกทั้งยังมีแคลเซียม แมกนีเซียม แมงกานีส เหล็ก และสารอาหารอื่นๆ การนำของเหลือใช้ในชุมชนมาบดผสมเป็นอาหารเม็ด ทำให้มีต้นทุนของอาหารปลาเพียง 7 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่สูตรทั่วไปต้นทุน 12 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจุบันมีการนำอาหารเม็ดจากเปลือกจักจั่นทะเลและผักลิ้นห่านไปใช้เลี้ยงปลาช่อนทะเลที่ชุมชนบ้านแหลมทราย จังหวัดภูเก็ต รวมทั้งยังใช้เลี้ยงปลาดุกที่ชุมชนไม้ขาวด้วย หากแต่ว่าแม้ปลาช่อนทะเลจะสามารถกินอาหารเม็ดได้ปกติ แต่ก็ยังต้องมีการปรับปรุงพัฒนาสูตรอาหารเพิ่มเติม เพื่อให้ได้อัตราแลกเนื้อของปลาที่เหมาะสมมากขึ้น” ความพยายามของ ผศ.กรรนิการ์ กาญจนชาตรี ในการนำทรัพยากรเหลือทิ้งมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาลดต้นทุนการเพาะเลี้ยงปลาให้แก่เกษตรกร แต่ยังช่วยลดปริมาณขยะ และที่สำคัญคือการสร้างโอกาสในการสร้างอาชีพและรายได้เพิ่มให้แก่ชุมชน ยิ่งเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ผศ.กรรนิการ์ กล่าวว่า ตอนนี้เปลือกจักจั่นทะเลที่ถูกทิ้งอยู่ตามต้นไม้เพื่อรอการย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ย ชาวบ้านก็สามารถนำมาขายได้ โดยเรารับซื้อเปลือกจักจั่นทะเลตากแห้งกิโลกรัมละ 30 บาท ขณะที่หยวกกล้วย แกลบ รวมถึงเศษผักลิ้นห่านที่ถูกทิ้งอย่างไร้ค่าก็นำมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการพัฒนาอาหารปลาได้ ด้าน นายวิโรจน์  ประเสริฐ ตัวแทนจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจักจั่นทะเล เล่าว่า รู้สึกดีใจที่มีโครงการฯ นี้เพราะทำให้ชาวบ้านมีความรู้ในการนำวัสดุเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ ช่วยให้เกิดการพัฒนาหมู่บ้าน และนายสุพรรณ  แพทย์ปฐม ตัวแทนจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจหมุนเวียน กล่าวว่า โครงการฯ ช่วยกระจายรายได้ให้กับชุมชน ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เสริมที่นอกเหนือจากการทำเกษตรตามวิถีชีวิตเดิม ขณะที่ นางสาวชุติมา เพ็ชรรณรงค์ ตัวแทนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักลิ้นห่าน เล่าว่า การระบาดของโรคโควิด-19 สร้างผลกระทบกับคนในพื้นที่อย่างมาก แต่เดิมตนทำงานในโรงแรม พอมีการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยว โรงแรมถูกปิด ขาดรายได้ เมื่อมีโครงการฯ นี้เข้ามา ทำให้เราสนใจเข้าร่วมวิสาหกิจชุมชนเพื่อปลูกผักลิ้นห่าน ซึ่งทำให้มีอาชีพและรายได้สำหรับนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ตอนนี้มีรายได้ 3,000-5,000 บาท อีกทั้งยังช่วยเปลี่ยนวิถีชุมชนจากเดิมที่เคยต่างคนต่างอยู่ก็เกิดเป็นเครือข่าย มีความสามัคคีกันภายในชุมชนมากขึ้น อย่างไรก็ดี การนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเพิ่มมูลค่าทรัพยากรเหลือทิ้งให้นำกลับมาใช้ใหม่ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นับเป็นหนทางที่ช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า อีกทั้งยังนำมาสู่การสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชน สอดคล้องกับแผนพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (Bio-Circular-Green Economy: BCG Economy Model) ที่มุ่งเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยให้ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง และสามารถใช้ทรัพยากรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
ข่าว
 
บทความ
 
เจาะลึก AMED Telehealth แพลตฟอร์มหลังบ้าน ‘Home Isolation’ ‘เตียงเสมือน’ แนวรับใหม่ของบุคลากรทางการแพทย์
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา ที่แพร่เชื้อได้เร็วจนจำนวนผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ ทำให้บุคลากรการแพทย์ด่านหน้าที่มีอยู่อย่างจำกัดเกิดภาวะงานล้นมือเกินจะต้านทานกับไวรัสมรณะ ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ออกมาตรการเรื่องแนวทางการดูแลตนเองที่บ้านของผู้ป่วยระหว่างรอเตียง (Home Isolation : HI) อย่างเป็นทางการ ซึ่งแน่นอนว่าการกำหนดให้คนไข้กลุ่มสีเขียวรักษาตัวที่บ้านนั้น ระบบหลังบ้านในการสื่อสารระหว่าง ‘แพทย์’ กับ ‘คนไข้’ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะใช้เป็นฐานข้อมูลในการรรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ตามอาการ ดังนั้นในเวลานี้ แพลตฟอร์มชื่อว่า AMED Telehealth ถือเป็น ‘ปฏิบัติการระบบหลังบ้าน’ ที่สำคัญของ Home Isolation ซึ่งออกแบบโดยนักวิจัยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีระบบตรวจสุขภาพทางไกล (AMED Telehealth) มาประยุกต์ใช้ โดยมีการเซททั้งระบบใช้งานที่แรกคือ โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ (เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน) เพื่อดูแลคนพิการที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 ก่อนจะนำมาต่อยอดกับแอปพลิเคชันไลน์ของแต่ละโรงพยาบาล และเป็นต้นแบบให้กับโรงพยาบาลและหน่วยงานที่ต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้นำไปใช้งานได้ นายวัชรากร หนูทอง นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยได้รับการติดต่อขอใช้แพลตฟอร์มดังกล่าว ให้เป็นระบบหลังบ้าน ‘Home Isolation’ ของ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ตั้งแต่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเป็นแนวรับใหม่ของบุคลากรทางการแพทย์ ในการดูแลกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่แสดงอาการ (กลุ่มสีเขียว) ให้ได้กักตัวอยู่กับบ้านและสังเกตอาการตนเองแยกกับคนในครอบครัว โดยมีทีมแพทย์พยาบาลในระบบ HI ของ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ดูแลผ่านระบบไลน์แอปพลิเคชันอย่างใกล้ชิด ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถติดตามอาการผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวได้อย่างใกล้ชิดได้จนถึงปัจจุบัน       @ ‘เตียงเสมือน’ แม้อยู่บ้าน แต่ใกล้หมอ  นายวัชรากร อธิบายว่า AMED Telehealth เป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และการแยกกักตัวในชุมชน (Community Isolation) โดยผู้ที่ใช้แพลตฟอร์มนี้จะเป็นหน่วยที่ให้บริการทางการแพทย์ เช่น โรงพยาบาลของ รัฐ/เอกชน คลินิก ที่มีแพทย์ พยาบาลหรือสหวิชาชีพ ที่สนใจ ใช้ติดตามอาการ รักษา ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดผ่านระบบ Telemonitoring, Telehealth, Teleconsultation ได้ตลอด 24 ชั่วโมง “จุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์มนี้มาจากระบบตรวจสุขภาพทางไกล ซึ่งทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ (HII) ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. ได้เคยมีการนำไปใช้กับสถานที่กักตัวที่ จ.นราธิวาส ช่วงโรคโควิด-19 ระบาดครั้งแรก ซึ่งขณะนั้นใช้ตู้คอนเทรนเนอร์เป็นห้องปลอดเชื้อและมอนิเตอร์อุณหภูมิร่างกายผู้ป่วย กับค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด วันละ 1-2 ครั้ง โดยผู้ป่วยสามารถแชทกับแพทย์หรือพยาบาลผ่านระบบวิดีโอคอลทางไกล เสมือนอยู่ใกล้ชิดกับแพทย์หรือพยาบาลที่ดูแล จากนั้นได้มีการนำเสนอแพลตฟอร์มให้แพทย์ โรงพยาบาลสนาม จ.เชียงใหม่ ซึ่งที่นั่นแพทย์มีความประสงค์อยากให้เพิ่มระบบ การวินิจฉัยโรค การรักษาทางไกล ทำให้เพิ่มระบบการรักษาทางไกลและสิ่งจำเป็นที่แพทย์ต้องใช้งานในลักษณะคำสั่งแพทย์ เช่น การสั่งเอกซเรย์ การสั่งยา นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอแพลตฟอร์มให้กับคณะผู้บริหารโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน กทม. ได้รับทราบ และที่ประชุมได้มีข้อเสนอแนะการเพิ่มฟังก์ชัน เช่น ให้เจ้าหน้าที่พยาบาลสามารถช่วยลงทะเบียนให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบ IT ได้ เช่น ผู้สูงอายุแนะนำให้มีระบบกรองข้อมูลสัญญาณชีพ ตามเกณฑ์มาตรฐานของแพทย์และพยาบาล และล่าสุดโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ติดต่อขอใช้กับระบบ Home Isolation ของโรงพยาบาล” นักวิจัย A-MED ระบุ @ แอดLINE เพิ่มเพื่อน พร้อม‘กักตัวที่บ้าน’ หลักเกณฑ์และข้อควรปฏิบัติการกักตัวที่บ้านใครเข้าข่ายบ้างนั้น กรมการแพทย์ ระบุข้อมูลว่า ไม่มีอาการ อายุน้อยกว่า 60 ปี สุขภาพแข็งแรง อยู่คนเดียวหรือมีคนอยู่ร่วมไม่เกิน 1 คน ไม่มีภาวะอ้วน ไม่มีโรคร่วม เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานที่คุมไม่ได้ ที่สำคัญ ต้องยินยอมกักตัวและอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ เป็นต้น โดยหากผู้ที่เข้าเกณฑ์เบื้องต้นและสมัครใจเข้ากักตัวที่บ้าน ให้ทำการติดต่อสายด่วน สปสช. โทร. 1330 ทุกวัน 24 ชั่วโมง เมื่อโรงพยาบาลใกล้บ้านของท่านรับเรื่องจากระบบ 1330 และพร้อมดูแลท่านแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจะให้ทำการเพิ่มเพื่อน ผ่าน LINE Official Account (Line OA) ของโรงพยาบาลที่แพลตฟอร์มสร้างขึ้นให้ใช้งาน โดยที่แพลตฟอร์มจะซ่อนอยู่เบื้องหลังของระบบ Line OA ทำให้ผู้ป่วย รู้สึกคุ้นเคยกับการใช้งานแพลตฟอร์มได้ง่ายและรวดเร็ว ภายหลังจากผู้ป่วยแอดเพิ่มเพื่อนกับไลน์ OA ของโรงพยาบาลแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้ผู้ป่วยยืนยันตัวตนสำหรับเปิดใช้งานครั้งแรกด้วยระบบ One-Time-Password (OTP) ส่งผ่าน SMS มายังโทรศัพท์มือถือที่ทำการลงทะเบียนในนามผู้ป่วย เมื่อทำการยืนยัน OTP สำเร็จ ผู้ป่วยสามารถเข้าใช้งาน โดยใช้รหัสผู้ใช้งานใช้เป็นเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ถือเป็นการเข้าสู่ระบบ Home Isolation อย่างสมบูรณ์ เพื่อใช้เป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ป่วย กับบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลต่อไป “แอปพลิเคชันไลน์ ของแต่ละโรงพยาบาลจะเป็นเหมือนหน้ากาก เป็นช่องทางเพื่อเข้าถึงระบบหลังบ้านของ Home Isolation ซึ่งระบบหลังบ้านในที่นี้ คือ แพลตฟอร์มที่ชื่อว่า AMED Telehealth ของทีมวิจัย A-MED สวทช.ที่ได้ออกแบบและพัฒนาระบบหลังบ้านให้สามารถเก็บข้อมูลที่จำเป็นของผู้ป่วย ให้กับบุคลากรทางการแพทย์นำไปใช้ในการติดตามอาการผู้ป่วยโควิด-19 ใช้งานง่ายผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์พีซี ครอบคลุมทั้งระบบปฏิบัติการวินโดว์ แอนดรอยด์ และไอโอเอส โดยผู้ป่วย มีหน้าที่รายงานสัญญาณชีพจากเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว อุณหภูมิร่างกาย ความดัน สื่อสารไลน์แอปพลิเคชันในรูปแบบ วิดีโอคอล แชท รวมถึงการถ่ายภาพรายงานอาการสำหรับผู้ที่ไม่ถนัดพิมพ์ เพื่อส่งให้กับบุคลากรทางการแพทย์ได้ประเมินและให้คำปรึกษาในการรักษารายวัน หากกรณีผู้ป่วยมีอาการไม่พึงประสงค์ ก็มีฟังก์ชันให้สามารถติ๊กเครื่องหมายรายงานอาการได้ เช่น มีอาการเหนื่อย มีอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะและเจ็บคอ โดยระบบทั้งหมดนี้ทีมวิจัย A-MED สวทช. ออกแบบระบบบริหารข้อมูลเพื่อรองรับการทำงานของแพทย์พยาบาลเป็นลักษณะโรงพยาบาลเสมือนให้กับผู้กักตัวอยู่บ้าน เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาคนไข้ล้นโรงพยาบาลในช่วงวิกฤตการระบาดโรคโควิด-19” @ ระบบหลังบ้าน ลดภาระบุคลากรด่านหน้า   สำหรับแพทย์และพยาบาลที่เข้ามาในระบบหลังบ้านของ Home Isolation จะสามารถเห็นจำนวนเตียง จำนวนผู้ป่วย ว่าอยู่ในระบบมาแล้วกี่วัน มีการรายงานอาการไว้อย่างไรบ้าง และสามารถเปิดการคัดกรองเคสที่น่ากังวลได้ว่าแบ่งเป็นกลุ่มอะไรบ้าง เช่น กลุ่มสีเขียวป่วยโควิดแต่ไม่มีอาการ กลุ่มสีเหลืองสีส้ม คือ เริ่มมีอาการบางอย่างก็อาจจะติดตามอาการใกล้ชิดมากขึ้น แต่ถ้าสีแดงเป็นเคสฉุกเฉินที่ต้องการเตียงรองรับในโรงพยาบาลเพื่อป้องกันการเสียชีวิต หากกรณีคนไข้เริ่มมีอาการเป็นสีแดงต้องมีการจำหน่ายคนไข้ (ส่งต่อ) มายังโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาใกล้ชิด หรือบางเคสที่อยู่ในกลุ่มสีเขียวและรักษาตัวที่บ้านจนหายดี ก็สามารถจำหน่ายออกจากระบบ HI ได้เช่นกัน “จุดเด่นของระบบหลังบ้านของ Home Isolation นี้ ทีมวิจัยได้สร้างแดชบอร์ด (Dashboard) ที่เพิ่มออเดอร์สำหรับแพทย์ เพื่อช่วยให้มีการทำงานร่วมกันระหว่างแพทย์และพยาบาลอย่างเป็นระบบ ซึ่งยังไม่มีระบบใดทำมาก่อน เช่น แพทย์มีคำสั่งให้พยาบาลแบบวันเดียว (One Day) หรือสั่งการแบบต่อเนื่องทุกวัน (Continuous) โดยหากแพทย์สั่งแบบต่อเนื่อง พยาบาลจะต้องติดตามคนไข้รายนั้นๆ ใกล้ชิด เช่น สั่งให้ยา สั่งเอกซเรย์ สั่งอาหาร สั่งแล็บ สั่งให้คำปรึกษาพิเศษ เป็นต้น ซึ่งเป็นระบบที่แพทย์และพยาบาลใช้งานได้ง่ายผ่านมือถือเพื่อติดตามและสั่งการได้ตลอด 24 ชั่วโมง” ทั้งนี้แพลตฟอร์ม AMED Telehealth จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแล และวิเคราะห์อาการคนไข้ในระบบ HI ร่วมกันอย่างใกล้ชิดและแม่นยำบนฐานข้อมูลชุดเดียวกัน ที่สำคัญคือการลดการเดินทางมายังโรงพยาบาลของผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการลดภาระให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า @ เล็งดึง ‘นักสังคมสงเคราะห์’ ดูแลเชิงสังคม แน่นอนว่าการกักตัวที่บ้านของผู้ป่วยโควิด-19 นอกจากสภาพแวดล้อมและความเข้าใจของคนในครอบครัวแล้ว เพื่อนบ้านและชุมชนนั้นๆ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องสร้างความเข้าใจ ไม่ให้เกิดการรังเกียจและสร้างปัญหาจนกระทบสภาพจิตใจของผู้ป่วยที่กักตัวในระบบ HI ด้วย “ขณะนี้เริ่มมีปัญหาส่งผลกระทบทางสังคม เช่น ความวิตกกังวลในการกักตัวของคนป่วยที่เป็นผู้นำครอบครัว เกิดมีความกังวลว่าเขาไม่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ หรือ กรณีคนละแวกชุมชนไม่เข้าใจอาการของโรค เกิดการไม่ยอมรับการกักตัวที่บ้าน ซึ่งทีมวิจัยอาจจะต้องมีการพัฒนาระบบเพิ่มเติม เพื่อดึงนักสังคมสงเคราะห์เข้ามาช่วยสร้างความเข้าใจ และรับทราบความวิตกกังวลของผู้ป่วย โดยมีแนวคำถามจากทีมสหวิชาชีพมาช่วยเหลือ เช่น คำถามว่าผู้ป่วยรู้สึกกดดันเรื่องอะไร ต้องการจะให้ใครเข้ามาช่วยเหลือเรื่องอะไรบ้าง เพื่อทำการส่งข้อมูลให้นักสังคมสงเคราะห์ได้วิเคราะห์และประสานการช่วยเหลือไปยังพื้นที่ ท้องถิ่นหรือระดับจังหวัดต่อไป” นักวิจัย A-MED สวทช. บอกด้วยว่า อย่างไรก็ดีอยากฝากว่า หากโรงพยาบาลใดที่อยากทำระบบ HI อย่างแรกคือต้องมีใจและมีความพร้อมที่อยากจะทำเพิ่มเติม เพราะเข้าใจดีว่าทีมแพทย์และพยาบาลมีภาระงานหนักที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อในสถานการณ์นี้ ซึ่งทีมวิจัย A-MED สวทช. พร้อมสนับสนุนระบบอย่างเต็มความสามารถ โดยติดต่อทีมวิจัยเพื่อใช้แพลตฟอร์มได้ที่ อีเมล a-med@nstda.or.th เพื่อเป็นอีกกองหนุนด้านการบริหารจัดการคนป่วยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าผ่านพ้นวิกฤตโรคโควิด-19 ไปด้วยกัน แม้ ‘เตียงเสมือน’ ในระบบ Home Isolation เป็นแนวรับใหม่ของบุคลากรทางการแพทย์ ที่ช่วยบรรเทาสถานการณ์เตียงในโรงพยาบาลเต็ม แต่ระบบหลังบ้าน AMED Telehealth กลับช่วยเติมเต็มระยะห่างของคนไข้กลุ่มสีเขียว ให้รู้สึกอุ่นใจและใกล้หมอในสถานการณ์แบบนี้มากยิ่งขึ้น
บทความ
 
สวทช. รับสมัครกิจกรรมออนไลน์สำหรับเยาวชน โดยการสร้างชิ้นงานจากเครื่อง Laser Cutting (รับสมัครวันนี้-10 ส.ค. 64)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ขอเชิญชวนน้องๆ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สมัครเข้าร่วมกิจกรรมออนไลน์ในหัวข้อ “สร้างชิ้นงานจากเครื่อง Laser Cutting”เพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพิ่มเติม และผลงานที่ได้ออกมาจะมีเพียงชิ้นเดียวในโลกด้วยฝีมือตนเอง ผ่านการเขียนแบบและเรียนรู้เทคโนโลยีการใช้เครื่อง Laser Cutting พร้อมกับได้เรียนรู้พื้นฐานการออกแบบ 2 มิติ ด้วยโปรแกรม AutoLaser ซึ่งสามารถออกแบบและสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ๆได้อีกด้วย กิจกรรมเดือนสิงหาคม 2564 จะแบ่งออกเป็น 2 ครั้ง (สำหรับครั้งที่ 1 ได้ปิดรับสมัครไปแล้ว) ส่วนในครั้งที่ 2 นี้ ได้กำหนดจัดขึ้นวันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564  เวลา 9.00 -12.00 น. สำหรับน้องๆที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถสมัครได้ที่นี่ https://forms.gle/X7donJDwtje2xjFR6 และมีค่าใช้จ่ายเพียง 300 บาท/คน (หลังจบกิจกรรมจะมีชิ้นงานที่น้องๆได้ออกแบบจัดส่งให้ถึงบ้าน) รับสมัครตั้งแต่บัดนี้ถึง วันอังคารที่ 10 สิงหาคม 2564 (รับจำนวนจำกัด 15 คน) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อีเมล์ poramaporn@nstda.or.th (ปรมาภรณ์)
ปฏิทินกิจกรรม
 
CPF ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารในเครือสนับสนุน รพ. สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ
3 สิงหาคม 2564 ณ โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ : คุณกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คุณสุภาภรณ์ ศรอำพล ผู้อำนวยการบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร พร้อมด้วย ผู้แทนจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และผู้แทนจากสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ รับมอบผลิตภัณฑ์บะหมี่เกี๊ยวกุ้งจำนวน 700 แพ็ค จาก ดร.ลลานา ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (CPF) ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานและเป็นกำลังใจให้ทีมบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลสนามฯ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมกับ พนัส แอสเซมบลีย์ และ สปปท. เปิดรับสมัครโครงการ Panus Thailand LogTech Award ปีที่ 5 เสริมแนวคิดพัฒนาเทคโนโลยี Mobility & Logistics
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ร่วมกับ บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด และสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (สปปท.) เปิดรับสมัคร นิสิต นักศึกษา รวมถึงบุคคลทั่วไป เข้าร่วมการแข่งขัน Panus Thailand LogTech Award 2021 ครั้งที่ 5 ในรูปแบบ Online Hackathon ภายใต้หัวข้อ Platform-as-a-Service : Mobility & Logistics ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 60,000 บาท เพื่อเป็นเวทีในการแสดงความสามารถของเยาวชนบุคคลทั่วไปและผู้ประกอบการ ที่มีความสนใจในการพัฒนาโปรแกรม, ซอฟต์แวร์ หรือระบบและอุปกรณ์ชาญฉลาด โดยเปิดรับสมัครและส่งคลิปวิดีโอรอบที่ 1 ได้ตั้งแต่บัดนี้ - 19 สิงหาคม 2564 สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://hack21.aiat.or.th/logtech
ปฏิทินกิจกรรม