ผลการค้นหา :

เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี พัฒนาหลักสูตรสร้างเยาวชนไทยตอบโจทย์ยุค AI
(วันที่ 9 ตุลาคม 2563) ณ โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี : ดร. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อพัฒนาทักษะด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ระหว่าง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี
โดยเป้าหมายของความร่วมมือคือการส่งเสริมศักยภาพครูผู้สอนและบูรณาการหลักสูตรการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project based Learning) ในการจัดการเรียนการสอนด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (Robotics and AI) ภายใต้หลักการที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตจริง (STEM Education) นอกจากนี้ รมช.ศธ. ยังเป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ปฏิบัติการ ACT AI Lab ซึ่งเป็นพื้นที่ในการเรียนรู้และต่อยอดทักษะด้าน AI ของนักเรียนอีกด้วย
ภราดา ดร.ชำนาญ เหล่ารักผล ผู้อำนวยการ โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี (ACT) กล่าวว่า “การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีในสังคมยุคปัจจุบัน และการคาดการณ์ต่อการขยายตัวของการใช้เทคโนโลยีในสังคมอนาคต ทำให้โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมความพร้อมเด็กไทยให้มีทักษะที่จำเป็นและสอดคล้องกับแนวโน้มของพัฒนาการทางด้านสังคมในศตวรรษที่ 21 จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ ทักษะทางด้านคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรมและวิทยาการหุ่นยนต์จึงเป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับนักเรียนที่สมควรได้รับการเตรียมความพร้อมตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อจะได้เกิดความคุ้นเคยและมีทัศนคติที่ถูกต้องในการใช้เทคโนโลยี ด้วยเหตุนี้โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีจึงมีแนวคิดที่จะสร้างหลักสูตรและรูปแบบการสอน โดยบูรณาการศาสตร์ทางด้านวิทยาการหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เข้ามาประยุกต์รวมกับหลักสูตรการเรียนการสอนปกติ เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีด้วยการลงมือปฏิบัติจริง (learning by doing)”ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ด้านเนื้อหาทฤษฎี
ด้วยแนวคิดดังกล่าว โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีจึงได้จัดทำโครงการ “ACT CREATIVE AND INNOVATIVE LEADER” เพื่อส่งเสริมศักยภาพครูผู้สอนในระดับมัธยมศึกษา จากกลุ่มสาระฯ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ให้มีทักษะที่สามารถบูรณาการเทคโนโลยีเข้าไปสู่หลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อจะได้เสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กิจกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการทำงานร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ในการพัฒนาต้นแบบสื่อการเรียนการสอนสำหรับใช้ในหลักสูตรเชิงบูรณาการเพื่อการเรียนรู้แบบโครงการ รวมถึงการจัดอบรมเสริมสร้างความรู้พื้นฐานที่จำเป็นให้แก่ครูกว่า 40 คน เพื่อให้ครูเข้าใจการบูรณาการศาสตร์ทางด้านการเขียนโปรแกรมและเทคโนโลยีหุ่นยนต์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในหลายมิติ
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า “ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เป็นหน่วยงานภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีหน้าที่หลักในการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำไปต่อยอดสร้างประโยชน์และคุณค่าให้แก่เศรษฐกิจและสังคม ในยุคที่เศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิสรัปทีฟ (disruptive technology) ทุกภาคส่วนควรมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในโลกอนาคต การส่งเสริมพัฒนาการของเด็กเพื่อเตรียมความพร้อมให้มีทักษะที่จำเป็นจึงไม่ใช่ภาระหน้าที่ของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาเท่านั้น ความร่วมมือระหว่างเอ็มเทคและโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีในการพัฒนาต้นแบบสื่อการเรียนการสอนและหลักสูตรเชิงบูรณาการสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 นับเป็นมิติใหม่ในการวางรากฐานการปฏิรูปการเรียนการสอนแบบ STEM Education อย่างเป็นรูปธรรม”
ผู้อำนวยการเอ็มเทค กล่าวต่อว่า ทีมวิจัยจากกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ มีแนวคิดในการนำเทคโนโลยีทางด้านหุ่นยนต์ ระบบเซ็นเซอร์และปัญญาประดิษฐ์มาบูรณาการกับหลักสูตรการสอนปกติโดยการพัฒนาต้นแบบสื่อการเรียนการสอน Garden of STEM ซึ่งเป็นต้นแบบที่นักเรียนสามารถเรียนรู้การปลูกพืชด้วยระบบไฮโดรโพนิกส์ (hydroponics) ทำให้สามารถควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชรวมถึงปริมาณน้ำ ปุ๋ย ความชื้น อุณหภูมิ และย่านแสง RGB ได้ตามเงื่อนไขการออกแบบการทดลอง สื่อการเรียนการสอนนี้เปิดโอกาสให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้มีโอกาสเรียนรู้ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยการเก็บข้อมูลจากระบบเซ็นเซอร์ต่างๆ นักเรียนจะได้เรียนรู้ทักษะการเขียนโปรแกรม การนำเซ็นเซอร์ชนิดต่างๆ มาตรวจวัดและจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้เข้าใจถึงประโยชน์และวิธีการในการนำเทคโนโลยีมาใช้เสริมสร้างธุรกิจในชุมชน การเรียนรู้นี้ยังเป็นผลดีที่จะกระตุ้นให้มีความคุ้นเคยที่จะนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการทำการเกษตรอัจฉริยะ (smart farming) ตั้งแต่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลต่อการเพิ่มศักยภาพการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการเกษตรสมัยใหม่ ซึ่งจะเป็นการยกระดับความสามารถในการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการเกษตรในระยะยาว
ผลงานต้นแบบอีกอย่างหนึ่งคือ เครื่องยิงลูกบอลแบบโพรเจกไทล์ (projectile) ซึ่งออกแบบให้นักเรียนได้นำความรู้ทางด้านฟิสิกส์และคณิตศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมเครื่องกลและวิศวกรรมไฟฟ้า โดยนำความรู้ทางด้านการโปรแกรมไมโครคอนโทรลเลอร์มาผนวกกับการใช้เซ็นเซอร์ต่างๆ เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนในการเคลื่อนที่แนววิถีโค้งโพรเจกไทล์
ความร่วมมือกันครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างเด็กไทยให้มีความรู้และทักษะที่พร้อมจะพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและก้าวสู่การเป็น Deep Tech Startup ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีพร้อมแข่งขันในอุตสาหกรรมของโลกอนาคตได้
ดร. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวว่า ในปัจจุบันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้การศึกษาไทยต้องปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับและก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยมุ่งออกแบบระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ เน้นการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงและบูรณาการเพื่อเป็นทุนสำหรับการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต เน้นการปฏิรูปไปที่ ตัวผู้เรียน เตรียมพร้อมคนก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 เพื่อพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพและเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ ในโอกาสที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จัดทำโครงการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้แบบโครงงานด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ โดยส่งเสริมครูผู้สอนที่เป็นกำลังหลักในการพัฒนาการศึกษาจากสาขาวิชาต่างๆ ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรใหม่ที่ไม่เป็นภาระงานในห้องเรียนกับทั้งผู้เรียนและผู้สอน นับเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษา ให้เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันและการทำงานของผู้เรียนในอนาคต รวมถึงหากมองไปข้างหน้าจะพบว่า การส่งเสริมการศึกษาด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ โดยเน้นการปฏิบัติจริงและศึกษาข้อมูลเชิงลึก เป็นการบ่มเพาะเยาวชนและสนับสนุนให้เกิด Deep Tech Innovation ในประเทศไทย
นอกจากนี้ ดร. คุณหญิงกัลยา กล่าวเพิ่มเติมว่า “ศูนย์ปฏิบัติการ ACT AI Lab ที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีจัดตั้งขึ้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาทักษะด้านหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษา “ทันสมัย เท่าเทียม ยั่งยืน” เพื่อพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพและเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์

ขอเชิญเข้าร่วม “ค่ายสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารประเทศไทย 2020 (ออนไลน์) : นวัตกรรมจากมรดกภูมิปัญญาอาหารและอาหารสำหรับชีวิตแห่งอนาคต” (Thailand Food Innovation – Nationwide Online BootCamp 2020 : Food Heritage & Future Lifestyle Food Innovation)
เมืองนวัตกรรมอาหาร Food Innopolis สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย FI Accelerator ร่วมกับ Food Factors บริษัทในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ ขอเชิญชวนเข้าร่วมค่ายสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารประเทศไทย 2020 (ออนไลน์) : นวัตกรรมจากมรดกภูมิปัญญาอาหารและอาหารสำหรับชีวิตแห่งอนาคต (Thailand Food Innovation - Nationwide Online BootCamp 2020 : Food Heritage & Future Lifestyle Food Innovation)
โอกาสพิเศษ! สำหรับ
• นักเรียน นิสิต/นักศึกษา ทุกสาขาวิชา ที่สนใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหาร
ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอาหาร, โภชนาการ, คหกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ, เกษตรศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์ บริหารธุรกิจและการจัดการ การตลาด การออกแบบหรืออื่น ๆ
• อาจารย์ นักวิจัย ผู้ประกอบการด้านอาหาร และผู้ที่มีความสนใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหาร
มาร่วมเรียนรู้:
• เทรนด์อาหารโลกและการใช้ชีวิตในอนาคต
• มรดกภูมิปัญญาอาหารของประเทศไทย
• การแสวงหาโอกาสด้านนวัตกรรมอาหาร
• การสร้างคุณค่าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าผ่านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ
รับชมพร้อมกันในวันที่ 17-18 ตุลาคม 2563 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป
ผ่านทาง Facebook Live “FI Innovation Contest” และ Facebook มหาวิทยาลัยเครือข่ายเมืองนวัตกรรมอาหารทั่วประเทศ
ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม ฟรี! ตามลิงก์ด้านล่าง ตั้งแต่วันนี้ - 16 ตุลาคม 2563
https://forms.gle/RxTSW9NGUmojCoXQA
สามารถติดตามข่าวสารและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook Page : FI Innovation Contest#FIA_NBC
#FIA_NBC_ONLINE
#FIA_NBC_LIVE
#FIA_NationwideBootCamp
#FIA_BOOTCAMP
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทช. จับมือ สวทช. วิจัยพันธุ์ไม้ป่าชายเลนเสี่ยงสูญพันธุ์ เตรียมสร้างฐานข้อมูลจีโนมพืชป่าชายเลนครั้งแรกในไทย สู่ศูนย์กลางป่าชายเลนโลก
For English-version news, please visit : NSTDA teams up with Department of Marine and Coastal Resources embarking on genetic conservation of mangrove plant species
2 ตุลาคม 2563 ณ ห้อง 203 โรงแรมเซนทราฯ บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จัดแถลงข่าวลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การวิจัย พัฒนา และวิชาการ เกี่ยวกับป่าชายเลน
โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. และนายโสภณ ทองดี อธิบดี ทช. ร่วมลงนาม ศ.ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะประธานสมาคมป่าชายเลนนานาชาติ ประธานในพิธีลงนาม พร้อมด้วย นายอภิชัย เอกวนากูล รักษาการรองอธิบดี ทช. และ ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมเป็นสักขีพยาน
ศ.ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะประธานสมาคมป่าชายเลนนานาชาติ กล่าวว่า ป่าชายเลน เป็นระบบนิเวศที่มีความสำคัญ อยู่บริเวณรอยต่อระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็มมีพันธุ์พืช มากกว่า 80 ชนิดเจริญอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นพืชที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ ทำให้ป่าชายเลนกลายเป็น “ซูเปอร์มาร์เก็ต” ที่สำคัญของประมงชายฝั่ง สร้างอาชีพ และรายได้ให้ชุมชน ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีโครงการที่สำคัญในระดับโลก คือ โครงการ “สวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙”
ซึ่งเป็นสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนแห่งแรกของโลกที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่บ้านเสม็ดงาม จ. จันทบุรี จะเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้ป่าชายเลนจากทั่วโลกมาไว้ที่นี่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และการวิจัยป่าชายเลนในระดับนานาชาติความร่วมมือระหว่าง ทช. และ สวทช. จะเป็นการนำเอาจุดเด่นของความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานมาบูรณาการงานวิจัยป่าชายเลนนำไปสู่การเปิดบทบาทการวิจัยแนวหน้าด้านป่าชายเลนในประเทศไทยให้รองรับการดำเนินงานของสวนพฤษศาสตร์นานาชาติ ร.9 แห่งนี้
นายโสภณ ทองดี อธิบดี ทช. กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการต่อยอดและยกระดับงานวิจัยด้านป่าชายเลน และสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านป่าชายเลนของโลกโดยมีสวนพฤษศาสตร์นานาชาติ ร.9 ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ โดยการใช้งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สนับสนุนการอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนของประเทศไทย ให้เกิดการสร้างความรู้ความเข้าใจในระดับจีโนม พันธุกรรม และความสัมพันธ์กับระบบนิเวศ ตลอดจนวิธีการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมของพันธุ์ไม้ป่าชายเลนในระยะยาว
ให้เกิดการบริหารจัดการและสามารถนำความรู้ไปใช้ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูในถิ่นกำเนิด ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับชุมชน และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยในระยะแรกมุ่งเป้าศึกษาพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่หายากใกล้สูญพันธุ์ตามบัญชีชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี (สิ้นสุดในปี 2565) โดยมีส่วนวิจัยทรัพยากรป่าชายเลน กองอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน ซึ่งมีศูนย์วิจัยทรัพยากรป่าชายเลนที่ 1-6 ของ ทช. เป็นหน่วยงานภาคสนาม ครอบคลุมพื้นที่ป่าชายเลนในฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามัน 24 จังหวัด ร่วมดำเนินการ
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำหรับความสําคัญของงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน สวทช. ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน มุ่งเน้นการสร้างขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีในศูนย์แห่งชาติต่างๆ ทั้งด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ด้านคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ด้านโลหะและวัสดุศาสตร์ ด้านพลังงาน รวมทั้งด้านนาโนเทคโนโลยี นอกจากนั้น สวทช. ยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาติ ได้แก่ ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ และธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ซึ่งมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยการวิจัยแนวหน้าในระดับจีโนมและพันธุกรรม โปรตีนและการแสดงออกของยีน วิธีการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมและชีววัสดุในระยะยาว
ความร่วมมือของ ทช. และ สวทช.
ครั้งนี้ สวทช. ยินดีที่มีโอกาสสร้างความร่วมมือกันศึกษาวิจัยพันธุ์ไม้ป่าชายเลน โดยเฉพาะชนิดที่มีการแพร่กระจายน้อย หายาก ใกล้สูญพันธุ์ โดยผลงานวิจัยมุ่งเป้าให้เกิดฐานข้อมูลจีโนมอ้างอิงของพืชป่าชายเลนเป็นครั้งแรกของประเทศไทย วิธีการอนุรักษ์พันธุกรรมในสภาพปลอดเชื้อระยะยาว ซึ่งจะนำไปสู่การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ป่าชายเลน เกิดการปรับปรุงพันธุ์ในอนาคต สร้างความมั่นคงทางอาหารและทางระบบนิเวศให้กับป่าชายเลนในประเทศไทยคงความอุดมสมบูรณ์ ชุมชนมีรายได้ และเกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
ข้อมูลเพิ่มเติม 1
โครงการความร่วมมือการวิจัย พัฒนา และวิชาการ เกี่ยวกับป่าชายเลน
มุ่งเน้นศึกษาชนิดพันธุ์พืชป่าชายเลน 15 ชนิด ได้แก่
• ไม้ชายเลนหายากใกล้สูญพันธุ์ 5 ชนิด
1. พังกา-ถั่วขาว (Bruguiera hainesii)
2. ลำแพนหิน (Sonneratia griffithii)
3. หงอนไก่ใบเล็ก (Heritiera fomes)
4. แสมขน (Avicennia lanata)
5. หลุมพอทะเล (Intsia bijuga)
• ไม้ป่าชายเลนที่แท้จริง (true mangrove) 10 ชนิด
1. ลำแพน (Sonneratia ovate)
2. โปรงขาว (Ceriops decandra)
3. โกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata)
4. โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata)
5. ประสักแดง/พังกาหัวสุมดอกแดง (Bruguiera gymnorrhiza)
6. ประสักขาว/พังกาหัวสุมดอกขาว (Bruguiera sexangula)
7. ถั่วขาว (Bruguiera cylindrica)
8. ถั่วดำ (Bruguiera parviflora)
9. โปรงแดง (Ceriops tagal)
10. โปรงหมู (Ceriops zippeliana)
ข้อมูลเพิ่มเติม 2
โครงการความร่วมมือการวิจัย พัฒนา และวิชาการ เกี่ยวกับป่าชายเลน
มีศูนย์วิจัยทรัพยากรป่าชายเลนที่ 1-6 ของ ทช. เป็นหน่วยงานภาคสนาม
ครอบคลุมพื้นที่ป่าชายเลนในฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามัน 24 จังหวัด ประกอบด้วย
- ศูนย์วิจัยทรัพยากรป่าชายเลนที่ 1 ตราด จังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด ชลบุรี ฉะเชิงเทรา กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ
- ศูนย์วิจัยทรัพยากรป่าชายเลนที่ 2 สมุทรสาคร ประกอบด้วย จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์
- ศูนย์วิจัยทรัพยากรป่าชายเลนที่ 3 ระนอง ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร ระนอง
- ศูนย์วิจัยทรัพยากรป่าชายเลนที่ 4 พังงา ประกอบด้วย จังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่
- ศูนย์วิจัยทรัพยากรป่าชายเลนที่ 5 นครศรีธรรมราช ประกอบด้วย จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี
- ศูนย์วิจัยทรัพยากรป่าชายเลนที่ 6 สตูล ประกอบด้วย จังหวัดสตูล ตรัง พัทลุง สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ประกาศผลโครงการประกวดทักษะการพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมระดับประเทศ FabLab Thailand Student Design and Engineering Project Competition 2020
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประกาศผลโครงการประกวดทักษะการพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมระดับประเทศ (FabLab Thailand Student Design and Engineering Project Competition 2020) ตอน “ประลองความคิด ประดิษฐ์นวัตกรรม เพื่อชุมชน” ภายใต้โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย เมื่อวันพุธที่ 30 กันยายน 2563 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี โดยมี ดร.ชฏามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธาน และมี ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. (สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) พร้อมผู้แทนจากบริษัท เอ็กซ์วายแซดพริ้นติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้นำทีมคณะกรรมการในการตัดสินผลการประกวด
ดร.ชฏามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 อนุมัติงบประมาณสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อภาคสังคมอย่างกว้างขวาง (Big Rock Project) สวทช. ได้รับมอบหมายดำเนินการ โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย โดยโครงการประกวดทักษะการพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมระดับประเทศในครั้งนี้เป็นโครงการภายใต้โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) ที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน นักศึกษา ให้ได้มีโอกาสคิดค้น สร้างสรรค์ พัฒนาต่อยอดผลงาน ด้วยการออกแบบเชิงวิศวกรรม โดยใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ในโครงการฯ รวมถึงเข้าใจและเห็นถึงปัญหาในบริบทชุมชนโดยรอบของสถานศึกษาของตนเอง จนนำไปสู่ความร่วมมือ ในการวางแผนร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยใช้ทักษะการประดิษฐ์จากห้องปฏิบัติการ FabLab เป็นการผลักดันให้เกิด การสร้างนวัตกร สร้างอาชีพ และสร้างชาติต่อไป โดยทีมที่ส่งผลงานประกวด เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือนักศึกษาระดับ ปวช. ในสังกัดสถานศึกษา ซึ่งในโครงการฯ มีผลงานที่สมัครเข้ามา จำนวน 177 โครงงานจาก 75 สถานศึกษา และได้คัดเลือกผลงานผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย เหลือจำนวน 12 โครงงาน เพื่อตัดสินหาทีมที่ชนะเลิศ จำนวน 3 ทีม โดยแบ่งเป็นสาขา 3 สาขา ได้แก่ สาขาการเกษตรแบบยั่งยืน สาขาพลิกฟื้นคืนวิถีชุมชน และสาขาสร้างสังคมแห่งอนาคต โดยในวันนี้ได้เห็นจากผลงานที่มานำเสนอแล้วว่า มีความสร้างสรรค์ และมีศักยภาพที่จะนำมาให้เกิดประโยชน์กับชุมชนได้
นายวรกร บุญประสิทธิ์ผล ผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้แทนบริษัท เอ็กซ์วายแซดพริ้นติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงคุณค่าด้านการส่งเสริมการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษาในประเทศไทย ที่ผ่านมาได้ทราบว่า สวทช. ดำเนินการจัดซื้อเครื่องพิมพ์สามมิติ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้แก่ 150 สถานศึกษา ใน 68 จังหวัดทั่วประเทศ ผ่านโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย และได้ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สถานศึกษาและชุมชนใกล้เคียง อีกทั้งในช่วงเวลาสภาวะปกติ และในช่วงที่เกิดสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เห็นถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติมากยิ่งขึ้น ในการจัดประกวดครั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้สนับสนุนทุน รวมถึงของรางวัล อันได้แก่ เครื่องพิมพ์สามมิติขนาดการพิมพ์ 20x20x20 เซนติเมตร และทุนสนับสนุนกิจกรรมฝึกปฏิบัติการทักษะเชิงวิศวกรรมและการเยี่ยมชมหน่วยงานนวัตกรรมและเทคโนโลยี ณ ไต้หวัน โดยมอบให้แก่สถานศึกษาที่ชนะเลิศในแต่ละสาขา รวม 3 รางวัล ทั้งนี้ ขอแสดงความยินดีกับทีมที่ชนะเลิศทั้ง 3 ทีม และทางบริษัทฯ ยังคงยืนยันที่จะมุ่งมั่นส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่เยาวชนในด้านการศึกษาไทยต่อไป
โดยรางวัลชนะเลิศ สาขาการเกษตรแบบยั่งยืน ได้แก่ โรงเรียนแม่สะเรียง “บริพัตรศึกษา” ในผลงาน “โรงเรือนเอื้องแซะ” เป็นโรงเรือนอัจฉริยะที่ทำการทดลองปลูกกล้วยไม้เอื้องแซะ ซึ่งเป็นพันธุ์กล้วยไม้พื้นเมืองที่สำคัญของภาคเหนือที่มีมูลค่าสูงสามารถนำไปสกัดเป็นน้ำหอมกลิ่นธรรมชาติได้ “โรงเรือนเอื้องแซะ” สามารถควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น แสงสว่าง รวมถึงปริมาณการให้ปุ๋ยที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต โดยมีการแสดงผลต่างๆ เชื่อมโยงกับระบบ Internet of Things (IoT) ผ่านสมาร์ทโฟน จึงทำให้โรงเรือนฯ ดังกล่าว สามารถปลูกกล้วยไม้เอื้องแซะในต่างพื้นที่ได้ อีกทั้งยังช่วยยืดระยะการออกดอกให้นานขึ้นมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า
รางวัลชนะเลิศ สาขาพลิกฟื้นคืนวิถีชุมชน ได้แก่ โรงเรียนส่วนบุญโญปถัมภ์ ลำพูน ในผลงาน “ตักบาตรเติมบุญ” เป็นผลงานสิ่งประดิษฐ์ที่นำเอาอุปกรณ์ ALMS-Tracking จัดเก็บพิกัด GPS ของพระภิกษุขณะบิณฑบาต โดยใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันตักบาตรเติมบุญ ที่ผู้พัฒนาเขียนขึ้นเอง เพื่อรายงานตําแหน่งพิกัดของพระภิกษุบนแผนที่ ช่วยให้ผู้ใส่บาตรทราบถึงพิกัดของพระภิกษุขณะบิณฑบาตฯ ทำให้ไม่ต้องรอใส่บาตรนานและใช้เวลาไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้
รางวัลชนะเลิศ สาขาสร้างสังคมแห่งอนาคต ได้แก่ โรงเรียนวิสุทธรังษี จังหวัดกาญจนบุรี ในผลงาน “อุปกรณ์ช่วยต่อลมหายใจฉุกเฉิน” เป็นอุปกรณ์สําหรับการเลื่อนกระจกรถยนต์ลงในกรณีที่อุณหภูมิภายในห้องโดยสารสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส หรือปริมาณแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์สูงเกิน 50 ppm ชุดควบคุมจะสั่งให้มอเตอร์กระจกไฟฟ้ารถยนต์ลดกระจกลงตามค่าที่กําหนดไว้ เพื่อระบายความร้อนและลดปริมาณแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์สะสม ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตในรถยนต์ได้
ข่าวประชาสัมพันธ์

สท. สวทช. เสริมแกร่งชาวนาสงขลา ด้วย วิถีวิทย์
สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาคภาคใต้ (ศวภ.3) คลินิกเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา และกลุ่มเครือข่ายชาวนาวิถีวิทย์ 12 กลุ่ม ใน 11 อำเภอของจังหวัดสงขลา จัดงาน เสริมแกร่งชาวนาสงขลา ด้วย วิถีวิทย์ ณ ศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา โดยได้รับเกียรติจากนายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา
(more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์

สท./สวทช. หนุน ‘เสริมแกร่งชาวนาสงขลา’ ด้วย ‘วิถีวิทย์’
สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาคภาคใต้ (ศวภ.3) คลินิกเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา และกลุ่มเครือข่ายชาวนาวิถีวิทย์ 12 กลุ่ม ใน 11 อำเภอของจังหวัดสงขลา จัดงาน ‘เสริมแกร่งชาวนาสงขลา’ ด้วย ‘วิถีวิทย์’ ณ ศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา โดยได้รับเกียรติจากนายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา
เป็นประธานเปิดงาน ‘เสริมแกร่งชาวนาสงขลา’ ด้วย ‘วิถีวิทย์’ เกิดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อเพิ่มคุณภาพและปริมาณผลผลิต เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่ายเกษตรกรที่มีความเข้มแข็ง ให้เกิดการกระตุ้นและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การบรรยายพิเศษเรื่อง “การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี” การเสวนาเรื่อง “กว่าจะเป็น...เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีของชุมชน” “ข้าวพื้นเมืองใต้สำคัญอย่างไร” การประกวดการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี (ข้าวพันธุ์พื้นเมืองและข้าวพาณิชย์) นิทรรศการพันธุ์ข้าวจากกลุ่มเครือข่ายชาวนาวิถีวิทย์ และกิจกรรมถอดบทเรียนการดำเนินงานถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของ สท.
จากการทำงานของ สวทช. ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 ที่ได้นำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับการผลิตข้าวของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกข้าวอินทรีย์จังหวัดยโสธร เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและรายได้ สร้างกลไกการขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์ในระดับกลุ่มและเครือข่าย จนเกิดคลัสเตอร์เกษตรอินทรีย์จังหวัดยโสธร เป็นต้นแบบการปลูกข้าวอินทรีย์แบบครบวงจร และเกิดการขยายผลในพื้นที่ต่างๆ รวมถึง 5 อำเภอในจังหวัดสงขลา ได้แก่ ระโนด กระแสสินธุ์ สทิงพระ รัตภูมิ และจะนะ
ต่อมาในปีพ.ศ. 2562 สท. จึงได้ยกระดับการผลิตข้าวในจังหวัดสงชลา ผ่านการดำเนินโครงการ “การเพิ่มศักยภาพกลุ่มผู้ผลิตข้าวแบบครบวงจรด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพื้นที่จังหวัดสงขลา” โดยร่วมกับ ศวภ.3 คลินิกเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ความสำคัญของดินและการใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพให้กลุ่มเครือข่ายชาวนาวิถีวิทย์ 12 กลุ่ม ใน 11 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว ลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมการเพิ่มพูนและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเกษตรกร เสริมสร้างศักยภาพการผลิตข้าวคุณภาพตรงตามพันธุ์ การบริหารจัดการแปลงที่ดีนำไปสู่การได้รับมาตรฐาน GAP (Good Agricultural practices) รวมถึงการเพิ่มรายได้จากการปลูกพืชหลังนา การเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง การเพาะเห็ดฟางในตะกร้าจากวัสดุในท้องถิ่น ตลอดจนการฟื้นฟู อนุรักษ์และขยายเชื้อเห็ดตับเต่าในพื้นที่ป่าพรุ
ข่าวประชาสัมพันธ์

พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์” เป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยเเพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ศาสตราจารย์ไพรัช ธัชยพงษ์ เป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ประเภทวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2563
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/222/T_0002.PDF
ข่าวประชาสัมพันธ์

นายกฯ เยี่ยมชมผลงานวิจัย “การพัฒนาต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. (City transit E-buses)”โดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
29 กันยายน 2563 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ - ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมผลงานวิจัย “การพัฒนาต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. (City transit E-buses)” ซึ่งเป็นผลงานวิจัยและพัฒนาของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งปรระเทศไทย (กฟผ.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมหน่วยงานภาครัฐทั้งหน่วยงานวิจัย สถาบันการศึกษา ทดสอบ หน่วยงานกำกับดูแลมาตรฐาน การจดทะเบียน การใช้งาน นโยบายส่งเสริม และเอกชนผู้ร่วมพัฒนา ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาโครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการออกแบบและผลิตรถโดยสารไฟฟ้า ที่สามารถจดทะเบียนเพื่อใช้งานกับกรมการขนส่งทางบก ได้อย่างถูกต้อง และพร้อมสำหรับการผลิตในระดับอุตสาหกรรม จำนวน 4 รายการ
โดยมี ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยผู้บริหาร สวทช. กฟน. กฟภ. กฟผ. ขสมก. และกลุ่มผู้ประกอบการไทยผู้ร่วมพัฒนา เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมรถโดยสารไฟฟ้า ที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการไทย ภายใต้การให้คำปรึกษา จากนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งจากสถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้าจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. (City transit E-buses) ดำเนินการในลักษณะ ภาคีเครือข่าย (Consortium) การพัฒนาอุตสาหกรรมรถโดยสารไฟฟ้าไทย ร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย ประกอบไปด้วยสมาชิกจาก กระทรวง อว. โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สถาบันยานยนต์ (สยย.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งจราจร กรมการขนส่งทางบก (สนข.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) มีเป้าหมายในการยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้สามารถผลิตรถโดยสารไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นรถโดยสารประจำทาง และเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับรถโดยสารประจำทางเก่าที่ปลดอายุการใช้งานแล้ว ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กฟน. กฟภ. กฟผ. ขสมก. สวทช.และได้รับรถโดยสารประจำทางที่ปลดอายุการใช้งานแล้วจำนวน 4 คัน ที่จะส่งมอบให้ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 4 รายนำไปปรับปรุงให้เป็นรถโดยสารไฟฟ้า โดยผู้ประกอบการไทยที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยีผ่านกลไกการสนับสนุนที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iTAP) สวทช. รายนามผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกประกอบด้วย 1.บริษัท พานทอง กลการ จำกัด 2.บริษัท โชคนำชัย-ไฮเทคเพลสซิ่ง จำกัด 3.บริษัท รถไฟฟ้า ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) 4.บริษัท สบายมอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด
นอกจากนี้ภาคีเครือข่ายฯ ได้มีสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาสนามทดสอบน้ำท่วมขังร่วมกับ มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี เพื่อประเมินประสิทธิภาพของรถในขณะขับขี่ในพื้นที่น้ำท่วมขังเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในการใช้รถโดยสารไฟฟ้า และอยู่ระหว่างการจัดทำบทวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า จากรถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก. โดย สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
ทั้งนี้ สวทช. โดยทีมวิจัยจาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้พัฒนาตู้อัดประจุไฟฟ้าจำนวน 2 ตู้ติดตั้งที่เขตการเดินรถที่ 1 ของ ขสมก. เพื่อให้รถทั้ง 4 คัน ได้ทำการอัดประจุขณะทดลองวิ่งเป็นรถโดยสารประจำทางสาย 543ก (อู่บางเขน-ท่าน้ำนนท์) เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ นอกจากนั้น ทีมวิจัยจาก สวทช. ยังร่วมให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาการออกแบบ และประกอบรถโดยสารไฟฟ้าแก่ผู้ประกอบการ และทีมวิจัยอยู่ระหว่างดำเนินการ นำรถทั้ง 4 คันไปทดสอบสมรรถนะ และ วิเคราะห์คุณลักษณะ สมรรถภาพตามข้อกำหนดคุณลักษณะทางวิศวกรรมเพื่อให้เกิดความมั่นใจในการนำไปใช้งาน และสามารถจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกอย่างถูกต้องต่อไป
โดยคุณลักษณะขั้นต่ำที่รถโดยสารทั้ง 4 คัน มีคือ ระยะเวลาในการประจุไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 2 – 3 ชั่วโมง ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการประจุไฟฟ้า เฉลี่ย 160 – 250 กิโลเมตรต่อการประจุไฟฟ้า และความเร็วสูงสุดต่อเนื่อง 80 – 9 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นต้น อย่างไรก็ตามรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 4 บริษัทนี้ ต้นทุนในการเปลี่ยนจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก. เป็นรถโดยสารไฟฟ้าเฉลี่ยคันละ 7 ล้านบาท ในขณะที่การนำเข้ารถโดยสารไฟฟ้าจากต่างประเทศอยู่คันละ 12 – 14 ล้านบาท โดยจะมีคุณลักษณะเด่นของรถโดยสารไฟฟ้าที่ได้รับการพัฒนาจากทั้ง 4 บริษัทดังนี้
1. รถโดยสารไฟฟ้าขนาด 12 เมตร จากบริษัท พานทอง กลการ จำกัด พัฒนาโดยใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 60% มีองค์ความรู้ ระบบควบคุมการทำงานของรถโดยสารไฟฟ้า (Vehicle Control Unit, VCU) และระบบจัดการการประจุไฟฟ้า (On-board charger) จากทีมผู้พัฒนาในประเทศไทย ทำให้สามารถออกแบบระบบที่สามารถปรับแต่ง และปรับปรุงให้ใช้งานในสภาวะที่หลากหลายได้
2. รถโดยสารไฟฟ้าขนาด 12 เมตร จากบริษัท โชคนำชัย-ไฮเทคเพลสซิ่ง จำกัด พัฒนาโดยใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% ใช้ตัวถังอลูมิเนียม มีความพิเศษอยู่ที่โครงสร้างน้ำหนักเบาแข็งแกร่ง ทำมาจาก Aluminum เกรดสูง ทนการกัดกร่อนได้เป็นอย่างดี ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบา ประหยัดพลังงาน และทำการผลิตในแบบการผลิตแบบอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สามารถรองรับการผลิตแบบ Mass production ได้
3. รถโดยสารไฟฟ้าขนาด 12 เมตร จากบริษัท รถไฟฟ้า ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) พัฒนาโดยใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% พัฒนาบนความร่วมมือกับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าทั้งจากภายในและต่างประเทศ มีความพร้อมในการรับประกันรถจากความร่วมมือกับผู้ผลิตชิ้นส่วน จะเห็นได้จากระยะเวลาในการรับประกัน โดยเฉพาะชุดแบตเตอรี่ที่ให้มากถึง 5 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีการออกแบบระบบการขับเคลื่อนให้สามารถขับขี่ได้ 3 โหมด ได้แก่ 1.โหมดประหยัดพลังงาน (Eco mode) 2.โหมดธรรมดา (Standard Mode) 3.โหมดสปอร์ต (Sport Mode) และรองรับการประจุไฟฟ้าทั้งแบบเร็วและแบบธรรมดา
4. รถโดยสารไฟฟ้าขนาด 12 เมตร จากบริษัท สบายมอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (SMT) พัฒนาโดยใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 50% ชุดอุปกรณ์ขับเคลื่อนไฟฟ้า ที่เคยทำงานร่วมกันบนรถโดยสารไฟฟ้ามาแล้ว ด้วยการทดสอบใช้งานบนสภาวะการขับขี่จริง ระยะทางกว่า 25,000 กิโลเมตร สร้างความเชื่อมั่นและแสดงถึงความเข้ากันได้ในการทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ ทั้งในเชิงประสิทธิภาพการทำงานและความปลอดภัย
ทั้งนี้ในปี 2563 นี้ ผู้ประกอบการไทยทั้ง 4 ราย พร้อมแล้วที่จะผลิตรถโดยสารไฟฟ้า ในการให้บริการประชาชนทั้งในรูปแบบรถโดยสารประจำทาง หรือไม่ประจำทาง เพื่อให้คนไทยได้ร่วมกันภาคภูมิใจในความสามารถของคนไทย ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้ให้กับคนในประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. ประกาศผลผู้ชนะเลิศการประกวด Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 5
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) ร่วมกับบริษัท เว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์ www.WealthMagik.com สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันและคอมพิวเตอร์ (TACGA) มูลนิธิกองทุนพัฒนาระบบตลาดทุนกราฟิกส์ไทย และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย จัดประกาศผลโครงการ Software Park - WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 5 ในหัวข้อ “เกษียณไว อารมณ์ดี” โครงการประกวดพัฒนาสื่อการ์ตูนแอนิเมชันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ผลหมวดการ์ตูนแอนิเมชัน ประเภทนักเรียนนักศึกษา ทีม Tomato จาก จุฬาฯ กับผลงาน “ออกดอกออกผล” และประเภทบุคคลทั่วไป ทีมเต่าสามขา กับผลงาน “อยากเกษียณไว ให้มาหาผม” คว้ารางวัลชนะเลิศไปครอง ส่วนหมวดวีดิทัศน์เรื่องสั้น ชนะเลิศคือ ทีมราหูฟิล์ม กับผลงาน “ต้อง(ปิดมือถือ)ปล้น” นับเป็นการต่อยอดความรู้ทักษะและความคิดสร้างสรรค์นำมาปรับเข้าใช้ด้วยกันจนเกิดเป็นผลงานพัฒนาที่น่าสนใจ
(ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ท่านที่ 4 นับจากทางด้านขวา)
ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) สวทช. กล่าวว่า โครงการนี้จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2559 เพื่อเป็นเวทีให้กับนักเรียนนักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไปได้แสดงศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีนำความรู้ ทักษะ และความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาผลงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางด้านการเงินที่เข้าใจยากให้เข้าใจง่ายขึ้น เข้าถึงได้ทุกช่วงวัย และเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยบริหารเงินออมให้งอกเงยเพื่ออนาคตยามเกษียณ ซึ่งการประกวดแบ่งเป็น 2 หมวดใน 3 ประเภท ได้แก่ หมวดการ์ตูนแอนิเมชัน ประเภทนักเรียนนักศึกษา และประเภทบุคคลทั่วไป และหมวดวีดิทัศน์เรื่องสั้น (Short Video) ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 275,000 บาท
โดยในปีนี้ ผู้ชนะเลิศหมวดการ์ตูนแอนิเมชัน ประเภทนักเรียนนักศึกษา ได้รับเงินรางวัล 40,000 บาท ได้แก่ ทีม Tomato จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับผลงาน “ออกดอกออกผล” รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 รับเงินรางวัล 20,000 บาท ได้แก่ทีม The Golden Sky จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กับผลงาน “Debt operated สุขใจไร้หนี้” และรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 รับเงินรางวัล 10,000 บาท และคว้า Popular vote รับเงินรางวัล 5,000 บาทด้วย ได้แก่ทีม เบาได้เบา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กับผลงาน “The Chess เกมกระดานชีวิต”
ในส่วนของหมวดการ์ตูนแอนิเมชัน ประเภทบุคคลทั่วไป รางวัลชนะเลิศรับเงินรางวัล 80,000 บาท ได้แก่ ทีมเต่าสามขา โดยคุณธนโชติ ชำนินาวากุล และคุณสินีนาฏย์ เพิ่มทองคำ กับผลงาน “อยากเกษียณไว ให้มาหาผม” รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 รับเงินรางวัล 30,000 บาท และคว้า Popular Vote 5,000 บาท เป็นของทีม ทุนภรรยาการผลิต โดยคุณบุญญฤทธิ์ อ่อนละออ กับผลงาน “ไอ้สิว.....สยิวโลก” และรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 รับเงินรางวัล 10,000 บาท ได้แก่ ทีม ACTITEM โดยคุณจิรธณ จิรอุดมพล กับผลงาน “MY UNCLE”
และหมวดวีดิทัศน์เรื่องสั้น (Short Video) ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีมราหูฟิล์ม โดยคุณ ณรงค์ เสประโคน กับผลงาน “ต้อง(ปิดมือถือ)ปล้น” รับเงินรางวัล 40,000 บาท และคว้า Poplar Vote 5,000 บาทด้วย ส่วนรองชนะเลิศอันดับ 1 รับเงินรางวัล 20,000 บาท ได้แก่ ทีม Hierophant โดยคุณพลพัต สีลาพงศธร คุณตาธาร มาร์ และคุณชัชนภ ธีระพงษ์ กับผลงาน “ชีวิตต้องมีแผน” และรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 รับเงินรางวัล 10,000 บาท ได้แก่ ทีม ถ่ายไปเรื่อย โดยคุณอัครกมล เลิศมโนกุลชัย คุณศุภโชติ สุขสวัสดิ์ และคุณสุรดิษ สุขทรัพย์ กับผลงาน “The Czardas” ซึ่งทุกรางวัลจะได้รับโล่รางวัล พร้อมเกียรติบัตรการร่วมเข้าแข่งขันประกวดผลงาน
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. เปิดรับสมัครผู้ประกอบการจำหน่ายอาหารภายในสวทช.
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดรับสมัครผู้ประกอบการจำหน่ายอาหารภายในอาคารสราญวิทย์ (อาคาร 12) โดยมีคุณสมบัติดังนี้
เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินการศูนย์อาหารในเชิงคุณภาพ
เป็นผู้มีประสบการณ์ในการดำเนินการศูนย์อาหารที่มีขนาดไม่น้อยกว่า 300 ที่นั่ง หรือไม่น้อยกว่า 500 จาน เวลาดำเนินการตั้งแต่ 11.00 – 13.00 น. มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ภายในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี (แสดงหลักฐานการดำเนินการ)
มีหลักฐานเงินทุนที่สามารถบริหารศูนย์อาหารได้ (แสดงหลักฐานทางการเงิน)
ผู้ประกอบการฯ ต้องมาดำเนินการเอง หรือมีผู้แทนดำเนินการตลอดเวลาทำการ
เอกสารประกอบเพิ่มเติม
ผู้ที่สนใจสามารถขอทราบรายละเอียดและยื่นใบสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2563 ได้ที่
นายศรุต หนูรักษ์
งานบุคลากรสัมพันธ์
ฝ่ายบริการทรัพยากรบุคคล
ชั้น 1 อาคารสำนักงานกลาง
โทรศัพท์ 02 564 7000 ต่อ 71104 ในวันและเวลาทำการ
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. หนุนผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP เครือข่าย ม.พะเยาเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการแปรรูปพืชผลทางการเกษตร ด้วยระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบเรือนกระจก
โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP: ไอแทป) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ให้การสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจาก มหาวิทยาลัยพะเยา แก่ผู้ประกอบการแปรรูปพืชผลทางการเกษตรเป็นเส้นขนมจีนอบแห้งของ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไฮ โซ แซ่บ” จ.พะเยา ในโครงการ “การพัฒนาระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบเรือนกระจก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตเส้นขนมจีนอบแห้ง” สามารถเพิ่มกำลังการผลิต เพิ่มมูลค่าให้กับพืชผลทางการเกษตรไทย และมีคุณภาพถูกต้องตามหลักอาหารปลอดภัย
รศ.ดร.ต่อพงศ์ กรีธาชาติ ผู้จัดการเครือข่าย ITAP-UP มหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวว่า ประเทศไทยนับเป็นประเทศส่งออกผลผลิตทางการเกษตรรายสำคัญของโลก ทั้งในรูปผลผลิตและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป ซึ่งอย่างหลังพบว่ามีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี โดยเฉพาะมีผู้ประกอบการรายเล็กในขนาด small และ very small ทั้งนี้ ในพื้นที่ จ.พะเยา มีจำนวนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เกษตรและแปรรูปรายเล็กเป็นจำนวนมากเกิดขึ้น ทั้งที่เป็นกิจการแบบธุรกิจเจ้าของคนเดียว หรือการรวมกลุ่มกันในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน ซึ่งธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ต่างประสบปัญหาด้านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งในส่วนต้นทุนพลังงานและสาธารณูปโภค และยังมีโจทย์ความต้องการในการแก้ไขปัญหากระบวนการผลิตและแปรรูปที่คล้ายคลึงกันคือ ต้องการนำเทคโนโลยีที่มีฟังก์ชั่นการทำงานไม่ซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบรายปีไม่สูง เข้ามาปรับใช้ในกิจการ “ระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์” จึงเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมกับธุรกิจท้องถิ่นรายเล็ก ที่ใช้เงินลงทุนไม่สูง และเหมาะสมกับการนำมาใช้ในสภาวะภูมิอากาศของประเทศไทย โดยผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP ของมหาวิทยาลัยพะเยา ได้มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันสามารถพัฒนาระบบ IoT ที่เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งาน และสามารถควบคุมกระบวนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉะนั้น เทคโนโลยีระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านพลังงานทดแทนผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน เป็นการพัฒนาท้องถิ่นตามปณิธานของมหาวิทยาลัยพะเยา “ปัญญาเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน (Wisdom for Community Empowerment)” อย่างแท้จริง
ด้านผู้ประกอบการ นางวารัทชญา อรรถอนุกูล ผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไฮ โซ แซ่บ กล่าวว่า “ขนมจีน” เป็นอาหารคาวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของคนไทย โดยเฉพาะภาคเหนือ และอีสานแต่เดิมในกระบวนการแปรรูปเส้นขนมจีนจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ขนมจีนแป้งหมัก และขนมจีนแป้งสด ซึ่งในการผลิตขนมจีนดังกล่าว มีลักษณะการผลิตที่นานและเสียง่าย ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไฮ โซ แซ่บ จึงมีการประยุกต์ดัดแปลงพัฒนาเส้นข้าวโพดอบแห้ง ที่ผลิตจากแป้งข้าวโพด ซึ่งสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด ทั้งอาหารคาวและหวาน เช่น นำไปใช้แทนเส้นขนมจีนในเมนูขนมจีน หรือน้ำเงี้ยว นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในเมนูไส้อั่ว ปอเปี๊ยะทอด หรือนำไปใช้ทำเมนูของหวาน เช่น สลิ่มในน้ำกะทิได้
ซึ่งหลังจากได้เข้าร่วมโครงการกับโปรแกรม ITAP ม.พะเยา และทำการติดตั้งระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว ช่วยให้กิจการสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเส้นข้าวโพดได้มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตเส้นข้าวโพดแบบเดิมที่ต้องตากเส้นไว้กลางแจ้ง ซึ่งหากเป็นวันที่มีฝนตกจำเป็นต้องหยุดการผลิต หรือในวันที่สภาพอากาศมีเมฆมาก จะทำให้เส้นข้าวโพดไม่เรียงตัวเป็นเส้นตรงสวยงาม การตากเส้นข้าวโพดแบบเดิมจะใช้เวลา 1 - 2 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ แต่เมื่อนำเส้นข้าวโพดไปอบในระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ จะใช้เวลาเพียง 3 - 4 ชั่วโมง นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังช่วยให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ มีความสะอาด ไม่ปนเปื้อนจากฝุ่นหรือแมลงวัน รวมถึงนำไปใช้ประโยชน์ในการแปรรูปวัตถุดิบอื่น ๆ ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าของกิจการได้อีกด้วย เช่น พริก ดอกอัญชัน ดอกงิ้ว ขมิ้น เป็นต้น
ในส่วน ผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP ดร.สุรัตน์ เศษโพธิ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาพลังงานทดแทน และ นายสุรศักดิ์ ใจหลัก นักวิจัย คณะพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวร่วมกันว่า โปรแกรม ITAP เครือข่าย ม.พะเยา ได้ให้ความช่วยเหลือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไฮ โซ แซ่บ ในด้านการออกแบบและการจัดทำระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีมาตรฐาน ศึกษาต้นแบบจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน และนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาวะการปฏิบัติงานในพื้นที่ของผู้ประกอบการ และมีความเหมาะสมสำหรับกระบวนการแปรรูปเส้นข้าวโพดอบแห้งที่มีส่วนผสมของพืชผลทางการเกษตรท้องถิ่น เช่น ข้าวหอมมะลิพะเยา ข้าวโพด มันม่วง ขมิ้น เป็นต้น โดยเฉพาะระบบการระบายความชื้นได้ทำการติดตั้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ และควบคุมการระบายความชื้น เพื่อให้มีความเหมาะสมกับปริมาณวัตถุดิบที่นำมาอบแห้ง โดยมี นายศุภฤกษ์ ขาวแดง ที่ปรึกษาเทคโนโลยี (ITA) เป็นตัวกลางสำคัญประสานงานระหว่าง สวทช. ผู้ประกอบการ และผู้เชี่ยวชาญ ให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับกลไกการให้ความช่วยเหลือจาก ITAP รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการลดความยุ่งยากและความซับซ้อนในการดำเนินโครงการต่าง ๆ พร้อมส่งเสริมให้เกิดความร่วมมืออันดีระว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งให้คำแนะนำและช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินโครงการ
“การดำเนินโครงการจัดทำระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบเรือนกระจก สามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้กับ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไฮ โซ แซ่บ คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตเดิม เป็นผลจากการลดความชื้นได้เร็วขึ้น ซึ่งมีอุณหภูมิของโรงอบอยู่ระหว่าง 45 - 55 องศาเซลเซียส ซึ่งในระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ จะมีอุปกรณ์ที่สำคัญได้แก่ พัดลมระบายอากาศหรือระบายความชื้น เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญยิ่งในการควบคุมอุณหภูมิของอากาศในโรงอบ ผลการดำเนินโครงการ พบว่า ระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ จะใช้เวลาในการอบที่น้อยกว่าแบบเดิมจากการตาก 1 - 2 วัน เหลือไม่เกินครึ่งวัน อีกทั้งยังไม่มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่าง ๆ เช่น ค่าไฟฟ้า และยังได้คุณภาพของสินค้าที่ไม่ต่างจากแบบเดิม ทำให้ หจก. สามารถพัฒนาให้เกิดเทคโนโลยีที่ช่วยในกระบวนการผลิตเส้นข้าวโพดอบแห้ง เพิ่มศักยภาพ และมีความเหมาะสมกับการผลิตเส้นอบแห้ง ทดแทนการตากแห้งแบบดั้งเดิม ยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้มีความสะอาด สร้างความน่าเชื่อถือต่อผู้บริโภค รองรับการขอรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เส้นอบแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาการผลิตได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด ทั้งนี้ ในการพัฒนาเทคโนโลยีระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ระยะถัดไป จะเป็นการประยุกต์ใช้ระบบ Internet of Things (IoT) ร่วมกับระบบระบายความชื้น ด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดค่าความชื้นและอุณหภูมิ ซึ่งระบบสามารถทำงานได้ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการแสดงผลข้อมูลผ่าน Web application และ Mobile Application รวมถึงหน้าจอแสดงผลบนกล่องควบคุมการทำงาน ที่เหมาะสมกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการ” ผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP ม.พะเยา กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. โปรแกรม ITAP มุ่งเน้นพัฒนา SME ไทยในทุกอุตสาหกรรม ทุกพื้นที่โดย ITAP เครือข่าย ม.พะเยา เข้าแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการ ปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียแบบไม่ใช้อากาศ และเพิ่มศักยภาพการใช้พลังงานทดแทน
ณ จังหวัดลำปาง : บริษัท รวมพรมิตรฟาร์ม จำกัด ประสบปัญหาเศษขนไก่จากโรงเรือนหลุดเข้าไปบ่อรวบรวมน้ำเสีย ซึ่งเป็นบ่อพักเพื่อนำน้ำเสียเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียแบบไร้อากาศ รวมถึงอัตราการกวนตะกอนอินทรีย์ในบ่อหมักยังไม่ดีเท่าที่ควร เกิดชั้นฝ้าตะกอนบริเวณบนผิวน้ำของบ่อหมักแบบปิดไม่ใช้อากาศ เป็นผลให้การทำงานของจุลินทรีย์แบบไม่ใช้อากาศภายในบ่อหมักไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้ผลพลอยได้จากระบบ ได้แก่ ปริมาณก๊าซชีวภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และเนื่องจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพที่ติดตั้ง เป็นระบบขนาดใหญ่ ถึง 18,000 ลูกบาศก์เมตร จึงจำเป็นต้องหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาการกวนตะกอนให้มีประสิทธิมากยิ่งขึ้น
จึงเป็นโจทย์ที่ผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP สวทช. เข้าไปแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการ โดยทำการปรับปรุงระบบกวนตะกอนในบ่อหมักย่อยน้ำเสีย รวมทั้งจะทำการติดตั้งเครื่องกวนผสมแบบเชิงกลที่ไม่ทำให้เกิดการเติมอากาศภายในบ่อหมักแบบอัตโนมัติ (PLC) แบบ Airlift เพื่อทำการกวนตะกอนภายในบ่อหมัก เพื่อให้ระบบบำบัดน้ำเสียแบบไม่ใช้อากาศทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ไทย ให้มีการยกระดับธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นนโยบายที่ภาครัฐให้ความสำคัญมาโดยตลอด เนื่องจากจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง มีเงินหมุนเวียนในระบบและเกิดการจ้างงานในทุกพื้นที่ โปรแกรม ITAP สวทช. ภายใต้ กระทรวง อว. เป็นกลไกที่สำคัญและมีประสิทธิภาพอันหนึ่งของรัฐบาลในการพัฒนาSME ไทย โดยปัจจุบัน ITAP ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในโครงการให้คำปรึกษาเชิงลึกที่ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มากกว่า 1,200 โครงการต่อปี
ผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ สามารถเข้าร่วมได้ทันทีเนื่องจากเปิดให้บริการทุกวันทำการ เปิดให้ผู้ประกอบการทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ เข้าร่วมโครงการได้ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเทคโนโลยี นวัตกรรม และลดต้นทุนทางธุรกิจ รวมถึงเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ ซึ่งปัจจุบัน ITAP มีเครือข่ายทั่วประเทศ 19 แห่ง และมีผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 1,500 ราย โดย ITAP เครือข่าย ม.พะเยา เข้ามาเป็นเครือข่ายในปี 2561 ให้บริการ SME ไทยในพื้นที่ภาคเหนือ ปีละมากกว่า 50 ราย มีที่ปรึกษาเทคโนโลยี (ITA) ที่จะรับโจทย์จากผู้ประกอบการและช่วยสรรหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เข้าไปช่วยเหลือบริษัทในโจทย์ต่าง ๆ เช่น การแก้ปัญหา การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้ SME เข้มแข็งและเติบโตต่อไปได้
รศ.ดร.ต่อพงศ์ กรีธาชาติ ผู้จัดการเครือข่าย ITAP-UP มหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวว่า ITAP เครือข่ายมหาวิทยาลัยพะเยา มีหน้าที่ส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากผู้เชี่ยวชาญในภาควิชาการ ไปสู่ผู้ประกอบการที่เป็นภาคเอกชน และเชื่อมความต้องการในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของผู้ประกอบการ กับงานวิจัยและนวัตกรรมของผู้เชี่ยวชาญในสังกัดกระทรวง อว. เข้าไว้ด้วยกัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือการพัฒนาแบบเชื่อมโยงระหว่างภาคเอกชน ที่นำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาด เกิดเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กับการพัฒนางานวิจัยเชิงนวัตกรรมของผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความเหมาะสมสอดคล้อง และตอบสนองความต้องการในเชิงพาณิชย์ได้มากขึ้น และจากการดำเนินงานของ ITAP เครือข่าย ม.พะเยา 3 ปีที่ผ่านมา สามารถสนับสนุนธุรกิจในระดับ SME ในการนำเทคโนโลยีเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกิจการ และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ในหลายด้าน เช่น การจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทน นวัตกรรมอาหาร การพัฒนาเครื่องจักรเพื่อกระบวนการผลิต การส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตร และ Smart Farm รวมแล้วไม่น้อยกว่า 150 โครงการ
ด้าน ผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP ดร.ศตวรรษ ทนารัตน์ อาจารย์ประจำคณะพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวว่า จากโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ บริษัท รวมพรมิตรฟาร์ม จำกัด ที่ต้องการแก้ไขปัญหา คือ เรื่องน้ำเสียของกิจการ ที่เกิดจากกระบวนการเลี้ยงไก่ ทีมผู้เชี่ยวชาญจึงได้สนับสนุนให้ผู้ประกอบการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียแบบไม่ใช้อากาศ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนน้ำเสียและของเสียให้กลายเป็นก๊าซชีวภาพ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบพลังงานทดแทนได้ โดยการผลิตไฟฟ้าไว้ใช้ในกิจการ ระบบบำบัดเสียน้ำเสียแบบไม่ใช้อากาศ ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นอย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากเป็นการหมักย่อยน้ำเสียในระบบปิด และน้ำที่ผ่านการบำบัดจะสะอาดได้มาตรฐานตามที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดไว้ ซึ่งทีมผู้เชี่ยวชาญมีความพยายามที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยจะมุ่งเน้นในเรื่องเพิ่มประสิทธิภาพของระบบและนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น เช่น การออกแบบให้ระบบใช้พื้นที่ในการติดตั้งให้น้อยลง ใช้เงินลงทุนน้อยลง แต่ประสิทธิภาพการหมักย่อยสูงขึ้น การออกแบบพัฒนาให้ระบบสามารถรองรับน้ำเสียที่มีสภาวะแตกต่างกันมาก ๆ ได้ภายในระบบเดียว และการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบสามารถผลิตก๊าซชีวภาพในปริมาณที่สูงขึ้น
ในส่วนผู้ประกอบการ นายชาญวิทย์ เวชชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท รวมพรมิตรฟาร์ม จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความสนใจในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาปรับใช้ในกิจการเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน จึงได้ขอคำปรึกษาด้านเทคโนโลยีกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จนกระทั่งได้มารู้จักกับ ITAP ผ่านผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อบริษัทมาก เพราะ ITAP มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ตอบโจทย์ความต้องการได้มากขึ้น ช่วยบริษัทลดความเสี่ยงในเรื่องการลงทุนเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหา และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันได้มากขึ้น
ซึ่งเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่ต้องการจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ที่ดีมีคุณภาพสู่ตลาดแล้ว บริษัทยังมุ่งพัฒนากิจการสู่ธุรกิจสีเขียว คือ ไม่สร้างมลพิษสู่ชุมชน และยังสามารถผลิตพลังงานทดแทนไว้ใช้ภายในกิจการเองได้ ซึ่งระบบบำบัดน้ำเสียแบบไม่ใช้อากาศหรือระบบก๊าซชีวภาพที่บริษัทได้ทำการติดตั้งไปนั้น สามารถตอบโจทย์เป้าหมายของกิจการ ซึ่งปัจจุบันบริษัทสามารถแก้ไขปัญหาน้ำเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมดปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นและจำนวนแมลงวัน อีกทั้งยังสามารถนำก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ไปใช้ประโยชน์ในการผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าสำหรับใช้ภายในฟาร์มได้ถึง 70% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดภายในฟาร์ม นอกจากนี้ ยังช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ติดตามมาคือ บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ดี เป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน และสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างไร้ปัญหา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทไปในทางบวกทั้งสิ้น
ข่าวประชาสัมพันธ์