หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ขอเชิญร่วมรับฟังเสวนาดอยเชียงดาว: พื้นที่สงวนชีวมณฑลของโลกแห่งใหม่ในประเทศไทย ความท้าทายด้านการบริหารจัดการ อนุรักษ์ ฟื้นฟู และการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ  BCG
📢 สวทช. เรียนเชิญร่วมแสดงความยินดีกับ "พื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาวแห่งใหม่ของโลกในประเทศไทย".....พื้นที่มรดกโลกแห่งนี้จะมีการบริหารจัดการ อนุรักษ์ และฟื้นฟูอย่างไร? การเพิ่มคุณค่าจะเป็นอย่างไร? พบกับคำตอบเหล่านี้ได้จากการเสวนานี้!🦋 💜 BioD Talk Episode#4 🌱 เสวนาดอยเชียงดาว: พื้นที่สงวนชีวมณฑลของโลกแห่งใหม่ในประเทศไทย ความท้าทายด้านการบริหารจัดการ อนุรักษ์ ฟื้นฟู และการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ  BCG 🌏 🗓 วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 🕑 เวลา 14.00 - 15.30 น. 💡 พบกับหัวข้อที่น่าสนใจ ✔️ เสน่ห์ดอยเชียงดาว ระบบนิเวศเฉพาะถิ่นและหายาก (สังคมพืชกึ่งอัลไพน์) ✔️ ความท้าทายการจัดการคนอยู่ร่วมกับป่า ✔️ การนำ GSTC บริหารจัดการท่องเที่ยว ✔️ การใช้ วทน. ขับเคลื่อนการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG .......และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับวิทยากร 🔈  เสวนาออนไลน์ฟรี❗ ผ่านโปรแกรม Webex Event  Meeting number: 2519 395 3961 Password: NSTDA_Biodtalk 📌 สนใจ.....สามารถเข้าร่วมได้ทาง 👉🏻 ผ่านการสแกน QR Code Link 👉🏻 https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/onstage/g.php?MTID=e530d1c51ec1a69891db14d17d60982a1
ปฏิทินกิจกรรม
 
ซอฟต์แวร์พาร์ค – เว็ลธ์ เมจิก ปลุกกระแสสังคมให้ตระหนักบริหารเงินออม ประกาศผลงานประกวดแอนิเมชัน / หนังสั้น
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย และบริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด (WMSL) เจ้าของเว็ปไซต์ WealthMagik.com ประกาศผลผู้ชนะโครงการ Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Award Season 6 ประกวดผลงานแอนิเมชัน และหนังสั้น “เงินทองต้องใส่ใจ” ชิงเงินรางวัล  มูลค่ารวม 275,000 บาท เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ผ่านระบบ Zoom Online โดยโครงการ Software Park -WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Award จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 เพื่อเป็นเวทีให้กับนักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปได้แสดงศักยภาพการใช้เทคโนโลยี นำความรู้ ทักษะ และความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาผลงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการเงินที่เข้าใจยากให้เป็นสื่อการ์ตูนแอนิเมชัน และหนังสั้นที่สนุก เข้าใจง่าย           ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล  ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย กล่าวว่า การดำเนินกิจกรรมโครงการจนมาถึงการประกาศผลรางวัล  Software Park Thailand ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการจะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไปได้พัฒนาศักยภาพด้าน IT ผสมผสานความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคลมาประยุกต์เพื่อการถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ และเข้าใจง่าย ในขณะที่พันธมิตรหลักคือ Wealth Management System ก็ยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมให้คนไทยได้รู้จัก และเข้าถึงเทคโนโลยีที่สามารถช่วยวางแผนบริหารเงินออมให้งอกเงยด้วยการออมลงทุน และขอชื่นชมผู้เข้าประกวดทุกทีม ซึ่งปีนี้มีผู้ส่งผลงานจากกลุ่มเยาวชนเป็นจำนวนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งก็เป็นความภาคภูมิใจที่โครงการได้มีส่วนร่วมปลูกฝังการวางแผนการออมตั้งแต่รุ่นเยาวชน และหวังว่าผลงานดีๆ ที่สร้างสรรค์ผ่านเวทีนี้ จะได้สร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาผลงานแอนิเมชัน และหนังสั้น รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่ได้รับชมตระหนัก และวางแผนเงินออมเพื่ออนาคตต่อไป           ด้าน ดร.สมเกียรติ  ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม และ บลน.เว็ลธ์ เมจิก จำกัด ได้สรุปภาพรวมโครงการว่าปีนี้เป็นปีที่มีผู้สนใจสมัครเข้ามาร่วมประกวดผลงานมากที่สุดถึง 162 ทีม แยกเป็นแอนิเมชัน 116 ทีม และหนังสั้น 46 ทีม ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นมืออาชีพ ผลงานปีนี้จึงออกมาดีเยี่ยม   โครงการ Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Award ได้รับการยอมรับว่า เป็นการประกวดผลงานด้านการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นงานที่คนจับตามองค่อนข้างมาก ทั้ง 162 ทีมจึงเรียกได้ว่าน่าจะเข้าถึงหัวใจของการแข่งขัน นั่นคือ การได้รับความรู้ดี ๆ  ต้องขอขอบคุณเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย พันธมิตรต่าง ๆ  รวมถึงคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ที่กรุณาร่วมกันคัดเลือกจนได้ผลงานที่ดีเยี่ยม และผู้เข้าแข่งขันสามารถนำผลงานจากเวทีนี้ไปเป็นโปรไฟล์เพื่อปูทางไปสู่สถาบันการศึกษา หรือสถานที่ทำงานที่ต้องการ  ต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยกันทำให้โครงการเงินออมสร้างชาติเป็นโครงการที่ปลุกกระแสให้คนไทยรักการออม เงินออมสำคัญต่อประเทศ และเศรษฐกิจของประเทศมาก ทั้งยังทำให้เกิดการกินดีอยู่ดีของประชากรในประเทศ ต้องขอขอบคุณผู้เข้าแข่งขันทุกทีมที่สร้างสรรค์สื่อดี ๆ เพื่อกระตุ้นให้คนไทยรักการออมมากขึ้น            โครงการในปีนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศถึง 162 ทีม โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่ 1 ก.พ. – 30 เม.ย. 64 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้สมัครจะได้เข้าร่วมกิจกรรมบูทแคมป์ออนไลน์ เพื่อพัฒนาความรู้ด้านการเงิน เทคนิคการเล่าเรื่อง และการบริหารเวลาในการพัฒนาผลงาน จากผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือสร้างสรรค์ผลงานจริง          โดย ผู้ชนะเลิศหมวดแอนิเมชัน ประเภทนักเรียน นักศึกษา ได้แก่ทีม มานะ มานี ปิติ ชูใจ สมาชิกประกอบด้วย นางสาวสุพิชชา ปันคำ นางสาวณัชชา สถาปิตานนท์ และนางสาวศรัณย์พร ศิริสวัสดิ์ จากคณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กับผลงาน ออมTips ออมทิพย์ ได้รับทุนการศึกษา 40,000 บาท พร้อมโล่รางวัล เกียรติบัตร และของที่ระลึก  รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ทีม ทีม Threesur ประกอบด้วย  นางสาวพัชรพร   รานอก  นางสาวสุภาดา  ธนะเสวี และรุจิรา  ปัญญาริกานนท์  จากมหาลัยศรีปทุมวิทยาเขตชลบุรี และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากผลงานเรื่อง Pig me เพื่อนรักนักออม ได้รับทุนการศึกษา 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล เกียรติบัตร และของที่ระลึก รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม Orion Editor สมาชิกในทีมประกอบด้วย นายภาณุพงษ์ จันทร์เขียด และนายกริชเพชร รุ่งเรือง  จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ผลงานเรื่อง Success ได้รับทุนการศึกษา 10,000 บาท พร้อมโล่รางวัล เกียรติบัตร และของที่ระลึก           ผู้ชนะเลิศหมวดแอนิเมชัน ประเภทบุคคลทั่วไป ได้แก่ทีม Moving Image โดยนายอรุณกร พิค จาก  ผลงาน หนูน้อยหมวกแดงเข้ม ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 80,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ Fiction Five   สมาชิกประกอบด้วย นายธีรเดช ยิ้มฟุ้งเฟื่อง และนางสาวปนัดดา ระย้า จากผลงานเรื่อง The Money  ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ทีม ยี่สิบสองนาฬิกา สมาชิก นายธนกร พุฒิพัฒนมงคล   นายพุทธิพร นาคอ่อน และนางสาวญาณิศา สุวดิษฐ์  จากผลงาน The Best Treasure ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท และผู้ชนะเลิศพร้อมรองชนะเลิศยังจะได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร พร้อมของที่ระลึก           ผู้ชนะเลิศหมวดหนังสั้น ได้แก่ ทีมราหูฟิล์ม โดยนายณรงค์ เสประโคน จากผลงานเรื่อง Crisis Point ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 40,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ทีม Moving Image โดยนายอรุณกร พิค จากผลงานเรื่องเราทุกคนคือนักมายากล ได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ทีม Red Rabbit โดยนางสาวสุลีวัลย์ สิริทรัพย์โภคกุล จากผลงานเรื่อง ใส่ใจที่ไม่ใส่ใจ ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท  นอกจากนี้ ทุกทีมจะได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และของที่ระลึกอีกด้วย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้วยการบริจาคเงินเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของ สวทช. ซึ่งเงินบริจาคนี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยมี 2 แบบ ดังนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่ให้การสนับสนุนเงินเข้ากองทุนฯ ของ สวทช. โดยคำนวณจากเงินลงทุน/ค่าใช้จ่าย ของยอดขาย 3 ปีแรก (1-3%) จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามมูลค่าโครงการ (Merit-based Incentives) โดยได้ลดหย่อนภาษีเงินได้ 1 เท่า และ ได้รับระยะเวลายกเว้นเงินภาษีเพิ่มเติม (1-3 ปี) สำหรับนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา ที่ให้การสนับสนุนเงินเข้ากองทุนฯ ของ สวทช. จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี 2 เท่า ของยอดเงิน/รายจ่ายที่บริจาคตาม พรฎ. 717 รายละเอียดเพิ่มเติม www.nstda.or.th/tei ฝ่ายบริการทางการเงินเพื่อนวัตกรรม (IFS) งานสนับสนุนการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรมภาคเอกชน (TEI) โทร. 02-5647000 ต่อ 1308 , 1335 E-mail: ifs-tei@nstda.or.th #NSTDA #สวทช. #กองทุน #ลดหย่อนภาษี #วิทยาศาสตร์ #เทคโนโลยี #นวัตกรรม #วิจัย
ปฏิทินกิจกรรม
 
“ดนุช ตันเทอดทิตย์” ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. เยี่ยมชมโครงการไอแทป สวทช.ที่นำเทคโนโลยีพัฒนาห้องบ่มผลไม้ ให้วิสาหกิจผู้ส่งออกมะม่วง จ.ราชบุรี
ที่ อ.บางแพ จ.ราชบุรี - ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และคณะ เข้าเยี่ยมชม วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรีผู้ผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองและมะม่วงอาร์ทูอีทู ที่ได้รับการช่วยเหลือจากกระทรวง อว. โดยโปรแกรม ITAP (ไอแทป) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยการนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาห้องบ่มและการทดสอบประสิทธิภาพการบ่มผลมะม่วงเชิงพาณิชย์ เพื่อลดการใช้ถ่านแก๊สและเอทีฟอน หันมาใช้แก๊สเอทิลีนเพื่อบ่มแทนซึ่งภายหลังการพัฒนาห้องบ่มแก๊สเอทิลีน พบว่า ธุรกิจสามารถลดต้นทุนในการบ่ม 1 รอบการผลิต (8 เดือนต่อปี) มากถึง 536,424 บาท ตลอดจนเกิดเป็นเทคโนโลยี 7 ดี (2 ลด 2 เพิ่ม 3 ดี)ที่สามารถต่อยอดไปใช้ในการบ่มผลไม้ทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ ต่อไป ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า แต่เดิมชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี ใช้การบ่มมะม่วงแบบดั้งเดิมคือ ใช้ถ่านแคลเซียมคาร์ไบด์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้กันมายาวนาน แต่พอมาทำในเชิงพาณิชย์พบว่ามีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น มีของเสียจำนวนมาก เนื่องจากไม่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการบ่มได้ ทำให้ไม่สามารถคุมคุณภาพผลผลิตได้ รวมถึงการบ่มแบบเดิมใช้แรงงานคนจำนวนมาก มีขั้นตอนในการห่อถ่านแคลเซียมคาร์ไบด์และการกรุตะกร้า ซึ่งผู้ประกอบการประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ นอกจากนี้ การบ่มแบบเดิมใช้ก้อนถ่านแคลเซียมคาร์ไบด์ ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นแก็สแคลเซียมคาร์ไบด์ ที่มีความเป็นพิษกับคนงานและไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บางประเทศไม่ยอมรับ ฉะนั้น เมื่อได้รับโจทย์จากผู้ประกอบการคือ คุณราเชนทร์ สุขหวานอารมณ์ ประธานวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จึงได้จัดหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางคือ อ.พีรพงษ์ แสงวนางค์กูล นักวิจัยชำนาญการ ศูนย์เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เข้ามาช่วยเหลือ โดยทาง ITAP เป็นผู้ประสานงานตลอดระยะเวลาโครงการ และได้ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการบางส่วนตามหลักเกณฑ์ ด้าน อ.พีรพงษ์ แสงวนางค์กูล ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ ITAP สวทช. กล่าวถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการ ว่า ในการพัฒนาการบ่มผลไม้ด้วยการใช้เอทิลีน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นฮอร์โมนพืช ได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการบ่มมะม่วง ทำให้ได้ผลการศึกษาความเข้มข้นของแก๊สเอทิลีนที่เหมาะสมต่อการสุกของผลไม้แต่ละชนิด โดยจากการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการบ่ม 1 รอบการผลิต (8 เดือนต่อปี) พบว่า ส่วนต่างค่าใช้จ่ายในการบ่ม 1 รอบการผลิตจากการใช้ก้อนแคลเซียมคาร์ไบด์ มาเป็นห้องบ่มแก๊สเอทิลีน สามารถลดต้นทุนได้มากถึง 536,424 บาท โดยผลกระทบที่ได้จากการโครงการห้องบ่มและเทคนิคการบ่มผลไม้ สามารถจำแนกเป็นประโยชน์ 7 อย่าง หรือเทคโนโลยี 7 ดี (2 ลด 2 เพิ่ม 3 ดี) ได้แก่ ลดต้นทุน ลดการเน่าเสีย เพิ่มคุณภาพและมูลค่าผลผลิต เพิ่มระยะเวลาวางจำหน่าย สะอาดไม่มีสารเคมีตกค้าง: ดีต่อผู้ปฏิบัติงาน ดีต่อผู้บริโภค และดีต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ จะมีการขยายผลงานวิจัยการบ่มด้วยแก๊สเอทิลีนในทุเรียนและผลไม้ต่าง ๆ ต่อไป “ผลที่เกิดขึ้นจากการที่ อว. เข้าไปช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชนในโครงการนี้ ได้ช่วยแก้ไขข้อจำกัดด้านกำลังคน การลดของเสีย และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงช่วยให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว ตลอดจนยกระดับเป็นสินค้าพรีเมียมได้อีกด้วย นับเป็นตัวอย่างโครงการที่ อว. สนับสนุนผู้ประกอบการและเกษตรกรให้เข้มแข็งได้อย่างแท้จริง” ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมกับ 4 พันธมิตร หนุนสร้าง Tech Startup  จัดกิจกรรม “AI Innovation JumpStart Batch3: Pitching Online”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, ศูนย์วิทยาการและวิศวกรรมข้อมูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, และวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดกิจกรรม “AI Innovation JumpStart Batch3: Pitching Online” เวทีของการนำเสนอผลงานโดยไม่มีการแข่งขัน เนื่องจากทั้ง 22 ทีมนี้ได้ผ่านการคัดเลือก และได้รับทุนสนับสนุนจาก สวทช. ทีมละ 100,000 บาท มาแล้วจากผู้เข้าร่วมโครงการกว่า 100 ผลงาน ทั้งนี้เพื่อผลักดันสู่สตาร์ทอัพชั้นนำและเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่การเติบโตของธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งในการนำเสนอครั้งนี้ยังมีรางวัล Popular Vote จำนวน 3 รางวัล ๆ ละ 5,000 บาท และทีมที่ได้รับรางวัลได้แก่ ทีม Easykid Robotic : GREETINGS | REGISTRATION | QUEUE |INFORMATION , ทีม I-mango : AI คัดมะม่วง มะม่วงคุณภาพด้วย AI และ ทีม ThaiHand AI : Automated Monitoring and Control with Robot and AI for Greenhouse ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. กล่าวว่า การนำเสนอผลงานต้นแบบนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ในโครงการ AI Innovation JumpStart นี้เพื่อส่งเสริมการสร้างต้นแบบนวัตกรรมโดยใช้เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด มีผู้ใช้งานจริง และสามารถขยายผลได้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบาย Thailand 4.0 พร้อมกับการพัฒนาบุคลากรทักษะสูงให้มีความรู้ความสามารถในการสร้างต้นแบบนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ตอบโจทย์และสามารถเติบโตไปเป็นธุรกิจได้ในอนาคต ซึ่งโครงการนี้ได้จัดทำติดต่อกันมาเข้าปีที่ 3 พบว่าความสนใจในการพัฒนานวัตกรรมของผู้ประกอบการเทคโนโลยีมีจำนวนมาก และเมื่อโครงการเพิ่มจำนวนทุน ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการมากกว่า 250% โดยมีอัตราการเติบโตและอยู่รอดเพิ่มขึ้น 60-70% มูลค่าการลงทุนและผลกระทบทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งปีแรก (2562) มูลค่า 54 ล้านบาท และในปีนี้ (2564) มีมูลค่า 241 ล้านบาท คิดเป็น มากกว่า 400% ที่โครงการสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ สามารถยกระดับทักษะบุคลากรในด้านระบบอัจฉริยะและหุ่นยนต์ เน้นด้าน AI Engineering & Robotics จำนวน 201 คน ทั้งสิ้น 10 วิชา พร้อมติดตามการประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้รับจากการถ่ายทอดจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมต่อไป ในปีนี้ แม้ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่จากการดำเนินงาน ก็พบว่าไม่ได้เป็นปัญหาหลักในการที่จะส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมอีกทั้งเราสามารถพัฒนาศักยภาพบุคลากรทักษะสูงด้วยระบบออนไลน์ ด้าน ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. กล่าวแสดงความ ชื่นชมในความพยายาม และความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้เข้าร่วมโครงการที่ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ นำประสบการณ์ ความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ เพื่อยกระดับ/ปรับเปลี่ยนความสามารถของผลิตภัณฑ์และบริการ ให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเราจะเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ประเทศชะลอตัว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศของเรากำลังก้าวกระโดดในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้มีศักยภาพ และเป็นไปตามแนวโน้มความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก สร้างนวัตกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูงในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และอุตสาหกรรมอนาคต อีกทั้งยังให้ความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนห่วงโซ่อุปทานให้สามารถใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะนำเสนอต้นแบบนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และระบบอัจฉริยะ โดยเร่งพัฒนาให้เป็น Tech Startup โดยสามารถนำต้นแบบนวัตกรรมดังกล่าวนี้ ไปต่อยอดที่ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการผลิต อีกทั้งเน้นการวิจัยพัฒนาเพื่อนำไปสู่เชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ประกาศการรับสมัครเข้าร่วมโครงการ บริหารจัดการงานวิจัยเพื่อพัฒนาผลงานวิจัยและนักวิจัย ปี 2565
ประกาศการรับสมัครเข้าร่วมโครงการ บริหารจัดการงานวิจัยเพื่อพัฒนาผลงานวิจัยและนักวิจัย ปี 2565 (Leaders in Innovation Fellowships (LIF) Programme 2022)-- ขยายเวลารับสมัครถึง 7 พฤศจิกายน 2564 เวลา 16.00 น. --สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งได้ทำความร่วมมือกับ The Royal Academy of Engineering (RAEng) ประเทศอังกฤษ ในการสนับสนุนการสร้างศักยภาพความเป็นผู้ประกอบการให้กับนักวิจัยของประเทศไทยและสนับสนุนให้ผลงานวิจัยเกิดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ (Commercialisation) รวมถึงการสร้างเครือข่ายของนักวิจัยและผู้ประกอบการ (Technology Entrepreneurs) ในระดับนานาชาติ ทั้ง 4 หน่วยงานร่วมกันสนับสนุนโครงการบริหารจัดการงานวิจัยเพื่อพัฒนาผลงานวิจัยและนักวิจัย (Leaders in Innovation Fellowships (LIF) Programme) โดยทุนนี้จะสนับสนุนให้นักวิจัยและผู้ประกอบการไทยสามารถนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมของตนมาจัดทำแผนธุรกิจ เพื่อผลักดันให้ผลงานวิจัยเกิดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ผ่านการอบรมให้ความรู้โดยผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุน Venture Capitalists ทั้งในประเทศไทยและประเทศอังกฤษ ซึ่งโครงการนี้ได้ดำเนินการสนับสนุนมาปีนี้เป็นปีที่ 8 ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้นักวิจัยและผู้ประกอบการไทยมีความรู้ ความเข้าใจในการผลักดันผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ในรูปแบบต่างๆ  และได้เครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัยและ Technology Entrepreneurs สำหรับในปี 2565 สอวช. สกสว. และ สวทช. กำหนดการรับสมัครนักวิจัยและผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการรายละเอียดโครงการสมัครเข้าร่วมโครงการ  | รายละเอียดประกอบใบสมัครเพิ่มเติม
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญผู้ประกอบการพบกับงานเสวนาระดับโลก “World Business Angel Investors Week 2021”
เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. ในฐานะ WBAF Thailand Country office ขอเชิญผู้ประกอบการพบกับงานเสวนาระดับโลก “World Business Angel Investors Week 2021” โดยประเทศไทยร่วมจัดบรรยายและเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจ พบกับโอกาส ความท้าทายและความสำเร็จของผู้ประกอบการ startup ไทย โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและเอกชนชั้นนำ วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2021 เวลา 17.00-19.20 น. Highlight -การบรรยายหัวข้อ: วาระประเทศไทย พลังสำคัญสู่การขับเคลื่อนผู้ประกอบการเทคโนโลยีเชิงลึกของไทย (Thailand agenda to drive deep tech entrepreneur, a new growth engine of the nation ) โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม -การบรรยายหัวข้อ: ไขกุญแจสู่ความสำเร็จสตาร์ทอัพไทย (Key success to Thailand Startup) โดย คุณจรัสพักตร์ การปลื้มจิตต์ พาร์ทเนอร์กลุ่มธุรกิจของ Flash Express -ร่วมหาคำตอบการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ระบบนิเวศน์สตาร์ทอัพหลังโควิด-19 ได้ใน เสวนาหัวข้อ The change of startup ecosystem landscape after Covid-19 pandemic โดย -คุณปริวรรต วงษ์สำราญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) -คุณศิรพันธ์ ยงวัฒนานันท์ นักวิชาการส่งเสริมการลงทุน ระดับชำนาญการ (BOI) -คุณศรัณย์ สุตันติวรคุณ นายกสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน -คุณภัทรพร โพธิ์สุวรรณ์ นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย -ทำความรู้จักกลุ่มนักลงทุนแองเจิล และบทบาทของ TBAN ในประเทศไทย ได้ในเสวนาหัวข้อ "TBAN and the angel investor roles in the early-stage equity market" โดย -คุณณัฐศักดิ์ โรจนพิเชฐ อุปนายกสมาคม TBAN -คุณสุเมธ ลักษิตานนท์ นายกสมาคม TBAN -นพ. พูนศักดิ์ อาจอำนวยวิภาส อุปนายกสมาคม TBAN ลงทะเบียนร่วมงานฟรี 📝 ลงทะเบียนสำหรับเวทีประเทศไทย 21 ตุลาคม 2021: https://bit.ly/3AoiUps 📝 ลงทะเบียนเพิ่มเติมสำหรับเวทีเสวนาประเทศอื่นๆ 18-24 ตุลาคม 2021: https://www.angelsweek.org/ ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.angelsweek.org/    
ปฏิทินกิจกรรม
 
ผลงานวิจัย เอนอีซ (ENZease) ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ระดับชนะเลิศ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเอนไซม์ ไบโอเทค เข้ารับรางวัล รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ระดับชนะเลิศ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเภทหน่วยงานภาครัฐ ประจำปี 2564 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) จากผลงานวิจัย เอนอีซ (ENZease) เอนไซม์อัจฉริยะเพื่อกระบวนการผลิตสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้สารเคมีและพลังงานสูง ซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะและปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสิ่งทอที่ลดการใช้สารเคมี ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ ‘เทคโนโลยีเอนไซม์’ จึงเป็นที่ต้องการและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ และคณะวิจัย จึงได้มุ่งหน้าคิดค้นเทคโนโลยีเอนไซม์จากเชื้อจุลินทรีย์ผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเอนไซม์ที่มี ศักยภาพสูง และนำไปสู่การพัฒนาเอนไซม์สัญชาติไทยที่สามารถนำไปใช้ทดแทนการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตผ้าฝ้ายในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้ เกิดเป็นผลงานวิจัย เอนอีซ (ENZease) เอนไซม์อัจฉริยะทูอินวันสำหรับกระบวนการผลิตสิ่งทอที่สามารถลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกได้พร้อมกันในขั้นตอนเดียว ซึ่งสูตรเอนไซม์ที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถทดแทนการใช้สารเคมีได้ โดยใช้ปริมาณน้ำ เวลา และอุณหภูมิ น้อยกว่ากระบวนการผลิตผ้าแบบเดิมถึง 2 เท่า ช่วยลดต้นทุนการผลิตผ้าฝ้ายให้น้อยลง อีกทั้งผ้าฝ้ายที่ได้ยังมีคุณภาพดีกว่าทั้งด้านความแข็งแรง การย้อมติดสี สามารถนำเข้าสู่กระบวนการย้อมสีและพิมพ์ลายเพื่อนำไปตัดเย็บเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเอนอีซที่คิดค้นได้โดยทีมวิจัยนี้ยังสามารถเข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพของผ้าไทยทั้งในระดับอุตสาหกรรมและสิ่งทอพื้นเมืองและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงบวกทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสังคม เศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน โดยเฉพาะประชาชนชาวไทย อย่างมหาศาลต่อไปในอนาคต เอนอีซ (ENZease) พัฒนาโดยคณะวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีเอนไซม์ ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวกระบวนการอุตสาหกรรม ไบโอเทค ทีมวิจัยสิ่งทอจาก เอ็มเทค และโรงงานสิ่งทอธนไพศาล เพื่อใช้ในการเตรียมผ้าฝ้ายแบบขั้นตอนเดียวซึ่งช่วยลดขั้นตอน ระยะเวลา น้ำ และพลังงาน ของกระบวนการเคมีลงได้สูงสุด 50% และสามารถใช้แทนสารเคมีโดยใช้เครื่องจักรเดิม ทำให้กระบวนการทางสิ่งทอเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน เอนไซม์นี้ได้ถูกผลิตเชิงพาณิชย์แล้วโดยบริษัท Asia Star Trade และประสบความสำเร็จในการนำไปใช้ในโรงงานสิ่งทอและสิ่งทอพื้นเมือง “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ” (National Innovation Awards) จัดประกวดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) นับตั้งแต่ปี 2548 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ถือเป็นรางวัลนวัตกรรมทรงเกียรติสูงสุดของประเทศไทย ที่จัดขึ้นเพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติแก่คนไทยที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีความโดดเด่นและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างชัดเจนเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในศักยภาพของคนไทยและเผยแพร่ต้นแบบการพัฒนานวัตกรรมด้านต่างๆ สู่สาธารณะชนในวงกว้าง รวมถึงกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวด้านนวัตกรรมในทุกภาคส่วนของสังคม เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นชาติแห่งนวัตกรรม การจัดประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ แบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านเศรษฐกิจ 2.ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม 3.ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ 4.ด้านสื่อและการสื่อสาร 5.ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น โดยกำหนดจัดพิธีมอบรางวัลทรงเกียรตินี้ขึ้นในวันนวัตกรรมแห่งชาติ (5 ตุลาคม) ของทุกปี
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รพ.สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการต้นแบบ ‘บูรณาการ’ สู่การถอดบทเรียนรับมือวิกฤติโควิด-19
วิกฤตการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทยได้ทวีความรุนแรงอย่างมาก อันเนื่องมาจากจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 กลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตาซึ่งแพร่กระจายเชื้ออย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มไม่เว้นแม้แต่คนพิการ ไม่ว่าจะเป็นคนพิการทางการเห็น พิการทางการได้ยิน พิการทางการเคลื่อนไหว/ร่างกาย และพิการทางสติปัญญา ซึ่งยากต่อการเผชิญหน้ากับโรคระบาดนี้ได้เพียงลำพัง สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ผสานกำลังนำจุดแข็งที่เป็นความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานทั้งองค์ความรู้ทางการแพทย์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดูแลคนพิการ รวมถึงการรับมือโรคโควิด-19 ประกอบกับความเป็นมืออาชีพในการสนับสนุนสวัสดิการและการช่วยเหลือคนพิการมาใช้เป็นฐานทุนในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 เพื่อให้บริการคนพิการที่ป่วยโรคโควิด-19 (กลุ่มสีเขียว) ได้พักฟื้นรักษาตัว กระทั่งวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา โรงพยาบาลสนามบ้านวิทย์ฯ ได้ส่งผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 3 รายสุดท้ายกลับบ้านอย่างปลอดภัย ประกอบกับสถานการณ์การระบาดที่เริ่มคลี่คลายลง ทำให้โรงพยาบาลสนามบ้านวิทย์ฯ ได้ยุติการดำเนินงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 กันยายน ทั้งนี้ผลลัพธ์จากการดำเนินงานอย่างแข็งขันของบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนตลอดระยะเวลา 120 วัน และเกือบตลอด 24 ชั่วโมงของทุกวัน ไม่ได้เพียงช่วยให้คนพิการที่ป่วยโควิด-19 ได้รับการรักษาและหายป่วยกลับบ้านอย่างปลอดภัย ทว่าทุกบทบาทและปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลสนามบ้านวิทย์ฯ แห่งนี้ ยังกลายเป็นบทเรียนหน้าใหม่ให้แก่ทีมสหวิชาชีพทุกหน่วยงาน อันจะนำไปสู่การสร้างต้นแบบโรงพยาบาลสนามเพื่อดูแลคนพิการในยามเผชิญโรคระบาดของโรคอุบัติใหม่ในอนาคต ‘สวัสดิภาพ’ เพื่อคนพิการในทุกสถานการณ์ชีวิต นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวถึงบทบาทของ พก. ในสถานการณ์วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ว่า ด้วยภารกิจหลักคือการผลักดันนโยบายด้านคุณภาพชีวิตคนพิการไปสู่การปฏิบัติ ทั้งสิทธิสวัสดิการ การคุ้มครองและการช่วยเหลือเกือบทุกด้าน แต่ด้วยโควิด-19 เป็นสถานการณ์ของโรคระบาดใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น พก. จึงตั้ง ‘ทีมเรามีเรา’ ขึ้นมาเฉพาะกิจ ซึ่งประกอบด้วยนักสังคมสงเคราะห์ นักพัฒนาสังคมที่ทำหน้าที่เชิงรุกในการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ในการคุ้มครองดูแล เนื่องจากการรับมือกับโรคโควิด-19 จะต้องมีการดูแลร่วมกับทั้งด้านการแพทย์ ด้านสวัสดิการและสิ่งอำนวยสะดวกสำหรับคนพิการควบคู่กันไป “การบูรณาการร่วมกันของทั้ง 3 หน่วยงาน ทำให้ช่วยแบ่งเบาภาระในการทำงาน ตัวอย่างกรณีคนพิการที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 ทาง พก. พบว่ามีคุณพ่อติดโควิด-19 แต่ลูกซึ่งเป็นผู้พิการทางสายตายังไม่พบเชื้อ และต้องอยู่บ้านคนเดียว เพราะคุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว ต่อมาน้องคนดังกล่าวได้ตรวจพบเชื้อ ทาง พก.ประสานงานร่วมกับทีมแพทย์สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูฯ เพื่อประสานให้น้องได้มารักษาที่โรงพยาบาลสนามบ้านวิทย์ฯ อีกทั้งทีมแพทย์ยังประสานนำคุณพ่อมารักษาต่อที่โรงพยาบาลสนามบ้านวิทย์ฯ ทำให้ผู้พิการทางสายตาได้รู้สึกอบอุ่นทางใจที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่คุ้นเคย ที่สำคัญพื้นที่นี้ยังมีนวัตกรรมช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการทุกประเภท ทั้งอุปกรณ์ลดความเสี่ยงในการสัมผัสเพื่อเลี่ยงการติดเชื้อ และเครื่องมือสื่อสารที่เหมาะสมอย่างครบถ้วน ซึ่งการมีโรงพยาบาลสนามบ้านวิทย์ฯ ตอบโจทย์ทั้งการบริการคนพิการและทำให้ระบบสาธารณสุขประหยัดทรัพยากรได้มาก” นางสาวสราญภัทร กล่าว อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรงพยาบาลสนามบ้านวิทย์ฯ จะหยุดดำเนินการในเดือนกันยายนนี้ แต่ ‘ทีมเรามีเรา’ของ พก. ยังคงเดินหน้าภารกิจช่วยเหลือคนพิการในสถานการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังมีโรงพยาบาลสนามราชานุกูล ซึ่งดูแลเฉพาะสำหรับกลุ่มคนพิการออทิสติกด้านสติปัญญาและการเรียนรู้ รวมถึงคนในครอบครัว นอกจากยังนี้ยังมีระบบกักแยกผู้ป่วยในชุมชน (Community Isolation) ของกลุ่มคนพิการทางเห็น ซึ่งสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยและโรงเรียนสอนคนตาบอดยังเปิดรับคนตาบอดและครอบครัวที่ป่วยโรคโควิด-19 บริหารจัดการโดยโรงพยาบาลรามาธิบดี ‘นวัตรรมวิจัย’ สู้โควิด-19 สู่ความมั่นคงด้านการแพทย์ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า เดิมบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ฝึกทักษะและพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่ง สวทช. ให้บริการสำหรับเด็กและเยาวชนผู้มีความสนใจและมีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทว่าเมื่อเกิดการระบาดโควิด-19 อย่างต่อเนื่องและมีผู้ป่วยจำนวนมาก การเปลี่ยนพื้นที่เป็นโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ จึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมกับคนพิการให้ได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกระหว่างพักรักษาตัว ทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถใช้ศักยภาพของพื้นที่และนวัตกรรมวิจัยต่างๆ ในภารกิจช่วยเหลือชีวิตคนพิการอย่างมีประสิทธิผล เพื่อให้คนพิการเหล่านี้ได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ในระบบสาธารณสุขอย่างทั่วถึง “เราปรับปรุงพื้นที่เพิ่มเติมตามที่บุคลากรทางการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแนะนำ ตั้งแต่ทางเดิน ห้องน้ำ ระบบบริการล่ามทางไกลสำหรับผู้พิการทางการได้ยิน ซึ่งเป็นบริการล่ามภาษามือทางไกลที่ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำโรงพยาบาลสนามบ้านวิทย์ฯ (คนหูปกติ) สามารถสื่อสารกับคนพิการทางการได้ยิน ผ่านอุปกรณ์สื่อสารที่จัดเตรียมไว้ที่โรงพยาบาลสนาม รวมทั้งมีผลงานวิจัยซึ่งพัฒนาโดยทีมวิจัย สวทช. เช่น เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลแบบเคลื่อนที่ได้ (BodiiRay M) อุปกรณ์ป้องกันและฆ่าเชื้อโรค เช่น หน้ากากอนามัย Safie Plus และ หน้ากาก N95 n-Breeze เครื่องกำจัดเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี (Girm Zaber UV-C Sterilizer) แบบ Robot และแบบ Station  รถส่งของบังคับทางไกล ‘อารี’ และหุ่นยนต์ส่งของ ‘ปิ่นโต2’ (กรมวิทยาศาสตร์บริการ เข้ามาร่วมสนับสนุน) หมวกแรงดันลบและแรงดันบวก nSPHERE เปลแรงดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย PETE เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน นอกจากนั้นแล้ว สวทช. ยังได้นำซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า ระบบติดตามสุขภาพผู้ป่วยทางไกล สำหรับโรงพยาบาลสนาม (A-MED Telehealth) เพื่อให้เกิดการสื่อสารสองทางระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ในโรงพยาบาลสนามและแพลตฟอร์มดังกล่าวใช้งานได้ดี จึงนำไปบริหารจัดการข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นถึงการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของคนไทยเข้าไปช่วยดูแลผู้ป่วยและช่วยอำนวยความสะดวกกับบุคลากรทางการแพทย์อย่างสมบูรณ์ วิกฤติโควิด-19 สวทช. ได้นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้รับมืออย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ยังพัฒนาสารตั้งต้นในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้รักษาโควิด-19 และยังมีวัคซีนอีก 2 ชนิดที่กำลังอยู่ในเฟสการเตรียมการทดลองในมนุษย์ ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นการวางแผน การสั่งสมองค์ความรู้ความสามารถเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ดังเช่น การระบาดของโควิด-19” ดร.ณรงค์ กล่าวด้วยว่า วิกฤติโควิด-19 พิสูจน์ให้เห็นว่าองค์ความรู้เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญมาก วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจึงเป็นการมองอนาคต ทั้งการเตรียมความพร้อม องค์ความรู้และการเข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ รวมถึงความพร้อมด้านเครือข่ายการวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นอาวุธลับสำคัญที่ทำให้เราสามารถติดตามพัฒนาการต่างๆ ของโรคระบาด อุปกรณ์ป้องกันโรค รวมทั้งยาและวัคซีนได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะทำให้เราเกิดความมั่นคงด้านการแพทย์และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  ต้นแบบโรงพยาบาลสนามฯ สู่องค์ความรู้รับมือโรคระบาด ด้าน พญ.บุษกร โลหารชุน รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ กล่าวยอมรับว่า การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่มีผลกระทบต่อคนพิการและครอบครัว ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤติก็จะเกิดความตระหนกมากขึ้น และทีมสหวิชาชีพของสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูฯ ตระหนักถึงประเด็นปัญหานี้ว่าจะทำอย่างไรให้คนพิการและครอบครัวเข้าถึงบริการและได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยได้มาตรฐาน “หากพูดถึงสเกลการทำงานสำหรับบุคลากรทางการแพทย์แล้วอาจไม่มากนัก แต่สิ่งที่บุคลากรทางการแพทย์ และทีมสหวิชาชีพได้นั้นคือองค์ความรู้ในการรับมือกับวิกฤติอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งภาพรวมตลอด 4 เดือนสิ่งที่ทำอาจจะไม่ได้หนักมาก แต่สิ่งที่ได้มากกว่าคือเราได้ถอดองค์ความรู้ทั้งหมด และพร้อมที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังหน่วยงานต่างๆ หากเกิดโรคระบาดเช่นนี้อีกในอนาคต เพื่อให้คนพิการที่กระจายอยู่ทั่วประเทศได้มีโอกาสเข้าถึงการดูแลและรักษา เพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงทางด้านสวัสดิการสังคมและสุขภาพของตนเอง” พญ.บุษกร กล่าวต่อว่า จากการได้ดำเนินการโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ซึ่งถือเป็นแห่งแรกในประเทศไทยและแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจัยความสำเร็จครั้งนี้ คือความร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐทั้ง 3 หน่วยงาน ขณะเดียวกันก็มีภาคประชาสังคมจิตอาสาที่เข้มแข็งมาช่วยสนับสนุนทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ภาครัฐไม่สามารถหาได้ในเวลาอันจำกัด นอกจากนั้นแล้วยังมีองค์กรคนพิการทุกประเภทที่มีความเข้มแข็งและพยายามรวมตัวกัน เพื่อเป็นจุดสำคัญในการรับข้อร้องทุกข์ซึ่งถือเป็นตัวแทนสำคัญมากๆ ที่ทำให้คนพิการที่ด้อยโอกาสได้เข้าถึงบริการสุขภาพ “หากเกิดวิกฤติอีกในระลอกหน้า เราสามารถนำเอาองค์ความรู้ ความร่วมมือและปัจจัยความสำเร็จต่างๆ ก้าวข้ามวิกฤติไปได้ เพราะว่าทุกอย่างนั้นบางครั้งหากเรากลัวจนเกินไป เราจะมองไม่เห็นทางออก แต่โรงพยาบาลสนามบ้านวิทย์ฯ เราพิสูจน์มาแล้วว่า เมื่อเรามั่นใจในประสิทธิภาพและพลังของความร่วมมือจะนำพาให้เราประสบความสำเร็จ แล้วจะทำให้สิ่งที่เราวิตกหรือหวาดกลัวนั้นสิ้นสุดลงได้ เป็นการสร้างพลังรวมให้เกิดเป็นพลังหมู่และก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ในที่สุด” ทั้งนี้โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ เปิดดำเนินการตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2564 และปิดการดำเนินการในวันที่ 30 กันยายน โดยตลอด 4 เดือน มีคนพิการติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวเข้ารับการรักษาจำนวนทั้งสิ้น 650 คน ได้รับการรักษาหายป่วยกลับบ้าน 590 คน และส่งต่อไปรักษากับโรงพยาบาลขนาดใหญ่อีก 60 คน อย่างไรก็ตามคนพิการที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ ยังสามารถติดต่อผ่านช่องทางต่างๆ ในการเข้ารับบริการได้ในสถานที่ปกติของหน่วยงานรัฐ ผ่านบริการศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 สายด่วน สปสช. 1330 สายด่วนคนพิการ 1479 เพื่อแจ้งว่าเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยรายใหม่และสามารถขอรับการตรวจยืนยันได้ในโรงพยาบาลใกล้บ้าน หากอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลสามารถติดต่อสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งยังให้บริการตรวจ RT-PCR และบริการการกักตัวที่บ้าน Home Isolation โดยทีมแพทย์และสหวิชาชีพเพื่อสร้างความมั่นใจแก่คนพิการในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเป็นขวัญกำลังใจบุคลากร รพ.สนามบ้านวิทย์ฯ พญ.บุษกร เปิดเผยด้วยว่า โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ซึ่งเป็นต้นแบบในการบูรณาการของหน่วยงานต่างๆ ที่เกิดขึ้นจนสามารถสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพแก่คนพิการได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี “โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานในทุกกลุ่ม นอกจากนี้ทรงพระราชทานกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มความสามารแก่บุคลากร พระองค์ท่านได้เห็นถึงความตั้งใจของทีมทำงาน ทรงทราบถึงความทุกข์ยากของพสกนิกร และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พระราชทานอาหาร รวมถึงมีทรงติดตามถามความคืบหน้าของการดำเนินการ ซึ่งทางสถาบันฯ ได้ถวายรายงานให้ทรงทราบเป็นระยะว่าปัจจุบันดำเนินการอย่างไร มีคนพิการกี่ราย ครอบครัวกี่รายที่ได้รับความช่วยเหลือ นำมาซึ่งความปลื้มปิติและเป็นขวัญกำลังใจแก่ทีมงานได้ปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วงด้วยความเรียบร้อยสมบูรณ์” พญ.บุษกร กล่าวทิ้งท้าย
บทความ
 
ถอดบทเรียน โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ต้นแบบการดูแลคนพิการในสถานการณ์โควิด-19
วิกฤตการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทยได้ทวีความรุนแรงอย่างมาก อันเนื่องมาจากจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 กลายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตาซึ่งแพร่กระจายเชื้ออย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มไม่เว้นแม้แต่คนพิการ ไม่ว่าจะเป็นคนพิการทางการเห็น พิการทางการได้ยิน พิการทางการเคลื่อนไหว/ร่างกาย และพิการทางสติปัญญา ซึ่งยากต่อการเผชิญหน้ากับโรคระบาดนี้ได้เพียงลำพัง เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงการรักษาและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนพิการ รวมถึงช่วยหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย จึงเกิดการตั้ง “โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ” ภายใต้ความร่วมมือของ 3 กระทรวง โดย 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข โดย สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทั้งนี้โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ เปิดดำเนินการตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2564 และปิดการดำเนินการในวันที่ 30 กันยายน 2564 โดยตลอด 4 เดือน มีคนพิการติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวเข้ารับการรักษาจำนวนทั้งสิ้น 650 คน ได้รับการรักษาหายป่วยกลับบ้าน 590 คน และส่งต่อไปรักษากับโรงพยาบาลขนาดใหญ่อีก 60 คน อย่างไรก็ตามคนพิการที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ ยังสามารถติดต่อผ่านช่องทางต่างๆ ในการเข้ารับบริการได้ในสถานที่ปกติของหน่วยงานรัฐ ผ่านบริการศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 สายด่วน สปสช. 1330 สายด่วนคนพิการ 1479 เพื่อการเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รัฐมนตรี อว.ปลื้ม! ไทยผงาดบนเวทีโลกยูเอ็น เลือกเป็นคณะกรรมการ Life Cycle Initiative เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเตรียมชูนโยบาย BCG สู่สากล
7 ตุลาคม 2564 ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า กระทรวง อว. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (สทสย.) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ได้รับการประกาศจากองค์การสหประชาชาติ United Nations (UN) เลือกให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 3 ของคณะกรรมการที่มาจากหน่วยงานภาครัฐ ร่วมกับ คณะกรรมาธิการยุโรป และ สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย และเป็นประเทศแรกของเอเชียที่ได้รับการคัดเลือก ตั้งแต่กลุ่มสมาชิก UN มีการจัดตั้งคณะกรรมการ Life Cycle Initiative (ริเริ่มในปี พ.ศ. 2560) โดย สวทช. ในฐานะที่เป็นตัวแทนประเทศไทยมีความพร้อมที่จะปฏิบัติงานตามภารกิจของคณะกรรมการฯ นี้ อาทิ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเพื่อริเริ่มโครงการใหม่ๆ การจัดสรรทรัพยากร การรับรองโครงการเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ การสร้างความเข้าใจแก่ภาครัฐและเอกชนเพื่อการใช้แนวคิดและกลยุทธ์ของ Life Cycle ให้สามารถนำไปสู่กระบวนการตัดสินใจในมิติต่างๆ รวมทั้ง สนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระดับนานาชาติ ทั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แสดงศักยภาพ และผลงานด้านความยั่งยืนในมิติต่างๆ ของไทยสู่ระดับสากล รวมถึงการได้ร่วมพิจารณานโยบายที่สำคัญระดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังเกิดเครือข่ายและพัฒนาคุณภาพงานวิชาการ และเป็นเวทีที่จะนำนโยบายและผลงานทางด้าน BCG Economy Model ของรัฐบาลไป สู่ระดับสากล “รู้สึกยินดีและภาคภูมิใจที่กลุ่มสมาชิก UN ได้พิจารณาและคัดเลือกให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ Life Cycle Initiative เป็นครั้งแรก และได้รับการเลือกตั้งเป็น 1 ใน 3 คณะกรรมการของหน่วยงานภาครัฐร่วมกับทางคณะกรรมาธิการยุโรป และ สหรัฐอเมริกา” ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า หลังจากนี้จะมีการประชุมในคณะกรรมการฯ ทางช่องทางออนไลน์ต่อไป ซึ่งการเป็นคณะกรรมการฯ ดังกล่าวจะอยู่ในวาระ 3 ปี โดย สวทช. จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิชาการในการรับทราบข้อมูลและมาตรการต่างๆ ในเวทีโลก โดยเฉพาะมิติการสร้างขีดความสามารถด้านการแข่งขันของไทยในเวทีโลก นอกจากนั้นแล้ว ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา สวทช. ได้ยกระดับคุณภาพข้อมูลสินค้าและบริการของไทย อาทิ สินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ให้ที่มีความน่าเชื่อถือมาโดยตลอด โดยข้อมูลเหล่านี้มีการรวบรวมจัดเก็บจากหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะสามารถนำไปใช้ส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย สวทช. เป็นศูนย์กลางด้านข้อมูล Life Cycle เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย อย่างไรก็ตามประเด็นเรื่องเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) ตามที่องค์การสหประชาชาติ ดำเนินการแก้ปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ เช่น ความยากจน ความไม่เท่าเทียม สภาวะโลกร้อน และสันติสุข เพื่อเสริมแนวคิด “ไม่เป็นการทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ถือว่าสอดคล้องกับแนวนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bioeconomy-เศรษฐกิจชีวภาพ Circular economy-เศรษฐกิจหมุนเวียน และ Green economy-เศรษฐกิจสีเขียว) ที่รัฐบาลไทยประกาศเป็นวาระแห่งชาติ (พ.ศ. 2564-2570) ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะได้สื่อสารโมเดลเศรษฐกิจ BCG ให้เวทีนานาชาติได้รับทราบต่อไป
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เนคเทค/ สวทช. ส่งผลงาน Traffy Fondue คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2564
อีกหนึ่งความภาคภูมิใจบนเส้นทางความสำเร็จของผลงาน “Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง” สามารถคว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเภทหน่วยงานของรัฐ ประจำปี 2564 5 ตุลาคม 2564 : ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วมในพิธีประกาศผล และมอบรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2564 จัดขึ้นโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ในรูปแบบเสมือน (Virtual Event) ซึ่งในปีนี้ ผลงาน “Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง” ทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ (ITS) เนคเทค/ สวทช. นำโดย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัย ITS ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเภทหน่วยงานของรัฐ ประจำปี 2564 โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล เนื่องในโอกาสวันที่ 5 ตุลาคม ของทุกปีเป็น "วันนวัตกรรมแห่งชาติ" สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกับองค์กรภาคเอกชนชั้นนำ ภาคสถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคม ได้จัดงานวันนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็น "พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย" และจัดให้มีการประกาศเกียรติคุณองค์กรที่สร้างสรรค์ผลงานที่มีความเป็นนวัตกรรมโดดเด่น และเกิดคุณค่าที่ชัดเจนต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ การจัดประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านเศรษฐกิจ 2.ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม 3.ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ 4.ด้านสื่อและการสื่อสาร และ 5.ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น โดยรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นรางวัลที่มอบให้แก่ผลงานนวัตกรรมในรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ กระบวนการใหม่ การบริการใหม่ หรือรูปแบบธุรกิจใหม่ ที่มีคุณค่าเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม และเกิดประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ผลงาน Traffy Fondue : แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง ที่มีแอปพลิเคชั่นสำหรับการแจ้งปัญหา หรือข้อเสนอแนะจากผู้แจ้งในพื้นที่ ที่ได้จัดทำขึ้นสำหรับสื่อสารเรื่องปัญหาของเมือง ระหว่างประชาชนและหน่วยงานที่รับผิดชอบ พร้อมทั้งระบบสนับสนุนที่ช่วยบริหารจัดการ ติดตามสถานะการดำเนินการแกัไขปัญหาของหน่วยงานที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประชาชนสามารถแจ้งปัญหาที่พบ เช่น ปัญหาความสะอาด, ปัญหาทางเท้า, สาธารณภัย, สิ่งอำนวยความสะดวกของผู้พิการ ฯลฯ หน่วยงานจะได้รับแจ้งรายงานปัญหาที่มีข้อมูลเพียงพอต่อการดำเนินการ เช่น ภาพถ่าย, ตำแหน่งบนแผนที่ และสามารถรายงานข้อมูลสถานะการแก้ไขปัญหาแก่ประชาชน เช่น ผ่าน Line Application จึงถือเป็นช่องทางใหม่ ในการรับแจ้งปัญหาเมืองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว นอกจากนี้ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลายหน่วยงาน เช่น หน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย, หน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้นำ Traffy Fondue ไปใช้เป็นแอปพลิเคชั่นสำหรับรับแจ้งเหตุพบผู้เสี่ยงติดเชื้อเข้าพื้นที่ และการขอความช่วยเหลือต่าง ๆ อีกด้วย สถิติการใช้งาน Traffy Fondue ในปัจจุบัน ได้แก่ มีผู้ใช้งานในระบบ 36,238 คน เรื่องรับแจ้งในระบบ 14,033 เรื่อง สามารถแก้ปัญหาเร็วขึ้น (เฉลี่ย) 6.2 ชั่วโมง ต่อเรื่อง ลดเวลา (เฉลี่ย) 65 นาทีต่อการแจ้ง ลดค่าใช้จ่ายของหน่วยงาน (ในภาพรวม) 42.45 ล้านบาท ความพึงพอใจของประชาชน พึงพอใจมาก 89% หน่วยงานใช้บริหารการจัดการแก้ไขปัญหา 1,772 แห่ง อาทิ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 96 หน่วยงาน, เทศบาล 357 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 350 แห่ง, อาคาร 232 แห่ง, นิคม 12 แห่ง ฯลฯ สามารถติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหว และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.traffy.in.th  
ข่าวประชาสัมพันธ์