หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
BCG สาขาเกษตร เดินหน้าพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวบนฐานวัฒนธรรมข้าวเหนียว ชู “NAGA Belt Road” เป็น Quick Win ของ BCG สาขาเกษตร
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/naga-belt-road-develops-tourism-based-on-glutinous-rice-culture.html BCG สาขาเกษตร ผลักดันการดำเนินงานร่วมกันระหว่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เกษตรอินโน จำกัด และหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าโครงการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง (BCG-NAGA Belt Road (บีซีจี นาคาเบลต์โรด)) โดยลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการออกแบบโมเดลเส้นทางการท่องเที่ยวบนฐานวัฒนธรรมข้าวเหนียวจังหวัดอุดรธานี หนึ่งในจังหวัดนำร่อง ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรม ได้แก่ 1) วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเกษตรเชิงนิเวศอ่างน้ำพาน และ 2) วิสาหกิจชุมชนโฮม สเตย์เชิงอนุรักษ์บ้านเชียงแหว ที่ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและพัฒนาตลาดวัฒนธรรมข้าวเหนียวสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี และสร้างกลไกการทำงานอย่างมีส่วนร่วมในพื้นที่แบบ 4 P (ภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และสถาบันการศึกษาในพื้นที่) ได้อย่างแท้จริง ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และเลขานุการคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษกิจ BCG สาขาเกษตร เปิดเผยว่า สวทช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินโครงการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง (BCG-NAGA Belt Road) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวบนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG นำร่องในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง เชียงราย อุดรธานี และนครพนม ผ่านการดำเนินงานภายใต้ 4 แผนงานหลัก คือ 1) มุ่งพัฒนาทักษะเกษตรกรและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม 2) มุ่งยกระดับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวเหนียวและเพิ่มมูลค่าจากวัสดุเหลือทิ้ง 3) มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว และ 4) มุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับการผลิตและรายได้ โดยล่าสุดคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษกิจ BCG สาขาเกษตร นำโดย น.สพ.ยุคล ลิ้มแหลมทอง ประธานคณะอนุกรรมการฯ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค และคณะ ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าในแผนงานที่ 3 ซึ่ง ดร.อรรจนา ด้วงแพง มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และ ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ทำการศึกษาทรัพยากรในชุมชนและจัดทำคลังความรู้ชุมชนในด้านวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับข้าวเหนียว จนเกิดเป็นเส้นทางท่องเที่ยงบนฐานวัฒนธรรมข้าวเหนียวในพื้นที่อุดรธานี โมเดลเส้นทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ประกอบด้วย ทะเลบัวแดง-วัดหายโศก-วัดสุวรรณนารี-คำชะโนด-อ่างน้ำพานอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท-วัดป่าบ่องึม-อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง-ภูฝอยลม-สะพานหินท่าลี่ ภายใต้เส้นทางวัฒนธรรมดังกล่าว ได้มีการพัฒนาหมู่บ้านแห่งการท่องเที่ยวด้วยวัฒนธรรมข้าวเหนียว 2 แห่ง ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเกษตรเชิงนิเวศอ่างน้ำพาน ตำบลเชียงดา อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี โดยกลุ่มฯ มุ่งส่งเสริมให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวด้วยวัฒนธรรมข้าวเหนียว ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบแพสเตย์ (Eco-tourism) และการพัฒนาตลาดวัฒนธรรมข้าวเหนียว เช่น ล่องแพชมธรรมชาติอ่างน้ำพาน (ท่าแพบ้านแมด) ชมควายทามบนเกาะป่าทาม เป็นต้น รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสาน โดยได้ปรับปรุงสถานที่ติดตั้งต้นแบบ ระบบโซล่าเซลล์ในแพ เพื่อบริการนักท่องเที่ยวในการชาร์จแบตมือถือ พัดลม เครื่องเสียง และทำอาหาร ตลอดจนเป็นชุมชนคาร์บอนต่ำที่มีการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับข้าวเหนียวครบวงจร เป็นชุมชนผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว (พันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคา พันธุ์ข้าวเหนียว กข6 ฯลฯ) และมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวเหนียวอย่างหลากหลาย พัฒนาและรองรับสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป และอีกแห่งหนึ่งคือที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนโฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์บ้านเชียงแหว ตำบลเชียงแหว อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ตั้งอยู่ใกล้บึงหนองหาน แหล่งน้ำจืดธรรมชาติขนาดใหญ่ ช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ดอกบัวแดงจะเบ่งบานเต็มผืนน้ำของหนองหาน จึงเป็นที่มาของ “ทะเลบัวแดง” โดยแหล่งท่องเที่ยวนี้มีทั้งที่พัก ร้านอาหาร และร้านของฝากที่ระลึก รองรับนักท่องเที่ยวที่มาชมทะเลบัวแดง สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามตำนาน รวมถึงยังเป็นชุมชนผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว มีแปลงทดลองผลิตเมล็ดพันธุ์คัดต่าง ๆ และการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวเหนียวอย่างหลากหลาย สำหรับรองรับและพัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เส้นทางการท่องเที่ยวบนฐานวัฒนธรรมข้าวเหนียวที่ได้พัฒนาให้เป็นหมู่บ้านการท่องเที่ยวข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่โครงการ BCG-NAGA Belt Road ได้ดำเนินการนำร่องในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะมีการขยายผลเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและพัฒนาตลาดวัฒนธรรมข้าวเหนียวให้สามารถยกระดับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวให้สร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตลอดห่วงโซ่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ สพฐ. เสริมสร้างศักยภาพครูพื้นที่ EEC ให้มีความเข้มแข็ง ในศาสตร์ด้านการแพทย์และสุขภาพ ที่สอดคล้องนโยบาย BCG ต่อยอดในชั้นเรียน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับ สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา ร่วมจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรการแพทย์และสุขภาพ ระหว่างวันที่ 8 - 10 พฤษภาคม 2566 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม zoom หลักสูตรออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจ BCG โดยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมยกระดับความสามารถในการแข่งขันกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC ตามบริบทของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพ “คุณครู” ผู้ถ่ายทอดความรู้ โดยนำเนื้อหาความรู้พื้นฐานวิชาวิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมาเชื่อมโยงสู่ “วิทยาศาสตร์สุขภาพ การแพทย์ การแพทย์จีโนมิกส์ (Genomic Medicine) หรือ การแพทย์แม่นยำ และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ” ผ่านสื่อการเรียนรู้และกิจกรรมที่หลากหลาย นำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสู่โครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ต่อไป ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมอบรมเป็นครูในระดับมัธยมศึกษา ในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 80 โรงเรียน จำนวน 160 คน โดยได้รับเกียรติจาก ดร. ภูธร จันทะหงษ์ ปุญยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา  ขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวเปิดการอบรม พร้อมด้วยนายไพฑูรย์ จารุสาร ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และนางฤทัย จงสฤษดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ร่วมกล่าวต้อนรับ เริ่มการอบรมเชิงปฏิบัติการด้วยกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เสริมพลังเชื่อมโยงสู่ศาสตร์การเรียนการสอน โดย ดร.กมลรัตน์ ฉิมพาลี ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนถนนหักพิทยาคม และการบรรยายหัวข้อ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพ ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG  ส่วนสำคัญของการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การพัฒนาด้านการแพทย์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี  โดย  ภญ. ดร.กนกวรรณ ศันสนะพงษ์ปรีชา นักวิจัย ทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช.  ได้ยกตัวอย่างผลงานวิจัย อิมัลเจลที่มีส่วนประกอบของอนุภาคนาโนอิมัลชันบรรจุสารสกัดจากเหง้าขิงและอนุภาคนาโนทองคำ เพื่อยับยั้งการอักเสบและสมานแผล   ที่สามารถต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้  โดยใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม ผลักดันเพิ่มคุณค่าสมุนไพร พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ชุมชน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งหลักการอิมัลชันดังกล่าวผู้เข้าอบรมจะได้ทำการทดลองในวันสุดท้ายของการอบรม ต่อด้วยการบรรยาย จาก ร.ต.ท.หญิง แพทย์หญิง อติพร เทอดโยธิน หัวข้อ เส้นทาง การแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ สู่การเป็นแพทย์ และอาจารย์แพทย์ และ กิจกรรมเรียนรู้ระบบร่างกาย และภูมิคุ้มกันสร้างสุข สุขภาพดี อย่างยั่งยืน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของวิชาชีววิทยาและวิทยาศาสตร์สุขภาพ และการแพทย์ เนื้อหาเชื่อมโยงสาระสำคัญที่เกี่ยวกับกระบวนการสรีรวิทยาของระบบหมุนเวียนโลหิตและระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ รวมถึงการประยุกต์ใช้ความรู้ด้านพันธุศาสตร์กับงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ หลอดเลือด องค์ประกอบของเลือด หมู่เลือด โรคทางพันธุกรรมผ่านกิจกรรม สื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ชุด เชอร์ล็อก โฮมส์ กับคดีปริศนา ประยุกต์เข้ากับการแพทย์และนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อทำการไขคดีปริศนา ซึ่งเนื้อหาสามารถนำไปเสริมการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนให้น่าสนใจและเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี วันที่ 2 ของการอบรมเริ่มด้วยการบรรยายพิเศษ “การแพทย์จีโนมิกส์ โฉมหน้าใหม่ของการรักษาแห่งโลกอนาคต” ปูพื้นฐานภาพรวมการแพทย์โฉมใหม่ ที่เน้นการการดูแลรักษาผู้ป่วยโดยประยุกต์ใช้ข้อมูลด้านพันธุกรรม ที่จำเพาะต่อผู้ป่วย และรักษาได้ตรงจุด โดย ศ. เกียรติคุณ ดร. วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ต่อด้วยการบรรยายและกิจกรรม หัวข้อ เจาะลึกพันธุศาสตร์กับไวรัสโคโรน่า สู่การพัฒนาชุดตรวจและวัคซีน เพื่อเรียนรู้กลไกการทำงานของสารพันธุกรรมของไวรัสโคโรน่า และการนำความรู้ทางพันธุศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาชุดตรวจหาเชื้อ และพัฒนาวัคซีน เสริมด้วยกิจกรรมฝึกทักษะปฏิบัติการ การแยกสารด้วยชุดสื่อการเรียนรู้จำลองหลักการเคลื่อนที่ของสารบนเจลภายใต้สนามไฟฟ้า (Gel electrophoresis) โดย น.ส.สุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. วันสุดท้ายของการอบรม เป็นกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับ นวัตกรรมเวชสำอาง ซึ่งเป็นการบรรยายปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีกับเครื่องสำอางและการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดย รศ.ภญ.ดร.จิตติมา ลัคนากุล  รองคณบดีฝ่ายพันธกิจสากลและวิรัชกิจ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกิจกรรมปฏิบัติการ เตรียม “Nano emulsions” และการประเมินผลิตภัณฑ์ โดย ผศ.ภญ.ดร.ดุษฎี ชาญวาณิช ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต และทีมวิทยากร คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้ในกลุ่มย่อยผ่านการทดลองปฏิบัติการอย่างสนุกสนาน ระดมสมองในกลุ่มย่อย และฝึกปฏิบัติการสร้างตำรับครีมทาผิว โดยใช้หลักการนาโนอิมัลชัน ซึ่งมีประโยชน์ทางเวชสำอาง เช่น ช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารสำคัญผ่านผิวหนัง ช่วยกักเก็บน้ำในผิวหนัง ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นอย่างยาวนาน เป็นต้น โดยแลกเปลี่ยนผลงานผ่าน padlet พร้อมนำเสนอในรูปแบบ pitching และรับฟังคำแนะนำจากทีมวิทยากร เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากผู้เข้าร่วมอบรม “เป็นกิจกรรมที่ดีมาก สนุก สามารถนำมาประยุกต์กับโครงงานและบริบทชุมชนได้” “อยากให้จัดทุกปี ถ้ามีโอกาส ทางโรงเรียนขอเข้าร่วมทุกปี” “เนื้อหาและกิจกรรมจากการอบรม สามารถนำมาเขียนแผนการจัดการเรียนการสอนได้” “การอบรมนำเสนอเนื้อหาชีววิทยาที่ยากและเยอะ ให้สนุก น่าสนใจ ในรูปแบบกิจกรรมและสื่อรวมถึงเทคนิคการใช้ quiz ในการสอน”
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ควรเปลี่ยนหมวกนิรภัยใบใหม่ช่วงไหน
ทราบหรือไม่ครับว่าหมวกนิรภัยที่เราสวมใส่กันขณะขับขี่หรือโดยสารจักรยานยนต์ ควรเปลี่ยนหมวกนิรภัยใบใหม่ช่วงไหน เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะครับ  
NSTDA Infographic
 
‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตวินิจฉัยโรคเพื่อยับยั้งปัญหาอย่างทันท่วงที
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/rice-disease-bot-chatbot-for-rice-disease-identification.html   ประเทศไทยผลิตข้าวได้มากกว่า 26 ล้านตันต่อปี เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายสำคัญอันดับ 4 ของโลก หากแต่รายได้ที่นำกลับเข้าประเทศมากกว่าแสนล้านบาทต่อปีนี้กลับไม่ได้สะท้อนถึงผลกำไรที่เกษตรกรควรได้รับ เพราะชาวนาไทยส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในวังวนของการ ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ต้องเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ความแปรปรวนของสภาพอากาศ รวมถึงวิกฤตโรคระบาดที่ฉุดรั้งผลผลิตข้าวไทยให้ถดถอยลงทุกที กลุ่มโปรแกรมเกษตรสมัยใหม่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สนับสนุนทุนในการดำเนินโครงการวิจัย “โมบายแอปพลิเคชันเพื่อการวินิจฉัยโรคข้าวโดยใช้การวิเคราะห์ภาพถ่ายและปัญญาประดิษฐ์” ให้แก่ทีมวิจัยจาก สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อดำเนินการพัฒนา ‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคข้าวผ่านภาพถ่าย เพื่อให้คำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมและทันท่วงทีแก่เกษตรกร เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกปัญหาการรับมือกับโรคระบาด ลดต้นทุนการใช้สารเคมีที่เสียไปอย่างไร้ค่า และยกระดับผลผลิตข้าวไทยให้มากขึ้น   [caption id="attachment_42337" align="aligncenter" width="700"] นายวศิน สินธุภิญโญ (กลาง) และทีมวิจัย[/caption]   นายวศิน สินธุภิญโญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบอทโรคข้าวเล่าว่า การพัฒนาแพลตฟอร์มนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2562 โดยความร่วมมือระหว่างเนคเทค สวทช. กับภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ต้องการสร้าง ‘แพลตฟอร์มกลาง’ เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเครื่องมือการวินิจฉัยโรคข้าวที่มีประสิทธิภาพ พร้อมได้รับคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและเหมาะสม ซึ่งจะช่วยยับยั้งการลุกลามของโรคระบาดในพื้นที่และในภาพรวมของประเทศได้อย่างทันการณ์ “จากโจทย์ปัญหานำมาสู่การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม ‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ ระบบแชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยแพลตฟอร์มนี้ผ่านการออกแบบให้เกษตรกรใช้งานได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่ต่างใช้งานจนคุ้นเคยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเกษตรกรพบเห็นความผิดปกติของต้นข้าวในแปลงนาสามารถส่งข้อมูลให้ระบบวินิจฉัยโรคได้ทันที วิธีการใช้งานเพียงถ่ายภาพรอยโรคที่เกิดขึ้นบนต้นข้าวแล้วส่งภาพเข้าสู่หน้าแชต ระบบจะดึงภาพไปยังคลาวด์ และส่งให้ AI วิเคราะห์โรคด้วยเทคนิคเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) เมื่อได้ผลแล้วระบบจะส่งผลการวิเคราะห์พร้อมคำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมกลับมารายงานให้เกษตรกรทราบภายใน 3-5 วินาที ช่วยให้เกษตรกรประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบโรคข้าวที่เกิดขึ้นในแปลงนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ”   [caption id="attachment_42336" align="aligncenter" width="700"] ภาพขณะกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม[/caption]   อย่างไรก็ตามการพัฒนา ‘บอทโรคข้าว’ ให้ดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล ต้องอาศัยการดำเนินงานแบบบูรณาการความเชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านโรคข้าว การพัฒนาคลังจัดเก็บชุดข้อมูล​ และการพัฒนาเทคโนโลยี AI นายวศิน เล่าว่า ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม อาจารย์และทีมงานจากภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน และภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ที่ช่วยดำเนินงานภาคสนาม ต่างมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยจัดทำชุดข้อมูลเพื่อให้ทีมวิจัยได้นำมาใช้ออกแบบการเรียนรู้ให้แก่ AI “ปัจจุบันบอทโรคข้าวให้บริการวิเคราะห์โรคข้าวที่สำคัญในไทยได้แล้วถึง 10 โรค ได้แก่ โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคใบจุดสีน้ำตาล โรคใบขีดสีน้ำตาล โรคใบขีดโปร่งแสง โรคไหม้คอรวง โรคดอกกระถิน โรคใบวงสีน้ำตาล โรคเมล็ดด่าง และโรคใบหงิก โดยเปิดให้เกษตรกร ศูนย์ข้าวชุมชน หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงภาคเอกชน ทดลองใช้บริการแล้วผ่าน ‘กลุ่มบอทโรคข้าวของแต่ละจังหวัด’ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้าวตรวจทานความถูกต้องของผลการวินิจฉัย รวมถึงช่วยตอบข้อสงสัยและให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่เกษตรกรด้วย”   [caption id="attachment_42344" align="aligncenter" width="700"] ‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตวินิจฉัยโรคเพื่อยับยั้งปัญหาอย่างทันท่วงที[/caption]   ทั้งนี้ผลการรวบรวมข้อมูลสถิติการใช้งานพบว่าในปี 2566 มีผู้ใช้งาน ‘บอทโรคข้าว’ แล้วประมาณ 3,500 คน โดยมีทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นฟันเฟืองหลักนำแพลตฟอร์มไปขยายผลให้เกษตรกรในหลายจังหวัดทั่วประเทศได้ทดลองใช้งาน   [caption id="attachment_42346" align="aligncenter" width="450"] ผศ. ดร.สุจินต์ ภัทรภูวดล อาจารย์ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์[/caption]   ผศ. ดร.สุจินต์ ภัทรภูวดล อาจารย์ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในผู้ริเริ่มพัฒนาแพลตฟอร์มเล่าว่า หลังจากทีมร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มจนพร้อมเปิดให้บริการในปี 2565 ทีมงานจากภาควิชาฯ ได้นำแพลตฟอร์ม ‘บอทโรคข้าว’ ไปเผยแพร่และอบรมให้เกษตรกรเป้าหมายกว่า 3,200 คน จากจังหวัดลำปาง เชียงราย อุดรธานี และนครพนม ที่เข้าร่วมโครงการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง (BCG-Naga Belt Road) ทดลองใช้งาน ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันการใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการขับเคลื่อนชุมชนให้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มแบบครบวงจร นำไปสู่การยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียว “เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ได้ทดลองใช้ต่างชื่นชมว่าแพลตฟอร์มใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็ว ซึ่งการที่แพลตฟอร์มนี้ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันไลน์ยิ่งทำให้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีในเรื่องความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น (เกษตรกรส่วนใหญ่ขาดความพร้อมในการติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่) และเกษตรกรส่วนใหญ่ต่างยินดีที่จะแนะนำให้คนรู้จักได้ใช้งานร่วมกันต่อไป นอกจากนี้การที่ระบบมีการ ‘ให้บริการในลักษณะกลุ่มพื้นที่’ ยังช่วยให้เกษตรกรรวมถึงผู้ใช้บริการจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ในกลุ่ม ได้ตระหนักถึงชุดข้อมูลความถี่และช่วงเวลาในการเกิดโรค ทำให้สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาวางแผนเฝ้าระวังการระบาดของโรคข้าวเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี”   [caption id="attachment_42339" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการแนะนำแพลตฟอร์มแก่กลุ่มเป้าหมาย[/caption]   [caption id="attachment_42340" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการแนะนำแพลตฟอร์มแก่กลุ่มเป้าหมาย[/caption]   อย่างไรก็ตามแม้โรคข้าวจะเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อจำนวนผลผลิตในแต่ละรอบอย่างมาก แต่ในการเพาะปลูกข้าวยังมีปัญหาอีกหลายด้านที่เกษตรกรต้องเผชิญ เช่น แมลงศัตรูพืช การขาดธาตุอาหาร ดังนั้นแล้วแพลตฟอร์มนี้จึงยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาระบบให้ครอบคลุมความต้องการของเกษตรกรมากยิ่งขึ้น ผศ. ดร.สุจินต์ ชี้ว่า ความท้าทายใหญ่ที่สุดในการยืนหยัดพัฒนาระบบให้ครอบคลุมปัญหาการปลูกข้าว รวมถึงการให้บริการอย่างต่อเนื่องในระยะยาว คือ ‘การได้มาซึ่งเงินทุน’ เพราะการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ทั้งด้านการรวบรวมข้อมูล การวิจัยและพัฒนาระบบ AI รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการให้บริการระบบดิจิทัล ดังนั้นแล้วในอนาคตจึงอาจมีความจำเป็นต้องเรียกเก็บค่าบริการจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม เพื่อให้แพลตฟอร์มนี้เดินหน้าสร้างประโยชน์แก่เกษตรกรไทยต่อไปได้อย่างยั่งยืน ‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ คือหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของบูรณาการความเชี่ยวชาญระหว่างองค์กรเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมให้เป็นสาธารณประโยชน์แก่เกษตรกรไทย อีกทั้งยังเป็นกลไกที่เกื้อหนุนการยกระดับอุตสาหกรรมข้าวไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพและเศรษฐกิจฐานรากไทยอย่างยั่งยืนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี หน่วยงานที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มติดต่อได้ที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. สำหรับเกษตรกรที่สนใจใช้บริการ เข้าร่วมได้ผ่านการเพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์โดยแสกน QR Code ด้านล่าง และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ BCG Economy Model ได้ที่ www.bcg.in.th [caption id="attachment_59935" align="aligncenter" width="230"] สแกนเพื่อเข้าใช้งาน ‘บอทโรคข้าว’ (สำหรับบุคคลทั่วไป)[/caption]   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ตัวอย่างนวัตกรรมและแนวโน้มของ Solar cell, Solar panel และ Solar energy
กำลังเป็นที่พูดถึงกันมากเกี่ยวกับการประหยัดหรือลดค่าไฟด้วย Solar cell และ Solar panel รวมถึงการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ ตลอดจนการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตพลังงานไฟฟ้า ในบทความนี้จึงขอนำเสนอตัวอย่างนวัตกรรมเกี่ยวกับ Solar cell, Solar panel และ Solar energy จากการค้นหาในฐานข้อมูล Mintel (ข้อมูลระหว่างปี ข้อมูลปี 2020-ปัจจุบัน) รวมถึงแนวโน้มในอนาคต   (more…)
คลังความรู้
 
นานาสาระน่ารู้
 
SCI News Flash : 3 นวัตกรรมเพื่อ ‘ผู้สูงอายุ’ และ ‘ผู้ดูแล’ โดย เอ็มเทค สวทช.
  นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา 3 นวัตกรรมขานรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งปัจจุบันทั้ง 3 ผลงาน พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว     'Rachel' บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยให้ผู้สูงวัยที่ยังมีใจและมีไฟได้สนุกกับการใช้ชีวิตประจำวัน และทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง จุดเด่นของชุด คือ การช่วยเสริมแรงให้กับผู้สูงอายุบริเวณหลังและต้นขาด้วยกล้ามเนื้อจำลองซึ่งควบคุมด้วย AI เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้มโดยตัวชุดผ่านการออกแบบให้น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย สามารถใส่ทับหรือใส่แทนชุดชั้นในได้เลย รายละเอียดเพิ่มเติม: ‘Rachel’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยผู้สูงวัยเคลื่อนไหวคล่องตัว   'Gunther Bath' กันเธอหกล้มแล้วไม่มีใครมาช่วยเหลือ เป็นอุปกรณ์ Ambient sensor สำหรับตรวจจับการหกล้มในห้องน้ำ ซึ่งวิเคราะห์ Ambient ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย AI โดยหากเกิดเหตุผู้ใช้งานห้องน้ำหกล้มระบบจะแจ้งเตือนไปยังสมาร์ตโฟนของผู้ดูแลภายใน 5 วินาที จุดแข็งที่สำคัญของเทคโนโลยีนี้คือการประมวลผลทั้งหมดโดยไม่มีการถ่ายและบันทึกภาพ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานห้องน้ำ รายละเอียดเพิ่มเติม: ‘Gunther Bath’ กันเธอหกล้มแล้วไม่มีคนช่วย นวัตกรรมตรวจจับการล้มเพื่อผู้สูงอายุและผู้ดูแล   'Ross' ชุดพยุงหลังสำหรับ 'ลูกหลาน' และ 'บุคลากรทางการแพทย์' ที่ต้องยกหรือพลิกตัวผู้สูงอายุอยู่เป็นประจำ ชุดจะทำหน้าที่ช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บกล้ามเนื้อหลัง ช่วยควบคุมให้ร่างกายยกของน้ำหนักมากด้วยท่าทางที่เหมาะสม โดยชุดนี้ผ่านการออกแบบให้สวมใส่และถอดง่าย พร้อมให้คว้ามาใส่อย่างรวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน รายละเอียดเพิ่มเติม: ‘Ross (รอส) บอดีสูทพยุงหลัง’ ป้องกันการบาดเจ็บจากการยกผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และสิ่งของน้ำหนักมาก   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
จะขับใกล้ ขับไกล ก็อย่าลืมสวมหมวกนิรภัยนะ
จะขับใกล้ ขับไกล อย่าลืมสวมใส่หมวกนิรภัยทั้งคนขับและคนซ้อนนะครับ เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะครับ  
NSTDA Infographic
 
‘Rachel’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยผู้สูงวัยเคลื่อนไหวคล่องตัว
  แม้กล้ามเนื้อของผู้สูงอายุจะอ่อนแรงไปตามวัย แต่หัวใจของผู้สูงวัยส่วนใหญ่ไม่ได้อ่อนแรงไปตามกัน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร พัฒนา ‘Rachel (เรเชล)’ นวัตกรรมบอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ที่ช่วยเติมเต็มให้ผู้สูงวัยในกลุ่ม ‘พฤฒพลัง (Active aging)’ ซึ่งยังมีใจและมีไฟได้สนุกกับการใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง   [caption id="attachment_41742" align="aligncenter" width="700"] ‘Rachel’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยผู้สูงวัยเคลื่อนไหวคล่องตัว[/caption]   ดร.วรวริศ กอปรสิริพัฒน์ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. เล่าถึงการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้สูงอายุ เพื่อใช้ในการออกแบบผลงานนวัตกรรมแบบมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (Human-centric design) ว่า ผู้สูงอายุโดยทั่วไปรวมถึงผู้สูงอายุแบบพฤฒพลังส่วนใหญ่ต่างต้องเผชิญภาวะ ‘มวลกล้ามเนื้อลดลงตามอายุขัย’ ทำให้การทรงตัวและเคลื่อนไหวร่างกายอาจไม่มั่นคงเท่าสมัยวัยหนุ่มสาว จึงเสี่ยงต่อการหกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุ ทั้งจากการลุกยืน เดิน ขึ้นลงบันได และยกของ เป็นเหตุให้ผู้สูงอายุหลายคนขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิต ปฏิเสธการทำกิจกรรมต่าง ๆ จนสุขภาพร่างกายและจิตใจอ่อนแอลง ดังนั้นแล้วเพื่อให้ประชากรสูงวัยในประเทศไทยได้มีทางเลือกในการยกระดับคุณภาพชีวิตมากยิ่งขึ้น ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรพัฒนานวัตกรรม ‘Rachel – Motion assist bodysuit’ ชุดบอดีสูทสำหรับเสริมแรงกล้ามเนื้อ เพื่อเสริมความมั่นใจในทุกการเคลื่อนไหวให้แก่ผู้สูงอายุ     ‘Rachel’ ผ่านการออกแบบให้เป็นชุดเสริมแรงกล้ามเนื้อที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยมีกล้ามเนื้อจำลอง 2 ชนิดทำงานสอดประสานกัน เพื่อเสริมแรงและพยุงกล้ามเนื้อของผู้สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้สำเร็จอย่างปลอดภัย ดร.วรวริศ อธิบายถึงกลไกการเสริมแรงให้กับกล้ามเนื้อของผู้สูงอายุว่า เมื่อผู้สูงอายุสวมใส่บอดีสูท ระบบเซนเซอร์ที่ติดตั้งอยู่กับชุดจะตรวจจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แล้วส่งข้อมูลให้ AI ทำหน้าที่วิเคราะห์ท่าทางและการปรับเปลี่ยนอิริยาบถของผู้สวมใส่ จากนั้น AI จะสั่งการให้กล้ามเนื้อจำลองออกแรงกดไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือ ทั้งในด้านกระตุ้นการทำงานและการช่วยเสริมแรงให้แก่กล้ามเนื้อของผู้สูงอายุในระดับที่เหมาะสม โดยการเสริมแรงระบบ AI จะสั่งการให้ปั๊มเติมลมเข้าสู่ ‘กล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติก (Pneumatic artificial muscles)’ ที่อยู่บริเวณต้นขาและหลังช่วงกลางถึงช่วงล่าง เพื่อให้ท่อลมพองตัวขึ้นและความยาวของท่อหดสั้นลง ซึ่งกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกจะทำงานร่วมกับ ‘กล้ามเนื้อยางยืด’ ที่อยู่บริเวณสะโพก บั้นท้าย และสะบักของผู้สวมใส่ โดยการหดตัวของกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกจะดึงให้กล้ามเนื้อยางยืดยืดออก ซึ่งทำให้เกิดแรงดึงกลับที่ช่วยเสริมแรงให้ผู้สูงอายุเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น เช่น ในท่าลุกขึ้นยืน นอกจากนี้การพองตัวขึ้นของกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกยังทำให้เกิดแรงกดลงอ่อน ๆ ที่บริเวณกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและบริเวณหลัง เป็นการช่วยพยุงกล้ามเนื้อและอาจกระตุ้นให้กล้ามเนื้อทำงานดีขึ้นได้   [caption id="attachment_41732" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา และทดสอบใช้งานโดยผู้สูงอายุ[/caption]   [caption id="attachment_41733" align="aligncenter" width="450"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา และทดสอบใช้งานโดยผู้สูงอายุ[/caption]   สิ่งหนึ่งที่ทีมวิจัยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนางานนี้ คือ ‘Rachel’ ต้องทำหน้าที่ ‘เสริมแรงกล้ามเนื้อ’ เพื่อช่วยให้ผู้สูงวัยเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น แต่ ‘ไม่ทำหน้าที่ออกแรงแทนกล้ามเนื้อที่ยังทำงานได้ดี’ เพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อผู้สูงอายุให้นานที่สุด ดร.วรวริศ อธิบายว่า การเสริมแรงของ ‘Rachel’ ในปัจจุบันควบคุมโดย AI​ ซึ่งผ่านการออกแบบให้มีการเสริมแรงอย่างเหมาะสม และผลการทดสอบใช้งานจริงโดยกลุ่มผู้สูงอายุ หลังจากนี้ทีมวิจัยมีแผนพัฒนาต่อยอดให้ AI สามารถคำนวณการเสริมแรงให้สอดรับกับความต้องการรายบุคคล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อให้แก่ผู้สูงอายุมากยิ่งขึ้น นอกจากการเสริมแรงกล้ามเนื้อซึ่งเป็นปัจจัยหลักแล้ว อีกโจทย์ท้าท้ายที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ‘ความสะดวกสบาย’ ในการสวมใส่ ทีมวิจัยจึงเน้นการออกแบบชุดให้มี ‘น้ำหนักเบา สวมใส่ได้สบาย’ ช่วยให้ผู้สูงอายุสวมใส่ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้นาน และอยากหยิบมาสวมใส่ในทุกวัน     “Rachel ผ่านการออกแบบให้แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ประเภท Exoskeleton ที่มีลักษณะเป็นชุดโครงสร้างแข็ง ซึ่งทำให้ผู้สวมใส่ส่วนใหญ่รู้สึกอึดอัด ทำกิจกรรมได้ไม่คล่องตัว และปฏิเสธที่จะสวมใส่เป็นประจำ การออกแบบ Rachel จึงไม่มีการใช้โครงสร้างแข็งที่มีน้ำหนักมากและมีขนาดใหญ่เทอะทะเป็นส่วนประกอบ รวมถึงเลือกใช้วัสดุที่ระบายความร้อนได้ดี น้ำหนักเบา สวมใส่และถอดได้สะดวก โดยผู้สูงอายุสามารถสวมใส่ทดแทนชุดชั้นในหรือใส่ทับชุดชั้นในได้เลย ในส่วนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องถอดออกจากชุดเพื่อนำไปชาร์จไฟก็ถอดและติดตั้งได้ง่าย ผู้สูงอายุสามารถทำได้ด้วยตัวเอง สำหรับชุด Rachel ที่ทีมวิจัยเตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและจำหน่ายจริงจะออกแบบเพิ่มเติมให้ครอบคลุมสรีระทั้งเพศหญิงและชาย มีหลากหลายขนาด รองรับรูปร่างส่วนใหญ่ของประชากรสูงวัยไทย รวมถึงรองรับความสะดวกสบายในการเข้าห้องน้ำด้วย” ดร.วรวริศ กล่าวทิ้งท้าย ปัจจุบันผลงาน ‘Rachel’ พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผู้ประกอบการ เพื่อส่งต่อนวัตกรรมดี ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงวัยได้เคลื่อนไหวทำกิจกรรมอย่างอิสระและลดความเสี่ยงต่อการหกล้มบาดเจ็บแล้ว ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัยพัฒนาต่อยอด ติดต่อได้ที่ คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค โทร 0 2564 6500 ต่อ 4783 หรือ e-mail soontaree.kos@mtec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
NSTDA Services 2023
หน่วยงานในกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2534 สวทช. มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก โดยการนำความสามารถอันเหนือชั้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาช่วยให้ภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมสามารถดำเนินงานได้ดี มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่ง สวทช. ได้ดำเนินงานผ่านการทำงานร่วมกัน โดยมีศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี หรือ ทีเอ็มซี (TMC) และ 5 ศูนย์วิจัยแห่งชาติ คือ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค (BIOTEC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค (NECTEC) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ หรือ เอ็มเทค (MTEC) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ นาโนเทค (NANOTEC) และ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ หรือ เอ็นเทค (ENTEC) สวทช. มีภารกิจหลัก คือ การทำวิจัยและสนับสนุนการวิจัยเพื่อนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปช่วยพัฒนาประเทศ โดย สวทช. สนับสนุนให้มหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน ผ่านกลไกต่างๆ อาทิ การร่วมวิจัย การรับจ้างวิจัย การให้คำปรึกษา และการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรม การสร้างและการเข้าถึงคลังข้อมูลผลงานวิจัย การช่วยจัดหาข้อมูลวิชาการที่จำเป็นสำหรับงานวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาที่ประสบอยู่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรและเตรียมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญต่างๆ ไว้รองรับ นอกจากนี้ ภาคเอกชนที่มีศักยภาพในการดำเนินการวิจัยและพัฒนาด้วยตัวเอง ยังสามารถจัดตั้งห้องปฏิบัติการในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งเป็นนิคมวิจัยแห่งแรกของประเทศได้ เพื่อดำเนินการวิจัยคู่ขนานไป หรือเชื่อมโยงกับ สวทช. ได้อีกทางหนึ่งด้วย Download (25.3 MB)    
เอกสารเผยแพร่
 
นวัตกรรม ‘คอปเปอร์ไอออน’ สารยับยั้งเชื้อก่อโรคประสิทธิภาพสูง ช่วยบรรเทาปัญหาโรคระบาดในสุกร
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/ionic-copper-innovation-leads-to-effective-animal-health-products.html   ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ประเทศไทยต้องเผชิญปัญหาราคาเนื้อสุกรพุ่งสูง เนื่องจากการระบาดหนักของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่ทำให้สุกรล้มป่วยและตายแบบเฉียบพลันจำนวนมาก แม้ผ่านมาราวปีครึ่งแล้ว ราคาของเนื้อสุกรก็ยังไม่ลดลงเทียบเท่าสถานการณ์ปกติ สาเหตุหนึ่งมาจากต้นทุนด้านการรับมือโรคระบาดที่ค่อนข้างสูง จนเกษตรกรหลายรายจำต้องหยุดทำฟาร์มชั่วคราวหรือถาวร ส่งผลให้กำลังการผลิตเนื้อสุกรภายในประเทศลดลง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘นวัตกรรมสารคอปเปอร์ไอออน (Ionic Copper) ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคสูง’ เพื่อหนุนแก้ปัญหาโรคระบาดในสุกร ลดค่าใช้จ่าย และลดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน   [caption id="attachment_40872" align="aligncenter" width="450"] ดร.วรายุทธ สะโจมแสง นักวิจัย นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.วรายุทธ สะโจมแสง ทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน นาโนเทค สวทช. เล่าว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยและประเทศข้างเคียงพบการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: ASF) โรคร้ายแรงที่ทำให้สุกรตายอย่างเฉียบพลัน และยังพบการระบาดของโรคอื่นๆ อาทิ โรคท้องร่วงในสุกร (Porcine Epidemic Diarrhea: PED) และโรคในระบบทางเดินหายใจและระบบสืบพันธุ์ (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome: PRRS) ทำให้มีสุกรป่วยและตายจำนวนมาก ส่งผลให้เกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งจากค่าใช้จ่ายด้านระบบรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biocontrol) ค่ายาปฏิชีวนะเพื่อรักษาและป้องกันโรค (การป้องกันโรคด้วยยาปฏิชีวนะเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องและส่งผลให้เชื้อดื้อยา) และการจัดหาแม่พันธุ์และสุกรตัวใหม่มาเลี้ยง     “ดังนั้นแล้วการควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้สุกรติดเชื้อเป็นเรื่องสำคัญมาก ทั้งการดำเนินงานตามมาตรการที่กรมปศุสัตว์กำหนด และการทำความสะอาดด้วยสารยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพ เช่น สารประเภท ‘คอปเปอร์ไอออน’ หรือ ‘เกลือคอปเปอร์’ ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียทั้งแกรมบวกและลบ รวมถึงไวรัส ที่ค่อนข้างครอบคลุมโรคระบาดสำคัญในสุกร อย่างไรก็ตามสารชนิดนี้ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่เช่นกัน เพราะเป็น ‘สารที่ไม่คงทนต่อสภาพแวดล้อม’ ทำให้มีโอกาสที่สารจะออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกษตรกรต้องใช้สารในปริมาณมาก ต้นทุนการผลิตสูง และอาจก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในพื้นที่อีกด้วย” จากปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ไม่นิ่งนอนใจ เร่งนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคีเลชัน (Chelation technology) มาพัฒนาสารคอปเปอร์ไอออนให้อยู่ในรูปที่สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคได้สูงในสภาพแวดล้อมที่ใช้งานจริง     ดร.วรายุทธ อธิบายว่า ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการคีเลชันสารคอปเปอร์ไอออนด้วยคีเลติงเอเจนต์ธรรมชาติ (Natural chelating agent) เพื่อทำให้คอปเปอร์ไอออนมีความคงทนต่อสภาพแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ไม่เสียประจุไอออนบวกที่ทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคได้ง่ายและไม่ตกตะกอน ทำให้สารออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคได้เต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดปริมาณการใช้สารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การคีเลชันคอปเปอร์ไอออนด้วยด้วยคีเลติงเอเจนต์ธรรมชาติยังช่วยให้พืชดูดซึมสารไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ (คอปเปอร์เป็นธาตุอาหารเสริมของพืช) ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในสิ่งแวดล้อม และไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในระบบนิเวศอีกด้วย ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการคีเลชันคอปเปอร์ไอออนให้แก่บริษัทสมาร์ท เวท จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทฯ ได้ต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ดูแลสุขภาพสัตว์ทั้งในการทำปศุสัตว์และประมง ดร.วรายุทธ แนะนำว่า ผลงานที่บริษัทฯ วางจำหน่ายแล้วในปัจจุบันมี 3 ชนิด คือ ‘BLUERACLE’ ผลิตภัณฑ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและลบ รวมถึงเชื้อไวรัส ใช้ได้กับทั้งอาหารสุกรและไก่ และน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ‘BLEN IONIC’ ผลิตภัณฑ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคท้องเสียในสุกร การใช้งานเป็นรูปแบบปั๊มเข้าปาก และ ‘BLUE TEC’ ผลิตภัณฑ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหารสำหรับใช้กับอาหารสุกรและไก่ และใช้ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคในระบบกระจายลม (Evaporative cooling system) ในฟาร์มได้     “จุดเด่นของ ‘นวัตกรรมสารคอปเปอร์ไอออนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคสูง’ คือ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคระบาดผ่านการควบคุมและป้องกัน นอกจากนี้ยังเป็นการลดต้นทุนการผลิต ทำให้เกษตรกรที่เคยประสบปัญหาขาดทุนมีโอกาสได้หวนกลับมาผลิตสุกรเพื่อหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมอาหารไทยมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญสารคอปเปอร์ไอออนไม่ใช่ ‘ยาปฏิชีวนะ’ หรือ ‘สารเคมีอันตราย’ จึงเหมาะแก่การใช้เป็นสารทางเลือกสำหรับดูแลสุขภาพสัตว์ (ในปริมาณที่เหมาะสม) เพื่อช่วยลดข้อจำกัดทางการค้า เพิ่มโอกาสในการส่งออกเนื้อสุกรและเนื้อสุกรแปรรูปในอนาคต ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว” ดร.วรายุทธ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ประกอบการท่านใดสนใจสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ติดต่อได้ที่บริษัทสมาร์ท เวท จำกัด และหากสนใจใช้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารด้วยเทคโนโลยีนาโน ติดต่อได้ที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อีเมล pr@nanotec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ไม่สวมหมวกนิรภัยมีโทษปรับ
รู้หรือไม่? ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะครับ  
NSTDA Infographic
 
‘Magik Color’ แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี ชูข้อดีของสีแบบไทยๆ
  ‘แป้งพิมพ์ผ้า’ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่อุตสาหกรรมสิ่งทอทั่วโลกใช้พิมพ์ลวดลายลงบนผืนผ้าเพื่อถ่ายทอดผลงานการออกแบบ แต่แป้งพิมพ์ส่วนใหญ่ที่มีการใช้งานในปัจจุบันเป็น ‘แป้งพิมพ์ที่มีสีเคมีเป็นส่วนผสม’ ซึ่งอาจมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา 'Magik Color แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ' เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการลดการใช้สารเคมี โดยผลิตภัณฑ์นี้นำจุดแข็งเรื่องความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทยมาใช้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ‘ให้มีสีสันสดใส หลากหลายเฉดสี’ ด้วย   [caption id="attachment_40752" align="aligncenter" width="450"] ดร.มณฑล นาคปฐม นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.มณฑล นาคปฐม นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า สิ่งที่ทีมให้ความสำคัญในการวิจัยมาตลอดคือการพัฒนา ‘ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ ที่ผ่านมาจึงมีการวิจัยสีสำหรับย้อมเส้นด้ายและผ้าจากวัตถุดิบธรรมชาติหลายชนิด หนึ่งในผลงานที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว คือ 'แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ 6 เฉดสี' ที่ใช้พิมพ์ได้ทั้งเทคนิค Silk screen printing, Block printing และ Stencil printing พิมพ์ได้ทั้งผ้าเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์ (ผลิตภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถใช้งานกับเทคนิค Rotary screen printing ได้)   [caption id="attachment_40753" align="aligncenter" width="650"] การพิมพ์ด้วยเทคนิค Silk screen printing[/caption]   [caption id="attachment_40754" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างลายผ้าที่พิมพ์ด้วยเทคนิค Silk screen printing[/caption]   “ผงสีที่ใช้เป็นส่วนประกอบของแป้งพิมพ์สีธรรมชาติสกัดมาจากวัตถุดิบ 4 ชนิด คือ ‘ครั่ง’ ที่ให้สีแดงและชมพู ‘ดอกดาวเรือง’ ให้สีเหลืองและน้ำตาลแดง ‘เปลือกต้นโกงกาง’ ให้สีน้ำตาลเหลือง และ ‘เปลือกผลชาน้ำมัน’ ให้สีเทาดำ ซึ่งวัตถุดิบ 2 อย่างหลังนี้มีจุดเด่นเรื่องการนำขยะจากอุตสาหกรรมอื่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เปลือกโกงกางเป็นขยะจากการผลิตถ่านหุงต้มที่คนจังหวัดสมุทรสงครามผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งภายในประเทศและส่งออก ส่วนเปลือกผลชาน้ำมันเป็นขยะจากการผลิตน้ำมันประกอบอาหาร ทีมูลนิธิชัยพัฒนาส่งเสริมให้เกษตรกรภาคเหนือปลูกและแปรรูป โดยหลังจากนี้ทีมวิจัยจะพัฒนาเฉดสีอื่นๆ ออกมาเพิ่มเติมให้ครอบคลุมความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น”   [caption id="attachment_40755" align="aligncenter" width="650"] วัตถุดิบที่ใช้ในการสกัดเพื่อทำผงสี[/caption]   [caption id="attachment_40756" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างเฉดสีที่พิมพ์ลงบนผ้า[/caption]   การสกัดผงสีจากวัตถุดิบธรรมชาติมาใช้ทำผลิตภัณฑ์แป้งพิมพ์ผ้านี้งานทำให้ในภาพรวมผลิตภัณฑ์สามารถช่วยลดสัดส่วนการใช้สารเคมีได้มากกว่าร้อยละ 20 ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เป็นสารเคมีก็ผ่านการทดสอบเพื่อรับรองความปลอดภัยแล้ว ดร.มณฑล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในการผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติ นอกจากผงสีแล้วยังมีวัตถุอื่นๆ เป็นส่วนประกอบหลัก อาทิ สารช่วยเพิ่มความหนืด สารเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องการยึดติด สารปรับเฉดสี โดยทีมวิจัยได้นำเบสแป้งพิมพ์ที่ผสมวัตถุดิบตั้งต้นทั้งหมดแต่ยังไม่ได้ใส่ผงสีธรรมชาติไปตรวจสอบตามมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย ผลการตรวจสอบพบว่าเบสแป้งพิมพ์ที่ทีมวิจัยใช้ปราศจาก ‘สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde)’ ซึ่งเป็นสารที่มักพบในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ สารชนิดนี้เป็นสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุตา เยื่อบุจมูก และระบบทางเดินหายใจ อีกทั้งยังเป็นสารก่อโรคมะเร็งด้วย “อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจแก่ผู้สนใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ คือ สีจากธรรมชาติไม่คงทนเท่าสีเคมี โดยสูตรที่พัฒนาขึ้นนี้ทีมวิจัยได้ทำการทดสอบแล้วว่าสามารถซักแบบถนอมเนื้อผ้าด้วยสารซักล้างที่มีความอ่อนโยนต่อเนื้อผ้า เช่น น้ำยาซักผ้าเด็ก ได้มากกว่า 30 ครั้ง ในแต่ละรอบการซักสีจะค่อยๆ อ่อนลงทีละเล็กน้อย”   [caption id="attachment_40757" align="aligncenter" width="450"] การอ่อนลงของสีในแต่ละรอบการซัก[/caption]   ปัจจุบันผลงานแป้งพิมพ์สีธรรมชาติอยู่ในสถานะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ โดยทีมวิจัยได้เริ่มขยายผลสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) แล้ว ดร.มณฑล เล่าว่า ทีมวิจัยได้นำองค์ความรู้เรื่องการใช้แป้งพิมพ์สีธรรมชาติไปถ่ายทอดให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแล้วหลายจังหวัด อาทิ สมุทรสงคราม น่าน ลำพูน เชียงใหม่ เพราะเป็นกลุ่มที่จำหน่ายผ้าทอจากเส้นใยธรรมชาติที่มักมีการ ‘นำวัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่นมาใช้ผลิตสีสำหรับย้อม’ ดังนั้นแล้วการนำเทคนิคการพิมพ์เข้าไปถ่ายทอดจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการสร้างสรรค์ลวดลายบนผืนผ้าหรือผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่น แตกต่าง หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยการลงพื้นที่ไปถ่ายทอดองค์ความรู้ ทีมวิจัยได้ร่วมกับชุมชนต่างๆ ทดลองผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติจากวัตถุดิบท้องถิ่นเพื่อชูอัตลักษณ์ของชุมชนให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าด้วย     “สำหรับในกลุ่ม SMEs ทีมวิจัยได้นำผลิตภัณฑ์ไปเปิดตัวในงานนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ โดยมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองสีละ 80 และ 250 กรัม ให้ผู้ประกอบการได้นำไปทดลองใช้ ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าเป็นกลุ่ม SMEs แล้วทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบการผลิตส่วนใหญ่มักเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีลวดลายพิเศษแตกต่างกับผลิตภัณฑ์จากโรงงาน ทำให้สินค้าที่จำหน่ายมีราคาสูงกว่าทั่วไปและมีตลาดเฉพาะแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยแป้งพิมพ์สีเคมี นอกจากนี้ทีมวิจัยและทีมประชาสัมพันธ์จากเอ็มเทค สวทช. ยังได้จัดกิจกรรมให้ผู้ที่สนใจทดลองใช้แป้งพิมพ์สีธรรมชาติสร้างสรรค์ผลงานศิลปะลงบนผืนผ้าในงานมหกรรมต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในวงกว้างยิ่งขึ้นด้วย”   [caption id="attachment_40761" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์ Magik Color[/caption]   แป้งพิมพ์สีธรรมชาติเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ที่มุ่งเน้นส่งเสริมผู้ประกอบการให้หันมาลดการใช้สารเคมีและพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นขณะเดียวกันการพัฒนาสีจากธรรมชาติยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ทรัพยากรชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย รวมถึงช่วยต่อยอดผ้าทอไทยให้มีสีสันสวยงามหลากหลายเป็นเอกลักษณ์ มีความทันสมัย และตอบโจทย์กระแสแฟชั่นโลกที่กำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมสิ่งทอสู่ความยั่งยืน สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติในระดับอุตสาหกรรม หรือสนใจทดลองใช้ผลิตภัณฑ์แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ ติดต่อได้ที่ คุณชนิต วานิกานุกูล งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค สวทช. โทร 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรือ อีเมล chanitw@mtec.or.th ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ BCG Economy Model เพิ่มเติมได้ที่ www.bcg.in.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น