หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
นวัตกรรม ‘กิน-อยู่’ เพื่อสุขภาพผู้สูงอายุ
    นวัตกรรม "กิน-อยู่" เพื่อสุขภาพผู้สูงอายุ เรียบเรียง: อาทิตย์ ลมูลปลั่ง ในงาน Healthcare 2020 ภายใต้แนวคิด สุขภาพดี วิถีใหม่ ใจชนะ ของบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) มีหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจเข้ากับกระแสสังคมสูงวัย คือ Health Forum : MTEC กับนวัตกรรมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมีนักวิจัยไทยมาแชร์และโชว์นวัตกรรมกรรม "กิน-อยู่" จากงานวิจัยที่ใช้ได้จริง เพื่อให้สังคมไทยเตรียมพร้อมสำหรับการรองรับสังคมสูงวัย ผ่านประสบการณ์และองค์ความรู้จาก 3 นักวิจัยไทย ได้แก่ ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ดร.บุญล้อม ถาวรยุติการต์ หัวหน้าทีมวิจัยอุปกรณ์เฉพาะบุคคล และ ดร.ชัยวุฒิ กมลพิลาส นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร จากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ กล่าวว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้โดนใจผู้สูงอายุนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยสิ่งหนึ่งที่ต้องมีเป็นลำดับแรก คือมีประโยชน์ ตามด้วยมีความดึงดูดด้วยดีไซน์ที่น่าใช้งาน โดยที่ผู้ใช้ต้องไม่รู้สึกว่าดูเป็นคนแก่เกินไป และไม่ขัดกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ซึ่งการออกแบบผลิตภัณฑ์นั้นทีมวิจัยเอ็มเทค ได้ให้ความสำคัญกับคนรอบข้างผู้สูงอายุ ได้แก่ ลูกๆ หลานๆ ที่เป็นผู้ดูแลเองที่บ้าน รวมถึงพยาบาลที่ได้มาให้ข้อมูลกับทีมวิจัยเพิ่มเติม  "ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. จะใช้กระบวนการออกแบบที่นำเอาผู้ใช้มาเป็นศูนย์กลางในการออกแบบ หรือ Human-centric design โดยให้ความสำคัญทั้งผู้สูงอายุ และผู้ดูแล ในทุกช่วงของการออกแบบอุปกรณ์การใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ" ผลงานเตียงตื่นตัว คือ หนึ่งในผลงานที่ทีมวิจัยได้รับการตอบรับอย่างดี โดยเป็นเตียงนอนที่ช่วยให้ผู้สูงอายุ ลุก-นั่ง ยืน-ก้าวลงจากเตียงด้วยตนเองอย่างมั่นใจและปลอดภัย การใช้งานก็ง่ายและสะดวก ผู้สูงอายุสามารถปรับเปลี่ยนจาก "ท่านอน" มาสู่ "ท่านั่ง" ด้วยตนเอง ผ่านการกดรีโมตเพียงปุ่มเดียว อีกทั้งเตียงยังปรับหมุนไปด้านซ้ายขวาในมุม 90 องศา ในลักษณะ "พร้อมลุกยืน" ได้ ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการนอนติดเตียงและการพลัดตกหกล้ม ที่สำคัญโครงสร้างเตียงมีความแข็งแรง ปลอดภัยต่อการใช้งานสูง นอกจากนั้นแล้วยังมีผลงาน "เกมฝึกสมอง ชื่อ MONICA" ที่ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ ซึ่งที่มวิจัยเอ็มเทค ได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์ผู้สูงวัย สุขกายสุขใจ สถาบันประสาทวิทยา ซึ่งเป็นสถานดูแลผู้สูงอายุโรคสมองเสื่อม ประเภท Daycare และโรงพยาบาลรามาธิบดี มีรูปแบบวิธีการดูแลผู้สูงอายุด้วยการทํากิจกรรมบําบัด จนเกิดเป็นนวัตกรรม เกมฝึกสมอง สําหรับช่วยฝึกสมาธิ ความจํา การเรียนรู้ การมองเห็นและตอบสนอง การวางแผน การตัดสินใจ และยังช่วยเพิ่มความภูมิใจให้ผู้สูงอายุมั่นใจในความสามารถของตนเองด้วยการเอาชนะระดับความยากที่เพิ่มขึ้นของเกม ผู้สนใจฝึกสมองป้องกันภาวะสมองเสื่อมดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ฟรีที่ App store https://apps.apple.com/th/app/monica/id1260878586 และที่ Play store https://play.google.com/store/apps/details?id=th.co.digitalpicnic.monica นวัตกรรมวัสดุและเทคโนโลยีกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นกับกลุ่มผู้สูงอายุ ต้องใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แบบไหนลักษณะใดจะเข้ากับผู้สูงอายุแต่ละคน ทีมวิจัยเอ็มเทค ให้ความสนใจกับการออกแบบ "อุปกรณ์เฉพาะบุคคล" ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาทางร่างกายและความแตกต่างในสรีระของแต่ละบุคคลแล้ว ยังช่วยให้ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพตนเองได้ใช้ประโยชน์เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาวได้ด้วย   ดร.บุญล้อม ถาวรยุติการต์ กล่าวว่า ทีมวิจัย ได้ออกแบบแผ่นรองในรองเท้าเฉพาะบุคคล หรือ 3D sole เนื่องจากอาการปวดเท้าเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่สามารถประสบด้วยตัวเอง แม้หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่หากมีอาการสะสมนานขึ้นจะเกิดการเรื้อรังและส่งผลต่ออาการปวดในอวัยวะอื่นๆ ตามมา เช่น เข่า สะโพก และหลัง อาการปวดเท้าเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น โครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อของเท้าที่ผิดปกติ อายุที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ร่างกายมีการเสื่อมของเอ็นและกล้ามเนื้อส่งผลทำให้สรีระของเท้ามีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากส่งผลให้เท้าต้องรับน้ำหนักมากขึ้น รวมถึงผู้ที่มีลักษณะอุ้งเท้าแบนหรือเท้าไม่มีอุ้ง "3D sole หรือแผ่นรองในรองเท้าเฉพาะบุคคล ใช้การออกแบบให้เหมาะสมกับสรีระเท้าของแต่ละบุคคล ทำให้ช่วยกระจายการลงน้ำหนักของร่างกายได้อย่างสมดุลในเวลายืนหรือเดินได้ ลดอาการปวดเท้าลงได้ และช่วยพยุงอุ้งเท้าอย่างมีเสถียรภาพ ไม่ทรุดตัว และแตกหัก เป็นอุปกรณ์ที่ทีมวิจัยคัดเลือกและพัฒนาวัสดุพอลิเมอร์ขึ้นมา ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการออกแบบอุปกรณ์ตามหลักกายวิภาคศาสตร์ และใช้เทคโลยีการพิมพ์สามมิติมาช่วยในการผลิตอุปกรณ์ ซึ่งทำให้อุปกรณ์มีความเที่ยงตรงสูงและผลิตได้รวดเร็ว อีกทั้งยังมีบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาในการออกแบบด้วย" ดร.บุญล้อม กล่าวว่า นอกจากนี้ทีมวิจัยกำลังพัฒนาต้นแบบ "อุปกรณ์พยุงหลังเฉพาะบุคคล" ที่ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ เพื่อช่วยพยุงกระดูกสันหลังไม่ให้เคลื่อนที่ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุจะมีภาวะกระดูกพรุน และมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกสันหลังหักได้ โดยอุปกรณ์นี้ยังมีความสำคัญกับกลุ่มผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคดในกลุ่มเด็กวัยรุ่น ซึ่งในขณะที่กำลังมีการเจริญเติบโตกระดูกสันหลังอาจมีการคดหรือบิดได้ หากผู้ปกครองพบว่าลูกหลานเริ่มเป็นโรคกระดูกสันหลังคด อุปกรณ์นี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะป้องกันและลดองศาของกระดูกสันหลังที่คดได้  อาหารเป็นอีกปัจจัยสำคัญการดำรงชีวิต แต่อาหารสำหรับผู้สูงอายุที่เหมาะต่อการบดเคี้ยว การช่วยย่อยง่ายให้ง่ายขึ้นและยังคุณค่าทางอาหารนั้น อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุในปัจจุบัน ทีมวิจัยเอ็มเทค จึงนำองค์ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์ มาออกแบบอาหารตามที่ต้องการได้ หรือเรียกว่า "อาหารออกแบบได้"   ดร.ชัยวุฒิ กมลพิลาส กล่าวว่า ทีมวีจัยเอ็มเทค ออกแบบอาหารโดยอาศัยแนวคิดทางวัสดุศาสตร์ 3 ด้านได้แก่ การเข้าใจโครงสร้าง การเข้าใจคุณสมบัติ และวิธีการผลิตอาหาร "ไส้กรอกไขมันต่ำ" คือตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารไขมันต่ำที่ทีมวิจัยเอ็มเทคได้พัฒนาสำเร็จและถ่ายทอดให้บริษัทขายแล้ว โดยได้ปรับลดปริมาณไขมันในไส้กรอกจากเดิม 25% ให้เหลือเพียง 3% ซึ่งเมื่อนำไขมันออกมาแล้ว ทีมวิจัยได้ใช้สารทดแทนไขมันที่เหมาะสมและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยใช้องค์ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์ที่ให้ได้ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกไขมันต่ำที่มีคุณภาพทางประสาทสัมผัสใกล้เคียงสูตรดั้งเดิม   นอกจากนี้ปัญหาหนึ่งของผู้สูงอายุในการรับประทานอาหาร คือ การอาการสำลักอาหาร ซึ่งเกิดจากอวัยวะในช่องปากเสื่อมลง และไม่สามารถดื่มน้ำหรือบริโภคของเหลวได้เหมือนคนปกติ ทีมวิจัยเอ็มเทค จึงได้ร่วมงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในการพัฒนา "ผงเพิ่มความหนืด" ที่สามารถใช้เติมไปในน้ำและเครื่องดื่มให้มีความหนืดเพิ่มขึ้นตามที่ต้องการ เพื่อให้เกิดการไหลเข้าสู่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้น ไม่เกิดการติดอยู่บริเวณคอหอยหรือหลุดเข้าไปในหลอดอาหาร ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการสำลักได้ ในเรื่องการบดเคี้ยวอาหารสำหรับผู้สูงอายุ ทีมวิจัยยังสามารถใช้องค์ความรู้ในการปรับโครงสร้างของเนื้อสัตว์ ให้เกิดการแตกหักง่ายขึ้น เมื่อผู้สูงอายุรับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ง่ายๆ จากการใช้เหงือกหรือการใช้ลิ้นดุนเพื่อให้เนื้อสัมผัสของเนื้อสัตว์แตกตัวเป็นชิ้นเล็กๆ และเกิดการย่อยได้ง่ายขึ้น และในปัจจุบัน ทีมวิจัยกำลังศึกษาแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารโดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D food printing) เพื่อตอบรับความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะบุคคล ที่คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เหล่านี้คือตัวอย่างผลงานนวัตกรรมจากนักวิจัยไทย ที่พัฒนานวัตกรรมเพื่อการกินอยู่ เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย
บทความ
 
โครงการ TechBiz Starter ปี 63 ประกาศรางวัล TechBiz Starter Funds มอบทุน 10 ผลงานด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมจากผู้ประกอบการหน้าใหม่
ณ โรงแรม S31 สุขุมวิท : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (ที เอ็ม ซี) สวทช. ประกาศรางวัล TechBiz Starter Funds มอบทุนสนับสนุน จำนวนเงิน 40,000 บาท สำหรับผลงาน 10 อันดับที่ได้รับคะแนนสูงสุด ในโครงการ “สร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม (TechBiz Starter)” ปี 2563 ที่จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนและต่อยอดกลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นดำเนินธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้สามารถสร้างรากฐาน ดำเนินธุรกิจอย่างมีทิศทาง และสร้างโอกาสขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า โครงการ TechBiz Starter ประจำปี 2563 เป็นโครงการที่จัดขึ้นเป็นปีแรก ซึ่งต่อยอดมาจาก “โครงการเถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี” ที่ดำเนินการจัดมามากกว่า 8 ปี โดยขยายขอบเขตและเปิดกว้างคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการมากขึ้น เพื่อสนับสนุนรวมถึงต่อยอดกลุ่มผู้ประกอบการใหม่หรือนักวิจัยที่เพิ่งเริ่มประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีนวัตกรรม และมีความต้องการที่จะวางแผนดำเนินธุรกิจอย่างมีทิศทางเพื่อสร้างโอกาสขยายธุกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยโครงการฯจะช่วยเพิ่มทักษะพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจที่ทันสมัยและครอบคลุม เช่น เทคนิคการสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ การเจรจาต่อรอง เทคนิคการขาย การทำแผนธุรกิจรายบริษัท รวมถึงได้รับโอกาสเยี่ยมชมบริษัทชั้นนำ และศูนย์แห่งชาติภายใน สวทช. การได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษามืออาชีพและมีประสบการณ์ตรงเฉพาะด้าน ตลอดจนโอกาสในการเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน เชื่อมโยงโอกาสทางการตลาด เช่น การออกบูธนิทรรศการ การเข้าประกวดเทคโนโลยีในเวทีต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมามีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 65 ราย และได้คัดเลือกผู้ที่มีแนวคิดทางธุรกิจ และความมุ่งมั่นที่ดี จำนวน 33 ราย    ซึ่งผ่านการอบรม และได้รับคำปรึกษาจากที่ปรึกษาของศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถดำเนินธุรกิจและเกิดรายได้รวมกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างยิ่ง“ในการเริ่มต้นธุรกิจ ปัจจัยที่สำคัญมาก นอกจากความมุ่งมั่นในการเป็นผู้ประกอบการที่ไม่ย้อท้อต่ออุปสรรคแล้วนั้น การพัฒนาผลงานที่ตรงตามความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว และมีความแตกต่างเหนือคู่แข่งก็มีความสำคัญเช่นกัน นอกจากความเก่งด้านเทคโนโลยีแล้ว ยังจะต้องมีเงินทุนเพื่อสนับสนุนการทำผลิตภัณฑ์ให้สำเร็จและสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ในช่วงเริ่มต้น” นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ กล่าว    โดยในงานครั้งนี้จะให้ผู้ประกอบการทั้ง 33 รายที่ผ่านการคัดเลือก นำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการที่เป็นนักลงทุนและนักธุรกิจผู้ที่มีประสบการณ์ในการเริ่มต้นและพัฒนาธุรกิจ และทำการคัดเลือกผลงาน 10 อันดับที่ได้รับคะแนนสูงสุด เพื่อรับรางวัล TechBiz Starter Funds ทุนสนับสนุน จำนวนเงิน 40,000 บาท และรางวัลพิเศษ Investor award รับทุนสนับสนุน 10,000 บาท ที่มอบให้กับผลงานที่น่าลงทุน จากคณะกรรมการที่เป็นนักลงทุนตัวจริง 1 รางวัล   โดยผลงานที่ได้รับรางวัล TechBiz Starter Funds มีดังนี้ 1. Smart Ironing Machine - เครื่องรีดผ้าอัจฉริยะ รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: เครื่องรีดผ้าอัจฉริยะ (Smart Ironing Machine) ที่สามารถทำให้ผ้าเรียบ ด้วยการใช้พลังลมร้อนแทรกตัวเข้าไปที่รอยยับอย่างตรงจุด แทนการใช้เตารีดรีดผ้าแบบเดิม ซึ่งเป็นการทำลายเนื้อผ้าและสีสันของผ้า จึงทำให้ผ้าหมองและเก่า นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนารูปแบบการรีดเสื้อผ้าได้หลายรูปแบบและหลายขนาด อีกทั้งยังสามารถขยายและเชื่อมต่อกับระบบนับและจำแนกเสื้อผ้าของแต่ละผู้ใช้และการแจ้งเตือนเมื่อจบการทำงานผ่านแอปพลิเคชั่น รวมถึงการขยายและเชื่อมต่อกับตู้เก็บเสื้อผ้า ซึ่งมีระบบ QR Code เพื่อป้องกันการสูญหาย พร้อมกับระบบหลังบ้านสรุปจำนวนเสื้อผ้าที่รีดรายวันและปริมาณไฟฟ้าที่ใช้, ระบบการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance), ระบบทำความสะอาดตัวเองพร้อมระบุสถานะการทำงาน และการอัพเดท Firmware แบบ Over-the-air เพื่อนำเครื่องรีดผ้าและระบบทั้งหมดนี้ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. Ezy Document - AI & Computer Vision จัดการเอกสารอัตโนมัติ รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: ระบบ ai และ Computer Vision สำหรับจัดการเอกสารและรูปภาพ ให้ทุกขั้นตอนเป็นระบบอัตโนมัติ ทำให้ช่วยลดเรื่องของค่าใช้จ่าย และเวลาในการจัดการเอกสารได้ หรือเพิ่มความรวดเร็วในการบริการได้ ตัวอย่างเช่น การทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคาร ที่ต้องรอสาขาเปิด รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร กรอกข้อมูลทีละใบๆ รอเจ้าหน้าที่อนุมัติ ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้อาจใช้เวลานานถึงสัปดาห์ ระบบของเราสามารถเข้าไปช่วยตั้งแต่การ คัดแยก อ่าน และวิเคราะห์เอกสาร ให้ขั้นตอนเหล่านี้เป็นอัตโนมัติ และสามารถลดเวลาได้เหลือเพียงแค่ 5 นาที นอกจากนี้ระบบของเรายังสามารถเข้าไปช่วยค้นหาเอกสารที่มีจำนวนมาก เราเข้าไปทำให้ระบบเอกสารสามารถค้นหาและหาเจอได้ทันที 3. Whale-ness Application - ผู้ช่วยด้านสุขภาพส่วนบุคคล รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: “Whale-ness Application” คือ “ผู้ช่วยด้านสุขภาพส่วนบุคคล” ที่จะช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลสุขภาพของเรา, วิเคราะห์ความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ, คอยให้คำแนะนำในการใช้ชีวิต และนำเสนอช่องทางในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่เหมาะสมให้กับเรา กลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งของเรามองเห็นปัญหาสำคัญร่วมกัน นั่นก็คือ “ปัญหาด้านสุขภาพ” ปัญหาที่พวกเราไม่อยากเจอ และไม่อยากให้คนที่เรารักต้องเจอเช่นกัน ไม่ว่าเทคโนโลยีการรักษาโรคจะพัฒนาดีขึ้นมากเท่าไหร่ แต่การรักษา ก็เป็นแค่ “การแก้ไข” หลังจากเกิดปัญหาขึ้นแล้ว มันย่อมต้องดีกว่าแน่ ๆ หากเราสามารถหาทางป้องกัน หรือลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเหล่านั้นให้กับเราได้ก่อน แอพพลิเคชั่นนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหวังที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญ ที่จะช่วยสร้างสุขภาพที่ดีให้กับตัวเราเองและคนที่เรารัก เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ กับพวกเขา และเพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับพวกเราทุกๆ คน 4. Aquatest 4.0 - อุปกรณ์ตรวจวัดสารเคมีปนเปื้อนในน้ำแบบดิจิตอล รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: Aquatest 4.0 เป็นเครื่องมือชนิดพกพาที่ใช้ในการตรวจวัดปริมาณสารเคมีปนเปื้อนในน้ำ โดยวัดความเข้มข้นของสีของน้ำตัวอย่างที่เปลี่ยนไปตามความเข้มข้นของสารเคมีในน้ำที่ทำปฏิกิริยาเคมีกับสารละลายทดสอบ ซึ่ง Aquatest 4.0 สามารถใช้ทดสอบคุณภาพน้ำได้ในหลายๆด้าน เช่น บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ บ่อน้ำทิ้งหลังจากการบำบัดจากโรงงานอุตสาหกรรม สีย้อมจากโรงงานสีย้อมผ้า และระบบน้ำประปา ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานเห็นแนวโน้มของสิ่งปนเปื้อนในน้ำ อันจะนำไปสู่การวางแผนในกระบวนการผลิตและการบำบัดน้ำเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป 5. ตู้น้ำมันหยอดเหรียญออนไลน์ รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: ตู้น้ำมันหยอดเหรียญ ออนไลน์ เป็นมากกว่าแค่ตู้เติมน้ำมันทั่วไป เพราะเราได้คิดนวัตกรรมเพื่อให้ตอบโจทย์กับลูกค้าและให้ทันกับยุคสมัยที่จะมีการนำเทคโนโลยี ระบบออนไลน์ และ Big data เข้ามาใช้ ตู้น้ำมันออนไลน์ โดยผู้ขายสามารถตรวจสอบข้อมูลน้ำมันคงเหลือภายในตู้ ข้อมูลผู้ใช้บริการ และข้อมูลอีกจำนวนมารถรวมถึงการตั้ง Promotion ในการขายได้เอง และนอกจากนี้ยังมีบริการอื่นๆ ร่วมด้วยในตู้น้ำมันหยอดเหรียญออนไลน์นี้ เช่น บริการเติมเงิน ชําระบิล และโอนเงิน และยังขยายไปยังการขายกาแฟและบริการอื่นๆได้อีกด้วย 6. สบายใจอาหารคลีน - เปลี่ยนเมนูอาหารตามสั่งธรรมดาทั่วไปให้เป็นอาหารที่คลีน รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: สบายใจอาหารคลีนเราเป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่ไม่มีหน้าร้านคอนเซ็ปต์ของอาหารร้านเรา เราเปลี่ยนเมนูอาหารตามสั่งธรรมดาทั่วไปให้เป็นอาหารที่คลีนแต่ไม่เปลี่ยนรสชาติในราคาที่เท่าเดิม ทางร้านไม่ได้มีแต่อาหารสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างเดียวเท่านั้นเรายังมีอาหารสำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ อีกด้วย เช่น โรคไตเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นโรคไตสิ่งแรกที่หมอจะแนะนำให้เปลี่ยนคือเรื่องของอาหารแต่ในปัจจุบันอาหารเพื่อสุขภาพมีราคาที่สูงมากค่าจัดส่งที่แพงมากและยังไม่มีการบันทึกข้อมูลโภชนาการอาหารที่สามารถวัดผลได้จริงและอาหารเพื่อสุขภาพเป็นอาหารที่หารับประทานยากสบายใจอาหารคลีนเลยเกิดมาเพื่อพวกนี้ เราแก้ปัญหาด้วย 2 วิธี คือ Application สั่งอาหารสบายใจกับระบบจัดการร้าน Back office 2 ส่วนนี้ส่งผลหลักๆ ทำให้เราสามารถขายอาหารคลีนได้ในราคาที่ถูกลงและยังสามารถบันทึกข้อมูลโภชนาการอาหารเพื่อไปใช้วัดผลต่อยอดทางด้านการแพทย์และด้วยระบบที่เรามีทำให้ในอนาคตสบายใจอาหารคลีนสามารถที่จะขยายสาขาเพื่อครอบคลุมพื้นที่ในประเทศไทยได้ 7. SKINSOFTT นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ป้องกันยุง สเปรย์ โลชั่น แผ่นแปะป้องกันยุง และเจลทาหลังยุงกัดแบบครบวงจร รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: สกินซอฟท์ SKINSOFTT ผลิตภัณฑ์กันยุงที่ได้นำนวัตกรรมสเปรย์กันยุงที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีนาโน มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ สเปรย์กันยุง, โลชั่นกันยุง, เจลกันยุง, สติกเกอร์ติดกันยุง และเจลทาแก้แพ้หลังยุงกัด ครอบคลุมทั้งสูตรธรรมชาติและสารสังเคราะห์สำหรับผู้ใหญ่และกลุ่มเด็กรวมทั้งสูตรธรรมชาติสำหรับเด็ก ผลิตภัณฑ์กันยุงสูตรนาโน ได้นำนวัตกรรมที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีนาโน ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์กันยุงนาโนอิมัลชั่นกักเก็บสารสังเคราะห์ ไอคาริดีน (ICARIDIN) ที่ออกฤทธิ์ไล่ยุงได้นานมากกว่า 7 ชั่วโมง ซึ่งสามารถป้องกันยุงได้นานกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังของผู้ใช้ โดยผ่านการทดสอบว่าปลอดภัย ด้วยอนุภาคนาโนอิมัลชั่นที่มีขนาดของอนุภาคระดับนาโนเมตร จึงส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีการกระจายตัวของการระเหยของสารออกฤทธิ์ได้ดี ผลิตภัณฑ์กันยุงสูตรธรรมชาติ ผลิตจากส่วนประกอบสมุนไพรธรรมชาติ ประกอบด้วย ยูคาลิปตัส และกานพลู ไม่มีส่วนประกอบสารเคมี DEET ออกฤทธิ์ไล่ยุงได้นานมากกว่า 4.4 ชั่วโมง ผลิตภัณฑ์กันยุงสูตรธรรมชาติสำหรับเด็ก ผลิตจากส่วนประกอบสมุนไพรธรรมชาติ ใช้เพื่อป้องกันยุงสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ยูคาลิปตัส กานพลู และเลม่อนยูคาลิปตัส ไม่มีสารเคมีน้ำหอม อ่อนโยนสำหรับเด็กผลิตภัณฑ์กันยุงสกินซอฟท์ผ่านมาตรฐาน NANOQ รับรองโดยสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย รวมถึงการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข 8. BEEP HPP Cold-Pressed - น้ำผลไม้สกัดเย็นแบบพรีเมี่ยมด้วยนวัตกรรม HPP รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: แบรนด์ BEEP ตั้งใจที่จะสร้างกลุ่มตลาดใหม่ขึ้นมา นั่นคือน้ำผลไม้สกัดเย็นแบบพรีเมี่ยมด้วยนวัตกรรม HPP จึงเป็นน้ำผลไม้สกัดเย็นรายแรกที่ใช้นวัตกรรม HPP (High Pressure Processing) ในการผลิตซึ่งเป็นการใช้แรงดันน้ำมหาศาลในการฆ่าเชื้อแทนความร้อน ทำให้เชื้อโรคและแบคทีเรียต่างๆ ลดลงสามารถเก็บสินค้าได้นานขึ้นถึง 30-45 วัน โดยที่กลิ่น และรสชาติยังคงเดิมทำให้สินค้าคงคุณภาพได้ยาวนานขึ้น อีกหนึ่งความโดดเด่นของแบรนด์ BEEP ก็คือกระบวนการผลิตที่สะอาด อัดแน่นด้วยคุณภาพทุกขวด ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ โดยการรับซื้อสินค้าจะต้องรับจากฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการเพาะปลูกที่ดี (GAP : Good Agricultural Practices) หรือเป็นผักผลไม้ที่ปลอดสารเท่านั้น 9. Medi JUICE - ผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยออริกาโน ในรูปแบบนาโนอีมัลชั่น เพื่อทดแทนยาปฏิชีวนะละลายน้ำสำหรับปศุสัตว์ รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: ผลิตภัณฑ์เมดิจูสซ์ เป็นผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีการนำพาแบบมุ่งเป้าของน้ำมันหอมระเหยจากน้ำมันออริกาโนและโหระพาธรรมชาติ ปรับโครงสร้างโมเลกุลเป็นอนุภาคนาโน เพื่อนำส่งสารสำคัญเข้าสู่อวัยวะเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยี NDS (Nano Delivery System) เมดิ-จูสซ์ออกแบบการออกฤทธิ์ในระบบทางเดินอาหารของสัตว์ ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ และปรับสมดุลของเชื้อจุลชีพในลำไส้ โดยยับยั้งเชื้อโรคที่ก่อปัญหา เช่น อี.โคไล ซัลโมเนลล่า และสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดปัญหาท้องเสีย ลดปัญหาจากเชื้อโปรโตซัว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมอาหาร ทำให้สัตว์เติบโตเร็วขึ้น ผลิตภัณฑ์นี้สามารถใช้ได้ในสัตว์ทุกประเภทและใช้ทดแทนยาปฏิชีวนะได้ เป็นเครื่องมือของฟาร์มปศุสัตว์สมัยใหม่ที่เน้นการผลิตปลอดภัยจากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร 10. ปันกันกรีน - ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแปรรูปมาจากผลไม้และพืชสมุนไพรจากธรรมชาติ รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: “ปันกันกรีน” คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดภายในบ้าน ที่แปรรูปมาจากผลไม้และพืชสมุนไพรธรรมชาติ ปลอดภัยต่อผู้ใช้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดคุณภาพสูง อาทิ น้ำยาล้างจานสูตรสับปะรด, น้ำยาซักผ้าสูตรน้ำผลไม้, น้ำยาปรับผ้านุ่ม สูตรน้ำมะละกอ, น้ำยาถูพื้นสูตรขมิ้นชัน, น้ำยาล้างจานสูตรขจัดกลิ่นคาวจากมะกรูด, น้ำยาล้างมือสูตรมะกรูด+ว่านหางจระเข้, น้ำยาล้างห้องน้ำสูตรน้ำหมักมะกรูด, น้ำยาขจัดคราบอเนกประสงค์จากน้ำด่างธรรมชาติ, มะกรูดอาบน้ำ และสบู่เหลวอาบน้ำ ด้วยส่วนผสมที่พิเศษจากน้ำผลไม้และสมุนไพรธรรมชาติ สูตรเฉพาะของปันกันกรีน จึงแตกต่างจากน้ำยาทำความสะอาดโดยทั่วไปอย่างเห็นชัด เพราะดูแลทุกขั้นตอนของการผลิตเอง จึงทำให้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติอย่างกว้างขวาง เพราะประสิทธิภาพที่ดีของผลิตภัณฑ์และราคาที่เหมาะสมสามารถซื้อใช้ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ใช้บอกต่อกัน อีกทั้ง ปันกันกรีน ได้แบ่งปันผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดประเภทกดเติม (Refill) ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการนำขวดกลับมาใช้ซ้ำและช่วยลดปริมาณขยะ ส่วนน้ำทิ้งที่เกิดจากการชำระล้าง ยังมีจุลลินทรีย์ที่ดีช่วยย่อยสลายสิ่งปฎิกูลในน้ำ ไม่เป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย รางวัลพิเศษ Investor award รับทุนสนับสนุน 10,000 บาท ที่มอบให้กับผลงานที่น่าลงทุน จากคณะกรรมการที่เป็นนักลงทุนตัวจริง 1 รางวัล ได้แก่ บริษัท เฟรชเชอร์ คิทเช่น จำกัด กับผลงาน BEEP HPP Cold-Pressed - น้ำผลไม้สกัดเย็นแบบพรีเมี่ยมด้วยนวัตกรรม HPP รายละเอียดผลิตภัณฑ์ :: แบรนด์ BEEP ตั้งใจที่จะสร้างกลุ่มตลาดใหม่ขึ้นมา นั่นคือน้ำผลไม้สกัดเย็นแบบพรีเมี่ยมด้วยนวัตกรรม HPP จึงเป็นน้ำผลไม้สกัดเย็นรายแรกที่ใช้นวัตกรรม HPP (High Pressure Processing) ในการผลิตซึ่งเป็นการใช้แรงดันน้ำมหาศาลในการฆ่าเชื้อแทนความร้อน ทำให้เชื้อโรคและแบคทีเรียต่างๆ ลดลงสามารถเก็บสินค้าได้นานขึ้นถึง 30-45 วัน โดยที่กลิ่น และรสชาติยังคงเดิมทำให้สินค้าคงคุณภาพได้ยาวนานขึ้น อีกหนึ่งความโดดเด่นของแบรนด์ BEEP ก็คือกระบวนการผลิตที่สะอาด อัดแน่นด้วยคุณภาพทุกขวด ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ โดยการรับซื้อสินค้าจะต้องรับจากฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการเพาะปลูกที่ดี (GAP : Good Agricultural Practices) หรือเป็นผักผลไม้ที่ปลอดสารเท่านั้น
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สกสว.-สวทช.-วช. ผนึกกำลังโชว์สินค้านวัตกรรม SMEs พร้อมมอบรางวัล Innovative house awards 2020 หวังกระตุ้นใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ
For English-version news, please visit : NSTDA, NRCT and TSRI teams up to support innovation in SMEs 2 พฤศจิกายน 2563 ณ ห้องลิโด้ คอนเน็คท์ ฮอล 2 (Lido Connect Hall 2) ลิโด้ คอนเน็คท์ กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) และ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมลงนามใน “บันทึกข้อตกลงการดำเนินงานและการโอนการดำเนินงาน ภายใต้โครงการการสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง (ระยะที่ 3)” โดยมุ่งหวังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนบนฐานความรู้ ภายใต้แนวคิด “วิจัยได้...ขายจริง” ผ่านกลไกการทำงานของโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. และชุดโครงการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative house วช. โดยการจัดสรรทุนวิจัยจาก สกสว. ให้แก่นักวิจัย คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอางและเวชสำอาง ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ระบุว่า จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. ได้ร่วมกับ สกสว. ในการดำเนินงานภายใต้โครงการนี้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 ซึ่ง สวทช. ได้มุ่งเน้นในการสนับสนุนงานวิจัยและสนับสนุนให้มีการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในภาคส่วนต่างๆ รวมไปถึงภาคอุตสาหกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถให้แก่ภาคอุตสาหกรรมจนสามารถสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs โดยในงานนี้ได้นำผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการดำเนินงานมาร่วมจัดแสดง 110 โครงการ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้ามากกว่า 135 ผลิตภัณฑ์ จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ 88 ราย โดยมีการทำงานเชื่อมโยงกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อเพิ่มช่องทางและโอกาสในการจัดจำหน่ายสินค้า โดยในปีนี้ สวทช. ยังได้ร่วมมือกับ สกสว. และ วช. ดำเนินงานในโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมในกลุ่มอาหาร เครื่องสำอางและเวชสำอาง และมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศ รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) เผยว่า โครงการนี้มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในการสนับสนุนทุนวิจัยด้วยการสร้างองค์ความรู้ ที่เหมาะสมผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับการจัดการด้านธุรกิจและการใช้แนวความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และผลักดันสินค้าจากผลงานวิจัยไปสู่การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมและจำหน่ายจริงในเชิงพาณิชย์ รวมถึงสนับสนุนให้นักวิจัยในมหาวิทยาลัยมีโอกาสพัฒนาศักยภาพในการทำงานวิจัยร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs ทำให้ได้ประสบการณ์การทำงานแบบบูรณาการร่วมกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวนโยบายที่ สกสว. มุ่งหวังให้งานวิจัยและพัฒนาเข้าถึงกลุ่มผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้นและสร้างความแตกต่างของสินค้าในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง รองผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการ วช. เผยว่า วช. มีความยินดีที่จะร่วมดำเนินการในโครงการนี้ เนื่องจากเป็นการดีที่จะได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยจะร่วมกับ สวทช. และ สกสว. ในการบริหารจัดการงานวิจัยตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อผลักดันงานวิจัยที่เกิดขึ้นให้สามารถจัดจำหน่ายได้ในเชิงพาณิชย์ โดยในโครงการนี้มีรูปแบบทุนวิจัย 2 รูปแบบ คือ 1) กลุ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างสินค้านวัตกรรม และ 2) กลุ่มการวิจัยในระดับปฏิบัติการ เพื่อพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตในระดับอัพสเกล เพราะเมื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้แล้วยังคงต้องศึกษาด้านต่าง ๆ ในเชิงลึกยิ่งขึ้น เช่น การวิเคราะห์สารชีวภาพ คุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงการพัฒนากระบวนการผลิตระดับอัพสเกล เป็นต้น เพื่อให้โครงการรองรับความต้องการของผู้ประกอบการ ได้ครอบคลุมยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs ได้ดี ในงานดังกล่าวนี้ ได้จัดให้มีการเสวนา เรื่อง “กว่าจะได้งานวิจัยที่พร้อมจะขายจริงในเชิงพาณิชย์” โดย คุณชณา วสุวัต (บริษัท แวลู ซอร์สซิ่ง จำกัด) คุณสรัลภัค จิรโรจน์วัฒน (บริษัท บี-สไมล์ จำกัด) และคุณวิรวัฒน์ เปี่ยมวิวัติกุล (บริษัท พรทิพย์พรีเมี่ยม จำกัด) ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับความรู้และแนวทางในการดำเนินธุรกิจจนประสบผลสำเร็จ พร้อมทั้งได้จัดแสดงผลงานนวัตกรรมอาหาร เครื่องสำอางและเวชสำอาง จาก “โครงการการสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระยะที่ 2” โดยการจัดแสดงผลิตภัณฑ์จากผลงานวิจัยจาก 110 โครงการ (จำนวน 135 ผลิตภัณฑ์) จาก 8 กลุ่มงานวิจัย ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม อาหารพร้อมรับประทาน อาหารพร้อมปรุง ผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนประกอบอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ขนมหวาน และผลิตภัณฑ์สมุนไพรและเวชสำอาง สำหรับพิธีมอบรางวัล Innovative house awards 2020 และการประกาศผลรางวัลผลงานวิจัยเด่นในแต่ละด้าน 12 รางวัล ประกอบด้วย - รางวัลผู้ประกอบการดีเด่น คุณสุรวิชญ์ ทิพยารมณ์ (บริษัท โกลบอล พาร์ทเนอร์ อินเตอร์ฟู้ด จำกัด) คุณธนาวัฒน์ โพธิ์เผื่อนน้อย (บริษัท พี.พี.เอ็น.ฟู้ดส์ จำกัด) คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน (บริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด) คุณสวรรพิศา จงเพิ่มวัฒนะผล (บริษัท ช.โปรเซสซิ่งฟู้ด จำกัด) และ คุณบัณฑิตา ใจวิสุทธิ์หรรษา (บริษัท โอเมก้า 3,6, 9 แอนด์ไลโคปีน จำกัด) - รางวัลออกแบบบรรจุภัณฑ์เด่น ผลิตภัณฑ์เฝอพร้อมรับประทาน (บริษัท วินนา จำกัด) ออกแบบโดย ผศ.ดร.ธเนศ ภิรมย์การ และคณะ (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) - รางวัลผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ซุปก้อนทุเรียน (บริษัท พรทิพย์ พรีเมี่ยม จำกัด) วิจัยและพัฒนาโดย ผศ.ดร.อรรณพ ทัศนอุดมและคณะ (สาขาอุตสาหกรรมเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก) - รางวัลผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ผลิตภัณฑ์น้ำพริกแซลมอนพร้อมรับประทาน (บริษัท พี.พี.เอ็น.ฟู้ดส์ จำกัด) วิจัยและพัฒนาโดย ดร.กฤติยา เขื่อนเพชร (สาขาเทคโนโลยีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) - รางวัลผลิตภัณฑ์แนวคิดสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวจากจิ้งหรีด (บริษัท อินเซ็ค โปรตีน จำกัด) วิจัยและพัฒนาโดย ผศ.ดร.อรรณพ ทัศนอุดมและคณะ (สาขาอุตสาหกรรมเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก) - รางวัลทีมวิจัยดีเด่น ผศ.ดร. สุชาดา ไม้สนธิ์ และคณะ (สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร) - รางวัลทีมวิจัยสร้างสรรค์ ผศ.ดร. พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ และคณะ (สาขาวิชาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) - รางวัล Popular Vote ผลิตภัณฑ์เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม  (บริษัท ฟู้ด โคเวอรี่ จัดกัด) นายบดินทร์ เจริญพงศ์ชัย หากผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการนี้สามารถติดต่อไปได้ที่ ชุดโครงการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative house วช. ติดต่อได้ที่เบอร์ 034-106238 หรือ www.innovativehouse.org และเพจเฟสบุค Innovative house Shift & Go beyond Boundaries
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายใต้ร่มพระบารมี
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เสริมแกร่งเยาวชน จัดอบรม การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน
ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิริธร - 30 ตุลาคม 2563 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งด้วยบอร์ด KidBright ให้แก่ครูและนักเรียนพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว เพื่อสร้างพื้นฐานความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียน เพื่อมุ่งสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ในการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ 1” ในครั้งนี้  เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ในการใช้งานบอร์ด KidBright ซึ่งเป็นบอร์ดสมองกลฝังตัว ผลงานวิจัยของ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ให้แก่ครูและนักเรียนพิการจากโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน และโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหวในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษทั่วประเทศ จำนวน 26 โรงเรียน   ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้มีครูและนักเรียนพิการเข้าร่วมการอบรมจำนวน 9 โรงเรียน เป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 6 โรงเรียน และโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว 3 โรงเรียน การอบรมในโครงการมีทั้งหมด 3 หลักสูตร ตั้งแต่การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐานไปจนถึงการจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัว  สำหรับการอบรมในครั้งนี้ และเพื่อเป็นการพัฒนาและต่อยอดความรู้จากการทำโครงงานในครั้งนี้ สวทช.จึงมอบบอร์ด KidBright  ให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมอบรมทั้ง 9 โรงเรียน ๆ ละ 50 บอร์ด เพื่อให้ครูและนักเรียนที่เข้าร่วมอบรมได้ฝึกใช้ที่โรงเรียนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนโค้ดดิ้งให้แก่นักเรียนคนอื่นๆ ในโรงเรียนอีกด้วย   ทางด้าน อาจารย์ที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ น.ส.พรพิมล เจี้ยวบุตร ครูผู้ช่วยโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดพังงา กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมว่า ดีใจที่ทางหน่วยงานภาครัฐให้ความสำคัญถึงการพัฒนาเยาวชนในหลายภาคส่วนทำให้ทางโรงเรียนได้มีโอกาเข้ามาร่วมในกิจกรรมที่ดี และสามารถนำไปต่อยอดสำหรับการเรียนการสอนให้เด็กๆสนใจมากขึ้น การอบรมในครั้งนี้ทำให้เด็กได้เข้าถึงเทคโนโลยีและเด็กทุกคนให้ความสนใจมาก และนายธนพิพัฒน์ บุญชูวดีสกุล ครูผู้สอนโรงเรียนโสตศึกษาเทพรัตน์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้พูดถึงการที่เข้ามาร่วมในกิจกรรมนี้มีความประทับใจมาก เป็นโครงการที่ทำให้เด็กมีความรู้เพิ่มเติม ได้คิดในรูปแบบมุมมองทางวิทยาศาสตร์ ร่วมถึงอาจารย์ที่มาด้วยก็สามารถนำความรู้ไปใช้ต่อได้ในการเรียนการสอน และอยากให้กิจกรรมลักษณะนี้เกินขึ้นบ่อยจะทำให้เด็กมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้และพัฒนาต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
 
สวทช. จัดงาน NSTDA Homecoming Day 2020 คืนสู่เหย้าศิษย์เก่า-ปัจจุบันชมรมนักเรียนทุน
บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ชมรมนักเรียนทุน สวทช. จัดงาน NSTDA Homecoming Day 2020 รวมศิษย์เก่าและปัจจุบันชมรมนักเรียนทุน สวทช. เช่น ทุน JSTP (Junior Science Talent Project ), ทุน JAIST (Japan Advanced Institute of Science and Technology), ทุน TAIST (Thailand Advanced Institute of Science and Technology and Tokyo Institute of Technology), ทุน TGIST (Thailand Graduate Institute of Science and Technology) เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนทุนได้พบผู้บริหาร สวทช. และทราบถึงวิสัยทัสน์และทิศทางในการดำเนินงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมด้วยการบรรยายพิเศษจาก ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ทั้งนี้ ภายในงานยังได้รับเกียรติจากที่ปรึกษาอาวุโส สวทช. 3 ท่าน นำโดย ศ.เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล และ ศ.ดร.มรกต ตันติเจริญ พร้อมด้วย ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมงาน โดยมีการเสวนาพิเศษ ในหัวข้อ “ต้นน้ำ กลางน้ำ กับปลายทางการพัฒนากำลังคน” โดย ศ.เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ และ ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.วรวุฒิ สมศักดิ์ ศิษย์เก่านักเรียนทุน TGIST และเปิดเวทีแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตนักเรียนทุน สวทช. โดย รศ.ดร.ทวีธรรม ลิมปานุภาพ ผศ.ดร.ณัฐพล จันทร์พาณิชย์ คุณสมพร ไตรปาน เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และเป็นแรงบันดาลใจบนเส้นทางสายอาชีพนักวิทยาศาสตร์ให้นักเรียนทุนในรุ่นปัจจุบันต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เตรียมรับมือ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) สำหรับอุตสาหกรรมทางการแพทย์
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) งานส่งเสริมธุรกิจซอฟต์แวร์ ฝ่ายบริหารเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (SWP)  ร่วมกับ โครงการบริหารจัดการนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ทางด้านการแพทย์ (IM Health) และ สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) จัดงาน "สัมมนาเพื่อเรียนรู้และรับมือ พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) สำหรับอุตสาหกรรมทางการแพทย์" โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลทางการแพทย์ใน สวทช. มีความเข้าใจกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ Personal Data Protection Act (PDPA) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 27 พ.ค. 2564  สามารถนำไปปฏิบัติและประยุกต์ใช้กับงาน ให้เกิดความปลอดภัยต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริการทางการแพทย์ของหน่วยงาน ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นางสุวิภา วรรณสาธพ รองผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช. ร่วมเป็นประธานเปิดงาน โดยในการบรรยายครั้งนี้ ดร. มนต์ศักดิ์ โซ่เจริญธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายเดตาโซลูชันภาครัฐ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) และที่ปรึกษาเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) กล่าวถึง คำนิยามของมาตราที่เกี่ยวข้องในกฎหมาย ตลอดจนช่วยขยายภาพกว้างของ พ.ร.บ.ดังกล่าว พร้อมด้วย คุณมนัสศิริ จันสุทธิรางกูร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ จาก บริษัท บิ๊กฟิช เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด ได้เล่าเสริมถึงความรู้ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์และปัญหาที่เกิดขึ้นกับข้อมูลส่วนตัวและกรณีศึกษาทางการแพทย์จากในประเทศและต่างประเทศรวมถึงแนวทางป้องกัน รวมไปถึงทีมผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายจากบริษัท ONE LAW OFFICE พูดถึงความรู้ด้านภาพรวมกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่มีผลต่ออุตสาหกรรมทางการแพทย์ในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา  สหภาพยุโรป และสิงคโปร์ ในครั้งนี้การจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพิ่มเติมเพื่อให้คำปรึกษาแก่นักวิจัยที่พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ และบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลทางการแพทย์ เพื่อเตรียมความพร้อมของการประกาศใช้ พ.รบ. ทั้งนี้ ได้รับความสนใจจากนักวิจัย, วิศวกร, บุคลากร และพันธมิตรที่มีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลการแพทย์ใน สวทช. จำนวนรวมทั้งสิ้นเกือบ 100 ราย โดยได้มีการจัดสถานที่ในรูปแบบการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distance) ตามมาตรการของสำนักงานเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ COVID-19
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. โดย STKS และ ม.เกษตรศาสตร์ โดย สำนักหอสมุด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ การจัดการสารสนเทศและองค์ความรู้
(วันที่ 27 ตุลาคม 2563) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดพิธีลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ การจัดการสารสนเทศและองค์ความรู้” ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น 5 สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อเป็นพันธมิตรการจัดการและบริการสารสนเทศและองค์ความรู้ ช่วยสนับสนุนการเรียนการสอน การวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย และบุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน ในการนี้ได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ลดาวัลย์ พวงจิตร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมแสดงความยินดีและเป็นพยานในการลงบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดยมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และนางวนิดา ศรีทองคำ ผู้อำนวยการสำนักหอสมุด ร่วมลงนามในครั้งนี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ความร่วมมือ คือ ร่วมกันพัฒนาระบบสนับสนุนการจัดการองค์ความรู้ผ่านโครงการระบบสื่อสาระออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ทางไกลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 ร่วมกันให้บริการสารสนเทศห้องสมุดสนับสนุนการวิจัย เพื่อเกิดการแบ่งปันและใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกันอย่างประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อประโยชน์สนับสนุนการเรียนการสอน การวิจัยและพัฒนาบุคลากรของทั้งสองสถาบัน เพื่อให้เกิดความคุ้มทุนในการจัดหาและใช้ทรัพยากรฯ ร่วมกันพัฒนาให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์หรือองค์ความรู้ หรือเทคโนโลยีสำหรับบุคลากร รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยอาศัยสื่อออนไลน์ และสื่ออื่นที่อาจมีขึ้นในอนาคตอย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ ทั้งนี้ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่จะทำให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการ การจัดการสารสนเทศและองค์ความรู้ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการปฏิบัติงานและพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ของไทยอย่างยั่งยืนต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ สรพ. หนุนโรงพยาบาลระยองใช้ “ริสแบนด์” ตัวช่วยแพทย์ระบุตัวผู้ป่วยฉุกเฉิน ตอบโจทย์ “ถูกต้อง-รวดเร็ว-แม่นยำ” เตรียมก้าวสู่การเป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี ร่วมกับสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. ริเริ่มโครงการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข หรือ 2P @Safety Tech (Patient and Personnel at Safety Technology Awards)  จับคู่ธุรกิจซอฟต์แวร์กับโรงพยาบาลระยอง พัฒนา“ระบบระบุตัวตนผู้ป่วยแผนกฉุกเฉิน” ช่วยลดความเสี่ยง ลดขั้นตอนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวถึงแนวคิดโครงการ 2P @Safety Tech ว่า สวทช. ร่วมกับ สรพ. ในการประสานความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลและผู้ประกอบการเทคโนโลยีด้านสุขภาพและการแพทย์ เพื่อนำนวัตกรรมมาช่วยให้ระบบงานบริการในโรงพยาบาลสะดวกและง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรการแพทย์ ซึ่งโครงการฯ นี้เริ่มเมื่อปี 2561 โดย สรพ. ได้เปิดโอกาสให้โรงพยาบาลที่มีความต้องการจะยกระดับการบริการได้ระบุปัญหาในรูปแบบข้อเสนอโครงการที่มีโอกาสที่จะนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมาช่วยแก้ปัญหา ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าโรงพยาบาลจะต้องมีความพร้อมที่จะนำไปใช้ให้แก้ปัญหาและเกิดประโยชน์ได้จริง จากนั้นทาง สรพ. และ สวทช. จะนำข้อเสนอโครงการมาพิจารณาคัดเลือกและจับคู่กับ นักวิจัย นวัตกรหรือผู้ประกอบการเทคโนโลยีที่ สวทช.มี เพื่อนำเทคโนโลยีไปใช้แก้ปัญหาและยกระดับการบริการตามข้อเสนอโครงการของโรงพยาบาล สวทช. นำกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) มาช่วยวิเคราะห์ปัญหาให้ชัดเจน เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์และนักนวัตกรได้ร่วมคิดร่วมทำงานกัน เกิดความคิดริเริ่มในการพัฒนานวัตกรรมต้นแบบหรือนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วและสอดคล้องกับบริบทปัญหาของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการฯ จะเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี ออกแบบโมเดลธุรกิจที่สามารถขยายผลไปยังโรงพยาบาลอื่นที่มีปัญหาเช่นเดียวกัน รวมถึงยังคอยเสาะหาและดึงกลไกให้ทุนสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นการพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาภายใต้แนวคิด Open Innovation แพทย์หญิงปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ รองผู้อำนวยการ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) กล่าวว่า สรพ. เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนมาตรฐานคุณภาพการให้บริการในสถานพยาบาลทั่วประเทศ และโครงการฯ นี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขับเคลื่อนนโยบายความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้โรงพยาบาลในโครงการ 2 P Safety Hospital ได้พัฒนานวัตกรรมสำหรับแก้ไขปัญหา อุบัติการณ์ความเสี่ยงตามแนวทางเป้าหมายความปลอดภัย Patient and Personnel Safety Goal (SIMPLE) 2 ภายใต้แนวคิด Human Factor Engineering “วิศวกรรมปัจจัยมนุษย์” ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการลดความผิดพลาดในการทำงานของมนุษย์ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ “ผู้ป่วยปลอดภัย เราก็ปลอดภัย” จากความร่วมมือกับ สวทช. ที่ผ่านมา ได้มีโรงพยาบาลทั่วประเทศที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ 2P@Safety แล้วจำนวน 37 แห่ง จากที่สมัครมามากกว่า 120 แห่ง พร้อมด้วยบริษัทเทคโนโลยี 15 ราย ขณะนี้สามารถพัฒนานวัตกรรมต้นแบบที่นำไปใช้จริงในโรงพยาบาลรวม 14 ผลงานแล้ว ซึ่งทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างมาก โรงพยาบาลระยองก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จของโครงการที่นำนวัตกรรมมาให้แก้ไขปัญหาของบุคลากรที่ปฎิบัติงานห้องฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสมและตอบโจทย์ตรงกับความต้องการ สามารถระบุตัวตนได้อย่างแม่นยำและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น นายแพทย์ไชยสิทธิ์ เทพชาตรี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลระยอง กล่าวถึงแนวคิดสำคัญของ “ระบบระบุตัวตนผู้ป่วยแผนกฉุกเฉิน” ว่า ด้วยนวัตกรรมริสแบนด์นั้น เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินที่ต้องการระบุตัวผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาการระบุตัวผู้ป่วยได้แม่นยำและสามารถใช้ข้อมูลในการระบุตัวตน บันทึกการทำหัตถการต่างๆ และนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์การทำงานร่วมกัน ทำให้ลดการบันทึกซ้ำที่ไม่จำเป็น ซึ่งอุปกรณ์ต้องมีความสะดวกต่อผู้ใช้งาน และมีความคุ้มทุนต่อโรงพยาบาล โดยระบบฯ สามารถระบุข้อมูลพื้นฐานสำคัญของผู้ป่วยอย่างน้อย 13 ฐานข้อมูล ซึ่งจากการเก็บข้อมูลวิจัยพบว่ามีความแม่นยำถึง 100% และสามารถลดระยะเวลาการสอบถามประวัติพื้นฐานผู้ป่วย ทำให้การรักษารวดเร็วแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้นในการระบุตัวผู้ป่วย ซึ่งในปัจจุบันมีการนำมาใช้กับผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินทุกประเภทความรุนแรง โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน ทำให้เกิดการพัฒนาในตัวอุปกรณ์และระบบ เพื่อสอดคล้องกับการทำงานมากขึ้น เป็นต้นแบบให้กับทุกโรงพยาบาลที่เข้ามาศึกษาดูงานและนำไปปรับใช้กับโรงพยาบาลของตนจนทำให้เกิดกระแส 2P safety ที่มากขึ้นในห้องฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาล   “โรงพยาบาลมีแผนจะนำระบบฯ ไปใช้กับทุกหน่วยงานและติดตัวผู้ป่วยจากห้องฉุกเฉินจนถึง หอผู้ป่วยในหรือกลับบ้าน นอกจากนี้ยังพัฒนาในส่วนของการการระบุอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญว่าอยู่  ส่วนไหนของโรงพยาบาล  เพื่อเพิ่มประสิทธิในการค้นหาที่รวดเร็วมากขึ้น ส่วนทางด้านห้องฉุกเฉินจะพัฒนาในการช่วยบันทึกข้อมูลการทำหัตถการต่าง ๆ การบันทึกเหตุการณ์การรักษา ลดการจดกระดาษและนำข้อมูลมาวิเคราะห์แบบเรียลไทม์มากยิ่งขึ้น  และที่สำคัญจะมีแผนพัฒนาปรับใช้ในการเก็บข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มโรงงานที่สามารถนำไปใช้กับพนักงานที่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงกับสุขภาพ นำไปสู่ข้อมูลการดูแลสุขภาพและโรคที่มีโอกาสเกิดกับวัยทำงาน โดยผ่านโครงการ HTE (Health promotion, Tertiary care and Emergence response project : HTE) ของโรงพยาบาลที่มีการผลักดันนโยบายและให้มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ด้วย”นายแพทย์ไชยสิทธิ์ กล่าว นายเอกศักดิ์ โอศิริพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินเทลลิเจ็นซ์ ซิสเท็ม คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด กล่าวว่า จากการทำงานร่วมกับทีมแพทย์แผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลระยองพบว่า “ถ้าระบุตัวคนไข้ผิด การรักษาที่ให้ก็จะผิดตามไปด้วย” ดังนั้น “การระบุตัวตนคนไข้ให้ถูกต้อง” ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดของการเริ่มต้นการรักษา จึงเป็นที่มาของการใช้ริสแบนด์ “ระบบระบุตัวตนผู้ป่วยแผนกฉุกเฉิน”(RFID Patient Tracking & Identification) ซึ่งประกอบด้วยข้อมูล 4 ส่วน คือ 1) ระบุตัวตนผู้ป่วย ช่วยให้ทีมแพทย์สามารถแยกประเภทผู้ป่วยได้ตั้งแต่แรก โดยแบ่งสีของริสแบนด์ตามระดับความรุนแรงของผู้ป่วยเป็น สีแดง-ชมพู-เหลือง-เขียว และขาว ทำให้ลดขั้นตอนการตรวจสอบและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา 2) ติดตามการรักษา ระบบสามารถเก็บบันทึกประวัติการรักษาและประวัติความรุนแรงของผู้ป่วยเพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ดูรายงานสถานะคนไข้แบบเรียลไทม์ 3) นำข้อมูลการรักษามาวิเคราะห์ เพื่อสรุปผลการทำงานและปรับปรุงพัฒนาการรักษาให้ดีขึ้น 4) มีหน้าแสดงผลหน้าจอ เพื่อสะท้อนภาพรวมการทำงาน   “เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นและสามารถกลับบ้านได้แล้ว ทางโรงพยาบาลก็จะนำ ริสแบนด์มาลบข้อมูลประวัติการรักษาของผู้ป่วยทันที และสามารถนำริสแบนด์กลับมาใช้ซ้ำได้ถึง 200,000 ครั้ง ในอนาคตหากมีการขยายผลการใช้ไปยังแผนกอื่นๆ ของโรงพยาบาลแล้ว ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยลดขั้นตอนการทำงานของทีมแพทย์ ผู้ป่วยก็จะได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที และเพื่อเป็นมาตรฐานการทำงานเดียวกันทั้งโรงพยาบาล และเตรียมขยายผลไปสู่โรงงานอุตสาหกรรมในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อใช้ในงานส่งเสริมสุขภาพของบุคลากรในโรงงานต่อไป” นายเอกศักดิ์กล่าวในตอนท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
โปรแกรม ITAP สวทช. อว. หนุนผู้ประกอบการ สร้างรถเคลื่อนที่อัตโนมัติประเภทนำทางด้วยเส้น ขนส่งของอัตโนมัติให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาลชลบุรี
ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดย โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้การสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ แก่ผู้ประกอบการบริษัท ทริปเปิ้ล เอ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ผลิตรถเคลื่อนที่อัตโนมัติประเภทนำทางด้วยเส้น สำหรับช่วยขนส่งของอัตโนมัติซึ่งใช้งานจริงที่โรงพยาบาลชลบุรี จังหวัดชลบุรี เพิ่มความปลอดภัยจากการแพร่กระจายเชื้อโรค พร้อมช่วยลดภาระงานบุคลากรในโรงพยาบาล นางสาวชนากานต์ สันตยานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโส โปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า โปรแกรม ITAP สวทช. เป็นหน่วยงานบริการสนับสนุน ภายใต้การกำกับดูแลของศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ของ สวทช. ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจอย่าง SME ทั้งด้านเงินทุนสนับสนุนและการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นการเชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมสู่การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้วยกลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งโปรแกรม ITAP สวทช. มีประสบการณ์ในการยกระดับเทคโนโลยีแก่ภาคเอกชนมากกว่า 4,000 โครงการ มีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับภาคเอกชนกว่า 1,300 คน และมีพันธมิตรเชื่อมโยงกับหน่วยงานสนับสนุนอื่น ๆ เช่น ทางด้านการเงิน การตลาด เป็นต้น โดยในส่วนของผู้ประกอบการ บริษัท ทริปเปิ้ล เอ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ได้รับการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจากโปรแกรม ITAP โดย อาจารย์อนุกูล สุคโต ผู้เชี่ยวชาญจากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในการช่วยให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิค ซึ่งได้เริ่มต้นโครงการจากโจทย์ที่ต้องการเพิ่มช่องทางธุรกิจระบบรถเคลื่อนที่อัตโนมัติ ที่พบว่าการลงทุนที่จัดจำหน่ายโดยบริษัทข้ามชาติ ยังมีราคาค่อนข้างสูง ทางบริษัทจึงเกิดแนวคิดที่จะผลิตและจำหน่ายรถเคลื่อนที่อัตโนมัติ ภายใต้แบรนด์ของบริษัท ซึ่งได้เริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2562 และเสร็จสิ้นวันที่ 15 สิงหาคม 2563 โดยมีการนำไปใช้งานจริงแล้วที่โรงพยาบาลชลบุรี นายอนุกูล สุคโต ผู้เชี่ยวชาญจากโปรแกรม ITAP และอาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า สิ่งที่ให้การสนับสนุนทางบริษัทฯ เป็นเรื่องของการให้คำปรึกษา รวมถึงให้ข้อมูลทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในการผลิตรถเคลื่อนที่อัตโนมัติ พร้อมกับแนะนำช่องทาง รวมถึงแหล่งในการจัดหา จัดซื้ออุปกรณ์ เพื่อประหยัดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น จนเกิดเป็นรถเคลื่อนที่อัตโนมัติประเภทนำทางด้วยเส้นได้สำเร็จตามที่ผู้ประกอบการตั้งใจไว้ ซึ่งในอนาคตโครงการนี้ยังสามารถนำมาต่อยอดพัฒนาเพิ่มเติมทางด้านระบบขับเคลื่อนให้มีการตอบสนองที่รวดเร็วและแรงบิดที่สูงขึ้นพร้อมการทำระบบ OEE (Overall Equipment Effectiveness) เพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมด้านขนถ่ายวัสดุอย่างเต็มรูปแบบได้ นายพงษ์เจริญ รัชตะธรรมสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริปเปิ้ล เอ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ ซัพพลาย จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เริ่มดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2549 ธุรกิจหลักคือ ให้คำปรึกษา ออกแบบ สร้างเครื่องจักรและติดตั้งระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร ซึ่งบริษัทต้องการมองหาช่องทางธุรกิจประเภทอื่นเพิ่ม โดยพิจารณาจากทรัพยากรที่บริษัทมีอยู่แล้ว พบว่าในตลาดมีความต้องการในเรื่องของระบบอัตโนมัติ จึงมีความต้องการที่จะผลิต รถขนส่งของอัตโนมัติ (AGV: Automated Guide Vehicle) และตัดสินใจขอรับการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ จากโปรแกรม ITAP สวทช. ในการทำวิจัยตลาดเรื่องความเป็นไปได้ของการผลิตรถเคลื่อนที่อัตโนมัติหรือ AGV เพื่อจำหน่าย ทำให้ทราบและเห็นช่องทางในการที่พัฒนาสินค้าให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้า ทำให้ทางบริษัทฯ เห็นความสำคัญในการเร่งพัฒนารถเคลื่อนที่แบบอัตโนมัติ ประเภทนำทางด้วยเส้น ที่มีข้อดีคือราคาถูกกว่าระบบนำทางประเภทอื่นและสามารถหยุดจอดตามจุดที่กำหนดได้ค่อนข้างแม่นยำ จึงเป็นที่มาของการขอรับการสนับสนุนจากโปรแกรม ITAP สวทช. อีกเป็นโครงการที่ 2 เพื่อผลิตรถเคลื่อนที่อัตโนมัติหรือ AGV จนสำเร็จเป็นผลงานที่ใช้ได้จริงตามที่ต้องการ           แพทย์หญิงจิรวรรณ อารยะพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชลบุรี กล่าวว่า จากการนำผลงานดังกล่าวมาใช้งานจริงที่โรงพยาบาลชลบุรี พบว่าสามารถช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในส่วนของการนำอาหารหรือสิ่งของต่าง ๆ ส่งให้ผู้ป่วย เนื่องจากต้องนำส่งหลายรอบต่อวัน ทำให้โรงพยาบาลสามารถปรับลดจำนวนเจ้าหน้าที่เพื่อไปช่วยเหลือในส่วนงานอื่น ๆ ที่สำคัญได้มากขึ้น เพราะสามารถใช้เจ้าหน้าที่เพียง 1 คน ในการควบคุมรถได้ตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งสิ้นสุด เป็นการลดระยะเวลาในการทำงาน ทำให้งานเสร็จได้เร็วขึ้น ลดปริมาณการใช้ชุด PPE และอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำให้การจัดการใช้อุปกรณ์ PPE เพียงพอใช้งานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค และลดการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกับผู้ป่วย และสิ่งแวดล้อม ทำให้ปลอดภัยต่อบุคลากรและผู้ป่วยที่อาจได้รับเชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อมภายนอกอีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อว. สวทช. เสริมแกร่งหน่วยบ่มเพาะธุรกิจหนุนสร้างนวัตกรรมที่ยั่งยืน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (ทีเอ็มซี) ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี เดินหน้าโครงการยกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา ประจำปี พ.ศ.2563 ปีที่ 3 เพื่อพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ ของหน่วยบ่มเพาะฯ ให้สามารถรองรับการสร้างผู้ประกอบการใหม่ ได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น และเพิ่มพูนองค์ความรู้เชิงนโยบายที่จำเป็นเกี่ยวกับการบริหารหน่วยบ่มเพาะฯ ให้แก่ผู้บริหารสำหรับการพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค ประเทศ และนานาชาติอย่างมีประสิทธิผล รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรงานบ่มเพาะธุรกิจ ด้านการส่งเสริมผู้ประกอบการนวัตกรรม นางสาวนุชนภา รื่นอบเชย ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ในการขับเคลื่อนงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่การสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ พัฒนากระบวนการผลิต สร้างงาน-รายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในภารกิจสำคัญคือการส่งเสริมกิจการบ่มเพาะธุรกิจผ่านหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ (Business Incubator) ที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดผู้ประกอบการใหม่และพัฒนาผู้ประกอบการเดิมช่วยสร้างธุรกิจนวัตกรรม ส่งเสริมการนำผลงานวิจัยและเทคโนโลยีใหม่ พัฒนาเข้าสู่ระบบการคุ้มครองและการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ บริการผู้ประกอบการใหม่อย่างเป็นระบบและครบวงจร พัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพในการแข่งขัน “จากการดำเนินงานโครงการนี้ ไม่เพียงเป็นการยกระดับการบริหารจัดการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจด้วย Maturity Model เท่านั้น ยังเป็นเวทีพบปะของผู้บริหาร และทีมงานจากหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจทั้งหลายที่ร่วมโครงการฯ เกิดการแบ่งปันประสบการณ์ องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม และเทคนิคต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ รวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจ แห่งการบรรลุเป้าหมายของแต่ละหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจด้วย” นางสาวนุชนภา กล่าว ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จากการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน่วยบ่มเพาะธุรกิจ จึงจำเป็นต้องมีการยกระดับปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สามารถส่งเสริมผู้ประกอบการในระดับต่างๆ ให้สามารถไปสู่ธุรกิจที่สร้างคุณค่า (Value-Based Business) และมีการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven) เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความเติบโตและความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนต่างๆ ของประเทศได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งข้อมูลจากที่ปรึกษาพบว่าผู้ประกอบการทั่วโลกที่ได้รับการบ่มเพาะธุรกิจนั้นมีอัตราการอยู่รอดและเติบโตมากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการบ่มเพาะถึงร้อยละ 30 สำหรับโครงการนี้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปีนี้ได้ร่วมกับสำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ทำการประเมินหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษานำร่อง จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ “โครงการฯ ได้รวบรวมข้อมูลของหน่วยบ่มเพาะฯ ทั้ง 5 แห่ง แล้วนำมาวิเคราะห์ร่วมกับบริษัท Creeda จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงด้านบ่มเพาะธุรกิจระดับโลกมีประสบการณ์กว่า 35 ปี เป็นที่ปรึกษามากกว่า 50 ประเทศ จนทราบถึงสถานภาพปัจจุบันแล้ว จึงเก็บข้อมูลและสัมภาษณ์ เพื่อทำการประเมินตามหลักมาตรฐานสากล แล้วนำผลมารายงานข้อค้นพบ พร้อมข้อเสนอแนะกระบวนการในการประยุกต์ใช้โมเดลที่มีความสอดคล้องกับบริบทและสถานภาพการบริหารจัดการของหน่วยบ่มเพาะฯ ของแต่ละสถาบันต่อไป” ดร.ฐิตาภากล่าว นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการประเมินทำให้ทราบถึงจุดแข็งของหน่วยบ่มเพาะธุรกิจของ 5 มหาวิทยาลัย ทั้งในเรื่องของระยะเวลาและขั้นตอนการบ่มเพาะที่เหมาะสมและสอดคล้องกับ best practice ในระดับนานาชาติ มีขั้นตอนการคัดเลือกผู้ประกอบการที่ละเอียด จำนวนผู้ประกอบการที่เข้ามาคัดเลือกเพื่อเข้ารับการบ่มเพาะ มีการประสานงานที่ดีกับเครือข่าย 9 แห่งทั่วประเทศ ประกอบกับการมีเจ้าหน้าที่ที่มีใจรักบริการและความสัมพันธ์ที่ดีกับมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังได้มีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของหน่วยบ่มเพาะฯ มากมายที่จะนำมายกระดับขีดความสามารถของหน่วยบ่มเพาะฯ อาทิ การปรับแผนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและระบบนิเวศ (ecosystem) ในชุมชนมากขึ้น การปรับยุทธศาสตร์ให้เข้ากับความต้องการของผู้ประกอบการและความต้องการของตลาดในพื้นที่แทนการให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยและการดำเนินงานให้ตรงกับข้อกำหนดของผู้ให้ทุน การสร้างเสริมความสัมพันธ์กับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะนำมาซึ่งการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหาในพื้นที่มากขึ้น รวมถึงการปรับแผนยุทธศาสตร์ด้านการเงินให้มีความยั่งยืนและมีงบประมาณจากแหล่งทุนที่หลากหลาย การที่ศูนย์บ่มเพาะประสบความสำเร็จได้นั้นมาจากการหารายได้จากช่องทางที่หลากหลายและแหล่งทุนอื่นๆ ทั้งจากการสนับสนุนของภาคเอกชนหรือแม้แต่จากผู้ประกอบการที่จบออกจากโครงการบ่มเพาะ ซึ่งตัวอย่างของศูนย์บ่มเพาะฯ ในยุโรปที่รับงบประมาณจากรัฐบาลมาร้อยละ 60 ส่วนร้อยละ 40 มาจากภาคเอกชนและผู้ประกอบการในศูนย์บ่มเพาะ เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. อว. จัดอบรมติดปีกผู้ประกอบการไทย
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โปรแกรมเวชสำอาง โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) จัดอบรม “Efficacy Testing of Anti-Aging Products in Ex Vivo Human Skin Models & Clinical Testing” ในผู้ประกอบการกลุ่มเวชสำอางและเสริมอาหาร นำเสนอข้อมูลการตลาดและนวัตกรรมของไทยด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย โดยเฉพาะงานวิจัยของนาโนเทค และ สวทช. หวังผลักดันแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลกด้วยนวัตกรรม โดยมี ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย Super Manager โปรแกรมเวชสำอาง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.ภญ.จารุภา วิโยชน์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, รศ.ดร.ภญ.มยุรี กัลยาวัฒนกุล สำนักวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ Dr.Nikita Radionov, Subsidiary and Technical-commercial Actions Manager จาก Laboratoire BIO-EC ประเทศฝรั่งเศส มาให้ข้อมูล พร้อมด้วย ดร.ธวิน เอี่ยมปรีดี ดร.วันนิตา กลิ่นงาม นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม นาโนเทค สวทช. ร่วมเป็นวิทยากร
ข่าวประชาสัมพันธ์