หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 8 ประจำเดือนพฤศจิายน 2564
ข่าว สวทช. ร่วมกับ สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ และ ไทยน้ำทิพย์ ส่งมอบรถเข็นรักษ์โลก ให้ผู้ค้าสตรีทฟู้ดตลาดน้อย หนุนสตรีทฟู้ดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนคเทค สวทช. ส่งผลงาน Traffy Fondue คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2564 ผลงานวิจัย เอนอีซ (ENZease) ไบโอเทค สวทช. ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ระดับชนะเลิศ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) รัฐมนตรี อว.ปลื้ม! ไทยผงาดบนเวทีโลกยูเอ็น เลือกเป็นคณะกรรมการ Life Cycle Initiative เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเตรียมชูนโยบาย BCG สู่สากล ถอดบทเรียน โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ต้นแบบการดูแลคนพิการในสถานการณ์โควิด-19 สวทช. ร่วมกับ 4 พันธมิตร หนุนสร้าง Tech Startup  จัดกิจกรรม “AI Innovation JumpStart Batch3: Pitching Online” ซอฟต์แวร์พาร์ค – เว็ลธ์ เมจิก ปลุกกระแสสังคมให้ตระหนักบริหารเงินออม ประกาศผลงานประกวดแอนิเมชัน / หนังสั้น ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 แบบ SELF TEST จากนาโนเทค สวทช. ผ่านการประเมินเทคโนโลยีจาก อย. เยาวชนไทยเจ๋ง! คว้าแชมป์เอเชียการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ของ NASA เทคโนโลยีการผลิต “Cider vinegar” เครื่องดื่มสุขภาพจากผลไม้ไทย โดย ไบโอเทค สวทช.   บทความ ThaiSC บริการ Supercomputer ผลักดันวิจัยเชิงลึก หนุนแก้ปัญหาวิกฤตประเทศ    Download เอกสารฉบับเต็ม (16.7MB)
จดหมายข่าว สวทช.
 
สวทช. จัดใหญ่ ‘มหกรรมนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ’ 8-9 ธ.ค.นี้โชว์ ‘BCG นวัตกรรมการแพทย์’กว่า 100 ผลงาน ในรูปแบบไฮบริด อีเวนต์ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
17 พฤศจิกายน 2564 ที่ห้องแถลงข่าว อว. โถงชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. นำคณะนักวิจัย สวทช. พร้อมด้วย คุณอดิศร อาภาสุทธิรัตน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพ คุณพิชิต วิวัฒน์รุจิราพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) และคุณอรุณพร อนุกูลไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวลเนส เอเซีย จำกัด ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน “มหกรรมนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ(BCG Health Tech Thailand2021)” ซึ่งจัดโดย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. และองค์กรพันธมิตร ระหว่างวันที่ 8-9 ธันวาคม 2564 ในรูปแบบไฮบริด อีเวนต์ (Hybrid Event) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และออนไลน์เสมือนจริงด้วยเทคโนโลยี 3D เต็มรูปแบบบนช่องทาง www.healthtech-thailand.com เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ล่าสุดตามแผนขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ในประเทศ ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และมุ่งสู่เป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ในอาเซียน Medical Hub ในปี 2570 โดยการจัดงาน BCG Health Tech Thailand2021 จะเป็นเวทีเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ผู้ประกอบการด้านสุขภาพและการแพทย์ สามารถเข้าถึงนวัตกรรมทางการแพทย์กว่า 100 ผลงาน ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อเดินหน้าเศรษฐกิจไทยในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) สวทช. ซึ่งเป็นนิคมวิจัยสำหรับเอกชนแห่งแรกของประเทศ ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) และ องค์กรพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศกว่า 50 องค์กร ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) สมาคมเวชสารสนเทศไทย (TMI) ผนึกกำลังขานรับนโยบายประเทศกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG Economy Model เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย จัดงาน BCG Health Tech Thailand 2021  ระหว่างวันที่ 8-9 ธันวาคม 2564 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นมหกรรมนวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพ กิจกรรมแรกในประเทศไทยเพื่อต้อนรับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ  โดยมีบริษัทเทคโนโลยี และ องค์กรวิจัยชั้นนำทางการแพทย์ 7 เขตเศรษฐกิจ ที่มาร่วมนำเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อาทิ  Mekonglink  จากสาธารณรัฐเกาหลี , JIANGSU LONGHUI INTELLIGENT TECHNOLOGY  จากสาธารณรัฐประชาชนจีน  , National Cheng Kung University  จากประเทศไต้หวัน อีกทั้งนวัตกรรมการแพทย์จาก ประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ รวมทั้งนวัตกรรมพร้อมใช้ของคนไทยและนวัตกรรมสู้ภัยโควิดจาก สวทช. มากกว่า 100 นวัตกรรม ภายในงานมีการให้คำปรึกษาแนะนำธุรกิจ การจำหน่ายสินค้าและนวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพจากผู้ประกอบการในราคาพิเศษกว่า 100 ผลิตภัณฑ์ กิจกรรมเวิร์กช็อปด้านสุขภาพและการแพทย์ นอกจากนั้นแล้วเพื่อเป็นการเปิดโอกาสการลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลก ได้มีการจัดกิจกรรมและเปิดตลาดนวัตกรรมออนไลน์บน www.healthtech-thailand.com ควบคู่กันไปยาวต่อเนื่องตลอด 12 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม เป็นต้นไป) เพื่อรองรับดำเนินธุรกิจบนโลกเสมือนจริงแบบไร้ขีดจำกัด ให้แก่นักลงทุน ผู้ประกอบการและลูกค้าจากทั่วโลก “ผลกระทบของการเกิดโรคระบาดจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโรค COVID-19 ในปี 2563 ทำให้เกิดการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ ทั้งในแง่ของวัตถุดิบ อุปกรณ์ วัสดุทางการแพทย์ที่ไม่สามารถนำเข้าหรือผลิตได้ทันตามความต้องการในประเทศ ปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวเร่งความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงและทันสมัย ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนวิจัยและพัฒนา ทั้งจากภาครัฐและเอกชน” ดร.ณรงค์ กล่าว ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า สำหรับกิจกรรมไฮไลต์ที่น่าสนใจวันเปิดงาน 8 ธันวาคม 2564 ได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงานและแสดงวิสัยทัศน์นโยบายด้าน Health & Wellness ของประเทศไทย และการบรรยายจาก 24 วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ มี 14 หัวข้อการเสวนาอภิปราย รวมทั้งการสัมมนาในหัวข้อพิเศษ 30 หัวข้อทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออนไซต์ 2 วันเต็ม ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อาทิ การขับเคลื่อนการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ และการรับมือเหตุฉุกเฉินใน ASIA Pacific และ ประเทศไทย, ทิศทางอุตสาหกรรม Health and wellness หลังการระบาด COVID19 และ แนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง, การขับเคลื่อนกัญชา กัญชง พืชเศรษฐกิจใหม่ของไทยในเชิงพาณิชย์ สู่โอกาสทางการตลาดและการพัฒนาสู่ตลาดโลก อย่างไรก็ตามการจัดงานดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ สวทช. ในการใช้ความรู้ ความสามารถของนักวิจัย เชื่อมโยงกับหน่วยงานวิจัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศในการเร่งขีดความสามารถในการนำนวัตกรรมออกสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อให้เกิดการลงทุนมากขึ้นและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ เป็นหนึ่งในสาขาสำคัญของ BCG ที่รัฐบาลต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ภายในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งต้องการผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการสร้างความยั่งยืนให้แก่ประเทศ ด้วยการสนับสนุนให้มีการพัฒนาเครื่องมือแพทย์ที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล และเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย สำหรับภายในงานแถลงข่าวดังกล่าว มีการนำผลงานวิจัยบางส่วนมานำเสนอ อาทิ วัคซีนป้องกันโควิด 19 แบบพ่นจมูก (ซึ่งสวทช. กำลังอยู่ในขั้นเตรียมการทดสอบในมนุษย์ภายในปี 2565), ชุดตรวจสำหรับการคัดกรองการติดเชื้อก่อโรคไวรัสโคโรนา (NanoCOVID-19 Antigen Rapid Test), สูตรสำหรับผลิตอาหารปั่นผสมสำเร็จรูปสำหรับให้ทางสายยาง และเครื่องบินโดรนส่งยา เป็นต้น ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถติดตามรายละเอียดของงานเพิ่มเติมและลงทะเบียนฟรีได้ที่ www.healthtech-thailand.com และ www.facebook.com/healthtechthailandevent 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. โชว์นวัตกรรมเด่นในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2564
พาไปชมนิทรรศการ สวทช. ที่รวบรวมเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งด้านอาหาร การเกษตร สุขภาพและการแพทย์ นำไปโชว์ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2564 พร้อมพาไปดูกิจกรรมสำหรับน้อง ๆ หนู ๆ ที่จะได้รับทั้งความรู้และเพลิดเพลินไปกับการพับหมวกแรงดันบวก nSPHERE และการปลูกผักในถุง MagikGrowth ซึ่งเป็นผลงานนวัตกรรมจากนักวิจัย สวทช. น้อง ๆ สามารถนำกลับบ้านไปเป็นของที่ระลึกได้อีกด้วย งานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2564 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 19 พ.ย.นี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
นร.ไทยสร้างชื่อ! คว้าแชมป์เขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ NASA
สัมภาษณ์เปิดใจ! ทีมนักเรียนตัวแทนประเทศไทย จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ในชื่อทีม Indentation Error ที่มาเล่าถึงความสำเร็จและความรู้สึก หลังไปคว้าแชมป์เอเชียจากการแข่งขัน The 2nd Kibo Robot Programming Challenge ของ JAXA ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการแข่งขันเขียนโปรแกรมเพื่อบังคับควบคุม Astrobee หุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศที่อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS)
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
นาโนเทค สวทช. หนุน “ฮิโนกิ” สู้โควิด-19 ด้วยนวัตกรรม ส่ง “หมอนอโรม่าฮิโนกิ” กลิ่นหอมนาน 6 เดือนลุยตลาดใหม่
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. รับโจทย์เอกชน ผสานเทคโนโลยีการห่อหุ้ม (Encapsulation) และการออกแบบกระบวนการเคลือบเส้นใย หนุน “บ้านไม้หอมฮิโนกิ ไชยปราการ” ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ชูจุดแข็งเรื่องนวัตกรรม สู่ “หมอนอโรม่าฮิโนกิ” ที่ใช้เทคโนโลยีเคลือบที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาลงบนเส้นใยพิเศษ ล็อคกลิ่นหอมนานถึง 6 เดือน หวังขยายฐานลูกค้าใหม่ สู้วิกฤตโควิด-19 ไม้ฮิโนกิเป็นไม้ที่มีกลิ่นอโรมาเธอราพี ช่วยให้เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายๆ ด้าน ทั้งนี้เนื้อไม้ยังสามารถป้องกันเชื้อรา และแบคทีเรีย คุณอนิรุทธิ์ จึงสุดประเสริฐ ผู้ก่อตั้ง บริษัท บ้านไม้หอมฮิโนกิ ไชยปราการ จำกัด จึงตั้งใจสร้างบ้านจากไม้หอมฮิโนกิขึ้นที่ ต.ปงตำ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการผลิตและจัดจำหน่ายที่นอนและหมอนเพื่อสุขภาพจากไม้ฮิโนกิ ก่อนขยายสู่อาณาจักรฮิโนกิแลนด์ (Hinoki Land) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ของปราสาทและหมู่บ้านโบราณของคนญี่ปุ่น ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ รวมถึงจำหน่ายสินค้าที่มีจุดเด่นด้านคุณค่าเชิงวัฒนธรรมและมีมูลค่าสูงในกลุ่มเครื่องนอนเพื่อสุขภาพ เช่น หมอนและที่นอนเพื่อสุขภาพที่มีกลิ่นหอม แต่เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 นักท่องเที่ยวลดลง จนกระทบต่อรายได้ ดร.วรล  อินทะสันตา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งขาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โครงการ “เส้นใยเคลือบด้วยแคปซูลกลิ่นหอมสำหรับผลิตภัณฑ์เคหะสิ่งทอ” เป็นโจทย์และความต้องการจากบริษัท บ้านไม้หอมฮิโนกิ ไชยปราการ จำกัด ที่ต้องการพัฒนาสินค้าประเภทเคหะสิ่งทอกลิ่นหอมให้มีความหลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงเสริมจุดแข็งในด้านความคงทนของกลิ่นหอมให้ยาวนานขึ้น สามารถเก็บรักษาและซักล้างทำความสะอาดได้ตามปกติ เคลือบเส้นใย ให้กลิ่นหอมนาน “ความท้าทายของงานนี้ นอกจากเรื่องของการเคลือบให้กลิ่นคงทน โดยที่น้ำมันหอมระเหยไม่รั่วซึมเปรอะเปื้อนแล้ว ยังมีเรื่องของต้นทุน และความเป็นตัวตนของฮิโนกิผ่านกลิ่นและผลิตภัณฑ์ ที่ทีมวิจัยต้องทำการบ้าน โดยดูจากผลิตภัณฑ์เครื่องนอน ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นตัวหมอน/ที่นอน ปลอกหมอน/ผ้าปูที่นอน หรือเส้นใยที่ใช้เป็นไส้หมอน เมื่อพิจารณาจากโอกาสในการขยี้/ขัดถู หรือรับแรงกด ทำให้ยากที่กลิ่นจะคงทน การเคลือบกลิ่นไปที่ไส้หมอน จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด” ดร.วรลกล่าว หลังรับโจทย์จากเอกชน ทีมวิจัยนวัตกรรมเส้นใยนาโนจากนาโนเทคเริ่มพัฒนากระบวนการเคลือบแคปซูลกลิ่นหอมให้มีการเกาะติดบนเส้นใยและคงทนต่อสภาวะที่มีการขยี้/ขัดถู หรือได้รับแรงกด หรือเมื่อผ่านการซักจำลองโดยซักตามมาตรฐาน AATCC135:2015 (Dimensional Changes of Fabrics after Home Laundering) ซึ่งความคงทนดังกล่าว เป็นสมบัติที่สำคัญในกรณีที่เส้นใยถูกบรรจุในเครื่องนอนที่มีความจำเป็นต้องซักล้างระหว่างการใช้งานจริง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ยังคงมีกลิ่นหอมที่ยาวนานนอกจากสารเคลือบที่มีองค์ประกอบหลักเป็นแคปซูลที่บรรจุน้ำมันหอมระเหยหรือน้ำหอมแล้ว ยังจำเป็นต้องพัฒนากระบวนการเคลือบที่ใช้เวลาสั้นและต้นทุนต่ำเพื่อช่วยให้น้ำหอมสามารถตรึงแน่นบนเส้นใยได้อย่างสม่ำเสมอ และนำไปสู่ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่มีประสิทธิภาพและราคาที่แข่งขันได้ โดยเส้นใยที่ผ่านกระบวนการดังกล่าว ดร.วรลชี้ว่า ยังคงมีลักษณะทางกายภาพที่คล้ายเดิมโดยเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย คือ ความคงตัวและความนุ่มฟูของเส้นใยไม่แตกต่างจากเส้นใยก่อนการเคลือบ ตลอดจนการปลดปล่อยกลิ่นหอมจากแคปซูลที่เกาะติดบนพื้นผิวเส้นใยมีความคงทนและระยะเวลายาวนาน ตามผลการทดสอบความคงทนของกลิ่นโดยผู้เชี่ยวชาญของหน่วยวิจัยทางประสาทสัมผัสและผู้บริโภคแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Kasetsart University Sensory and Consumer Research Center: KUSCR) ภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยความคงทนของกลิ่นดังกล่าวเป็นผลจากแคปซูลที่ช่วยปกป้องและควบคุมการระเหยของกลิ่นน้ำหอมที่บรรจุภายใน แต่หากพื้นผิวของเส้นใยที่ผ่านการเคลือบนั้นถูกสัมผัสหรือได้รับแรงเสียดสี แคปซูลจะค่อยๆ แตกและส่งกลิ่นหอมที่เข้มข้นออกมา โดยกระบวนการเคลือบที่เหมาะสมจากการวิจัยและพัฒนาเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้แคปซูลน้ำหอมมีปริมาณการเกาะติดที่ดีและทนทาน แม้ผ่านสภาวะการซักหรือการขัดถู “ดังนั้น เส้นใยที่ผสานกับเทคโนโลยีการห่อหุ้มและการออกแบบกระบวนการเคลือบเฉพาะที่นาโนเทคพัฒนาขึ้น ทำให้ได้เส้นใยที่มีกลิ่นหอมติดทนนานถึง 6 เดือน จากการทดสอบอายุการใช้งานในสภาะเร่งต่างๆ ทั้งการอบในตู้ที่มีอุณหภูมิสูง และการกดทับด้วยแรงกระแทก ตลอดจนการนำไปซักด้วยเครื่องซักผ้าตามมาตรฐาน ซึ่งผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ” นักวิจัยนาโนเทคชี้ นวัตกรรม: อาวุธลับสู้วิกฤตโควิด-19 น.ส.ดาวรุณี ต๋าคำ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บ้านไม้หอมฮิโนกิ ไชยปราการ จำกัด กล่าวว่า เดิม ทางบริษัทได้มีการจัดจำหน่ายหมอนสุขภาพฮิโนกิ ซึ่งเป็นหมอนที่มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์ ผสานด้วยสมบัติด้านกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดน้ำมันจากเยื่อไม้สนฮิโนกิ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มรักสุขภาพให้การตอบรับค่อนข้างดี แต่ก็ยังคงสร้างข้อสงสัยให้กับลูกค้า เช่น ลูกค้ามักจะถามว่า กลิ่นจะอยู่ได้นานแค่ไหน  หรือซักแล้วกลิ่นจะหายไปหมดเลยไหม ทำให้ทางบริษัทต้องหาคำตอบให้กับลูกค้า ซึ่งมันก็คือการแก้ไขจุดด้อยของตัวสินค้า เพื่อให้ลูกค้าได้เกิดความมั่นใจที่จะเลือกซื้อสินค้า “ฮิโนกิแลนด์ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายหลักของฮิโนกิที่เป็นนักท่องเที่ยวถูกจำกัดด้วยการเดินทาง ทำให้ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของฮิโนกิส่วนใหญ่ มาจากการขายหน้าร้าน เพราะลูกค้าได้สัมผัสกับสินค้าจริง ได้ทดลองดมกลิ่น แต่โควิด-19 ทำให้เราต้องปรับตัวสู่ช่องทางออนไลน์ ที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นผ่านผลการวิจัยและพัฒนาด้วยหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถืออย่าง นาโนเทค สวทช.” น.ส.ดาวรุณีกล่าว พร้อมชี้ว่า นอกจากการขยายช่องทางการตลาด ยังขยายไลน์สินค้า ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้น ฐานลูกค้าเดิมของผลิตภัณฑ์ฮิโนกิคือ กลุ่มวัยกลางคนและกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่ไลฟ์สไตล์มุ่งเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพ ซึ่งกลิ่นจากไม้ฮิโนกิจะตอบความต้องการได้ แต่เมื่อเข้าสู่การตลาดออนไลน์ กลุ่มคนที่เข้าถึงการตลาดออนไลน์มากที่สุดคือ กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน จึงจำเป็นต้องเพิ่มความหลากหลายของกลิ่น จากเดิมที่มีกลิ่นเดียว คือ กลิ่นฮิโนกิ ซึ่งตอนนี้ได้ทำการวิจัยกลิ่นเพิ่มเติมเพื่อผลิตหมอนที่มีความหลากหลายของกลิ่น คือ กลิ่นลาเวนเดอร์  กลิ่นซากุระ  และกลิ่นมะลิ คาดการณ์ว่า จะสามารถสร้างความสนใจและเพิ่มฐานกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้น “หมอนอโรม่าฮิโนกิ ที่มุ่งเน้นกลิ่นที่ผ่อนคลาย จะตอบโจทย์วิถีชีวิตในปัจจุบันที่เคร่งเครียด หรือความต้องการเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายจากการทำงาน การเรียน หรือเมื่อต้อง Work from Home (WFH) โดยคาดว่า จะสามารถสร้างความสนใจและเพิ่มฐานกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้น  การเปิดตัวสินค้าตัวใหม่นี้จะเปิดตัวภายในปี 2565 ทั้งการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์  ซึ่งจะมีการเข้าร่วมงานการจัดแสดงสินค้าทั้งของภาครัฐและเอกชน” น.ส.ดาวรุณีเผย นอกจากนี้ นวัตกรรมเส้นใยเคลือบกลิ่นหอมยังสามารถประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์สิ่งทอได้หลากหลาย รวมถึงผลิตภัณฑ์เคหะสิ่งทอ อาทิ หมอนและเครื่องนอน, ตุ๊กตา, เครื่องเรือนเครื่องใช้ในบ้าน (เบาะ, โซฟา) เป็นต้น อันเป็นการสร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการ รวมถึงเป็นการสร้างสรรค์อัตลักษณ์ใหม่ๆ ให้กับสินค้านั้น ๆ ซึ่งบริษัท บ้านไม้หอมฮิโนกิ ไชยปราการ จำกัด มีแผนขยายไลน์ธุรกิจแบบ B2B ตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่ต้องการผลิตภัณฑ์เครื่องนอนกลิ่นหอม อาทิ ธุรกิจโรงแรม สปา เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อบรมเชิงปฏิบัติการ “เลือกใช้สถิติและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรให้ตอบโจทย์งานวิจัย” (รับสมัครถึงวันที่ 26 พ.ย.64)
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องใช้สถิติเป็นเครื่องมือ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล ตั้งแต่การออกแบบการทดลอง การวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนการนำเสนอ และแปลผลข้อมูล เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่มีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ สอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่ดี และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สวทช. มาตอบโจทย์ให้คุณแล้ว กับการอบรมเชิงปฏิบัติการ "เลือกใช้สถิติและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรให้ตอบโจทย์งานวิจัย" วันที่ 1 – 3 ธันวาคม 2564 เวลา 8.30-16.30 น. อบรม Online ผ่านระบบ Webex Meeting . รับสมัครตั้งแต่วันนี้ - 26 พฤศจิกายน 2564 ด่วน!!! รับแค่ 70 คนเท่านั้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.career4future.com/stat . สอบถามข้อมูลได้ที่ คุณอริสรา โทร. 095-764-9803 หมายเหตุ 1.ผู้เข้าอบรมทุกท่านโปรดนำ Notebook มาในวันที่อบรมด้วย เนื่องจากมีการสอนใช้โปรแกรมสถิติ SPSS 2.ผู้เข้าอบรมต้องมีเวลาเรียนไม่ต่ำกว่า 80% และทำกิจกรรมทุกหัวข้อของหลักสูตร จึงจะได้รับใบประกาศนียบัตร จาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ปฏิทินกิจกรรม
 
รับสมัคร “โครงการยุวสตาร์ทอัพ Young Startup Fund” เพื่อรับเงินทุนพัฒนาโครงการ 100,000 บาท หมดเขต 12 พ.ย. 64
🧑‍👩‍🎓ขอเชิญชวน นิสิต นศ. ป.ตรี - ป.เอก หรือผู้ที่จบการศึกษาไม่เกิน 5 ปี ที่มีผลงานวิจัยสามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ตลอดจน ดิจิตอลแพลตฟอร์ม  สมัครเพื่อพิจารณาเข้ารับทุน 100,000 บาท  ในการดำเนินโครงการ   สนใจสมัครติดต่อคุณ ภัทรพงษ์ (เบนซ์) ที่ email : putarapong.pol@nstda.or.th โทร 02-564-7000 ต่อ 71744 สมัครด่วน ภายในวันที่ 12 พ.ย. 64 รับจำนวนจำกัด เอกสารประกอบการสมัคร 1.หลักฐานแสดงการศึกษา 2.ข้อเสนอโครงการ 3. Pitch Deck (ไฟล์ presentation ) 4. VDO Pitch นำเสนอโครงการ ไม่เกิน 5 นาที   ไฟล์ที่ใช้ประกอบการสมัคร 1.รูปแบบข้อเสนอโครงการ (Proposal) 2. Pitch Deck (ppt. นำเสนอ) 3. คู่มือประกอบการเขียนข้อเสนอโครงการ 4. ไฟล์ชี้แจ้งข้อมูลและตัวอย่างเนื้อหารูปแบบ VDO Pitch   "จุดเริ่มต้นของความสำเร็จมาถึงคุณแล้ว"
ปฏิทินกิจกรรม
 
ENTEC สวทช. ส่งมอบนวัตกรรม “น้ำยาฆ่าเชื้อ ENERclean”สนับสนุนโครงการ “อว.พารอด” ใช้ประโยชน์ในสถานการณ์ COVID-19
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564  ณ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)จัดพิธีส่งมอบนวัตกรรมน้ำยาฆ่าเชื้อ “ENERclean” (เอนเนอร์คลีน) จำนวน 100 ชุด ร่วมสนับสนุนโครงการ “อว.พารอด”  เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นผู้รับมอบนวัตกรรมจาก ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ENTEC  พร้อมด้วยดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล นักวิจัย และคณะ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ENTEC กล่าวว่า “น้ำยาฆ่าเชื้อ ENERclean” เป็นนวัตกรรมที่ได้จากต้นแบบเครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยวิธีทางไฟฟ้าเคมี (Electrolyzed  water) ซึ่งวิจัยและพัฒนาโดย ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล และทีมวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ร่วมกับ ดร.ฐนียา รอยตระกูล และทีมวิจัยชีววิทยาโมเลกุลของไวรัสเด็งกี่และฟลาวีไวรัส ดร.สิทธิรักษ์ รอยตระกูล และคุณภัททิยา ลักษณะเจริญ ทีมวิจัยเทคโนโลยีโปรตีโอมิกส์เชิงหน้าที่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อส่งเสริมและสร้างศักยภาพให้สถานประกอบการด้านสาธารณสุขหรือสถานพยาบาลในพื้นที่ห่างไกล สามารถผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อใช้เองได้ โดยเครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อฯ ดังกล่าว สามารถผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อ “ENERclean” ที่ประกอบด้วยกรดไฮโปคลอรัส (Hypochlorous acid, HOCl) เป็นองค์ประกอบหลัก ที่มีระดับค่ากรดด่างในช่วงเป็นกรดอ่อน (pH 4-6) ผลิตจากสารธรรมชาติ ปราศจากแอลกอฮอล์และสารเคมีที่เป็นพิษ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานด้านการแพทย์และอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีประสิทธิภาพในการยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงมีฤทธิ์ในการยับยั้งฆ่าเชื้อไวรัสไข้เลือดออก (Dengue virus, Japanese encephalitis virus, Zika virus) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (SARS-CoV-2) ซึ่งน้ำยาฆ่าเชื้อ ENERclean ได้ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานการทดสอบผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค (AOAC 955.14, 955.15, 955.17 และ 964.02) ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล กล่าวต่อว่า การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ก่อให้เกิดปัญหาด้านการแพทย์และสาธารณสุขเป็นอย่างมากสาเหตุจากการควบคุมและป้องกันทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ที่ร้ายแรง สามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้อย่างรวดเร็วผ่านทางเดินหายใจและการสัมผัส การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสำหรับกำจัดเชื้อบริเวณพื้นผิวที่คนไข้และบุคคลากรทางการแพทย์ต้องสัมผัส ตลอดจนบริเวณสถานที่มีผู้คนหนาแน่น จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่สำคัญในการช่วยระงับและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้ทันท่วงที ซึ่งนอกจากการส่งมอบนวัตกรรม “น้ำยาฆ่าเชื้อ ENERclean” ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวง อว. เพื่อใช้ประโยชน์ในสถานการณ์ COVID-19 ครั้งนี้แล้ว ENTEC สวทช. ยังมีแผนการผลิต  “เครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยวิธีทางไฟฟ้าเคมี” และ “น้ำยาฆ่าเชื้อ ENERclean” เพื่อถ่ายทอดและส่งมอบให้กับโรงพยาบาลในหลายภูมิภาคทั่วประเทศเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
โรคไข้หูดับ ภัยเงียบที่ควรจับตามอง
  “โรคไข้หูดับ” คือ โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากการติดเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) จากหมู ความรุนแรงของโรคไม่เพียงสามารถทำให้ผู้ป่วยมีอาการหูหนวกถาวรแต่ยังเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยทั่วไปโรคไข้หูดับมักพบในประเทศที่มีการทำฟาร์มหมูหนาแน่นและมีความนิยมในการบริโภคเนื้อหมู เช่น ประเทศในแถบทวีปเอเชียรวมถึงประเทศไทย อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในไทยมีอัตราการติดเชื้อที่ไม่สูงนักจึงทำให้โรคนี้เป็นโรคติดเชื้อที่ถูกเพิกเฉย (Neglected zoonosis disease) และทำให้พิษภัยของโรคขยายตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ทั้งด้านอัตราการติดเชื้อ การระบาดของโรค และภาวะเชื้อดื้อต่อยาต้านจุลชีพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข การเกษตร และการส่งออกเนื้อหมูของไทย ดร.สุกัญญา ยงเกียรติตระกูล นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ  ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ทำวิจัยเรื่องเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ในประเทศไทย อธิบายว่า ในไทยพบพฤติการณ์ของการติดเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ส่วนใหญ่ผูกโยงกับวัฒนธรรมการบริโภคเนื้อและเลือดหมูดิบ กึ่งสุกกึ่งดิบ หรือไม่สุกดี เช่น การบริโภคลาบหมูดิบ หลู้ ก้อย และหมูกระทะ โดยจะพบอัตราการติดเชื้อสูงในช่วงเทศกาลที่ผู้คนเฉลิมฉลองหรือมีกิจกรรมบันเทิงร่วมกัน เช่น เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ และในช่วงออกพรรษา นอกจากนี้ยังพบการติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือทางเยื่อบุตาในกลุ่มผู้ที่มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับหมูป่วย เช่น เกษตรกรในฟาร์ม หรือผู้ที่ทำงานในโรงเชือด   [caption id="attachment_27495" align="aligncenter" width="700"] ลาบดิบ[/caption]   [caption id="attachment_27491" align="aligncenter" width="700"] หลู้[/caption]   [caption id="attachment_27496" align="aligncenter" width="700"] หมูกระทะ[/caption]   “อาการและความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับ สายพันธุ์ของเชื้อ และระดับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย จากรายงานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการตั้งแต่เป็นไข้ หนาวสั่น หอบเหนื่อย คลื่นเหียน ปวดศีรษะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด หรือหากไม่เสียชีวิตผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหายแล้ว ส่วนใหญ่มักพบความผิดปกติตามมาในภายหลัง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียการทรงตัว และสูญเสียการได้ยินจนถึงขั้นหูหนวกหรือที่เรียกกันว่า “หูดับ” ในประเทศไทยมีอัตราการติดเชื้อประมาณ 200-350 คนต่อปี มีอัตราการเสียชีวิตสูงประมาณร้อยละ 5-10 โดยในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการติดเชื้อยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง และเนื่องจากการตรวจหาเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส และการตรวจหาสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรครุนแรงทำได้ยาก ส่วนใหญ่ไม่สามารถดำเนินการในสถานพยาบาลขนาดเล็กได้ ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีการรายงานไว้จึงอาจต่ำกว่าความเป็นจริง”     เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะพุ่งสูง กระทบสาธารณสุขและเศรษฐกิจไทย นอกจากวัฒนธรรมการกินอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบของคนไทยที่เป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และอาจเป็นอันตรายอย่างมากในอนาคตคือ “เชื้อมีอัตราการดื้อต่อยาปฏิชีวนะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”​ การศึกษาระบาดวิทยาทำให้พบว่าเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส มีอัตราการดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่มยาที่นิยมใช้รักษาในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยตรวจพบเชื้อดื้อยาทั้งในหมูป่วยและหมูปกติที่ยังไม่เป็นโรค     ดร.สุกัญญา กล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ปริมาณเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด คือการขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาและป้องกันโรค มีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อในหมูแทนการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ มีการใช้ยาปฏิชีวนะในรูปแบบที่ไม่เหมาะสม รวมถึงมีการใช้ปริมาณยาที่มากเกินพอดี เชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียทั่วไปที่อาศัยอยู่ในหมูจึงเกิดวิวัฒนาการเป็นเชื้อที่ดื้อต่อยา ทำให้ยาที่เคยใช้รักษาอยู่เดิมมีประสิทธิภาพในการรักษาลดลง หรือไม่สามารถใช้รักษาได้ต่อไป ส่งผลให้ในอนาคตจะมีทางเลือกในการใช้ยาปฏิชีวนะลดน้อยลง ทั้งนี้การดื้อต่อยาไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส เท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอื่นๆ ทั้งในหมูและสัตว์เศรษฐกิจชนิดอื่น   “การพบยาปฏิชีวนะหรือการพบเชื้อดื้อยาตกค้างในเนื้อหมู ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขในไทย แต่ยังเป็นภัยต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะตั้งแต่ปี 2559 องค์กรด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ เช่น องค์กรอนามัยโลก (WHO) องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และสหภาพยุโรป (EU) ต่างออกมาเรียกร้องให้ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญและปัญหา “เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial resistance หรือ AMR)” ที่กำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลก การที่เชื้อดื้อต่อยาปฏิชีวนะ (Superbug) ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้เวลาในการรักษานานขึ้นด้วย จำเป็นต้องเพิ่มความแรงและปริมาณของตัวยาในการรักษา มีอัตราการเสียชีวิตมากขึ้น รวมถึงมีค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น นอกจากนั้นทางด้านภาคการวิจัยยังต้องเร่งศึกษาและพัฒนากระบวนการตรวจและรักษา รวมถึงเร่งค้นคว้าพัฒนายาใหม่เพื่อให้ทันต่อการวิวัฒนาการของเชื้อดื้อยาที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ ปัจจุบันในหลายประเทศที่เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ จึงได้มีการออกระเบียบและข้อบังคับเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น และมีข้อกำหนดในการห้ามนำเข้าเนื้อสัตว์ที่ตรวจพบเชื้อดื้อยาหรือยาปฏิชีวนะตกค้าง ซึ่งมาตรการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกเนื้อสัตว์ของไทยในอนาคต” ดร.สุกัญญา เสริมว่า เพื่อแสดงถึงความร่วมมือกับนานาประเทศในการแก้ปัญหา AMR ที่กำลังเป็นวิกฤตในปัจจุบัน และยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางการค้าในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ภาครัฐและหน่วยงานวิจัยของไทยควรเร่งพัฒนาแนวทางในการแก้ปัญหาให้แก่ภาคการเกษตรอย่างจริงจังและยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และยังเป็นการหนุนเสริมการสร้างความยั่งยืนทางด้านอาหารในประเทศอีกด้วย   เร่งวิจัยล่วงหน้า เตรียมรับมือวิกฤติการณ์จากเชื้อก่อโรค การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือวิกฤติการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งเพื่อชะลอหรือยับยั้งการเกิดปัญหาดังกล่าว ภาคการวิจัยควรเร่งวิจัยให้มีฐานข้อมูล องค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญที่มากพอ     ดร.สุกัญญา กล่าวว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยไบโอเทคได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส โดยร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ University of Arkansas for Medical Sciences และได้มีการตีพิมพ์ผลงานในระดับนานาชาติแล้วในหลายประเด็น เช่น 1) งานวิจัยที่แสดงถึงการระบาดของเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ที่มีซีโรไทป์ (Serotype) และชนิดของลำดับดีเอ็นเอ (Sequence type) ชนิดต่างๆ ในไทย รวมถึงได้แสดงให้เห็นถึงการแพร่เชื้อ (Transmission) ที่เกิดขึ้นระหว่างคนและหมู 2) การศึกษาวิจัยโปรตีนที่เป็นปัจจัยกระตุ้นความรุนแรงของโรค ซึ่งสามารถใช้เป็นเป้าหมายเพื่อค้นคว้าและพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรค 3) งานวิจัยด้านระบาดวิทยาของเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ดื้อยาปฏิชีวนะที่พบในไทย 4) งานวิจัยที่แสดงถึงความสัมพันธ์ในระดับจีโนมของเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ที่พบในไทยกับที่พบในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก “นอกจากนี้ทีมวิจัยไบโอเทคยังได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการติดตามการระบาดของเชื้อดื้อยาที่คัดแยกจากกลุ่มประชากรหมูป่วยทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี และได้ทำการถอดรหัสจีโนมของเชื้อดื้อยาทั้งหมด ข้อมูลจากการศึกษาทำให้ทราบระบาดวิทยาของเชื้อดื้อยาในเชิงลึก และค้นพบตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่สามารถนำมาใช้เพื่อการออกแบบและพัฒนาการตรวจเชื้อที่แม่นยำและถูกต้องมากยิ่งขึ้น ข้อมูลจากการศึกษาได้ถูกรวบรวมและเตรียมเผยแพร่ในบทความวิชาการระดับนานาชาติแล้ว นอกจากตัวอย่างการศึกษาข้างต้น ปัจจุบันทีมวิจัยยังได้มีความร่วมมือกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในการถอดรหัสจีโนมอย่างสมบูรณ์ของเชื้อดื้อยาที่พบเฉพาะในประเทศไทย เพื่อค้นหาปัจจัยและกลไกการดื้อยา ซึ่งนับเป็นข้อมูลสำคัญและจำเป็นต่องานวิจัยด้านการพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรค รวมถึงการวางแนวทางเพื่อการป้องกันการดื้อยาในอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” ดร.สุกัญญา ทิ้งท้ายว่า “โรคไข้หูดับ” เป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยในทุกปี แม้โรคติดเชื้อจากแบคทีเรียจะเป็นโรคที่มนุษย์สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ เพียงทุกภาคส่วนตระหนักถึงภาพรวมปัญหาที่เกิดขึ้นและให้ความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนแก้ไขอย่างจริงจัง ภาครัฐควรร่วมมือกับเอกชนในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดงานวิจัยโรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คนอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนการสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง การทำวิจัยเชิงลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับเชื้อจำเพาะถิ่น และการสร้างเครือข่ายงานวิจัยด้านโรคติดเชื้อที่ครอบคลุมถึงด้านระบาดวิทยา เพื่อส่งเสริมให้ไทยมีศักยภาพในการวิจัยเพื่อลดผลกระทบปัญหาจากโรคติดเชื้อและปัญหา AMR ในภาคสาธารณสุขและภาคการส่งออกของประเทศได้อย่างทันท่วงทีและยั่งยืนต่อไป     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ขอเชิญพบกับการประชันไอเดียนวัตกรรมอาหารสุดล้ำ ในงาน Food Innopolis Innovation Contest 2021 Demo Days
📢เมืองนวัตกรรมอาหารพร้อมเสิร์ฟ 🍽 นวัตกรรมใหม่จากอาณาจักรอาหารถึงบ้านคุณ กับงาน Food Innopolis Innovation Contest 2021 ‘Local Wisdom to Global Living’ Demo Days กลับมาแล้ว ศึกไอเดียนวัตกรรมอาหารสุดเจ๋งประจำปี 2021 กับโครงการประกวดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหาร Food Innopolis Innovation Contest ชวน #เปิดโลกนวัตกรรม ใหม่ ๆ ที่คุณไม่เคยรู้! กับ 3 นักออกแบบนวัตกรรมระดับโลก ในงาน FI Innovation Contest 2021 Demo Days: รอบชิงชนะเลิศของเวทีประลองนวัตกรรมอาหาร ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ 19 – 21 พ.ย. นี้ พลาดไม่ได้กับกิจกรรม Innovation Talk 19 พ.ย.64 #เปิดอนาคต กับ "นวัตกรรมอาหารอนาคต" โดย พัทน์ ภัทรนุธาพร นักวิจัยและนักศึกษาปริญญาเอก MIT Media Lab ห้องแล็บและสนามเด็กเล่นในฝันของเหล่านักวิทยาศาสตร์ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ จินตนาการ + อาหาร + ดิจิทัลเทคโนโลยี เวทีนี้มีคำตอบ 20 พ.ย. 64 #เปิดประสบการณ์ ในหัวข้อ "จากชุมชนสู่การสร้างแบรนด์และออกแบบบรรจุภัณฑ์ด้วยแนวคิด Local สู่เลอค่า" โดย คุณสุทธิพงษ์ สุริยะ (ขาบ) ผู้ก่อตั้ง Karb Studio เจ้าของรางวัลออสการ์อาหารโลก Gourmand Awards ประเทศฝรั่งเศส 14 ปีซ้อน 21 พ.ย. 64 #เปิดกลยุทธ์ ในหัวข้อ "แนวคิดการทำนวัตกรรม Product Innovation ของ Memberry และ Mem Plus" โดย นายแพทย์พิฑูรย์ มณีไพโรจน์ รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์นวัตกรรม บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) พบกับการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ของ 42 สุดยอดทีม Food Innovators ทั้ง 3 รุ่น 🌱 Fly Weight ระดับมัธยมปลายหรือเทียบเท่า ✨ Light Weight ระดับปริญญาตรี 💥 Heavy Weight ระดับบัณฑิตศึกษาและบุคคลทั่วไป ในหัวข้อ “Food Heritage Innovation นวัตกรรมจากมรดกภูมิปัญญาอาหาร” และ “Future Lifestyle Food Innovation นวัตกรรมอาหารสําหรับการใช้ชีวิตแห่งอนาคต” ร่วม Vote เพื่อ #เปิดประตูสู่โอกาส ให้กับทั้ง 42 ทีมหัวกะทิรุ่นใหม่ในแวดวงนวัตกรรมอาหาร #เปิดเทรนด์อาหาร กับกิจกรรมมากมายจากผู้ร่วมดำเนินงาน เมืองนวัตกรรมอาหาร บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร (สวทช.) บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ พร้อมทั้งผู้สนับสนุนหลักอย่าง บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)   🗓 19-21 พฤศจิกายน 2564 นี้ ⏰ 10.00 – 16.00 น. 🖥 เข้าชมฟรี ง่าย ๆ ได้ที่บ้าน เพียงลงทะเบียนที่ www.fiinnovationcontest.com ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป ข้อมูลเพิ่มเติม www.fiinnovationcontest.com หรือทาง Facebook Page : FI Innovation Contest ติดตามข่าวสารดี ๆ ที่ Facebook Page : FI Innovation Contest
ปฏิทินกิจกรรม
 
สำเร็จ! สวทช. พัฒนาชุดสกัด RNA เชื้อโควิด-19 ผลิตได้เองในประเทศ
สวทช. โดยทีมนักวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาเทคนิคการสกัดอาร์เอ็นเอ หรือสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR จากชุดสกัดที่ผลิตได้เองในประเทศ โดยหวังว่าในอนาคตประเทศไทยจะลดต้นทุนการนำเข้าชุดสกัดได้อย่างมาก ซึ่งปัจจุบันได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทเอกชนผลิตและจำหน่ายแล้ว ขณะเดียวกัน สวทช. ได้ส่งมอบชุดสกัดอาร์เอ็นเอของเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 82,000 ชุด ให้กับกรมควบคุมโรค , กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมราชทัณฑ์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
ขอเชิญร่วมกิจกรรมออนไลน์ “สร้างโอกาสทางธุรกิจด้วย นวัตกรรมอาหาร Plant Based”
หากคุณ....กำลังมองหา🔎🤝💼 ✅ Partner สร้างโอกาสทางธุรกิจ ✅ นวัตกรรมอาหาร Plant Based ที่พร้อมต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ ✅ ตัวช่วยสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมอาหาร ✅ อัพเดท Trend ด้าน Plant Based อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ร่วมกับ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ม.เกษตรศาสตร์ 📌ขอเรียนเชิญเข้าร่วมกิจกรรมออนไลน์ “สร้างโอกาสทางธุรกิจด้วย นวัตกรรมอาหาร Plant Based” ผ่านทางระบบ Cisco Webex ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เวลา 13.00 - 16.30น. 🆓️ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย 🆓️ รับจำนวนจำกัด!! ✍️ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมและนัดหมายเพื่อเจรจาธุรกิจ ได้ที่ https://forms.gle/aTZKh62mRTHidkmK7 👩‍💻📱สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. bcd@nstda.or.th , โทร. 085 289 2669 Line ID : maiys19 (คุณยุภา) 🗓📌ไม่อยากพลาดโอกาสดีดี แล้วพบกันวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 🌱🌱
ปฏิทินกิจกรรม