หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เฮลทิเนส จับมือ สวทช. และองค์กรวิจัยชั้นนำ ปั้น “Besuto 12” เจลไร้แอลกอฮอล์ ฆ่าเชื้อโควิด-19 มากกว่า 99% นวัตกรรมรับวิถีนิวนอร์มอล สู้ภัยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
For English-version news, please visit : NSTDA helps Thai company launch an effective product to fight COVID-19 pandemic เฮลทิเนส จับมือองค์กรวิจัยชั้นนำ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ เอวีเอส อินโนเวชั่น จำกัด บริษัทในกลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) ปั้นนวัตกรรม “Besuto12” (เบซูโตะ ทเวลฟ์) เจลรูปแบบใหม่ไร้แอลกอฮอล์ ที่ผ่านการทดสอบการฆ่าเชื้อก่อโรคโควิด-19 และเชื้อ RSV ที่กำลังระบาดในกลุ่มเด็กเล็ก ได้มากกว่า 99% หวังเป็นทางเลือกใหม่ ‘ที่ดีที่สุด’ เคียงข้างคนยุคนิวนอร์มอล ให้พร้อมรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในอนาคต 14 ธันวาคม 2563 ที่ห้องแถลงข่าว อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) : บริษัท เฮลทิเนส จำกัด จัดแถลงข่าวเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ “Besuto12” (เบซูโตะ ทเวลฟ์) นวัตกรรมเจลรูปแบบใหม่ไร้แอลกอฮอล์ โดยร่วมมือกับ บริษัท เอวีเอส อินโนเวชั่น จำกัด บริษัทในกลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในโครงการสนับสนุนการทดสอบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในสถานการณ์ COVID-19 (Fast Track: Medicine and Medical Device Fight COVID-19) เพื่อวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ โดยผ่านการทดสอบการฆ่าเชื้อก่อโรคโควิด-19 เรียบร้อยแล้ว จากคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมี ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวิภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. เภสัชกร ร.อ. ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลทิเนส จำกัด, ดร.สรวง สมานหมู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท เอวีเอส อินโนเวชั่น จำกัด, ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช., รศ.ดร.พรสวรรค์ เหลืองวุฒิวงษ์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา และอิมมิวโนโลยี หัวหน้าห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านโรคเขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และ นพ.ดร.นวมินทร์ ปิ่นปฐมรัฐ หัวหน้าสาขาวิชาชีวเวชศาสตร์และวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมแถลงข่าว ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมา สวทช. โดย โปรแกรม ITAP ได้เปิด “โครงการสนับสนุนการทดสอบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในสถานการณ์ COVID-19 (Fast Track: Medicine and Medical Device Fight COVID-19)” เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพได้มีโอกาสในการเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาให้สมบูรณ์โดยเร็ว โดยครอบคลุมการสนับสนุนในส่วนการทดสอบ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญเพื่อให้เกิดความมั่นใจในผลงานวิจัยว่าสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาให้กับประเทศได้ทันสถานการณ์และมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นฐานรากของงานวิจัยด้านการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ในระยะยาวต่อไป โดย ITAP สวทช. ได้สนับสนุนงบประมาณในโครงการดังกล่าว ซึ่งนวัตกรรมเจลรูปแบบใหม่ไร้แอลกอฮอล์ “Besuto 12” (เบซูโตะ ทเวลฟ์) เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สามารถต่อยอดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ โดยความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจและส่งเสริมการใช้นวัตกรรมจากงานวิจัยไทย เพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงในด้านสุขภาพ เภสัชกร ร.อ. ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลทิเนส จำกัด  เผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อก่อโรคโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก ทางบริษัท จึงต้องการพัฒนานวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ที่ทำได้ทั้งการปกป้อง และฆ่าเชื้อไปพร้อมๆกัน เราจึงได้ร่วมมือกับ เอวีเอสอินโนเวชั่น บริษัทในกลุ่มอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) และ สวทช.  ร่วมกันคิดค้นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ขึ้นมา ภายใต้ชื่อ “Besuto 12” (เบซูโตะ ทเวลฟ์) เจลรูปแบบใหม่ไร้แอลกอฮอล์ “Besuto 12” เป็นนวัตกรรมเจลฆ่าเชื้อ ‘รายแรกที่ผ่านการทดสอบกับเชื้อโควิด-19 จริง’ ทั้งยังสามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา รวมถึงสามารถฆ่าเชื้อ RSV ที่กำลังระบาดในกลุ่มเด็กเล็ก ได้มากกว่า 99% ทั้งยังใช้นวัตกรรม “Thin Film Technology ” ทำให้สามารถปกป้องได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง โดยไม่ต้องทาซ้ำ พร้อมคุณสมบัติจากสารสกัดธรรมชาติ Grape Seed Cucumber Extract และ Green Tea Extract ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยไม่ให้ผิวแห้งแตก ไม่ระคายเคือง เพราะไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ รับรองความสำเร็จด้วย รางวัลเหรียญเงินและรางวัล Canadian Special Awards จากงานประกวดนวัตกรรม International Invention Innovation Competition (iCan2020) ประเทศแคนาดา ทั้งนี้ การพัฒนา “Besuto 12” ยังได้รับการสนับสนุนจากทีมนักวิจัยและสถาบันทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศ ในการทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบกับเชื้อก่อโรค Covid-19 จากภาควิชาจุลชีววิทยาและอิมมิวโนโลยี คณะเวชศาสตร์เขตร้อนมหาวิทยาลัยมหิดล, การทดสอบกับเชื้อ RSV จาก ภาควิชาชีวเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, การทดสอบ ไวรัส H1N1 จาก สมาคมเวชศาสตร์ชันสูตรทางสัตวแพทย์ไทย คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, การทดสอบ เชื้อ H3N2 และแบคทีเรีย Pseudomonas aeruginosa & Staphylococcus aureus - MRSA & Fungus จาก คณะแพทยศาสตร์ ภาควิชาจุลชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถยังยั้งเชื้อต่างๆได้ ทำให้มั่นใจได้ในประสิทธิภาพของ “Besuto12” ทางด้าน รศ.ดร.พรสวรรค์ เหลืองวุฒิวงษ์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา และอิมมิวโนโลยี หัวหน้าห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านโรคเขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เราได้ทดสอบ Besuto12  กับเชื้อก่อโรค COVID-19 โดยเปรียบเทียบกับเจลแอลกอฮอล์ล้างมือทั่วไปพบว่า Besuto12 นั้น เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสามารถยับยั้งเชื้อก่อโรค COVID-19 ได้มากกว่า 99% นพ.ดร.นวมินทร์ ปิ่นปฐมรัฐ หัวหน้าสาขาวิชาชีวเวชศาสตร์และวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า การทดสอบพบว่า Besuto12 มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อ RSV ที่กำลังระบาดในกลุ่มเด็กเล็ก ได้มากกว่า 99% เภสัชกร ร.อ. ธัชพล ชลวัฒนสกุล กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า บริษัท เฮลทิเนส เป็นบริษัทที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะ “เบซูโตะ” ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง “Best” หรือดีที่สุดครับ เราตั้งใจสร้างนวัตกรรมที่ทำให้ “Besuto12” เป็นผลิตภัณฑ์เจลล้างมือที่ดีและมีประสิทธิภาพที่สุดที่คิดค้นและผลิตโดยคนไทย พร้อมส่งมอบความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างประเทศ สำหรับ “Besuto 12” (เบซูโตะ ทเวลฟ์) นวัตกรรมเจลรูปแบบใหม่ไร้แอลกอฮอล์ วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ร้านยาฟาร์แมกซ์, ไอแคร์, ไวตามินคลับ, ซุปเปอร์ ดรัก, องค์การเภสัชกรรม หรือช่องทางออนไลน์ที่ Line : @besuto12 , www.besuto12.com Facebook: https://www.facebook.com/besutoodor Lazada: https://www.lazada.co.th/shop/besuto12/
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นาโนเทค สวทช. จับมือ 8 พันธมิตร หนุน “มาตรฐาน-ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี” ในภาคอุตสาหกรรม
นาโนเทค สวทช. และ 8 หน่วยงานพันธมิตร ร่วมลงนามในโครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี ขับเคลื่อนการสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัย และมาตรฐานด้านนาโนเทคโนโลยีภายในประเทศใน 2 ปี (2564-2565) นำร่องกลุ่มเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมที่ใช้นาโนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต หวังผลักดันให้เกิดการนำมาตรฐานด้านนาโนเทคโนโลยีไปใช้สร้างความเชื่อมั่นให้ผลิตภัณฑ์ไทยในตลาดโลก การลงนามความร่วมมือทางวิชาการใน “โครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี” เป็นการต่อยอดจากความร่วมมือระหว่างศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในการจัดทำมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อประกาศใช้เป็นมาตรฐานของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ต่อการพัฒนานาโนเทคโนโลยีในประเทศไทย รวมถึงการจัดตั้งคณะทำงานเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัย และมาตรฐานด้านนาโนเทคโนโลยีภายในประเทศ ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า นาโนเทคโนโลยี เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ เช่นเดียวกับจริยธรรมและความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีก็เป็นสิ่งสำคัญคู่ขนานไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี ประเทศไทยได้จัดทำแผนยุทธ์ศาสตร์จริยธรรมและความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติขึ้น เพื่อบริหารจัดการด้านความรู้ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการส่งเสริมความตระหนักให้กับประชาสังคม“แผนยุทธ์ศาสตร์จริยธรรมและความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ” เกิดขึ้นและนำไปสู่การจัดทำมาตรฐานอุตสาหกรรม “นาโนเทคโนโลยี” มอก. 2691 เพื่อการพัฒนานาโนเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนในประเทศไทย นอกเหนือจากความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของเทคโนโลยีแล้ว การเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้ผลิตและผู้บริโภคในเรื่องที่เกี่ยวกับมาตรฐาน และความปลอดภัยก็มีความสำคัญอย่างมาก รวมไปถึงการส่งเสริมให้ประชาชนและสังคมได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี และมีส่วนร่วมในการติดตาม และเฝ้าระวังภายในชุมชนและสังคม “สิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ คือเราจำเป็นต้องร่วมมือกันระหว่างองค์กร ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการผลักดัน สร้างความรู้ และความตระหนักสู่ภาคประชาสังคมในวงกว้าง จากการดำเนินงานที่ผ่านมาแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, ฉลากผลิตภัณฑ์นาโน, คู่มือความรู้ทางวิชาการ และการจัดอบรมสัมมนา” ดร.วรรณีกล่าว พลตรี รศ.ดร.ชัยณรงค์ เชิดชู ประธานคณะทำงานโครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ โครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี ในครั้งนี้  ได้รับเกียรติจากองค์กรทั้งภาครัฐ และสมาคมต่าง ๆ จำนวน 9 แห่งที่จะมาร่วมขับเคลื่อน สนับสนุน และส่งเสริม ความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงการนำ มาตรฐาน และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีสู่การประยุกต์ใช้ในในระดับมหภาค 9 องค์กรเครือข่ายพันธมิตร ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลักคือ กลุ่มที่สนับสนุนข้อมูลเชิงวิชาการและเทคนิค (Technical support) ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ, สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ กลุ่มที่ทำหน้าที่กำกับดูแล (Regulator) ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม, สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกลุ่มผู้ใช้ที่จะได้รับผลประโยชน์ (User) ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายขนาดใหญ่อย่างครบวงจร พลตรี รศ.ดร.ชัยณรงค์ เผยว่า หลังจากการลงนามความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ พันธมิตรทั้ง 9 จะร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) โดยในช่วง 2 ปีจากนี้ จะมุ่งเน้นการสร้างความตระหนัก และความเข้าใจ เกี่ยวกับมาตรฐานฯ ทั้ง 7 เล่ม ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่มีการใช้นาโนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต เพื่อให้เกิดการนำมาตรฐานดังกล่าวไปปรับใช้กับองค์กรของตนในอนาคต ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดสัมมนาวิชาการ นิทรรศการ และการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีความตระหนักถึงมาตรฐาน ความปลอดภัย และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้นาโนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต ดร.วรรณีคาดว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นร่วมกัน อย่างน้อย 1,000 คนต่อปี และจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนาโนเทคโนโลยี ปีละ 2 ฉบับ  รวมถึงมีภาคอุตสาหกรรมที่สนใจเรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี เข้าร่วมอย่างน้อย 100 บริษัท “การสร้างความรู้ ความเข้าใจในมาตรฐานด้านนาโนเทคโนโลยีและความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีนั้น จะช่วยให้หน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆ สามารถดำเนินการได้อย่างมีมาตรฐานและสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยให้กับพนักงานหรือผู้ปฏิบัติงาน ในขณะเดียวกัน ก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นในองค์กรและผลิตภัณฑ์นั้นๆ ให้กับผู้บริโภคอีกด้วย เป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานาโนเทคโนโลยีพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศไทย” พลตรี รศ.ดร.ชัยณรงค์กล่าว  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดรับสมัคร Food SME เข้าร่วมโครงการ PADTHAI Batch #7
เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย FI Accelerator ร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเกษตรและอาหาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดรับสมัครผู้ประกอบการ SME ด้านนวัตกรรมอาหาร (Food SME) ที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสในการขยายตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศภายใต้แนวคิด From Local to Global เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการใน “โครงการอบรมเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการอาหาร SME ด้านนวัตกรรมอาหารของไทยฯ ครั้งที่ 7 (PADTHAI #7)” หลักสูตรเข้มข้น 5 วัน 5 คืน จากผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารโดยตรง ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. 63 ถึง 4 ธ.ค. 63 ณ โรงแรม Kantary hill จ.เชียงใหม่ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 25 ต.ค. 63 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ https://forms.gle/uR73MqTrWdoFSBMz6 หรือสอบถามโทร. 091 713 5433 (กรองจิตร สมใส) และเพจ Padthai by Food Innopolis ได้ที่ https://www.facebook.com/padthaibyfoodinnopolis/
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ซอฟต์แวร์พาร์ค หนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ EEC เสริมความรู้ด้าน Digital Transformation สร้าง Thailand 4.0
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) ร่วมกับ True Corporation Public Company Limited บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที เรส จำกัด และศูนย์วิจัยเฉพาะทางเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (DAIRC) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ ในหัวข้อ “Digital Tranformation for Industry : กุญแจสู่ความสำเร็จในการก้าวไปพร้อมกับเทคโนโลยี” เพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดชลบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง สู่การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น Thailand 4.0 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ณ จังหวัดชลบุรี โดยมี ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. เป็นประธาน และ คุณสมบูรณ์ ตรีพรเจริญ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี รวมถึงผู้ประกอบการจากหลากหลายอุตสาหกรรม ในจังหวัดชลบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงกว่า 160 ราย เข้าร่วมงานในครั้งนี้ (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. อว. ยกทัพผลงานเยาวชนด้านวิทยาศาสตร์ สู่กิจกรรม “วัยใสปล่อยพลัง ปังสุดใจ” ในงาน “วันพ่อแห่งชาติ” 1-6 ธ.ค. 63 ณ มิวเซียมสยาม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยกทัพผลงานเยาวชนทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่สร้างประโยชน์ ภายในบูธ สวทช. โซนกิจกรรม “วัยใสปล่อยพลัง ปังสุดใจ” ในงาน “วันพ่อแห่งชาติ”เมื่อวันที่ 1-6 ธันวาคม 2563 ณ สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) เพื่อเปิดพื้นที่ในการแสดงความสามารถของเยาวชนไทย โดยมี ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ และ โฆษกกระทรวง อว. ศ.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง กระทรวง อว. ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และ คุณวิมล จำนงค์บุตร ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ร่วมเยี่ยมชมบูธของสวทช. (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดตัว 3 นักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2563 สนับสนุนและสร้างเครือข่ายวิจัยด้านการแพทย์และอาหาร 60 ล้านบาท
7 ธันวาคม 2563 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศผู้ได้รับเป็นนักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2563 จำนวน 3 ท่าน (ตามลำดับอักษร) ได้แก่ ศ.นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล มหาวิทยาลัยมหิดล จากโครงการวิจัย “ยาต้านไวรัสออกฤทธิ์กว้าง: การเตรียมพร้อมต่อโรคติดเชื้ออุบัติใหม่” ศ.ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จากโครงการวิจัย “การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการผลิตอาหารแห่งอนาคต” และ ศ.ดร.สุทธวัฒน์ เบญจกุล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากโครงการวิจัย “การใช้ประโยชน์สูงสุดจากวัสดุเศษเหลือจากการแปรรูปสัตว์น้ำ เพื่อเป็นส่วนประกอบอาหารฟังก์ชัน/นิวตราซูติคอลและสารเติมแต่งอาหารชนิดใหม่” เพื่อให้นักวิจัยที่มีศักยภาพสูง เกิดการรวมกลุ่มทำวิจัยที่เข้มแข็งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้างสรรค์งานวิจัยใหม่หรือต่อยอดงานวิจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมและเชื่อมโยงระหว่างภาคความรู้ พร้อมยกระดับการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล็งเห็นว่าการเสริมสร้างฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรมให้เข้มแข็ง เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น จึงได้ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งทุ่มเททรัพยากรต่างๆ ให้กับการวิจัย ที่เป็นโจทย์สำคัญและท้าทายของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สวทช. ยังให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายการวิจัย ทั้งระดับชาติ และนานาชาติ โครงการนักวิจัยแกนนำ นอกจากจะเป็นกลไกที่ สวทช. นำมาใช้สนับสนุนนักวิจัยศักยภาพสูงให้เกิดการรวมกลุ่มทำวิจัยและหวังผลได้ สวทช. ยังนำมาใช้ในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ กับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในประชาคมวิจัย สร้างผลงานวิจัยที่ตอบโจทย์ท้าทาย ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม ในปีนี้ได้มีนักวิจัยที่ส่งข้อเสนอโครงการวิจัย จำนวน 21 โครงการ โดยคณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์สนับสนุนนักวิจัย จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย นักวิจัยด้านการแพทย์ 1 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์ นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จากโครงการวิจัยเรื่อง “ยาต้านไวรัสออกฤทธิ์กว้าง: การเตรียมพร้อมต่อโรคติดเชื้ออุบัติใหม่” และนักวิจัยด้านอาหาร 2 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จากโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการผลิตอาหารแห่งอนาคต” และศาสตราจารย์ ดร.สุทธวัฒน์ เบญจกุล คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากโครงการวิจัยเรื่อง “การใช้ประโยชน์สูงสุดจากวัสดุเศษเหลือ จากการแปรรูปสัตว์น้ำ เพื่อเป็นส่วนประกอบอาหารฟังก์ชัน / นิวตราซูติคอลและสารเติมแต่งอาหารชนิดใหม่” โดย สวทช. จะสนับสนุนงบประมาณวิจัย จำนวน 20,000,000 บาท ต่อโครงการ ระยะเวลาดำเนินโครงการ 5 ปี รวมงบประมาณ 60,000,000 บาท ศ.นพ.ประสิทธิ์  ผลิตผลการพิมพ์ รักษาการในตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สวทช. และเลขานุการคณะกรรมการด้านการส่งเสริมกลุ่มนักวิจัยแกนนำ กล่าวว่า สวทช. ได้ดำเนินโครงการนักวิจัยแกนนำมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 เพื่อสนับสนุนนักวิจัยศักยภาพสูงที่มีความเป็นผู้นำ ให้เกิดการรวมกลุ่มทำวิจัย ให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานวิจัยคุณภาพสูงในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ปัจจุบันนักวิจัยแกนนำ สวทช. มีจำนวนทั้งสิ้น 20 ท่าน จาก 23 โครงการวิจัย เป็นนักวิจัยแกนนำด้านการแพทย์ 11 ท่าน ด้านเกษตรและอาหาร 2 ท่าน ด้านอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ 2 ท่าน ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม 3 ท่าน และด้านการก่อสร้าง 2 ท่าน นักวิจัยแกนนำและทีมวิจัยได้สร้างความก้าวหน้าทางวิชาการในสาขาที่เชี่ยวชาญ สามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพในระดับสูงในรูปแบบผลงานวิชาการในวารสารระดับนานาชาติ ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ สิทธิบัตร อีกทั้งยังได้พัฒนากำลังคนทางด้านการวิจัยจำนวนมาก ประกอบด้วย นักศึกษาระดับปริญญาโท ปริญญาเอก และนักวิจัยหลังปริญญาเอก“ผลงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของนักวิจัยแกนนำทั้ง 3 ท่าน จะมุ่งเน้นทั้งงานวิจัยในเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ บทความวิชาการ ต้นแบบผลิตภัณฑ์ ต้นแบบเทคโนโลยี และสิทธิบัตร รวมถึงการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์" ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่า ศาสตราจารย์ นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่าโครงการวิจัยเรื่อง “ยาต้านไวรัสออกฤทธิ์กว้าง: การเตรียมพร้อมต่อโรคติดเชื้ออุบัติใหม่” สืบเนื่องจาก โรคติดเชื้ออุบัติใหม่จากไวรัสกำลังเป็นวิกฤติการณ์ของโรคจากการระบาดของโควิด -19 และในอนาคตมีแนวโน้มที่จะมีโรคติดเชื้ออุบัติใหม่เกิดขึ้นอีกได้เรื่อยๆ นอกจากโรคไวรัสจะแพร่ระบาดได้รวดเร็วแล้ว สิ่งที่ทำให้การรับมือกับโรคระบาดมีความยุ่งยากคือการที่ไม่มียาที่มีประสิทธิภาพในการรักษา ทั้งนี้เพราะยาต้านไวรัสในปัจจุบันออกฤทธิ์เพียงแคบๆ ต่อไวรัสเฉพาะกลุ่ม เมื่อมีไวรัสชนิดใหม่เกิดขึ้นจึงไม่มียารักษา และการพัฒนายาใหม่ก็ต้องใช้เวลานานไม่ทันกับความต้องการในการรับมือกับการระบาด  การพัฒนายาต้านไวรัสที่ออกฤทธิ์กว้างจะทำให้มียาที่พร้อมจะใช้กับไวรัสใหม่ๆ ช่วยให้โลกสามารถรับมือกับการเกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ได้ดีขึ้นในอนาคต ศาสตราจารย์ ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี  พระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวโดยสรุปว่า โครงการวิจัย “การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการผลิตอาหารแห่งอนาคต” มีเป้าหมายที่จะศึกษาและพัฒนานวัตกรรมการผลิตอาหารและส่วนประกอบของอาหาร (food ingredients) ที่ปลอดภัยต่อทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กระบวนการต่าง ๆ ที่นำเสนอเป็นกระบวนที่เน้นการนำวัตถุดิบที่หาง่าย ราคาถูก มาเพิ่มคุณค่าให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลาย ทั้งในแง่ของการใช้เป็นส่วนผสมเพื่อปรุงแต่งอาหารให้สวยงาม เป็นสารเติมแต่งอาหารที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ช่วยสร้างเสริมสุขภาพและความพึงพอใจแก่ผู้บริโภคในทุกช่วงอายุ ศาสตราจารย์ ดร.สุทธวัฒน์ เบญจกุล คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า โครงการวิจัย เรื่อง “การใช้ประโยชน์สูงสุดจากวัสดุ  เศษเหลือ จากการแปรรูปสัตว์น้ำ เพื่อเป็นส่วนประกอบอาหารฟังก์ชัน / นิวตราซูติคอลและสารเติมแต่งอาหารชนิดใหม่” เป็นการพัฒนาวัสดุเศษเหลือจากการแปรรูปสัตว์น้ำ ให้เป็นสารประกอบฟังก์ชัน/สารนิวตราซูติคอลและสารเติมแต่งอาหารที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน โดยอาศัยองค์ความรู้ทางด้านต่างๆ คือ การสกัดและพัฒนาสารออกฤทธิ์ การวิจัยกลไกการออกฤทธิ์ของสารและตรวจติดตามโดยใช้เทคนิคโปรติโอมิกส์ การวิจัยในระบบย่อยอาหารจำลองมาตรฐาน สัตว์ทดลองและมนุษย์ เพื่อให้ได้สารนิวตราซูติคอลและสารเติมแต่งอาหารที่มีความคงตัวและความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ ในปัจจุบันมีวัสดุเศษเหลือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลจากการจัดระบบฟาร์มเลี้ยงที่ประสบความสำเร็จและความต้องการผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนสภาพของวัสดุเศษเหลือที่มีมูลค่าต่ำให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการของตลาดและมีมูลค่าสูงจึงเป็นแนวทางสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำเพื่อเพิ่มรายได้ ขณะเดียวกันสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบำบัดของเสีย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ 2”
ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิริธร : 5 ธันวาคม 2563 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน มีกำหนดจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน”รุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 5 – 8  ธันวาคม 2563 เพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้มีการคิดเชิงระบบ การคิดเชิงวิเคราะห์และการคิดเชิงสร้างสรรค์ ขยายโอกาสให้ครูและนักเรียนมีบอร์ด KidBright ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนทางด้านวิทยาการคำนวณ ส่งเสริมให้เกิดการศึกษาค้นคว้า ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และการใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระตุ้นให้นักเรียนเป็นนักประดิษฐ์ มีความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นซึ่งกันและกัน สร้างพื้นฐานความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียน เพื่อมุ่งสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ในการจัดกิจกรรมอบรมในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright ซึ่งเป็นบอร์ดสมองกลฝังตัว ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ให้แก่ครูและนักเรียนพิการจากโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหวในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษทั่วประเทศ จำนวน 26 โรงเรียน ที่ผ่านมามูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งด้วยบอร์ด KidBright ให้แก่ครูและนักเรียนพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหวจากโรงเรียนนำร่อง จำนวน 10 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนภายใต้การดูแลของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ผลจากการดำเนินงานปรากฏว่านักเรียนที่เข้าร่วมอบรมสามารถเขียนโค้ดดิ้ง อีกทั้งสามารถจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวจากบอร์ด KidBright เพื่อแก้ปัญหาโจทย์ทางวิทยาศาสตร์ได้ นอกจากนี้นักเรียนยังได้นำผลงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวเข้าร่วมประกวดและได้รับรางวัลในการประกวดจากหลายเวที จึงทำให้เกิดการขยายผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright ในครั้งนี้ ซึ่งกิจกรรมในครั้งมีครูและนักเรียนพิการเข้าร่วมการอบรมจำนวน 9 โรงเรียน เป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 7 โรงเรียน และโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว 2 โรงเรียน การอบรมในโครงการมีทั้งหมด 3 หลักสูตร ตั้งแต่การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐานไปจนถึงการจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัว สำหรับการอบรมในครั้งนี้ครูและนักเรียนจะได้รับความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์ผ่านการฝึกปฏิบัติในการใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน เพื่อจุดประกายให้เห็นความสำคัญในการจัดการเรียนการสอนโค้ดดิ้งและนำไปต่อยอดในการอบรมในหลักสูตร KidBright ขั้นกลางและขึ้นสูงต่อไป ด้านอาจารย์ที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ (ครูอร) น.ส. อรจิรา มหารัตน์ ครู คศ.1 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวถึงการที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมว่า การที่มีกิจกรรมแบบนี้เกิดขึ้นทำให้เด็กๆ ที่มีข้อบกพร่องได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง และการที่ได้นำเด็กๆมาเข้าร่วมนี้ก็หวังจะให้เด็กได้มีความคิดที่เป็นระบบ มีการเพิ่มศักยภาพเฉพาะทางได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ และได้ลงมือทำด้วยตัวเองซึ่งจะได้เกิดการจดจำได้มากขึ้น เด็กจะได้ลองผิด ลองถูกและนำไปแก้ไขหรือปรับใช้ในชีวิตประจำวันต่อไปได้ และทางอาจารย์ก็จะได้นำความรู้ไปสอนนักเรียนคนอื่นๆที่สนใจต่อไป อีกมุมอาจารย์ที่เข้าร่วมกิจกรรม (ครูนัฐ) นายนัฐพล ตุงคุณะ ครูผู้สอน โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด เล่าให้ฟังว่าอยากให้เด็กๆที่มาได้สนุกและเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ซึ่งบางสิ่งบางอย่างไม่มีในห้องเรียน เด็กๆพวกนี้โชคดีที่มีโครงการดีๆแบนี้ และอยากให้โครงนี้มีต่อไปอีกหลายๆรุ่น เพราะจะได้ให้อาจารย์ผู้สอนได้นำไปประยุกต์ใช้และนำไปสอนเด็กๆเพื่อต่อยอดต่อไป และสุดท้ายเด็กๆก็จะเข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้นไปอีกด้วย และหนึ่งในนักเรียนที่ได้คัดเลือก (น้องแอน) เด็กหญิงชมพูนุท สวรรณ์ นักเรียนโรงเรียนโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี บอกว่าตัวเองไม่มีความเข้าในการใช้งานบอร์ด KidBright มาก่อน แต่ก็หวังจะมาศึกษาเรียนรู้จากการเข้าอรอบในครั้งนี้ เพื่อจะได้นำไปใช้และต่อยอดในด้านอีกๆ และไปสอนเพื่อนคนอื่นๆที่ไม่ได้มาด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาและต่อยอดความรู้จากการทำโครงการในครั้งนี้ สวทช. ได้มอบบอร์ด KidBright  ให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมอบรมทั้ง 9 โรงเรียน ๆ ละ 50 บอร์ด เพื่อให้ครูและนักเรียนที่เข้าร่วมอบรมได้ฝึกใช้ที่โรงเรียนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนโค้ดดิ้งให้แก่นักเรียนคนอื่น ๆ ในโรงเรียนอีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ 3 พันธมิตรสร้างฐานข้อมูลสมุนไพร หนุนเอกชนใช้งานด้านเครื่องสำอาง
For English-version news, please visit : NSTDA and partners to establish Thai medicinal plant database to boost cosmetic and herbal product industry โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ จับมือ อย., กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล พัฒนา “ฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” ชี้พร้อมเปิดให้ทดลองใช้ปลาย 2564 ด้วยข้อมูลพืชสมุนไพรไม่ต่ำว่า 50 ชนิด ตั้งเป้าเพิ่มข้อมูลสมุนไพรเป็น 1000 ชนิดใน 5 ปี หวังสนับสนุนผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์ พัฒนาเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวในการเปิดงานพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือ “โครงการพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” ว่า สวทช. เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีภารกิจที่สำคัญด้านการพัฒนาวิจัย ซึ่งรวมถึงการวิจัย คิดค้นผลงานที่มีการนำพืชสมุนไพรมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้น โดยใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงมาใช้ ซึ่งดำเนินการโดยศูนย์วิจัยแห่งชาติ ภายใต้ สวทช. อาทิ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ รวมไปถึงการกำหนดกลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมาย (Technology Development Group: TDG) ด้านเวชสำอาง (TDG: Cosmeceuticals) ซึ่งเป็นโปรแกรมวิจัยที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่พัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดแบบ Green extraction หากแต่ความต้องการสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์คือ แหล่งของข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ซึ่งประเทศไทยมีเพียง 1 ฐานข้อมูล คือ ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยที่ใช้ทางเครื่องสําอาง (Thai Medicinal Plants for Cosmetics Database; TMPCD) ของกลุ่มควบคุมเครื่องสำอาง สำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สวทช.  โดยโปรแกรมเวชสำอาง และ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, กองควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย และกองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สถาบันวิจัยสมุนไพร และสำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงตกลงร่วมกันในการสนับสนุนและผลักดันการจัดทำฐานข้อมูลกลางสำหรับผู้ประกอบด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย Super Manager โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. กล่าวว่า “โครงการพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก” จะเป็นการพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ ทั้งในส่วนข้อมูลและรูปแบบการใช้งาน มีการคัดเลือกและกำหนดพืชสมุนไพรเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงในการนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง “สำหรับโครงการในระยะที่ 1 นี้ มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปี 2564-2568) โดยปี2564 จะเป็นการเริ่มต้นสร้างฐานข้อมูลพืชสมุนไพรเป้าหมายจำนวนไม่น้อยกว่า 50 ชนิด ที่พร้อมให้บริการและจะเพิ่มจำนวนขึ้นในปีถัดไป โดยตัวอย่างพืชสมุนไพรที่มีอยู่ในฐานข้อมูลได้ แก่ กระชายดำ ไพล ขมิ้นชัน บัวบก เป็นต้น โดยพืชทั้ง 4  ชนิด ซึ่งได้มีการกำหนดเป็น Product Champions ของประเทศ” ดร.อุรชากล่าว พร้อมเผยว่า เราตั้งเป้ามีข้อมูลพืชสมุนไพรไม่น้อยกว่า 1,000 ชนิด ภายในปี 2568 หรือเมื่อสิ้นสุดโครงการในระยะที่ 1 ฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ในระยะแรก (เฟสที่ 1: 2564-2568) จะเป็นข้อมูลทั่วไปที่รวบรวมข้อมูลที่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ อาทิ ชื่อพืช การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ส่วนที่ใช้ สรรพคุณและการใช้สมุนไพรพื้นบ้านตามภูมิปัญญาไทย การสกัด แยกและตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ของสารสำคัญ การวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ สารสำคัญในสมุนไพร ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพร การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย ข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง อาการไม่พึงประสงค์ ผลงานวิจัย และเอกสารอ้างอิง ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อบังคับ/กฎหมายที่กำกับดูแลของสมุนไพรที่มีศักยภาพด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยอย่างน้อย 50 ชนิด ในระยะต่อไป จะเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญของสมุนไพรในด้านข้อมูลลำดับนิวคลีโอไทด์ (Whole-genomesequence) ความหลากหลายทางพันธุกรรม ชนิด สายพันธุ์ พันธุ์ดีเด่น พร้อมข้อมูลการนำไปใช้ประโยชน์ทางการผลิต และการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพร เช่น ลักษณะการเกษตร การเจริญเติบโต ผลผลิต สารพฤกษเคมี (Phytochemical profile) และผลการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioassay) รวมทั้ง ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างกลไกของของสาระสำคัญจากสมุนไพรที่มีต่อเซลล์และร่างกาย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา อย.ได้จัดทำฐานข้อมูลสมุนไพรไทยที่ใช้ทางเครื่องสําอาง หรือ THAI MEDICINAL PLANTS FOR COSMETICS DATABASE ประกอบไปด้วยสมุนไพร 340 ชนิด ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ เอกลักษณ์ต่างๆ ของสมุนไพร ส่วนที่ใช้และการนำไปใช้ทางเครื่องสำอาง ที่ผู้ประกอบการหรือผู้สนใจสามารถสืบค้นข้อมูลของสมุนไพรแต่ละตัวได้  โดยอาจต่อยอดพัฒนาเป็นเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้ภายนอก เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ และทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัย ในขณะเดียวกัน การพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก ร่วมกับพันธมิตรอีก 3 หน่วยงานนี้ ขอบเขตความร่วมมือและบทบาทของ อย. ในความร่วมมือนี้ จะร่วมพัฒนาและสนับสนุนฐานข้อมูลพืชสมุนไพรด้านสรรพคุณและหน้าที่สารออกฤทธิ์สำคัญ (Functional & health claims) ของสมุนไพรสำหรับใช้เป็นข้อกำหนดในการตรวจสอบเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก และเชื่อมโยงฐานข้อมูลเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเชื่อว่า ความร่วมมือนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร ผู้ผลิตเครื่องสำอาง และผู้บริโภค เพื่อให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรสู่นวัตกรรมด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้ภายนอกอย่างยั่งยืน นายแพทย์ พิเชฐ บัญญัติ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า  กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีความยินดีที่จะร่วมพัฒนาฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์ทางเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับใช้ภายนอก เพื่อความสะดวกและเป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลที่สำคัญของสมุนไพรโดยเป็นข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัย ผู้ประกอบการ และประชาชนที่สนใจ อันจะส่งผลให้เกิดการผลักดันการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสมุนไพรเพื่อเพิ่มมูลค่าของสมุนไพร เป็นการเพิ่มโอกาสให้สมุนไพรไทยสามารถเข้าแข่งขันในเวทีการค้าระดับโลกได้ รองศาสตราจารย์ ภก.สุรกิจ นาฑีสุวรรณ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ทางคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยสำนักงานข้อมูลสมุนไพร มีพันธกิจหลักในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลต่างๆ เพื่อรักษามรดกทางความรู้ด้านสมุนไพรและให้บริการข้อมูลสมุนไพรให้กับหน่วยงานรัฐและเอกชน เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาองค์ความรู้และการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรของประเทศมาอย่างต่อเนื่องสำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายฐานข้อมูลครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ที่มีโอกาสส่งผลให้เกิดการเพิ่มมูลค่าของสมุนไพรไทย และนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทยตามแนวทางที่รัฐบาลตั้งเป็นจุดมุ่งหนึ่งของการพัฒนาประเทศ สมุนไพรไทยจำนวนมาก มีฤทธิ์ที่สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางได้อย่างหลากหลายสรรพคุณ ไม่แพ้สมุนไพรจากแหล่งอื่นๆ ของโลก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลมีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในภาระกิจที่สำคัญครั้งนี้ และให้ความสำคัญกับการผลักดันโครงการนี้ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับการพัฒนาวงการสมุนไพรและเครื่องสำอางของเป็นอย่างดี “เป้าหมายสำคัญของความร่วมมือจาก 4 หน่วยงานที่แข็งแกร่งนี้ คือ การปูทางให้เกิดการนำสมุนไพรไทยไปใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพและมาตรฐาน ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยภาคเอกชนสามารถนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ สร้างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยที่ดี มีมูลค่าสูง สามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน” ดร.วรรณีทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. อว. ขอเชิญชวนร่วมกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” 1-6 ธันวาคม 2563 ถนนสนามไชย สวนสราญรมย์ และมิวเซียมสยาม
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ขอเชิญชวนร่วมกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” 1-6 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 21.00 น.ณ ถนนสนามไชย สวนสราญรมย์ และมิวเซียมสยาม เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 โดยภายในงานมีการจัดกิจกรรมมากมาย 1.โซนพิเศษ (โซนพระราชทาน) ณ บริเวณถนนสนามไชย หน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 พระราชวังสราญรมย์และหน้าทำเนียบองคมนตรี เป็นการจัดนิทรรศการโครงการของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา 2.โซนนิทรรศการ “ความดีที่แบ่งปัน” ณ บริเวณถนนสนามไชย สวนสราญรมย์ นำเสนอในรูปแบบนิทรรศการภาพหอเกียรติยศ (Hall of fame) ภาพแห่งความทรงจำ ภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยศิริราชมูลนิธิ ภาพการปฏิบัติงานของจิตอาสาพระราชทาน การจัดนิทรรศการของมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ทมศ) 3.โซนนิทรรศการ “ความสุขที่พ่อให้” ณ บริเวณถนนสนามไชยตลอดเส้นทาง ตั้งแต่หน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 พระราชวังสราญรมย์ นำเสนอในรูปแบบนิทรรศการมีชีวิต (Live Exhibition) ของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรที่มีต่อปวงชนชาวไทย จำนวน 29 หน่วยงาน 4.การแสดงของเด็กและเยาวชน 4.1การแสดง “รู้รักสามัคคี เพราะพระบริบาล” จัดแสดง ณ บริเวณเวทีหน้าอาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นการแสดงละครประกอบ แสง สี เสียง การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม 4 ภาค และเทคนิคการฉายวิดีโอ Mapping ซึ่งเป็นการฉายเสมือนจริงแบบ 3 มิติ จัดแสดงวันละ 2 รอบ เวลา 18.30 - 19.15 น. และ เวลา 20.15 - 21.00 น. 4.2การแสดงขบวนพาเหรดวงโยธวาทิตของเด็กและเยาวชน ทำการแสดงตลอดแนวถนนสนามไชย ตั้งแต่มิวเซียมสยามไปจนถึงหน้าศาลฏีกา เวลา 16.00 น. ของทุกวัน ยกเว้นวันที่ 5 ธันวาคม 2563 4.3การแสดงริ้วขบวนพาเหรด “เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” จัดแสดงวันที่ 1 - 4 และ 6 ธันวาคม 2563 เวลา 17.30 น. เริ่มต้นขบวนเดินตั้งแต่สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) ถึงบริเวณหน้าศาลฏีกา 5.กิจกรรม “วัยใสปล่อยพลัง ปังสุดใจ” จัดที่สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) เป็นการเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้แสดงความสามารถ โดยมีการจัดเวทีการแสดงความสามารถของเด็กและเยาวชน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. และจัดกิจกรรมอื่น ๆ ในพื้นที่โดยรอบ เช่น การแสดงมายากล การบิดลูกโป่ง การวาดรูป การปั้น การเพ้นท์หน้า เพ้นท์เล็บ เป็นต้น 6.การออกร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม “เลิศลิ้มชิมรส เหนือจรดใต้” จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ภายในสวนสราญรมย์ โดยมีร้านที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกภาคของประเทศ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสาธิตการประกอบอาหารและการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน เวลา 18.00 - 19.00 น. นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายสินค้า OTOP และจำหน่ายอาหารจากกลุ่มผู้ประกอบการ การจำหน่ายอาหารทานเล่นและเครื่องดื่ม ตลอดแนวถนนสนามไชย ใช้ชื่อ “เดินชิมริมทาง” ข้อมูลจาก https://www.mhesi.go.th/home/index.php/pr/news/2351-1-6-2563
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
DITP และ สวทช. เผยผลการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ“เพิ่มโอกาสการส่งออกต่างประเทศด้วย DITP Business AI”
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (DITP)  ร่วมกับ ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงผลการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “เพิ่มโอกาสการส่งออกต่างประเทศด้วย DITP Business AI” ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี ในวันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 51 ท่าน จาก 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่กลุ่มสินค้าสมุนไพร กลุ่มสินค้าผลไม้ และกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ภายในงานสัมมนาประกอบการบรรยายวิสัยทัศน์ “การใช้ Big Data และ AI ภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต” การเสวนา “รู้รับ ปรับตัว เพื่อโอกาสในยุค New Normal” โดยผู้บริหารจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ Workshop การวิเคราะห์โอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ โดยใช้ข้อมูลจากระบบ DITP Business AI โดยทีมผู้เชียวชาญด้าน Data Analytics โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก Big Data เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และแสวงหาโอกาสในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้ นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยถึงการจัดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “เพิ่มโอกาสการส่งออกต่างประเทศด้วย DITP Business AI” เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยถือเป็นครั้งแรกที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรมในรูปแบบสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูล Big Data ด้านการค้าระหว่างประเทศ ผ่านการประมวลผลจากระบบปัญญาประดิษฐ์ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP Business AI) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ในการแสวงหาโอกาสทางการค้าได้อย่างเหมาะสมตามแนวโน้มสถานการณ์การค้าโลก และพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” ของกระทรวงพาณิชย์ ที่เน้นการใช้ประโยชน์ข้อมูลด้านการตลาดอย่างชาญฉลาดเป็นกลไกในการนำไปสู่การวางแผนการบวนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมการเสวนาแลกเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจภายใต้หัวข้อ “รู้รับ ปรับตัว เพื่อแสวงหาโอกาสในยุค New Normal โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล Big Data แสวงหาโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ภายในกิจกรรมสัมมนายังมีบริการรับสมัครเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญจากภาครัฐ รวมถึงบริการข้อมูลและคำปรึกษาด้านการค้าระหว่างประเทศจากเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เข้าร่วมสัมมนา นายพรวิช ศิลาอ่อน ผู้อำนวยการสำนักสารสนเทศและการบริการการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของความร่วมระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ คือ การผลักดันผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพจาก โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ด้วยความคาดหวังในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยใช้ Data Analytics ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และแสวงหาโอกาสในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้ และถือเป็นก้าวแรกของผู้ประกอบการที่จะได้ใช้ประโยชน์ข้อมูลจากระบบปัญญาประดิษฐ์ (DITP Business AI) ในการแสวงหาโอกาสและแนวทางการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการค้าระหว่างประเทศ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดกิจกรรมสัมมนาในครั้งนี้ จะเป็นโมเดลในการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีจากภาครัฐในการสนับสนุนโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มอื่นต่อไป ในการสัมมนาครั้งนี้ นอกจากการถ่ายทอดองค์ความรู้และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงข้อมูลและบริการที่เป็นประโยชน์จากภารรัฐแล้ว ภาครัฐเองยังมีโอกาสได้รับฟังเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมงานสัมมนาด้วย โดยคุณปรินดา ตั้งพิรุฬห์ธรรม หนึ่งในผู้ประกอบการด้านสมุนไพรและฟาร์มออร์แกนิค ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนา และเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนจาก ITAP ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปีที่ผ่านมา กล่าวว่า “ได้รับความรู้จากการอบรมดีกว่าที่คาดหวังไว้มาก และคิดว่า DITP Business AI เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูล Big Data ในมิติต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ ทั้งการเลือกแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ และวางแผนการตลาดไปยังประเทศเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม ต้องขอบคุณมากที่ภาครัฐพัฒนาเครื่องมือนี้ขึ้นมา เพราะช่วยให้ผู้ประกอบการทั่วไปสามารถใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจได้จริง”
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘ไฮบริดชัวร์’ คว้าผลงานวิจัยที่น่าลงทุนที่สุด ปี 2020 ในงาน THAILAND TECH SHOW 2020 บนแพลตฟอร์มออนไลน์ครั้งแรก 2-4 ธ.ค.นี้
For English-version news, please visit : HybridSure voted the most investable innovation at THAILAND TECH SHOW 2020 2 ธันวาคม 2563 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรมนำเสนอผลงานวิจัยที่น่าลงทุนประจำปี 2563 ในงาน Thailand Tech Show 2020 ที่ สวทช. จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน (Technologies and Innovations for Investment in The New Normal)” บนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นครั้งแรก เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ New Normal ผ่านช่องทาง www.nstda.or.th/thailandtechshow/2020  เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ กว่า 290 ผลงาน จากพันธมิตร 40 หน่วยงาน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ประธานในพิธีเปิดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สำหรับเวทีการนำเสนอผลงานวิจัยเด่นที่น่าลงทุน (Investment Pitching) ในปีนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 10 ผลงานจาก สวทช. และพันธมิตร โดยรางวัลผลงานที่น่าลงทุนที่สุดประจำปี 2563 จากการโหวตของนักลงทุนและประชาชนที่สนใจผ่านระบบออนไลน์ คือ “ชุดตรวจไฮบริดชัวร์ (HybridSure)” เทคโนโลยีที่ช่วยตรวจสอบความบริสุทธิ์เมล็ดพันธุ์ลูกผสมได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ของ ดร.วิรัลดา ภูตะคาม นักวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. และยังคว้ารางวัลผลงานที่นำเสนอดีที่สุดอีก 1 รางวัล (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
10 Technologies to Watch 2020 -10 เทคโนโลยีพลิกโฉมธุรกิจ-ชีวิตวิถีใหม่ เทรนด์เทคโนโลยีอีก 3-5 ปี
(2 ธันวาคม 2563) ณ ห้องออดิทอเรียม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงานTHAILAND TECH SHOW 2020 ภายใต้แนวคิด“วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน (Technologies and Innovations for Investment in The New Normal)” บนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นครั้งแรกอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ New Normal ผ่านช่องทาง https://www.nstda.or.th./thailandtechshow เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ กว่า 290 ผลงาน จากพันธมิตร 40 หน่วยงาน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ประธานในพิธีเปิดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก สำหรับไฮไลต์ของงานที่มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมฟังจำนวนมาก คือ การบรรยายพิเศษเรื่อง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10Technologies to Watch) โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้เปิดเผยถึง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับมอง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อธุรกิจและชีวิตหลังยุคโควิดอีก 3-5 ปีข้างหน้า ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า สำหรับการบรรยายเรื่อง 10 เทคโนโลยีที่ควรจับตามอง ในปีนี้ 10 เทคโนโลยี ที่สวทช. เลือกมาเป็นการคาดการณ์เทคโนโลยีที่จะมีผลกระทบได้อย่างชัดเจนใน 3-5 ปีข้างหน้า แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะส่งผลกระทบกับชีวิตและธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้ ดาวน์โหลดไฟล์ Presentation PDF File (22 MB) รับฟัง VDO บรรยาย โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช.   โดยเริ่มจากเทคโนโลยีใกล้ตัวและเข้ากับสถานการณ์ที่สุด 1. วัคซีนโควิด 19 (COVID-19 Vaccine) ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด19 หลายประเทศมีการจัดการกับการระบาดของโรค เพื่อให้อยู่กับสถานการณ์โควิดแบบในปัจจุบันได้ โดยหลักๆ จะใช้ 3 วิธี คือ การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) การพัฒนายารักษาโรคโควิด 19 และการพัฒนาวัคซีน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ที่ถือเป็นงานเร่งด่วน โดยใช้เทคโนโลยีวัคซีน 4 รูปแบบ แบบที่หนึ่ง คือ virus vaccine เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้ในการพัฒนาวัคซีนทั่วไป ที่ใช้ตัวไวรัสทั้งตัวมาเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีทั้งวัคซีนเชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนฤทธิ์และวัคซีนเชื้อตาย แบบที่สอง protein-based vaccine หรือ subunit vaccine โดยเอายีนของเชื้อ SARS-CoV-2 ไปใส่ในแบคทีเรียหรือยีสต์ แล้วให้แบคทีเรียหรือยีสต์สร้างโปรตีนขึ้นมา โดยก่อนจะนำไปฉีดเข้าร่างกาย จะต้องเติม adjuvant ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไปด้วย แบบที่สาม nucleic acid vaccine เป็นการต่อยอดใช้สารพันธุกรรมของแบคทีเรียหรือยีสต์ที่มีการเติมยีนของเชื้อ SARS-CoV-2 มาใช้ประโยชน์ มี 2 รูปแบบ ได้แก่ DNA vaccine และ mRNA vaccine ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้จำเป็นที่จะต้องพัฒนาตัวนำส่ง เพื่อใช้กลไกของร่างกายเปลี่ยน DNA หรือ mRNA ให้เป็นโปรตีนที่ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อก่อโรค และแบบที่สี่ viral vector vaccine เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ไวรัสวัคซีนที่มีอยู่แล้วมาเป็นตัวนำส่ง โดยออกแบบให้วัคซีนเหล่านี้สามารถนำยีนของเชื้อ SARS-CoV-2 เข้าสู่ร่างกาย ตัวอย่างเช่น การสร้างวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่มียีนของ SARS-CoV-2 ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ทั้งโรคโควิด 19 และโรคไข้หวัดใหญ่ หรือใช้ adenovirus vaccine สำหรับ สวทช. ได้มีการพัฒนาต้นแบบวัคซีน 3 รูปแบบ ยกเว้นรูปแบบ virus vaccine ที่ต้องใช้เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เนื่องจากยังไม่มีห้องปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยระดับ 3 อย่างไรก็ตามหากดูความก้าวหน้าในระดับโลก ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ผ่านการรับรองที่พร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ แต่ก็มีหน่วยงานที่มีความก้าวหน้าในขั้นทดลองเฟส 3 เช่น บริษัท Pfizer และ BioNTech ของสหรัฐอเมริกา เป็น mRNA vaccine ซึ่งประกาศความสำเร็จในการวิจัยเชิงคลินิกระยะที่ 3 (ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563) และได้ยื่นขอ emergency use authorization (EUA) จาก U.S. Food and Drug Administration (FDA) แล้ว มีคู่แข่งในแพลตฟอร์มเดียวกันคือ Moderna ของสหรัฐอเมริกา   2. ยาแก้ไขความชรา (Rejuvenating Drug) ยาแก้ไขความชราถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีแห่งความหวังของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นอกจากจะช่วยให้เรามีชีวิตยืนยาวแล้ว ที่สำคัญคือจะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตในช่วงวัยชราได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข ขณะนี้ประเทศไทยก็มียาอายุวัฒนะ REDGEMs หรือมณีแดง เพื่อแก้ไขความชรา ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของ ศ. ดร. นพ.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยแกนนำ สวทช. ที่พบว่า ความชราของดีเอ็นเอเป็นสภาวะเหนือพันธุกรรม เกิดจากการลดลงของข้อต่อดีเอ็นเอซึ่งทำให้รอยโรคของดีเอ็นเอเพิ่มขึ้น จึงพัฒนา “ยา มณีแดง” ที่จะช่วยเพิ่มข้อต่อดีเอ็นเอในเซลล์ ทำให้รอยโรคของดีเอ็นเอลดลง เซลล์กลับมามีรูปร่างและทำงานได้เหมือนเซลล์ปกติ และได้มีการทดสอบใช้มณีแดงในเซลล์และในหนูทดลองแล้ว พบว่าสามารถสร้างข้อต่อดีเอ็นเอได้ เซลล์ที่ชราแล้วกลับมามีรูปร่างและการทำงานเหมือนเซลล์ปกติ แผลไฟไหม้ในหนูทดลองหายเร็วขึ้น ไขมันลงพุงลดลง หนูชรามีความจำดีขึ้นและคล่องแคล่วว่องไวพอๆ กับหนูหนุ่มสาว ถ้ามณีแดงผลิตได้จริงในเชิงพาณิชย์ ก็จะนำไปใช้เพื่อการรักษาโรคทางผิวหนัง เช่น แผลเบาหวาน แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลคนชรา และโรคอื่นๆ เช่น กระดูกผุ ความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ รวมถึงร่างกายเสื่อมโทรมจากเบาหวานหรือความชรา สมองเสื่อม 3. อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งสุขภาพ (Internet of Health Things, IoHT) ปัจจุบันเริ่มมีการนำ Internet of Things หรือ IoT มาใช้งานในด้านการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยเทคโนโลยี 5G ที่จะเกิดขึ้นนั้น สามารถรองรับการทำงานของอุปกรณ์ IoT จำนวนมากๆ ได้พร้อมๆ กัน (massive IoT) ทำให้การติดตามสุขภาพผู้ป่วยผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (mobile medical devices) ต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย การทำงานของระบบ IoT ทางด้านสุขภาพ หรือ Internet of Health Things, IoHT ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือ เซนเซอร์ ที่อยู่ในอุปกรณ์สวมใส่หรือเครื่องมือแพทย์ต่างๆ เพื่อใช้วัดสัญญาณชีพของผู้ป่วย เช่น ความดันโลหิต อุณหภูมิ อัตราการเต้นหัวใจ สัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายไปเก็บยังส่วนที่สอง คือ ฐานข้อมูลสุขภาพ ที่เก็บข้อมูลสุขภาพของแต่ละบุคคล และส่วนสุดท้าย คือ ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล ที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล สำหรับแพทย์ตรวจติดตามและวินิจฉัย รวมทั้งแสดงผลกลับไปยังตัวผู้ป่วย ปัจจุบันบริษัท Startup ในต่างประเทศหลายแห่งออกผลิตภัณฑ์ IoHT ในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุบ้างแล้ว เช่น ตรวจติดตามโรคหัวใจ ตรวจติดตามโรคเบาหวาน ที่ใช้ตรวจติดตามในช่วงการกักตัวในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 สำหรับประเทศไทยก็มีหลายหน่วยงานวิจัยพัฒนาในเรื่องนี้ เช่น ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ A-MED สวทช. ที่นำ IoHT มาประยุกต์ใช้ในการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ โดยพัฒนาเป็นอุปกรณ์เซนเซอร์สำหรับสวมใส่หรือติดไว้บนร่างกาย เซนเซอร์จะส่งสัญญาณไปแจ้งเตือนผู้ดูแล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เซนเซอร์มีขนาดเล็กลง ทนทานต่อการใช้งาน และมี data analytics ที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น 4. ชิปสายพันธุ์ใหม่ (Neuromorphic Chip) นิวโรมอร์ฟิกชิปหรือชิปสายพันธุ์ใหม่ เป็นความพยายามในการพัฒนาชิปคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลได้รวดเร็วเหมือนกับสมองของมนุษย์ ที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งมีความซับซ้อนหลายมิติได้พร้อมกัน โดย นิวโรมอร์ฟิกชิป นี้เลียนแบบการทำงานของสมองและเส้นประสาทของมนุษย์ โดยใช้อุปกรณ์ที่ทำงานคล้ายกับเซลล์ประสาทในสมอง และพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า ไซแนปส์ (synapse) หรือจุดประสานประสาท ซึ่งเป็นโครงสร้างพิเศษที่ทำหน้าที่เสมือนลำเลียงข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งได้ หรือจากหน่วยประมวลผลหนึ่งไปยังอีกหน่วยหนึ่งได้ เพื่อประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลหลายอย่างได้พร้อมกันเหมือนกับที่สมองของมนุษย์ทำได้ รองรับการทำงานขั้นสูงที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ด้วยความรวดเร็วกว่า และใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน คาดว่าใน 10 ปีข้างหน้า นิวโรมอร์ฟิกชิปจะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ ให้เก่งและสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้หลายด้านมากขึ้น เช่น ด้านการแพทย์ ที่นำมาใช้ในการวินิจฉัยโรคจากรูปภาพทางการแพทย์ได้รวดเร็วมากกว่าและแม่นยำยิ่งขึ้น   5. การสื่อสารด้วยภาพ (Vision Communication) เมื่อคอมพิวเตอร์มีสมองหรือชิปที่มาจากการเลียนแบบการทำงานของสมองของมนุษย์ ก็ยิ่งทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์มากขึ้น Vision Communication หรือ “การสื่อสารด้วยภาพ” เป็นรูปแบบการสื่อสารยุคใหม่ ที่เกิดขึ้นจากวิทยาการคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ ในการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์หรือเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ โดยเฉพาะความสามารถในการคิดเองได้ หรือที่เรียกว่ามีปัญญานั่นเอง ซึ่งประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีการกระทำคล้ายมนุษย์ (acting humanly) คือ สื่อสารกับมนุษย์ได้ด้วยภาษาที่มนุษย์ใช้ มีจังหวะการพูด กะพริบตา ส่ายหน้า หรือแสดงอารมณ์และความรู้สึกออกมาทางใบหน้า เช่น คิ้ว ตา สายตา และมุมปาก ส่วนอีกกลุ่ม คือ กลุ่มที่มีการคิดแบบมีเหตุผล (thinking rationally) สามารถวิเคราะห์อารมณ์ได้จากใบหน้า แยกแยะและจดจำใบหน้าได้ สามารถแยกเสียงพูด วิเคราะห์ความหมาย อารมณ์ ความต้องการของเสียง เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ ระบบค้นหาข้อมูล ปัจจุบันเริ่มมีการนำเทคโนโลยี Vision Communication ไปใช้งานด้านการสร้างภาพยนตร์ และอีกตัวอย่างที่เริ่มมีให้เห็นบ่อยและใกล้ตัวเรามากขึ้นคือการนำไปใช้งานด้านการสื่อสาร เช่น ในจีนมีการสร้างตัว avatar ของผู้ประกาศข่าวหรือผู้ประกาศข่าวเสมือนอ่านข่าวแทนผู้ประกาศข่าวตัวจริง และล่าสุดเกาหลีใต้เพิ่งเปิดตัวผู้ประกาศข่าวเสมือนที่พูดโต้ตอบกับผู้ประกาศข่าวตัวจริงได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความรวดเร็วในการรายงานข่าว หรือแม้กระทั่งในโรงพยาบาลที่มีแนวโน้มว่าจะนำเทคโนโลยีนี้ ไปใช้ในการคัดกรองคนไข้และวินิจฉัยโรคในเบื้องต้นก่อนพบแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดต่อสื่อสารกันโดยตรงระหว่างคนไข้กับบุคลากรทางการแพทย์ในยุคโควิด 19 หรือในสถานการณ์ที่มีโรคระบาดอื่นๆ 6. ขวดพลาสติกจากพืช (PEF) ประเทศไทยมีขยะพลาสติกเกิดขึ้นปีละประมาณ 2 ล้านตัน ในจำนวนนี้สามารถนำไปรีไซเคิลได้เพียง 0.5 ล้านตัน อีก 1.5 ล้านตัน ต้องกำจัดด้วยการเผาหรือฝังกลบ โดย 0.3 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นขยะประเภทขวดพลาสติก และอีก 1.2 ล้านตัน เป็นประเภทถุงพลาสติกและซองบรรจุภัณฑ์ต่างๆ แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง แต่ต่อไปจะมีวัสดุที่เรียกว่า PEF (Polyethylene Furanoate) ผลิตจากวัสดุชีวภาพหรือ bio-based 100% ซึ่งสามารถลด carbon footprint ได้กว่า 50% เมื่อเทียบกับการผลิตขวด PET จากปิโตรเคมี ทำให้คาดว่า PEF จะมาแทนที่พลาสติก PET ในอนาคต “คุณสมบัติเด่นของ PEF ที่เหนือกว่า PET คือเป็นผลิตจากวัตถุดิบชีวภาพ 100% มีน้ำหนักเบาแต่มีความแข็งแรง มีความเสถียรทางความร้อนสูง สามารถนำมารีไซเคิลได้ 100% ในระบบเดียวกับ PET อีกด้วย และยังมีสมบัติกันน้ำและก๊าซผ่านเข้าออกได้ดีกว่า PET ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงคาดว่า PEF จะเป็นพอลิเมอร์รุ่นต่อไปที่มีศักยภาพในการแทนที่ PET” นอกจากนี้ สวทช. โดยนาโนเทค กำลังเริ่มศึกษาเกี่ยวกับ PEF โดยมีความร่วมมือกับ Prof. Xiaoqing Liu นักวิจัยจาก Ningbo Institute of Materials Technology and Engineering ประเทศจีน ในการนำ PEF มาพัฒนาเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่จะนำมาสู่ต้นแบบกระบวนการผลิต PEF และผลิตภัณฑ์จาก PEF สำหรับถ่ายทอดสู่อุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้พลาสติกจากพอลิเมอร์ชีวภาพแทนพลาสติกจากปิโตรเลียม ซึ่งจะช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกและลดภาวะโลกร้อน และยังใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน 7. การออกแบบโครงสร้างวัสดุชนิดเดียว (Monomaterial Structure Design) ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่พร้อมนำกลับไปใช้ประโยชน์หรือรีไซเคิล ต้องมีการออกแบบให้คัดแยกง่าย แต่ปัญหาคือบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น ส่วนหนึ่งเป็นพลาสติกแบบ multilayer materials เป็นวัสดุหลายชนิดเรียงซ้อนกัน เพื่อให้มีสมบัติการใช้งานที่ดี แต่ข้อเสียคือ คัดแยกยาก (sorting) และยังแยกชั้นฟิล์มออกจากกันยาก (delamination) ทำให้นำไปรีไซเคิลได้น้อยมาก ตัวอย่างพลาสติกประเภทนี้คือ ซองขนมขบเคี้ยว ซองบรรจุภัณฑ์ เทคโนโลยี Monomaterial Structure Design ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว คือทำให้ได้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ดีกว่าหรือเทียบเท่ากับ multilayer materials แต่ที่เหนือกว่าคือ การเป็นวัสดุชนิดเดียวกัน ทำให้สามารถคัดแยกง่าย ไม่ต้องมีขั้นตอนการแยกชั้นฟิล์มออกจากกัน นำมารีไซเคิลได้ทั้งหมดโดยไม่มีของเสียเหลืออยู่ จึงไม่ไปเพิ่มขยะสู่สิ่งแวดล้อม  สวทช. มีทีมนักวิจัยจากเอ็มเทค ที่เตรียมความพร้อมเชิงเทคโนโลยีทั้งเรื่องของ monomaterials และ monomaterial structure design เพื่อทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก 8. วัสดุนาโนคาร์บอนจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 to Nanocarbon) ในปี 2562 ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในบรรยากาศได้เพิ่มสูงกว่า 400 ppm ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน (global warming) ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงเกิดแนวคิดที่จะนำ CO2 ที่อยู่ในบรรยากาศมาเปลี่ยนรูปให้เป็นวัสดุอื่นที่มีประโยชน์ เพื่อลดปริมาณ CO2และลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ปัจจุบันเราสามารถเปลี่ยน CO2ให้เป็นวัสดุได้หลายชนิด โดยเปลี่ยนวิธีใหม่ เอา O2 ออก ให้เหลือคาร์บอน (C) เพียงอย่างเดียว แล้วทำให้เป็นคาร์บอนที่มีมูลค่าสูง เช่น วัสดุนาโนคาร์บอน ที่สำคัญได้แก่ ท่อนาโนคาร์บอน (carbon nanotubes) และกราฟีน (graphene) ที่มีโครงสร้างระดับนาโนแบบ 1 และ 2 มิติ ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในแง่วัสดุคาร์บอนที่มีมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับวัสดุอื่น เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นเป็นพิเศษทั้งทางกายภาพ ไฟฟ้า และเคมี ทำให้เหมาะที่จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานในหลาย ๆ ด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์ระดับนาโน เซนเซอร์ วัสดุสำหรับยานยนต์และอากาศยาน แบตเตอรี่ขนาดเล็ก ในประเทศไทย โดย สวทช. มีศูนย์วิจัยด้านการสังเคราะห์กราฟีนและการผลิตกราฟีนและวัสดุนาโนคาร์บอนจาก CO2 เทคโนโลยีการแปลงก๊าซ CO2ไปเป็นกราฟีนและท่อนาโนคาร์บอนนี้สามารถนำไปใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อช่วยลดปริมาณก๊าซ CO2 ที่ปลดปล่อยออกมาจากกระบวนการผลิต สามารถตอบสนองต่อแนวทางการใช้วัสดุซ้ำหรือเหลือทิ้งให้เป็นประโยชน์ เกิดเป็นธุรกิจใหม่ที่จะสร้างวัสดุที่มีมูลค่าสูง และขณะเดียวกันก็ช่วยลดมลพิษในสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) 9. แบตเตอรี่ปลอดภัยไร้ลิเทียม (Non-Lithium Ion Batteries) เมื่อไม่นานมานี้กองทัพบกสหรัฐอเมริกาและหน่วยงานในสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการวิจัยแบตเตอรี่ซิงก์ไอออนชนิดใช้น้ำเกลือเป็นอิเล็กโทรไลต์ มีจุดเด่นคือสามารถเก็บพลังงานได้สูง โดยมีความหนาแน่นพลังงานสูงเทียบเท่ากับแบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่มีต้นทุนถูกกว่าเกือบ 3 เท่า แบตเตอรี่ซิงก์ไอออนมีข้อดีหลายด้าน ทั้งด้านราคาที่ถูกกว่า เนื่องจากแหล่งแร่สังกะสีที่ใช้เป็นวัตถุดิบมีมากกว่า ซึ่งในประเทศไทยก็มีแหล่งแร่สังกะสีอยู่ในหลายพื้นที่ ขณะที่ลิเทียมมีจำกัดแค่ในบางประเทศ และไทยต้องนำเข้ามาเท่านั้น เนื่องจากลิเทียมมีความไวต่อสภาพแวดล้อม จึงต้องประกอบในห้องคลีนรูม ทำให้มีต้นทุนในการจัดการโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมสูงกว่า นอกจากนั้นแล้วข้อสำคัญในด้านความปลอดภัยนั้นสังกะสีเป็นธาตุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับอากาศและติดไฟเหมือนลิเทียม จึงไม่ระเบิด สามารถขนส่งทางอากาศได้ เหมาะสำหรับประยุกต์ใช้กับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูงตอบโจทย์ด้านความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะสามารถรีไซเคิลได้ สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) มีงานวิจัยพัฒนาแบตเตอรี่ซิงก์ไอออนด้วยวัสดุกราฟีน จนมีประสิทธิภาพเทียบเคียงได้กับแบตเตอรี่ลิเทียมบางชนิด (Lithium iron phosphate : LFP) แต่มีความปลอดภัยสูง ไม่ระเบิดแม้ถูกเจาะ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม จัดตั้งและดำเนินการศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมแบตเตอรี่ล้ำสมัยที่ผลิตจากวัตถุดิบภายในประเทศเพื่อความมั่นคง เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการวิจัยและเป็นศูนย์กลางในเครือข่ายงานวิจัยนวัตกรรมแบตเตอรี่ที่ผลิตจากวัตถุดิบภายในประเทศ 10. กรีนไฮโดรเจน (Green Hydrogen) หลายประเทศกำลังมุ่งพัฒนา green hydrogen ซึ่งสะอาดมาตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งพลังงานสะอาดอย่างแสงอาทิตย์ ลม และใช้กระบวนการอิเล็กโทรไลซิส ซึ่งไม่มีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กระบวนการอิเล็กโทรไลซิสคือการแยกน้ำด้วยไฟฟ้าโดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า electrolyser ซึ่งจะได้ก๊าซไฮโดรเจนกับออกซิเจนออกมา เราสามารถเก็บไฮโดรเจนไว้ได้เหมือนกับการกักเก็บอิเล็กตรอนในแบตเตอรี่ แต่มีข้อดีกว่าคือ มีต้นทุนต่ำกว่า เก็บพลังงานได้มากและนานกว่า เมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้าก็สามารถนำไฮโดรเจนป้อนเข้าไปในเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าได้ ตัวอย่างของการใช้ประโยชน์กรีนไฮโดรเจน เช่น การนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าผ่านเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า (เช่น Toyota Mirai) หรือเป็นเซลล์เชื้อเพลิงที่ติดไว้กับบ้านเรือน หรือป้อนเข้าโรงไฟฟ้าโดยการนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าผ่านกังหันก๊าซร่วมกับการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ ซึ่งตอนนี้ก็มีโครงการนำร่องผ่านความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับบรูไน โดยผลิตไฮโดรเจนที่บรูไนแล้วขนส่งทางเรือไปญี่ปุ่นเพื่อผลิตไฟฟ้า ทั้งหมดนี้คือ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ในช่วงวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญของโลก ซึ่งต้องติดตามว่า เทคโนโลยีใดจะสามารถกอบกู้ประเทศของให้รอดพ้นจากวิกฤตต่างๆ พร้อมทั้งสร้างโอกาสแก่ธุรกิจ และชีวิตวิถีใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ได้ขนาดไหน สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาระดับประเทศ พร้อมเป็นภาคส่วนสำคัญที่จะทุ่มเททรัพยากรอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อสร้างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สำหรับตอบโจทย์ปัญหาสำคัญ และนำพาประเทศให้ก้าวพ้นทุกวิกฤตการณ์ไปได้ ดาวน์โหลดไฟล์ Presentation PDF File (22 MB)  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ