หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. จับมือ อคส. ร่วมขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าและแปรรูปสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน
(18 เมษายน 2565) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) ร่วมกับ องค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิจัยและพัฒนา เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตรเพื่อการค้าอย่างยั่งยืน โดยมี น.สพ.สนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เป็นประธาน พร้อมทั้ง นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการ ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม สวทช. และ นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า เป็นผู้ลงนาม นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า กล่าวว่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ “แก้มลิง++” ของ อคส. จะเร่งเพิ่มจำนวนสาขาของคลังสินค้า อคส. ในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนายกระดับให้สอดรับกับนโยบายของรัฐและกระทรวงพาณิชย์เรื่อง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ทั้งนี้การได้ สวทช. เป็นหน่วยงานสำคัญของประเทศที่สนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่จะสามารถยกระดับผลผลิตต้นน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้กรอบร่วมมืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ  โครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับเครื่องคัดแยก ชนิด ประเภท ขนาด น้ำหนัก ของปลา , เครื่องมือลำเลียงปลาทูน่า หน้าท่าเทียบเรือ , โครงการสร้างโรงสี  โรงอบ  โรงแป้ง อัจฉริยะ , เครื่องคัดแยกเหง้ามันสำปะหลัง เป็นต้น การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้ร่วมกับโครงการในการต่อยอดและขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนในพื้นที่เพื่อตอบโจทย์ที่ทาง อคส. ต้องการ นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการ ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม กล่าวว่า ภาคการเกษตรเป็นรากฐานการผลิตที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ สวทช. ได้วิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการผลิตสินค้าเกษตร นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้เกษตรกรไทย ซึ่งปัจจุบันทาง DECC มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารผ่านงานวิจัย เช่น การพัฒนาโรงเรือนพฤษาสบาย , การพัฒนารถเข็นรักษ์โลก ,การพัฒนาเครื่องจักรอุปกรณ์ด้านเกษตรและอาหาร เช่น เครื่องปอกและหั่นมะม่วงอัตโนมัติ , เครื่องปิ้งหมูอัตโนมัติ , เครื่องลดอุณหภูมิและบรรจุวุ้นแปรรูป เป็นต้น นอกจากนี้ ในพิธีลงนามยังได้มีการนำเสนอผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มมูลค่า แปรรูปผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ โดย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และประธานคณะทำงาน BCG Model ด้านเกษตรอาหาร เช่น การใช้เชื้อในการผลิตต้นเชื้ออาหารหมักสัตว์ กระบวนการผลิตนํ้าส้มสายชูหมักจากผลไม้ในขั้นตอนเดียวและสูตรจุลินทรีย์สำหรับการผลิตนํ้าส้มสายชูหมัก การผลิตสารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวเพื่อการประยุกต์ใช้ในอาหารและอาหารสัตว์ เป็นต้น การลงนามในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการผนึกกำลังและใช้จุดแข็งของทั้งสององค์กร ทั้งความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัยของ สวทช. หรือ ความเข้าใจความต้องการตลาดและแผนกลยุทธ์ ขององค์การคลังสินค้า ไม่เพียงแต่จะสามารถตอบโจทย์ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ และนโยบายภาครัฐ แต่ยังตอบโจทย์ BCG Economy Model โมเดลเศรษฐกิจใหม่ ที่เป็นวาระแห่งชาติของประเทศไทยที่จะช่วยขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้มีรายได้สูง เพื่อพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง  และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศอย่างทั่วถึงและยั่งยืน   /////////////////////////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
NIA จัดประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2565
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้จัดประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2565 ขึ้นเป็นปีที่ 18 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติแก่บุคลากรและหน่วยงานต่างๆ ในประเทศ ที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีความโดดเด่นในหลากหลายด้าน เผยแพร่นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์กับประเทศให้สาธารณะชนรับรู้ในวงกว้าง ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้องค์กรทุกภาคส่วนเกิดการตื่นตัวในการพัฒนานวัตกรรมและผลักดันประเทศให้มุ่งไปสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม โดยจะมีการจัดพิธีมอบรางวัลพร้อมกันในวันนวัตกรรมแห่งชาติ (5 ตุลาคม 2565) ส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2565 ดูรายละเอียดและสมัครผ่านทางออนไลน์ที่ https://award.nia.or.th สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ awards@nia.or.th หรือ 080-070-2999 (พัชรีนาถ) NIA เปิดม่านเฟ้นหาสุดยอด “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2565” รางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดแห่งวงการนวัตกรรมประเทศไทย เพื่อคว้าโอกาสก้าวสู่เวทีระดับนานาชาติ เป็นแนวหน้ายืนหนึ่งโชว์ผลงานสู่สายตาชาวโลก รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2565 แบ่งการประกวดออกเป็น 5 ด้าน
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
วช. – สวทช. มหาวิทยาลัยไทย 5 แห่ง และ Tokyo Tech ลงนามความร่วมมือ “บันทึกข้อตกลงการดำเนินการโครงการ TAIST-Tokyo Tech ระยะที่ 4” ร่วมพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงสำหรับภาคอุตสาหกรรม
For English-version news, please visit : TAIST-Tokyo Tech to continue its phase 4 delivering world-class engineering programs 19 เมษายน 2565 กรุงเทพฯ: สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว หรือ Tokyo Institute of Technology (Tokyo Tech) ประเทศญี่ปุ่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการดำเนินการโครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทย (Thailand Advanced Institute of Science and Technology: TAIST) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (Tokyo Institute of Technology) หรือ TAIST-Tokyo Tech ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2565-2570)  เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างเครือข่ายจัดการศึกษา วิจัยและพัฒนาในหลักสูตรการศึกษานานาชาติที่มีคุณภาพ เพื่อพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงในระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท) เพื่อรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมใน 3 สาขา ได้แก่ วิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง (Automotive and Advanced Transportation Engineering) ปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Artificial Intelligence and Internet of Things) และวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Energy and Resources Engineering) และหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งทางราง (Rail Transportation Certificate) โดยมี ศ.ดร. นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ พร้อมด้วย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช., Prof. Dr. Kazuya Masu (ศ.ดร.คะซึยะ มาซึ) อธิการบดี Tokyo Tech รศ. ดร.สมยศ เกียรติวนิชวิไล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ในฐานะผู้แทนอธิการบดี สจล., รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ., ศ.ดร.พฤทธา ณ นคร ผู้อำนวยการ SIIT ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดี มก., ศ. นพ. บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดี มม., และ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมลงนามและในโอกาสนี้ Mr. Oba Yuichi, Deputy Chief of Mission อัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้ร่วมแสดงความยินดีด้วย ศ.ดร. นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า อว. ทำหน้าที่ดูแลนโยบายและดำเนินการทางด้านการอุดมศึกษา การวิจัยและการพัฒนา เพื่อการพัฒนาของชาติและเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยเสริมสร้างการวิจัยและการพัฒนากำลังคนของประเทศให้มีทักษะและความสามารถสูง ผลักดันประเทศสู่ความเป็น Thailand 4.0 โดยมีกลไกขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นคุณค่าและเป็นเฟืองสำคัญในการปรับเปลี่ยนสู่ประเทศฐานนวัตกรรม ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง อว. ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนและการสร้างนวัตกรรมเป็นลำดับแรก ในด้านการศึกษา อว. ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อปรับปรุง (redesign) หลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของโลกและการพัฒนาประเทศ โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการปรับเปลี่ยนมากมาย โดยเฉพาะการปรับปรุงหลักสูตรในมหาวิทยาลัยรวมถึงการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการศึกษา อว. จึงได้พยายามสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศและหน่วยงานภาคเอกชนเพื่อผลิตกำลังคนที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน และแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่างไรก็ดีเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติข้อเสนอโครงการเพื่อก่อตั้งกองทุนพัฒนาการอุดมศึกษา ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนและความเป็นเลิศทางวิชาการของประเทศ โดยมีความเป็นไปได้ที่โครงการที่มีความคล้ายคลึงกับ TAIST-Tokyo Tech จะได้รับการสนับสนุนภายใต้ทุนด้านการอุดมศึกษานี้ เมื่อมีการดำเนินการเต็มรูปแบบแล้ว"คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ  143.73 พันล้านบาทให้ อว. สำหรับปีงบประมาณ 2566 โดยอว. เป็น 1 ใน 6 ของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณมากที่สุด ประกอบด้วยงบประมาณด้านการอุดมศึกษา 114.63 พันล้านบาท และเป็นงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 29.1 พันล้านบาท โดยมีแนวทางการจัดสรรและบริหารงบประมาณเป็นแบบเงินก้อนและต่อเนื่องหลายปี ซึ่งนับเป็นข่าวดีของแวดวงวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม งบประมาณเหล่านี้จะนำไปใช้เพื่อขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ เช่นการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการสร้างความสามารถในการแข่งขันเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้สนับสนุนทุนเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่อาชีพวิจัยให้แก่เด็กและเยาวชนผ่านรูปแบบต่างๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน  (JSTP) โครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (TGIST) โครงการสร้างปัญญาวิทย์ ผลิตนักเทคโน (YSTP) โครงการทุนพัฒนาบัณฑิตวิจัยคุณภาพสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสวทช.และมหาวิทยาลัย และโครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (TAIST-Tokyo Tech) แม้แต่ละโครงการจะมีกลไกที่แตกต่างกันแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเพื่อเสริมสร้างกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่ประเทศและโครงการ TAIST-Tokyo Tech เป็นโครงการเดียวที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ สำหรับการดำเนินงานโครงการภายใต้สายงานพัฒนากำลังคนของสวทช. เป็นที่ยอมรับจากผู้เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น เช่น ในปี 2557 นักเรียนทุน สวทช. ซึ่งมีนักศึกษาจากโครงการ TAIST-Tokyo Tech ได้รับเลือกจากกระทรวงการต่างประเทศเพื่อเป็นตัวแทนทูตเยาวชนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้าร่วมเยี่ยมชมหน่วยงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งศึกษาวัฒนธรรมในหลายประเทศ ได้แก่ จีน อิสราเอล เกาหลี ไต้หวันและญี่ปุ่น นอกจากนี้นักศึกษา TAIST-Tokyo Tech ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ JENESYS 2.0 ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับเยาวชนในเอเชียและภาคพื้นแปซิฟิกเพื่อส่งเสริมความน่าสนใจต่อประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามในอนาคตคาดหวังอยากเห็นบทบาทของโครงการ TAIST-Tokyo Tech ในการผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพระดับสูงเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการยุทธศาสตร์ประเทศ เช่น การพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกหลักสูตรภายใต้โครงการ TAIST-Tokyo Tech มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นโครงการ TAIST-Tokyo Tech ประสบความสำเร็จในการพัฒนานักวิจัยและวิศวกรที่มีคุณภาพทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนต่อไป ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนทุนสำหรับการทำกิจกรรมหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าใช้จ่ายรายเดือนสำหรับนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในแต่ละหลักสูตร และมหาวิทยาลัยไทยร่วมสนับสนุนงบประมาณในบางส่วนสำหรับนักศึกษาในสังกัดมหาวิทยาลัยนั้นๆ Tokyo Tech สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางของอาจารย์ผู้สอน (ญี่ปุ่น) มายังประเทศไทยสำหรับการสอนและการให้คำปรึกษานักศึกษา สวทช. เป็นผู้บริหารจัดการโครงการในภาพรวมและส่งมอบเงินทุนที่ได้รับจาก วช. ให้แก่มหาวิทยาลัยไทย สำหรับความสำเร็จของโครงการ TAIST-Tokyo Tech ที่ได้การดำเนินการตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน (ระยะที่ 1 พ.ศ. 2550 – 2554 , ระยะที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 และระยะที่ 3 พ.ศ. 2560 - 2564)  ในการพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมระดับปริญญาโทสาขาวิศวกรรมศาสตร์ มากกว่า 460 คน โดยผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการกว่า 60% ทำงานในภาคอุตสาหกรรม 20% ทำงานในองค์กรภาครัฐ และ 14% ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกทั้งในและต่างประเทศ  ประกอบกับการที่ วช. ได้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูง เพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve, New S-Curve) และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG จึงให้การสนับสนุนโครงการ เพื่อดำเนินการต่อในระยะที่ 4 โดยมุ่งเน้นการพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถและทักษะตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยการสนับสนุนทุนการศึกษา 70 คนต่อรุ่น นอกจากนี้ โครงการยังได้สร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ วิจัย และการจัดการศึกษา ระหว่างหน่วยงานวิจัยคือ สวทช. กับสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศไทย และสถาบันการศึกษาชั้นนำของต่างประเทศคือ Tokyo Tech ซึ่งได้รับการจัดลำดับจาก QS World University Rankings เป็นมหาวิทยาลัยลำดับที่ 3 ของประเทศญี่ปุ่น และ อันดับที่ 56 ของโลก ในปี 2564  โดยดึงจุดเด่นของสถาบันการศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมศาสตร์ขั้นสูงมาร่วมกันพัฒนาหลักสูตร ควบคู่กับการเรียนรู้และเพิ่มประสบการณ์ทำงานวิจัยอย่างจริงจัง ทำให้สามารถจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและมีความเป็นเลิศทางวิชาการในระดับนานาชาติ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
 
สวทช. ต่อยอดนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากสวนต้นแบบสู่ล้งเพื่อการส่งออก
สวนทุเรียนสไตล์ช๊าลฮิ จ.ระยอง มั่นใจนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth หลังทดสอบการใช้งานมาแล้วกว่า 4 ปี ได้ผลผลิตดี-ลดการใช้สารเคมี-ป้องกันหนอน/สัตว์กัดแทะ เตรียมขยายผลจากขายออนไลน์สู่ล้งส่งออกต่างประเทศ   ถุงห่อทุเรียน Magik Growth พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. ร่วมกับบริษัทเอกชนผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี , เกษตรกรชาวสวนทุเรียนใน จ.ระยอง , นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วน ร่วมกันบูรณาการขยายผลและยกระดับการใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ที่สวนทุเรียนสไตล์ช๊าลฮิ จ.ระยอง ถือเป็นสวนทุเรียนต้นแบบที่อยู่ในพื้นที่ EECi เพิ่มคุณภาพผลผลิตทุเรียนให้เป็นทุเรียนเกรดพรีเมียม ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาดผู้รับซื้อ และที่สำคัญเพื่อการส่งออกไปต่างประเทศได้ในอนาคต.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
เอ็มเทคพัฒนา “Well-Living Systems” ระบบดูแลผู้สูงอายุ ผู้ช่วยของลูกหลาน
For English-version news, please visit : Well-Living Systems to support independent living for seniors   ผ่านพ้นมาไม่นานสำหรับ “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้ตรงกับวันขึ้นปีใหม่ไทย หรือ วันสงกรานต์ คือวันที่ 13 เมษายนของทุกปี วันสำคัญที่ชักชวนให้คนไทยหันมาใส่ใจผู้สูงอายุมากขึ้น ยิ่งเฉพาะในปี 2565 นี้ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ระบุว่าเป็นปีที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” เนื่องจากมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ดังนั้นการเร่งปรับตัว และเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุมีความสำคัญอย่างมาก ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนา “ระบบดูแลผู้พักอาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัย หรือ Well-Living Systems” เพื่อช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้ลูกหลานดูแลผู้สูงอายุได้อย่างปลอดภัยและอุ่นใจมากขึ้น   [caption id="attachment_31280" align="aligncenter" width="600"] ดร.สิทธา สุขกสิ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช.[/caption] ดร.สิทธา สุขกสิ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยเอ็มเทคได้พัฒนาระบบ Well-Living Systems ที่จะเข้ามาเป็น “ผู้ช่วย” ของลูกๆ หลานๆ ในการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้านภายใต้แนวคิด “ทุกคนที่บ้านสบายดี (All is well at home)” เพื่อสร้างความอุ่นใจให้ทั้งผู้ใหญ่ที่บ้านและลูกหลานที่ต้องออกไปทำงาน โดยระบบมีศูนย์กลาง LANAH (Learning and Need-Anticipating Hub) ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ LANAH AI (Artificial Intelligence) ที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย และแจ้งเตือนผู้ดูแลเมื่อผู้สูงอายุเกิดเหตุฉุกเฉินหรือมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ผ่านแอปพลิเคชัน LANAH App เพื่อช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย “ระบบจะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตรวจวัดต่างๆ (Sensors) ที่ไม่มีกล้อง ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย เพราะทีมวิจัยมุ่งหวังให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด เน้นสร้างความมั่นใจว่าหากมีเหตุฉุกเฉินจะมีผู้เข้ามาช่วยเหลือได้ทันที เป็นการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย สร้างความสบายใจ ลดการพึ่งพาผู้ดูแล สนับสนุนการเป็น “สูงวัยอย่างมีคุณภาพ หรือ Active aging” ให้ได้นานที่สุด”     ดร.สิทธา กล่าวว่า สำหรับการทำงานของระบบแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. กรณีไม่ฉุกเฉิน ใช้ AI เรียนรู้รูปแบบพฤติกรรมกิจวัตรประจำวันของผู้อยู่อาศัยเพื่อบ่งบอกถึงปัญหา ซึ่งมีตัวอย่างอุปกรณ์ 4 ระบบในแอปพลิเคชัน ได้แก่ 1) Occupancy sensor เครื่องมือสังเกตการณ์บุคคลที่อยู่ในแต่ละพื้นที่ของบ้าน เรียนรู้พฤติกรรมการใช้เวลาในบ้านของผู้อยู่อาศัย เช่น ช่วงสายวันอาทิตย์มักมีคนอยู่ในครัว 2) Door sensor เรียนรู้พฤติกรรมการเปิด-ปิดประตูต่างๆ เช่น ปกติประตูห้องน้ำถูกเปิดกี่ครั้งในช่วงดึก 3) Gate sensor ใช้สังเกตระยะเวลาการเข้าไปแต่ละพื้นที่ เช่น ระยะเวลาการอยู่ในห้องน้ำปกติหรือนานกว่าปกติ และ 4) Logger ปุ่มกดช่วยบันทึกเวลาการทำกิจกรรม เช่น เวลากินยา และช่วยเตือนเมื่อผู้อยู่อาศัยอาจลืม ด้วยการส่งเสียงผ่าน Wireless Speakers “ส่วนกรณีฉุกเฉิน มีอุปกรณ์ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ได้แก่ 1) Emergency Button ปุ่มฉุกเฉินขนาดเล็กที่พกพาได้สะดวก ใช้ขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลที่อยู่ไกล 2) Bell กระดิ่งเรียกคนอื่นในบ้าน และแจ้งเตือนเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลที่อยู่ไกล 3) Fall detection sensor ช่วยตรวจจับเมื่อผู้อยู่อาศัยเกิดการหกล้ม เป็นอุปกรณ์รูปแบบสวมใส่ หรือติดผนังแบบไม่มีกล้อง เหมาะใช้งานในพื้นที่ส่วนตัว เช่น ห้องน้ำ และแจ้งเตือนเพื่อขอความช่วยเหลือ 4) Check-In ผู้อยู่อาศัยใช้ทักทายคนในครอบครัวหรือเพื่อนที่อยู่ไกลแบบเงียบๆ ไม่รบกวนเวลา 5) Wireless Speakers ลำโพงไร้สายที่วางได้ทุกที่ในบ้านทำงานร่วมกับ LANAH App เพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้รับฟังข้อความเสียงจากผู้ดูแลที่อยู่ไกลมาที่บ้านในกรณีฉุกเฉิน”     ดร.สิทธา กล่าวว่า ปัจจุบันระบบ LANAH App และอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ในขั้นตอนการทดลองในห้องปฏิบัติการและขยายผลสู่ภาคสนาม ซึ่งกำลังมองหาพาร์ทเนอร์เพื่อทดสอบการใช้งานจริง โดยคาดว่าจะต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้ภายในปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 ทั้งนี้ตัวระบบนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลายแบบ เช่น บ้านผู้สูงอายุ คอนโดที่มีผู้อยู่อาศัยคนเดียว สถานดูแลผู้สูงอายุ โรงพยาบาล ซึ่งหวังว่าระบบที่พัฒนาขึ้นจะเป็นประโยชน์ในการดูแลผู้สูงอายุ ทำให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาผู้ดูแล และช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีในที่พักอาศัยที่อุ่นใจและปลอดภัย นับเป็นตัวอย่างผลงานการวิจัยและพัฒนาของนักวิจัยไทยจาก สวทช. ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตพึ่งพาตนเองได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข สอดคล้องกับนโยบายโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) วาระแห่งชาติ ที่มุ่งส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยและเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
JAXA ท้าความคิดเด็กไทย เสนอไอเดียทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ
  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น จัดทำโครงการ “Asian Try Zero-G 2022” เชิญชวนเยาวชนไทยส่ง “แนวคิดการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ” ร่วมแข่งขันกับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำหรับใช้ทดลอดจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 1-30 เมษายน 2565   [caption id="attachment_31258" align="aligncenter" width="500"] นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]   นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ร่วมกับ JAXA ดำเนินโครงการ Asian Try Zero-G มาตั้งแต่ปี 2558 เพื่อเปิดรับไอเดียการทดลองวิทยาศาสตร์บนสถานีอวกาศนานาชาติในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำจากเยาวชนไทย โดยคณะกรรมการของ สวทช. จะทำการคัดเลือกไอเดียการทดลองที่น่าสนใจจำนวน 3 การทดลอง ในฐานะตัวแทนประเทศไทยร่วมเข้าแข่งขันกับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย จากนั้น JAXA จะคัดเลือกรอบสุดท้ายจำนวน 4-6 การทดลอง สำหรับทดลองจริงในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ บนสถานีอวกาศนานาชาติ โดย ดร.โคอิจิ วะกะตะ (Dr. Koichi Wakata) มนุษย์อวกาศญี่ปุ่น ทั้งนี้เยาวชนเจ้าของการทดลองจะมีโอกาสสื่อสารกับนักบินอวกาศแบบเรียลไทม์และรับชมถ่ายทอดสดการทดลองที่ส่งตรงมาจากศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น     “การรับสมัครของโครงการ Asian Try Zero-G 2022 ในปีนี้ จะเปิดรับ 2 รุ่น คือ รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี และรุ่นอายุไม่เกิน 27 ปี สามารถสมัครเป็นรายบุคคลหรือกลุ่ม (ไม่จำกัดจำนวนสมาชิกในกลุ่ม) โดยส่งไอเดียการทดลองทางฟิสิกส์อย่างง่ายที่ทำได้โดยใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ใน Kibo Module ของ JAXA บนสถานีอวกาศนานาชาติ หรือสามารถเสนอใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กอื่นๆ เพื่อส่งขึ้นไปบนสถานีอวกาศได้ ซึ่งข้อเสนอไอเดียการทดลองต้องมีสมมติฐาน หลักการ และเหตุผลของการทดลอง ที่สำคัญขั้นตอนการทดลองต้องมีความเรียบง่ายและทำให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 10 นาที นับเป็นโอกาสดีๆ ที่เยาวชนไทยจะได้มีประสบการณ์ในการคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีอวกาศในอนาคต จึงอยากเชิญชวนเยาวชนที่สนใจส่งใบสมัครเป็นภาษาอังกฤษมาได้ที่อีเมล spaceeducation@nstda.or.th ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565”   [caption id="attachment_31263" align="aligncenter" width="750"] นางสาววริศา ใจดี หรือน้องไอซี (ขวา)[/caption] ด้าน นางสาววริศา ใจดี หรือ น้องไอซี เยาวชนผู้ผ่านการคัดเลือกในโครงการ Asian Try Zero-G 2018 ด้วยไอเดียการทดลอง เรื่อง “การเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีน้ำหนักต่างกันภายในสลิงกีในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Inside the Slinky)” เล่าประสบการณ์ว่า โอกาสที่ได้เหมือนฝัน เพราะเมื่อก่อนเคยเห็นมนุษย์อวกาศแค่ในภาพยนตร์ พอได้เข้าร่วมโครงการฯ ได้มีโอกาสพูดคุยผ่านห้องปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ก็รู้สึกตื่นเต้น และเขายังทดลองความคิดที่เราเสนอไป ทำให้รู้สึกว่าเรื่องเล่นๆ ที่เราสงสัย อาจเป็นเรื่องที่น่าสนใจหากศึกษาในรายละเอียดจริงจัง วันหนึ่งเราอาจค้นพบอะไรใหม่ๆ ที่จุดประกายจากคำถามง่ายๆ ก็เป็นได้ การได้เข้าร่วมโครงการฯ จึงเป็นประสบการณ์ที่ช่วยผลักดันให้เรามีความอยากรู้เรื่องราวของอวกาศมากขึ้น รวมทั้งได้เรียนรู้แนวความคิดของเพื่อนๆ นานาชาติที่ช่วยเปิดโลกทัศน์แห่งทฤษฎีฟิสิกส์อีกด้วย “สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจ แนะนำว่าให้ลืมทฤษฎีเกี่ยวกับอวกาศที่เรียนมาให้หมดก่อน แล้วลองจินตนาการดูว่าอุปกรณ์ที่เขามีให้ใช้สามารถทำอะไรสนุกๆ ได้บ้างในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ หรือลองศึกษาดูจากการทดลองก่อนหน้านี้ว่ามีการทดลองเรื่องอะไรบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอีกหลายอย่างที่มนุษย์อวกาศยังไม่ได้ลองทำ ฉะนั้นทุกเรื่องบนโลกสามารถเป็นเรื่องใหม่ในอวกาศได้”   [caption id="attachment_31264" align="aligncenter" width="750"] นายวรวุฒิ จันทร์หอม (มอส)[/caption] ขณะที่ นายวรวุฒิ จันทร์หอม (มอส) เยาวชนผู้ผ่านการคัดเลือกในโครงการ Asian Try Zero-G 2016 ด้วยไอเดียการทดลองเรื่อง “การโค้งของผิวของเหลวในอวกาศ (Capillary in Zero Gravity)”  เล่าว่า การได้เข้าร่วมโครงการฯ เป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญที่ได้สื่อสารกับมนุษย์อวกาศจริงๆ เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อมาก สำหรับไอเดียการทดลองที่ส่งประกวดครั้งนั้นมีที่มาจากสิ่งที่เห็นรอบตัว คือสังเกตเห็นน้ำที่อยู่ในหลอดทดลอง แล้วเกิดคำถามในใจว่าควรอ่านค่าตรงจุดไหนถึงจะได้ค่าที่แม่นยำที่สุด เนื่องจากผิวของน้ำมีลักษณะเว้านูน  จึงส่งไอเดียคำถาม “แรงโน้มถ่วงของโลกมีผลต่อการเว้านูนของผิวของเหลวหรือไม่” ไป พร้อมทั้งออกแบบการทดลองที่ไม่ซับซ้อนและคำอธิบายให้ทาง JAXA เข้าใจแบบง่ายๆ ด้วยการวาดรูปการทดลองลงไปในใบสมัคร     “สำหรับในปี 2565 นี้ ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของเยาวชนไทย ที่จะมีโอกาสได้เข้าร่วมเสนอไอเดียการทดลองกับทาง JAXA อยากเชิญชวนน้องๆ ที่มีไอเดียเจ๋งๆ ร่วมส่งใบสมัครเสนอไอเดียการทดลองเข้ามาเยอะๆ โดยพยายามเขียนให้เข้าใจง่าย และศึกษาข้อกำหนดของทาง JAXA ให้ดี เนื่องจากการทดลองต้องเป็นการทดลองที่ปลอดภัย ไม่ซับซ้อน และมีข้อจำกัดเรื่องเวลา สุดท้ายนี้ขอให้กำลังใจน้องๆ ทุกคน ผมเชื่อว่าเด็กไทยมีความคิด มีความสามารถ และจะได้รับคัดเลือกในปีนี้แน่นอนครับ” ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดข้อมูลและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการ Asian Try Zero-G 2022 ได้ที่ E-mail: spaceeducation@nstda.or.th, Website: โครงการ Asian Try Zero-G 2022 ท้าทาย ท้าไทย ไอเดียสุดปิ๊ง ทดลองจริงในอวกาศ และ Facebook: Asian Try Zero-G 2022
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
สวทช. หนุนนวัตกรรมเสริมอัตลักษณ์ผ้าทอ “ทุ่งกุลา”
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนา "ENZease" นวัตกรรมเอนไซม์จากจุลินทรีย์ธรรมชาติ มีคุณสมบัติสามารถทำความสะอาดและลอกแป้งออกจากเส้นใยในขั้นตอนเดียว เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตผ้าทอ   โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ สวทช. ได้นำนวัตกรรมเอนไซม์ ENZease ไปเสริมกับภูมิปัญญาการทำผ้าทอของชาวชุมชนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเฉพาะ "ผ้าทอเบญจศรี" ที่เป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่นของ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเอนไซม์ ENZease ช่วยทำให้ผ้าย้อมสีธรรมชาติได้ดีขึ้น สีสวยสม่ำเสมอ และยังช่วยลดระยะเวลาการฟอกย้อม ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุน โดยปราศจากการใช้สารเคมีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเศรษฐกิจใหม่ BCG model และเป็นไปตามแผนงานของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ที่ต้องการขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้   นอกจากนี้ สวทช. ยังได้ใช้นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีเพื่อทำให้ผ้าทอเบญจศรีมีกลิ่นหอมของ "กลิ่นดอกลำดวน" ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ ช่วยเพิ่มเสน่ห์และเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่นให้กับผ้าทอแห่งดินแดนทุ่งกุลา.  
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
เอ็มเทค สวทช. มอบ “ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ช่วยให้ ‘เปลือกบาง-เนื้อหนาขึ้น’ ลดสารเคมี สู่ต้นแบบสวนทุเรียนพรีเมี่ยมเพื่อการส่งออก
วันที่ 7 เมษายน 2564 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) นำโดยนางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ นักวิจัย ทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช. ผศ.ดร. ลำแพน ขวัญพูล อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) พร้อมด้วยนายพีรพันธ์ จิวะพรทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี Magik Growth และคุณอรทัย เอื้อตระกูล อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนำเข้าและส่งออกสินค้าพืชและปัจจัยการผลิต ร่วมลงพื้นที่มอบ “ถุงห่อทุเรียน Magik Growth สู่ต้นแบบสวนทุเรียนพรีเมี่ยมเพื่อการส่งออก” ณ สวนทุเรียนคุณนวลนภา ต.วังหว้า อ.แกลง ระยอง โดยมี นางสาวนวลนภา เจริญรวย เจ้าของสวนทุเรียนคุณนวลนภา “สวนสไตล์ช๊าลฮิ” อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ให้การต้อนรับ นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มุ่งพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีต่างๆ นำมาขยายผลพื้นที่สาธิตเทคโนโลยีเพื่อการทดสอบประสิทธิภาพและเพิ่มมูลค่าทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่มีการส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เช่น นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth โดยทางทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ซึ่งได้ร่วมมือกับคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ทำการทดสอบภาคสนามตั้งแต่ปี 2562 และมีการจัดเก็บข้อมูลผลวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าถุงห่อทุเรียน Magik Growth สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ถึง 2 ฤดูกาลผลิต เป็นการช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงศัตรูพืช สามารถเพิ่มน้ำหนัก และคุณภาพผิวผลทุเรียนและสามารถจำหน่ายเป็นเกรดพรีเมี่ยมได้ โดยทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2564 เพื่อผลิตและจำหน่ายในประเทศ สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth ตอบโจทย์ ‘ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน’ ที่สามารถนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด รวมทั้งตอบโจทย์ ‘ระบบเศรษฐกิจสีเขียว’ ที่มีการมุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก และผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน สวทช. ยังดำเนินการในส่วนของพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) การลงพื้นที่ครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของ EECi ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่นวัตกรรมในจ.ระยอง ที่สวทช. ดูแลอยู่ ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ในปี 2564 ทุเรียนเป็นพืชส่งออกอันดับ 2 แต่ชาวสวนทุเรียนยังประสบปัญหาทั้งเรื่องโรคแมลงศัตรูพืชและสัตว์กัดแทะที่ทำลายทุเรียนในระยะพัฒนาผลจนเกิดความเสียหาย ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่แก้ปัญหาโดยใช้สารเคมียาฆ่าแมลงในการฉีดพ่น ซึ่งนอกจากจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ยังเกิดปัญหาสุขภาพตามมา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. จึงนำองค์ความรู้เรื่องวัสดุศาสตร์โดยพัฒนาสูตรผสมเม็ดพลาสติก (polymer compound) ร่วมกับเทคโนโลยีการขึ้นรูปนอนวูฟเวน เพื่อให้วัสดุนอนวูฟเวนมีสมบัติให้น้ำและอากาศผ่านเข้าออกได้โดยง่าย รวมถึงมีสมบัติการคัดเลือกช่วงแสงที่เหมาะสมกับเซลล์รับแสงที่ผิวผลไม้ โดยได้ผลิตเป็นนวัตกรรมวิจัยต้นแบบชื่อทางการค้าว่า Magik Growth หรือ นวัตกรรมถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวน ช่วยให้ทุเรียนที่ถูกห่อด้วยถุงห่อ Magik Growth สามารถสร้างสารสำคัญในผลไม้ทั้งแป้ง น้ำตาล สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ โดยได้ทดลองทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและระดับภาคสนามร่วมกับ ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในพื้นที่สวนทุเรียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน และมีการจัดเก็บข้อมูลผลวิจัยอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ถึง 2 ฤดูกาลผลิต เป็นการช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงศัตรูพืช ทั้งนี้การห่อทุเรียนด้วยถุงห่อทุเรียน Magik Growth มีข้อดีเรื่องน้ำหนักผลทุเรียนเพิ่มขึ้น โดยผลการทดสอบเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา น้ำหนักทุเรียนเพิ่มขึ้น 17.7 % จากจำนวนสวนทุเรียน 6 สวนในจังหวัดระยอง และน้ำหนักเพิ่มขึ้น 14.4% จากจำนวนสวนทุเรียน 4 สวนในพื้นที่ จังหวัดนราธิวาส สำหรับนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth ขณะนี้มีบริษัทเอกชนที่ได้รับสิทธิถ่ายทอดเทคโนโลยีและมีการผลิตเพื่อจัดจำหน่ายแล้ว ผศ.ดร. ลำแพน ขวัญพูล อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ทีมวิจัย สจล. ซึ่งมีส่วนในการทดสอบให้กับทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ภายใต้ โครงการการขยายผลนวัตกรรมถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวนเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตชาวสวนทุเรียน ได้นำถุงห่อ Magik Growth จำนวน 4 สี (น้ำเงิน ขาว ดำ และแดง) มาทดสอบห่อทุเรียนที่สวนคุณนวลนภา อ.แกลง จ.ระยอง เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับทุเรียนที่ไม่ได้ห่อ และทุเรียนที่ห่อด้วยถุงตาข่ายทางการเกษตรซึ่งเกษตรกรใช้อยู่เดิม เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของถุงห่อ Magik Growth โดยมีการเก็บข้อมูลทั้งความชื้น อุณหภูมิตลอดช่วงการห่อ ผลจากทดสอบต่อเนื่อง 3 ฤดูกาลผลิต พบว่าถุงห่อทุเรียน Magik Growth สีแดง ได้ผลเป็นที่น่าพอใจที่จะนำมาใช้ห่อทุเรียนแทนการฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช อีกทั้งยังช่วยเพิ่มขนาดผลทุเรียนตลอดจนมีปริมาณเนื้อของทุเรียนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยข้อมูลจากการทดสอบปี 2564 น้ำหนักผลทุเรียนสดที่ไม่ห่อผล มีน้ำหนักเฉลี่ย 3.56 กิโลกรัม เปรียบเทียบกับการห่อผลด้วยถุง Magik Growth น้ำหนักเฉลี่ย 4.05 กิโลกรัม ความหนาเปลือกทุเรียน พบว่าผลที่ไม่ห่อเปลือกหนา 1.36 เซนติเมตร ส่วนผลที่ห่อด้วยถุง Magik Growth เปลือกหนาเพียง 1.01 เซนติเมตร และเมื่อวัดสัดส่วนน้ำหนักเปลือก น้ำหนักเนื้อ และน้ำหนักเมล็ด จะได้น้ำหนักในพูทุเรียน เปรียบเทียบการไม่ห่อผล (control) ได้น้ำหนัก 290 กรัม กับการห่อผลด้วยถุง Magik Growth ได้น้ำหนักสูงถึง 379 กรัม “จากการเก็บข้อมูลภายในลูกทุเรียน พบว่าทุเรียนที่ห่อด้วยถุง Magik Growth มีความหนาของเปลือกบางลง 30% ทำให้ได้น้ำหนักรวมผลทุเรียน เพิ่มขึ้น 10% มีความแน่นเนื้อมากขึ้น และสีเนื้อเหลืองขึ้น และการห่อผลด้วยถุง Magik Growth ไม่มีผลต่อการแก่ของผลทุเรียนบนต้น โดยผลที่ห่อมีการสะสมน้ำหนักแห้งเพิ่มขึ้น เมื่อนำมาเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องพบว่า ผลทุเรียนที่ห่อด้วยถุง Magik Growth มีการสุกช้ากว่าผลที่ไม่ได้ห่อประมาณ 2 วัน” อย่างไรก็ตามจุดเด่นของทุเรียนที่ห่อด้วยถุงห่อทุเรียน Magik Growth จะมีสีของเปลือกที่สวยเป็นสีเขียวแกมเหลืองซึ่งเป็นธรรมชาติของสีผิวของผลไม้ที่ห่อถุง เปลือกสวยและแม้จะดูภายนอกไม่เหมือนทุเรียนแก่ แต่ผลผลิตที่ผ่านการทดสอบมาหลายฤดูการผลิตมีคุณภาพมาตรฐาน นางสาวนวลนภา เจริญรวย เจ้าของสวนทุเรียนสไตล์ช๊าลฮิ อ.แกลง จ.ระยอง เปิดเผยว่า เป็นชาวสวนทุเรียนมือใหม่จากการปลูกทุเรียนเมื่อปี 2554 และได้ผลผลิตครั้งแรกใน 5 ปีถัดมา โดยในสวนมีการปลูกทุเรียนแบบกอ (1 โคก 3 ต้น) เพื่อช่วยในเรื่องของการค้ำยันลำต้นไม่ให้ล้มง่าย ลดปริมาณการไว้ผลต่อต้นลง ทำให้ต้นไม่โทรมหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต และเน้นการตัดแต่งต้นให้มีทรงพุ่มสูงไม่เกิน 6 เมตร ทั้งนี้จากประสบการณ์ทำสวนทุเรียนเกือบ 10 ปีทำให้เห็นว่าทุเรียนเป็นพืชที่ต้องอาศัยความใส่ใจดูแลทุกขั้นตอน จึงมีความตั้งใจที่จะลดใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงจากปัญหาโรคและแมลง โดยเฉพาะทุเรียนระยะพัฒนาผล (อายุ 65-70 วัน ผลทุเรียนมีขนาดเท่าขวดน้ำอัดลมขนาด 1.5 ลิตร) ซึ่งเป็นระยะที่ผลมีการสะสมแป้งก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเมื่อผลสุก (อายุ 110-120 วัน) โดยระยะพัฒนาผลนี้มักจะถูกหนอนเจาะผลทุเรียน หรือ หนอนรัง เพลี้ยแป้ง และราดำเข้าทำลาย ทำให้ผลทุเรียนเล็กแคระแกร็นไม่เจริญเติบโต คุณภาพของผลทุเรียนไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค กระทั่งช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา ได้ทราบผลทดสอบการใช้นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากทีมนักวิจัย เอ็มเทค  สวทช. และอาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง ผลปรากฏว่าถุงห่อทุเรียน Magik Growth นอกจากจะช่วยตอบโจทย์การลดสารเคมี ป้องกันหนอนเจาะผลทุเรียน และเพลี้ยแป้ง ราดำ ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ผิวผลทุเรียนสวย ผลได้น้ำหนักดีและมีปริมาณเนื้อทุเรียนเพิ่มขึ้นด้วย “เดิมทีเราก็ใช้ถุงตาข่ายทางการเกษตร ห่อทุเรียนเพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชแทนการฉีดพ่นสารเคมีอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งป้องกันหนอนรังได้ แต่ก็ยังประสบปัญหาว่าไม่สามารถป้องกันเพลี้ยแป้ง กับราดำได้ ทำให้ผิวทุเรียนไม่สวย และเกิดความเสียหาย แต่เมื่อเริ่มทดลองใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth มาได้ระยะหนึ่งแล้ว นอกจากจะช่วยลดต้นทุนจากสารเคมีประมาณ 6 ครั้ง ยังช่วยป้องกันเพลี้ยแป้งและราดำได้ด้วย ทำให้ทุเรียนมีผิวผลสวย ผลเจริญเติบโตได้ดี ผลผลิตมีคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งส่งผลถึงความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคที่ได้บริโภคทุเรียนที่ปลอดภัย ปริมาณน้ำหนักผลเพิ่มขึ้นช่วยให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นและลดการใช้สารเคมีส่งผลต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสิ่งแวดล้อมในสวนดีขึ้นมาก ถือเป็นแนวทางในการสร้างความยั่งยืนให้กับชาวสวนทุเรียนยุคใหม่  โดยเฉพาะหากอนาคตมีปัญหาวิกฤติราคาทุเรียนจะทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้ โดยปีนี้เป็นปีแรกที่จะขายทุเรียนที่เป็นผลผลิตจากถุงห่อทุเรียน Magik Growth โดยจะทดลองส่งไปที่ประเทศจีนซึ่งติดต่อจองขอรับซื้อแล้ว” นายพีรพันธ์ จิวะพรทิพย์กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี Magik Growth กล่าวว่า เมื่อ 5 ปี ที่แล้วทางบริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ฯ ได้เลือกนวัตกรรมของเอ็มเทค ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ซึ่งมีการทดลองร่วมกับเกษตรกรชาวสวนทุเรียนในเครือข่ายของ เอ็มเทค สวทช. มานานเกือบ 4 ปี ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทั้งเรื่องคุณภาพของถุงที่ใช้ได้นานใช้ซ้ำได้ถึง 2 ปี และประสิทธิภาพของถุงห่อยังช่วยให้ทุเรียนมีคุณภาพมาก ปัจจุบันได้มีการผลิตถุงห่อทุเรียน Magik Growth สำหรับจำหน่ายแก่ผู้ประกอบการชาวสวนทุเรียนแล้ว ผู้สนใจสามารถหาซื้อถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากบริษัทบริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ฯ และเร็วๆ นี้กำลังพัฒนาช่องทางจำหน่ายในห้างโมเดิร์นเทรด เช่น โฮมโปร เป็นต้น เดิมทีบริษัทจะรับนวัตกรรมมาจากต่างประเทศทั้งหมดซึงถุง Magik Growth ถือเป็นนวัตกรรมไทยผลงานแรกที่บริษัทซื้อสิทธิ์มาผลิตเพื่อจำหน่าย บริษัทเชื่ออย่างหนึ่งว่าสินค้านวัตกรรม ต้องมีพาร์ทเนอร์ที่เห็นตรงกัน ซึ่งทางเอ็มเทค สวทช. สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้” คุณอรทัย เอื้อตระกูล อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนำเข้าและส่งออกสินค้าพืชและปัจจัยการผลิต กล่าวว่า การห่อผลทุเรียน ถือเป็นครั้งแรกๆ ที่เคยเห็น ซึ่งจากการตรวจดูสวนแล้วเห็นว่าเป็นการตอบโจทย์เรื่องการส่งออก โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัยพืชซึ่งต่างประเทศให้การยอมรับระดับหนึ่ง โดยการใช้ถุงห่อทุเรียน ถือเป็นการลดการใช้สารเคมีได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะปัญหาศัตรูพืชทำลายผลทุเรียน ดังนั้นควรส่งเสริมให้ทำต่อเนื่องเพื่อรักษามาตรฐานการส่งออก โดยเฉพาะเรื่องปัญหาศัตรูพืชและสารตกค้างในทุเรียน ซึ่งจะทำให้ทุเรียนไทยไปได้ไกลอีกมาก อย่างไรก็ตามขณะนี้ประเทศจีนและญี่ปุ่นติดต่อขอซื้อทุเรียนที่ใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ทั้งสวนของคุณนวลนภาแล้ว เนื่องจากเชื่อมั่นในมาตรฐานและการลดสารเคมีในกระบวนการผลิต เกี่ยวกับ ‘โมเดลเศรษฐกิจ BCG’ โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและประชาชนมีรายได้มากขึ้นด้วยการต่อยอดจุดแข็งของประเทศทั้งในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ประกอบด้วย Bioeconomy (ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากร Circular Economy (ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน) การนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และ Green Economy (ระบบเศรษฐกิจสีเขียว) ที่มุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เป็นกลไกลสำคัญที่จะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเดิมจาก ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ไปสู่ ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ประกาศรับข้อเสนอการวิจัยเพื่อขอรับการสนับสนุนทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2565
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศรับข้อเสนอการวิจัยเพื่อขอรับการสนับสนุนทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2565 เพื่อสนับสนุนการสร้างกลุ่มนักวิจัยที่มีความสามารถสูง ที่ตั้งเป้าท้าทาย สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ มีการเชื่อมโยงกับการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานการวิจัย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ของประเทศ อันจะนำไปสู่การสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติ ตั้งแต่บัดนี้ – 10 พฤษภาคม 2565 ภายในเวลา 18.00 น. และต้นสังกัดรับรองข้อเสนอการวิจัย ภายในวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 เวลา 18.00 น. ผ่านระบบ NRIIS ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://nriis.go.th/NewsEventDetail.aspx?nid=11554
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. เปิดโอกาสให้ร่วมพัฒนาศักยภาพกับกิจกรรม RoboInnovator Challenge 2022 in Northeast
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (Software Park Thailand: SWP) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Innovation: EECi) ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้จัดการแข่งขัน RoboInnovator Challenge 2022 in Northeast ในหัวข้อ : Self Driving Car + Logistics  ขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นเวทีสำหรับผู้มีความสนใจและมีความสามารถพิเศษ (Talents) ด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (Automation Robotics & Intelligent System: ARI) ในการออกแบบสร้างสรรค์หุ่นยนต์อัจฉริยะไร้การบังคับและมีความสามารถด้านโลจิสติกส์ ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent: AI) และมีผู้สมัครเข้าร่วมแข่งขันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 41 ทีม 163 คน รศ.ดร.รัชพล สันติวรากร คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) กล่าวว่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ (มข.) เป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน RoboInnovator Challenge 2022 in Northeast ถึงแม้จะเป็นช่วงวิกฤตโควิด แต่เราก็ยังสามารถจัดงานได้และได้รับการอนุญาตจากทางจังหวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ซึ่งนโยบายของคณะวิศวกรรมศาสตร์มีทิศทางที่ชัดเจนที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริม Thailand 4.0 และอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อผลักดันประเทศให้ก้าวไปสู่ระบบอัตโนมัติ (Automation) และเราได้จัดทำหลักสูตรที่เกี่ยวข้องและมีศูนย์ความเป็นเลิศด้านหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะที่จะขับเคลื่อนและพัฒนาระบบนิเวศ Automation และหุ่นยนต์ ของประเทศไทย การได้จัดงานในครั้งนี้เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้ระบบนิเวศนั้นมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในการแข่งขันและพัฒนานักศึกษาให้มีความรู้ความสามารถ รวมถึงเป็นโอกาสอันดีที่ทุกคนจะได้แสดงฝีมือที่ฝึกซ้อมมาอย่างดีในการแข่งขัน จะได้รู้ว่าเรามีฝีมือในระดับใดเพื่อไปสู่การปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อไป ด้าน นายณัฐพล นุตคำแหง รองผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (SWP) กล่าวว่า การแข่งขัน “RoboInnovator Challenge 2022 in Northeast by Software Park Thailand” เป็นการจัดการแข่งขันที่เฟ้นหาความสามารถพิเศษ (Talents) ในการควบคุมระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติอัจฉริยะ (Self Driving Car) ที่สามารถตอบโจทย์ระบบการจัดการการส่งสินค้า ข้อมูล และทรัพยากร จากจุดต้นทางไปยังจุดหมายปลายทางตามความต้องการของลูกค้า (Logistics) โดยคณะผู้จัดงานเป็นผู้กำหนดโจทย์จริงจากภาคอุตสาหกรรม โดยผู้เข้าแข่งขันต้องพัฒนาหุ่นยนต์ของตนเองให้สามารถแก้โจทย์ต่างๆ ได้ การแข่งขันในสนามกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยความร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นในครั้งนี้ ทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศได้เงินรางวัล มูลค่า 30,000 บาท ได้แก่ ทีม ArmandoThirteen (โรงเรียนสาธิตนานาชาติพระจอมเกล้า) และรางวัลรองชนะเลิศ ลำดับที่ 1 ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 15,000 บาท ทีมล้านนา (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา) และทีม SKR-CS-Robot (โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล) พร้อมด้วยรางวัลรองชนะเลิศ ลำดับที่ 2 ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท ทีม RobotA สุดท้ายรางวัลชมเชย ประเภท Best Technical จำนวน 2 รางวัลๆ ละ 3,000 บาท ทีม SKR_MWP (โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล) และ ทีม SKR-CS-Robot1 (โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล) ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสมัครเข้าแข่งขันกิจกรรม “RoboInnovator Challenge 2022 by Software Park Thailand” ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมการแข่งขันได้ที่ http://roboinnovator.com/ แล้วพบกับการแข่งขันในสนามกลุ่มภาคเหนือ วันที่ 29 เม.ย. – 1 พ.ค. และการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 16-19 มิ.ย. ต่อไป  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นักวิจัย สวทช. คว้า 2 รางวัลผลงานวิจัยแห่งชาติที่มีผลกระทบสูง ประจำปี 2565
(4 เมษายน 2565) ณ Mitrtown Hall 1-2 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ : ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (กสว.) เป็นประธานในการมอบรางวัล ผลงานวิจัยแห่งชาติที่มีผลกระทบสูง ประจำปี 2565 Prime Minister’s TRIUP Award for Research Utilization with High Impact 2022 โดยนักวิจัยของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คว้ารางวัลระดับดี 2 รางวัล พร้อมเงินรางวัลจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุนส่งเสริม ววน.) รางวัลละ 100,000 บาท ประกอบด้วย ผลงาน “แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมืองผ่านระบบพูดคุยอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” ได้รับใบประกาศเกียรติคุณระดับดี สาขาเทคโนโลยีที่เหมาะสม ผลงานโดย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม และทีมวิจัยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับแจ้งปัญหา พร้อมทั้งส่งตรงถึง ‘หน่วยงานผู้รับผิดชอบ’ ช่วยให้เจ้าหน้าที่แก้ปัญหาได้รวดเร็ว ปัญหาไม่ลุกลาม ตรงตามความต้องการของประชาชน ที่สำคัญตรวจสอบได้ และผลงาน “ปุ๋ยคีเลตธาตุอาหารเพื่อเร่งการเจริญของพืช” ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ ระดับดี สาขาเทคโนโลยีขั้นสูง ผลงานโดย ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง และทีมวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ได้พัฒนา “สารคีเลตจุลธาตุอาหาร” ที่เตรียมจากกรดอะมิโนซึ่งเป็นหน่วยย่อยขององค์ประกอบประเภทโปรตีนของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ผ่านกระบวนการห่อหุ้มจุลธาตุอาหารในรูปแบบสารเชิงซ้อน ให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ดี พร้อมพัฒนาให้สามารถห่อหุ้มจุลธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถในการยึดเกาะใบด้วยโมเลกุลขนาดใหญ่สลายตัวได้ตามธรรมชาติ จึงสามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรต่อไร่ได้ 20% ลดการใช้ปุ๋ยลง 50% พิธีมอบรางวัลดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อยกย่องและสร้างความตระหนักในคุณค่าของผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งสร้างผลกระทบสูง ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจ และสื่อให้เห็นความสำคัญของลักษณะที่แตกต่างระหว่างเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) และเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) อันเป็นผลจากการพัฒนางานวิจัยที่มุ่งเป้าสู่การใช้ประโยชน์การแก้ไขปัญหาสำคัญ หรือการพัฒนาประเทศ ตามความประสงค์ของการสร้าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ทั้งนี้ภายในงานยังมีเวทีเสวนา “Tech Talk: การนำเสนอเทคโนโลยีเด่นที่สร้างผลกระทบสูง ในสาขา Deep Technology และ Appropriate Technology” งานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงาน “มหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย​ TRIUP​ Fair​ 2022” ระหว่างวันที่ 4-6 เมษายน 2565 ณ สามย่าน มิตรทาวน์ ผู้สนใจติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ สกสว. https://www.tsri.or.th/
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญท่านผู้สนใจร่วมงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการวิจัย TRIUP FAIR 2022
เตรียมตัวพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี กับการปลดล็อคความเป็นเจ้าของผลงานวิจัย ที่เชื่อว่าจะเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิด การก้าวกระโดดของเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม สร้างศักยภาพไทยไร้ขีดจำกัดในงาน มหกรรม TRIUP FAIR 2022 งานที่ตั้งใจจะแนะนำ พ.ร.บ.ใหม่ "พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564" ให้คนไทยทุกคนได้เข้าใจถึงความสำคัญ รวมไปถึงเวทีเสวนาที่เชิญเหล่าวิทยากรชั้นแนวหน้า ของแต่ละสาขาต่างๆ มาแบ่งปันความรู้ และยังมีโซนกิจกรรมต่างๆ อีกมาย อาทิ โซนนวัตกรรมเด่น โซนตลาดทรัพย์สินทางปัญญา โซนคลินิกให้คำปรึกษา โซนเทรนนิ่ง โซนเจรจาธุรกิจ โซนสินเชื่อเพื่อนวัตกรรม โซนร้านค้านวัตกรรม เป็นต้น แล้วมาพบกันที่ Hall 1-2 ชั้น 5 ศูนย์การค้าสามย่าน มิตรทาวน์ ในวันที่ 4-6 เมษายน 2565 เวลา 10:00-18:00 น.
ปฏิทินกิจกรรม