ผลการค้นหา :
เชิญร่วมตอบแบบสอบถาม ผลักดันสร้างการรับรู้ “นโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะเลขาคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG
ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมตอบแบบสอบถามการรับรู้ต่อการประชาสัมพันธ์ “นโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG” ของผู้มีส่วนได้เสียและผู้รับบริการ สำหรับนำไปใช้ปรับปรุงการประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เกิดกระจายโอกาส สร้างรายได้และความมั่งคั่งสู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง
ตอบแบบสอบถามออนไลน์ได้ที่ : https://bit.ly/BCG-survey
ระยะเวลา : ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565
ตัวอย่างสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อพิจารณาประกอบการตอบแบบสอบถาม : https://web.facebook.com/BCGinThailand/ และ www.bcg.in.th
สอบถามเพิ่มเติม : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทร. 0-2564-7000
ด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินการจัดทำแบบแบบสอบถามการรับรู้ต่อการประชาสัมพันธ์ “นโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG” ดังรายละเอียด https://bit.ly/BCG-survey ทั้งนี้มีความจำเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อนำไปใช้ปรับปรุงการประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จะดำเนินการบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามประกาศสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เรื่อง นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ URL https://www.nstda.or.th/th/97-about-us/about-us/547-nstda-privacy-policy”
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. และ ทีมก่อการครู จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เตรียมความพร้อมการนำเสนอผลงานวิชาการ SHOW & SHARE สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC สู่หลักสูตรสถานศึกษา
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง และ ทีมก่อการครู จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เตรียมความพร้อมการนำเสนอผลงานวิชาการ SHOW & SHARE การพัฒนารายวิชาเพิ่มเติมที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สู่หลักสูตรสถานศึกษา ในวันที่ 8 เมษายน 2565 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ผู้เข้าร่วมอบรมประกอบด้วยครูผู้สอนในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนในพื้นที่ EEC (จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) จำนวน 180 คน
มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาการเขียนแผนการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาเพิ่มเติมที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยใช้ “CBE Executor Canvas” เครื่องมือที่ช่วยออกแบบกิจกรรมเรียนรู้ฐานสมรรถนะอย่างง่ายในหน้าเดียว ครูผู้สอนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ร่วมทำกิจกรรมห้องเรียนสาธิต Demo Class เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การออกแบบกิจกรรมฐานสมรรถนะ และเตรียมความพร้อมในการนำเสนอผลงานวิชาการ SHOW & SHARE
เริ่มต้นด้วยการชี้แจงภาพรวมการอบรม นำโดย ดร.อมร สุดแสวง ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง และ อาจารย์ชานิศรา แสงอินทร์ ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา ได้กล่าวถึงการอบรมครั้งที่แล้ว ครูผู้สอนได้รับองค์ความรู้จาก สวทช. จำนวน 4 หลักสูตร 1) หลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ 2) หลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคต 3) หลักสูตรเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และ 4) หลักสูตรเคมีชีวภาพ ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ที่ทันสมัย สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักในเขตพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC โดยได้ชี้แจงแผนการขับเคลื่อนการนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ต่อยอดจัดทำเป็นรายวิชาเพิ่มเติมในหลักสูตรสถานศึกษา นำไปสู่ขยายผลสู่การจัดกิจกรรมเพิ่มพูนความรู้และทักษะให้ผู้เรียนในห้องเรียน และยังกล่าวเชิญชวนครูผู้สอนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาแผนการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรฐานสมรรถนะ เตรียมความพร้อมการนำเสนอผลงานวิชาการ SHOW & SHARE เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเอง และพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น
กิจกรรมเตรียมความพร้อม “ปลุกสมรรถนะในตัวคุณ” โดย ว่าที่ร้อยตรีหญิงสุดารัตน์ ประกอบมัย โดยให้ครูแบ่งกลุ่มย่อย กลุ่มละ 10 คน ทำกิจกรรม “รู้จักฉัน รู้จักสมรรถนะ” โดยให้ครูแนะนำตัว พูดคุย และตอบคำถาม 3 ข้อ ได้แก่ (1) ชอบ/สนใจทำอะไร? (2) ทำอะไรได้ดี? และ (3) รู้ได้อย่างไร? จากนั้นครูนำเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน นำไปสู่การพูดคุยถึงความหมายของสมรรถนะ (Competency)
ผศ.ดร.สิทธิชัย วิชัยดิษฐ และทีมวิทยากรก่อการครู ชวนครูเรียนรู้ กิจกรรมห้องเรียนสาธิต Demo Class หัวข้อ “สารชำระล้างกับความแตกต่าง” โดยสมมติให้ครูลองเปลี่ยนแปลงบทบาทเป็นผู้เรียนที่กำลังเรียนในรูปแบบออนไลน์ แล้วให้ครูทดลองทำกิจกรรม ตั้งคำถาม และสืบค้นข้อมูล เพื่อตัดสินใจเลือกสารทำความสะอาดที่เหมาะสม โดยแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกันในกลุ่มย่อยแล้วนำเสนอให้กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน หลังจากจบกิจกรรมครูช่วยกันถอดประสบการณ์การเรียนรู้และปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้มีความเหมาะสมกับบริบทของแต่ละโรงเรียนต่อไป
จากนั้นชวนครูรู้จักกับ “CBE Executor Canvas” เป็นเครื่องมือที่ช่วยออกแบบกิจกรรมเรียนรู้ฐานสมรรถนะอย่างง่ายในหน้าเดียว ประกอบได้ด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) Learner (2) Objective (3) Learning และ (4) Evaluation/Evidence
ต่อด้วยให้ครูร่วมกันถอดบทเรียน Demo Class หัวข้อ สารชำระล้างกับความแตกต่าง ด้วย CBE Executor Canvas ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อค้นพบจากคำถาม “บทเรียน Demo Class มีลักษณะดังต่อไปนี้หรือไม่?” แล้วให้ครูตอบคำถามด้วยวิธีการแสดงภาษากายผ่านทางหน้าจอ จากนั้นวิทยากรแนะนำเว็บไซต์ “CBE Thailand” ซึ่งเป็นช่องทางที่ให้ครูศึกษาข้อมูลหรือศึกษาตัวอย่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตรฐานสมรรถนะ
Workshop “การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ โดยใช้ CBE Executor Canvas” โดย ว่าที่ร้อยตรีหญิงสุดารัตน์ ประกอบมัย และทีมวิทยากรก่อการครู โดยให้ครูแยกทำกิจกรรมในกลุ่มย่อย กลุ่มละ 10 คน แล้วช่วยกันออกแบบกิจกรรมฐานสมรรถนะแบบบูรณาการร่วมกัน โดยเลือกกิจกรรมจากรายวิชาเพิ่มเติมที่พัฒนาขึ้นหลังจากได้รับการอบรมจากทาง สวทช. มาเป็นต้นแบบ โดยมีกรอบสมรรถนะหลัก 6 ด้าน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบกิจกรรม
คุณศุภวิชช์ สงวนคัมธรณ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท แบล็คบ็อกซ์ ทีม หนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งก่อการครู ชวนครูแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน โดยให้ครูช่วยกันวิเคราะห์และให้ข้อเสนอแนะกิจกรรมของเพื่อน เพื่อพัฒนากิจกรรมให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการนำเสนอ โดยคุณครูศรายุทธ สงมูลนาค โรงเรียนระยองวิทยาคม ตัวแทนกลุ่มที่ 1 ได้นำเสนอ CBE Executor Canvas ในหัวข้อ “การประยุกต์ใช้ solar cell ในชีวิตประจำวัน” เพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืนและ คุณครูปาณิศา รัตนโกศล โรงเรียนบางละมุง ตัวแทนกลุ่มที่ 13 ได้นำเสนอ CBE Executor Canvas ในหัวข้อ “การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบในท้องถิ่น” เพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน การคิดขั้นสูง และการสื่อสาร
จบท้ายด้วยการชี้แจง การขยายผล และเวที CBE Show & Share โดย ว่าที่ร้อยตรีหญิงสุดารัตน์ ประกอบมัย โดยให้ครูนำกิจกรรมจากรายวิชาเพิ่มเติมที่พัฒนาขึ้นหลังจากได้รับการอบรมจากทาง สวทช. มาออกแบบ CBE Executor Canvas โดยสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือปรึกษาเกี่ยวกับการออกแบบกิจกรรมกับทีมวิทยากรได้ในช่องทางไลน์ ในระหว่างวันที่ 8 เม.ย. – 16 พ.ค. 2565 จากนั้นนำแผนไปทดลองใช้จริงในห้องเรียน ในระหว่างวันที่ 16 พ.ค. – 1 มิ.ย. 2565 แล้วส่งไอเดียหรือแผนการสอนในรูปแบบการเขียนหรือสื่อวีดิโอลงบนเว็บไซต์ InsKru ภายในวันที่ 20 มิ.ย. 2565 และจะมีนิทรรศการ “ครู show เด็ก share”ในวันที่ 25 มิ.ย. 2565 ซึ่งเป็นนิทรรศการเสมือนจริงรูปแบบ Metaverse เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การจัดการเรียนการสอนระหว่างกลุ่มครูและผู้ที่สนใจ โดยครูที่มีไอเดียเป็นเลิศจะได้รับรางวัลพิเศษจาก สวทช. และ ทีมก่อการครู
เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากผู้เข้าร่วมอบรม
“ได้เรียนรู้วิธีการสอนที่ช่วยให้นักเรียนสนุก วิทยากรน่ารักทุกคน”
คุณครูวัลลา มะลูลีม โรงเรียนหมอนทองวิทยา จังหวัดฉะเชิงเทรา
“ชอบกิจกรรมการเรียนรู้ที่วิทยากรวางระบบได้ดี”
จากคุณครูอภิญญา สีดี โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 3 ฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา
“ชอบการถ่ายทอดความรู้ของวิทยากรทุกท่าน การเตรียมบทเรียนอัดแน่นมาก ได้รับความรู้ที่อยากรู้และไม่เคยรู้มากขึ้นจริง ๆ”
จากคุณครูพรพิสุทธิ์ ลาภอุดมพันธ์ โรงเรียนบ่อทองวงษ์จันทร์วิทยา จังหวัดชลบุรี
ข่าวประชาสัมพันธ์
กิจกรรมฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะทางสำหรับเยาวชนไทย ประจำปี 2565
ปีการศึกษา 2565 นี้ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรขอเชิญชวนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาที่มีความสนใจเรียนรู้และฝึกฝนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการที่พร้อมด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ จากการปฏิบัติจริง นำไปสู่การจุดประกายแนวคิดเกี่ยวกับโครงงานวิทยาศาสตร์ และเป็นแรงบันดาลใจในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
โดยสามารถสมัครเข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะทางด้านพันธุศาสตร์โมเลกุลพืชและจุลชีววิทยาสำหรับเยาวชนไทย ประจำปี 2565 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ดังนี้
1. กิจกรรมฝึกอบรมหลักสูตร “มหัศจรรย์สารพันธุกรรมดีเอ็นเอ”
(กิจกรรมสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สายวิทยาศาสตร์)
https://www.nstda.or.th/ssh/news-prssh/310-basic-dna-65.html
2. กิจกรรมฝึกอบรมหลักสูตร “การทดสอบคุณสมบัติการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย”
(กิจกรรมสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สายวิทยาศาสตร์)
https://www.nstda.or.th/ssh/news-prssh/309-antibacterial-assay-65.html
3. กิจกรรมฝึกอบรมหลักสูตร “แบคทีเรียเรืองแสง”
(กิจกรรมสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สายวิทยาศาสตร์)
https://www.nstda.or.th/ssh/news-prssh/311-glowing-bacteria-65.html
4. กิจกรรมฝึกอบรมหลักสูตร “ATCG : DNA for Beginner”
(กิจกรรมหนึ่งวัน สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย สายวิทยาศาสตร์)
https://www.nstda.or.th/ssh/news-prssh/308-atcg-dna-65.html
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
ขอเชิญเข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์ Open Innovation Evening
“Quantum Technology เพื่อ AI และ Big data กับโอกาสเชิงพาณิชย์”
“Quantum Technology เพื่อ AI และ Big data กับโอกาสเชิงพาณิชย์”
เรียนเชิญนักวิจัยและผู้ประกอบการที่สนใจ เข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์ Open Innovation Evening
วันที่ 5 พฤษภาคม 2565
เวลา 19.00 – 20.30 น.
หัวข้อ: Quantum Technology เพื่อ AI และ Big data กับโอกาสเชิงพาณิชย์
วิทยากร:
ดร.จิรวัฒน์ ตั้งปณิธานนท์
CEO & Co-founder, Quantum Technology Foundation Thailand (QTFT)
สนใจลงทะเบียนได้ที่
https://forms.gle/vMoFhtat7yNSeQS28
ติดต่อสอบถาม brc@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ร่วมกับ JAXA พร้อมหน่วยงานพันธมิตร จัดแข่งขัน Kibo Robot Programming Challenge ครั้งที่ 3 ชิงแชมป์ประเทศไทย ค้นหาสุดยอดทีมเยาวชนไทย ส่งโปรแกรมประมวลผลบนสถานีอวกาศนานาชาติ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น และหน่วยงานพันธมิตร จัดแข่งขัน The 3rd Kibo Robot Programming Challenge ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 3 เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยในทุกระดับชั้นการศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรีเข้าร่วมการแข่งขัน มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพเยาวชนไทยในด้านสะเต็มศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมทรัพยากรบุคคลรองรับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศของประเทศไทยในอนาคต โดยทีมชนะเลิศจะได้เข้าแข่งขันรอบชิงแชมป์โลกทางออนไลน์ร่วมกับเยาวชนจากต่างประเทศในเดือนกันยายน 2565
[caption id="attachment_31703" align="aligncenter" width="500"] นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ทีมที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันต้องมีสมาชิกจำนวน 3 คน และกำลังศึกษาไม่เกินระดับปริญญาตรี โดยสมาชิกในทีมอยู่ต่างสถาบันการศึกษาและระดับชั้นเรียนได้ ทั้งนี้สามารถสมัครทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation/kibo-rpc2022/ ภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2565 ก่อนเวลา 24.00 น.
“ในการแข่งขันผู้เข้าร่วมต้องพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาจากเทมเพลตที่ทางแจ็กซากำหนด เพื่อควบคุมหุ่นยนต์แอสโตรบี (Astrobee) ในระบบ Simulation ซึ่งจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินมีอุกกาบาตพุ่งชนสถานีอวกาศนานาชาติจนได้รับความเสียหาย ผู้เข้าแข่งขันต้องเขียนโปรแกรมด้วยภาษา JAVA เพื่อสั่งการให้หุ่นยนต์แอสโตรบีเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ที่กำหนด โดยจะต้องเคลื่อนเข้าไปอ่าน QR Code ตามจุดที่กำหนด และยิงเลเซอร์เข้าเป้าหมายเพื่อซ่อมแซมสถานีอวกาศนานาชาติ โดยคะแนนการแข่งขันจะคำนวณจากความแม่นในการยิงเลเซอร์สู่เป้าหมายของหุ่นยนต์แอสโตรบี และเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจ ขณะนี้ทีมที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันสามารถเข้าไปทดลองประมวลผลโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาในเซิร์ฟเวอร์ของการแข่งขันได้ที่เว็บไซต์ https://jaxa.krpc.jp สำหรับการแข่งขันรอบชิงแชมป์ประเทศไทยจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 ทีมชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท และได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์โลกในเดือนกันยายน 2565 ต่อไป
[caption id="attachment_31699" align="aligncenter" width="500"] ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.[/caption]
ด้าน ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. กล่าวเสริมว่า สำหรับหุ่นยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันในครั้งนี้ คือหุ่นยนต์แอสโตรบี พัฒนาโดย NASA Ames Research Center ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ขั้นสูงและเทคโนโลยีที่ใช้กับยานอวกาศ
[caption id="attachment_31696" align="aligncenter" width="750"] หุ่นยนต์แอสโตรบี (Astrobee)[/caption]
[caption id="attachment_31698" align="aligncenter" width="750"] หุ่นยนต์แอสโตรบี (Astrobee)[/caption]
“หุ่นยนต์แอสโตรบีคือหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศที่ใช้งานอยู่จริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ คอยสนับสนุนและช่วยเหลือการทำงานของนักบินอวกาศ ซึ่งโครงการ The 3rd Kibo Robot Programming Challenge ในปีนี้จะมีเยาวชนจาก 12 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ออสเตรเลีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และไทย เข้าร่วมการแข่งขันในรอบชิงแชมป์โลก โดยมีนักบินอวกาศเป็นผู้ควบคุมการแข่งขันอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติและถ่ายทอดสดลงมาที่พื้นโลกด้วย”
ผู้ที่สนใจติดตามรายละเอียดข้อมูลและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการ The 3rd Kibo Robot Programming Challenge ได้ที่ E-mail: spaceeducation@nstda.or.th, Website: https://www.nstda.or.th/spaceeducation/kibo-rpc2022/ และ Facebook page: NSTDA SPACE Education
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ส่งมอบสิ่งของพระราชทาน “หมวกควบคุมแรงดันลบ (nSPHERE-)” โดยนาโนเทค สวทช. ให้กับ 3 โรงพยาบาลในพื้นที่ภาคเหนือ
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ส่งมอบสิ่งของพระราชทาน “หมวกควบคุมแรงดันลบ (nSPHERE-)” นวัตกรรมจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ในรูปแบบออนไลน์ ให้กับโรงพยาบาลฝาง, โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ และโรงพยาบาลพะเยา จังหวัดพะเยา โดยการสนับสนุนของ เพื่อใช้กับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องเข้ารับการฟอกไต
ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ เลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชานุญาตให้มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดซื้อหมวกควบคุมแรงดันลบให้แก่โรงพยาบาลเพื่อใช้สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ด้วยทรงเล็งเห็นถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ รับภาระในการดูแลผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับสถานพยาบาลต่างๆ ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล โดยเฉพาะเพื่อใช้ในผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารับบริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง อาทิ การฟอกไต ฟอกเลือด
"นาโนเทค สวทช. ได้ประสานมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดซื้อหมวกควบคุมแรงดันลบให้แก่โรงพยาบาล เนื่องจากได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพะเยา จังหวัดพะเยา โรงพยาบาลฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และโรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ แจ้งความประสงค์ว่า ต้องการหมวกแรงดันลบสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องเข้ารับการฟอกไตซึ่งมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความต้องการใช้งานนวัตกรรมหมวกควบคุมแรงดันลบเพิ่มขึ้น แต่ยังขาดทุนทรัพย์ในการจัดซื้อ” ศ.ดร.ไพรัชกล่าว
หลังได้รับพระราชทานพระราชานุญาตฯ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดหาหมวกแรงดันลบ จำนวน 140 ใบสำหรับโรงพยาบาล 3 แห่งดังกล่าว ที่จะนำไปสู่การบรรเทาปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ลดความเสี่ยงของประชาชนชาวไทย และเพิ่มศักยภาพในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยนวัตกรรมของไทย
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า หมวกควบคุมแรงดันบวกลบ (nSPHERE Pressurized Helmet) เป็นนวัตกรรมที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นอุปกรณ์ส่วนบุคคลที่สามารถใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ ที่ใช้งานได้สะดวก โดยหมวกดังกล่าวสามารถป้องกันละอองไอจามและฝุ่นด้วยการกรองที่มีประสิทธิภาพ ร่วมกับการควบคุมแรงดันให้เหมาะกับประเภทของกลุ่มผู้ใช้งาน คือ หมวกแรงดันบวก สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีแรงดันภายในหมวกสูงกว่าภายนอก และหมวกแรงดันลบ สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ ซึ่งมีแรงดันภายในหมวกต่ำกว่าภายนอก
นวัตกรรมนี้ เป็นอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเบาและสามารถนำอุปกรณ์ควบคุมกลับมาใช้ซ้ำได้ โดยผ่านการทดสอบผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานต่างๆ ได้แก่ การทดสอบประสิทธิภาพการกรองและปราศจากรอยรั่วของ HEPA Filter (ISO 14644-3) การทดสอบด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ด้านการแพทย์ เช่น การป้องกันกระแสรั่ว การทนต่อศักย์และกำลังไฟฟ้า และการประเมินความปลอดภัยของส่วนประกอบต่างๆ (IEC 60601-1) วัสดุที่ใช้ในการประกอบผ่านการทดสอบการซึมผ่านของละอองน้ำและก๊าซ โดยนาโนเทค สวทช. ได้อนุญาตให้บริษัท เวลล์เนส อินโนเวชั่น บียอนด์ จำกัด นำผลงานนวัตกรรมนี้ไปผลิตเพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์แล้ว
ดร.วรรณีกล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา นาโนเทค สวทช. ได้ส่งมอบหมวกควบคุมแรงดันบวกลบจำนวนมากกว่า 1000 ใบ ให้แก่โรงพยาบาลมากกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ, สำนักการแพทย์กรุงเทพมหานคร, โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ และสถาบันบำราศนราดูร เป็นต้น จากการสนับสนุนด้านงบประมาณขององค์กร หน่วยงาน และบริษัทต่างๆ ซึ่งนวัตกรรมนี้ นอกจากจะนำไปใช้กับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ในการป้องกันแล้ว ยังถูกนำไปใช้กับผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องเคลื่อนย้าย เข้ารับการรักษา หรือทำหัตถการที่จำเป็น เช่น การฟอกเลือด ฟอกไต เป็นต้น
“ในนามผู้บริหาร สวทช. ต้องขอขอบคุณมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นอย่างสูงที่มีส่วนในการสนับสนุนงบประมาณ และที่สำคัญสนับสนุนให้เกิดการนำนวัตกรรมไทยไปใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ช่วยควบคุมการแพร่กระจายเชื้อของโรคติดต่อได้เป็นอย่างดี ช่วยบรรเทา และลดปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ช่วยเพิ่มความมั่นใจการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้าในการรับมือวิกฤตนี้ให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น” ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ขอเชิญคนรักสุขภาพร่วมอบรมออนไลน์ “มาเรียนรู้วิธีดูแลสุขภาพตนเอง ให้มีสุขภาพดีตลอดไป“
อยากมีสุขภาพดีจะเริ่มยังไง …? แล้วจะสร้างแรงจูงใจใน การออกกำลังกาย ยังไงดีนะ ? ขอเชิญชวนทุกท่าน
.
"มาเรียนรู้วิธีดูแลสุขภาพตนเอง ให้มีสุขภาพดีตลอดไป“
.
เราได้เชิญแพทย์และผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพในด้านต่างๆ มาให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพ ให้มีสุขภาพดีตลอดไป
.
วันอังคารที่ 26 เมษายน 2565 เวลา 13:30 -16:30 น.
.
เตรียมพร้อมสู่การมีสุขภาพที่ดีกัน กรอกแบบฟอร์ม https://forms.gle/6CZLKCxJHakHb7Ew9 แล้วสามารถรับชมผ่านช่องทาง Live Facebook: Thaisook ไทยสุข กันได้เลย !!
.
ผู้เข้าร่วมอบรมสุขภาพดีที่ลงทะเบียนทุกท่าน จะได้รับ e-Certificate สุขภาพดี หลังจบการอบรมเป็นที่ระลึกกันด้วยนะค่ะ
.
อบรมสุขภาพดี จัดโดย โครงการ NSTDA x ThaiSook Virtual Challenge รายละเอียดการแข่งขัน https://www.facebook.com/Thaisookapp/posts/139488451974355
.
#อบรมสุขภาพดี #สร้างสุขภาพดี #Thaisook #NSTDAxThaiSook #VirtualChallenge
ปฏิทินกิจกรรม
ขอเชิญร่วมงาน AI CONNECT โอกาสการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน ในงานวิจัยด้าน A.I. และ ดิจิทัลเทคโนโลยี
เรียนเชิญท่านร่วมงาน AI CONNECT
เวทีการแชร์ผลงานและสร้างโอกาสความร่วมมือกับภาคเอกชน
ในงานวิจัยด้าน A.I. และ ดิจิทัลเทคโนโลยี
วันที่ 27 เมษายน 2565
ผ่าน ZOOM ONLINE
หัวข้อ "Chula Healthcare AI และโอกาสต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์"
วิทยากร
ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์
Director of Chula AI Engineering Center
คุณณรงค์ฤทธิ์ กาละพุฒ
ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มสนับสนุนธุรกิจโรงพยาบาล
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS)
สนใจลงทะเบียน
https://forms.gle/K8yc1imxvvy6LaEHA
ติดต่อสอบถาม brc@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
ขอเรียนเชิญเข้าร่วมงานประชาสัมพันธ์ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2565 ในวันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 เวลา 10.30 – 12.00 น. รูปแบบออนไลน์ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Cisco Webex
📣📣สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ฝ่ายโครงการความร่วมมือวิจัยขนาดใหญ่ (RBC) งานบริหารโปรแกรมสนับสนุนกลุ่มนักวิจัยแกนนำ ได้กำหนดจัดงาน “ประชาสัมพันธ์ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2565” จะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 เวลา 10.30 - 12.00 น.
🌟พิเศษ!!🌟 ซึ่งทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง สนับสนุนกลุ่มวิจัยที่มีความสามารถสูง ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ผลิตผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่องและแสดงศักยภาพในระดับนานาชาติ โดยให้การสนับสนุนไม่เกิน 3 ทุน ทุนละไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการไม่เกิน 3 ปี ทั้งนี้ อย่างน้อย 1 ทุน จะให้การสนับสนุนกับนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ
ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่
https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/j.php?RGID=rb2a7fe9675c38ef0f5f7613961f9b8b7
📱 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
02 644 8150 ต่อ 81882 / wanatsanan.sir@nstda.or.th (วนัสนันท์)
ปฏิทินกิจกรรม
เปิดความก้าวหน้างานวิจัยนานาชาติ ผนึกกำลังช่วยหยุดยั้งโควิด-19
โรคโควิด-19 เป็นโจทย์ปัญหาใหญ่ที่ท้าทายคนทั้งโลก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตระหนักในความสำคัญของการใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อรับมือโรคระบาดใหญ่เช่นนี้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงได้จัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ International Webinar on COVID-19 ขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีสู้โรคโควิด-19 ของนานาชาติ โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับโลกและนักวิจัยจากไบโอเทค สวทช. ร่วมเป็นผู้บรรยาย ภายในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (17th NSTDA Annual Conference: NAC2022) ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG” ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา
เบื้องหลังความสำเร็จวัคซีน mRNA
[caption id="attachment_31352" align="aligncenter" width="350"] ดร.พีเตอร์ คุลลิส (Dr. Pieter Cullis)[/caption]
ดร.พีเตอร์ คุลลิส (Dr. Pieter Cullis) ศาสตราจารย์ด้านชีวเคมีและอณูชีววิทยา (Molecular Biology) จากศูนย์วิทยาศาสตร์ชีวิต (Life Science Centre) เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์นาโน (Nanomedicine) กล่าวถึงการทำงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนา LNP (Lipid Nanoparticle) หรืออนุภาคระดับนาโนที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ เพื่อพัฒนาระบบส่งยาจำพวกกรดนิวคลีอิกไปยังอวัยวะเป้าหมายและเข้าสู่เซลล์ชนิดที่จำเพาะ
การสร้าง LNP ต้องใช้ไขมันที่มีประจุบวก ทว่าในธรรมชาติมีเพียงไขมันที่มีประจุลบและไขมันที่เป็นกลางเท่านั้น อีกทั้ง LNP แบบประจุบวกส่วนใหญ่ยังมีความเป็นพิษสูงอีกด้วย จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่จะสร้าง LNP แบบประจุบวกที่มีประสิทธิภาพในการนำส่งสารสำคัญแต่มีความเป็นพิษน้อย ซึ่งในที่สุด ดร.คุลลิสก็ทำสำเร็จ โดย LNP ที่สร้างขึ้นสามารถใช้นำส่งส่วนประกอบต่างๆ ของระบบ siRNA ได้ จึงนำมาใช้ในการบำบัดด้วยยีนสำหรับรักษาโรคพันธุกรรมบางอย่าง เช่น โรคอะมีลอยโดซิสชนิดที่เกิดจากความผิดปกติของยีน (Hereditary Amyloid Transthyretin Amyloidosis; hATTR) ซึ่งได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (FDA) สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ต่อมาเมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 จึงมีการประยุกต์ใช้ LNP ที่มี mRNA เป็นส่วนประกอบ เพื่อใช้เป็นวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19 โดย ดร.คุลลิสได้ทำวิจัยร่วมกับ ดร.ดรูว์ ไวส์แมน (Dr. Drew Weissman) นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวอเมริกัน และ ดร.คาทาลิน คาริโค (Dr. Katalin Kariko) นักชีวเคมีชาวฮังการี ที่ต้องการวิธีนำส่งสารที่มีประสิทธิภาพดี ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ของบริษัท Pfizer-BioNTech และ Moderna ที่ใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ทั้งนี้ จากการเป็นผู้บุกเบิกงานวิจัยด้าน LPN เพื่อพัฒนาระบบนำส่งยาของ ดร.คุลลิส และจากความพยายามร่วมกันเป็นเวลานานของ ดร.ไวส์แมนและ ดร.คาริโค ในการนำ mRNA มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ จนเกิดผลสำเร็จเป็นวัคซีน mRNA ดังกล่าว จึงส่งผลให้ทั้ง 3 ท่าน ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี พ.ศ. 2564 สาขาการแพทย์ ร่วมกัน
พัฒนาวัคซีนชนิด Protein Subunit สู้เชื้อกลายพันธุ์
[caption id="attachment_31351" align="aligncenter" width="350"] ดร.จอร์จ เอฟ. เกา (Dr. George F. Gao)[/caption]
ดร.จอร์จ เอฟ. เกา (Dr. George F. Gao) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาไวรัสและวิทยาภูมิคุ้มกัน ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศจีน (Chinese Center for Disease Control and Prevention) กล่าวว่า เชื้อก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน มีการเปลี่ยนกรดอะมิโนที่บริเวณโครงสร้างของหนาม (spike) ที่ใช้จับกับตัวรับของเซลล์มากถึง 30 ตำแหน่ง หลายตำแหน่งตรงกับที่พบในไวรัสอื่นก่อนหน้านี้ ซึ่งมีส่วนช่วยให้หลบรอดระบบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น และพบการเปลี่ยนแปลงของ 3 ตำแหน่งที่ทำให้จับกับตัวรับของสิ่งมีชีวิตได้มากชนิดยิ่งขึ้น
การกลายพันธุ์ของไวรัสกับการรับมือของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คล้ายกับ “ทอมกับเจอร์รี่” ที่หนีกันไปและวิ่งไล่กันไปตลอดเวลา ความท้าทายที่เผชิญกันอยู่ตอนนี้คือการลดลงของระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน และความสามารถในการทำให้ติดเชื้ออย่างก้าวกระโดดของเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์ย่อย โดยมาตรการที่ใช้รับมือตอนนี้คือการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มหลังจากฉีดครบ 2 โดสแล้ว และการฉีดวัคซีนชนิดอื่นที่ต่างจากเดิม ซึ่งวัคซีนที่ผลิตเพื่อใช้ต่อสู้กับโคโรนาไวรัสตอนนี้มี 7 แบบ หนึ่งนั้นคือชนิดใช้หน่วยย่อยโปรตีน (Protein Subunit) กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ขณะนี้มีวัคซีนชนิด Protein Subunit อยู่ 12 ชนิดที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก ชนิดที่ใช้กว้างขวางที่สุดคือ Novavax ซึ่งใช้ใน 32 ประเทศ และมีวัคซีนชนิดที่ใช้ในประเทศเดียวอยู่ 7 ชนิด
ทั้งนี้ ศ.เกามีส่วนร่วมในการสร้างวัคซีนชนิด Protein Subunit (ชื่อ ZF2001) ที่ออกแบบโดยนำ Receptor ต่อโปรตีนหนามของโคโรนาไวรัส 2 โมเลกุลมาเชื่อมต่อกัน เมื่อทดลองในหนูพบว่าทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อ SARS-CoV-2 ได้ และได้กลายมาเป็นวัคซีนชนิด Protein Subunit ชนิดแรกของโลก ซึ่งต่อมาพบว่าใช้กับเชื้อกลายพันธุ์ได้ด้วย และจากการทดลองในหนูแสดงให้เห็นว่าสามารถใช้เป็นเข็มกระตุ้นได้ดี
นอกจากนี้มียาหลายชนิดที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ชนิดแรกคือ Etesevimab ที่เป็นโมโนโคลนัลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody) ชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์กับตัวรับของโปรตีนหนามของ SARS-CoV-2 ชนิดที่สองคือ Molnupiravir ของบริษัท Merck เป็นยารับประทานซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ตัดสาย RNA ของไวรัส จึงช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัสได้ ชนิดที่สามคือ Paxlovid ของบริษัท Pfizer หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Ritonavir เป็นยารับประทานที่ลดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Protease ของไวรัส นอกจากนี้ยังมียาสมุนไพรพื้นเมืองของจีนเรียกว่า TCM Herbs ที่ออกฤทธิ์คล้ายกับ Paxlovid ด้วย
“โมโนโคลนัลแอนติบอดี” เสริมทัพวัคซีนหยุดยั้งโควิด-19
[caption id="attachment_31350" align="aligncenter" width="350"] นพ.เออร์เนสโต โอวีโด-ออร์ตา (Dr. Ernesto Oviedo-Orta)[/caption]
นพ.เออร์เนสโต โอวีโด-ออร์ตา (Dr. Ernesto Oviedo-Orta) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์คลินิกของบริษัท Novartis Vaccines & Diagnostics Siena ประเทศอิตาลี ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Infectious Disease Lead บริษัท Regeneron Pharmaceuticals, Inc. อธิบายถึงความสามารถของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเข้าสู่เซลล์ได้ดีที่เยื่อบุผิวของปอดและลำไส้เล็ก รวมไปถึงเยื่อบุหลอดเลือด เมื่อไวรัสเข้าเซลล์ได้จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน โดยช่วงที่แบ่งตัวมากที่สุดคือระยะที่เริ่มมีอาการป่วยน้อยไปจนถึงปานกลาง ขณะที่ตอนยังไม่มีอาการหรือเมื่อป่วยหนักแล้วเชื้อไวรัสจะแบ่งตัวน้อย
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยที่ชี้ว่าสามารถใช้โมโนโคลนัลแอนติบอดี (mAb) รักษาผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 ได้ และเมื่อเปรียบเทียบวัคซีนกับ mAb พบว่ามีส่วนคล้ายกันคือมีความจำเพาะกับเชื้อโรค แต่มีรายละเอียดหลายอย่างที่แตกต่างกัน ประการแรกคือ mAb ใช้ปกป้องร่างกายจากเชื้อไวรัสได้ทันที ส่วนวัคซีนต้องใช้เวลาสร้างภูมิ ประการที่สอง mAb ออกฤทธิ์ระยะสั้นๆ ตรงข้ามกับวัคซีนที่ออกฤทธิ์ยาวนานกว่า ประการที่สาม วัคซีนกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันในร่างกายคล้ายกับการที่ร่างกายตอบสนองกับเชื้อโรคตามธรรมชาติ แต่ mAb ที่ฉีดเข้าไปจะเป็นตัวไปทำลายเชื้อโรคโดยตรง และประการสุดท้ายคือแอนติบอดีที่เกิดขึ้นในกรณีของวัคซีนนั้น เกิดขึ้นภายในร่างกาย แต่กรณีการฉีด mAb เป็นการรับเข้าไปจากภายนอก และเพื่อป้องกันการเกิดไวรัสที่กลายพันธุ์จนดื้อต่อ mAb ที่ใช้ฉีด ดังนั้นควรใช้ mAb มากกว่า 1 ชนิดในการฉีด
ทั้งนี้ องค์การอาหารและยา (FDA) สหรัฐอเมริกา อนุมัติการใช้ mAb แล้วหลายชนิด ทั้งแบบผสมและแบบเดี่ยว ได้แก่ Casirivimab/imdevimab ของบริษัท Regeneron, Bamlanivimab/etesevimab ของบริษัท Eli Lily, Bebtelovimab ของบริษัท Eli Lily, Sotrovimab ของบริษัท GSK และ Evusheld ของบริษัท AstraZeneca ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นยารักษาโรคโควิด-19 แล้ว mAb ยังถือเป็นจิกซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยปิดช่องว่างสำหรับคนที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้หรือฉีดแล้วไม่กระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน mAb จึงเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่จะช่วยหยุดยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ได้
วัคซีนพ่นจมูกแบบ 2-in-1 ใช้งานสะดวก ป้องกันได้ 2 โรค
[caption id="attachment_31349" align="aligncenter" width="350"] ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา[/caption]
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช. และผู้เชี่ยวด้านไวรัสวิทยาแถวหน้าของประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงงานวิจัยการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถประยุกต์ใช้ไวรัลเวกเตอร์ (Viral Vector) ที่เหมาะสมในการผลิตวัคซีนต่อโรคโควิด-19 และการออกแบบวัคซีนที่ชื่อ นาสแว็ก (NASTVAC) โดยอาศัยการนำข้อมูลเกี่ยวกับพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 มาสร้างสารพันธุกรรมเฉพาะที่ใช้สร้างส่วนโปรตีนหนาม (Spike) จากนั้นจึงนำไปใส่ไว้กับสารพันธุกรรมของไวรัสอื่นที่ไม่เป็นอันตราย เช่น อะดีโนไวรัส (Adenovirus)
วัคซีนที่ออกแบบนี้ใช้การฉีดพ่นทางจมูกได้ เพราะไวรัสที่เลือกมาใช้เป็นไวรัลเวกเตอร์ สามารถเกาะกับเซลล์เป้าหมายในทางเดินหายใจได้ดี จึงใช้งานได้สะดวกกว่าวัคซีนชนิดฉีด และการทดลองในหนูแสดงให้เห็นว่าวัคซีนสามารถป้องกันหนูไม่ให้ป่วยจากโรคโควิด-19 ที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่นได้ดี โดยไปยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในเซลล์ของหนูทดลอง และวัคซีนไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทั้ง 2 แบบ ทั้ง Humoral Immune Response และ Cell-Mediated Immune Response
เมื่อทดลองโดยใช้ไวรัสสายพันธุ์เดลตา พบว่าสามารถป้องกันหนูไม่ให้ป่วยได้ดีในระดับหนึ่ง แต่การปรากฏตัวของสายพันธุ์โอมิครอน ทำให้ต้องปรับโครงสร้างวัคซีน NASTVAC เวอร์ชัน 2 และ 3 ที่จะใช้ป้องกันสายพันธุ์ดังกล่าวได้ดีขึ้นตามไปด้วย แต่ยังคงใช้ไวรัลเวกเตอร์ชนิดอะดีโนไวรัสเช่นเดิม
นอกจากนี้ยังได้พัฒนาวัคซีนแบบพ่นจมูกชนิด 2-in-1 (Bivalent Vaccine) ที่ป้องกันได้ทั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่และ SARS-CoV-2 โดยในกรณีของไวรัสไข้หวัดใหญ่ จะใช้การสร้างโปรตีนเลียนแบบโปรตีน HA ที่อยู่บนผิวของไวรัส ข้อดีของวัคซีน 2-in-1 คือสามารถป้องกันได้ทั้ง 2 โรคพร้อมกัน แพลตฟอร์มที่ใช้ทำให้สามารถปรับสร้างโปรตีนที่ต่างจากเดิมเล็กน้อยได้รวดเร็ว และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทั้ง 2 แบบ แต่ความท้าทายคือยังเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่และการหาวิธีทำให้สารพันธุกรรมเสถียรในไวรัลเวกเตอร์ยังเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยร่วมกับทีมวิจัยของ Pasteur Institute โดยทดลองในแฮมสเตอร์ แสดงให้เห็นว่าไวรัสโรคหัดน่าจะนำมาใช้เป็น “ไวรัลเวกเตอร์” ได้ดีกับกรณีวัคซีนต่อโควิด-19 เช่นกัน
การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มุมมอง ความคิด และประสบการณ์ระหว่างนานาประเทศจะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยเร่งการพัฒนางานวิจัยให้เข้าถึงเส้นชัยได้เร็วยิ่งขึ้น และองค์ความรู้ที่เราพัฒนาขึ้นนี้จะช่วยให้เรามีความพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ในประเทศ และสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนตามแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สามารถชมคลิปวิดีโอการสัมมนาหัวข้อ International Webinar on COVID-19 ย้อนหลังได้ที่ https://www.nstda.or.th/nac/2022/seminar/international-webinar-on-covid-19/
BCG
ข่าว
บทความ
ขอเชิญพบกับ 4 ธุรกิจนวัตกรรม ในงาน INNOVATION PITCH ครั้งที่ 12
สวทช. เรียนเชิญท่านพบกับ 4 ธุรกิจนวัตกรรม ในงาน
INNOVATION PITCH ครั้งที่ 12
วันที่ 26 เมษายน 2565
เวลา 14.00 – 15.00 น.
โดยมีธุรกิจนวัตกรรมทั้งหมด 4 ทีมดังนี้
ทีม Enginelife - "Engineer your Life"
ทีม WOKA - "Live your life again"
ทีม Kollective - "An optimized influencer for marketing solution"
ทีม nornnorn - “มาประหยัดการลงทุนด้านที่นอนและรักษ์โลกกับเราวันนี้!”
สนใจลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/ZLrHR3mHeosKPmFo6
ข้อมูลเพิ่มเติม - brc@nstda.or.th หรือโทร 02-564-7000 ต่อ 71679
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การออกแบบกิจกรรมสะเต็มศึกษาบูรณาการสร้างสมรรถนะ เตรียมความพร้อมสู่ยุค Metaverse สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การออกแบบกิจกรรมสะเต็มศึกษาบูรณาการสร้างสมรรถนะ เตรียมความพร้อมสู่ยุค Metaverse ระหว่างวันที่ 6 – 7 เมษายน 2565 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom และถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook Live เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
มีเนื้อหาเกี่ยวกับการออกแบบกิจกรรมสะเต็มศึกษาบูรณาการสร้างสมรรถนะ เชื่อมโยงกับการเตรียมความพร้อมสู่ยุค Metaverse ครูผู้สอนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เรียนรู้หลักการและตัวอย่างกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะในสถานศึกษา และสามารถนำไปประยุกต์ใช้จัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน ซึ่งเป็นพื้นฐานต่อยอดสู่อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ผู้เข้าร่วมอบรม ประกอบด้วยครูผู้สอนในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนในพื้นที่ EEC (จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) อบรมผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom จำนวน 340 คน ครูผู้สอนในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี บุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่สนใจจำนวน 3,202 คน ร่วมรับชมผ่านทาง https://www.facebook.com/sciencecamp.fanpage
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวต้อนรับ และบรรยายพิเศษเรื่อง “เทคนิคการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้านสะเต็มศึกษา” โดยกล่าวถึง สถานการณ์โลกในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นำไปสู่นโยบาย BCG ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ที่จะพัฒนา 3 เศรษฐกิจ ไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เชื่อมโยงกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (Sustainable Development Goals: SDGs) ซึ่งนำมาเป็นพื้นฐานของการออกแบบและพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน สิ่งสำคัญคือการฝึกให้เด็กมีความรู้ แรงบันดาลใจ ทักษะ และสมรรถนะ ที่ตอบโจทย์สถานการณ์โลกและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยนำเสนอเทคนิคการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้านสะเต็มศึกษาที่น่าสนใจ 12 ข้อ สื่อการเรียนรู้ และตัวอย่างกิจกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงหลักสูตรกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการประกอบอาชีพในพื้นที่ EEC เช่น ยานยนต์ อาหารเพื่ออนาคต และเกษตรสมัยใหม่ เป็นต้น ดังนั้น การส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีความรู้ ความเข้าใจ และมีประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม จะทำให้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาไปสู่การจัดทำหลักสูตรส่งเสริมสมรรถนะในสถานศึกษา และสามารถนำไปประยุกต์ใช้จัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้อย่างยั่งยืนต่อไป
จากนั้นเป็นการแนะนำภาพรวมการอบรม และบรรยายพิเศษเรื่อง “แนวทางการจัดการศึกษาบูรณาการสู่สมรรถนะหลัก” โดย อาจารย์ณภัทร ศรีละมัย ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ และที่ปรึกษาโครงการ ฯ โดยกล่าวถึงการเรียนการสอนเชิงสมรรถนะต้องเกิดจากการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Learning Integration) ที่เป็นการบูรณาการความรู้หลากหลายวิชา ออกแบบการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ตามบริบทของแต่ละโรงเรียน ครูผู้สอนได้รับองค์ความรู้จาก สวทช. จำนวน 4 หลักสูตร 1) หลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ 2) หลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคต 3) หลักสูตรเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และ 4) หลักสูตรเคมีชีวภาพ ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักในเขตพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สามารถนำไปประยุกต์ต่อยอดจัดทำเป็นรายวิชาเพิ่มเติมในหลักสูตรสถานศึกษา และขยายผลสู่การจัดกิจกรรมเพิ่มพูนความรู้และทักษะให้ผู้เรียนในห้องเรียนต่อไป
การบรรยายที่น่าสนใจในหัวข้อ “การพัฒนาศักยภาพสมรรถนะผู้เรียน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นประชากรโลกเสมือนจริง (Metaverse)” โดย ผศ.ดร. กุลชัย กุลตวนิช ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและอีเลิร์นนิง อาจารย์ประจำหลักสูตรนิเทศศาสตร์เกษตร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ KIDS University by KMITL | มหาวิทยาลัยเด็กเล็ก ได้นำเสนอเกี่ยวกับชีวิตวิถีใหม่ กับ Metaverse เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง ซึ่งเข้ามามีบทบาทเชื่อมการเรียนรู้ระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนที่คาดว่าจะเข้ามาเปลี่ยนการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ของผู้คนบนโลกใบนี้ไปอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในโลกการศึกษาและการเรียนรู้ โดยมีการสาธิตการสร้าง Avatar ซึ่งเป็นตัวละครที่เสมือนจริง สำหรับประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหาเด็กไม่เปิดกล้องในช่วงระหว่างเรียนออนไลน์ และยังช่วยสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้สนุกสนานมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการสร้างอาชีพในโลกเสมือนจริง ใช้ในสร้างสื่อการเรียนการสอน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การทัศนศึกษาเสมือนตามสถานที่ต่าง ๆ การทำงานเป็นกลุ่ม การแสดงผลงาน การประชุม เป็นต้น
ศาสตราจารย์ ดร. บังอร เสรีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา บรรยายในหัวข้อ “สมรรถนะและการศึกษาฐานสมรรถนะ” โดยกล่าวถึงศักยภาพภายใน (Potential) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เรียนทุกคนมีอยู่อย่างแตกต่างกัน ครูผู้สอนจะต้องนำพาศักยภาพภายในของผู้เรียนออกมา โดยประกอบด้วยคำสำคัญ 4 คำ เริ่มต้นจาก A (Attitude) เพื่อสร้างความสนใจให้อยากเรียนรู้ ตามด้วย K (Knowledge) และ S (Skill) จากนั้นสร้างสถานการณ์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน เพื่อนำ A, K, และ S มาแก้ไขปัญหา จะทำให้เกิด C (Competency) จนประสบความสำเร็จ ดังนั้น สมรรถนะจึงเป็นผลรวมของความรู้ ทักษะ เจตคติ คุณลักษณะ และความสามารถอื่น ๆ ที่ช่วยให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลประสบความสำเร็จในการทำงาน การนำเสนอการศึกษาฐานสมรรถนะ (Competency – Based Education) มุ่งเป้าที่การพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคลตามความแตกต่าง มี 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) หลักสูตร 2) การเรียนการสอน และ 3) การวัดและประเมินผล เพื่อให้ครูผู้สอนเกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำหลักการไปใช้งานได้จริง
ช่วงบ่ายต่อด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจในหัวข้อ “การสอนบูรณาการสมรรถนะ กับโรงเรียนแนวคิดใหม่เพิ่มสมรรถนะเด็กรับโลกอนาคต” โดย ดร. นาฎฤดี จิตรรังสรรค์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสุจิปุลิ จังหวัดฉะเชิงเทรา และทีมก่อการครู เริ่มการบรรยายเกี่ยวกับ การออกแบบกิจกรรมห้องเรียน CBE การวัดและประเมินสมรรถนะ โดยยกตัวอย่างกรณีศึกษาโรงเรียนสุจิปุลิ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนแนวคิดใหม่ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างสมรรถนะให้แก่ผู้เรียน ยกตัวอย่างการจัดการเรียนรู้เรื่อง “หมูกระทะ” ซึ่งได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอาหาร รวมไปถึงการล้างกระทะซึ่งเป็นการสร้างสถานการณ์เริ่มต้นให้ผู้เรียนลองตั้งสมมติฐาน หาข้อมูล และลงมือทำด้วยตัวเอง และยกตัวอย่างการจัดการเรียนรู้เรื่อง “แพช่วยชีวิต” มีแนวคิดสำคัญคือการทำงานเป็นกลุ่มเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหา ผู้เรียนจะได้ออกแบบการเรียนรู้แบบอิสระ และได้ลงมือทำงานร่วมกัน การวัดและประเมินฐานสมรรถนะให้ความสำคัญกับการประเมินเพื่อพัฒนา ใช้วิธีการประเมินตามสภาพจริง มุ่งวัดสมรรถนะแบบองค์รวม นอกจากนี้ ดร. นาฎฤดี ได้นำเสนอเครื่องมือ CBE Canvas ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน 1) Learner 2) Objective 3) Learning และ 4) Evaluation/Evidence ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยครูผู้สอนในการออกแบบคาบเรียนฐานสมรรถนะอย่างง่ายในหน้าเดียว
และการบรรยายหัวข้อสุดท้าย “เทคนิคการออกแบบกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ สื่อสารอย่างไรให้ตรงใจผู้เรียนในยุคดิจิทัล” โดย ดร. กอบวิทย์ พิริยะวัฒน์ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี ได้นำเสนอเกี่ยวกับการออกแบบกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ให้ตรงกับคุณลักษณะของผู้เรียนในยุคดิจิทัลด้วยเนื้อหาที่ถูกต้องและวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเนื้อหาและบริบทของผู้เรียน โดยนำเสนอความเชื่อมโยงของกรอบ “สมรรถนะ” ที่มีอยู่หลากหลายรูปแบบในปัจจุบัน เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถเชื่อมโยงการจัดการเรียนรู้และการประเมินอิงสมรรถนะได้ นอกจากนี้ยังนำเสนอการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีการยกตัวอย่างแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ทางการศึกษาที่ช่วยนำเข้าสู่บทเรียน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และสรุปผลการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ครูผู้สอนนำไปจัดการเรียนรู้ให้ห้องเรียนมีความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
วันที่ 2 ของการอบรมเริ่มด้วยกิจกรรม “Wake up เตรียมความพร้อมสู่การอบรม” โดย ดร. กมลรัตน์ ฉิมพาลี ครูชำนาญการพิเศษ (คศ.3) โรงเรียนถนนหักพิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อกระตุ้นความสนใจให้กับผู้เข้าร่วมอบรม พร้อมทั้งสอดแทรกเทคนิคการสอนที่สนุกสนานในรูปแบบออนไลน์อีก
ในช่วงเช้าเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจหัวข้อ “แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based approach) Innovation In Education - Redesigning Future Education การออกแบบการศึกษาแห่งอนาคต” วิทยากรจาก SEAMEO STEM-ED CENTER นำโดย นายนันทวุฒิ พิมพ์แพง ผู้จัดการโครงการ STEM Career Academies เริ่มต้นด้วยหัวข้อ “สะเต็มศึกษาและแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning)” โดย ผศ.ดร. บุรินทร์ อัศวพิภพ ผู้อำนวยการโครงการ STEM Resources and Capacity Building ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเป็นบริบทการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์และคิดแก้ปัญหาโดยใช้เทคนิคสะเต็มศึกษา และครูผู้สอนทดลอง ทำกิจกรรม “ประดิษฐ์ที่วางมือถือ” ผ่านการแก้ปัญหาจากสถานการณ์จำลอง
ต่อมา รศ.ดร. พรรัตน์ วัฒนกสิวิชช์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้นำเสนอการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาที่มีความสอดคล้องกับบริบทจริง จากตัวอย่างโมดูลการเรียนรู้ “การบริโภคหวานและเค็มเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี” มีการใช้เครื่องมือโพล (Poll) บนโปรแกรม Zoom เพื่อช่วยกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแสดงความคิดเห็นและเป็นการนำเข้าสู่ตัวอย่างโมดูลการเรียนรู้ และนำเสนอตัวอย่างแนวทางการจัดการเรียนรู้แต่ละขั้นนตอน จากนั้นปิดท้ายด้วยกิจกรรมการออกแบบห้องเรียน PBL เบื้องต้น...จากปัญหาสู่มูลค่าเพิ่มทางอาชีพ โดย นายมงคล สาระคำ ที่ปรึกษาโครงการ โดยได้กล่าวถึงตัวอย่าง การออกแบบกิจกรรมผ่านสถานการณ์จำลองเกี่ยวกับอาหารสำหรับนักกีฬา นำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้
ช่วงบ่ายต่อด้วยกิจกรรม “บรรยายและกิจกรรม สร้างกลยุทธ์ใหม่แห่งการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีและสื่อสร้างสรรค์” โดย ดร. กมลรัตน์ ฉิมพาลี ครูชำนาญการพิเศษ (คศ.3) โรงเรียนถนนหักพิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ นำเสนอเทคนิคการสอน การใช้ดิจิทัล และนวัตกรรม ในการเพิ่มพลังการเรียนรู้ให้เด็กไทยด้วยห้องเรียนที่สร้างสรรค์อย่างแท้จริง
กิจกรรมสุดท้ายเป็นการบรรยายและกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ “การออกแบบกิจกรรมบูรณาการเพื่อพัฒนาไปสู่นวัตกร” โดย รศ. ธีรวัฒน์ ประกอบผล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้นำเสนอเกี่ยวกับการออกแบบกิจกรรมเพื่อจัดการเรียนรู้บูรณาการแนวคิดแบบ STEM Education ส่งเสริมความเป็นนวัตกรและผลงานสร้างสรรค์ของผู้เรียน มีการยกตัวอย่างสิ่งประดิษฐ์ที่นำไปใช้งานได้จริง เช่น รถพลังงานน้ำ สร้างกระติก สิ่งประดิษฐ์จากหลอดไฟแอลอีดี รถพลังลม เป็นต้น ยกตัวอย่างห้อง FABLAB ที่มีเครื่องมือสำหรับอำนวยความสะดวกในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานต่อยอดสู่อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในพื้นที่ EEC
ภาพกิจกรรมบางส่วนจากช่องทาง Facebook Live
ข่าวประชาสัมพันธ์


