หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
VDO แนะนำ สวทช. 2023 Eng Full (8:27 นาที)
VDO NSTDA Introduce 2023 English Version Full with subtitle Download VDO Eng Full with sub VDO NSTDA Introduce 2023 English Version Full without subtitle Download VDO Eng Full without sub
คลัง VDO
 
VDO แนะนำ สวทช. 2023 Thai Full (8:33 นาที)
VDO แนะนำ สวทช. 2023 ภาษาไทย แบบเต็ม มี subtitle Download VDO Thai Full with sub VDO แนะนำ สวทช. 2023 ภาษาไทย แบบเต็ม ไม่มี subtitle Download VDO Thai Full without sub
คลัง VDO
 
VDO แนะนำ สวทช. 2023 Eng Short (5:37 นาที)
VDO NSTDA Introduce 2023 English Version Short with subtitle Download VDO Eng Short with sub VDO NSTDA Introduce 2023 English Version Short without subtitle Download VDO Eng Short without sub
คลัง VDO
 
อีอีซี รวมพลังภาคีภาครัฐ-เอกชน MOU หนุนใช้รถยนต์ไฟฟ้าขนส่งสาธารณะ และรับส่งพนักงานในพื้นที่ อีอีซี พร้อมร่วมพัฒนาระบบนิเวศน์การลงทุน นำร่องปี 66 เกิดรถโดยสารไฟฟ้า 100 คัน คาดใน 2 ปีเพิ่มเป็น 10,000 คัน ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก 5 แสนตัน/ปี จูงใจดึงลงทุนคลัสเตอร์ EV และ BCG รวม 40,000 ล้านบาท
For English-version news, please visit : Public-private initiative to promote the use of EV buses in EEC วันที่ 28 ก.ย.2566 นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะ และรถรับ-ส่งพนักงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกับ นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ศาสตราจารย์ นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย นายวีระเดช เตชะไพบูลย์ นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (อาร์อี 100) และนายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือภาครัฐและเอกชน ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีถ่ายทอดองค์ความรู้ ขับเคลื่อนการลงทุนและใช้ประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้า ในระบบขนส่งสาธารณะ และรับส่งพนักงานในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ นำไปสู่การพัฒนาพื้นที่อีอีซี อย่างยั่งยืน ณ ห้อง Conference 1-2  สำนักงานอีอีซี นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า การลงนามฯ MOU ครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือสำคัญจากภาคีภาครัฐ และเอกชน เพื่อสนับสนุนการลงทุนในเศรษฐกิจ BCG ผลักดันให้เกิดการพัฒนาระบบนิเวศน์ ดึงดูดการลงทุนนวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในพื้นที่ อีอีซี ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นที่ตั้งและฐานการผลิต EV แห่งภูมิภาค โดยภายใต้กรอบความร่วมมือ  MOU ดังกล่าว จะส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่แพร่หลายในระบบขนส่งสาธารณะ และการรับส่งพนักงาน ประชาชนในพื้นที่ อีอีซี เข้าถึงบริการดังกล่าวได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ผลักดันให้เกิดการผลิต และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด สอดคล้องกับเป้าหมายพัฒนาให้พื้นที่อีอีซี เป็นพื้นที่ Net Zero Carbon Emission ในภาคอุตสาหกรรม โดยระยะ 5 ปีแรก สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 10% และการลงทุนใหม่ในพื้นที่ 40% ต้องมีแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว สร้างการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ทั้งนี้ อีอีซี จะเชื่อมโยงความร่วมมือและพัฒนากลไกการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นระบบ โดยทุกฝ่าย จะร่วมกันสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี การถ่ายทอดองค์ความรู้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ การติดตั้งสถานี ชาร์จไฟฟ้าเพื่อรองรับ รวมไปถึงขยายผลสร้างมูลค่าเพิ่มโครงการฯ โดยอีอีซี จะร่วมขับเคลื่อนพัฒนาระบบนิเวศจูงใจ ให้เกิดการลงทุน เช่น เรื่องสิทธิประโยชน์รูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี การอำนวยความสะดวกเพิ่มความรวดเร็ว ในการอนุมัติ อนุญาตที่อีอีซีสามารถออกใบอนุญาตแทนหน่วยงานต่างๆ ได้ถึง 44 ใบอนุญาต คาดว่าจะเริ่มได้ ในมกราคม ปี 2567 ซึ่งจากความร่วมมือครั้งนี้ เป็นกิจกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับ คลัสเตอร์ EV และคลัสเตอร์ BCG (ในกลุ่มพลังงานสะอาด) นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า สอวช. ในฐานะหน่วยงานด้านนโยบาย อวน. (การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) สนับสนุนการพัฒนาและยกระดับความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ จะดำเนินการภายใต้ข้อตกลง ฉบับนี้ เพื่อนำร่องให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เร่งให้เกิดการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนสำคัญ ให้มีคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และสร้างซัพพลายเชนในประเทศให้มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญ และเมื่อความร่วมมือในพื้นที่อีอีซีนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว จะสามารถถอด เป็นบทเรียนเพื่อขยายให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในการพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับการพัฒนาไปสู่เป้าหมายการผลิตแล การใช้งานยานยนต์ไร้มลพิษ และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การลงนาม ฯ ครั้งนี้ สวทช. จะเป็นหน่วยงานในการสนับสนุน ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับรถโดยสารพลังงาน ไฟฟ้า และการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่อีอีซี เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาของประเทศ ซึ่ง สวทช. ได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการสั่งสมองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง กับยานยนต์ไฟฟ้า เช่น การออกแบบแบตเตอรี่แพ็ค การออกแบบมอเตอร์ ระบบควบคุมพร้อมระบบขับเคลื่อน เทคโนโลยี การลดน้ำหนักตัวรถที่ยังคงความแข็งแรงของโครงสร้างและความปลอดภัย การวิเคราะห์ Vehicle dynamic การพัฒนา ระบบ EV Charger การพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ รวมถึงการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบกับศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. ซึ่งเป็นศูนย์วิเคราะห์ทดสอบและรับรองในระดับสากล เป็นต้น ทั้งนี้ สวทช. มีความพร้อมใน การสนับสนุนการทดสอบเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาใช้จริง และยกระดับ ระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่อีอีซี รวมถึงส่งเสริมผู้ประกอบในการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของ สวทช. ที่ ต้องการสนับสนุนเทคโนโลยีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำต่อไป นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ จะเป็นโครงการนำร่องเพื่อเป็นต้นแบบการใช้รถโดยสารไฟฟ้า สำหรับขนส่งสาธารณะและรับ-ส่งพนักงานสำหรับประชาชน เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในพื้นที่อีอีซี โดยคาดว่าในปี 2566 นี้จะเกิดรถโดยสารไฟฟ้า อย่างน้อย 100 คัน พร้อมสถานีชาร์ท ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 5 พันตันต่อปี เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และพัฒนาวัตถุดิบสินค้าในประเทศ (local content) เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 60% สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศมากกว่า 360 ล้านบาท และคาดว่าภายใน 2 ปี หากสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้รถโดยสารไฟฟ้าได้ 10,000 คัน จะมีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 60,000 ล้านบาท เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศมากกว่า 48,000 ล้านบาท ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 5 แสนตันต่อปี นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า ธนาคารฯ ได้กำหนดวิสัยทัศน์ปี 2570 ในการสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายด้านการค้าและการลงทุน ระหว่างประเทศ อันส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย โดยตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้า และ การลงทุนของไทยให้เติบโตในเวทีโลกอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ธนาคารฯ ได้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสของการลงทุนตาม เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินสนับสนุนการลงทุนในเศรษฐกิจ สีเขียว เช่น EXIM Green Start เพื่อให้สอดคล้องตาม Thailand Taxonomy หรือ Exim Supply Chain Financing Solution เพื่อเสริมสภาพคล่อง SMEs ในเครือข่ายธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหญ่ สำหรับความร่วมมือ ในครั้งนี้ จะสนับสนุนการเข้าถึงการบริการทางการเงินของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ การประกอบธุรกิจ โดยธนาคารเห็นถึงโอกาสในการขยายตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวในอนาคต
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ทำไมการแสดงข้อมูล (data visualization) เป็นเรื่องยาก
มี 3 เหตุผล ที่อธิบายทำไมการแสดงข้อมูลเป็นเรื่องยาก 1. การมีให้ของข้อมูล ข้อมูลที่ดีสำหรับการแสดงไม่ง่ายที่จะค้นพบ เมื่อค้นพบ ยังคงต้องการข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบที่ทำงานร่วมกันได้ จัดทำเป็นเอกสารและอนุญาตอย่างเหมาะสมเพื่อการนำกลับมาใช้ใหม่และพร้อมใช้ ดังนั้นมีการจัดการข้อมูลอยู่เบื้องหลังและหลายสิ่งจำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อนที่ข้อมูลมีให้เพื่อการแสดง 2. การออกแบบการแสดง ไม่ใช่ทุกคนสามารถทำการแสดงข้อมูล ต้องการการประยุกต์ใช้การออกแบบและความเข้าใจหลักการออกแบบที่ให้รายละเอียดและมีการใช้อย่างมาก การออกแบบต้องการประสบการณ์ของผู้ใช้และการพิจารณาอื่น ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่ใน browsers และเครื่องมือทางดิจิทัล ดังนั้นไม่เพียงมีข้อจำกัดของทักษะ แต่ต้องการปรับใช้การแสดงในเทคโนโลยีที่จำเพาะ ไม่เหมือนเมื่อกำลังใช้การแสดงบน laptop หรือโทรศัพท์มือถือ หรือ tablet การแสดงที่แตกต่างกันต้องการประเภทการออกแบบที่แตกต่างกัน ในองค์กรขนาดใหญ่ ไม่เสมอไปมีความสามารถเหล่านี้ 3. การเข้าถึงและเข้าใจข้อมูล ความสามารถในการเข้าถึงเป็นตัวสำคัญหลัก มีหลายสิ่งที่ลืมในเรื่องของความสามารถในการเข้าถึง ตัวอย่าง เช่น ผู้ใช้ที่มีความผิดปกติของการมองเห็น ต้องออกแบบสำหรับคนเหล่านั้นด้วย นอกจากสามารถแก้ปัญหาความสามารถในการเข้าถึง ผู้ใช้ต้องเข้าใจสิ่งที่นำเสนอด้วย ในหลายหนทางการแสดงข้อมูลยากมากเกินไป มีกราฟ การโต้ตอบมากเกินไปในการแสดงข้อมูล ต้องทำให้ข้อความอยู่ในรูปที่ง่าย ที่มา: Holly Lyke-Ho-Gland (August 1, 2022). Better Data Visualization Starts With Simplifying the Message. Retrieved September 23, 2023, from https://www.apqc.org/blog/better-data-visualization-starts-simplifying-message
นานาสาระน่ารู้
 
stay interview คืออะไร
stay interview คือ การอภิปรายระหว่างพนักงานปัจจุบันและตัวแทนองค์กร เช่น ผู้จัดการ HR เกี่ยวกับปัจจัยซึ่งสนับสนุนและไม่สนับสนุนการรักษาพนักงานไว้ในองค์กร stay interview เป็นเครื่องมือการรักษาแบบสองวัตถุประสงค์ รายละเอียดที่รวบรวมได้จาก stay interview ช่วยให้องค์กรเข้าใจตัวผลักดันและตัวกีดกันการรักษา แต่ stay interview โดยตัวเองผลักดันการรักษา stay interview เปิดโอกาสให้พนักงานได้รับการเห็น การได้ยิน และการยอมรับ โดยการเชิญพนักงานเข้าร่วมใน stay interview องค์กรเห็นคุณค่าของการตอบโต้ของพนักงาน stay interview ส่งผลต่อองค์กร ดังนี้ - พัฒนาการรักษาพนักงาน stay interview ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตัวผลักดันของการโยกย้าย เช่น สภาพแวดล้อมการทำงานและวัฒนธรรมที่ไม่ดี สวัสดิการและเงินเดือนไม่ดี และขาดโอกาสการเติบโต - พัฒนาการดูแลพนักงานใหม่ เมื่อใช้กับพนักงานใหม่ stay interview ทำให้องค์กรสามารถแก้ปัญหาในเรื่องการดูแลพนักงานใหม่ก่อนนำไปสู่การโยกย้าย - พัฒนาการมีส่วนร่วมของพนักงาน stay interview เป็นวิธีการทำให้พนักงานมีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังช่วย HR ระบุกลยุทธ์การมีส่วนร่วมอื่นใช้ได้และใช้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ข้อมูลการสำรวจการมีส่วนร่วม - พัฒนาการสรรหาพนักงาน stay interview มีประโยชน์ต่อพนักงานส่วนใหญ่ ซึ่ง HR สามารถเน้นการประกาศรับสมัครงาน หน้าอาชีพ และการสัมภาษณ์สรรหาพนักงาน - พัฒนาการจ้าง - พัฒนาการเรียนรู้และการพัฒนา stay interview บ่อยครั้งจะเปิดโอกาสให้พัฒนาหนทางการฝึกอบรมและพัฒนา เพื่อผู้มีความสามารถสูงไม่จำเป็นต้องมองหาที่อื่นเพื่อเติบโต ที่มา: Elissa Tucker (July 16, 2022). Are Stay Interviews Effective?. Retrieved September 23, 2023, from https://www.apqc.org/blog/are-stay-interviews-effective
นานาสาระน่ารู้
 
นวัตกรรมแบบเปิด (open innovation) คืออะไร
ในขณะที่นวัตกรรมแบบดั้งเดิม (traditional innovation) เกิดขึ้นเป็นการภายใน โดยแนวคิดใหม่เกิดขึ้นในธุรกิจ นวัตกรรมแบบเปิดเป็นเรื่องตรงข้ามกับนวัตกรรมแบบดั้งเดิม มีวิวัฒนาการภายนอกองค์กรทำให้เกิดความร่วมมือมากขึ้น นวัตกรรมแบบเปิดถูกส้างขึ้นในทางธุรกิจหรือ platforms และแนวคิดใหม่เกี่ยวข้องหรือต้องการหน่วยงานและบุคคลจำนวนมาก นวัตกรรมแบบเปิดให้ข้อดีหลายข้อที่ชัดเจนและทำให้ธุรกิจได้รับผลประโยชน์ จากความถูกต้องของตลาดไปจนถึงความมีประสิทธิภาพของกระบวนการ - รูปแบบภายนอก เนื่องจากนวัตกรรมแบบเปิดเป็นไปตามแนวทางภายนอกของนวัตกรรม องค์กรไม่จำเป็นต้องสงสัยว่าแนวคิดใหม่จะเป็นไปตามความต้องการของตลาดหรือไม่ แนวคิดเกิดจากตลาดและสะท้อนให้เห็นความต้องการของตลาด - องค์กรไม่ถูกจำกัดโดยความสามารถ ประสบการณ์ หรือทรัพยากร ของตนเอง เนื่องจากองค์กรสามารถนำเสนอความสามารถ ประสบการณ์ และทรัพยากร ได้กว้างและลึกอย่างมาก - ด้วยเทคนิค เช่น การวิ่งเร็วในระยะสั้น หรือกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพต่ำ สามารถทำให้เป็นเดือนหรือสัปดาห์ในบางกรณี ที่มา: Anthony Marshall (July 13, 2023). Open Innovation Is How Smart Businesses Grow. Retrieved September 23, 2023, from https://www.apqc.org/blog/open-innovation-how-smart-businesses-grow  
นานาสาระน่ารู้
 
เครื่องวัดระดับน้ำตาล: สถานการณ์ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตลาดของเครื่องวัด และเทคโนโลยีเครื่องวัด
บทความนำเสนอข้อมูลเกี่ยกับ สถานการณ์ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตลาดของเครื่องวัดระดับน้ำตาล และตัวอย่างการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีของเครื่องวัดระบบน้ำตาลในเลือด แหล่งข้อมูลหลัก: ฐานข้อมูล Mintel https://www.mintel.com วันที่สืบค้นข้อมูล: 14 กันยายน พ.ศ. 2566 คำค้น: glucose monitor, glucose meter, glucose strip test, diabetes test, blood glucose, glucose test strip ช่วงของข้อมูลที่สืบค้น: 2019-ปัจจุบัน สถานการณ์ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคที่ร่างกายไม่สามารถผลิตหรือใช้อินซูลินได้อย่างเหมาะสม ซึ่งอินซูลินเป็นฮอร์โมนจำเป็นในการเปลี่ยนน้ำตาล แป้ง และอาหารอื่นๆ ให้เป็นพลังงาน การพัฒนาโรคเบาหวานมีทั้งจากพันธุกรรมและจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น โรคอ้วนและการขาดการออกกำลังกาย ระดับน้ำตาลในเลือดที่เพิ่มขึ้นที่เกิดจากโรคเบาหวานซึ่งเป็นผลจากการที่ร่างกายไม่สามารถประมวลผลคาร์โบไฮเดรตได้ ส่งผลต่อทุกส่วนของร่างกาย ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นโรคไต โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะแทรกซ้อนทางตา (ซึ่งอาจนำไปสู่การตาบอด) ภาวะแทรกซ้อนที่เท้า (ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดแขนขา) ภาวะแทรกซ้อนทางผิวหนัง และภาวะซึมเศร้า ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวานถึง 2 เท่า โดยรวมแล้วความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคเบาหวานมีประมาณ 2 เท่า ของผู้ที่ไม่มีโรคเบาหวานในวัยใกล้เคียงกัน อายุขัยของผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยเฉลี่ยจะน้อยกว่าประชากรทั่วไปประมาณ 10 ถึง 15 ปี ความชุกของโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น โดยสถานการณ์โรคเบาหวานทั่วโลกในปี 2021 มีผู้ป่วยจำนวน 537 ล้านคน และคาดว่าในปี 2030 จะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นเป็น 643 ล้านคน และเพิ่มขึ้นไปถึง 783 ล้านคน ในปี 2045 ทั้งนี้โรคเบาหวานมีส่วนทำให้เสียชีวิต สูงถึง 6.7 ล้านคน หรือเสียชีวิต 1 ราย ในทุกๆ 5 วินาที จากรายงานสถิติสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทยพบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 3 แสนคนต่อปี โดยปี 2022 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเบาหวาน 3.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2021 จำนวน 1.5 แสนคน ในปี 2021 มีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวาน 16,388 คน (อัตราตาย 25.1 ต่อประชากรแสนคน) ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขในการรักษาโรคเบาหวานเฉลี่ยสูงถึง 47,596 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้โรคเบาหวานยังคงเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง และโรคไตวายเรื้อรัง Centers for Disease Control and Prevention (CDC) หรือ ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานจะเพิ่มขึ้นจาก 11 ล้านคนเป็น 30 ล้านคน ระหว่างปี 2000-2050 จากรายงาน Nutrition watch: type-2 diabetes in SEA ใน Mintel (2020) มีความชุกของโรคเบาหวานประเภท 2 (type 2 diabetes) คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่ออินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาระของโรคเบาหวานกำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีประชากรโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น ประเทศมาเลเซีย - ชาวมาเลเซียประมาณ 3.6 ล้านคน ได้รับผลกระทบจากโรคเบาหวาน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7 ล้านคนในปี 2025 การเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนั้นพบได้ในโรคเบาหวานประเภท 2 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการมีน้ำหนักเกินและการไม่ออกกำลังกาย ประเทศฟิลิปปินส์ - ชาวฟิลิปปินส์ประมาณ 6.3 ล้านคน ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 ประเทศฟิลิปปินส์อยู่ในอันดับที่ 5 รองจากประเทศจีน ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศญี่ปุ่น และประเทศไทย ในด้านจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตามข้อมูลของสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation: IDF) ประเทศสิงคโปร์ - ชาวสิงคโปร์ 1 ใน 9 ที่มีอายุระหว่าง 18-69 ปี หรือผู้ใหญ่ประมาณ 450,000 คน เป็นโรคเบาหวาน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 670,000 คนภายในปี 2030 ประเทศสิงคโปร์มีการประกาศสงครามกับโรคเบาหวานในปี 2016 ด้วยความพยายามเชิงกลยุทธ์ระดับชาติเพื่อจัดการกับโรคเบาหวาน ประเทศไทย - 1 ใน 11 ของคนไทยป่วยด้วยโรคเบาหวาน และ 70% ของการเสียชีวิตในประเทศไทยมีสาเหตุจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) โรคเบาหวานปัญหาระดับโลก และขนาดของตลาดของเครื่องวัดระดับน้ำตาล เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดเรียกอีกอย่างว่า “glucometer” เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ในการวัดและแสดงระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานหรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำสามารถตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดที่บ้านได้ด้วยอุปกรณ์นี้ ดังนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้รับการตรวจติดตามอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดต้องเป็นไปตามข้อกำหนดความถูกต้องแม่นยำของ ISO เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ continuous glucose monitoring devices หรือ อุปกรณ์ตรวจวัดกลูโคสอย่างต่อเนื่อง และ self-monitoring blood glucose devices หรือ อุปกรณ์ตรวจวัดน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักพกเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดติดตัว อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ทันที ตลาดการวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นหนึ่งในตลาดการวินิจฉัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก (the largest diagnostics market in the world) ตามรายงานของ Fortune Business Insights ขนาดตลาดระบบตรวจวัดกลูโคสในเลือด (blood glucose monitoring system) ทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตจาก 17.03 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 เป็น 32.99 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 9.9% ระหว่างช่วงปีที่คาดการณ์ เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดจะมองหารูปแบบความแปรผันของระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของอาหาร ระดับกิจกรรม การใช้ยา หรือสภาวะทางพยาธิวิทยา เช่น โรคเบาหวาน ที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาลในเลือดที่ผิดปกติอาจก่อให้เกิดโรคที่คุกคามถึงชีวิตได้ทันทีและระยะยาว เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดใช้ในการวัดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มระดับกลูโคสเนื่องจากสามารถอ่านค่าน้ำตาลในเลือดได้อย่างต่อเนื่องและแบบเรียลไทม์ ยังช่วยให้ผู้ป่วยตัดสินใจเกี่ยวกับปริมาณอินซูลินและการบริโภคอาหาร ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด ได้แก่ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การพัฒนาเทคโนโลยีในการติดตามและวินิจฉัยโรคเบาหวาน สามารถตรวจพบโรคเบาหวานได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ส่งผลให้ความต้องการเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้น ความชุกของโรคเบาหวานที่เพิ่มขึ้น ความชุกของโรคเบาหวานที่เพิ่มขึ้นจึงช่วยเพิ่มความต้องการอุปกรณ์วัดระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะการตรวจวัดที่รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น การเพิ่มจำนวนประชากรสูงอายุ ตลาดกำลังเติบโตตามจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) คาดการณ์ว่าจะมีผู้สูงอายุทั่วโลกประมาณ 2 พันล้านคนภายในปี 2050 จำนวนผู้สูงอายุที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวานคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้น รายได้ต่อหัวและการใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้น การเคลื่อนไหวที่เพิ่มมากขึ้นของหน่วยงานด้านการดูแลสุขภาพและหน่วยงานของรัฐเพื่อควบคุมโรคเบาหวาน การเพิ่มเงินทุนภาครัฐและภาคเอกชนสำหรับโครงการวิจัยที่กำหนดเป้าหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการกับโรคเบาหวาน ความรู้และความตระหนักรู้ของสาธารณชนเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโรคเบาหวานและการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ความสนใจของผู้บริโภคต่อแนวทางเชิงป้องกันด้านสุขภาพ เมื่อผู้บริโภคเปลี่ยนความสนใจไปที่แนวทางเชิงป้องกันด้านสุขภาพ อุปกรณ์วัดระดับน้ำตาลในเลือดจึงไม่ได้มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่ยังขยายไปยังผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ เชื่อมโยงไปยังผลิตภัณฑ์อาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจะได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน GlobeNewswire ระบุผู้เล่นหลักบางรายในอุตสาหกรรมเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด ได้แก่ Abbott Laboratories, Asensia Diabetes Care, Medtronic plc, Dexcom Inc., Hoffmann-La Roche Ltd., Sanofi, Insulet Corporation, Novo Nordisk, Glysens Incorporated, B. Braun และ Ypsomed Holdings ในแง่ของช่องทางการจัดจำหน่ายเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากการเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์วัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองเพิ่มมากขึ้น แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อจัดจำหน่ายเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดจึงเติบโตขึ้นอย่างมากและรวดเร็วเมื่อเทียบกับร้านค้าออฟไลน์ คาดการณ์ว่าในอนาคตแพลตฟอร์มออนไลน์จะสำคัญมากกว่าร้านค้าออฟไลน์ การพัฒนาล่าสุดของเทคโนโลยีเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด ตัวอย่างการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีของเครื่องวัดระบบน้ำตาลในเลือด การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมีอนาคตในด้านสุขภาพเชิงป้องกัน เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง (Continuous Glucose Monitors: CGM) กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำหรับประชาชนในการติดตามสุขภาพของตนเอง ซึ่งสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงไปสู่โภชนาการส่วนบุคคล แม้ว่าเดิมที CGM จะใช้เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานติดตามระดับน้ำตาลในเลือดอย่างใกล้ชิด แต่เทคโนโลยีนี้กำลังถูกมองว่าเป็นเครื่องมือด้านสุขภาพเชิงป้องกันสำหรับผู้บริโภคเพื่อปรับปรุงสุขภาพของตนเอง ในสหรัฐอเมริกา บริษัทโภชนาการเฉพาะบุคคล ZOE ใช้ CGM เพื่อวิเคราะห์ว่าอาหารประเภทต่างๆ ส่งผลต่อการตอบสนองระดับน้ำตาลในเลือดของแต่ละบุคคลอย่างไร หรือ ตัวอย่าง แบรนด์ Signos, NutriSense และ Levels เสนอ CGM ให้กับผู้คนเพื่อติดตามระดับน้ำตาลในเลือดแบบเรียลไทม์ และกำหนดให้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านสุขภาพ แอปพลิคันใช้ข้อมูลจาก CGM เพื่อติดตามว่าอาหาร การนอนหลับ การออกกำลังกาย และความเครียดส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของแต่ละบุคคลอย่างไร One Drop Chrome ระบบวัดน้ำตาลกลูโคสที่ใช้เทคโนโลยีบลูทูธเพื่อซิงค์ข้อมูลการวัดจากเครื่องวัดน้ำตาลกลูโคสกับแอปพลิเคชันของบริษัท เครื่องวัดน้ำตาลกลูโคส One Drop Chrome ออกแบบมาในกระเป๋าพกพาง่ายและสะดวก One Drop Premium เป็นบริการสมัครสมาชิกรายเดือน ซึ่งมาพร้อมแถบทดสอบไม่จำกัดที่จัดส่งตามความต้องการ และให้การเข้าถึงนักการศึกษาโรคเบาหวานที่ผ่านการรับรองตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ขณะที่แอปพลิเคชันที่ใช้งานร่วมกับเครื่องวัดนั้นอนุญาตให้ผู้ใช้บันทึกและวิเคราะห์การทดสอบกลูโคส บันทึกและวิเคราะห์การบริโภคอาหาร ติดตามกิจกรรมโดยใช้เครื่องนับก้าว หรือลิงก์ไปยังเครื่องมือติดตามกิจกรรมอื่นๆ และตั้งเวลาเตือนให้รับประทานยา โดยแอปพลิเคชันจะเปลี่ยนข้อมูลที่ป้อนให้เป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้ผู้บริโภคดำเนินการต่อไป อุปกรณ์ One Drop Chrome ช่วยลดความจำเป็นในการไปพบแพทย์ผู้ดูแลหลัก และมอบการดูแลให้กับผู้บริโภคมากขึ้น 23andMe เปิดตัวการทดสอบทางพันธุกรรมใหม่เพื่อทำนายโอกาสในการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 การทดสอบโรคเบาหวานประเภท 2 ของ 23andMe จะจัดผู้ใช้ให้อยู่ในหนึ่งในสองประเภท คือ "โอกาสโดยทั่วไป" หรือ "โอกาสที่เพิ่มขึ้น" "โอกาสที่เพิ่มขึ้น" หมายถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการเกิดโรคเนื่องจากประวัติทางพันธุกรรม (ตรงข้ามกับปัจจัยในการดำเนินชีวิต) แม้ว่า 23andMe จะไม่ให้การวินิจฉัยอย่างเป็นทางการหรือคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล แต่รายงานภาวะสุขภาพจะรวมข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงในการดำเนินชีวิตที่ลดลงของโรคเบาหวานประเภท 2 การใช้ไบโอเซนเซอร์ Libre Sense ของ Abbott ทำให้อุปกรณ์และแอปพลิเคชันสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือดได้แบบเรียลไทม์ Rick Miller, RD. Associate Director Specialised Nutrition ให้เหตุผลว่าแบรนด์ต่างๆ ต้องเปลี่ยนจาก ตัวชี้วัดทางชีวภาพย้อนหลัง (เช่น การตรวจเลือด) มาเป็น แบบเรียลไทม์ (เช่น การตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง continuous blood glucose monitoring) เทคโนโลยีต่างๆ เช่น การทดสอบสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายในลมหายใจ ได้ให้นิยามใหม่ของการวิเคราะห์ตัวชี้วัดทางชีวภาพแบบคลาสสิกแล้ว ประการที่สอง เช่นเดียวกับการติดตามกิจกรรม (เช่น Fitbit) นักนวัตกรรมจะต้องรวมการรวบรวมข้อมูลเข้ากับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน Miller ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าการบูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่จะช่วยปรับปรุงคำแนะนำด้านสุขภาพ ความสนใจของผู้บริโภคต่อเทคโนโลยีที่สวมใส่ได้เพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือด มีความสนใจของผู้บริโภคต่อเทคโนโลยีที่สวมใส่ได้เพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือดของตน Veri ใช้เซ็นเซอร์แบบสวมใส่ได้ เพื่อวิเคราะห์ระดับน้ำตาลในเลือด Veri นำเสนอเครื่องติดตามระดับน้ำตาลในเลือดที่สวมใส่ได้และแอปพลิเคชันที่ให้มาซึ่งให้ข้อเสนอแนะแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหารของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ยังนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเฉพาะบุคคลที่สร้างขึ้นจากการวิเคราะห์ระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างออกกำลังกายและการนอนหลับ ช่วยให้ผู้บริโภคเห็นว่าร่างกายตอบสนองต่ออาหารประเภทต่างๆ อย่างไร ช่วยจัดการน้ำหนัก รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และรู้สึกมีพลังมากขึ้น ทำนองเดียวกับ แอปพลิเคชันติดตามสุขภาพของ Fitbit อนุญาตให้ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด และ Apple กำลังสำรวจเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำตาลในเลือด ใน Apple Watch ในอนาคต อุปกรณ์สวมใส่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าการติดตามการออกกำลังกาย และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีที่บันทึกการวัดผลด้านสุขภาพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ และระดับออกซิเจนในเลือด ผู้บริโภคกำลังมองหาอุปกรณ์ที่บันทึกการวัดผลด้านสุขภาพอื่นๆ ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดีของตน พร้อมความสะดวกสบายจากอุปกรณ์เพียงเครื่องเดียว ด้วยเหตุนี้ แบรนด์ต่างๆ จึงต้องช่วยผู้บริโภคตีความข้อมูลนี้ และสามารถทำให้การดูแลสุขภาพเข้าถึงได้มากขึ้นด้วยการให้คำแนะนำและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพของผู้ใช้เพียงปลายนิ้วสัมผัส การแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีเป็นอันดับแรก และผู้บริโภคจะคาดหวังนวัตกรรมเพิ่มเติมจากอุปกรณ์สวมใส่เพื่อให้มีมุมมองด้านสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น ด้วยความปรารถนาที่จะเข้าใจร่างกายของตนเองมากขึ้นและช่วยในการจัดการสุขภาพของตนเอง ผู้บริโภคจึงหันมาใช้เทคโนโลยี เช่น อุปกรณ์สวมใส่ได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงในร่างกายและนิสัยของตนได้ง่าย แบรนด์ต่างๆ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เน้นเรื่องการออกกำลังกาย การนอนหลับ และสามารถติดตามสุขภาพด้านอื่นๆ ได้มากมาย เช่น น้ำตาลในเลือดหรืออัตราการเต้นของหัวใจ การเข้าถึงข้อมูล การวิเคราะห์ และคำแนะนำนี้ ผู้บริโภคสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการรับประทานอาหาร การนอนหลับ และการออกกำลังกาย ทำให้เทคโนโลยีด้านสุขภาพมีความน่าสนใจ ด้วยเหตุนี้ จึงเริ่มเห็นอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพเปลี่ยนจากกลุ่มเฉพาะไปสู่กระแสหลัก Wellbeing Driver สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความสนใจในเทคโนโลยีด้านสุขภาพและอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับร่างกายของตนเอง และคำแนะนำที่ตรงไปตรงมาว่าควรทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้ วิธีที่ผู้บริโภคมองโภชนาการ การนอนหลับ และการออกกำลังกายจะเปลี่ยนไป โดยอิงจากข้อมูลและการวิเคราะห์มากกว่าการคาดเดา จากรายงาน The Future of Vitamins, Minerals and Supplements: 2023 คาดการณ์ว่า ในอีกสองปีข้างหน้า การติดตามสุขภาพของไมโครไบโอมในลำไส้และระดับน้ำตาลในเลือดจะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับโภชนาการเฉพาะบุคคลตามหลักวิทยาศาสตร์ การจัดส่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ให้โภชนาการที่ตรงเป้าหมายสำหรับช่วงวัยที่แตกต่างกัน และการจัดการกับสาเหตุของความกังวลเรื่องสุขภาพผ่านอาหารเสริมที่สนับสนุนฮอร์โมน น้ำตาลในเลือด และไมโครไบโอมในลำไส้ จะกำหนดโภชนาการส่วนบุคคลในทศวรรษหน้า สำนักงานมาตรฐานอาหารแห่งสหราชอาณาจักร (Food Standards Agency: FSA) รายงานว่า จนถึงปี 2017 การวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องยังจำกัดอยู่เฉพาะในตลาดโรคเบาหวาน อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทสตาร์ทอัพอย่าง Lumen, Levels และ Supersapiens ได้เปิดตัวอุปกรณ์วัดระดับน้ำตาลในเลือดโดยมุ่งเป้าไปที่ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพโดยทั่วไปมากกว่าผู้ป่วยโรคเบาหวาน เช่น Supersapiens ที่มุ่งเป้าไปที่นักกีฬาด้วยเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดหรือระบบติดตามผ่านแอพ โดยอ้างว่าช่วยให้นักกีฬาบรรลุศักยภาพของตนเองโดยหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ เช่น ความเหนื่อยล้า สะท้อนถึงโอกาสการขยายตัวของตลาดอุปกรณ์วัดระดับน้ำตาลในเลือดจากโรคเบาหวานไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มอื่นที่ใส่ใจสุขภาพโดยทั่วไป เช่น นักกีฬา ไม่เฉพาะผู้บริโภคกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ประกอบกับปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่กล่าวถึงในข้างต้น เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความชุกของโรคเบาหวานที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มจำนวนประชากรสูงอายุ รายได้ต่อหัวและการใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้น และความสนใจของผู้บริโภคต่อแนวทางเชิงป้องกันด้านสุขภาพ สะท้อนให้เห็นถึงอนาคตที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรมนี้ อ้างอิง: กรมควบคุมโรค. (12 พฤศจิกายน 2564). กรมควบคุมโรค รณรงค์วันเบาหวานโลก ปี 2564 ตระหนักถึงการดูแลรักษาโรคเบาหวาน ให้ได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง. https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=21692&deptcode=brc Forsyth, J. (2022, February 28). Food innovators face a new era of mass personalisation. Mintel. https://clients.mintel.com/content/trend/food-innovators-face-a-new-era-of-mass-personalisation-1 Fortune Business Insights. (2023, May). Blood glucose monitoring market. https://www.fortunebusinessinsights.com/industry-reports/blood-glucose-monitoring-market-100648 GlobeNewswire. (2023, March 7). Blood glucose meters market predicted to garner USD 22.6 billion by 2032, at CAGR 8.7% | Market.us. https://www.globenewswire.com/en/news-release/2023/03/07/2622373/0/en/Blood-Glucose-Meters-Market-Predicted-to-Garner-USD-22-6-Billion-By-2032-At-CAGR-8-7-Market-us.html Mattucci, S. (2022, February 22). Nutrition watch: blood sugar control. Mintel. https://clients.mintel.com/content/insight/nutrition-watch-blood-sugar-control Mintel. (2022, January 4). Smart ring. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1117961?fromSearch=%3Ffreetext%3D%2522Blood%2520Glucose%2522 Mintel. (2021, October 19). Understand your body. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1106387?fromSearch=%3Ffreetext%3D%2522Blood%2520Glucose%2522 Schofield, E. (2023, June 7). The future of vitamins, minerals and supplements: 2023. Mintel. https://clients.mintel.com/content/report/the-future-of-vitamins-minerals-and-supplements-2023 Teodoro, Michelle. (2020, March 4). Nutrition watch: type-2 diabetes in SEA. Mintel. https://clients.mintel.com/content/insight/nutrition-watch-type-2-diabetes-in-sea Trouwborst, I., Gijbels, A., Jardon, K.M., Siebelink, E., Hul, G.B., Wanders, L., Erdos, B., Peter, S., Singh-Povel, C., de Vogel-van den Bosch, J., Adriaens, M., Arts, I., Thijssen, D., Feskens, E., Goossens, G., Afman, L., Blaak, E. (2023). Cardiometabolic health improvements upon dietary intervention are driven by tissue-specific insulin resistance phenotype: A precision nutrition trial. Cell Metabolism, 35 (1), pp. 71-83.e5. doi: 10.1016/j.cmet.2022.12.002    
คลังความรู้
 
สารสนเทศวิเคราะห์
 
เปิดแล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเนื้อ “อินทผลัมพันธุ์บาฮี” การันตีคุณภาพผลผลิตตรงตามแม่พันธุ์
  Tech: สุดเจ๋ง ! นักวิจัยไทยพัฒนาวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีเชิงการค้าสำเร็จ เอกชนสานต่อสู่เชิงพาณิชย์ จัดตั้งห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพร้อมผลิตต้นกล้าออกสู่ตลาด ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ หนึ่งในผลงานนวัตกรรมจากไบโอเทค สวทช. ร่วมจัดแสดงในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติประจำปี 2566 BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ พัฒนาเทคโนโลยีโดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ผลิตและจำหน่ายโดยห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม บริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ : 08 1875 9340 หรือ 08 9155 2777   [caption id="attachment_47240" align="aligncenter" width="700"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค เล่าว่าปัจจุบันธุรกิจการปลูกอินทผลัมพันธุ์ชนิดรับประทานสดในประเทศไทยมีการขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น ทว่าอินทผลัมเป็นพืชต่างประเทศ เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องนำเข้าต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประเทศเข้ามาปลูก เพราะสามารถการันตีถึงการตรงตามพันธุ์ ที่ส่งผลให้มีความสม่ำเสมอของคุณภาพและปริมาณของผลิตผลอินทผลัมที่จะออกสู่ตลาดได้ การพัฒนาเทคนิคผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อรวมถึงการปรับปรุงพันธุ์อินทผลัมให้เหมาะสมกับสภาพการปลูกและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพในประเทศไทยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรองรับความต้องการของเกษตกร ดังนั้นไบโอเทค สวทช. จึงได้ร่วมกับบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด พัฒนาเทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีซึ่งเป็นพันธุ์การค้ามาตรฐานชนิดรับประทานผลสดที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลิตต้นกล้าอินทผลัมคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม และลดการนำเข้าต้นกล้าอินทผลัมจากต่างประเทศ   [caption id="attachment_47241" align="aligncenter" width="700"] ต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม บริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด[/caption]   จุดเด่นของต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจากห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินผลัมบริษัทพี โซลูชัน กรุ๊ป จำกัด คือ เป็นต้นเพศเมียที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่นำมาจากต้นแม่พันธุ์คุณภาพดี ปลูกง่าย ดูแลง่าย เติบโตได้ดีเกือบทุกภูมิภาคในประเทศไทย เริ่มจำหน่ายผลผลิตได้หลังปลูกประมาณ 3 ปี อายุเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 150 วันหลังผสมเกสร ผลมีสีเหลืองทอง รูปร่างกลมรี เนื้อแน่น หวานกรอบอร่อย ไม่มีรสฝาด   [caption id="attachment_47242" align="aligncenter" width="700"] ประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด[/caption]   ประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของพีโซลูชันกรุ๊ปเริ่มผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจำหน่ายออกสู่ตลาดแล้ว และในอนาคตยังสามารถต่อยอดไปสู่การผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีอื่น ๆ ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง เช่น เบรม โคไนซี่ บาฮีแดง ฯลฯ รวมถึงรองรับการขยายพันธุ์ต้นอินผลัมที่มาจากการพัฒนาต้นพันธุ์เพาะเมล็ดลักษณะดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจการปลูกอินทผลัมเป็นให้เป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทยและสามารถส่งออกผลผลิตหรือต้นกล้าพันธุ์ดีได้ในอนาคต นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในประเทศไทยที่สามารถขยายพันธุ์พืชเศรษฐกิจจากต่างประเทศ ช่วยเพิ่มโอกาสและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการผลิตอินทผลัมชนิดรับประทานผลสด และยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอินผลัมพันธุ์ใหม่ ๆ ในประเทศไทยอีกด้วย   เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย : ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
การศึกษาแบบเปิด (open education) คืออะไร
การศึกษาแบบเปิด คือ ทรัพยากร เครื่องมือ และการปฏิบัติ ที่ไม่มีการกีดกันทางกฎหมาย การเงิน และเทคนิค และสามารถถูกใช้ แบ่งปัน และปรับอย่างสมบูรณ์ในสภาพแวดล้อมทางดิจิทัล การศึกษาแบบเปิดทำให้อินเทอร์เน็ตมีความสามารถสูงสุดในการทำให้การศึกษาสามารถจ่ายได้ เข้าถึงได้ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รากฐานของการศึกษาแบบเปิด คือ ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (Open Educational Resources, OER) ซึ่งเป็นการสอน การเรียนรู้ ทรัพยากรวิจัย ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายและไม่มีการกีดกันการเข้าถึง และยังมีการอนุญาตทางกฎหมายให้ใช้แบบเปิด โดยการอนุญาตใช้การอนุญาตแบบเปิด ที่ปล่อยให้ใครก็ได้ใช้ ปรับ และแบ่งปันทรัพยากรอย่างไม่มีค่าใช้จ่าย ที่เวลาไหนก็ได้และที่ไหนก็ได้ ทำไมใช้การศึกษาแบบเปิด 1. ราคาตำราเรียนไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การศึกษาแบบเปิดมีตำราเรียนให้ใช้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 2. นักศึกษาเรียนรู้มากขึ้นเมื่อเข้าถึงวัสดุทางการศึกษาที่มีคุณภาพ การศึกษาแบบเปิดให้วัสดุทางการศึกษาที่มีคุณภาพ 3. เทคโนโลยีทำให้เกิดการพัฒนาการสอนและการเรียนรู้อย่างมาก การศึกษาแบบเปิดทำให้การสอนและการเรียนรู้พัฒนา 4. การศึกษาที่ดีขึ้นหมายถึงอนาคตที่ดีขึ้น การศึกษาแบบเปิดทำให้การศึกษาถูกเข้าถึงได้มากขึ้นและการสอนและการเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่มา: SPARC. Open Education. Retrieved September 15, 2023, from https://sparcopen.org/open-education/
นานาสาระน่ารู้
 
การเข้าถึงแบบเปิด (open access) คืออะไร
การเข้าถึงแบบเปิด คือบทความวิจัยที่มีให้อย่างฟรี ทันที และออนไลน์ และสิทธิในการใช้บทความอย่างสมบูรณ์ในสภาพแวดล้อมทางดิจิทัล ยังมีความหมายได้อีก เช่น 1. การเข้าถึงแบบเปิดทำให้ใครก็ได้สามารถเข้าถึงและใช้ผลการวิจัย เพื่อเปลี่ยนจากแนวคิดเป็นอุตสาหกรรมและชีวิตที่ดีขึ้น 2. การเข้าถึงแบบเปิดเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนโดยทำให้ผลการวิจัยที่ได้รับทุนสามารถอ่านและต่อยอดโดยใครก็ได้ 3. การเข้าถึงแบบเปิดขยายจำนวนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในงานวิจัยจากสถาบันที่มีเงินมากพอที่จะจ่ายสำหรับสมัครสมาชิกใช้บริการวารสารไปยังใครก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ตไว้ใช้ 4. การเข้าถึงแบบเปิดหมายถึงมีผู้อ่านที่มากขึ้น มีผู้ร่วมมือที่มากขึ้น มีการอ้างอิงงานที่มากขึ้น และในที่สุดได้รับการยอมรับที่มากขึ้น ที่มา: SPARC. Open Access. Retrieved September 15, 2023, from https://sparcopen.org/open-access/
นานาสาระน่ารู้
 
การจัดการความรู้เริ่มต้นด้วยการไหลของความรู้ (Knowledge Flow)
การไหลของความรู้ คือการที่ความรู้ที่สำคัญที่สุดเคลื่อนย้ายทั่วทั้งองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ และไปยังคนที่ถูกต้องในเวลาที่ถูกต้อง เริ่มต้นเมื่อความรู้ใหม่เกิดขึ้น เครื่องมือการจัดการความรู้หรือแนวทาง ซึ่งไม่สามารถทำให้เกิดการไหลของความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ จะไม่สนับสนุนความสำเร็จของเป้าหมายของการจัดการความรู้และองค์กร กระบวนการไหลของความรู้ของ APQC (American Productivity and Quality Center) ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน พูดถึงวิธีที่ความรู้เคลื่อนย้ายทั่วทั้งองค์กร ได้แก่ 1. สร้าง (Create) การสร้างความรู้เกิดขึ้นทุกวันในแนวทางที่แตกต่างกันมาก เช่น การทดลองใหม่ แผนการปฏิบัติสำหรับลูกค้าใหม่ 2. ระบุ (Identify) ระบุความรู้ที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์และการปฏิบัติ เพื่อมุ่งไปที่ความรู้นั้น พนักงานแต่ละคนควรระบุความรู้เพื่อแบ่งปันในหลักสูตรของงาน 3. เก็บรวบรวม (Collect) เก็บความรู้ไว้ใน เช่น ฐานข้อมูล หรือ blog การเก็บรวบรวมสามารถเกิดขึ้นผ่านกิจกรรม ในเหตุการณ์ เช่น การประชุมในทีม หรืองานประจำ 4. ทบทวน (Review) ทบทวนและประเมินความรู้สำหรับความตรงประเด็น ความถูกต้อง และการใช้ ความรู้บางอย่างต้องการการทบทวนอย่างเป็นทางการโดยผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความรู้อื่น ๆ สามารถได้รับการทบทวนและจัดการอย่างมีประสิทธิภาพโดยชุมชนผู้ใช้ 5. แบ่งปัน (Share) แบ่งปันความรู้สู่คนอื่น มีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่มหรือการอภิปราย และหรือตอบคำถาม 6. เข้าถึง (Access) ส่งผ่านความรู้และหรือความชำนาญจากคนหนึ่งถึงคนหนึ่ง หรือจากคนหนึ่งถึงหลายคน 7. ใช้ (Use) ความรู้ถูกใช้ในรูปแบบปัจจุบันและประยุกต์ใช้กับอีกหนึ่งสถานการณ์ เพื่อแก้ปัญหา พัฒนากระบวนการ หรือตัดสินใจ ที่มา: Lynda Braksiek (August 30, 2023). Managing Knowledge Starts with Knowledge Flow. Retrieved September 19, 2023, from https://www.apqc.org/blog/managing-knowledge-starts-knowledge-flow
การจัดการความรู้ (KM)