ผลการค้นหา :
ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวง และบริษัททานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) พัฒนาฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ โดยผลงานนี้โดดเด่นใน 3 ด้านหลัก คือ ฟิล์มบางใส ต้านทานการเกิดฝ้า ช่วยยืดอายุสินค้าผักสลัดให้คงสภาพสดใหม่ในชั้นวางจำหน่ายจากเดิม 3 วัน เป็น 5 วัน มูลนิธิโครงการหลวงได้นำร่องใช้ฟิล์มกับบรรจุภัณฑ์ เมนูผักสลัดพร้อมทาน สำหรับจำหน่ายในร้านโครงการหลวงแล้ว
ผลงานการวิจัยนี้ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ทั้งด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าการเกษตร ทั้งในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความสำเร็จของโครงการวิจัยนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการผลิตให้แก่อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของตลาด นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้การวิจัยและพัฒนานี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
รายละเอียดเพิ่มเติม: เอ็มเทค สวทช. เปิดตัว ‘ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ’ ‘มูลนิธิโครงการหลวง’ นำร่องใช้จริงบรรจุเมนูผักสลัดพร้อมทาน ผู้บริโภคได้ 2 ต่อ ‘กินผักสดดีต่อสุขภาพ-หนุนบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อโลก’
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช.นำหน่วยงานพันธมิตรร่วมงานระดับโลก World Congress of Angel Investors 2022 ณ เมืองอันทาเลีย ประเทศตุรเคีย
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/nstda-participates-in-world-congress-of-angel-investors-wbaf-2022.html
(เมื่อวันที่ 24-26 ตุลาคม 2565) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) และ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) เดินทางเข้าร่วมงาน World Congress of Angel Investors นำโดย ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านพัฒนาบุคลากรเพื่อสร้างระบบนิเวศและเครือข่ายนักลงทุนระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กับ World Business Angels Investment Forum (WBAF) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจระยะเริ่มต้น
นอกจากนี้ ปีนี้ สวทช. สนช. และ ศลช. ได้ร่วมรับตำแหน่ง High Commissioner และ Senator เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนระบบนิเวศของทั้งนักลงทุนและสตาร์ตอัปให้แข็งแกร่งด้วย
การร่วมงานครั้งนี้ยังมีกิจกรรมการนำเสนอผลงานของสตาร์ตอัปจากหลากหลายประเทศพันธมิตร โดยในปีนี้ ศลช. ได้นำ บ.วิโนน่า ไบโอเทค เข้าร่วมนำเสนอผลงานบนเวที Global Fundraising Stage ด้วย นับเป็นเวทีระดับโลกที่มีนักลงทุนและสถาบันการลงทุนเข้าร่วมมากกว่า 41 ประเทศทั่วโลก
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย – คาร์กิลล์ เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์โปรตีนแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/new-cargill-innovation-center-opens-at-thailand-science-park.html
(26 ตุลาคม 2565) ณ อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์นวัตกรรมคาร์กิลล์ (Cargill Innovation Center) หรือ ศูนย์ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท คาร์กิลล์มีท (ไทยแลนด์) จำกัด ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยและหน่วยงานต่างๆ ในสังกัด สวทช.และพันธมิตร เพื่อส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่วิทยาการผลิต แปรรูปอาหาร และเทคโนโลยีด้านการเกษตรสมัยใหม่ โดยมี น.สพ.สนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยและ นางสาวชมพูนุช อนุศาสน์สิทธิกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เข้าร่วมพิธี
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทฯ เลือกอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งดูแลโดย สวทช. เป็นพื้นที่ตั้งศูนย์นวัตกรรมคาร์กิลล์ และเชื่อมั่นในประสบการณ์ของการเป็นผู้ผลิตรวมถึงจัดจำหน่ายอาหารและสินค้าเพื่อการเกษตร ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศกว่า 50 ปี และในต่างประเทศกว่า 157 ปี โดยมีการส่งออกไปกว่า 16 ประเทศทั่วโลก เมื่อรวมกับประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในการทำวิจัย ของ สวทช. ที่มีศูนย์วิจัยแห่งชาติ เช่น ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านของเกษตรและอาหาร ผนวกกับการเข้าถึงเครือข่ายพันธมิตรของทั้ง สวทช. และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จะทำให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นประโยชน์ และตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ นอกจากนี้การจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมฯ ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรม S-Curve ซึ่งเป็นนโยบายหลักเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรในประเทศไทย
นายวัชรพล ประสพเกียรติโภคา หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจคาร์กิลล์ประเทศไทยและกรรมการผู้จัดการธุรกิจโปรตีนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการจัดตั้งในครั้งนี้จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคยุคปัจจุบันในทิศทางที่ดีขึ้น เดิมบริษัทฯ เคยมีศูนย์ฯ อยู่ที่จังหวัดสระบุรีแต่ด้วยพื้นที่จำกัดและการเข้าถึงบุคลากรนั้นทำได้ยาก จึงเปลี่ยนมาจัดตั้งที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพื่อให้เข้าถึงบุคลากรที่มีความสามารถได้มากขึ้นและง่ายขึ้น ซึ่งภายในศูนย์ฯประกอบด้วย ห้อง Sensory & Kitchen Studio ที่นำข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคมาวิเคราะห์และพัฒนาสูตรอาหารโดยนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์การอาหาร โดยเน้นถึงความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก ห้อง Kitchen ที่ใช้พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีรสชาติที่หลากหลายและถูกปากผู้บริโภคมากขึ้น และห้อง Pilot line ที่นำขั้นตอนการผลิตมาย่อส่วนลงเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมฯ ถือเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ค้าของบริษัทประสบความสำเร็จในธุรกิจ สร้างความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้ ร่วมกับการใช้ประสบการณ์กว่า 157 ปีจากคาร์กิลล์ทั่วโลกในการยกระดับผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ทางบริษัทยังยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจร่วมกันกับเกษตรกร ชุมชน หน่วยงานของรัฐและลูกค้าเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้ตรงกับปณิธานของบริษัทที่ว่าเรื่องของการเติบโตด้วยวิถีปลอดภัย มีความรับผิดชอบ และยั่งยืน
นายธิติ ตวงสิทธิตานนท์ กรรมการผู้จัดการธุรกิจโปรตีนประจำประเทศไทย กล่าวว่า คาร์กิลล์ไทยแลนด์ ถือเป็นอันดับต้นของประเทศไทยที่ส่งออกไก่ปรุงสุกทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี อังกฤษ โปแลนด์ และแคนนาดา เป็นต้น สำหรับประเทศไทยบริษัทดำเนินเกี่ยวกับธุรกิจโปรตีนเมื่อประมาณ 32 ปีที่ผ่านมา มีการจัดตั้งโรงงานที่ผลิตที่แรกในจังหวัดสระบุรี และเริ่มขยายธุรกิจไปที่จังหวัดนครราชสีมา และต่อมาได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 แบรนด์ ได้แก่ Sun valley ผลิตภัณฑ์ไก่ปรุงสุกในรูปแบบต่างๆ เช่น นักเก็ตไก่ ไก่ป๊อป ชิกเก้นสติ๊ก และปีกไก่กรอบ ที่วางจำหน่ายตามห้าง modern trade เช่น Super market Lotus Top market รวมถึงช่องทางออนไลน์ อย่าง Facebook Lazada Shopee และแบรนด์ PlantEver ซึ่งเป็นโปรตีนทางเลือก หรือ โปรตีนจากพืช ซึ่งการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมฯ นี้จะช่วยทำให้บริษัทเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้มากยิ่งขึ้น และช่วยต่อยอดได้ พัฒนาผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น
โดยในภูมิภาคเอเชีย มีการจัดตั้ง Cargill Innovation Center แล้ว 4 แห่ง ได้แก่ สิงค์โปร์ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง คุรุคราม (Gurugram) และล่าสุดที่ประเทศไทย ซึ่งนับเป็นศูนย์นวัตกรรมแห่งที่ 5 ของเอเชีย เพื่อสานต่อเป้าหมายหลักในการเป็นผู้ผลิตอาหารและสินค้าเกษตรที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค พร้อมส่งมอบไอเดียนวัตกรรมผ่านผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีความปลอดภัย มีความรับผิดชอบในทุกกระบวนการผลิตและสร้างความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้หน่วยงานที่สนใจจะมีความร่วมมือกับคาร์กิลล์ สามารถติดต่ออุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 025647000 ต่อ 5555 หรือ อีเมล tspconnex@nstda.or.th
////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมพัฒนาทักษะ วิทยาการคำนวณ ให้คุณครูในโรงเรียนเครือข่ายมูลนิธิชัยพัฒนา ในรูปแบบออนไลน์
วันที่ 17 ตุลาคม 2565 ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. จัดกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเฉพาะทาง หัวข้อ วิทยาการคำนวณ ตามแนวทางโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย รูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Zoom โดยมีคุณครูผู้สอนระดับชั้นปฐมวัยและประถมศึกษาปีที่ 1-3 จากโรงเรียนอนุบาลไผทวิทยา (มูลนิธิชัยพัฒนา) และโรงเรียนชัยพิทยพัฒน์ มูลนิธิชัยพัฒนา จำนวน 38 คน เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมทราบถึงแนวทางการจัดการเรียนวิทยาการคำนวณ รูปแบบ Unplugged และตัวอย่างกิจกรรมที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามแนวทางโครงการฯเริ่มต้นกิจกรรมโดย ดร.ปวริศา บุญรอด ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลไผทวิทยา (มูลนิธิชัยพัฒนา) กล่าวเปิดกิจกรรมและเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้กิจกรรมวิทยาการคำนวณเพื่อให้ครูนำมาประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ในฐานะวิทยากรหลักอาวุโส โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย นำทีมวิทยากรหลักโครงการฯ ในเครือข่าย สวทช. บรรยายและนำคุณครูเรียนรู้แนวทางการจัดการเรียนการสอนวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย โดยได้กล่าวถึงเป้าหมายการจัดการเรียนการสอนที่สำคัญคือ 1) การให้ความรู้พื้นฐานที่ถูกต้อง 2) การพัฒนาทักษะที่จำเป็น 3)ทัศนคติ แรงบันดาลใจ การค้นพบตนเอง และ 4) การลงมือปฏิบัติและใช้ประโยชน์ โดยใช้เครื่องมือการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ STEAM education ผสมผสานกับ วิทยาการคำนวณ ผ่านกิจกรรมและเกมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาให้เด็กคิดวิเคราะห์ได้ สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาจากข้อมูลได้ รู้เท่าทันเทคโนโลยี และเติบโตเป็นผู้สร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคมต่อไป ตัวอย่างกิจกรรมเช่น การเรียนรู้การเรียงลำดับข้อมูลแบบฟอง (bubble sort) กิจกรรมการฝึกทักษะ Critical thinking ผ่านเกมโอเอ็กซ์และปฏิกิริยากรดเบส เรียนรู้อัลกอริทึมผ่านการทำทีละอย่าง พับจรวดหรรษา ถอดรหัสข้อความลับจากเพื่อนต่างดาว กิจกรรมลองเป็นหุ่นยนต์ดูซักครั้ง ภาพที่เกิดจากชิ้นส่วนมากมาย และปิดท้ายด้วย กิจกรรมปราศจากข้อความ
จากนั้น ทีมวิทยากรแนะนำการจัดกิจกรรมวิทยาการคำนวณสำหรับเด็ก โดยจะเน้นให้เด็กได้ เลือก หยิบ จับ สัมผัส บทบาทสมมุติ โดยทบทวนตามประสบการณ์เดิมและเพิ่มทักษะวิทยาการคำนวณ เปิดโอกาสให้นำเสนอ แสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกับเพื่อน ๆ จากนั้นชวนครูสะท้อนคิด แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน อย่างไรก็ตามคุณครูที่เข้าร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่ ให้ความคิดเห็นว่า การอบรมในวันนี้ทำให้ได้เรียนรู้ตัวอย่างกิจกรรมที่หลากหลายได้ลงมือปฏิบัติจริง กิจกรรมสนุกมากไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะกับระดับชั้นของผู้เรียนและคุณครูคิดว่าสามารถนำกิจกรรมที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนได้จริง
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘ทุเรียนดูดซับกลิ่น’ อัปไซเคิลจากไม้ไก่ปิ้งและเศษผ้าเหลือทิ้งจากชุมชน
ขึ้นชื่อว่า ‘ทุเรียน’ ไม่ว่ารสชาติหวานมันกลมกล่อมแค่ไหน ไม่วายต้องส่ายหน้าเรื่องกลิ่นที่ฉุนรุนแรง แต่สำหรับผลิตภัณฑ์ ‘ถ่านคาร์บอนกัมมันต์รูปทรงทุเรียนภูเขาไฟ’ นอกจากไม่มีกลิ่นกวนใจแล้ว ยังช่วย ‘ดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์และสารระเหยต่างๆ’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ของที่ระลึกรูปแบบใหม่ของชาวทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ไม่เพียงโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ของทุเรียนภูเขาไฟ ผลไม้ GI ของจังหวัด แต่ยังแฝงไปด้วย ‘เทคโนโลยีและนวัตกรรม’ ที่นำมาใช้แปรรูปของเหลือทิ้งในชุมชนให้กลับมามีมูลค่าและช่วยสร้างรายได้อีกครั้ง ผลงานการพัฒนาภายใต้ความร่วมมือของระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
[caption id="attachment_37457" align="aligncenter" width="500"] ดร.พงษ์ธนวัฒน์ เข็มทอง กลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาและการคำนวณระดับนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.พงษ์ธนวัฒน์ เข็มทอง กลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาและการคำนวณระดับนาโน นาโนเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการพัฒนา ‘ผลิตภัณฑ์ถ่านคาร์บอนกัมมันต์ดูดซับกลิ่นที่พัฒนาเป็นรูปทรงทุเรียน’ มาจากทางมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษมีแนวคิดในการจัดการวัสดุเหลือทิ้งในชุมชน และสนใจนำเศษชายผ้า และของเหลือทิ้งอื่นๆ มาแปรรูปเป็นของที่ระลึก โดยเน้นชูอัตลักษณ์เรื่องทุเรียนภูเขาไฟ เนื่องจากเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งในส่วนของ ‘ปูนปั้นรูปทรงเปลือกทุเรียน’ ออกแบบและพัฒนาโดยทีมนักศึกษาจากคณะศิลปะศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ผลิตจากพลาสติกเหลือทิ้งร่วมกับทราย ด้วย ‘เครื่องอัดรีดพลาสติกขนาดเล็ก’ สำหรับใช้ในชุมชน
ในส่วนของ ‘พูทุเรียน’ มีการออกแบบนำเศษผ้าทอศรีลำดวนที่เหลือใช้จากชุมชนมาตัดเย็บ ส่วนภายในบรรจุ ‘ถ่านคาร์บอนกัมมันต์เคลือบสารซิลเวอร์นาโน’ นวัตกรรมที่ผลิตจากไม้ไก่ย่างเหลือทิ้ง
[caption id="attachment_37458" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์ถ่านคาร์บอนกัมมันต์ดูดซับกลิ่นที่พัฒนาเป็นรูปทรงทุเรียน[/caption]
ดร.พงษ์ธนวัฒน์ เล่าว่า เริ่มแรกทางมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษมองหาวัสดุที่จะบรรจุภายในผ้าที่ตัดเย็บเป็นรูปทรงพูทุเรียน ทีมวิจัยจึงมองไปที่ถ่านคาร์บอนกัมมันต์ เพราะว่ามีต้นทุนพร้อมทั้งในเรื่อง ‘องค์ความรู้’ และ ‘วัตถุดิบ’ เนื่องจากนาโนเทคมีความเชี่ยวชาญและดำเนินการวิจัยพัฒนาวัสดุถ่านคาร์บอนกัมมันต์มาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จังหวัดศรีสะเกษมีสินค้าขึ้นชื่อคือ ไก่ย่างกันทรารมย์และไก่ย่างไม้มะดัน ห้วยทับทัน ทำให้มีเศษไม้มะดันและไม่ไผ่เหลือทิ้งจำนวนมาก
[caption id="attachment_37459" align="aligncenter" width="700"] ถ่านคาร์บอนกัมมันต์จากไม้ไก่ปิ้ง[/caption]
“ทีมวิจัยนำไม้ไผ่และไม้มะดันมาผ่านกระบวนการเผาให้เป็นถ่านคาร์บอนกัมมันต์ ภายใต้อุณหภูมิที่เหมาะสม รวมทั้งเติมนาโนเทคโนโลยีด้วยการสังเคราะห์อนุภาคซิลเวอร์นาโน (เทคโนโลยีการสังเคราะห์เงินหรือซิลเวอร์ (Silver) ให้มีขนาดเล็กในระดับนาโนเมตร) มาเทลงบนถ่านคาร์บอนกัมมันต์ ทำให้อนุภาคซิลเวอร์นาโนกระจายตัวไปยึดเกาะอยู่ตามรูพรุนบนผิวของถ่าน ช่วยเพิ่มสมบัติพิเศษของถ่านคาร์บอนกัมมันต์จากที่ดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้ดีแล้ว ยังกำจัดและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และจุลินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ผู้ใช้สามารถนำผลิตภัณฑ์ถ่านคาร์บอนกัมมันต์เคลือบสารซิลเวอร์นาโนไปใส่ไว้ในรถยนต์ ห้องน้ำ หรือห้องทำงาน”
ปัจจุบันทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. เริ่มถ่ายทอดเทคโนโลยีในเชิงสาธารณประโยชน์ให้แก่ชุมชนที่สนใจ เพื่อนำไปใช้ต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขณะเดียวกันยังเตรียมขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถ่านคาร์บอนกัมมันต์สู่ระดับอุตสาหกรรม ภายใต้ทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
ดร.พงษ์ธนวัฒน์ เล่าว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้รับทุนจาก บพข. ในการดำเนินงานร่วมกับบริษัทเอกชนผู้ผลิตถ่านคาร์บอนกัมมันต์รายใหญ่ของประเทศ เพื่อขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถ่านคาร์บอนกัมมันต์จากระดับห้องปฏิบัติการสู่การผลิตในโรงงานต้นแบบ (Pilot Scale) เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ถ่านคาร์บอนกัมมันต์เชิงพาณิชย์ที่ผลิตได้เองในประเทศไทย เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งหากผลิตได้สำเร็จจะช่วยให้บริษัทเอกชนและภาคอุตสาหกรรมมีวัตถุดิบถ่านคาร์บอนกัมมันต์สำหรับนำไปใช้ต่อยอดในการพัฒนาสินค้าต่างๆ เช่น ไส้กรองน้ำ สารดักจับโลหะ การบำบัดน้ำเสีย การผลิตขั้วไฟฟ้าในแบตเตอรี่ ซึ่งครอบคลุมทั้งในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี พลังงาน และยา
“ส่วนชุมชนหรือหน่วยงานต่างๆ ที่สนใจสามารถติดต่อรับถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ ดังเช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษร่วมกับนาโนเทคถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ชาวบ้านในพื้นที่ผลิตทุเรียนถ่านคาร์บอนกัมมันต์ดูดซับกลิ่นเพื่อจำหน่ายเป็นของที่ระลึก ซึ่งเทคโนโลยีการเผาถ่านคาร์บอนกัมมันต์ และการสังเคราะห์อนุภาคซิลเวอร์นาโน ทีมวิจัยสามารถออกแบบประยุกต์วิธีการผลิตให้ทำได้ง่าย ไม่ซับซ้อน”
นับได้ว่าเป็นการบูรณาการองค์ความรู้และนวัตกรรมของหน่วยงานภาครัฐที่เข้ามาช่วยส่งเสริมขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับอุตสาหกรรมและชุมชน ที่สำคัญยังเป็นการนำวัสดุเหลือทิ้งของชุมชนมาเพิ่มมูลค่าสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ช่วยสร้างรายได้และหนุนเสริมอัตลักษณ์อันเข้มแข็งให้แก่ท้องถิ่น ตามแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งหวังให้ชุมชนเกิดการพึ่งพาตนเอง ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
เรียบเรียงโดย : วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. มอบสื่อ STEAM with GEARS ให้โรงเรียน เตรียมเสริมทักษะสตีมแก่เยาวชนรับเปิดเทอมนี้
For English-version news, please visit : STEAM with GEARS promotes STEAM education among primary school teachers
26 ตุลาคม 2565 ณ ห้อง SD-601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรม“การจัดการเรียนรู้ ” และส่งมอบสื่อ STEAM with GEARS แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 15 แห่ง
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ให้ความสำคัญกับการนำองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งผลงานวิจัย มาออกแบบผลิตภัณฑ์สื่อการเรียนรู้และของเล่นวิทยาศาสตร์ หาผู้ผลิตที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมในการนำไปใช้ในกิจกรรม รวมทั้งการหาพันธมิตรทางด้านการผลิตหรือการตลาด เพื่อให้ผลงานนั้นเป็นสินค้าที่วางจำหน่ายได้จริง และเกิดประสิทธิผลสูงสุดของการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้นั้น
โดยสื่อ Gearphun จำนวน 120 ชุด สวทช. ได้รับมอบจากบริษัท Thinklplay จำกัด ในงาน Bett Asia 2022 เพื่อนำมาใช้เป็นสื่อถ่ายทอดความรู้ด้านสะเต็มให้กับบุคลากรครูระดับประถมในกิจกรรม “การจัดการเรียนรู้ STEAM with Gears” โดย สวทช. มุ่งหวังว่าความรู้และวิธีการเสริมทักษะ STEAM ด้วยสื่อ Gearphun ที่แต่ละโรงเรียนได้รับจากการสัมมนานี้จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อการเรียนการสอนในห้องเรียน เพื่อช่วยให้เด็กๆ ได้รับความรู้คู่ความสนุกจากการเรียนในห้องเรียน
“ที่ผ่านมา สวทช. ได้มีจัดกิจกรรมหลายรูปแบบ อาทิ ค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กและเยาวชน ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับครูหรือผู้สอน การผลิตหนังสือและสื่อการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ หนังสือภาพ นิทาน หนังสืออ่านเล่น ตำรา แผ่นพับ ฯลฯ ซึ่งการพัฒนาและผลิตสื่อการเรียนรู้ ของเล่นวิทยาศาสตร์ โดยมีผลงานที่โดดเด่นได้รับรางวัลมาแล้ว หลายผลงาน บอร์ดเกมดิเอ็กซ์โวลูชัน (เข้ารอบสุดท้ายของการประกวดรางวัล “ALPSP Awards for Innovation in Publishing 2015” ณ สหราชอาณาจักร เมื่อเดือนกันยายน 2558 และรางวัลทรัพย์สินทางปัญญาดีเด่น ประเภทสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2563 เลนส์มิวอาย ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัย พสวท. รุ่นใหม่” ประจำปี 2562 ประเภทนวัตกรรมดีเยี่ยม
กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ สวทช. ใช้องค์ความรู้และบุคลากรของ สวทช. ช่วยกันพัฒนาขึ้นมา และพยายามผลักดันไปสู่กลุ่มเป้าหมาย ด้วยการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรต่าง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ โรงเรียน สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน มูลนิธิต่าง ๆ เพื่อส่งมอบผลงานให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย และบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุดต่อเด็ก เยาวชน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย” รองผู้อำนวยการ สวทช. ระบุ
ภายในงานมีการจัดกิจกรรมบรรยายในหัวข้อ“แนวทางการออกแบบและจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา” โดย ดร.ฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. และ “ฟันเฟือง เรื่องน่ารู้และคุณประโยชน์รอบตัวเรา” โดย ดร.ภัทรพงศ์ ชูปัญญา นักวิจัยกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ร่วมบรรยาย
ข่าวประชาสัมพันธ์
รับสมัครหลักสูตรออนไลน์ “รู้จริงเทคโนโลยีโรงปลูกพืชแนวตั้งใน 2 วัน” (Master ing Indoor Vertical Farming in 2 Days) รุ่นที่ 7
🚩สมัครด่วน!!! หลักสูตรออนไลน์ด้าน Indoor Vertical Farming ที่มีผู้สนใจเข้าร่วมอบรมมากที่สุด
"รู้จริงเทคโนโลยีโรงปลูกพืชแนวตั้งใน 2 วัน" (Mastering Indoor Vertical Farming in 2 Days) รุ่นที่ 7 🍀☘️🌿
.
อบรมระหว่างวันที่ 21 - 22 พฤศจิกายน 2565
เวลา 09.00 - 16.00 น.
รูปแบบการอบรม: ถ่ายทอดสดระบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom
.
หลักสูตรที่จะทำให้คุณเข้าใจการปลูกพืชแนวตั้ง (Indoor Vertical Farming)
ทั้งในด้านโรงเรือน การปลูก การจัดการดำเนินงาน และกุญแจสู่ความสำเร็จในธุรกิจ
.
ค่าลงทะเบียนท่านละ 3,500 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
สมัครด่วน!!! รับจำนวนจำกัด เพียง 40 ท่าน เท่านั้นค่ะ
ลงทะเบียนออนไลน์ที่
https://www.career4future.com/cfa/customer/index.php
.
รายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.career4future.com/vf2
.
สอบถามข้อมูลที่
คุณเมธภัค (มิ้ม) โทร. 085-211-9709
คุณสุรีย์ (โบว์) โทร. 097-297-2563
ปฏิทินกิจกรรม
ขอเชิญร่วมเสวนาแบบ Hybrid “ชุมชนสูงวัยไร้รอยต่อความเป็นอยู่ที่ดีด้วยเทคโนโลยี” (Wellness for Aging Community by Technology)
เตรียมพร้อม!!! รับมือกับการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
.
สวทช. ร่วมกับสมาคมการค้าและการบริการสุขภาพผู้สูงอายุ และสมาคมการส่งเสริมสุขภาพไทย เตรียมพร้อมรับมือกับการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ อีกทั้งลดภาระของผู้ดูแล ที่มีแนวโน้มที่จะขาดแคลนดังเช่นในหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น และในสภาวการณ์ปัจจุบันที่ครอบครัวมีขนาดเล็ก ขาดผู้ดูแล การสร้างชุมชนสังคมผู้สูงอายุในการดูแลซึ่งกันและกันอาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ หรือสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ในอนาคต
.
พบกับการเสวนาแบบ Hybrid “ชุมชนสูงวัยไร้รอยต่อความเป็นอยู่ที่ดีด้วยเทคโนโลยี” (Wellness for Aging Community by Technology) วันที่ 28 ตุลาคม 2565 เวลา 13.00-14.15 น. ณ ฮอลล์ 7 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
.
แลกเปลี่ยนแนวคิดการสร้างชุมชนสังคมผู้สูงอายุตามบริบทของสังคมไทย
สร้างเครือข่ายชุมชนการส่งเสริมสุขภาพ การดูแลซึ่งกันและกัน
เติมเต็มความเป็นอยู่ที่ดีทั้งด้านจิตใจและร่างกายของผู้สูงอายุ
นำความรู้ด้านเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือช่วยในการดูแลและอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุในชุมชน
แลกเปลี่ยนข้อมูลจากชุมชนต้นแบบประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่เป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่แล้ว
.
วิทยากร 3 ท่าน ประกอบด้วย
1. รศ. ทพญ.ดร.พัชราวรรณ ศรีศิลปนันทน์ อุปนายกสมาคพฤฒาวิทยาและเวชศาสตร์ผู้สูงอายุไทย ในบทบาทผู้เชี่ยวชาญผู้สูงอายุยุคใหม่
2. ดร. ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี (Well-living Design Research Team) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในบทบาทของนักวิจัยพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ
3. คุณ ธนากร พรหมยศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอเพย์ อิท ฟอร์เวิร์ด จำกัด (YoungHappy) ในบทบาทผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างชุมชนผู้สูงอายุ
.
ผู้ดำเนินรายการ: ดร. นพัฐกานต์ เกิดแสง เลขาธิการ สมาคมการส่งเสริมสุขภาพไทย และกรรมการ สมาคมการค้าและการบริการสุขภาพผู้สูงอายุ
.
ลงทะเบียนร่วมงานที่ https://bit.ly/3Fi0sVu
ปฏิทินกิจกรรม
Brain-Computer Interface (BCI) เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์
เมื่อสมองมนุษย์เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ แค่คิดก็ต่อติดทุกอย่าง
เดือนกรกฎาคม 2019 อีลอน มัสก์ (Elon Musk) สร้างความฮือฮาไปทั้งโลก เมื่อประกาศว่าบริษัทนิวรัลลิงก์ (Neuralink) ที่เขาตั้งขึ้น จะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่เรียกว่า BCI อย่างจำเพาะ และตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้สมองมนุษย์เชื่อมต่อและสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรงหากนึกไม่ออกว่าการเชื่อมต่อที่อีลอน มัสก์ พูดถึงนั้นเป็นอย่างไร... ลองนึกภาพการสั่งงานเครื่องจักรต่างๆ หรือแม้แต่เขียนโพสต์โซเชียลมีเดีย โดยอาศัยแค่การคิดเท่านั้น เกริ่นมาแค่นี้ก็เริ่ม “ว้าว” แล้ว เราไปดูกันดีกว่าจริงๆ แล้ว เจ้าเทคโนโลยี BCI นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วความว้าวนี้มีประโยชน์อะไรกับชีวิตเราบ้าง
งานวิจัย BCI หรือ Brain-Computer Interface มีอีกชื่อหนึ่งว่า Brain-Machine Interface มีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส หลังจากนั้นมาก็มีการทดลองในสัตว์ทดลอง เช่น หนู อย่างต่อเนื่องและแพร่หลาย จนมีการทดลองในผู้ป่วยราวกลางทศวรรษ 1990
การทำ BCI แบบดั้งเดิมต้องมีการฝัง “ตัววัดสัญญาณ” หรือเซนเซอร์ที่ผิวสมองโดยตรง จึงทำการทดลองและนำมาใช้งานได้ยาก ต่อมามีการพัฒนาให้มีลักษณะ Non-invasive พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นอุปกรณ์/เครื่องมือที่อยู่นอกร่างกาย ไม่ต้องเจาะ ไม่ต้องฝัง ไม่ต้องใส่ไปในร่างกาย จึงเริ่มมีการใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางมากขึ้น
การทำงานของ BCI ต้องอาศัยฮาร์ดแวร์คือ ตัวเซนเซอร์ที่ติดอยู่กับอุปกรณ์สวมศีรษะ ซึ่งทำหน้าที่คอยรับสัญญาณไฟฟ้าจากคลื่นสมอง และซอฟต์แวร์ที่จะช่วยอ่านและวิเคราะห์คลื่นสมองของผู้ใช้งาน แล้วสั่งการไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งตรงส่วนนี้แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีเทคโนโลยีอย่าง AI และ Machine Learning มาช่วย
ปัจจุบันมีการนำ BCI ไปใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสุขภาพและการแพทย์ มีการนำไปใช้กับผู้ป่วยที่เป็นอัมพาต ให้บังคับสั่งการให้แขนหรือนิ้วของหุ่นยนต์ขยับได้, ช่วยผู้ป่วยที่มีอาการล็อกอิน (Locked-in) ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวอวัยวะได้เลยและสื่อสารกับผู้อื่นไม่ได้ ให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ และใช้เพื่อการดูแลผู้สูงอายุหรือสุขภาวะของคนทั่วไป
ด้านสุขภาวะทางจิตใจ การวัดสัญญาณไฟฟ้าสมองโดยไม่ต้องเจาะกะโหลกเพื่อฝังขั้วไฟฟ้า ยังนำไปใช้วัดสภาวะทางจิตใจและอารมณ์ เพื่อทำให้ผ่อนคลายและเกิดสมาธิได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้เทคโนโลยี BCI ยังประยุกต์ใช้กับวงการเกม หรือแม้แต่เมตาเวิร์ส ที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ประกาศว่าเป็นเป้าหมายสำคัญของเฟซบุ๊กในอนาคต ได้ด้วยเช่นกัน
สำหรับประเทศไทยนั้น บริษัท BrainiFit จำกัด ที่เป็น NSTDA Startup จากเนคเทค สวทช. ใช้เทคโนโลยี BCI สำหรับการออกกำลังสมอง โดยใช้คลื่นสมองสั่งการควบคุมการเล่นเกมเพื่อฝึกสมาธิหรือความจำ นอกจากนี้ สวทช. ยังมีงานวิจัยอื่นๆ อีก เช่น การใช้เทคโนโลยี BCI เพื่อการฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง หรือใช้เทคโนโลยี BCI สำหรับการควบคุมชุดโครงสร้างเสริมสมรรถภาพร่างกายที่เรียกว่า Exoskeleton อีกด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
สวทช. ประกาศผู้ได้รับรางวัล “เครื่องพิมพ์สามมิติ” โครงการสื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โคมไฟลูกบาศก์ จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
25 ตุลาคม 2565 ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) เปิดเผยว่า ตามที่ โครงการสื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โคมไฟลูกบาศก์ จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่ดำเนินโครงการโดยบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนโรงเรียนสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านเครือข่ายกิจกรรมเพื่อทำการขยายผลการใช้สื่อและสนับสนุนให้โรงเรียนที่มีความสนใจนำชุดสื่อดังกล่าวไปใช้จริงในการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายถึงมัธยมศึกษาตอนต้น โดยให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ ได้ฝึกคิดอย่างเป็นระบบ ลงมือวางแผนและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ผ่านบทเรียนออนไลน์
เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ให้แก่นักเรียน ทั้งนี้โครงการฯ ได้พิจารณาจากผลงาน คลิปวิดีโอ รวมถึงการนำเสนอผลงานของผู้เข้าร่วมโครงการ ฯ มีโรงเรียนสนใจส่งผลงานเข้าแข่งขันเพื่อรับรางวัลเครื่องพิมพ์ 3 มิติ จำนวน 11 โรงเรียน แบ่งการแข่งขันแบ่งเป็น 2 รอบ รอบคัดเลือกเป็นการส่งผลงานการออกแบบโมเดล 3 มิติ พร้อมคลิปอธิบายรายละเอียดประกอบผลงานการออกแบบ และรอบตัดสินเป็นการนำเสนอผลงานการออกแบบต่อคณะกรรมการ ซึ่งผลการประกวด มีโรงเรียนชนะการประกวดได้รับรางวัล จำนวน 5 โรงเรียน ได้แก่
รางวัลชนะเลิศ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ผลงาน “Pyramid Lamp” รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 โรงเรียนบรบือ ผลงาน “Magic Dice" ลูกเต๋ามหัศจรรย์ และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 โรงเรียนจิตรลดา ผลงาน “เครื่องฉายโฮโลเเกรม ทรง 12 หน้า” พร้อมด้วยรางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ผลงาน “โคมไฟเคออส” และโรงเรียนคลองสอง (เสวตสมบูรณ์อุปถัมภ์) ผลงาน “LED Farm”
“ในโอกาสนี้ขอแสดงความยินดีกับโรงเรียนที่ชนะการประกวดในครั้งนี้ และขอให้การส่งมอบเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียนที่สนใจงานในด้านนี้ และขอให้ครูทุกท่านช่วยกันดูแลและพัฒนาเด็กนักเรียนของตัวเองให้มีศักยภาพต่อไป”
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้โครงการดังกล่าว สวทช. ได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย และได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท XYZPrinting (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ สวทช. จึงได้ดำเนินโครงการสื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โคมไฟลูกบาศก์จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ โดยได้ร่วมมือกับอาจารย์อรรถวุฒิ วงศ์ประดิษฐ์ อาจารย์จากภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พัฒนาชุดสื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โคมไฟแถบแสง LED ทรงลูกบาศก์ จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งชุดสื่อดังกล่าว ใช้การพิมพ์จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ และดำเนินการทำชิ้นงานที่ห้อง FabLab บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร พร้อมจัดทำคลิปการสอนเกี่ยวกับชุดสื่อดังกล่าวเป็นบทเรียนออนไลน์ และได้ประชาสัมพันธ์เปิดรับสมัครโรงเรียนที่สนใจรับชุดสื่อดังกล่าว ไปใช้ในการจัดการเรียน การสอนที่โรงเรียน ซึ่งมีโรงเรียนสนใจขอรับสื่อไปใช้จำนวน 189 โรงเรียน
อนึ่งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ดำเนินงานโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย ซึ่งได้รับอนุมัติงบประมาณสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อภาคสังคมอย่างกว้างขวาง (Big Rock Project) โดย สวทช. ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย 10 แห่ง จัดตั้งโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) ขึ้นในสถานศึกษา จำนวน 150 แห่ง และที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เพื่อเป็นสถานที่ฝึกทักษะการเป็นนักประดิษฐ์ และการสร้างนวัตกรรมในสถานศึกษา ทั้งนี้เพื่อการสานต่อกิจกรรมโครงการ สวทช. โดยบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร จึงได้ดำเนินงานโครงการสื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โคมไฟลูกบาศก์จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติเพื่อให้ครูนักเรียนและผู้สนใจได้เข้าถึงการใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่จะช่วยเปลี่ยนไอเดียสู่ต้นแบบผลิตภัณฑ์จริง
ข่าวประชาสัมพันธ์
รับสมัครอบรมหลักสูตร “เลือกใช้สถิติและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรให้ตอบโจทย์งานวิจัย”
พร้อมกันหรือยัง 1 ปีเปิดแค่ครั้งเดียว !!
******** รับแค่ 80 คน เท่านั้น ********
กับ หลักสูตร "เลือกใช้สถิติและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรให้ตอบโจทย์งานวิจัย"
จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 16 ธันวาคม 2565 เวลา 8.30-16.30 น.
ณ ห้องประชุม SD-601 ชั้น 6 อาคารสราญวิทย์
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และผ่านระบบ Cisco WebEx
เพราะ "สถิติ" เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญต่อกระบวนการทำวิจัยเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การออกแบบการทดลอง การวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนการนำเสนอและแปลผลข้อมูล ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยความรู้ทางสถิติทั้งสิ้น การมีความรู้ทางสถิติจึงเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญสำหรับนักวิจัย เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่มีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ สอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่ดี และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ค่าลงทะเบียนท่านละ 2,500 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
ลงทะเบียนมาได้เลย ผ่าน Link นี้
https://www.career4future.com/cfa/index.php?crsgen=8225
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.career4future.com/stat
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 095-764-9803 อริสรา
ปฏิทินกิจกรรม
“ดร.นำชัย” ผอ.ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อฯ สวทช. คว้ารางวัลนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ Mahidol Science Communicator Award 2022
วันที่ 21 ต.ค. 2565 ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พญาไท กรุงเทพฯ ในงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ครบรอบปีที่ 64 มีพิธีมอบรางวัลนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ประจำปี 2565 หรือ Mahidol Science Communicator Award 2022 เป็นรางวัลที่มอบให้แก่บุคคลที่มีผลงานการสื่อสารวิทยาศาสตร์ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ โดยในปีนี้ ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับรางวัลนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ประจำปี 2565 ประเภทบุคคล รับมอบโล่รางวัลจาก รองศาสตราจารย์ ดร.พลังพล คงเสรี คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศศิวิมล แสวงผล รองคณบดีฝ่ายกายภาพและสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้แทนจาก บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนรางวัล
ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. กล่าวขอบคุณคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้มอบรางวัล Mahidol Science Communicator Award 2022 อันทรงเกียรติในวันนี้ พร้อมระบุว่า การสื่อสารวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยมีความสำคัญ เพราะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วต่างมีความเข้มแข็งในความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สำคัญสามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตและเปลี่ยนโลกได้ ซึ่งการจะเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ คนในสังคมนั้นๆ จะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่ดีพอ และค้นหาความจริงด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การได้รับรางวัลในครั้งนี้ถือเป็นเกียรติยศและเป็นกำลังใจให้มุ่งทำงานสื่อสารด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสังคมต่อไป
สำหรับ ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ มีผลงานโดดเด่นด้านการสื่อสารวิทยาศาสตร์มากมาย อาทิ ผลงานบทความด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลายร้อยบทความ ปัจจุบันมีคอลัมน์ประจำในนิตยสาร “สารคดี” และแฟนเพจ The101.world และ The Potential นำเสนอข้อมูลการค้นพบใหม่ๆ ด้านวิทยาศาสตร์ให้ผู้อ่านที่เป็นคนทั่วไปในวงกว้าง มีหนังสือวิทยาศาสตร์ที่แปลและเรียบเรียงเองมากกว่า 40 เล่ม เน้นการเชื่อมโยงความรู้วิทยาศาสตร์เข้ากับชีวิตประจำวัน และเผยแพร่หลักคิดสำคัญต่างๆ ด้านวิทยาศาสตร์
นอกจากนี้มีผลงานเขียนและดูแลทีมเขียนบทเอนิเมชั่นสำหรับรายการ “บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย” ซึ่งร่วมมือกับ Thai PBS และสำนักพิมพ์ นานมีบุ๊กส์ โดยรายการได้รับรางวัลเมขลา ประเภทเอนิเมชั่นในปี 2555 อีกทั้งยังเป็นวิทยากรด้านการสื่อสารวิทยาศาสตร์ให้กับหลายหน่วยงาน ดูแลการจัดทำข้อมูล อินโฟกราฟิก และเขียนเนื้อหางานวิจัยและความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ต่างๆ ให้กับ สวทช. เพื่อเผยแพร่แก่ประชาชนทั่วไป
ทั้งนี้ภายในงานยังมีการมอบรางวัล Mahidol Science Communicator Award 2022 อีก 2 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลองค์กรสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้แก่ Mahidol Channel และรางวัลนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ดาวรุ่ง ได้แก่ เว็บไซต์ SPACETH.CO
ข่าวประชาสัมพันธ์


