หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เปิดความก้าวหน้างานวิจัยนานาชาติ ผนึกกำลังช่วยหยุดยั้งโควิด-19
  โรคโควิด-19 เป็นโจทย์ปัญหาใหญ่ที่ท้าทายคนทั้งโลก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตระหนักในความสำคัญของการใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อรับมือโรคระบาดใหญ่เช่นนี้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงได้จัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ International Webinar on COVID-19 ขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีสู้โรคโควิด-19 ของนานาชาติ โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับโลกและนักวิจัยจากไบโอเทค สวทช. ร่วมเป็นผู้บรรยาย ภายในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (17th NSTDA Annual Conference: NAC2022) ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG” ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา   เบื้องหลังความสำเร็จวัคซีน mRNA [caption id="attachment_31352" align="aligncenter" width="350"] ดร.พีเตอร์ คุลลิส (Dr. Pieter Cullis)[/caption]   ดร.พีเตอร์ คุลลิส (Dr. Pieter Cullis) ศาสตราจารย์ด้านชีวเคมีและอณูชีววิทยา (Molecular Biology) จากศูนย์วิทยาศาสตร์ชีวิต (Life Science Centre) เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์นาโน (Nanomedicine) กล่าวถึงการทำงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนา LNP (Lipid Nanoparticle) หรืออนุภาคระดับนาโนที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ เพื่อพัฒนาระบบส่งยาจำพวกกรดนิวคลีอิกไปยังอวัยวะเป้าหมายและเข้าสู่เซลล์ชนิดที่จำเพาะ   การสร้าง LNP ต้องใช้ไขมันที่มีประจุบวก ทว่าในธรรมชาติมีเพียงไขมันที่มีประจุลบและไขมันที่เป็นกลางเท่านั้น อีกทั้ง LNP แบบประจุบวกส่วนใหญ่ยังมีความเป็นพิษสูงอีกด้วย จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่จะสร้าง LNP แบบประจุบวกที่มีประสิทธิภาพในการนำส่งสารสำคัญแต่มีความเป็นพิษน้อย ซึ่งในที่สุด ดร.คุลลิสก็ทำสำเร็จ โดย LNP ที่สร้างขึ้นสามารถใช้นำส่งส่วนประกอบต่างๆ ของระบบ siRNA ได้ จึงนำมาใช้ในการบำบัดด้วยยีนสำหรับรักษาโรคพันธุกรรมบางอย่าง เช่น โรคอะมีลอยโดซิสชนิดที่เกิดจากความผิดปกติของยีน (Hereditary Amyloid Transthyretin Amyloidosis; hATTR) ซึ่งได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (FDA) สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561 ต่อมาเมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 จึงมีการประยุกต์ใช้ LNP ที่มี mRNA เป็นส่วนประกอบ เพื่อใช้เป็นวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19 โดย ดร.คุลลิสได้ทำวิจัยร่วมกับ ดร.ดรูว์ ไวส์แมน (Dr. Drew Weissman) นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวอเมริกัน และ ดร.คาทาลิน คาริโค (Dr. Katalin Kariko) นักชีวเคมีชาวฮังการี ที่ต้องการวิธีนำส่งสารที่มีประสิทธิภาพดี ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ของบริษัท Pfizer-BioNTech และ Moderna ที่ใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทั้งนี้ จากการเป็นผู้บุกเบิกงานวิจัยด้าน LPN เพื่อพัฒนาระบบนำส่งยาของ ดร.คุลลิส และจากความพยายามร่วมกันเป็นเวลานานของ ดร.ไวส์แมนและ ดร.คาริโค ในการนำ mRNA มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ จนเกิดผลสำเร็จเป็นวัคซีน mRNA ดังกล่าว จึงส่งผลให้ทั้ง 3 ท่าน ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี พ.ศ. 2564 สาขาการแพทย์ ร่วมกัน   พัฒนาวัคซีนชนิด Protein Subunit สู้เชื้อกลายพันธุ์ [caption id="attachment_31351" align="aligncenter" width="350"] ดร.จอร์จ เอฟ. เกา (Dr. George F. Gao)[/caption]   ดร.จอร์จ เอฟ. เกา (Dr. George F. Gao) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาไวรัสและวิทยาภูมิคุ้มกัน ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศจีน (Chinese Center for Disease Control and Prevention) กล่าวว่า เชื้อก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน มีการเปลี่ยนกรดอะมิโนที่บริเวณโครงสร้างของหนาม (spike) ที่ใช้จับกับตัวรับของเซลล์มากถึง 30 ตำแหน่ง หลายตำแหน่งตรงกับที่พบในไวรัสอื่นก่อนหน้านี้ ซึ่งมีส่วนช่วยให้หลบรอดระบบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น และพบการเปลี่ยนแปลงของ 3 ตำแหน่งที่ทำให้จับกับตัวรับของสิ่งมีชีวิตได้มากชนิดยิ่งขึ้น     การกลายพันธุ์ของไวรัสกับการรับมือของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คล้ายกับ “ทอมกับเจอร์รี่” ที่หนีกันไปและวิ่งไล่กันไปตลอดเวลา ความท้าทายที่เผชิญกันอยู่ตอนนี้คือการลดลงของระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน และความสามารถในการทำให้ติดเชื้ออย่างก้าวกระโดดของเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์ย่อย โดยมาตรการที่ใช้รับมือตอนนี้คือการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มหลังจากฉีดครบ 2 โดสแล้ว และการฉีดวัคซีนชนิดอื่นที่ต่างจากเดิม ซึ่งวัคซีนที่ผลิตเพื่อใช้ต่อสู้กับโคโรนาไวรัสตอนนี้มี 7 แบบ หนึ่งนั้นคือชนิดใช้หน่วยย่อยโปรตีน (Protein Subunit) กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ขณะนี้มีวัคซีนชนิด Protein Subunit อยู่ 12 ชนิดที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก ชนิดที่ใช้กว้างขวางที่สุดคือ Novavax ซึ่งใช้ใน 32 ประเทศ และมีวัคซีนชนิดที่ใช้ในประเทศเดียวอยู่ 7 ชนิด ทั้งนี้ ศ.เกามีส่วนร่วมในการสร้างวัคซีนชนิด Protein Subunit (ชื่อ ZF2001) ที่ออกแบบโดยนำ Receptor ต่อโปรตีนหนามของโคโรนาไวรัส 2 โมเลกุลมาเชื่อมต่อกัน เมื่อทดลองในหนูพบว่าทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อ SARS-CoV-2 ได้ และได้กลายมาเป็นวัคซีนชนิด Protein Subunit ชนิดแรกของโลก ซึ่งต่อมาพบว่าใช้กับเชื้อกลายพันธุ์ได้ด้วย และจากการทดลองในหนูแสดงให้เห็นว่าสามารถใช้เป็นเข็มกระตุ้นได้ดี นอกจากนี้มียาหลายชนิดที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ชนิดแรกคือ Etesevimab ที่เป็นโมโนโคลนัลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody) ชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์กับตัวรับของโปรตีนหนามของ SARS-CoV-2 ชนิดที่สองคือ Molnupiravir ของบริษัท Merck เป็นยารับประทานซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ตัดสาย RNA ของไวรัส จึงช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัสได้ ชนิดที่สามคือ Paxlovid ของบริษัท Pfizer หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Ritonavir เป็นยารับประทานที่ลดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Protease ของไวรัส นอกจากนี้ยังมียาสมุนไพรพื้นเมืองของจีนเรียกว่า TCM Herbs ที่ออกฤทธิ์คล้ายกับ Paxlovid ด้วย   “โมโนโคลนัลแอนติบอดี” เสริมทัพวัคซีนหยุดยั้งโควิด-19 [caption id="attachment_31350" align="aligncenter" width="350"] นพ.เออร์เนสโต โอวีโด-ออร์ตา (Dr. Ernesto Oviedo-Orta)[/caption]   นพ.เออร์เนสโต โอวีโด-ออร์ตา (Dr. Ernesto Oviedo-Orta) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์คลินิกของบริษัท Novartis Vaccines & Diagnostics Siena ประเทศอิตาลี ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Infectious Disease Lead บริษัท Regeneron Pharmaceuticals, Inc. อธิบายถึงความสามารถของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเข้าสู่เซลล์ได้ดีที่เยื่อบุผิวของปอดและลำไส้เล็ก รวมไปถึงเยื่อบุหลอดเลือด เมื่อไวรัสเข้าเซลล์ได้จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน โดยช่วงที่แบ่งตัวมากที่สุดคือระยะที่เริ่มมีอาการป่วยน้อยไปจนถึงปานกลาง ขณะที่ตอนยังไม่มีอาการหรือเมื่อป่วยหนักแล้วเชื้อไวรัสจะแบ่งตัวน้อย   อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยที่ชี้ว่าสามารถใช้โมโนโคลนัลแอนติบอดี (mAb) รักษาผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 ได้ และเมื่อเปรียบเทียบวัคซีนกับ mAb พบว่ามีส่วนคล้ายกันคือมีความจำเพาะกับเชื้อโรค แต่มีรายละเอียดหลายอย่างที่แตกต่างกัน ประการแรกคือ mAb ใช้ปกป้องร่างกายจากเชื้อไวรัสได้ทันที ส่วนวัคซีนต้องใช้เวลาสร้างภูมิ ประการที่สอง mAb ออกฤทธิ์ระยะสั้นๆ ตรงข้ามกับวัคซีนที่ออกฤทธิ์ยาวนานกว่า ประการที่สาม วัคซีนกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันในร่างกายคล้ายกับการที่ร่างกายตอบสนองกับเชื้อโรคตามธรรมชาติ แต่ mAb ที่ฉีดเข้าไปจะเป็นตัวไปทำลายเชื้อโรคโดยตรง และประการสุดท้ายคือแอนติบอดีที่เกิดขึ้นในกรณีของวัคซีนนั้น เกิดขึ้นภายในร่างกาย แต่กรณีการฉีด mAb เป็นการรับเข้าไปจากภายนอก และเพื่อป้องกันการเกิดไวรัสที่กลายพันธุ์จนดื้อต่อ mAb ที่ใช้ฉีด ดังนั้นควรใช้ mAb มากกว่า 1 ชนิดในการฉีด ทั้งนี้ องค์การอาหารและยา (FDA) สหรัฐอเมริกา อนุมัติการใช้ mAb แล้วหลายชนิด ทั้งแบบผสมและแบบเดี่ยว ได้แก่ Casirivimab/imdevimab ของบริษัท Regeneron, Bamlanivimab/etesevimab ของบริษัท Eli Lily, Bebtelovimab ของบริษัท Eli Lily, Sotrovimab ของบริษัท GSK และ Evusheld ของบริษัท AstraZeneca ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นยารักษาโรคโควิด-19 แล้ว mAb ยังถือเป็นจิกซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยปิดช่องว่างสำหรับคนที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้หรือฉีดแล้วไม่กระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน mAb จึงเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่จะช่วยหยุดยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ได้   วัคซีนพ่นจมูกแบบ 2-in-1 ใช้งานสะดวก ป้องกันได้ 2 โรค [caption id="attachment_31349" align="aligncenter" width="350"] ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา[/caption]   ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช. และผู้เชี่ยวด้านไวรัสวิทยาแถวหน้าของประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงงานวิจัยการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถประยุกต์ใช้ไวรัลเวกเตอร์ (Viral Vector) ที่เหมาะสมในการผลิตวัคซีนต่อโรคโควิด-19 และการออกแบบวัคซีนที่ชื่อ นาสแว็ก (NASTVAC) โดยอาศัยการนำข้อมูลเกี่ยวกับพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 มาสร้างสารพันธุกรรมเฉพาะที่ใช้สร้างส่วนโปรตีนหนาม (Spike) จากนั้นจึงนำไปใส่ไว้กับสารพันธุกรรมของไวรัสอื่นที่ไม่เป็นอันตราย เช่น อะดีโนไวรัส (Adenovirus)     วัคซีนที่ออกแบบนี้ใช้การฉีดพ่นทางจมูกได้ เพราะไวรัสที่เลือกมาใช้เป็นไวรัลเวกเตอร์ สามารถเกาะกับเซลล์เป้าหมายในทางเดินหายใจได้ดี จึงใช้งานได้สะดวกกว่าวัคซีนชนิดฉีด และการทดลองในหนูแสดงให้เห็นว่าวัคซีนสามารถป้องกันหนูไม่ให้ป่วยจากโรคโควิด-19 ที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่นได้ดี โดยไปยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในเซลล์ของหนูทดลอง และวัคซีนไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทั้ง 2 แบบ ทั้ง Humoral Immune Response และ Cell-Mediated Immune Response เมื่อทดลองโดยใช้ไวรัสสายพันธุ์เดลตา พบว่าสามารถป้องกันหนูไม่ให้ป่วยได้ดีในระดับหนึ่ง แต่การปรากฏตัวของสายพันธุ์โอมิครอน ทำให้ต้องปรับโครงสร้างวัคซีน NASTVAC เวอร์ชัน 2 และ 3 ที่จะใช้ป้องกันสายพันธุ์ดังกล่าวได้ดีขึ้นตามไปด้วย แต่ยังคงใช้ไวรัลเวกเตอร์ชนิดอะดีโนไวรัสเช่นเดิม นอกจากนี้ยังได้พัฒนาวัคซีนแบบพ่นจมูกชนิด 2-in-1 (Bivalent Vaccine) ที่ป้องกันได้ทั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่และ SARS-CoV-2 โดยในกรณีของไวรัสไข้หวัดใหญ่ จะใช้การสร้างโปรตีนเลียนแบบโปรตีน HA ที่อยู่บนผิวของไวรัส ข้อดีของวัคซีน 2-in-1 คือสามารถป้องกันได้ทั้ง 2 โรคพร้อมกัน แพลตฟอร์มที่ใช้ทำให้สามารถปรับสร้างโปรตีนที่ต่างจากเดิมเล็กน้อยได้รวดเร็ว และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทั้ง 2 แบบ แต่ความท้าทายคือยังเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่และการหาวิธีทำให้สารพันธุกรรมเสถียรในไวรัลเวกเตอร์ยังเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยร่วมกับทีมวิจัยของ Pasteur Institute โดยทดลองในแฮมสเตอร์ แสดงให้เห็นว่าไวรัสโรคหัดน่าจะนำมาใช้เป็น “ไวรัลเวกเตอร์” ได้ดีกับกรณีวัคซีนต่อโควิด-19 เช่นกัน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มุมมอง ความคิด และประสบการณ์ระหว่างนานาประเทศจะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยเร่งการพัฒนางานวิจัยให้เข้าถึงเส้นชัยได้เร็วยิ่งขึ้น และองค์ความรู้ที่เราพัฒนาขึ้นนี้จะช่วยให้เรามีความพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ในประเทศ และสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนตามแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สามารถชมคลิปวิดีโอการสัมมนาหัวข้อ International Webinar on COVID-19 ย้อนหลังได้ที่ https://www.nstda.or.th/nac/2022/seminar/international-webinar-on-covid-19/  
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ขอเชิญพบกับ 4 ธุรกิจนวัตกรรม ในงาน INNOVATION PITCH ครั้งที่ 12
สวทช. เรียนเชิญท่านพบกับ 4 ธุรกิจนวัตกรรม ในงาน INNOVATION PITCH ครั้งที่ 12 วันที่ 26 เมษายน 2565 เวลา 14.00 – 15.00 น. โดยมีธุรกิจนวัตกรรมทั้งหมด 4 ทีมดังนี้ ทีม Enginelife - "Engineer your Life" ทีม WOKA - "Live your life again" ทีม Kollective - "An optimized influencer for marketing solution" ทีม nornnorn - “มาประหยัดการลงทุนด้านที่นอนและรักษ์โลกกับเราวันนี้!” สนใจลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/ZLrHR3mHeosKPmFo6 ข้อมูลเพิ่มเติม - brc@nstda.or.th หรือโทร 02-564-7000 ต่อ 71679
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การออกแบบกิจกรรมสะเต็มศึกษาบูรณาการสร้างสมรรถนะ เตรียมความพร้อมสู่ยุค Metaverse สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การออกแบบกิจกรรมสะเต็มศึกษาบูรณาการสร้างสมรรถนะ เตรียมความพร้อมสู่ยุค Metaverse ระหว่างวันที่ 6 – 7 เมษายน 2565 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom และถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook Live เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มีเนื้อหาเกี่ยวกับการออกแบบกิจกรรมสะเต็มศึกษาบูรณาการสร้างสมรรถนะ เชื่อมโยงกับการเตรียมความพร้อมสู่ยุค Metaverse ครูผู้สอนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เรียนรู้หลักการและตัวอย่างกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะในสถานศึกษา และสามารถนำไปประยุกต์ใช้จัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน ซึ่งเป็นพื้นฐานต่อยอดสู่อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ได้อย่างยั่งยืนต่อไป ผู้เข้าร่วมอบรม ประกอบด้วยครูผู้สอนในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนในพื้นที่ EEC (จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) อบรมผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom จำนวน 340 คน ครูผู้สอนในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี บุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่สนใจจำนวน 3,202 คน ร่วมรับชมผ่านทาง https://www.facebook.com/sciencecamp.fanpage นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวต้อนรับ และบรรยายพิเศษเรื่อง “เทคนิคการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้านสะเต็มศึกษา” โดยกล่าวถึง สถานการณ์โลกในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นำไปสู่นโยบาย BCG ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ที่จะพัฒนา 3 เศรษฐกิจ ไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เชื่อมโยงกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (Sustainable Development Goals: SDGs) ซึ่งนำมาเป็นพื้นฐานของการออกแบบและพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน สิ่งสำคัญคือการฝึกให้เด็กมีความรู้ แรงบันดาลใจ ทักษะ และสมรรถนะ ที่ตอบโจทย์สถานการณ์โลกและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยนำเสนอเทคนิคการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้านสะเต็มศึกษาที่น่าสนใจ 12 ข้อ สื่อการเรียนรู้ และตัวอย่างกิจกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงหลักสูตรกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการประกอบอาชีพในพื้นที่ EEC เช่น ยานยนต์ อาหารเพื่ออนาคต และเกษตรสมัยใหม่ เป็นต้น ดังนั้น การส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีความรู้ ความเข้าใจ และมีประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม จะทำให้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาไปสู่การจัดทำหลักสูตรส่งเสริมสมรรถนะในสถานศึกษา และสามารถนำไปประยุกต์ใช้จัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้อย่างยั่งยืนต่อไป จากนั้นเป็นการแนะนำภาพรวมการอบรม และบรรยายพิเศษเรื่อง “แนวทางการจัดการศึกษาบูรณาการสู่สมรรถนะหลัก” โดย อาจารย์ณภัทร ศรีละมัย ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ และที่ปรึกษาโครงการ ฯ โดยกล่าวถึงการเรียนการสอนเชิงสมรรถนะต้องเกิดจากการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Learning Integration) ที่เป็นการบูรณาการความรู้หลากหลายวิชา ออกแบบการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ตามบริบทของแต่ละโรงเรียน ครูผู้สอนได้รับองค์ความรู้จาก สวทช. จำนวน 4 หลักสูตร 1) หลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ 2) หลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคต 3) หลักสูตรเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และ 4) หลักสูตรเคมีชีวภาพ ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักในเขตพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สามารถนำไปประยุกต์ต่อยอดจัดทำเป็นรายวิชาเพิ่มเติมในหลักสูตรสถานศึกษา และขยายผลสู่การจัดกิจกรรมเพิ่มพูนความรู้และทักษะให้ผู้เรียนในห้องเรียนต่อไป การบรรยายที่น่าสนใจในหัวข้อ “การพัฒนาศักยภาพสมรรถนะผู้เรียน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นประชากรโลกเสมือนจริง (Metaverse)” โดย ผศ.ดร. กุลชัย กุลตวนิช ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและอีเลิร์นนิง อาจารย์ประจำหลักสูตรนิเทศศาสตร์เกษตร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ KIDS University by KMITL | มหาวิทยาลัยเด็กเล็ก ได้นำเสนอเกี่ยวกับชีวิตวิถีใหม่ กับ Metaverse เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง ซึ่งเข้ามามีบทบาทเชื่อมการเรียนรู้ระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนที่คาดว่าจะเข้ามาเปลี่ยนการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ของผู้คนบนโลกใบนี้ไปอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในโลกการศึกษาและการเรียนรู้ โดยมีการสาธิตการสร้าง Avatar ซึ่งเป็นตัวละครที่เสมือนจริง สำหรับประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหาเด็กไม่เปิดกล้องในช่วงระหว่างเรียนออนไลน์ และยังช่วยสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้สนุกสนานมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการสร้างอาชีพในโลกเสมือนจริง ใช้ในสร้างสื่อการเรียนการสอน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การทัศนศึกษาเสมือนตามสถานที่ต่าง ๆ การทำงานเป็นกลุ่ม การแสดงผลงาน การประชุม เป็นต้น ศาสตราจารย์ ดร. บังอร เสรีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา บรรยายในหัวข้อ “สมรรถนะและการศึกษาฐานสมรรถนะ”   โดยกล่าวถึงศักยภาพภายใน (Potential) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เรียนทุกคนมีอยู่อย่างแตกต่างกัน ครูผู้สอนจะต้องนำพาศักยภาพภายในของผู้เรียนออกมา โดยประกอบด้วยคำสำคัญ 4 คำ เริ่มต้นจาก A (Attitude) เพื่อสร้างความสนใจให้อยากเรียนรู้ ตามด้วย K (Knowledge) และ S (Skill) จากนั้นสร้างสถานการณ์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน เพื่อนำ A, K, และ S มาแก้ไขปัญหา จะทำให้เกิด C (Competency) จนประสบความสำเร็จ ดังนั้น สมรรถนะจึงเป็นผลรวมของความรู้ ทักษะ เจตคติ คุณลักษณะ และความสามารถอื่น ๆ ที่ช่วยให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลประสบความสำเร็จในการทำงาน การนำเสนอการศึกษาฐานสมรรถนะ (Competency – Based Education) มุ่งเป้าที่การพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคลตามความแตกต่าง มี 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) หลักสูตร 2) การเรียนการสอน และ 3) การวัดและประเมินผล เพื่อให้ครูผู้สอนเกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำหลักการไปใช้งานได้จริง ช่วงบ่ายต่อด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจในหัวข้อ “การสอนบูรณาการสมรรถนะ กับโรงเรียนแนวคิดใหม่เพิ่มสมรรถนะเด็กรับโลกอนาคต” โดย ดร. นาฎฤดี จิตรรังสรรค์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสุจิปุลิ จังหวัดฉะเชิงเทรา และทีมก่อการครู เริ่มการบรรยายเกี่ยวกับ การออกแบบกิจกรรมห้องเรียน CBE การวัดและประเมินสมรรถนะ โดยยกตัวอย่างกรณีศึกษาโรงเรียนสุจิปุลิ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนแนวคิดใหม่ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างสมรรถนะให้แก่ผู้เรียน ยกตัวอย่างการจัดการเรียนรู้เรื่อง “หมูกระทะ” ซึ่งได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอาหาร รวมไปถึงการล้างกระทะซึ่งเป็นการสร้างสถานการณ์เริ่มต้นให้ผู้เรียนลองตั้งสมมติฐาน หาข้อมูล และลงมือทำด้วยตัวเอง และยกตัวอย่างการจัดการเรียนรู้เรื่อง “แพช่วยชีวิต” มีแนวคิดสำคัญคือการทำงานเป็นกลุ่มเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหา ผู้เรียนจะได้ออกแบบการเรียนรู้แบบอิสระ และได้ลงมือทำงานร่วมกัน การวัดและประเมินฐานสมรรถนะให้ความสำคัญกับการประเมินเพื่อพัฒนา ใช้วิธีการประเมินตามสภาพจริง มุ่งวัดสมรรถนะแบบองค์รวม นอกจากนี้ ดร. นาฎฤดี ได้นำเสนอเครื่องมือ CBE Canvas ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน 1) Learner 2) Objective 3) Learning และ 4) Evaluation/Evidence ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยครูผู้สอนในการออกแบบคาบเรียนฐานสมรรถนะอย่างง่ายในหน้าเดียว และการบรรยายหัวข้อสุดท้าย “เทคนิคการออกแบบกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ สื่อสารอย่างไรให้ตรงใจผู้เรียนในยุคดิจิทัล” โดย ดร. กอบวิทย์ พิริยะวัฒน์ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี ได้นำเสนอเกี่ยวกับการออกแบบกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ให้ตรงกับคุณลักษณะของผู้เรียนในยุคดิจิทัลด้วยเนื้อหาที่ถูกต้องและวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเนื้อหาและบริบทของผู้เรียน โดยนำเสนอความเชื่อมโยงของกรอบ “สมรรถนะ” ที่มีอยู่หลากหลายรูปแบบในปัจจุบัน เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถเชื่อมโยงการจัดการเรียนรู้และการประเมินอิงสมรรถนะได้ นอกจากนี้ยังนำเสนอการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีการยกตัวอย่างแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ทางการศึกษาที่ช่วยนำเข้าสู่บทเรียน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และสรุปผลการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ครูผู้สอนนำไปจัดการเรียนรู้ให้ห้องเรียนมีความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น วันที่ 2 ของการอบรมเริ่มด้วยกิจกรรม “Wake up เตรียมความพร้อมสู่การอบรม” โดย ดร. กมลรัตน์ ฉิมพาลี ครูชำนาญการพิเศษ (คศ.3) โรงเรียนถนนหักพิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อกระตุ้นความสนใจให้กับผู้เข้าร่วมอบรม พร้อมทั้งสอดแทรกเทคนิคการสอนที่สนุกสนานในรูปแบบออนไลน์อีก ในช่วงเช้าเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจหัวข้อ “แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based approach) Innovation In Education - Redesigning Future Education การออกแบบการศึกษาแห่งอนาคต” วิทยากรจาก SEAMEO STEM-ED CENTER นำโดย นายนันทวุฒิ พิมพ์แพง ผู้จัดการโครงการ STEM Career Academies เริ่มต้นด้วยหัวข้อ “สะเต็มศึกษาและแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem – based Learning)” โดย ผศ.ดร. บุรินทร์ อัศวพิภพ ผู้อำนวยการโครงการ STEM Resources and Capacity Building ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเป็นบริบทการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์และคิดแก้ปัญหาโดยใช้เทคนิคสะเต็มศึกษา และครูผู้สอนทดลอง        ทำกิจกรรม “ประดิษฐ์ที่วางมือถือ” ผ่านการแก้ปัญหาจากสถานการณ์จำลอง ต่อมา รศ.ดร. พรรัตน์ วัฒนกสิวิชช์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้นำเสนอการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาที่มีความสอดคล้องกับบริบทจริง จากตัวอย่างโมดูลการเรียนรู้ “การบริโภคหวานและเค็มเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี” มีการใช้เครื่องมือโพล (Poll) บนโปรแกรม Zoom เพื่อช่วยกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแสดงความคิดเห็นและเป็นการนำเข้าสู่ตัวอย่างโมดูลการเรียนรู้ และนำเสนอตัวอย่างแนวทางการจัดการเรียนรู้แต่ละขั้นนตอน จากนั้นปิดท้ายด้วยกิจกรรมการออกแบบห้องเรียน PBL เบื้องต้น...จากปัญหาสู่มูลค่าเพิ่มทางอาชีพ โดย นายมงคล สาระคำ ที่ปรึกษาโครงการ โดยได้กล่าวถึงตัวอย่าง การออกแบบกิจกรรมผ่านสถานการณ์จำลองเกี่ยวกับอาหารสำหรับนักกีฬา นำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ ช่วงบ่ายต่อด้วยกิจกรรม “บรรยายและกิจกรรม  สร้างกลยุทธ์ใหม่แห่งการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีและสื่อสร้างสรรค์” โดย ดร. กมลรัตน์ ฉิมพาลี ครูชำนาญการพิเศษ (คศ.3) โรงเรียนถนนหักพิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ นำเสนอเทคนิคการสอน การใช้ดิจิทัล และนวัตกรรม ในการเพิ่มพลังการเรียนรู้ให้เด็กไทยด้วยห้องเรียนที่สร้างสรรค์อย่างแท้จริง กิจกรรมสุดท้ายเป็นการบรรยายและกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ “การออกแบบกิจกรรมบูรณาการเพื่อพัฒนาไปสู่นวัตกร” โดย รศ. ธีรวัฒน์ ประกอบผล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้นำเสนอเกี่ยวกับการออกแบบกิจกรรมเพื่อจัดการเรียนรู้บูรณาการแนวคิดแบบ STEM Education ส่งเสริมความเป็นนวัตกรและผลงานสร้างสรรค์ของผู้เรียน มีการยกตัวอย่างสิ่งประดิษฐ์ที่นำไปใช้งานได้จริง เช่น รถพลังงานน้ำ สร้างกระติก สิ่งประดิษฐ์จากหลอดไฟแอลอีดี รถพลังลม เป็นต้น ยกตัวอย่างห้อง FABLAB ที่มีเครื่องมือสำหรับอำนวยความสะดวกในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานต่อยอดสู่อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในพื้นที่ EEC ภาพกิจกรรมบางส่วนจากช่องทาง Facebook Live
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ อคส. ร่วมขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าและแปรรูปสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน
(18 เมษายน 2565) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) ร่วมกับ องค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิจัยและพัฒนา เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเกษตรเพื่อการค้าอย่างยั่งยืน โดยมี น.สพ.สนัด วงศ์ทวีทอง รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เป็นประธาน พร้อมทั้ง นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการ ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม สวทช. และ นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า เป็นผู้ลงนาม นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า กล่าวว่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ “แก้มลิง++” ของ อคส. จะเร่งเพิ่มจำนวนสาขาของคลังสินค้า อคส. ในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนายกระดับให้สอดรับกับนโยบายของรัฐและกระทรวงพาณิชย์เรื่อง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ทั้งนี้การได้ สวทช. เป็นหน่วยงานสำคัญของประเทศที่สนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่จะสามารถยกระดับผลผลิตต้นน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้กรอบร่วมมืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ  โครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับเครื่องคัดแยก ชนิด ประเภท ขนาด น้ำหนัก ของปลา , เครื่องมือลำเลียงปลาทูน่า หน้าท่าเทียบเรือ , โครงการสร้างโรงสี  โรงอบ  โรงแป้ง อัจฉริยะ , เครื่องคัดแยกเหง้ามันสำปะหลัง เป็นต้น การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้ร่วมกับโครงการในการต่อยอดและขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนในพื้นที่เพื่อตอบโจทย์ที่ทาง อคส. ต้องการ นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการ ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม กล่าวว่า ภาคการเกษตรเป็นรากฐานการผลิตที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ สวทช. ได้วิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการผลิตสินค้าเกษตร นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้เกษตรกรไทย ซึ่งปัจจุบันทาง DECC มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารผ่านงานวิจัย เช่น การพัฒนาโรงเรือนพฤษาสบาย , การพัฒนารถเข็นรักษ์โลก ,การพัฒนาเครื่องจักรอุปกรณ์ด้านเกษตรและอาหาร เช่น เครื่องปอกและหั่นมะม่วงอัตโนมัติ , เครื่องปิ้งหมูอัตโนมัติ , เครื่องลดอุณหภูมิและบรรจุวุ้นแปรรูป เป็นต้น นอกจากนี้ ในพิธีลงนามยังได้มีการนำเสนอผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มมูลค่า แปรรูปผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ โดย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และประธานคณะทำงาน BCG Model ด้านเกษตรอาหาร เช่น การใช้เชื้อในการผลิตต้นเชื้ออาหารหมักสัตว์ กระบวนการผลิตนํ้าส้มสายชูหมักจากผลไม้ในขั้นตอนเดียวและสูตรจุลินทรีย์สำหรับการผลิตนํ้าส้มสายชูหมัก การผลิตสารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวเพื่อการประยุกต์ใช้ในอาหารและอาหารสัตว์ เป็นต้น การลงนามในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการผนึกกำลังและใช้จุดแข็งของทั้งสององค์กร ทั้งความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัยของ สวทช. หรือ ความเข้าใจความต้องการตลาดและแผนกลยุทธ์ ขององค์การคลังสินค้า ไม่เพียงแต่จะสามารถตอบโจทย์ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ และนโยบายภาครัฐ แต่ยังตอบโจทย์ BCG Economy Model โมเดลเศรษฐกิจใหม่ ที่เป็นวาระแห่งชาติของประเทศไทยที่จะช่วยขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้มีรายได้สูง เพื่อพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง  และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศอย่างทั่วถึงและยั่งยืน   /////////////////////////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
NIA จัดประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2565
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้จัดประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2565 ขึ้นเป็นปีที่ 18 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติแก่บุคลากรและหน่วยงานต่างๆ ในประเทศ ที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีความโดดเด่นในหลากหลายด้าน เผยแพร่นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์กับประเทศให้สาธารณะชนรับรู้ในวงกว้าง ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้องค์กรทุกภาคส่วนเกิดการตื่นตัวในการพัฒนานวัตกรรมและผลักดันประเทศให้มุ่งไปสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม โดยจะมีการจัดพิธีมอบรางวัลพร้อมกันในวันนวัตกรรมแห่งชาติ (5 ตุลาคม 2565) ส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2565 ดูรายละเอียดและสมัครผ่านทางออนไลน์ที่ https://award.nia.or.th สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ awards@nia.or.th หรือ 080-070-2999 (พัชรีนาถ) NIA เปิดม่านเฟ้นหาสุดยอด “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2565” รางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดแห่งวงการนวัตกรรมประเทศไทย เพื่อคว้าโอกาสก้าวสู่เวทีระดับนานาชาติ เป็นแนวหน้ายืนหนึ่งโชว์ผลงานสู่สายตาชาวโลก รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2565 แบ่งการประกวดออกเป็น 5 ด้าน
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
วช. – สวทช. มหาวิทยาลัยไทย 5 แห่ง และ Tokyo Tech ลงนามความร่วมมือ “บันทึกข้อตกลงการดำเนินการโครงการ TAIST-Tokyo Tech ระยะที่ 4” ร่วมพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงสำหรับภาคอุตสาหกรรม
For English-version news, please visit : TAIST-Tokyo Tech to continue its phase 4 delivering world-class engineering programs 19 เมษายน 2565 กรุงเทพฯ: สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว หรือ Tokyo Institute of Technology (Tokyo Tech) ประเทศญี่ปุ่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการดำเนินการโครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทย (Thailand Advanced Institute of Science and Technology: TAIST) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (Tokyo Institute of Technology) หรือ TAIST-Tokyo Tech ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2565-2570)  เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างเครือข่ายจัดการศึกษา วิจัยและพัฒนาในหลักสูตรการศึกษานานาชาติที่มีคุณภาพ เพื่อพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงในระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท) เพื่อรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมใน 3 สาขา ได้แก่ วิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง (Automotive and Advanced Transportation Engineering) ปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Artificial Intelligence and Internet of Things) และวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Energy and Resources Engineering) และหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งทางราง (Rail Transportation Certificate) โดยมี ศ.ดร. นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ พร้อมด้วย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช., Prof. Dr. Kazuya Masu (ศ.ดร.คะซึยะ มาซึ) อธิการบดี Tokyo Tech รศ. ดร.สมยศ เกียรติวนิชวิไล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ในฐานะผู้แทนอธิการบดี สจล., รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ., ศ.ดร.พฤทธา ณ นคร ผู้อำนวยการ SIIT ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดี มก., ศ. นพ. บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดี มม., และ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมลงนามและในโอกาสนี้ Mr. Oba Yuichi, Deputy Chief of Mission อัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้ร่วมแสดงความยินดีด้วย ศ.ดร. นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า อว. ทำหน้าที่ดูแลนโยบายและดำเนินการทางด้านการอุดมศึกษา การวิจัยและการพัฒนา เพื่อการพัฒนาของชาติและเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยเสริมสร้างการวิจัยและการพัฒนากำลังคนของประเทศให้มีทักษะและความสามารถสูง ผลักดันประเทศสู่ความเป็น Thailand 4.0 โดยมีกลไกขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นคุณค่าและเป็นเฟืองสำคัญในการปรับเปลี่ยนสู่ประเทศฐานนวัตกรรม ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง อว. ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนและการสร้างนวัตกรรมเป็นลำดับแรก ในด้านการศึกษา อว. ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อปรับปรุง (redesign) หลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของโลกและการพัฒนาประเทศ โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการปรับเปลี่ยนมากมาย โดยเฉพาะการปรับปรุงหลักสูตรในมหาวิทยาลัยรวมถึงการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการศึกษา อว. จึงได้พยายามสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศและหน่วยงานภาคเอกชนเพื่อผลิตกำลังคนที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน และแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่างไรก็ดีเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติข้อเสนอโครงการเพื่อก่อตั้งกองทุนพัฒนาการอุดมศึกษา ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนและความเป็นเลิศทางวิชาการของประเทศ โดยมีความเป็นไปได้ที่โครงการที่มีความคล้ายคลึงกับ TAIST-Tokyo Tech จะได้รับการสนับสนุนภายใต้ทุนด้านการอุดมศึกษานี้ เมื่อมีการดำเนินการเต็มรูปแบบแล้ว"คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ  143.73 พันล้านบาทให้ อว. สำหรับปีงบประมาณ 2566 โดยอว. เป็น 1 ใน 6 ของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณมากที่สุด ประกอบด้วยงบประมาณด้านการอุดมศึกษา 114.63 พันล้านบาท และเป็นงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 29.1 พันล้านบาท โดยมีแนวทางการจัดสรรและบริหารงบประมาณเป็นแบบเงินก้อนและต่อเนื่องหลายปี ซึ่งนับเป็นข่าวดีของแวดวงวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม งบประมาณเหล่านี้จะนำไปใช้เพื่อขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ เช่นการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการสร้างความสามารถในการแข่งขันเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้สนับสนุนทุนเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่อาชีพวิจัยให้แก่เด็กและเยาวชนผ่านรูปแบบต่างๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน  (JSTP) โครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (TGIST) โครงการสร้างปัญญาวิทย์ ผลิตนักเทคโน (YSTP) โครงการทุนพัฒนาบัณฑิตวิจัยคุณภาพสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสวทช.และมหาวิทยาลัย และโครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (TAIST-Tokyo Tech) แม้แต่ละโครงการจะมีกลไกที่แตกต่างกันแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเพื่อเสริมสร้างกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่ประเทศและโครงการ TAIST-Tokyo Tech เป็นโครงการเดียวที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ สำหรับการดำเนินงานโครงการภายใต้สายงานพัฒนากำลังคนของสวทช. เป็นที่ยอมรับจากผู้เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น เช่น ในปี 2557 นักเรียนทุน สวทช. ซึ่งมีนักศึกษาจากโครงการ TAIST-Tokyo Tech ได้รับเลือกจากกระทรวงการต่างประเทศเพื่อเป็นตัวแทนทูตเยาวชนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้าร่วมเยี่ยมชมหน่วยงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งศึกษาวัฒนธรรมในหลายประเทศ ได้แก่ จีน อิสราเอล เกาหลี ไต้หวันและญี่ปุ่น นอกจากนี้นักศึกษา TAIST-Tokyo Tech ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ JENESYS 2.0 ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับเยาวชนในเอเชียและภาคพื้นแปซิฟิกเพื่อส่งเสริมความน่าสนใจต่อประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามในอนาคตคาดหวังอยากเห็นบทบาทของโครงการ TAIST-Tokyo Tech ในการผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพระดับสูงเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการยุทธศาสตร์ประเทศ เช่น การพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกหลักสูตรภายใต้โครงการ TAIST-Tokyo Tech มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นโครงการ TAIST-Tokyo Tech ประสบความสำเร็จในการพัฒนานักวิจัยและวิศวกรที่มีคุณภาพทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนต่อไป ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนทุนสำหรับการทำกิจกรรมหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าใช้จ่ายรายเดือนสำหรับนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในแต่ละหลักสูตร และมหาวิทยาลัยไทยร่วมสนับสนุนงบประมาณในบางส่วนสำหรับนักศึกษาในสังกัดมหาวิทยาลัยนั้นๆ Tokyo Tech สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางของอาจารย์ผู้สอน (ญี่ปุ่น) มายังประเทศไทยสำหรับการสอนและการให้คำปรึกษานักศึกษา สวทช. เป็นผู้บริหารจัดการโครงการในภาพรวมและส่งมอบเงินทุนที่ได้รับจาก วช. ให้แก่มหาวิทยาลัยไทย สำหรับความสำเร็จของโครงการ TAIST-Tokyo Tech ที่ได้การดำเนินการตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน (ระยะที่ 1 พ.ศ. 2550 – 2554 , ระยะที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 และระยะที่ 3 พ.ศ. 2560 - 2564)  ในการพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมระดับปริญญาโทสาขาวิศวกรรมศาสตร์ มากกว่า 460 คน โดยผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการกว่า 60% ทำงานในภาคอุตสาหกรรม 20% ทำงานในองค์กรภาครัฐ และ 14% ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกทั้งในและต่างประเทศ  ประกอบกับการที่ วช. ได้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูง เพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve, New S-Curve) และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG จึงให้การสนับสนุนโครงการ เพื่อดำเนินการต่อในระยะที่ 4 โดยมุ่งเน้นการพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถและทักษะตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยการสนับสนุนทุนการศึกษา 70 คนต่อรุ่น นอกจากนี้ โครงการยังได้สร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ วิจัย และการจัดการศึกษา ระหว่างหน่วยงานวิจัยคือ สวทช. กับสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศไทย และสถาบันการศึกษาชั้นนำของต่างประเทศคือ Tokyo Tech ซึ่งได้รับการจัดลำดับจาก QS World University Rankings เป็นมหาวิทยาลัยลำดับที่ 3 ของประเทศญี่ปุ่น และ อันดับที่ 56 ของโลก ในปี 2564  โดยดึงจุดเด่นของสถาบันการศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมศาสตร์ขั้นสูงมาร่วมกันพัฒนาหลักสูตร ควบคู่กับการเรียนรู้และเพิ่มประสบการณ์ทำงานวิจัยอย่างจริงจัง ทำให้สามารถจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและมีความเป็นเลิศทางวิชาการในระดับนานาชาติ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
 
สวทช. ต่อยอดนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากสวนต้นแบบสู่ล้งเพื่อการส่งออก
สวนทุเรียนสไตล์ช๊าลฮิ จ.ระยอง มั่นใจนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth หลังทดสอบการใช้งานมาแล้วกว่า 4 ปี ได้ผลผลิตดี-ลดการใช้สารเคมี-ป้องกันหนอน/สัตว์กัดแทะ เตรียมขยายผลจากขายออนไลน์สู่ล้งส่งออกต่างประเทศ   ถุงห่อทุเรียน Magik Growth พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. ร่วมกับบริษัทเอกชนผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี , เกษตรกรชาวสวนทุเรียนใน จ.ระยอง , นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วน ร่วมกันบูรณาการขยายผลและยกระดับการใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ที่สวนทุเรียนสไตล์ช๊าลฮิ จ.ระยอง ถือเป็นสวนทุเรียนต้นแบบที่อยู่ในพื้นที่ EECi เพิ่มคุณภาพผลผลิตทุเรียนให้เป็นทุเรียนเกรดพรีเมียม ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาดผู้รับซื้อ และที่สำคัญเพื่อการส่งออกไปต่างประเทศได้ในอนาคต.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
เอ็มเทคพัฒนา “Well-Living Systems” ระบบดูแลผู้สูงอายุ ผู้ช่วยของลูกหลาน
For English-version news, please visit : Well-Living Systems to support independent living for seniors   ผ่านพ้นมาไม่นานสำหรับ “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้ตรงกับวันขึ้นปีใหม่ไทย หรือ วันสงกรานต์ คือวันที่ 13 เมษายนของทุกปี วันสำคัญที่ชักชวนให้คนไทยหันมาใส่ใจผู้สูงอายุมากขึ้น ยิ่งเฉพาะในปี 2565 นี้ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ระบุว่าเป็นปีที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” เนื่องจากมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ดังนั้นการเร่งปรับตัว และเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุมีความสำคัญอย่างมาก ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนา “ระบบดูแลผู้พักอาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัย หรือ Well-Living Systems” เพื่อช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้ลูกหลานดูแลผู้สูงอายุได้อย่างปลอดภัยและอุ่นใจมากขึ้น   [caption id="attachment_31280" align="aligncenter" width="600"] ดร.สิทธา สุขกสิ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช.[/caption] ดร.สิทธา สุขกสิ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยเอ็มเทคได้พัฒนาระบบ Well-Living Systems ที่จะเข้ามาเป็น “ผู้ช่วย” ของลูกๆ หลานๆ ในการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้านภายใต้แนวคิด “ทุกคนที่บ้านสบายดี (All is well at home)” เพื่อสร้างความอุ่นใจให้ทั้งผู้ใหญ่ที่บ้านและลูกหลานที่ต้องออกไปทำงาน โดยระบบมีศูนย์กลาง LANAH (Learning and Need-Anticipating Hub) ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ LANAH AI (Artificial Intelligence) ที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย และแจ้งเตือนผู้ดูแลเมื่อผู้สูงอายุเกิดเหตุฉุกเฉินหรือมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ผ่านแอปพลิเคชัน LANAH App เพื่อช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย “ระบบจะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตรวจวัดต่างๆ (Sensors) ที่ไม่มีกล้อง ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย เพราะทีมวิจัยมุ่งหวังให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด เน้นสร้างความมั่นใจว่าหากมีเหตุฉุกเฉินจะมีผู้เข้ามาช่วยเหลือได้ทันที เป็นการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย สร้างความสบายใจ ลดการพึ่งพาผู้ดูแล สนับสนุนการเป็น “สูงวัยอย่างมีคุณภาพ หรือ Active aging” ให้ได้นานที่สุด”     ดร.สิทธา กล่าวว่า สำหรับการทำงานของระบบแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. กรณีไม่ฉุกเฉิน ใช้ AI เรียนรู้รูปแบบพฤติกรรมกิจวัตรประจำวันของผู้อยู่อาศัยเพื่อบ่งบอกถึงปัญหา ซึ่งมีตัวอย่างอุปกรณ์ 4 ระบบในแอปพลิเคชัน ได้แก่ 1) Occupancy sensor เครื่องมือสังเกตการณ์บุคคลที่อยู่ในแต่ละพื้นที่ของบ้าน เรียนรู้พฤติกรรมการใช้เวลาในบ้านของผู้อยู่อาศัย เช่น ช่วงสายวันอาทิตย์มักมีคนอยู่ในครัว 2) Door sensor เรียนรู้พฤติกรรมการเปิด-ปิดประตูต่างๆ เช่น ปกติประตูห้องน้ำถูกเปิดกี่ครั้งในช่วงดึก 3) Gate sensor ใช้สังเกตระยะเวลาการเข้าไปแต่ละพื้นที่ เช่น ระยะเวลาการอยู่ในห้องน้ำปกติหรือนานกว่าปกติ และ 4) Logger ปุ่มกดช่วยบันทึกเวลาการทำกิจกรรม เช่น เวลากินยา และช่วยเตือนเมื่อผู้อยู่อาศัยอาจลืม ด้วยการส่งเสียงผ่าน Wireless Speakers “ส่วนกรณีฉุกเฉิน มีอุปกรณ์ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ได้แก่ 1) Emergency Button ปุ่มฉุกเฉินขนาดเล็กที่พกพาได้สะดวก ใช้ขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลที่อยู่ไกล 2) Bell กระดิ่งเรียกคนอื่นในบ้าน และแจ้งเตือนเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลที่อยู่ไกล 3) Fall detection sensor ช่วยตรวจจับเมื่อผู้อยู่อาศัยเกิดการหกล้ม เป็นอุปกรณ์รูปแบบสวมใส่ หรือติดผนังแบบไม่มีกล้อง เหมาะใช้งานในพื้นที่ส่วนตัว เช่น ห้องน้ำ และแจ้งเตือนเพื่อขอความช่วยเหลือ 4) Check-In ผู้อยู่อาศัยใช้ทักทายคนในครอบครัวหรือเพื่อนที่อยู่ไกลแบบเงียบๆ ไม่รบกวนเวลา 5) Wireless Speakers ลำโพงไร้สายที่วางได้ทุกที่ในบ้านทำงานร่วมกับ LANAH App เพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้รับฟังข้อความเสียงจากผู้ดูแลที่อยู่ไกลมาที่บ้านในกรณีฉุกเฉิน”     ดร.สิทธา กล่าวว่า ปัจจุบันระบบ LANAH App และอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ในขั้นตอนการทดลองในห้องปฏิบัติการและขยายผลสู่ภาคสนาม ซึ่งกำลังมองหาพาร์ทเนอร์เพื่อทดสอบการใช้งานจริง โดยคาดว่าจะต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้ภายในปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 ทั้งนี้ตัวระบบนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลายแบบ เช่น บ้านผู้สูงอายุ คอนโดที่มีผู้อยู่อาศัยคนเดียว สถานดูแลผู้สูงอายุ โรงพยาบาล ซึ่งหวังว่าระบบที่พัฒนาขึ้นจะเป็นประโยชน์ในการดูแลผู้สูงอายุ ทำให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาผู้ดูแล และช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีในที่พักอาศัยที่อุ่นใจและปลอดภัย นับเป็นตัวอย่างผลงานการวิจัยและพัฒนาของนักวิจัยไทยจาก สวทช. ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตพึ่งพาตนเองได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข สอดคล้องกับนโยบายโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) วาระแห่งชาติ ที่มุ่งส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยและเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
JAXA ท้าความคิดเด็กไทย เสนอไอเดียทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ
  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น จัดทำโครงการ “Asian Try Zero-G 2022” เชิญชวนเยาวชนไทยส่ง “แนวคิดการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ” ร่วมแข่งขันกับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำหรับใช้ทดลอดจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 1-30 เมษายน 2565   [caption id="attachment_31258" align="aligncenter" width="500"] นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]   นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ร่วมกับ JAXA ดำเนินโครงการ Asian Try Zero-G มาตั้งแต่ปี 2558 เพื่อเปิดรับไอเดียการทดลองวิทยาศาสตร์บนสถานีอวกาศนานาชาติในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำจากเยาวชนไทย โดยคณะกรรมการของ สวทช. จะทำการคัดเลือกไอเดียการทดลองที่น่าสนใจจำนวน 3 การทดลอง ในฐานะตัวแทนประเทศไทยร่วมเข้าแข่งขันกับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย จากนั้น JAXA จะคัดเลือกรอบสุดท้ายจำนวน 4-6 การทดลอง สำหรับทดลองจริงในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ บนสถานีอวกาศนานาชาติ โดย ดร.โคอิจิ วะกะตะ (Dr. Koichi Wakata) มนุษย์อวกาศญี่ปุ่น ทั้งนี้เยาวชนเจ้าของการทดลองจะมีโอกาสสื่อสารกับนักบินอวกาศแบบเรียลไทม์และรับชมถ่ายทอดสดการทดลองที่ส่งตรงมาจากศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น     “การรับสมัครของโครงการ Asian Try Zero-G 2022 ในปีนี้ จะเปิดรับ 2 รุ่น คือ รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี และรุ่นอายุไม่เกิน 27 ปี สามารถสมัครเป็นรายบุคคลหรือกลุ่ม (ไม่จำกัดจำนวนสมาชิกในกลุ่ม) โดยส่งไอเดียการทดลองทางฟิสิกส์อย่างง่ายที่ทำได้โดยใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ใน Kibo Module ของ JAXA บนสถานีอวกาศนานาชาติ หรือสามารถเสนอใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กอื่นๆ เพื่อส่งขึ้นไปบนสถานีอวกาศได้ ซึ่งข้อเสนอไอเดียการทดลองต้องมีสมมติฐาน หลักการ และเหตุผลของการทดลอง ที่สำคัญขั้นตอนการทดลองต้องมีความเรียบง่ายและทำให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 10 นาที นับเป็นโอกาสดีๆ ที่เยาวชนไทยจะได้มีประสบการณ์ในการคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีอวกาศในอนาคต จึงอยากเชิญชวนเยาวชนที่สนใจส่งใบสมัครเป็นภาษาอังกฤษมาได้ที่อีเมล spaceeducation@nstda.or.th ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565”   [caption id="attachment_31263" align="aligncenter" width="750"] นางสาววริศา ใจดี หรือน้องไอซี (ขวา)[/caption] ด้าน นางสาววริศา ใจดี หรือ น้องไอซี เยาวชนผู้ผ่านการคัดเลือกในโครงการ Asian Try Zero-G 2018 ด้วยไอเดียการทดลอง เรื่อง “การเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีน้ำหนักต่างกันภายในสลิงกีในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Inside the Slinky)” เล่าประสบการณ์ว่า โอกาสที่ได้เหมือนฝัน เพราะเมื่อก่อนเคยเห็นมนุษย์อวกาศแค่ในภาพยนตร์ พอได้เข้าร่วมโครงการฯ ได้มีโอกาสพูดคุยผ่านห้องปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ก็รู้สึกตื่นเต้น และเขายังทดลองความคิดที่เราเสนอไป ทำให้รู้สึกว่าเรื่องเล่นๆ ที่เราสงสัย อาจเป็นเรื่องที่น่าสนใจหากศึกษาในรายละเอียดจริงจัง วันหนึ่งเราอาจค้นพบอะไรใหม่ๆ ที่จุดประกายจากคำถามง่ายๆ ก็เป็นได้ การได้เข้าร่วมโครงการฯ จึงเป็นประสบการณ์ที่ช่วยผลักดันให้เรามีความอยากรู้เรื่องราวของอวกาศมากขึ้น รวมทั้งได้เรียนรู้แนวความคิดของเพื่อนๆ นานาชาติที่ช่วยเปิดโลกทัศน์แห่งทฤษฎีฟิสิกส์อีกด้วย “สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจ แนะนำว่าให้ลืมทฤษฎีเกี่ยวกับอวกาศที่เรียนมาให้หมดก่อน แล้วลองจินตนาการดูว่าอุปกรณ์ที่เขามีให้ใช้สามารถทำอะไรสนุกๆ ได้บ้างในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ หรือลองศึกษาดูจากการทดลองก่อนหน้านี้ว่ามีการทดลองเรื่องอะไรบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอีกหลายอย่างที่มนุษย์อวกาศยังไม่ได้ลองทำ ฉะนั้นทุกเรื่องบนโลกสามารถเป็นเรื่องใหม่ในอวกาศได้”   [caption id="attachment_31264" align="aligncenter" width="750"] นายวรวุฒิ จันทร์หอม (มอส)[/caption] ขณะที่ นายวรวุฒิ จันทร์หอม (มอส) เยาวชนผู้ผ่านการคัดเลือกในโครงการ Asian Try Zero-G 2016 ด้วยไอเดียการทดลองเรื่อง “การโค้งของผิวของเหลวในอวกาศ (Capillary in Zero Gravity)”  เล่าว่า การได้เข้าร่วมโครงการฯ เป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญที่ได้สื่อสารกับมนุษย์อวกาศจริงๆ เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อมาก สำหรับไอเดียการทดลองที่ส่งประกวดครั้งนั้นมีที่มาจากสิ่งที่เห็นรอบตัว คือสังเกตเห็นน้ำที่อยู่ในหลอดทดลอง แล้วเกิดคำถามในใจว่าควรอ่านค่าตรงจุดไหนถึงจะได้ค่าที่แม่นยำที่สุด เนื่องจากผิวของน้ำมีลักษณะเว้านูน  จึงส่งไอเดียคำถาม “แรงโน้มถ่วงของโลกมีผลต่อการเว้านูนของผิวของเหลวหรือไม่” ไป พร้อมทั้งออกแบบการทดลองที่ไม่ซับซ้อนและคำอธิบายให้ทาง JAXA เข้าใจแบบง่ายๆ ด้วยการวาดรูปการทดลองลงไปในใบสมัคร     “สำหรับในปี 2565 นี้ ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของเยาวชนไทย ที่จะมีโอกาสได้เข้าร่วมเสนอไอเดียการทดลองกับทาง JAXA อยากเชิญชวนน้องๆ ที่มีไอเดียเจ๋งๆ ร่วมส่งใบสมัครเสนอไอเดียการทดลองเข้ามาเยอะๆ โดยพยายามเขียนให้เข้าใจง่าย และศึกษาข้อกำหนดของทาง JAXA ให้ดี เนื่องจากการทดลองต้องเป็นการทดลองที่ปลอดภัย ไม่ซับซ้อน และมีข้อจำกัดเรื่องเวลา สุดท้ายนี้ขอให้กำลังใจน้องๆ ทุกคน ผมเชื่อว่าเด็กไทยมีความคิด มีความสามารถ และจะได้รับคัดเลือกในปีนี้แน่นอนครับ” ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดข้อมูลและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการ Asian Try Zero-G 2022 ได้ที่ E-mail: spaceeducation@nstda.or.th, Website: โครงการ Asian Try Zero-G 2022 ท้าทาย ท้าไทย ไอเดียสุดปิ๊ง ทดลองจริงในอวกาศ และ Facebook: Asian Try Zero-G 2022
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
สวทช. หนุนนวัตกรรมเสริมอัตลักษณ์ผ้าทอ “ทุ่งกุลา”
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนา "ENZease" นวัตกรรมเอนไซม์จากจุลินทรีย์ธรรมชาติ มีคุณสมบัติสามารถทำความสะอาดและลอกแป้งออกจากเส้นใยในขั้นตอนเดียว เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตผ้าทอ   โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ สวทช. ได้นำนวัตกรรมเอนไซม์ ENZease ไปเสริมกับภูมิปัญญาการทำผ้าทอของชาวชุมชนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเฉพาะ "ผ้าทอเบญจศรี" ที่เป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่นของ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเอนไซม์ ENZease ช่วยทำให้ผ้าย้อมสีธรรมชาติได้ดีขึ้น สีสวยสม่ำเสมอ และยังช่วยลดระยะเวลาการฟอกย้อม ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุน โดยปราศจากการใช้สารเคมีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเศรษฐกิจใหม่ BCG model และเป็นไปตามแผนงานของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ที่ต้องการขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้   นอกจากนี้ สวทช. ยังได้ใช้นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีเพื่อทำให้ผ้าทอเบญจศรีมีกลิ่นหอมของ "กลิ่นดอกลำดวน" ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ ช่วยเพิ่มเสน่ห์และเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่นให้กับผ้าทอแห่งดินแดนทุ่งกุลา.  
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
เอ็มเทค สวทช. มอบ “ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ช่วยให้ ‘เปลือกบาง-เนื้อหนาขึ้น’ ลดสารเคมี สู่ต้นแบบสวนทุเรียนพรีเมี่ยมเพื่อการส่งออก
วันที่ 7 เมษายน 2564 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) นำโดยนางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ นักวิจัย ทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช. ผศ.ดร. ลำแพน ขวัญพูล อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) พร้อมด้วยนายพีรพันธ์ จิวะพรทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี Magik Growth และคุณอรทัย เอื้อตระกูล อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนำเข้าและส่งออกสินค้าพืชและปัจจัยการผลิต ร่วมลงพื้นที่มอบ “ถุงห่อทุเรียน Magik Growth สู่ต้นแบบสวนทุเรียนพรีเมี่ยมเพื่อการส่งออก” ณ สวนทุเรียนคุณนวลนภา ต.วังหว้า อ.แกลง ระยอง โดยมี นางสาวนวลนภา เจริญรวย เจ้าของสวนทุเรียนคุณนวลนภา “สวนสไตล์ช๊าลฮิ” อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ให้การต้อนรับ นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มุ่งพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีต่างๆ นำมาขยายผลพื้นที่สาธิตเทคโนโลยีเพื่อการทดสอบประสิทธิภาพและเพิ่มมูลค่าทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่มีการส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เช่น นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth โดยทางทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ซึ่งได้ร่วมมือกับคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ทำการทดสอบภาคสนามตั้งแต่ปี 2562 และมีการจัดเก็บข้อมูลผลวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าถุงห่อทุเรียน Magik Growth สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ถึง 2 ฤดูกาลผลิต เป็นการช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงศัตรูพืช สามารถเพิ่มน้ำหนัก และคุณภาพผิวผลทุเรียนและสามารถจำหน่ายเป็นเกรดพรีเมี่ยมได้ โดยทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2564 เพื่อผลิตและจำหน่ายในประเทศ สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth ตอบโจทย์ ‘ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน’ ที่สามารถนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด รวมทั้งตอบโจทย์ ‘ระบบเศรษฐกิจสีเขียว’ ที่มีการมุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก และผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน สวทช. ยังดำเนินการในส่วนของพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) การลงพื้นที่ครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของ EECi ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่นวัตกรรมในจ.ระยอง ที่สวทช. ดูแลอยู่ ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ในปี 2564 ทุเรียนเป็นพืชส่งออกอันดับ 2 แต่ชาวสวนทุเรียนยังประสบปัญหาทั้งเรื่องโรคแมลงศัตรูพืชและสัตว์กัดแทะที่ทำลายทุเรียนในระยะพัฒนาผลจนเกิดความเสียหาย ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่แก้ปัญหาโดยใช้สารเคมียาฆ่าแมลงในการฉีดพ่น ซึ่งนอกจากจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ยังเกิดปัญหาสุขภาพตามมา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. จึงนำองค์ความรู้เรื่องวัสดุศาสตร์โดยพัฒนาสูตรผสมเม็ดพลาสติก (polymer compound) ร่วมกับเทคโนโลยีการขึ้นรูปนอนวูฟเวน เพื่อให้วัสดุนอนวูฟเวนมีสมบัติให้น้ำและอากาศผ่านเข้าออกได้โดยง่าย รวมถึงมีสมบัติการคัดเลือกช่วงแสงที่เหมาะสมกับเซลล์รับแสงที่ผิวผลไม้ โดยได้ผลิตเป็นนวัตกรรมวิจัยต้นแบบชื่อทางการค้าว่า Magik Growth หรือ นวัตกรรมถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวน ช่วยให้ทุเรียนที่ถูกห่อด้วยถุงห่อ Magik Growth สามารถสร้างสารสำคัญในผลไม้ทั้งแป้ง น้ำตาล สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ โดยได้ทดลองทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและระดับภาคสนามร่วมกับ ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในพื้นที่สวนทุเรียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน และมีการจัดเก็บข้อมูลผลวิจัยอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ถึง 2 ฤดูกาลผลิต เป็นการช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงศัตรูพืช ทั้งนี้การห่อทุเรียนด้วยถุงห่อทุเรียน Magik Growth มีข้อดีเรื่องน้ำหนักผลทุเรียนเพิ่มขึ้น โดยผลการทดสอบเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา น้ำหนักทุเรียนเพิ่มขึ้น 17.7 % จากจำนวนสวนทุเรียน 6 สวนในจังหวัดระยอง และน้ำหนักเพิ่มขึ้น 14.4% จากจำนวนสวนทุเรียน 4 สวนในพื้นที่ จังหวัดนราธิวาส สำหรับนวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth ขณะนี้มีบริษัทเอกชนที่ได้รับสิทธิถ่ายทอดเทคโนโลยีและมีการผลิตเพื่อจัดจำหน่ายแล้ว ผศ.ดร. ลำแพน ขวัญพูล อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ทีมวิจัย สจล. ซึ่งมีส่วนในการทดสอบให้กับทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ภายใต้ โครงการการขยายผลนวัตกรรมถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวนเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตชาวสวนทุเรียน ได้นำถุงห่อ Magik Growth จำนวน 4 สี (น้ำเงิน ขาว ดำ และแดง) มาทดสอบห่อทุเรียนที่สวนคุณนวลนภา อ.แกลง จ.ระยอง เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับทุเรียนที่ไม่ได้ห่อ และทุเรียนที่ห่อด้วยถุงตาข่ายทางการเกษตรซึ่งเกษตรกรใช้อยู่เดิม เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของถุงห่อ Magik Growth โดยมีการเก็บข้อมูลทั้งความชื้น อุณหภูมิตลอดช่วงการห่อ ผลจากทดสอบต่อเนื่อง 3 ฤดูกาลผลิต พบว่าถุงห่อทุเรียน Magik Growth สีแดง ได้ผลเป็นที่น่าพอใจที่จะนำมาใช้ห่อทุเรียนแทนการฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช อีกทั้งยังช่วยเพิ่มขนาดผลทุเรียนตลอดจนมีปริมาณเนื้อของทุเรียนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยข้อมูลจากการทดสอบปี 2564 น้ำหนักผลทุเรียนสดที่ไม่ห่อผล มีน้ำหนักเฉลี่ย 3.56 กิโลกรัม เปรียบเทียบกับการห่อผลด้วยถุง Magik Growth น้ำหนักเฉลี่ย 4.05 กิโลกรัม ความหนาเปลือกทุเรียน พบว่าผลที่ไม่ห่อเปลือกหนา 1.36 เซนติเมตร ส่วนผลที่ห่อด้วยถุง Magik Growth เปลือกหนาเพียง 1.01 เซนติเมตร และเมื่อวัดสัดส่วนน้ำหนักเปลือก น้ำหนักเนื้อ และน้ำหนักเมล็ด จะได้น้ำหนักในพูทุเรียน เปรียบเทียบการไม่ห่อผล (control) ได้น้ำหนัก 290 กรัม กับการห่อผลด้วยถุง Magik Growth ได้น้ำหนักสูงถึง 379 กรัม “จากการเก็บข้อมูลภายในลูกทุเรียน พบว่าทุเรียนที่ห่อด้วยถุง Magik Growth มีความหนาของเปลือกบางลง 30% ทำให้ได้น้ำหนักรวมผลทุเรียน เพิ่มขึ้น 10% มีความแน่นเนื้อมากขึ้น และสีเนื้อเหลืองขึ้น และการห่อผลด้วยถุง Magik Growth ไม่มีผลต่อการแก่ของผลทุเรียนบนต้น โดยผลที่ห่อมีการสะสมน้ำหนักแห้งเพิ่มขึ้น เมื่อนำมาเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องพบว่า ผลทุเรียนที่ห่อด้วยถุง Magik Growth มีการสุกช้ากว่าผลที่ไม่ได้ห่อประมาณ 2 วัน” อย่างไรก็ตามจุดเด่นของทุเรียนที่ห่อด้วยถุงห่อทุเรียน Magik Growth จะมีสีของเปลือกที่สวยเป็นสีเขียวแกมเหลืองซึ่งเป็นธรรมชาติของสีผิวของผลไม้ที่ห่อถุง เปลือกสวยและแม้จะดูภายนอกไม่เหมือนทุเรียนแก่ แต่ผลผลิตที่ผ่านการทดสอบมาหลายฤดูการผลิตมีคุณภาพมาตรฐาน นางสาวนวลนภา เจริญรวย เจ้าของสวนทุเรียนสไตล์ช๊าลฮิ อ.แกลง จ.ระยอง เปิดเผยว่า เป็นชาวสวนทุเรียนมือใหม่จากการปลูกทุเรียนเมื่อปี 2554 และได้ผลผลิตครั้งแรกใน 5 ปีถัดมา โดยในสวนมีการปลูกทุเรียนแบบกอ (1 โคก 3 ต้น) เพื่อช่วยในเรื่องของการค้ำยันลำต้นไม่ให้ล้มง่าย ลดปริมาณการไว้ผลต่อต้นลง ทำให้ต้นไม่โทรมหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต และเน้นการตัดแต่งต้นให้มีทรงพุ่มสูงไม่เกิน 6 เมตร ทั้งนี้จากประสบการณ์ทำสวนทุเรียนเกือบ 10 ปีทำให้เห็นว่าทุเรียนเป็นพืชที่ต้องอาศัยความใส่ใจดูแลทุกขั้นตอน จึงมีความตั้งใจที่จะลดใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงจากปัญหาโรคและแมลง โดยเฉพาะทุเรียนระยะพัฒนาผล (อายุ 65-70 วัน ผลทุเรียนมีขนาดเท่าขวดน้ำอัดลมขนาด 1.5 ลิตร) ซึ่งเป็นระยะที่ผลมีการสะสมแป้งก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเมื่อผลสุก (อายุ 110-120 วัน) โดยระยะพัฒนาผลนี้มักจะถูกหนอนเจาะผลทุเรียน หรือ หนอนรัง เพลี้ยแป้ง และราดำเข้าทำลาย ทำให้ผลทุเรียนเล็กแคระแกร็นไม่เจริญเติบโต คุณภาพของผลทุเรียนไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค กระทั่งช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา ได้ทราบผลทดสอบการใช้นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากทีมนักวิจัย เอ็มเทค  สวทช. และอาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง ผลปรากฏว่าถุงห่อทุเรียน Magik Growth นอกจากจะช่วยตอบโจทย์การลดสารเคมี ป้องกันหนอนเจาะผลทุเรียน และเพลี้ยแป้ง ราดำ ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ผิวผลทุเรียนสวย ผลได้น้ำหนักดีและมีปริมาณเนื้อทุเรียนเพิ่มขึ้นด้วย “เดิมทีเราก็ใช้ถุงตาข่ายทางการเกษตร ห่อทุเรียนเพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชแทนการฉีดพ่นสารเคมีอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งป้องกันหนอนรังได้ แต่ก็ยังประสบปัญหาว่าไม่สามารถป้องกันเพลี้ยแป้ง กับราดำได้ ทำให้ผิวทุเรียนไม่สวย และเกิดความเสียหาย แต่เมื่อเริ่มทดลองใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth มาได้ระยะหนึ่งแล้ว นอกจากจะช่วยลดต้นทุนจากสารเคมีประมาณ 6 ครั้ง ยังช่วยป้องกันเพลี้ยแป้งและราดำได้ด้วย ทำให้ทุเรียนมีผิวผลสวย ผลเจริญเติบโตได้ดี ผลผลิตมีคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งส่งผลถึงความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคที่ได้บริโภคทุเรียนที่ปลอดภัย ปริมาณน้ำหนักผลเพิ่มขึ้นช่วยให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นและลดการใช้สารเคมีส่งผลต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสิ่งแวดล้อมในสวนดีขึ้นมาก ถือเป็นแนวทางในการสร้างความยั่งยืนให้กับชาวสวนทุเรียนยุคใหม่  โดยเฉพาะหากอนาคตมีปัญหาวิกฤติราคาทุเรียนจะทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้ โดยปีนี้เป็นปีแรกที่จะขายทุเรียนที่เป็นผลผลิตจากถุงห่อทุเรียน Magik Growth โดยจะทดลองส่งไปที่ประเทศจีนซึ่งติดต่อจองขอรับซื้อแล้ว” นายพีรพันธ์ จิวะพรทิพย์กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี Magik Growth กล่าวว่า เมื่อ 5 ปี ที่แล้วทางบริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ฯ ได้เลือกนวัตกรรมของเอ็มเทค ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ซึ่งมีการทดลองร่วมกับเกษตรกรชาวสวนทุเรียนในเครือข่ายของ เอ็มเทค สวทช. มานานเกือบ 4 ปี ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทั้งเรื่องคุณภาพของถุงที่ใช้ได้นานใช้ซ้ำได้ถึง 2 ปี และประสิทธิภาพของถุงห่อยังช่วยให้ทุเรียนมีคุณภาพมาก ปัจจุบันได้มีการผลิตถุงห่อทุเรียน Magik Growth สำหรับจำหน่ายแก่ผู้ประกอบการชาวสวนทุเรียนแล้ว ผู้สนใจสามารถหาซื้อถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากบริษัทบริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ฯ และเร็วๆ นี้กำลังพัฒนาช่องทางจำหน่ายในห้างโมเดิร์นเทรด เช่น โฮมโปร เป็นต้น เดิมทีบริษัทจะรับนวัตกรรมมาจากต่างประเทศทั้งหมดซึงถุง Magik Growth ถือเป็นนวัตกรรมไทยผลงานแรกที่บริษัทซื้อสิทธิ์มาผลิตเพื่อจำหน่าย บริษัทเชื่ออย่างหนึ่งว่าสินค้านวัตกรรม ต้องมีพาร์ทเนอร์ที่เห็นตรงกัน ซึ่งทางเอ็มเทค สวทช. สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้” คุณอรทัย เอื้อตระกูล อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนำเข้าและส่งออกสินค้าพืชและปัจจัยการผลิต กล่าวว่า การห่อผลทุเรียน ถือเป็นครั้งแรกๆ ที่เคยเห็น ซึ่งจากการตรวจดูสวนแล้วเห็นว่าเป็นการตอบโจทย์เรื่องการส่งออก โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัยพืชซึ่งต่างประเทศให้การยอมรับระดับหนึ่ง โดยการใช้ถุงห่อทุเรียน ถือเป็นการลดการใช้สารเคมีได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะปัญหาศัตรูพืชทำลายผลทุเรียน ดังนั้นควรส่งเสริมให้ทำต่อเนื่องเพื่อรักษามาตรฐานการส่งออก โดยเฉพาะเรื่องปัญหาศัตรูพืชและสารตกค้างในทุเรียน ซึ่งจะทำให้ทุเรียนไทยไปได้ไกลอีกมาก อย่างไรก็ตามขณะนี้ประเทศจีนและญี่ปุ่นติดต่อขอซื้อทุเรียนที่ใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ทั้งสวนของคุณนวลนภาแล้ว เนื่องจากเชื่อมั่นในมาตรฐานและการลดสารเคมีในกระบวนการผลิต เกี่ยวกับ ‘โมเดลเศรษฐกิจ BCG’ โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและประชาชนมีรายได้มากขึ้นด้วยการต่อยอดจุดแข็งของประเทศทั้งในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ประกอบด้วย Bioeconomy (ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากร Circular Economy (ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน) การนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และ Green Economy (ระบบเศรษฐกิจสีเขียว) ที่มุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เป็นกลไกลสำคัญที่จะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเดิมจาก ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ไปสู่ ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ประกาศรับข้อเสนอการวิจัยเพื่อขอรับการสนับสนุนทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2565
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศรับข้อเสนอการวิจัยเพื่อขอรับการสนับสนุนทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2565 เพื่อสนับสนุนการสร้างกลุ่มนักวิจัยที่มีความสามารถสูง ที่ตั้งเป้าท้าทาย สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ มีการเชื่อมโยงกับการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานการวิจัย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ของประเทศ อันจะนำไปสู่การสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติ ตั้งแต่บัดนี้ – 10 พฤษภาคม 2565 ภายในเวลา 18.00 น. และต้นสังกัดรับรองข้อเสนอการวิจัย ภายในวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 เวลา 18.00 น. ผ่านระบบ NRIIS ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://nriis.go.th/NewsEventDetail.aspx?nid=11554
ปฏิทินกิจกรรม