หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
อว. นำคณะผู้บริหาร ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๖ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)นำโดย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัด อว. รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ รองปลัด อว. พร้อมคณะผู้บริหารภายใต้สังกัด อว. และ ดร. จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๖ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ณ ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดผลงานทีมเยาวชนไทย! คว้า 10 รางวัล Regeneron ISEF 2023
สัมภาษณ์เปิดใจ! 7 ทีมเยาวชนไทยคนเก่ง ที่ได้เล่าถึงผลงานและแรงบันดาลใจที่มาของความสำเร็จหลังไปคว้า 10 รางวัลระดับโลก บนเวทีการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ Regeneron ISEF 2023 ที่สหรัฐอเมริกา
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. เตือนภัย ‘เห็ดพิษอันตราย’ ภัยร้ายฤดูฝน
(วันที่ 1 มิถุนายน 2566) ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อาคารโยธี : ทีมวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. นำโดย ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ นางสาวธิติยา บุญประเทือง หัวหน้ากลุ่มวิจัยเห็ด ธนาคารจุลินทรีย์ (NBMB) ภายใต้ธนาคาร ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) เปิดให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อมวลชนในกิจกรรม NSTDA Meets the Press เรื่อง “รู้ทันเห็ดพิษ ภัยร้ายฤดูฝน” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจถึงพิษภัยของเห็ดพิษให้แก่ประชาชน ภายหลังพบข่าวชาวบ้านใน ต.กกสะทอน อ.ด่านซ้าย จ.เลย จำนวน 9 คน เก็บเห็ดระงากหรือระโงกหินที่มีพิษนำไปทำอาหารบริโภค จนเกิดอาการท้องร่วง และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 คน ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สวทช. กล่าวว่า ฤดูฝนคือฤดูกาลของการเก็บเห็ดป่าในธรรมชาติ ซึ่งต้องยอมรับว่าเห็ดป่ามีความสำคัญ ทั้งในแง่ของการเป็นแหล่งอาหารและรายได้ของชุมชน แต่ด้วยเห็ดมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีทั้งเห็ดกินได้และเห็ดมีพิษ เห็ดพิษบางชนิดมีรูปร่างคล้ายกับเห็ดกินได้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็ดอ่อนในระยะดอกตูม จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด และเป็นสาเหตุให้ประชาชนเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการรับประทานเห็ดพิษจำนวนมากทุกปี “ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ  โดยทีมนักวิจัยพิพิธภัณฑ์เห็ดราของธนาคารจุลินทรีย์ มีความเชี่ยวชาญด้านอนุกรมวิธานเห็ดราและดำเนินการสำรวจเก็บตัวอย่าง เพื่อจัดทำลักษณะทางสัณฐานวิทยาของเห็ดราในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน มีตัวอย่างเห็ดที่พบในประเทศไทยและเก็บเป็นหลักฐานในพิพิธภัณฑ์ฯ ประมาณ 49,635 ตัวอย่าง จำนวน 2,600 ชนิด และที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกับศูนย์พิษวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ในการตรวจวินิจฉัยชนิดของเห็ดป่าที่มีพิษตั้งแต่ปี 2551 ทำหน้าที่ช่วยจำแนกชนิดเห็ดพิษเมื่อมีกรณีผู้เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากการบริโภคเห็ดพิษ ขณะเดียวกันยังลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเห็ดพิษ พร้อมทั้งศึกษาวิจัยรวบรวมข้อมูลการจัดจำแนกเห็ดพิษเบื้องต้น และจัดทำเป็นองค์ความรู้ในการสังเกตเห็ดพิษสำหรับอบรมถ่ายทอดให้แก่ชุมชน รวมถึงรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้ เพื่อลดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการบริโภคเห็ดพิษ" สำรวจ “เห็ดพิษ” ติดอันดับคร่าชีวิตคนไทย นางสาวธิติยา บุญประเทือง หัวหน้ากลุ่มวิจัยเห็ด ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการบริโภคเห็ดพิษส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากผู้ที่ไม่ชำนาญในการเก็บเห็ด หลายกรณีเป็นลูกหลานที่กลับบ้านหลังจากทำงานในเมือง พอเห็นเห็ดอยากเก็บมารับประทาน และคิดว่าเป็นเห็ดชนิดเดียวกับที่พ่อแม่เคยทำอาหารให้ แต่ไม่รู้ว่ามีกลุ่มเห็ดพิษที่รูปร่างคล้ายกัน จึงทำให้เกิดอันตราย สะท้อนให้เห็นการขาดช่วงการสืบทอดความรู้ในการจำแนกเห็ดป่าจากปู่ย่าตายายจากพ่อแม่สู่ลูกหลาน อีกกรณีหนึ่งคือป่าบ้านตนเองแทบไม่เหลือเห็ดแล้ว จึงย้ายไปเก็บเห็ดในป่าพื้นที่อื่น ทำให้ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ และเก็บเห็ดพิษมาบริโภค นอกจากนี้อาจมาจากการที่ชาวบ้านเก็บเห็ดทุกชนิดใส่ตะกร้ารวมกัน ซึ่งเห็ดพิษหนึ่งดอกมีพิษในแทบทุกส่วน ตั้งแต่สปอร์ หมวก ครีบ ก้าน ทำให้พิษหล่นไปปนเปื้อนกับเห็ดชนิดอื่น ๆ การล้างทำความสะอาดอาจไม่ช่วยให้ส่วนพิษของเห็ดที่ปนมาในตระกร้าเดียวกันหมดไป ย่อมมีโอกาสได้รับพิษ ที่สำคัญสารพิษจากเห็ดบางชนิดมีความเป็นพิษรุนแรงมาก โดยสารพิษเพียงระดับไมโครกรัมก็เป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ “ตัวอย่างเห็ดพิษที่พบบ่อยในประเทศไทยและเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ในแต่ละปี เช่น เห็ดในกลุ่มเห็ดระโงกพิษ อย่างเห็ดระโงกหิน เห็ดระงาก หรือเห็ดไข่ตายซาก ซึ่งมีพิษร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต เห็ดชนิดนี้คล้ายคลึงกับเห็ดระโงกขาว หรือเห็ดไข่ห่านที่รับประทานได้ หากสังเกตเบื้องต้นจะพบว่าเห็ดระโงกหินมีเกล็ดขาวขนาดเล็ก ฝุ่นผงสีขาวปกคลุมบนหมวกดอก และก้านกลวง ขณะที่เห็ดระโงกขาวหมวกเรียบมัน กลางหมวกดอกอมเหลืองเล็กน้อย และก้านตันเนื้อแน่น แต่ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่นิยมบริโภคเห็ดระโงกขาวในช่วงดอกเห็ดบานแล้ว แต่จะนิยมเก็บช่วงเห็ดอ่อน ซึ่งมีลักษณะดอกเห็ดตูมคล้ายไข่ กลมรี จึงยากต่อการจำแนก ต่อมาคือเห็ดถ่านครีบเทียน มักสับสนกับเห็ดถ่านและเห็ดนกเอี้ยง โดยเห็ดถ่านครีบเทียนมีสารพิษกลุ่มโคพลีน (Coprine) คือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ความดันโลหิตสูง ปากชา มีอาการขาดน้ำ หัวใจล้มเหลว เห็ดถ่านเลือด มีลักษณะคล้ายกับเห็ดถ่านใหญ่ ซึ่งเห็ดถ่านเลือดหากมีรอยโดนสัมผัสหรือโดนใบมีด จะมีสีแดงติดบริเวณเนื้อเห็ด หากรับประทานเข้าไปจะทำให้เกิดสภาวะกล้ามเนื้อสลาย จนกระทั่งเกิดอาการตับและไตวายและเสียชีวิต เห็ดระโงกพิษสีน้ำตาล คล้ายกับเห็ดระโงกยูคาจนไม่สามารถจำแนกด้วยตาเปล่า มีพิษรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตและเป็นชนิดใหม่ที่พบในประเทศไทย เมื่อปี 2560 กลุ่มเห็ดคล้ายกับเห็ดโคน เป็นเห็ดอีกชนิดที่มีพิษรุนแรงถึงชีวิต พบระบาดได้มากเพราะมีลักษณะเหมือนกับเห็ดโคนที่ได้รับความนิยมมาก  นอกจากนี้ยังมีเห็ดพิษที่มีการเก็บผิดเป็นประจำทุกปี ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วย แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต คือ เห็ดหัวกรวดครีบเขียว มีความคล้ายคลึงกับเห็ดนกยูง และเห็ดกระโดงที่รับประทานได้ โดยในช่วงที่เป็นดอกอ่อนจะคล้ายกันมาก เมื่อเห็ดเริ่มแก่สปอร์ของเห็ดหัวกรวดครีบเขียวจะเปลี่ยนสีและทำให้ครีบใต้ดอกมีสีเขียวปนเทา ส่วนเห็ดนกยูงสปอร์จะเป็นสีขาวไม่เปลี่ยนสี เมื่อแก่ครีบใต้ดอกจะมีสีขาว สำหรับอาการที่เกิดจากการบริโภคเห็ดชนิดนี้ไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสียภายใน 5 นาที ถึง 1 ชั่วโมง” สร้างคลังข้อมูลคัดแยก ‘เห็ดพิษ’ ด้วยลายพิมพ์เพปไทด์ นางสาวธิติยา กล่าวว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยพิพิธภัณฑ์เห็ดราทำงานสนับสนุนศูนย์พิษวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ในการตรวจวินิจฉัยชนิดของเห็ดป่าที่มีพิษ โดยเมื่อมีเคสผู้ป่วยหรือเสียชีวิตจากการบริโภคเห็ดพิษ ทีมสืบสวนเคลื่อนที่เร็วในพื้นที่จะส่งตัวอย่างให้ศูนย์พิษวิทยาดำเนินการตรวจสารพิษ พร้อมทั้งส่งตัวอย่างบางส่วนให้ทีมวิจัยจำแนกชนิดเห็ด เพื่อยืนยันร่วมกันว่าเป็นเห็ดพิษจริงหรือไม่ ปัญหาที่ผ่านมาคือ หากชาวบ้านนำเห็ดพิษมาทำอาหาร ตัวอย่างเห็ดที่ได้จะเป็นชิ้นส่วนที่มีลักษณะรูปร่างไม่สมบูรณ์ ซึ่งยากต่อการจำแนกชนิดเห็ด หรือในกรณีไม่เหลือตัวอย่างให้ตรวจ ก็จะใช้วิธีบอกตำแหน่งที่เก็บเห็ดเพื่อให้ทีมสอบสวนไปเก็บตัวอย่าง แต่ด้วยเห็ดมีวงจรชีวิตสั้น บางชนิดขึ้นมาเพียง 2-3 วันก็หายไปจากพื้นที่แล้ว ทำให้ไม่พบเห็ดพิษ หรือตัวอย่างเห็ดที่เก็บมาก็อาจไม่ใช่เห็ดพิษ “เพื่อให้การจัดจำแนกเห็ดพิษทำได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น ทีมวิจัยพัฒนา “คลังข้อมูลเห็ดกินได้และเห็ดพิษในประเทศไทย” จากการวิเคราะห์ “ลายพิมพ์เพปไทด์” (กรดอะมิโนสายสั้น ๆ ที่เป็นส่วนสร้างสารพิษของเห็ด) ในตัวอย่างเห็ด ด้วยเครื่องวัดมวล MALDI-TOF (Matrix-Assisted Laser Desorption/Ionization-Time of Flight) ทำให้ได้ลายพิมพ์มวลเพปไทด์ของเห็ดแต่ละชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละสายพันธุ์ และรวบรวมเป็นคลังข้อมูลสำหรับใช้เป็นเครื่องมือในการจัดจำแนกชนิดเห็ดและความเป็นพิษ ซึ่งปัจจุบันพิพิธภัณฑ์เห็ดรามีการจัดทำลายพิมพ์มวลเพปไทด์ของเห็ดในประเทศไทยแล้วมากกว่า 200 ตัวอย่าง ข้อดีของการพัฒนาวิธีจำแนกชนิดเห็ดด้วยการวิเคราะห์ลายพิมพ์เพปไทด์ คือใช้ตัวอย่างปริมาณน้อย และแม้สภาพตัวอย่างเห็ดจะเหลือเป็นเพียงเศษซากหรือแย่แค่ไหนก็ยังใช้ตรวจวิเคราะห์ได้ ที่สำคัญต้นทุนการตรวจวิเคราะห์ต่อครั้งมีราคาถูก ทราบผลภายในไม่เกิน 30 นาที  และมีความแม่นยำ ดังนั้นหากมีเคสผู้ป่วยจากการบริโภคเห็ดพิษ โดยตัวอย่างเห็ดที่ได้มาจะไม่สมบูรณ์ ก็สามารถนำเข้าเครื่องวิเคราะห์ลายพิมพ์มวลเพปไทด์ และนำผลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับคลังข้อมูลที่จัดทำไว้ จะทราบทันทีว่าเป็นเห็ดพิษชนิดใด ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลกับแพทย์รักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ให้ทราบถึงชนิดเห็ดพิษที่ต้องระวังได้ทันการณ์ ลดอัตราการเสียชีวิตจากการบริโภคเห็ดพิษได้มากขึ้น นางสาวธิติยา กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาคลังข้อมูลเห็ดกินได้และเห็ดพิษในประเทศไทย ไม่เพียงเป็นประโยชน์ช่วยสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขในการตรวจยืนยันชนิดเห็ดพิษที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทีมวิจัยยังลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเห็ดพิษที่มีลักษณะทางสัณฐานวิทยาที่สมบูรณ์ เพื่อนำมาวิเคราะห์ ถ่ายภาพ และรวบรวมข้อมูลลักษณะสำคัญต่าง ๆ สำหรับพัฒนาคลังข้อมูลเห็ดให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เหมาะต่อการนำไปใช้สื่อสารให้ชาวบ้านมีความรู้ความเข้าใจและเก็บเห็ดป่ามาเป็นแหล่งอาหารและรายได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืน อย่างไรก็ดีการวิเคราะห์ลายพิมพ์มวลเพปไทด์ยังใช้ตรวจจำแนกชนิดเห็ดกินได้ หากมีความต้องการยืนยันสายพันธุ์เห็ดก่อนนำไปเพาะปลูก อีกทั้งในอนาคตทีมวิจัยมีแผนขยายผลไปสู่การจัดทำคลังข้อมูลสัตว์มีพิษที่เป็นกลุ่มพิษที่วิเคราะห์จากเพปไทด์ได้เช่นเดียวกันกับเห็ดพิษ “สำหรับข้อควรระวังในการรับประทานเห็ดช่วงนี้ แนะนำว่าถ้าไม่มีความชำนาญในการแยกชนิดของเห็ด ไม่ควรเก็บเห็ดป่ามาบริโภคเด็ดขาด เพราะการจำแนกเห็ดจะดูเพียงหมวกหรือสีแต่ลำพังไม่ได้ ต้องดูเห็ดครบทุกลักษณะทั้งดอก ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญยืนยัน จึงอยากให้ผู้ที่บริโภคเห็ดและชาวบ้านที่เก็บเห็ด ยึดหลัก 3 ช. เพื่อความปลอดภัยจากเห็ดพิษ ได้แก่ 1.ไม่ชัวร์  คือ ทั้งคนกินและคนเก็บเห็ด หากไม่แน่ใจว่ารู้จักเห็ดชนิดนั้น ๆ ก็ไม่ควรเก็บ-ไม่ควรกิน 2.ไม่เชี่ยวชาญ คือ ถ้าไม่รู้ว่าเห็ดชนิดนั้น อันตรายหรือไม่ ให้สอบถามได้ที่สายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค และ 3.ไม่ชิม คือ ไม่ควรกิน หรือชิมเห็ดที่ไม่คุ้นเคยเพื่อลดความเสี่ยงและปลอดภัยจากเห็ดพิษ นอกจากนี้ควรเลี่ยงการเก็บเห็ดที่โดนฝนชะโดยตรงซึ่งอาจชะเอาสีดอกและเกล็ดบนหมวกของเห็ดให้หลุดไปหรือทำให้ลักษณะบางอย่างของเห็ดเปลี่ยนไปได้ ที่สำคัญก่อนเก็บเห็ดหรือก่อนปรุงอาหารต้องพิจารณาเห็ดทุกดอกอย่างรอบคอบ เพราะเห็ดที่มีพิษเพียงดอกเดียวก็เสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ ส่วนประชาชนทั่วไปควรเลือกซื้อเห็ดกับร้านค้าที่เชื่อถือได้ เลือกเห็ดที่สด และควรบริโภคทันที ไม่ควรเก็บเห็ดไว้นานเพราะอาจมีการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บป่วย” นางสาวธิติยา กล่าวทิ้งท้าย ผู้สนใจศึกษาข้อมูลเห็ดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก Macrofungi of Thailand (เห็ดราไลเคน จากป่าของไทย) https://m.facebook.com/groups/730883133682369/ และ เว็บไซต์ : https://oer.learn.in.th/nbt  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘Ross (รอส) บอดีสูทพยุงหลัง’ ป้องกันการบาดเจ็บจากการยกผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และสิ่งของน้ำหนักมาก (“Ross” Back-Support Exoskeleton for Injury Risk Reduction in Patient-handling and Heavy-lifting Tasks)
  ปัญหาการบาดเจ็บที่พบได้ส่วนใหญ่ในบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ต้องยกของที่มีน้ำหนักมากเป็นประจำ คือ ‘อาการปวดหลังส่วนล่าง’ ซึ่งหากปล่อยให้มีอาการบาดเจ็บเรื้อรังอาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นกระทบต่อการดำเนินชีวิตหรือต้องยุติการทำงานที่ใช้แรงจากกล้ามเนื้อหลังได้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับพันธมิตร ออกแบบและพัฒนา ‘Ross (รอส) ชุดบอดีสูทพยุงหลัง (Motion-assist exosuit) รุ่น Back support เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บให้คนไทย Lower back pain (LBP) is a prevalent musculoskeletal disorder associated with manual handling tasks in healthcare personnel, caregivers, and manual labor workers. Chronic injury to the back can affect quality of life and reduce workers’ ability to effectively perform their jobs. Researchers at the National Metal and Materials Technology Center (MTEC), under the National Science and Technology Development Agency (NSTDA), along with technical partners, have designed and developed a motion-assist exosuit for back support named “Ross”. The main function of “Ross” is to prevent back injuries for those who are at risk in their workplace.   [caption id="attachment_43472" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. (ขวา) (Dr.-Ing. Sarawut Lerspalungsanti, director of the Engineering Design and Computation (EDC) research group, MTEC, NSTDA (right))[/caption]   ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า มีคนวัยทำงานจำนวนมากที่มีอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่บริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง บริเวณ L5 แล S1 หรือบริเวณหมอนรองกระดูกในระดับที่รักษาให้หายขาดได้ยาก เช่น บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ดูแลที่ต้องยกหรือพลิกตัวผู้ป่วยและผู้สูงอายุเป็นประจำ ผู้ทำงานด้านการขนส่งที่ต้องยกสินค้าที่มีน้ำหนักมากโดยไม่สามารถใช้เครื่องทุ่นแรงช่วยได้ ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดจาก ‘การยกผิดท่าหรือการใช้งานร่างกายอย่างหนักเป็นประจำ’ ผลเสียที่ตามมาคือนอกจากคนวัยทำงานเหล่านั้นจะต้องเผชิญความเจ็บปวดในการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว อาจต้องย้ายตำแหน่งหรือเปลี่ยนอาชีพเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ร่างกายบาดเจ็บเพิ่มเติม หากเป็นลูกหลานที่ต้องดูแลผู้สูงอายุภายในบ้านก็อาจต้องว่าจ้างผู้ดูแลจากภายนอกมาให้การช่วยเหลือแทนด้วย According to Dr.-Ing. Sarawut Lerspalungsanti, director of the Engineering Design and Computation (EDC) research group, “Chronic injuries to the lower back, especially at the L5-S1 lumbosacral joint, is very common in the workforce and is difficult to cure. This type of injury is frequently found in nurses, caregivers, and those whose jobs often require lifting of heavy objects. The injuries can be caused by several ergonomic risk factors, e.g., high number of repetitions, poor posture, and heavy loads. The result is not only a decline in the individual’s quality-of-life due to chronic pain, but also reduced workplace productivity, which could further result in social and financial burdens.”   [caption id="attachment_43471" align="aligncenter" width="700"] ‘Ross (รอส) ชุดบอดีสูทพยุงหลัง (Motion-assist exosuit) รุ่น Back support’[/caption]   จากปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยได้พัฒนา ‘Ross (รอส) ชุดบอดีสูทพยุงหลัง (Motion-assist exosuit) รุ่น Back support’ เพื่อช่วยดูแลกล้ามเนื้อหลังของผู้ใช้งานผ่านการควบคุมร่างกายให้ออกแรงยกด้วยท่าทางที่เหมาะสม และช่วยทุ่นแรงกล้ามเนื้อจุดที่สำคัญ ดร.ศราวุธ อธิบายถึงกลไกการทำงานของ Ross ว่า เมื่อผู้ใช้งานสวมใส่ Ross และปรับชุดให้กระชับบริเวณกล้ามเนื้อ 4 จุด หน้าอก หลัง เอว และต้นขา ชุดจะช่วยควบคุมให้ผู้ใช้งานออกแรงยกด้วยท่าทางที่เหมาะสมหรือท่า ‘สควอต (Squat)’ เป็นการย่อเข่าลง ยืดหลังตรง เกร็งหน้าท้อง แล้วใช้แรงจากแขนและขาในการยกสิ่งของขึ้น ซึ่งชุดจะควบคุมไม่ให้ผู้ใช้งานยกสิ่งของด้วยท่าก้มโค้งแล้วใช้แรงจากหลังในการยก เพราะเป็นท่าที่เสี่ยงต่อการทำให้กล้ามเนื้อหลังบาดเจ็บ “เมื่อผู้ใช้งานยกของด้วยท่าสควอต ร่างกายจะพับชุดที่มีโครงสร้างภายในคล้ายสปริงตัว ‘V’ ซึ่งมีจุดหมุนอยู่บริเวณเอวและปลาย 2 ด้านอยู่บริเวณหน้าอกและต้นขาลง เกิดเป็นการสะสมพลังงานเพื่อผลักให้ร่างกายกลับสู่ท่ายืนตรง เป็นการทุ่นแรงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ และช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บให้แก่ผู้สวมใส่ ทั้งนี้ชุดผ่านการออกแบบให้สวมใส่ได้สะดวกรวดเร็ว ผู้ใช้งานจึงไม่จำเป็นต้องสวมชุดล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมปฏิบัติงาน หากเกิดเหตุจำเป็นต้องยกสิ่งที่มีน้ำหนักมากเมื่อไหร่ก็หยิบชุดมาสวมใส่อย่างถูกต้อง (กระชับกล้ามเนื้อส่วนที่สำคัญทุกส่วน) ได้ภายในหลักวินาที” To address this problem, the Well-living Design Team has designed “Ross” to lower the risk of back injury by adjusting the users’ lifting posture and reducing the compression load on the lumbosacral joint.   “Ross” can be adjusted the user’s body size at four different parts of the body: chest, back, waist, and upper legs, to ensure a comfortable fit and proper function of the exosuit. “Ross” assists the user in performing squat-lifting tasks in an ergonomically correct posture: with bent knees, straight back, and tensed core muscles, using the leg and arm muscles to lift. The exosuit effectively prevents users from bending their back while lifting, thereby utilizing their back muscles as primary task performers, an action that often leads to back injuries.   When users bend down to perform a squat-lift, their body pivots “Ross” around a pivot joint located at the waist. The two pivot arms are the parts of “Ross” extending from the waist to chest and waist to quadriceps. This action is akin to the compression of a spring, creating stored energy, which is later released during the extension of the body to lift the object. By this mechanism, “Ross” lowers the compression force on the L5-S1 joint and reduces risk of injury to the back muscles.   Importantly, “Ross” is designed for easy donning and doffing, allowing users to quickly utilize it when needed in a matter of seconds. With both function and affordability in mind, “Ross” is manufactured with domestic materials, reducing its cost and concern for material/parts supply continuity.     ชุด Ross ผ่านการออกแบบโดยคำนึงถึงต้นทุนที่เหมาะสม เพื่อจำหน่ายใน ‘ราคาที่จับต้องได้’ ช่วยให้คนไทยเข้าถึงการใช้งานได้จริง ที่สำคัญชุด Ross ผลิตจากวัสดุภายในประเทศทั้งหมด จึงลดการนำเข้าและลดความเสี่ยงในการขาดแคลนวัสดุจากเหตุวิกฤตต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ดร.ศราวุธ เล่าถึงความท้าทายในการพัฒนาผลงานว่า สิ่งที่ทีมให้ความสำคัญอย่างมากตลอดการทำวิจัยคือการควบคุมการผลิตให้เกิดความสมดุลระหว่างคุณภาพของชุดกับต้นทุนการผลิต เพราะปัจจุบันชุดที่จำหน่ายทั่วไปมีราคาค่อนข้างสูงในระดับที่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดเตรียมชุดเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บให้แก่บุคลากรของตนได้ และแน่นอนว่ายังมีราคาสูงเกินกว่าที่ลูกหลานในอีกหลายครอบครัวจะซื้อติดบ้านไว้เพื่อใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ ดังนั้น Ross จึงผ่านการออกแบบให้ชุดทำงานได้มีมีประสิทธิภาพสูง แข็งแรงทนทาน แต่ยังคงน้ำหนักของชุดไว้ที่ประมาณ 3-4 กิโลกรัม เพื่อลดต้นทุนในการผลิต ทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์ต้นแบบถูกกว่าราคาของผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ 3-4 เท่า และคาดว่าเมื่อขยายการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรมจะลดต้นทุนลงได้อีก ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ross แก่ผู้ประกอบการแล้ว “สำหรับการวิจัยในเฟสต่อไป ทีมวิจัยได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในการวิจัยต่อเนื่องเรื่องการนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาหนุนวิเคราะห์การเคลื่อนไหวร่างกายของผู้สวมใส่ เพื่อนำไปสู่การออกแบบชุดที่ดูแลร่างกายของผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น” ดร.ศราวุธ กล่าวทิ้งท้าย Dr. Lerspalungsanti stated that one of the product development challenges was preserving a balance between the quality and function of the product and the materials and production costs. Equivalent products on the market tend to be costly, deterring potential customers in Thailand, whether from the healthcare or manufacturing sectors, or individual caregivers looking to purchase for personal use. “Ross” has been proven to be mechanically robust and effective in reducing back injuries while weighing 3-4 kilograms. This design enables a three- to four-fold reduction in price, compared to similar foreign products. We expect the price to decrease even further with our forthcoming plans for commercial-scale production. Currently, “Ross” is in the process of technology transfer to a Thai manufacturer.   [caption id="attachment_53665" align="aligncenter" width="750"] Ross (รอส)[/caption]   Ross เป็นหนึ่งในนวัตกรรมเพื่อ ‘ผู้สูงอายุ’ และ ‘ผู้ดูแล’ ที่นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. วิจัยและพัฒนาขึ้นเพื่อขานรับการเข้าสู่สังสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ของไทย ซึ่งเอ็มเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งสามแล้วในปีนี้ ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัยพัฒนาต่อยอด ติดต่อได้ที่ คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค โทร 0 2564 6500 ต่อ 4783 หรือ e-mail soontaree.kos@mtec.or.th “Ross” is one of many innovations for the elderly and caregivers developed by the Well-living Design Team. Further information can be obtained on our innovations by contacting Ms. Soontaree Kositchaiyong, Business Development division at MTEC, Tel. (+66) 2564 6500 ext. 4783 or e-mail soontaree.kos@mtec.or.th.   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. (เวอร์ชันภาษาไทย) อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
Pharma Connect..จับคู่ และต่อยอด..
Pharma Connect..จับคู่ และต่อยอด.. โอกาสสำหรับผู้ประกอบการด้านยาเคมี สมุนไพร สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม และวัคซีน ที่จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และพบกับนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเพื่อต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมกับได้รับเงินสนับสนุนโครงการจาก สวทช. เปิดรับสมัครตั้งแต่ วันนี้ ถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2566 คุณสมบัติผู้สมัคร 1. นิติบุคคลไทยที่มีคนไทยถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 51 หรือเป็นบุคคลธรรมดา(ต้องจัดตั้งเป็นนิติบุคคลก่อนทำสัญญารับเงินทุนสนับสนุน) 2.มีโจทย์วิจัยด้านยา, สมุนไพร, สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม หรือวัคซีนที่มีแผนพัฒนาออกสู่ตลาด 3.มีแผนต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปสู่การใช้งานจริงและขยายผลเชิงพาณิชย์ 4.พร้อมเข้าร่วมทุกกิจกรรมในโครงการ 5.มีความพร้อมในการลงทุน ก่อนได้รับการเบิกจ่าย เงินสนับสนุนภายหลัง วิธีการสมัคร สแกน QR code เพื่อกรอกใบสมัครพร้อมแนบเอกสารประกอบได้ที่ https://forms.gle/g6pq1EQragFFHHCX7 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ คุณศศิวรรณ เลาหสินณรงค์ 094 938 0770 sasiwan.lao@nstda.or.th ดร.วันวิสาข์ ทองคำวิฑูรย์ 061 645 6354 wanwisa.tho@nstda.or.th  
ปฏิทินกิจกรรม
 
เยาวชนไทยคว้า 10 รางวัลประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโลก Regeneron ISEF2023
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ร่วมแสดงความยินดีและชื่นชมคณะเยาวชนไทยที่ไปคว้ารางวัลจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์สำหรับเยาวชนระดับโลก REGENERON ISEF 2023 ที่เมืองดัลลัส เท็กซัส สหรัฐอเมริกา   โดยปีนี้มีทีมเยาวชนจากประเทศไทยเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขัน 14 ทีม ผลปรากฏว่า 7 ทีมเยาวชนไทย คว้ารางวัลมาครองได้รวม 10 รางวัล ในจำนวนนี้เป็นทีมจาก โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ ที่คว้ารางวัลใหญ่ที่สุดของการประกวด คือ รางวัลสุดยอดนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ Regeneron Young Scientist Awards พร้อมคว้ารางวัล Grand Awards อันดับ 1 ในสาขาสัตวศาสตร์
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ตอกย้ำขุมพลังวิจัย จับมือ ทันตะ จุฬาฯ เปิดตัว “ต้นแบบยาสีฟันยับยั้งฟันผุระยะเริ่มต้นสำหรับเด็ก”
(30 พฤษภาคม 2566) ณ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) หน่วยงานภายใต้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัวยาสีฟันต้นแบบด้วยนวัตกรรมนาโนไฮดรอกซีอะพาไทต์ที่ช่วยในการสะสมแร่ธาตุคืนกลับสู่ผิวเคลือบฟัน ภายใต้โครงการผลักดันและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับสุขภาพช่องปากและการรักษาทางทันตกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพช่องปากของประชาชนคนไทย ด้วยการสร้างนวัตกรรมทางทันตกรรมโดยทันตแพทย์และนักวิจัยไทยที่จะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมการแพทย์ในประเทศให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. กล่าวว่า ปัญหาโรคฟันผุในเด็ก ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพช่องปากต่าง ๆ ที่จะตามมาในระยะยาว ปัจจุบันนี้มีเด็กไทยที่มีปัญหาฟันผุมากกว่าร้อยละ 50 และมากกว่าร้อยละ 60 ของผู้ใหญ่มีปัญหาโรคเหงือกอักเสบ จากการขาดการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นการวิจัยและพัฒนา   ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของนาโนไฮดรอกซีอะพาไทต์ เป็นการร่วมวิจัยพัฒนา ทดสอบ ออกแบบและผลิตต้นแบบผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน เพื่อใช้ในการรักษาอาการฟันผุในระยะเริ่มต้น รวมถึงปัญหาที่เกิดจากการขาดการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ที่สามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในอนาคตได้ ซึ่งวัสดุนาโนไฮดรอกซีอะพาไทต์ เกิดจากการพัฒนาโดยทีมวิจัยเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ฝังใน A-MED สวทช. ที่มีองค์ความรู้รวมถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาวัสดุทางการแพทย์สำหรับใช้กับร่างกายมนุษย์ ผนวกกับองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญของทีมวิจัยคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน โดยนวัตกรรมนาโนไฮดรอกซีอะพาไทต์ เป็นสารประกอบแคลเซียมฟอสเฟตรูปหนึ่ง ซึ่งมีโครงสร้างแบบเดียวกับกระดูกและฟันของมนุษย์ เป็นการพัฒนาด้วยกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมีเชิงกล โดยมีคุณสมบัติเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อในร่างกายมนุษย์และสามารถช่วยในการสะสมแร่ธาตุคืนกลับสู่ผิวเคลือบฟัน ซึ่งเหมาะสำหรับนำมาใช้เป็นองค์ประกอบเสริมในยาสีฟัน โดยเฉพาะไฮดรอกซีอะพาไทต์ที่มีขนาดอนุภาคในระบบนาโนเมตร ซึ่งการที่นักวิจัยไทยสามารถพัฒนาสารนาโนไฮดรอกซีอะพาไทต์ได้นั้น ช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาด้วยวัสดุทางการแพทย์ที่มีคุณภาพที่ผลิตขึ้นเองภายในประเทศ และคงไว้ซึ่งมาตรฐานทางการแพทย์ระดับสากล สอดคล้องกับเป้าหมายนโยบาย BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ ศาสตราจารย์ ทันตแพทย์ ดร.พรชัย จันศิษย์ยานนท์ คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า นับเป็นความก้าวหน้าของนวัตกรรมอีกขั้นหนึ่ง ที่ทั้ง 2 หน่วยงานได้มีความร่วมมือในการวิจัยพัฒนาวิธีการเตรียมผงนาโนไฮดรอกซีอะพาไทต์สำหรับนำมาใช้เป็นองค์ประกอบเสริมในยาสีฟัน ที่จะช่วยส่งเสริมคุณสมบัติของยาสีฟันในการกลับคืนแร่ธาตุของชั้นเคลือบฟัน ผ่านกลไกการปลดปล่อยแคลเซียมไอออนและฟอสเฟตไอออน และเกิดเป็นแคลเซียมฟอสเฟตอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถตกตะกอน เข้าไปในพื้นผิวฟันได้ โดยตะกอนของแคลเซียมฟอสเฟตสามารถแตกตัวในน้ำลายเพื่อเป็นไอออนอิสระที่จะช่วยในการสะสมแร่ธาตุสู่ผิวเคลือบฟันได้อย่างรวดเร็ว และสามารถคงอยู่เพื่อให้เกิดการคืนกลับแร่ธาตุของฟัน ผ่านองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญของทีมวิจัย A-MED สวทช. และทีมวิจัยของคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน เพื่อต่อยอดงานวิจัย สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับงานวิจัยเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีมูลค่าสูงขึ้นและเป็นการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น อ.ทพ.ดุสิต นันทพิบูล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทันตวัสดุ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของนาโนไฮดรอกซีอะพาไทต์ มีข้อดีคือมีโครงสร้างใกล้เคียงกับกระดูกและฟันของมนุษย์ ซึ่ง ดร.นฤภร มนต์มธุรพจน์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ สวทช. ใช้เทคนิคที่ทำให้เป็นผงและสามารถผลิตเป็นส่วนผสมของยาสีฟันได้ โดยเติมนาโนไฮดรอกซีอะพาไทต์ 5% และ 10% เพื่อดูว่าจะสามารถมีประสิทธิภาพป้องกันฟันพุได้ และยังได้มีการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์เทียบกับยาสีฟันที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งพบว่าต้นแบบยาสีฟันทำให้เซลล์ตายได้น้อยกว่า และการผสมนาโนไฮดรอกซีอะพาไทต์ในยาสีฟัน ยังช่วยคืนกลับแร่ธาตุได้ ซึ่งมีการทดสอบการแปรงฟัน 15 วันต่อเนื่องในห้องปฏิบัติการ พบว่าพื้นผิวฟันมีความแข็งและเรียบมากขึ้น ซึ่งยาสีฟันนี้เหมาะสำหรับกลุ่มเด็กตั้งแต่ฟันขึ้นซี่แรกขึ้นในช่องปากเป็นต้นไป ปัจจุบันต้นแบบยาสีฟันนี้อยู่ระหว่างการขอ  อย. ก่อนผลิตและจำหน่ายภายในปลายปี 2566 นี้
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนเมษายน 2566
ข่าว สวทช. จัดงาน NAC2023 โชว์ขุมพลังวิจัย เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG จัดยิ่งใหญ่ 28-31 มี.ค. 66 ณ อุทยานวิทย์ฯ จ.ปทุมธานี วช. สวทช. สกสว. นำทัพงานวิจัยเพื่อ SMEs จัดแสดงในงาน Innovative House Awards 2023  สร้างสินค้านวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ สวทช. รับโล่รางวัล "คุณธรรมต้นแบบโดดเด่น" ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน (ปี 2564-2565) สวทช. ประกาศผลรางวัล YSC2023 การประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 25 ไบโอเทค สวทช. เปิดโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค มาตรฐานสากล ตอบโจทย์อุตสาหกรรมฐานชีวภาพ สวทช. ผนึกกำลัง ดีป้า หนุนผู้ประกอบการ-สตาร์ตอัป เปิดตัว “ศูนย์เร่งพัฒนาต้นแบบรวดเร็ว-TD-X Center” เร่งสปีดงานวิจัยสู่ตลาด สวทช. ร่วมกับ วช. จัดกิจกรรมโครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายฝึกทักษะวิจัย/ครูวิทยาศาสตร์ นาโนเทค สวทช. พัฒนาอนุภาคนาโนนำส่งสารกลุ่มกัญชา-กัญชง ติดปีกอุตสาหกรรมเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. พัฒนาสเปรย์เติมความ “สด” ให้พืช  ‘iPlant Multipurpose Spray’ ตอบโจทย์ธุรกิจส่งออกพืชเมืองหนาว นาโนเทค สวทช. ต่อยอด Nano Coating สู่น้ำยาเคลือบพื้นผิวโซลาร์เซลล์  "ลดฝุ่นเกาะ-สะท้อนน้ำ" นวัตกรรมตอบโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้านเศรษฐกิจสีเขียว ผู้บริหาร สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับศิษย์เก่าดีเด่นบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ประจําปี 2565 สวทช. ร่วมกับ กสทช. เปิดตัว “โครงการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์บริการ และผลิตภัณฑ์ IoT ของไทยสู่อาเซียน” สปสช. ผนึกความร่วมมือ สวทช. รุกพัฒนา “นวัตกรรมบริการสุขภาพระบบบัตรทอง” สวทช. ร่วมผนึกกำลัง มข. เสริมแกร่งทางวิชาการ เดินหน้าการวิจัย สร้างและขยายนวัตกรรมการตรวจโรควัณโรค การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 ‘NAC2023’ โชว์ขุมพลังวิจัย ‘ขับเคลื่อน BCG สู่ความยั่งยืน’ เริ่มแล้ว 28-31 มี.ค. ที่ อุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ปทุมธานี สวทช. เปิดสูตรสำเร็จโครงการ “TIME” ยกระดับขีดความสามารถ พัฒนา ‘บุคลากรทักษะสูง’ ตอบโจทย์อุตสาหกรรม ไบโอเทค สวทช. จับมือกรมประมง ในการคัดกรอง ทดสอบและพัฒนาวิธีการผลิตเชื้อจุลินทรีย์สำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อแจกจ่ายให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์จริง ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ได้รับการรับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย ‘TMVS’ จากทีเส็บ สวทช. ต้อนรับผู้ประกอบการ-เครือข่ายเกษตรกร จ.ปทุมธานี เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบผลิตพืช สวทช. จัดสัมมนาวิชาการและส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ ให้สถาบันการศึกษา 20 แห่ง เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนไทย สวทช. จัดสัมมนาเรื่อง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านโอมิกส์ ที่นำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์แบบแม่นยำ และโอกาสของประเทศไทย ในการเป็นผู้นำการส่งออกเมล็ดพันธุ์พืชระดับโลก สวทช. ชวน ‘คนดัง’ สายกรีน เปิดมุมมองส่งเสริมแนวคิด Circular economy เพื่อวิถีชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ เอ็มเทค สวทช. เปิดตัวนวัตกรรม ชุดเอ็กโซสูท (Exosuits) “เรเชล (Rachel)” และ “รอส (Ross)” นวัตกรรมชุดบอดี้สูทสำหรับสังคมอายุยืน ตัวช่วยผู้สูงอายุและผู้ดูแล สวทช. มอบประกาศนียบัตรผู้สอบผ่านโครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที (ITPE)   บทความ ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติจาก ‘เปลือกมะพร้าวและใบลิ้นจี่’ ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้งสู่ ‘ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองสามน้ำ’  Download เอกสารฉบับเต็ม (16.7MB)  
จดหมายข่าว สวทช.
 
เริ่มทดสอบภาคสนาม! แพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยน สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ENTEC ร่วมกับหลายหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เปิดการทดสอบภาคสนามในโครงการวิจัยและพัฒนา แพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย หลังจากทีมนักวิจัยร่วมกันพัฒนาต้นแบบแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยน และติดตั้งต้นแบบสถานีชาร์จและสับเปลี่ยนแพ็กแบตเตอรี่ พร้อมทดสอบต้นแบบทั้งหมดจากข้อกำหนดร่วมในสภาวะการใช้งานจริง เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะความเป็นไปได้ในการพัฒนาแพล็ตฟอร์มสำหรับประเทศไทยต่อไป
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
นาโนเทค สวทช. ออกแบบวัสดุดูดซับยาโซลิโดรนิกแอซิด จากถ่านกัมมันต์เจือแมกนีเซียมออกไซด์ สู่ต้นแบบวัสดุทางการแพทย์ ลดเสี่ยงภาวะกระดูกขากรรไกรตายในผู้ป่วยมะเร็ง-กระดูกพรุน
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/mgo-modified-porous-carbon-as-an-effective-zoledronic-acid-adsorbent-preventing-jaw-osteonecrosis.html นักวิจัยนาโนเทค สวทช.ร่วมกับพันธมิตรหลายภาคส่วน ต่อยอดองค์ความรู้ด้านถ่านกัมมันต์ที่มีรูพรุนร่วมกับแมกนีเซียมออกไซด์ สู่วัสดุดูดซับยาโซลิโดรนิก แอซิด (Zoledronic acid; ZA) ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสลายตัวของกระดูกในผู้ป่วยมะเร็ง-กระดูกพรุน ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะกระดูกขากรรไกรตายเมื่อใช้ยาโซลิโดรนิกแอซิดในระยะยาว ด้วยจุดเด่น เพิ่มพื้นที่ผิว-เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับ และยังเข้ากันได้ดีกับเซลล์มนุษย์ สู่ต้นแบบวัสดุทางการแพทย์ที่สามารถต่อยอดใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต พร้อมเดินหน้าวิจัยเพิ่มในรูปของ Nanotube และ Nanopore ที่มีประสิทธิภาพการดูดซับสูงยิ่งขึ้น ดร.พงษ์ธนวัฒน์ เข็มทอง นักวิจัยกลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยาและการคำนวณระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า งานวิจัย “วัสดุดูดซับยาโซลิโดรนิกแอซิด จากถ่านกัมมันต์เจือแมกนีเซียมออกไซด์ เพื่อลดภาวะกระดูกขากรรไกรตายที่สัมพันธ์กับยาโซลิโดรนิกแอซิด” เริ่มมาจากโจทย์ของทันตแพทย์ (รศ.ดร.ทพ. วีรชัย สิงหถนัดกิจ จากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ที่เล็งเห็นความสำคัญในการป้องกันการเกิดภาวะกระดูกขากรรไกรตายซึ่งสัมพันธ์กับยาโซลิโดรนิกแอซิด เนื่องจากยังไม่มีแนวทางในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งการรักษายังมีความยุ่งยาก ใช้เวลานาน ผลการรักษาไม่แน่นอน  และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก ยาโซลิโดรนิก แอซิด (Zoledronic acid; ZA) เป็นยาในกลุ่มบิสฟอสโฟเนต ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสลายตัวของกระดูก จึงนิยมใช้บำบัดภาวะสลายตัวของกระดูกอันมีสาเหตุจากมะเร็ง[1] ปัจจุบันยา ZA ได้รับการรับรองให้ใช้ในการรักษาโรคกระดูกพรุนทั้งในหญิงวัยหมดประจำเดือนและในผู้ชาย รวมถึงใช้ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนจากยาสเตียรอยด์ อย่างไรก็ตาม การใช้ยา ZA ในระยะยาว จะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เรียกว่า ภาวะกระดูกขากรรไกรตายเนื่องจากยา ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังการถอนฟัน[2]  โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวด มีการบวมของเนื้อเยื่ออ่อนและมีการติดเชื้อ จนกระทั่งพบกระดูกตายโผล่ในช่องปาก ในกรณีรุนแรงอาจพบกระดูกขากรรไกรหัก ส่งผลโดยตรงต่อการบดเคี้ยวและการพูด ซึ่งกระทบกับภาวะสุขภาพและการดำรงชีวิตของผู้ป่วย “ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีมาตรฐานในการรักษาภาวะกระดูกขากรรไกรตายที่สัมพันธ์กับยา ดังนั้นการป้องกันเพื่อลดภาวะดังกล่าวจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ซึ่งอาจทำได้โดยการใช้วัสดุดูดซับดักจับยา ZA ก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าเซลล์ เช่น การใช้แคลเซียมฟอสเฟตที่ดักจับ ZA ได้ดีและพบว่าไม่เป็นพิษต่อเซลล์ในสัตว์ทดลอง แต่แคลเซียมฟอสเฟตนั้นเป็นวัสดุดูดซับยาที่ประสิทธิภาพไม่สูงนัก เพราะมีพื้นที่ผิวต่ำ” ดร.พงษ์ธนวัฒน์กล่าว นักวิจัยนาโนเทคจึงจับมือกับทีมวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร และคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ศูนย์วิจัยสเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์, สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค พัฒนาวัสดุดูดซับยา ZA ตัวใหม่ จากถ่านกัมมันต์ที่มีรูพรุน (Activated carbon) ที่ปรับปรุงคุณสมบัติด้วยแมกนีเซียมออกไซด์ (MgO) พร้อมทั้งศึกษากลไกการดูดซับเชิงลึกระดับโมเลกุล “เราเริ่มจากการศึกษาปริมาณการเจือสารแมกนีเซียมออกไซด์ และศึกษาค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดูดซับของวัสดุ โดยพบว่า ถ่านกัมมันต์ที่ผลิตได้มีพื้นที่ผิวที่สูงและมีอนุภาคของแมกนีเซียมออกไซด์ที่มีกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้ถ่านกัมมันต์เจือแมกนีเซียมออกไซด์ที่ออกแบบขึ้นมานั้น มีคุณสมบัติในการดูดซับสาร ZA ได้มากถึง 73 มิลลิกรัม/กรัม ภายใต้สภาวะที่เป็นกลาง เมื่อเปรียบเทียบกับถ่านกัมมันต์ที่ดูดซับได้แค่ 14 มิลลิกรัม/กรัม” นักวิจัยนาโนเทคอธิบาย นอกจากนี้ ยังประยุกต์ใช้การคำนวณด้วยทฤษฎีฟังก์ชันความหนาแน่น โดยพบว่า แมกนีเซียมออกไซด์ช่วยเพิ่มอัตราการดูดซับ ZA บนพื้นผิวของถ่านกัมมันต์ ยิ่งไปกว่านั้น วัสดุดูดซับที่พัฒนาขึ้นนั้น ยังสามารถเข้ากันได้ดีกับเซลล์ของมนุษย์ในหลอดทดลอง ซึ่งงานวิจัยนี้ถือได้ว่า เป็นงานวิจัยแรกที่มีการรายงานว่า วัสดุจากถ่านกัมมันต์เจือแมกนีเซียมออกไซด์เป็นตัวดูดซับที่มีศักยภาพในการกำจัด ZA เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่อกระดูกขากรรไกร   ดร.พงษ์ธนวัฒน์ กล่าวว่า วัสดุจากถ่านกัมมันต์เจือแมกนีเซียมออกไซด์สามารถต่อยอดสู่ต้นแบบวัสดุทางการแพทย์ที่สามารถต่อยอดใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต โดยอาจอยู่ในรูปของสารเคลือบรากฟันเทียม เพื่อดูดซับยา ZA ที่ส่งผลต่อกระดูกขากรรไกร ซึ่งอาจต้องขยายกรอบการวิจัยเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์จริง ในขณะเดียวกัน ทีมวิจัยนาโนเทคยังมีแผนจะขยายการวิจัย โดยเปลี่ยนจากถ่านกัมมันต์สู่คาร์บอนโครงสร้างนาโน ที่มีประสิทธิภาพการดูดซับสูงมากยิ่งขึ้น   เอกสารอ้างอิง [1]        Nicolatou-Galitis O, Schiødt M, Mendes RA, Ripamonti C, Hope S, Drudge-Coates L, et al. Medication-related osteonecrosis of the jaw: definition and best practice for prevention, diagnosis, and treatment. Oral Surg Oral Med Oral Pathol Oral Radiol 2019;127:117–35. https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2212440318311933?via%3Dihub   [2]        de Almeida AD, Leite FG, Chaud MV, Rebelo M de A, Borges LCF de S, Viroel FJM, et al. Safety and efficacy of hydroxyapatite scaffold in the prevention of jaw osteonecrosis in vivo. J Biomed Mater Res - Part B Appl Biomater 2018;106:1799–808. https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/jbm.b.33995  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“นวัตกรรมข้าวเหนียวไทย” ผลงานจากโครงการ BCG Naga Belt Road กวาด 13 รางวัล การประกวดผลงานวิจัยสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม ในเวทีนานาชาติ “EUROINVENT 2023”
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/glutinous-rice-innovations-collect-multiple-awards-at-euroinvent-2023.html สุดทึ่ง 3 ผลงาน “นวัตกรรมข้าวเหนียวไทย” สู่รางวัลวิจัยระดับโลก กวาด 13 รางวัล ซึ่งเป็นผลงานการเพิ่มมูลค่าการผลิตข้าวเหนียวบนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงฯ จากโครงการบีซีจี นาคาเบลต์โรด (BCG-NAGA Belt Road) (26 พฤษภาคม 2566) ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษกิจ BCG สาขาเกษตร เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมาคมส่งเสริมนวัตกรรมและการประดิษฐ์ไทย (Association of Thai Innovation and Invention Promotion – ATIP) สนับสนุนและส่งเสริมการนำผลงานวิจัยสิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมเข้าร่วมประกวดในเวทีนานาชาติ EUROINVENT 2023 (European Exhibition of Creativity and Innovation) ณ เมืองยาช ประเทศโรมาเนีย ระหว่างวันที่ 11-13 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งในงานดังกล่าวมีการจัดแสดงผลงานนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์มากกว่า 600 ผลงาน จาก 40 ประเทศ โดยการเข้าร่วมประกวดในเวทีนานาชาติ EUROINVENT 2023 ดังกล่าว ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ที่ปรึกษาโครงการ “การยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่ บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง” หรือ BCG-NAGA Belt Road พร้อมด้วย ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร และนายมาโนช คุ้มพนาลัยสถิต นักวิจัยจากหน่วยวิจัยและพัฒนาด้านการบริหารเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง ได้นำ 3 ผลงานเข้าร่วมแสดงนิทรรศการและประกวด ได้แก่ 1.แป้งไข่มุกข้าวก่ำ (Black Rice Pearls Powder for Molecular Gastronomy Recipes) 2.แป้งข้าวเม่าสำเร็จรูป   (Green Rice Flour) และ 3.เบอร์เกอร์ข้าวเหนียวข้าวกล้องจิ้งหรีด (Healthy and Eco-friendly Cricket Burger) ผลงานวิจัยและนวัตกรรมของกลุ่มนักวิจัยในโครงการ “การยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่ บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง” หรือ BCG-NAGA Belt Road โครงการดังกล่าวได้ร่วมดำเนินงานกับ สวทช. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มเกษตรกร ในจังหวัดลำปาง เชียงราย อุดรธานี และนครพนม โดยทีมวิจัยจาก มทร.ล้านนา จ.ลำปาง ได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 13 รางวัล จาก 3 ผลงานวิจัย ดังนี้ แป้งไข่มุกข้าวก่ำ (Black Rice Pearls Powder for Molecular Gastronomy Recipes) รับ 5 รางวัล ได้แก่ รางวัล GOLD MEDAL จากเวทีการประกวดผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมในเวทีนานาชาติ EUROINVENT รางวัล Special Award จาก STOWARZYSZENIA PROMOCJI POLSKIEJ NAUKI, TECHNIKI I INNOWACJI รางวัล Special Award จาก UNIVERSITATEA POLITEHNICA TIMISOARA 4.รางวัล GOLD MEDAL จาก UNIVERSITY POLITEHNICA OF BUCHAREST 5.รางวัล Excellence Award จาก GRIGORE T.POPA UNIVERSITY OF MEDICINE AND PHARMACY IASI   แป้งข้าวเม่าสำเร็จรูป (Green Rice Flour) รับ 4 รางวัล ได้แก่ รางวัล GOLD MEDAL จากเวทีการประกวดผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมในเวทีนานาชาติ EUROINVENT รางวัล Award a Special Prize จาก "LUCIAN BLAGA" UNIVERSITY OF SIBIU รางวัล Excellence Award and GOLD MEDAL จาก THE NATIONAL INSTITUTE FOR RESEARCH & DEVELOPMENT IN CHEMISTRY AND PETROCHEMISTRY-ICECHIM BUCHAREST รางวัล Excellence Award จาก GRIGORE T.POPA UNIVERSITY OF MEDICINE AND PHARMAC YIAS และ 3.เบอร์เกอร์ข้าวเหนียวข้าวกล้องจิ้งหรีด (Healthy and Eco -friendly Cricket Burger) รับ 4 รางวัล ได้แก่ รางวัล SILVER MEDAL จากเวทีการประกวดผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมในเวทีนานาชาติ EUROINVENT 2.รางวัล SPECIAL AWARD จาก TORONTO INTERNATIONAL SOCIETY OF INNOVATION AND ADVANCED SKILLS (TISIAS)  CANADA รางวัล The Excellence Invention จาก ASSOCIATION OF EROPEAN INVENTORS 4.รางวัล Excellence Award จาก GRIGORE T.POPA UNIVERSITY OF MEDICINE AND PHARMACY IASI
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. พัฒนาค่ายสะเต็มแนวใหม่ ผ่านกิจกรรม “อลิซในดินแดนวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์” เพื่อเสริมสมรรถนะและฝึกทักษะสำคัญในโลกอนาคตให้เยาวชน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ได้ออกแบบและพัฒนากิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ตามแนวทางสะเต็มศึกษา (STEM Education) ที่บูรณาการความรู้ใน 4 สหวิทยาการ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะหลักของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ให้เกียรติกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม และอธิบายแนวทางการออกแบบกิจกรรมค่ายอลิซในดินแดนวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์ว่า สวทช. นำแนวคิดการเล่นเกมที่เด็กๆชื่นชอบมาพัฒนาเป็น 8 ฐานการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ เด็กจะได้พัฒนาความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ผ่านการจัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ ที่ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้มีโอกาสศึกษา ค้นคว้า เรียนรู้ จากประสบการณ์จริงนอกเหนือจากห้องเรียน รวมถึงการสร้างความตระหนัก จุดประกาย และสร้างแรงบันดาลใจทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ค่ายอลิซในดินแดนวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์ (Alice in Science Wonderland) จัดให้กับเด็กและเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1 - ม.3) จำนวน 56 คน ในวันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2566 เวลา 08.00 - 16.00 น. ณ ห้องบรรยาย 2 บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร (อาคาร 18) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จ.ปทุมธานี ผู้เข้าร่วมกิจกรรมออกเดินทางผจญภัยในดินแดนมหัศจรรย์ของโลกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมมือกันพิชิตภารกิจ STEM ทั้ง 4 กลุ่ม จาก 8 ฐานกิจกรรม เพื่อตามหาบัตรอักษร “S” “T” “E” และ “M” เพื่อใช้แลกข้อมูลของรหัสลับที่ใช้ไขประตูมิติเพื่อเดินทางกลับโลกปัจจุบัน จากฐานกิจกรรมต่อไปนี้ กลุ่มวิทยาศาสตร์ (Science : S) ฐานกิจกรรมที่เน้นการประยุกต์ใช้ความรู้และการทดลองทดสอบทางวิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาในการทำกิจกรรม ประกอบด้วย ฐานกิจกรรมนักสืบสารเรืองแสง เด็กๆ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสนุกกับการได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ตัวน้อยค้นหาคำตอบผ่านการสร้างอุปกรณ์ตรวจสารเรืองแสง และตรวจหาสารเรืองแสงต่างๆ เพื่อทำภารกิจตอบโจทย์ ฐานกิจกรรมชิงแชมป์...พัฒนาสายพันธุ์แมว เด็กๆ ร่วมมือกันทำงานเป็นทีมนักพัฒนาสายพันธุ์แมวประกวด เล่นเกมการ์ดเพื่อชิงแมวที่จะนำมาเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และผสมพันธุ์แมวเพื่อให้ได้แมวที่มีลักษณะตรงตามลักษณะที่กองประกวดต้องการมากที่สุด โดยอาศัยความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเพื่อพิชิตภารกิจฐานกิจกรรมนี้ กลุ่มเทคโนโลยี (Technology : T) ฐานกิจกรรมที่เน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และอุปกรณ์ทางด้านเทคโนโลยีสำเร็จรูป แก้ปัญหาในการทำกิจกรรม ประกอบด้วย ฐานกิจกรรมผจญภัยใน NSTDA Wonderland เด็กๆ สนุกไปกับบอร์ดเกมออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ ร่วมตอบคำถาม แข่งขันหาคำตอบมุ่งสู่เส้นชัยที่รออยู่ ฐานกิจกรรมแมงป่องน้อยท่องโลกกว้าง เด็กๆ สนุกสนานไปกับการควบคุมหุ่นยนต์แมงป่อง เพื่อนำสิ่งแปลกปลอมออกจากถ้ำให้ได้มากที่สุดภายในเวลาที่กำหนด กลุ่มวิศวกรรม (Engineering : E) ฐานกิจกรรมที่เน้นการประยุกต์ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะทางวิศวกรรมเพื่อแก้ปัญหาในการทำกิจกรรม ประกอบด้วย ฐานกิจกรรม Who is the Fastest in the FabLab เด็กๆ ต้องพิชิตสองภารกิจภายในเวลาที่กำหนดจากการเลือกใช้อุปกรณ์และเครื่องมือช่างพื้นฐานเพื่อสร้างเส้นทางการเดินของแสง นำพาแสงเลเซอร์ไปยังจุดหมาย และสนุกสนานกับกระดานตัวต่อวันที่ปริศนา จากห้อง FabLab สวทช. ฐานกิจกรรมล้อเดียวซิ่งทะลุโลก เด็กๆ สนุกกับการพัฒนายานยนต์ล้อเดียวเพื่อพิชิตภารกิจกลิ้งเร็วที่สุด กลุ่มคณิตศาสตร์ (Mathematics : M) ฐานกิจกรรมที่เน้นการคิดคำนวณ และการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ ในการทำกิจกรรม ประกอบด้วย ฐานกิจกรรมนักลงทุนเจ้าปัญญา เด็กๆ ได้รับประสบการณ์การเป็นนักวางแผนการลงทุนเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ฐานกิจกรรมพัสดุระยะสุดท้าย เด็กๆ วางแผนคิดวิเคราะห์ คำนวณ เพื่อบังคับรถหุ่นยนต์ให้สามารถส่งพัสดุได้มากที่สุดโดยใช้ระยะทางน้อยที่สุด ภารกิจบทสุดท้าย ไขประตูมิติเดินทางกลับ เด็กๆ ได้แสดงให้คณะผู้จัดกิจกรรมเห็นถึงการทำงานเป็นทีม ความร่วมมือ ร่วมใจ และความเสียสละบัตรอักษรที่เด็กๆ แต่ละคนหามาได้จากการเข้าร่วมฐานกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งวัน นำมารวมกันเพื่อใช้แลกข้อมูลของรหัสลับและไขประตูเดินทางกลับโลกปัจจุบันได้สำเร็จ จากการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีผู้ตอบแบบประเมินความพึงพอใจหลังการจัดกิจกรรมค่าย จำนวนทั้งสิ้น 43 คน โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีระดับความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมครั้งนี้ คิดเป็นร้อยละ 100 และได้แสดงความคิดเห็นต่อกิจกรรมนี้ว่า ชอบกิจกรรมนี้มาก อยากให้มีเวลาในการทำกิจกรรมมากขึ้น และอยากให้มีการจัดกิจกรรมนี้อีก    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์