หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ติวเข้ม เยาวชนในชนบท รับทุนพัฒนาทักษะด้าน ‘สะเต็มและโค้ดดิ้ง’  เตรียมพร้อมสู่ ‘ยุวเกษตรกรอัจฉริยะ’ ในอุตสาหกรรมเกษตรแม่นยำ
(วันที่ 27 กันยายน 2566): ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานในพิธีมอบเงินสนับสนุนการทำโครงงานให้กับนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะด้านสะเต็มและโค้ดดิ้ง (STEM and Coding Skills) แก่เยาวชนในชนบท เพื่อก้าวสู่ยุวเกษตรกรอัจฉริยะในอุตสาหกรรมเกษตรแม่นยำ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้การสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) โดยมีโรงเรียนเป้าหมายภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิฯ ที่ผ่านการคัดเลือกข้อเสนอโครงงานด้านเกษตรอัตโนมัติเกษตรแม่นยำ จำนวน 46 โครงงาน จากโรงเรียน 31 แห่ง รวมจำนวนทั้งสิ้น 114 คน เข้าร่วมอบรมหลักสูตร “การทำโครงงานเกษตรอัฉริยะ (AI Coding for Smart Agriculture)” ระหว่างวันที่ 25-27 กันยายน 2566 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนที่ผ่านการพิจารณารับทุนสนับสนุนการพัฒนาทักษะด้านสะเต็มและโค้ดดิ้ง (STEM and Coding Skills) ซึ่งจะเป็นกำลังใจและสร้างแรงจูงใจให้กับเยาวชนจากโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งโรงเรียนสอนนักเรียนพิการ กลุ่มโรงเรียนพระประปริยัติธรรม สามเณรจากกลุ่มโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม รวมถึงโรงเรียนในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในชนบท (ทสรช.) ภายใต้มูลนิธิฯ ได้นำทุนพัฒนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนของตนเองและเพื่อน ๆ ร่วมสถานศึกษามากที่สุด สำหรับโครงงานที่ได้รับทุนสนับสนุนมีจำนวนทั้งสิ้น 46 โครงงาน จากโรงเรียน 31 แห่ง โดยแต่ละโครงงานจะได้รับทุนสนับสนุนไม่เกิน 5,000 บาท (ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำโครงงาน) จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 226,491 บาท ทั้งนี้ ตลอดการอบรมเชิงปฏิบัติการทั้ง 3 วัน นักเรียนที่เข้าร่วมอบรมจะได้ทดลองลงมือปฏิบัติจริงด้านการพัฒนาโครงงานแบบกลุ่ม อีกทั้งได้รับองค์ความรู้จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิต่าง ๆ อาทิ การโค้ดควบคุมไมโครคอนโทรเลอร์ และหลักการควบคุมอัตโนมัติทั้งแบบอนาลอกและดิจิทัล, การพัฒนาโครงงานด้วยโค้ดดิ้ง เพื่องานการเกษตรอัจฉริยะ โดย รศ.ยืน ภู่วรวรรณ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การประยุกต์เอไอโมเดลกับงานการสร้างนวัตกรรม โครงงานเกษตรอัจฉริยะเป็นโครงงานที่สร้างสรรค์และประยุกต์ต้นแบบ โดย รศ.พันธุ์ปิติ เปี่ยมสง่า ภาควิชาคอมพิวเตอร์ ม.เกษตรศาสตร์ เป็นต้น โดยมีนางสาวเยาวลักษณ์ คนคล่อง ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานโครงการตามพระราชดำริฯ นายนพดร ปัญญาจงถาวร รองผู้อำนวยการงานส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพชั้นสูง สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. นายนริชพันธ์ เป็นผลดี ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่าน เข้าร่วมกิจกรรม   อย่างไรก็ตาม สวทช. คาดหวังว่าโครงการดังกล่าว จะเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้จัดทำ โครงงานหรือนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่งเสริมให้เกิดทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ การแก้ปัญหาเป็น และเรียนรู้การทำงานกับผู้อื่นผ่านกระบวนการทำโครงงานได้ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 แก่เยาวชนทุกคนในยุคดิจิทัล
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. – บีโอไอ จับมือ บ.โซนี่ฯ เดินหน้าโครงการ WiL หนุนพัฒนากำลังคนคุณภาพ สู่อุตสาหกรรมภาคการผลิต
(วันที่ 27 กันยายน 2566) ที่บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด จ.ชลบุรี: สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต นำโดย ดร.บรรพต หอบรรลือกิจ ที่ปรึกษาโครงการบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน งานส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพชั้นสูง สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. นางสาวชนานกานต์ สันตยานนท์ ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต พร้อมด้วย น.ส.ซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) นายเรียว อาเมมิยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี จำกัด และผู้บริหารบริษัทโซนี่ ร่วมกันประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินโครงการ WiL (Work-integrted Learning) ซี่งเป็นการบูรณาการ การเรียนรู้กับการทํางานจากความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการภาคการผลิตบริษัทต่าง ๆ และสถาบันการศึกษา โดยบริษัท โซนี่ฯ เป็นหนึ่งในตัวอย่างของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการ WiL ดร.บรรพต หอบรรลือกิจ ที่ปรึกษาโครงการบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน งานส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพชั้นสูง สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช.  กล่าวว่า โครงการ WiL (Work-integrted Learning) มีระยะเวลาดําเนินโครงการระหว่างเดือนกรกฎาคม 2565 - กรกกฎาคม 2567 เป็นการบูรณาการความรู้ โดยการประยุกต์ความรู้และวิธีการทํางานเข้ากับบทเรียน สามารถเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนทั้งในด้านการทํางานและการเรียนรู้ พร้อมทั้งยังเป็นการเพิ่มกําลังคนที่มีคุณภาพเพื่อส่งต่อบุคลากรเข้าสู่โรงงานให้ตรงกับความต้องการในภาคอุตสาหกรรม โดยรูปแบบการดําเนินโครงการ WiL จัดให้มีการศึกษาใน 2 ระบบได้แก่ การศึกษาในระดับ ปวส. และระดับปริญญาโท เข้าปฏิบัติงานในสถานประกอบการเป็นระยะเวลา 2 ปี พร้อมทั้งเรียนรู้ตามหลักสูตรที่ลงทะเบียน เรียนรู้การทํางานในอุตสาหกรรมและเนื้อหาบูรณาการเพื่อพัฒนาโครงงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ กับอุตสาหกรรม ปัจจุบันในระดับ ปวส. มีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการจำนวน 1,329 คน จาก 40 สถาบันการศึกษา ซึ่งภาคการศึกษาที่ 1 และ 2 พบว่าผลการเรียนผ่านทุกคน และขณะนี้กําลังดําเนินศึกษาในภาคการศึกษาที่ 3 สําหรับผลการปฏิบัติงานในโรงงาน พบว่ามีอัตราการทํางาน 95% โดยเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วนักศึกษาจะได้เรียนรู้จากการทํางานจริงในภาคอุตสาหกรรมในตําแหน่งพนักงานปฏิบัติการ เรียนรู้ตามหลักสูตรของสถาบันการศึกษา และเรียนรู้หลักสูตรโครงการ WiL ระดับปวส. เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานจริง สำหรับในระดับนักศึกษาปริญญาโท มีจำนวน 12 คน จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปัจจุบันได้ลงทะเบียนเรียนภาคการศึกษาที่ 1 และ 2 โดยผลการเรียนพบว่าผ่านทั้งหมด 12 คน ส่วนผลการปฏิบัติงานในโรงงาน พบว่านักศึกษาสามารถดําเนินงานตามที่ได้รับมอบหมายได้ดี สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ WiL จะได้รับ คือ ได้พนักงานซึ่งเกิดจากการบ่มเพาะนักศึกษา เป็นบุคลากรทักษะสูงที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม อีกทั้งยังสามารถขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ให้การสนับสนุนการลงทุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้โครงการ WiL สวทช. และ BOI มีการเชื่อมโยงหน่วยงานวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน กับภาคการศึกษา ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศขององค์กรนวัตกรรม โดย สวทช. มีเป้าหมายหลัก ในการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนให้เกิด Ecosystem ดังกล่าว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนการของพัฒนาประเทศ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้าน นายเรียว อาเมมิยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า บริษัทโซนี่ ฯ ผลิตกล้องถ่ายภาพ เลนส์กล้องถ่ายภาพ กล้องติดรถยนต์ เครื่องเสียงติดรถยนต์ แผงวงจรไฟฟ้า และส่งมอบผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยให้กับลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลนส์กล้องถ่ายภาพเลนส์เดี่ยวและกล้องถ่ายภาพที่สร้าง ได้รับการยอมรับจากช่างภาพมืออาชีพและตัวแทน Photo Agency และเป็นที่ชื่นชมของลูกค้าทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทย บริษัทโซนี่ ฯ มีฐานการผลิตสองแห่ง คือ ที่ชลบุรีและบางกระดี่ จ.ปทุมธานี โดยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่สุดในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Sony ในฐานะแบรนด์ที่น่าเชื่อถือทั่วโลก “การจะได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าเช่นนี้ เราจำเป็นต้องผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสุด อย่างไรก็ดีเรายังมีนักเรียน/นักศึกษา ที่มีวินัยตั้งใจปฏิบัติงาน สามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้เราพัฒนาคุณภาพของสินค้าตอบสนองด้านคุณภาพให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ต้องขอขอบคุณโครงการ WiL ที่สามารถเชื่อมโยงนักเรียน/นักศึกษาเข้ากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งขอบคุณ BOI ที่ช่วยสนับสนุนโครงการนี้ ทั้งนี้บริษัทโซนี่ ฯ และ โครงการ WIL จะร่วมกันพัฒนาคุณภาพของสินค้าให้สูงขึ้น เพื่อส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าทั่วโลกอย่างไม่หยุดยิ่ง” นายอาเมมิยะ ระบุ โอกาสทอง นศ. ฝึกทักษะจำเป็น ‘โรงเรียนในโรงงาน’ นางสาวกษมา หะยีเจะแว นักศึกษาในระดับปริญญาโท หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในฐานะนักศึกษาโครงการโรงเรียนในโรงงาน หรือ โครงการ WiL เปิดเผยว่า เหตุผลที่ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการนี้เพราะโครงการนี้มีข้อดีต่าง ๆ มาก เช่น ได้รับทุนการศึกษาเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ขณะเดียวกันก็ได้รับประสบการณ์การทำงานในสถานประกอบการจริงและยังได้รับเงินเดือนจากการทำงานด้วย ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายและมีเงินเพื่อใช้ในการดำรงชีพในแต่ละเดือน “หลังจากร่วมโครงการนี้ องค์ความรู้ทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ได้ ช่วยทำให้เราสามารถประยุกต์องค์ความรู้ที่มีนำไปใช้ในการทำงานได้อย่างเหมาะสม เช่น พัฒนาความสามารถในการสื่อสารและเรียนรู้คำศัพท์ทางเทคนิครวมถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่ว จึงถือได้ว่าโครงการนี้ได้ให้ประสบการณ์ในการทำงานต่าง ๆ มากมาย ถือเป็นการเตรียมความพร้อมอย่างดีเยี่ยมให้กับตนเองสำหรับการทำงานและการประกอบอาชีพเกี่ยวสาขาวิชาที่ตนเองได้ร่ำเรียนมา สุดท้ายต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี ทั้ง สวทช. ขอบคุณ บริษัท สมาร์ท 2015 เซอร์วิสเซส ที่ให้โอกาสหนูในการเข้าร่วมโครงการนี้ และบริษัท โซนี่ เทคโนโลยี ประเทศไทย จำกัด ที่ให้โอกาสในการทำงานและการเรียนรู้เพื่อประสบการณ์ที่ดีในการทำงาน” เช่นเดียวกับ นางสาวปนัดดา สัตถาผล นักศึกษาปริญญาตรี สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร กล่าวว่า เป็นนักศึกษาโครงการ WiL โรงเรียนในโรงงาน อยู่แผนก KDV สังกัด บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี ประเทศไทย จำกัด ซึ่งหลังจากที่เข้าร่วมโครงการนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองได้มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก มีความรับผิดชอบมากขึ้น สามารถแบ่งเวลาเรียน เวลาอ่านหนังสือ และเวลาทำงาน เรียนรู้ที่จะประหยัดอดออม มีเงินเก็บในการดูแลตัวเองมากขึ้น มีสติมากขึ้นเวลาที่ตัดสินใจทำอะไร นอกจากนี้พ่อแม่ภูมิใจมากในตัวเรา เพื่อน ๆ หลายคนก็ชมว่าเราเก่งขึ้นมากๆ  ทำให้มีกำลังใจในตนเองมากขึ้น สามารถทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย  และรู้สึกขอบคุณตัวเอง ที่สามารถเติบโตขึ้นได้เป็นคนเดิมในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นมาก ๆ และขอขอบคุณบริษัทโซนี่ และโครงการ WiL ที่ให้โอกาสนักศึกษาคนหนึ่งได้ก้าวมาถึงจุดนี้ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ดีในชีวิต
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘นาโน โค๊ตติ้ง เทค’ ดันนวัตกรรมถึงมือผู้บริโภค นำร่องเปิดตัวสเปรย์กันฝุ่น-ตะไคร่น้ำ
ฝุ่นละออง หรือคราบจากตะไคร่น้ำ ล้วนทำให้บ้านดูไม่งามตา ต้องออกแรงขัดกันบ่อย ดีปเทคสตาร์ทอัพ สวทช. อย่างบริษัท นาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด เปิดตัวสเปรย์เคลือบกันฝุ่น-ตะไคร่น้ำ ต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเคลือบนาโน (Nano Coating) นำร่องผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ขยายฐานลูกค้ากลุ่มครัวเรือน สร้างการรับรู้ในวงกว้าง พร้อมแย้มเตรียมขยายไลน์สินค้านวัตกรรมกลุ่ม B2C เพิ่ม 3-5 ชนิดในปี 67 เพื่อลองตลาด ด้านตัวหลักอย่างสารเคลือบเซลล์แสงอาทิตย์ยังเป็นตัวหลักสร้างรายได้ เตรียมลุยตลาดต่างประเทศ ตอกย้ำเป้าหมายเป็นเบอร์ 1 ด้านสารเคลือบของอาเซียนใน 5 ปี ดร. ธันยกร เมืองนาโพธิ์ นักวิจัยทีมวิจัยนวัตรรมเคลือบนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน นาโนเทค สวทช. และ Managing Director บริษัท นาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด กล่าวว่า 1 ปีที่ผ่านมาสำหรับการเป็นดีปเทคสตาร์ทอัพนั้น ประสบความสำเร็จและสามารถทำได้ตามเป้าที่วางเอาไว้ ทั้งในเรื่องของรายได้ และการตอบรับของลูกค้าที่เชื่อมั่นเทคโนโลยีเคลือบนาโน ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของเรา บรรยากาศการทำงานในห้องปฏิบัติการ “ช่วงตั้งไข่หรือ 1 ปีแรกของนาโน โค๊ตติ้ง เทคนั้น เรามุ่งเน้น B2B ที่เน้นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของเราเป็นสารเคลือบเซลล์แสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ กลุ่มเป้าหมายก็จะเป็นบริษัทที่มีเซลล์แสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ซึ่งก็สามารถสร้างการรับรู้ถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของเราที่แตกต่างและโดดเด่นจากของที่มีอยู่แล้วในตลาด ทำให้เรามีลูกค้ารายใหญ่จากอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมพลังงาน” ดร. ธันยกรกล่าว สำหรับปีที่ 2 นาโน โค๊ตติ้ง เทค จะเริ่มขยายตลาดสู่ B2C หรือกลุ่มผู้บริโภคที่เป็น End Users เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น จึงต่อยอดผลิตภัณฑ์สารเคลือบเซลล์แสงอาทิตย์ที่เดิมเป็นขนาดอุตสาหกรรม ออกมาเป็นสเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2อิน1 ที่สามารถลดการยึดเกาะของฝุ่นและตะไคร่น้ำ สำหรับลูกค้าครัวเรือนโดยเฉพาะ สเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2อิน1 (2-IN-1 ANTI-Dust & Algae/Moss Attachment Prevention NANO Spray) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถใช้งานได้เลย กับพื้นผิวเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ขนาดเล็กในบ้าน วัสดุก่อสร้างที่เป็นพื้นไม้ คอนกรีต พลาสติก ยกเว้นกระจกใส ซึ่งจะช่วยลดการยึดเกาะของฝุ่นและตะไคร่น้ำต่างๆ ช่วยยืดเวลาทำความสะอาดอีกด้วย ทดสอบสเปรย์เคลือบ ประสิทธิภาพกันน้ำหลังเคลือบ เปรียบเทียบประสิทธิภาพกันน้ำ ดร. พิศิษฐ์  คำหน่อแก้ว หัวหน้าทีมวิจัยนวัตรรมเคลือบนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน นาโนเทค สวทช. และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท นาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด กล่าวว่า สเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2อิน1 นั้น เป็นเพียง 1 ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่บริษัทฯ นำร่องเปิดตลาดลูกค้าทั่วไป ตามแผนกลยุทธ์การดำเนินงานของปีที่ 2 ที่เราจะลงทุนรับถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ในกลุ่มสารเคลือบนาโนเข้ามาเพิ่ม โดยเริ่มจากงานวิจัยภายในนาโนเทคที่โดดเด่นและมีความเป็นไปได้ทางการตลาดก่อน อาทิ หน้ากากอนามัยที่มีผ่านการเคลือบพิเศษ สารเคลือบสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ เป็นต้น “ปีนี้ เราจะเห็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่เข้าถึงคนทั่วไปมากขึ้น ทั้งที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีมา และนวัตกรรมที่บริษัทวิจัยและพัฒนาเอง โดยเราได้ทดลองตลาดสำหรับสเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2อิน1 ผ่านการออกบูทภายในงาน Asean Sustainable Energy Week 2023 ซึ่งผลตอบรับดี ลูกค้าให้ความสนใจ และมีแผนที่จะเข้าถึงคนหมู่มากผ่านการออกบูทในงานนิทรรศการต่างๆ ให้มากขึ้น พร้อมขยายช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสำหรับ B2C ออกไปในกลุ่มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ เฟซบุ๊ค และยังมองถึงติ๊กต่อก (Tiktok) สำหรับช่องทางในอนาคตอีกด้วย” ดร. พิศิษฐ์ชี้ อย่างไรก็ดี ดร. พิศิษฐ์ กล่าวว่า เราเพิ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสำหรับ B2C เข้ามาในไลน์สินค้าของบริษัท แต่ก็ยังเป็นการทดลองตลาด โดยจะมีการประเมินหลังจากนี้ว่า ผลิตภัณฑ์ไหนมีการตอบรับที่ดีเพื่อวางแผนผลักดัน และขยายธุรกิจต่อไป แต่ทั้งนี้ หัวใจหลักของเราก็ยังคงเป็นกลุ่มสารเคลือบเซลล์แสงอาทิตย์ โดยความท้าทายคือ เราจะได้รับโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะในด้านการเคลือบผิววัสดุที่แตกต่างออกไปในแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงการเพิ่มฟังก์ชั่นกันน้ำ กันฝุ่น ยับยั้งเชื้อ รวมถึงในอนาคตที่อาจจะมีเรื่องการปกป้อง ป้องกันพื้นผิวที่เฉพาะเจาะจงสำหรับอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนอีกด้วย สเปรย์เคลือบเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุก่อสร้างแบบ 2 อิน 1 ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมภายใต้นาโน โค๊ตติ้ง เทค สำหรับปีที่ 2 จากผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ ซึ่งคือ สารเคลือบผิวเซลล์แสงอาทิตย์ ดร. ธันยกรเผยว่า มีแผนจะขยายการรับรู้ถึงแบรนด์ หาลูกค้าให้มากขึ้น และขยายสู่ตลาดต่างประเทศ นำร่องที่เวียดนามในปีที่จะถึงนี้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้เปลี่ยนจากเดิมที่มาจาก 2 ยูนิตในปีแรก คือ สารเคลือบผิวเซลล์แสงอาทิตย์ 50% และโซลูชั่นสำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (Solution for Industries) 50% เปลี่ยนเป็น สารเคลือบผิวเซลล์แสงอาทิตย์ 70% และโซลูชั่นสำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (Solution for Industries) ร่วมกับผลิตภัณฑ์ B2C 30% พร้อมทั้งจะลงทุนเพิ่มบุคลากรทีมขาย ซึ่งจะทำให้การทำงานในปีที่ 2 ของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตอบเป้าหมายเป็นเบอร์ 1 ทางด้านสารเคลือบในแถบอาเซียนภายใน 5 ปีให้ได้  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค สวทช. – ม.เกษตรศาสตร์ “พัฒนาพันธุ์ข้าว” รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงานแสดงพันธุ์ข้าว “NSTDA-KU Rice Field Day 2023” เพื่อเผยแพร่สายพันธุ์ข้าวที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมวิกฤตต่าง ๆ ซึ่งพัฒนาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ องค์ความรู้ และนวัตกรรมปรับปรุงพันธุ์ข้าว   โดยภายในงานเปิดให้ผู้สนใจได้เยี่ยมชม ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว ซึ่งตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม มีห้องปฏิบัติการวิจัยด้านข้าวแบบครบวงจร พร้อมเปิดให้เยี่ยมชมแปลงนาสาธิตพันธุ์ข้าวเพื่ออนาคตรับโลกรวนจากเอลนีโญ เช่น ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ตลอดจนต้านทานโรคและแมลงต่าง ๆ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
กมธ.อุดมศึกษาฯ ชื่นชมผลงาน สวทช. สร้างผลกระทบทุกภาคส่วน
(วันที่ 27 กันยายน 2566) ที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อ.คลองหลวง จ. ปทุมธานี : ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมคณะผู้บริหาร สวทช. ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา นำโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ 3 พร้อมด้วยกรรมาธิการและคณะ ในโอกาสเข้ารับฟังการดำเนินงานและเยี่ยมชมผลงานของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.  กล่าวบรรยายสรุปภาพรวมผลการดำเนินงานภายใต้นโยบาย "NSTDA Core Business" ซึ่งประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ 1.Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมืองให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยปัจจุบันมีการขยายผลไปใช้งานทั่วประเทศ โดยมี 14 จังหวัดที่ใช้งานครบทุกหน่วยงานในจังหวัด 2. FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารสำคัญให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ ซึ่งเป็นการวิจัยที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศ จากการใช้ประโยชน์ที่ประเทศไทยมีจุดเด่นด้านทรัพยากรอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง 3. Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ดิจิทัลเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องของความแออัดในหน่วยบริการสาธารณสุขและโรงพยาบาล โดย สวทช. ร่วมมือกับ สปสช. เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าวเพื่อให้ผู้ใช้บริการทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและประชาชนทั่วไปมีความสะดวกและเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ดียกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย และ 4. Industry 4.0 Platform ซึ่งให้บริการ Digital transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบครบวงจร เพื่อแก้ปัญหาภาคการผลิตของไทย ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและเป็นศูนย์กลางภาคอุตสาหกรรมของเอเชีย ทั้งนี้ ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ได้บรรยายถึงบทบาทหน้าที่ของ สวทช. ร่วมถึงแนะนำศูนย์แห่งชาติทั้ง 5 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง นำเสนอ Traffy Fondue ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร นำเสนอ FoodSERP ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะทาง ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ นำเสนอ Digital Healthcare Platform ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรมสมัยใหม่ EECi นำเสนอ Industry 4.0 Platform โอกาสนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ โดยเป็นศูนย์ทดสอบ สอบเทียบ และวิจัยพัฒนา ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้ได้มาตรฐานสากล โดยบุคลากรมืออาชีพและเครื่องมือที่ทันสมัย ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) และได้เข้าชมห้องปฏิบัติการทดสอบ EMC เป็นห้องทดสอบการแพร่กระจายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ออกจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า และเครื่องมืออุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ของภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้แสดงความชื่นชมผลการดำเนินงานของ สวทช. พร้อมได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. ที่ทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชนและชุมชน ซึ่งจะตอบโจทย์ความต้องการทุกภาคในสังคมและระดับประเทศ ผ่านการสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ เพื่อนำไปขยายผลให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาและนำไปใช้ประโยชน์เพื่อสร้างรายได้ให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมาธิการฯ จะนำข้อมูลที่ได้รับจากการเยี่ยมชมในครั้งนี้นำไปสู่การจัดทำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ให้บริการ ‘Industry 4.0 Platform’ บริการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร
For English-version news, please visit : Industry 4.0 Platform: Empowering industrial transformation   ปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 (industry 4.0) หรือการปรับเปลี่ยนให้เครื่องจักรภายในโรงงานสื่อสารถึงกันและกัน และสื่อสารกับมนุษย์ได้แบบเรียลไทม์ เพราะจะช่วยให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบและสั่งการเครื่องจักรได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระบบ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตด้วย อย่างไรก็ตามการจะยกระดับภาพรวมของอุตสาหกรรมสู่ระดับ 4.0 ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องอาศัยความพร้อมหลายด้าน ทั้งจากผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แรงงานทักษะสูง และเงินทุน สวทช. จึงเปิดให้บริการ 'Industry 4.0 Platform’ แพลตฟอร์มรวบรวมบริการและกิจกรรมสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร (one-stop service) โดยเปิดให้บริการ 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วย 'i4.0 maturity' ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศ โดยมี Thailand i4.0 Index เป็นเครื่องมือในการวัดระดับความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นการยกระดับได้อย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน 'i4.0 consulting' บริการให้คำปรึกษาด้านการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ 'i4.0 training' บริการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกระดับ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ออกแบบระบบเทคโนโลยีสำหรับใช้งานภายในโรงงาน (System Integrator: SI) แรงงานทักษะสูง และผู้ให้บริการประเมินความพร้อมโรงงาน และสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มต้นวางแผนการยกระดับอุตสาหกรรม 'Industry 4.0 Platform’ ได้เปิดให้บริการประเมินอุตสาหกรรมด้วย 'Thailand i4.0 index' เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงสถานะความพร้อมของกิจการ โดยเปรียบเทียบกับกิจการชั้นนำระดับประเทศและระดับสากลที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน พร้อมแนะนำ 4 มิติที่ควรเร่งพัฒนาก่อน เพื่อปิดช่องโหว่ของความไม่พร้อม และเพิ่มประสิทธิภาพของสายการผลิต โดยผู้ประกอบการที่นำกิจการเข้ารับการประเมินด้วย 'Thailand i4.0 index' และได้รับการเห็นชอบแผนพัฒนาจาก สวทช. สามารถนำเอกสารรับรองยื่นขอรับการส่งเสริมจาก BOI เพื่อสิทธิประโยชน์ด้านการยกเว้นภาษีเงินได้ในสัดส่วน 100% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 3 ปี 'เปรียบเสมือนภาครัฐช่วยลงทุน’ (เงื่อนไขตามข้อกำหนดของ BOI)     บันได 4 ขั้น ก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ขั้นแรกคือการประเมินความพร้อมด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ที่ www.nstda.or.th/i4platform/checkup เพื่อให้ทราบในเบื้องต้นว่าอุตสาหกรรมของตนอยู่ในระดับใด ขั้นที่สองคือการประเมินความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมรับคำแนะนำในการยกระดับโรงงาน โดยผู้ประกอบการและพนักงานอาจเข้ารับการอบรมเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะด้านอุตสาหกรรม 4.0 ด้วย ขั้นที่สามคือการรับคำแนะนำในการยกระดับอุตสาหกรรมทั้งด้านเทคโนโลยี เงินทุน และสิทธิประโยชน์ และอาจนำแผนงานมาทดสอบจำลองสถานการณ์ (simulation) ด้วย testbed อาทิ เครื่องจักร สายการผลิต และระบบดิจิทัลที่มีให้บริการ ก่อนลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตภายในโรงงานจริง เพื่อลดการสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และขั้นสุดท้ายคือการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม นำไปสู่การเพิ่มความยืดหยุ่นในกระบวนการผลิต ลดต้นทุน ลดข้อเสีย และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขั้น ทั้งนี้ผู้ประกอบการรับบริการทุกขั้นบันไดสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้ผ่าน 'Industry 4.0 Platform’ ที่ให้บริการโดย สวทช.     'Thailand i4.0 index' หรือ 'ดัชนีความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0' เป็นดัชนีเพื่อประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมที่ประเมินผ่าน 6 ด้านหลัก (17 ด้านย่อย) ที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมให้รองรับการเติบโตอย่างมั่นคงและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดย 6 ด้านหลักประกอบด้วย technology smart operation IT system & data transactionhuman capital market & customers strategy & organization ทั้งนี้ Thailand i4.0 Index พัฒนาขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรม ITAP สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม และได้รับการสนับสนุนการทำวิจัยจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนี www.thindex.or.th     ในการประเมินความพร้อม คณะกรรมการจะประเมินผ่าน 6 ด้านหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย 17 ด้านย่อย โดยแบ่งระดับความพร้อมเป็น 6 ระดับ (band) ซึ่งในช่วงอุตสาหกรรม 3.0 และ 4.0 ที่มีการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีและการลงทุนที่ค่อนข้างสูง จะแบ่งย่อยเป็น 2 ระดับต่อขั้นอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการก้าวขึ้นแต่ละขั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น     เมื่อผู้ประกอบการเข้ารับการประเมินอุตสาหกรรมแล้ว จะได้รับข้อสรุปผลการประเมินเป็น 2 ตารางหลักดังภาพตัวอย่าง ตารางแรก (ซ้าย) จะแสดงให้เห็นถึงระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบกับโรงงานชั้นนำของประเทศที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน (Best in Class: BIC) ส่วนตารางที่สอง (ขวา) จะแนะนำ 4 มิติที่ผู้ประกอบการควรปรับปรุงก่อน โดยพิจารณาจาก ระดับปัจจุบัน, โครงสร้างต้นทุน, KPI ของบริษัท และความห่างจาก BIC     ประโยชน์ 4 ต่อที่ผู้ประกอบการจะได้จากการเข้ารับการประเมินอุตสาหกรรม คือ ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Industry 4.0 และการประยุกต์ใช้งานในองค์กร ได้รายงานสรุปผลการประเมินระดับความพร้อม (assessment report) สำหรับใช้เป็นแนวทางกำหนดกลยุทธ์องค์กรตาม impact value chain ได้ข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวทางในการจัดหา System Integrator (SI) ที่เหมาะสมมาร่วมพัฒนา ได้ใช้ assessment report ประกอบการยื่นขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI     BOI สนับสนุนสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ ที่ลงทุนยกระดับกิจการสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยการยกเว้นภาษีเงินได้ในสัดส่วน 100% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 3 ปี ทั้งนี้ BOI ได้กำหนดเงื่อนไขในการสนับสนุนการลงทุน คือ 1. ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสู่ระบบอัตโนมัติ 2. ลงทุนระบบ automation and network technology 3. ลงทุนระบบ smart operation 4. ลงทุนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้งานในอุตสาหกรรม โดยมีเงื่อนไขในการพิจารณาสนับสนุนสิทธิประโยชน์ คือ 1. แผนการลงทุนจะต้องได้รับการเห็นชอบจาก สวทช. 2. ดำเนินงานแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับจากวันออกบัตรสนับสนุนโดย BOI     ด่วน จำนวนจำกัด !! สวทช. เปิดรับประเมินอุตสาหกรรมโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางฟรี 100 โรงงาน ติดต่อขอรับบริการได้ที่ i4Platform@nstda.or.th     รายละเอียดเพิ่มเติม Website: www.nstda.or.th/i4Platform Facebook: Thailand i4.0 Platform   ติดต่อสอบถามหรือขอรับบริการ E-mail: i4Platform@nstda.or.th Line: @i4Platform  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘นักวิจัย’ ไบโอเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยี สู้ ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ แนะเกษตรกรชาวไร่มันฯ ลดเสี่ยง-เลี่ยงใช้ท่อนพันธุ์ต่างถิ่น  
(วันที่ 25 กันยายน 2566) ที่ห้องแถลงข่าว อว. ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ : ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.อรประไพ คชนันทน์ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ และดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับเทคโนโลยี สู้ ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ เพื่อแก้วิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลังที่ชาวไร่มันสำปะหลังทั่วประเทศกำลังประสบปัญหาอยู่ทั่วทุกภูมิภาค โดยมีนายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ร่วมนำเสนอ การใช้เทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อคัดกรองโรคใบด่างฯ และท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในเวลานี้ที่จะช่วยเกษตรกรลดความเสี่ยงในการนำท่อนพันธุ์ติดเชื้อโรคใบด่างมันฯ ไปเพาะปลูกต่อ โดยจะสามารถช่วยตั้งแต่การตรวจคัดกรองโรคในกระบวนการผลิตต้นพันธุ์สะอาด การติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคหลังการเพาะปลูกเพื่อจัดการควบคุมโรคระบาดได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการใช้ในงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคใบด่างมันสำปะหลัง ทีมวิจัย สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ให้แก่ หน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน รวมถึงเกษตรกรหลายภูมิภาคของประเทศตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังเมื่อปี 2561 เป็นต้นมา ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสชนิด Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) เป็นโรคอุบัติใหม่ที่พบการแพร่ระบาดในพื้นที่เพาะปลูกในหลายจังหวัดของประเทศไทย โดยสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เกิดจากการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคใบด่างมันสำปะหลังมาปลูก ในกรณีที่ระบาดรุนแรงสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้ถึง 30-80 เปอร์เซ็นต์ ทีมนักวิจัยฯ ได้พัฒนาชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ Strip test ซึ่งสามารถพกพาไปใช้ในภาคสนาม โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างส่งมาตรวจยังห้องปฏิบัติการ สามารถทราบผลได้ภายใน 15 นาที และตรวจสอบได้เองโดยไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการหรือเครื่องมือวัดอ่านผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในประเทศไทย รวมถึงการตรวจหาเชื้อในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการผลิตต้นพันธุ์มันสำปะหลังปลอดเชื้อ “สำหรับชุดตรวจ Strip test มีความแม่นยำร้อยละ 96 ความจำเพาะเจาะจงร้อยละ 100 และความไวร้อยละ 91 ใช้งานง่ายเพียง 3 ขั้นตอน 1. นำใบพืชมาบดในบัพเฟอร์ที่เตรียมไว้ให้ 2. จุ่มตัว  Strip test ลงไปในน้ำคั้นใบพืชที่บดได้ และ 3. รอ 15 นาทีแล้ว อ่านผลจากแถบสีที่เกิดขึ้น หากขึ้น 2 ขีด ณ ตำแหน่ง T และ C แสดงว่าตัวอย่างติดโรคใบด่างมันสำปะหลัง หากขึ้น 1 ขีด ณ ตำแหน่ง C แสดงว่าตัวอย่างไม่ติดโรค ซึ่งได้ผลิตต้นแบบชุดตรวจ Strip test และนำชุดตรวจไปทดสอบการใช้งานจริงกับเครือข่ายภาครัฐและเอกชน โดยได้มีการจัดฝึกอบรมเรื่อง “การตรวจวินิจฉัย เชื้อ Sri Lankan cassava mosaic virus ในตัวอย่างมันสำปะหลังด้วยชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test” และส่งมอบชุดตรวจที่พัฒนาขึ้นให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปใช้ประโยชน์ในการตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแล้วหลายภูมิภาค ดร.อรประไพ กล่าวต่อว่า สำหรับหน่วยงานภาครัฐหรือบริษัทเอกชนที่มีความต้องการตรวจสอบตัวอย่างจำนวนมาก และต้องการจัดตั้งเป็นศูนย์ตรวจคัดกรองโรคในพื้นที่ ทางทีมวิจัยฯ ยังได้พัฒนาเทคนิคการตรวจกรองไวรัสใบด่างมันสำปะหลังโดยใช้เทคนิคอิไลซ่า (ELISA) ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความถูกต้อง ราคาไม่แพง ชุดตรวจที่พัฒนาขึ้นมีความไว (sensitivity) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจที่มีการขายในเชิงการค้า และมีราคาถูกกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ สามารถตรวจกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังได้ในทุกขั้นตอนของการผลิตและเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปัจจุบัน ได้มีการจัดตั้งห้องปฏิบัติการอิไลซ่าให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจจำนวน 6 แห่ง และมีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ชุดตรวจที่พัฒนาขึ้นทั้ง 2 รูปแบบ ได้มีการดำเนินการเชิงพาณิชย์และสาธารณประโยชน์เรียบร้อยแล้ว นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. เปิดเผยว่า ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา โรคใบด่างมันสำปะหลังได้สร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกใหญ่ที่สุดในประเทศ โรคใบด่างฯ ลุกลามและแพร่ระบาดมาถึงจังหวัดยโสธร อุบลราชธานีและอำนาจเจริญ โดยต้นตอเกิดจากเกษตรกรนำท่อนพันธุ์จากต่างถิ่นเข้ามาในพื้นที่และไม่ทราบว่าต้นพันธุ์ที่นำมาปลูกนั้นติดโรคใบด่าง ดังนั้นการมีองค์ความรู้และการพัฒนาชุดตรวจโรคใบด่าง ที่ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้นมา เพื่อนำไปให้เกษตรกรสามารถใช้ตรวจได้ด้วยตัวเกษตรกรเองและรู้ผลได้รวดเร็วภายใน 15 นาที จะช่วยลดผลกระทบจากโรคใบด่างได้ ทั้งนี้ สวทช. เห็นความสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยจัดการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานคัดเลือกเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์พื้นที่ เพื่อใช้จัดการและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ ยกระดับรายได้ของเกษตรกร โดยมีการอบรมเกษตรกรภายใต้โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังในระบบอินทรีย์ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต แก่กลุ่มเกษตรกร 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ เพื่อขยายผลองค์ความรู้ ถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานสร้างเครือข่ายผู้ผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินงานโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับตัวชี้วัดในการถ่ายทอดเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐาน เพิ่มประสิทธิภาพเกษตรปลอดภัย และเชื่อมโยงพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตร ทั้งกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐท้องถิ่น โดย บริษัท อุบล ไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นพี่เลี้ยงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “โครงการนี้ สวทช. มุ่งเน้นบูรณาการชุดองค์ความรู้ต่าง ๆ เช่น พันธุ์มันสำปะหลังที่เหมาะสมกับชุดดิน การจัดการดินและปุ๋ยร่วมกับการจัดการแปลง การเก็บเกี่ยวและแปรรูป การจัดการโรคและแมลง มุ่งเน้นการตรวจติดตาม เฝ้าระวัง ใช้ชุดตรวจไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง ซึ่งช่วงการระบาดของโรคใบด่าง ทีม สวทช. ได้นำชุดตรวจไปอบรมให้เกษตรกร เพื่อนำไปใช้คัดกรองต้นมันสำปะหลังในแปลงได้ทันที ซึ่งชุดตรวจโรคใบด่างจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกษตรกรมั่นใจว่า แปลงมันสำปะหลังของตนเองนั้นจะเป็นแปลงที่ติดโรคใบด่างหรือไม่ และหากพบว่าติดโรคใบด่างก็สามารถถอนทำลายต้นพันธุ์ทิ้ง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่แปลงปลูกข้างเคียงลดความเสียหายได้”  นายชวินทร์ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับหน่วยงานภาครัฐหรือบริษัทเอกชนที่มีความสนใจเทคโนโลยี สามารถติดต่อทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. โทรศัพท์ 025646700 ต่อ 3342
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดแล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเนื้อ “อินทผลัมพันธุ์บาฮี” การันตีคุณภาพผลผลิตตรงตามแม่พันธุ์
  Tech: สุดเจ๋ง ! นักวิจัยไทยพัฒนาวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีเชิงการค้าสำเร็จ เอกชนสานต่อสู่เชิงพาณิชย์ จัดตั้งห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพร้อมผลิตต้นกล้าออกสู่ตลาด ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ หนึ่งในผลงานนวัตกรรมจากไบโอเทค สวทช. ร่วมจัดแสดงในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติประจำปี 2566 BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ พัฒนาเทคโนโลยีโดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ผลิตและจำหน่ายโดยห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม บริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ : 08 1875 9340 หรือ 08 9155 2777   [caption id="attachment_47240" align="aligncenter" width="700"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค เล่าว่าปัจจุบันธุรกิจการปลูกอินทผลัมพันธุ์ชนิดรับประทานสดในประเทศไทยมีการขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น ทว่าอินทผลัมเป็นพืชต่างประเทศ เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องนำเข้าต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประเทศเข้ามาปลูก เพราะสามารถการันตีถึงการตรงตามพันธุ์ ที่ส่งผลให้มีความสม่ำเสมอของคุณภาพและปริมาณของผลิตผลอินทผลัมที่จะออกสู่ตลาดได้ การพัฒนาเทคนิคผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อรวมถึงการปรับปรุงพันธุ์อินทผลัมให้เหมาะสมกับสภาพการปลูกและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพในประเทศไทยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรองรับความต้องการของเกษตกร ดังนั้นไบโอเทค สวทช. จึงได้ร่วมกับบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด พัฒนาเทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีซึ่งเป็นพันธุ์การค้ามาตรฐานชนิดรับประทานผลสดที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลิตต้นกล้าอินทผลัมคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม และลดการนำเข้าต้นกล้าอินทผลัมจากต่างประเทศ   [caption id="attachment_47241" align="aligncenter" width="700"] ต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม บริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด[/caption]   จุดเด่นของต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจากห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินผลัมบริษัทพี โซลูชัน กรุ๊ป จำกัด คือ เป็นต้นเพศเมียที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่นำมาจากต้นแม่พันธุ์คุณภาพดี ปลูกง่าย ดูแลง่าย เติบโตได้ดีเกือบทุกภูมิภาคในประเทศไทย เริ่มจำหน่ายผลผลิตได้หลังปลูกประมาณ 3 ปี อายุเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 150 วันหลังผสมเกสร ผลมีสีเหลืองทอง รูปร่างกลมรี เนื้อแน่น หวานกรอบอร่อย ไม่มีรสฝาด   [caption id="attachment_47242" align="aligncenter" width="700"] ประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด[/caption]   ประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัทพี โซลูชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของพีโซลูชันกรุ๊ปเริ่มผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจำหน่ายออกสู่ตลาดแล้ว และในอนาคตยังสามารถต่อยอดไปสู่การผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีอื่น ๆ ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง เช่น เบรม โคไนซี่ บาฮีแดง ฯลฯ รวมถึงรองรับการขยายพันธุ์ต้นอินผลัมที่มาจากการพัฒนาต้นพันธุ์เพาะเมล็ดลักษณะดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจการปลูกอินทผลัมเป็นให้เป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทยและสามารถส่งออกผลผลิตหรือต้นกล้าพันธุ์ดีได้ในอนาคต นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในประเทศไทยที่สามารถขยายพันธุ์พืชเศรษฐกิจจากต่างประเทศ ช่วยเพิ่มโอกาสและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการผลิตอินทผลัมชนิดรับประทานผลสด และยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอินผลัมพันธุ์ใหม่ ๆ ในประเทศไทยอีกด้วย   เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย : ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ร่วมประชุมความร่วมมือ ไทย – จีน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(วันที่ 21 กันยายน 2566) ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน : ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วมการประชุมความร่วมมือภายใต้กรอบคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทยครั้งที่ 4 (The 4th meeting of Joint Committee on Science and Technology Cooperation between Ministry of Higher Education Science Research and Innovation of Thailand and Ministry of Science and Technology of People’s Republic of China) โดย มี ศ. ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ นายจาง กว่างจวิน (Zhang Guang Jun) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Ministry of Science and Technology - MOST) ของจีนเป็นประธานร่วมในที่ประชุม สวทช. ได้นำเสนอความร่วมมือ 2 ด้านได้แก่ 1) ด้านระบบราง - สวทช.โดย ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ ดำเนินการร่วมกับ วว. และ CRRC ดำเนินการศึกษาการจัดตั้ง China-Thailand Belt and Road Joint Laboratory on Rail Transit เพื่อทำวิจัยและทดสอบชิ้นส่วนระบบราง โดยทั้งฝ่ายจีนและไทยจะผลักดันความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการทำงานในโครงการการสร้างรถไฟไทย-จีน ของกระทรวงคมนาคมของแต่ละประเทศต่อไป 2) ด้านการถ่ายทอดโนโลยี - สวทช. โดย ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีไทย-จีน หรือ Thailand-China Technology Transfer Center (TCTTC) ดำเนินการแลกเปลี่ยนนักวิจัย การจัดการฝึกอบรม และการจับคู่ธุรกิจเทคโนโลยีระหว่างผู้ประกอบการทั้งไทยและจีน โดยมีเป้าหมายในการยกระดับงานวิจัยให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงและเกิดการถ่ายทอดเชิงพาณิชย์ ก่อให้เกิดการลงทุนและผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งสองประเทศ โดยในปี 2567 จะร่วมกันผลักดันการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ของสหประชาชาติต่อไป  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค-สวทช. พัฒนาองค์ความรู้ ฟื้นฟูพื้นที่เพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่า อนุรักษ์ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
  ‘เห็ดตับเต่า’ เป็นหนึ่งในเห็ดพื้นบ้านของไทยที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ที่สำคัญคือมีให้รับประทานเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น ซึ่งแหล่งผลิตเห็ดตับเต่าที่ใหญ่ที่สุดและคุณภาพดีที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่บ้านสามเรือน ตำบลสามเรือน อำเภบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นับเป็นเห็ดเศรษฐกิจที่เกิดจากวิถีภูมิปัญญาผสานกับการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาปรับใช้บริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมเพื่อผลิตเห็ดตับเต่าอย่างยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน   [caption id="attachment_47202" align="aligncenter" width="450"] นางสาวธิติยา บุญประเทือง นักวิจัยไบโอเทค สวทช.[/caption]   นางสาวธิติยา บุญประเทือง หัวหน้ากลุ่มวิจัยเห็ด ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า เกษตรกรบ้านสามเรือนเพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่าในดงโสนเป็นอาชีพหลักมานานหลายสิบปี และได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเห็ดตับเต่าคลองโพ แต่จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2554 ส่งผลให้เชื้อเห็ดตับเต่าในพื้นที่ลดลงและพักตัวนานขึ้น ผลผลิตเห็ดในปีถัด ๆ มาก็ลดลงตามไปด้วย หากไม่เร่งฟื้นฟูอาจทำให้เห็ดตับเต่าค่อย ๆ หายไปจากพื้นที่ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในระยะยาว “ทีมวิจัยจึงได้ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรบ้านสามเรือนเพื่อฟื้นฟูพื้นที่เพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่า เริ่มตั้งแต่ศึกษาสรีรวิทยาของเห็ดตับเต่า ศึกษาระบบนิเวศและปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการเจริญของเห็ดตับเต่าทั้งดิน น้ำ ความชื้น และอากาศ รวมถึงพืชอาศัยของเห็ดตับเต่า ซึ่งเดิมเคยมีความรู้ว่าเห็ดตับเต่าเป็นเห็ดเอ็กโทไมคอร์ไรซา (ectomycorrhiza) ที่เจริญร่วมกับรากของต้นไม้ จึงไม่สามารถเพาะในโรงเรือนได้เหมือนกับเห็ดชนิดอื่นๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เห็ดตับเต่าไม่เป็นเห็ดเอ็กโทไมคอร์ไรซา แต่เป็นเห็ดที่มีสังคมการอาศัยที่ซับซ้อนคือ มีความสัมพันธ์ร่วมระหว่างพืชอาศัย ซึ่งมีมากกว่า 60 ชนิด และต้นโสนเป็นหนึ่งในนั้น ร่วมกับแมลงคือมดและเพลี้ย ดังนั้นหากกำจัดมดและเพลี้ยจะส่งผลต่อเห็ดตับเต่าด้วย กลไกของสังคมนี้ยังคงอยู่ในระหว่างศึกษาถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เห็ดตับเต่าสามารถนำมาเพาะเลี้ยงในโรงเรือนได้แต่รสชาติเปรียบกับเห็ดตับเต่าที่ขึ้นในบริเวณแหล่งปลูกอาศัยตามธรรมชาติไม่ได้ ต้นทุนสูงและเพาะเลี้ยงยากจึงไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย” นักวิจัยเล่าว่าเกษตรกรที่บ้านสามเรือนจะเพาะเห็ดตับเต่าในดงโสนนาซึ่งเป็นพืชประจำถิ่นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่มีมากมาย โดยเห็ดตับเต่าจะเริ่มออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน หลังจากเก็บดอกเห็ดขายจนหมดแล้วและต้นโสนเริ่มแก่ พร้อมกับช่วงของการกักเก็บน้ำจากชลประทานซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่แก้มลิงของจังหวัด โดยน้ำจะเข้าท่วมถึงระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน หลังจากน้ำลดแล้วจึงเริ่มปรับพื้นที่ให้ต้นโสนงอกใหม่อีกครั้งคือการถอนต้นโสนทิ้งแล้วให้ต้นอ่อนขึ้นตามธรรมชาติ แล้วจึงนำเชื้อเห็ดที่หมักเตรียมไว้มาราดให้ทั่วแปลง และเมื่อเข้าสู่ต้นฤดูฝนในช่วงเดือนพฤษภาคมจะเริ่มสังเกตเห็นเส้นใยเห็ดตับเต่าเดินเต็มผิวดินและดอกเห็ดตับเต่าก็จะเริ่มบานเต็มพื้นที่อีกครั้ง   [caption id="attachment_47204" align="aligncenter" width="750"] นักวิจัยศึกษาระบบนิเวศของเห็ดตับเต่าและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน[/caption]   “เราศึกษาระบบนิเวศของเห็ดตับเต่าตั้งแต่โครงสร้างของดิน แร่ธาตุในดิน อุณหภูมิ ความชื้น ความเข้มแสงบริเวณโคนต้นเหนือพื้นดิน รวมถึงความสูงของต้นโสน พบว่าเห็ดตับเต่าจะเจริญได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความจำเพาะ เช่น ดินต้องมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์และมีความเป็นกรดสูง มีความชื้นในอากาศเหมาะสม มีแสงส่องถึงพื้นดินที่พอเหมาะ และต้องไม่มีสารเคมีปนเปื้อนในแปลงเพาะเห็ด ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องหมั่นดูแลสภาพแวดล้อมในแปลงและตัดแต่งกิ่งโสนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ถางหญ้าที่รกออกโดยไม่ใช้ยาฆ่าหญ้าเพื่อให้เชื้อเห็ดเจริญและออกดอกได้ดี ที่สำคัญเกษตรกรจะต้องไม่เก็บดอกเห็ดขายจนหมด ต้องปล่อยดอกเห็ดบางส่วนทิ้งไว้จนแก่เพื่อนำไปทำหัวเชื้อหรือให้เชื้อนั้นพักตัวในดินสะสมไว้เพื่อฤดูกาลถัดไป ในส่วนของต้นโสนไม่ควรนำเมล็ดไปขายเพราะจะส่งผลถึงปริมาณต้นอ่อนของต้นโสนซึ่งมีผลสัมพันธ์กับการลดปริมาณของเห็ดในฤดูถัดไปได้ ห้ามกำจัดมดและเพลี้ยในบริเวณเช่นเดียวกันเพราะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเห็ดตับเต่าที่จำเป็นต้องมีในถิ่นอาศัย” นักวิจัยกล่าว จากการศึกษาระบบนิเวศของเห็ดตับเต่าและทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรบ้านสามเรือนเป็นเวลากว่า 2 ปี นักวิจัยไม่เพียงได้องค์ความรู้สำหรับถ่ายทอดสู่เกษตรกรในพื้นเท่านั้น แต่ยังสามารถจำลองสภาวะธรรมชาติเพื่อเพาะเห็ดตับเต่าได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรที่ต้องการขยายพื้นที่เพาะเห็ดตับเต่า รวมถึงใช้เป็นโมเดลในการเพาะเห็ดตับเต่าสำหรับพื้นที่อื่นๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังพัฒนาเทคนิคการผลิตหัวเชื้อเห็ดตับเต่าหลายรูปแบบ และพัฒนากระบวนการเพาะเลี้ยงเห็ดตับเต่าที่เหมาะกับหัวเชื้อแต่ละรูปแบบ   [caption id="attachment_47205" align="aligncenter" width="750"] เชื้อเห็ดตับเต่าแบบต่าง ๆ[/caption]   “เห็ดตับเต่าที่บ้านสามเรือนมีลักษณะดอกใหญ่ เนื้อแน่น และมีความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนเห็ดตับเต่าในพื้นที่อื่น ซึ่งกลิ่นและรสของเห็ดตับเต่านั้นยังขึ้นอยู่กับชนิดของรากไม้ แร่ธาตุในดิน และสภาพแวดล้อมที่เห็ดเจริญ เห็ดชนิดเดียวกันแต่ขึ้นต่างพื้นที่กัน กลิ่นและรสก็จะแตกต่างกันด้วย ดังนั้นการที่เราได้เข้าไปทำงานร่วมกับเกษตรกรในการฟื้นฟูเห็ดตับเต่าของบ้านสามเรือน นอกจากจะช่วยรักษาทรัพยากรในท้องถิ่น ฟื้นฟูอาชีพและรายได้ของคนในชุมชนให้กลับคืนมาแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์พันธุ์เห็ดตับเต่าชั้นดีของประเทศไทยอีกด้วย" นักวิจัยกล่าว   [caption id="attachment_47203" align="aligncenter" width="750"] เห็ดตับเต่าเป็นสินค้าเกษตรที่สำคัญและเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านสามเรือน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา[/caption]   ปัจจุบันเห็ดตับเต่ากลายเป็นสินค้าเกษตรที่ขึ้นชื่อและเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านสามเรือน มีเกษตรกรผู้เพาะเห็ดไม่ต่ำกว่า 300 ราย ส่วนใหญ่จำหน่ายเป็นผลิตผลสดและบางส่วนนำไปแปรรูปเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ให้ชุมชนเป็นปีละประมาณ 10 ล้านบาท อีกทั้งยังได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรและศูนย์เรียนรู้ด้านการเพาะเห็ดตับเต่าที่สำคัญของประเทศ การพัฒนาองค์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพร้อมนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมนับว่าเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชนบนฐานทรัพยากรที่มีในท้องถิ่นให้เติบโตและงอกงามได้อย่างยั่งยืนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG model)     เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เดินหน้าพัฒนา Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง มุ่งขยายผลใช้งานทุกจังหวัด
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตร “หน่วยงานดีเด่นในการใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อบริการประชาชน” มี 190 หน่วยงานทั่วประเทศได้รับมอบเกียรติบัตร เป็นหน่วยงานระดับจังหวัด 14 จังหวัด ที่มีการใช้งานครบทุกหน่วยราชการภายในจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นครราชสีมา, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, พะเยา, ลำพูน, ปราจีนบุรี, ภูเก็ต, เพชรบูรณ์, สมุทรปราการ, สระบุรี, เชียงใหม่, ลำปาง และสิงห์บุรี   สำหรับแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Traffy Fondue พัฒนาโดยทีมนักวิจัย สวทช. ซึ่งปรับปรุงพัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายขยายผลการใช้งานให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ครั้งที่ 5 (Advanced Engineering Workshop V)
การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ครั้งที่ 5 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ทั้งการออกแบบ และสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบทางเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ซึ่งจะนำไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่บริษัทผู้ผลิตเพื่อทำการผลิตและส่งออกในนามของสินค้าของไทย (ร่าง) กำหนดการ การประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูง ครั้งที่ 5 (Advanced Engineering Workshop V) จัดโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.) และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) (สซ.) ระหว่างวันที่ 29 – 30 กันยายน 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 ห้องประชุม 601 อาคารสราญวิทย์ 08.30 – 09.00 น. ลงทะเบียน 09.00 – 09.10 น. กล่าวต้อนรับ และเปิดการประชุม โดย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. Session 1 : ความสามารถด้านวิศวกรรมของ สวทช.  และแนวทางความร่วมมือ 09.10 – 10.30 น. เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมในยานพาหนะไฟฟ้าของ สวทช. เทคโนโลยีการออกแบบมอเตอร์พร้อมระบบขับเคลื่อน โดย ดร.บุรินทร์ เกิดทรัพย์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างน้ำหนักเบาและการออกแบบยานยนต์ไฟฟ้า โดย ดร.ชินะ เพ็ญชาติ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีการออกแบบแบตเตอรี่แพ็คในยานยนต์ไฟฟ้า โดย ดร.มานพ มาสมทบ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีการออกแบบอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดย ดร.ดวิษ กิระชัยวนิช นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download อภิปรายแนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน 10.30-10.45 น.   พัก 10.45 - 12.00 น. เทคโนโลยีพลังงานเพื่อความยั่งยืน เทคโนโลยี SMR และฟิวชัน พลังงานสะอาดแห่งอนาคต โดย ดร.นพพร พูลยรัตน์ หัวหน้าฝ่ายนิวเคลียร์ฟิวชันและพลาสมา ศูนย์วิศวกรรมและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ชั้นสูง สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download เทคโนโลยีไฮโดรเจนและเซลล์เชื้อเพลิง โดย ดร.วิศาล ลีลาวิวัฒน์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดย ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีแบตเตอรี่ไฟฟ้าเคมีและการบริหารจัดการพลังงาน โดย ดร.ธัญญา แพรวพิพัฒน์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เทคโนโลยีซินโครตรอนกับงานวิจัยด้านวัสดุพลังงานและแบตเตอรี่ โดย ดร.พินิจ กิจขุนทด หัวหน้าฝ่ายวิจัยประยุกต์ใช้แสงซินโครตรอน สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) อภิปรายแนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน 12.00 – 13.30 น รับประทานอาหารกลางวัน ณ บริเวณโถงหน้าห้องประชุม 601 13.30 – 17.00 น.  เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ อาคาร INC2 ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) โดย ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (ESTT) โดย ดร.ณัฐนัย คุณานุสนธิ์    NECTEC Pilot Plant และ MTEC Pilot Plant ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ (SPVT) โดย ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยเทคโนโลยีกระบวนการผลิตวัสดุผง (PMPT) โดย นายภาณุ เวทยนุกูล(โลหะผง) และดร.สมพงษ์ ศรีมโนเสาวภาคย์ (อลูมิเนียมโฟม) ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (ESTT) (ด้านการแพ็คแบตเตอรี่) โดย ดร.มานพ มาสมทบ ห้องปฏิบัติการกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ (LCRG) (ด้าน Hydrogen Fuelcell) โดย ดร.วิศาล ลีลาวิวัฒน์ ห้องปฏิบัติการทีมวิจัยวิศวกรรมน้ำหนักเบา (LWET) โดย ดร.ชินะ เพ็ญชาติ   อาคาร PTEC ใหม่ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) โดย ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธ์ วันเสาร์ที่ 30 กันยายน 2566 ห้องประชุมออดิทอเรียม อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิริธร 08.30-09.00 น. ลงทะเบียน 09.00-09.10 น. กล่าวต้อนรับ โดย ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 09.10 – 09.40 น. การอภิปราย ศักยภาพและทิศทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงผู้ร่วมอภิปราย ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) รองศาสตราจารย์ ดร.สาโรช รุจิรวรรธน์ ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) รองศาสตราจารย์ ดร. ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) ดำเนินรายการโดย: ดร.วงศกร พูนพิริยะ 09.45 – 10.00 น. มอบของที่ระลึกและถ่ายรูปร่วมกัน 10.00 – 10.10 น. พัก Session 1 (ต่อ): ความสามารถด้านวิศวกรรมของ สวทช. และแนวทางความร่วมมือ 10.10 – 11.00 น. ความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุปกรณ์และวิศวกรรมการแพทย์ นวัตกรรม Exo-apparel สำหรับสังคมสูงวัย โดย ดร.ธนรรค อุทกะพันธ์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download RT Wheelchair รถเข็นเอกซเรย์แบบปรับนอน-นั่ง โดย ดร.ดนุ พรหมมินทร์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติสำหรับการประยุกต์ใช้ทางการแพทย์ โดย ดร.เสาวภาคย์ ธงวิจิตรมณี นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. AMED Care เทคโนโลยีเพื่อการยกระดับการให้บริการสาธารณสุข โดย ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. การผลิตสารเภสัชรังสีด้วยเทคโนโลยีนิวเคลียร์ โดย นางโมฬีพัณณ์ แดงประเสริฐ ผู้จัดการศูนย์ไอโซโทปรังสี สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download อภิปรายแนวทางความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน Session 2 : ความร่วมมือการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมระหว่างหน่วยงาน 11.00 – 12.30 น. ความก้าวหน้าการพัฒนากล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอนแบบส่องกราด (Scanning Electron Microscope : SEM) การออกแบบและพัฒนาชิ้นส่วนภาคจัดการ electron beam profile โดย นายพชร การคนซื่อ วิศวกร สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download การวัดและปรับปรุงคุณสมบัติของ electron beam profile และการประยุกต์ใช้ electron gun สำหรับการทดลองทางชีววิทยา โดย นางสาวพิชญาภัค กิติศรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Presentation  : Download การออกแบบห้องสุญญากาศและ scanning coil โดย ดร.ณรงค์ จันทร์เล็ก สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) Presentation  : Download การพัฒนาและปรับปรุงวงจรตรวจนับอิเล็กตรอนทุติยภูมิสู่การประมวลผลแบบดิจิตอล โดย นายธิติ เรืองสีสำราญ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download การรับข้อมูลดิจิตอลและประมวลผลเป็นภาพ (Image Processing) โดย ดร.รุ่งโรจน์ จินตเมธาสวัสดิ์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download อภิปรายแนวทางการทำงานต่อยอด 12.30 – 13.30 น. รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหาร อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร 13.30 – 14.20 น. ความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจสอบอายุโบราณวัตถุโดยเครื่องเร่งอนุภาค Accelerator Mass Spectrometry (AMS) แนวคิดการออกแบบและพัฒนา Accelerator Mass Spectrometer (AMS) สำหรับสำหรับ Radiocarbon dating โดย รศ.ดร.ประยูร ส่งสิริฤทธิกุล สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี Presentation  : Download แนวคิดการออกแบบและพัฒนา Ion Source ของ AMS โดย นายพชร การคนซื่อ วิศวกร สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download แลกเปลี่ยนหารือการพัฒนาต่อยอดร่วมกัน 14.20 – 14.45 น. เทคโนโลยี LiDAR และแนวโน้มการประยุกต์ใช้ในงานสำรวจทางโบราณคดี โดย ดร.รุ่งโรจน์ จินตเมธาสวัสดิ์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download 14.45 – 15.00 น. พัก 15.00 – 16.30 น.  ความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับด้านอวกาศ การดำเนินงานการสร้างและพัฒนาดาวเทียม TSC-1 ภายใต้ภาคีความร่วมมืออวกาศไทย (Thai Space Consortium) โดย นายพงศกร มีมาก สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) Presentation  : Download เทคโนโลยีการออกแบบระบบกักเก็บพลังงานในการใช้งานในดาวเทียม โดย ดร.จิราวรรณ มงคลธนทรรศ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. Presentation  : Download การประยุกต์ Plasma Thruster ทางเลือกการขับเคลื่อนดาวเทียมเยือนดวงจันทร์ โดย ดร.อาหลี ตำหมัน ศูนย์วิศวกรรมและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ชั้นสูง สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) resentation  : Download แลกเปลี่ยนหารือการพัฒนาต่อยอดร่วมกัน 16.30 – 16.45 น. รับชม VTR สรุปกิจกรรมเยี่ยมชม 16.45 – 17.00 น. กล่าวขอบคุณและปิดงาน    
ปฏิทินกิจกรรม