ผลการค้นหา :
กระทรวง อว. โดย สวทช. และ ม.ธรรมศาสตร์ ร่วมกับ QUB จัดใหญ่ “ASEAN-ASSET 2023” งานประชุมวิชาการนานาชาติด้านความมั่นคงอาหาร มุ่งเน้นงานวิจัยและนวัตกรรมอาหารเพื่ออนาคต หวังช่วยลดความรุนแรงวิกฤตอาหารโลก
For English-version news, please visit : ASEAN-ASSET 2023 strengthens food security research
(14 พ.ย. 66) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ Queen’s University Belfast (QUB) สหราชอาณาจักร และศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security หรือ IJC-FOODSEC) เปิดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ “ASEAN-ASSET 2023: Global Summit on the Future of Future Food” ในธีม Global Protein Integrity
โดยมี นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยผู้บริหาร สวทช. ม.ธรรมศาสตร์ และ QUB โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปเอเชีย เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความตระหนักเรื่องความมั่นคงของอาหารเพื่ออนาคต ซึ่งมุ่งเน้นขอบเขตอาหารในอนาคต ความปลอดภัยอาหารในอนาคต ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการศึกษาสำหรับอาหารในอนาคต และแนวโน้มปัจจุบันและอนาคตของอาหาร โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากทั่วทุกมุมโลก
ธนาคารโลก (World Bank) ได้เน้นย้ำว่าวิกฤตอาหารโลก (Global Food Crisis) ได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งถือเป็นการเตือนภัยครั้งใหญ่ นอกจากนี้โครงการอาหารโลก (World Food Programme) ยังเปิดเผยข้อมูลว่าในเวลาเพียงสองปี จำนวนผู้ที่เผชิญหรือมีความเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงทางอาหารเฉียบพลันเพิ่มขึ้นจาก 135 ล้านคนใน 53 ประเทศก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 เป็น 345 ล้านคน ใน 79 ประเทศในปี 2566
Prof. Dr. Christopher Elliott (ศาสตราจารย์ดร.คริสโตเฟอร์ เอลเลียต), OBE, Institute for Global Food Security, Queen’s University Belfast เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยควีนส์ (Queen’s University Belfast) สวทช. และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกันจัดงาน ASEAN-ASSET 2023: Global Summit on the Future of Future Food ระหว่างวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ งานประชุม ASEAN-ASSET 2023 ถือเป็นเวทีสำคัญระดับนานาชาติในการแลกเปลี่ยน อภิปราย และแสดงความคิดเห็น รวมถึงเผยแพร่ผลงานวิจัยครอบคลุมหัวข้อเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหารที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก เช่น วิธีการจัดหาอาหารกลุ่มโปรตีนทางเลือกผ่านการคิดเชิงนวัตกรรม การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อช่วยสนับสนุนการผลิตอาหารเพื่ออนาคต และความปลอดภัยของอาหารเพื่ออนาคตจากแหล่งต่าง ๆ เป็นต้น
นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประธานในพิธีเปิดการประชุม ASEAN-ASSET 2023 กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและได้พยายามที่จะผลักดันให้เกิดความมั่นคงทางอาหารผ่านกลไกและมาตรการที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการอาหารแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ. 2551 โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร มีหน้าที่เสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านคุณภาพอาหาร ความปลอดภัยด้านอาหาร ความมั่นคงด้านอาหารและอาหารศึกษา รวมทั้งจัดทำแผนเผชิญเหตุและระบบเตือนภัยด้านอาหารต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและมอบหมาย นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2553 ได้มีการจัดทำ “กรอบยุทธศาสตร์ด้านการจัดการอาหารของประเทศไทย” ซึ่งพัฒนาเป็นแผนแม่บทที่มุ่งเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ความปลอดภัย คุณภาพ และการศึกษาในประเทศไทย ถือเป็นก้าวแรกสู่การประสานความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบอาหารทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่น จนมาถึงปี พ.ศ. 2564 ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) : โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ โดยกระทรวง อว. เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อน BCG Model ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านการเกษตร เพิ่มปริมาณอาหารโปรตีนจากการนำนวัตกรรมมาใช้ประโยชน์ ควบคุมเรื่องของการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร (Food Loss and Food Waste) เป็นต้น
ปลัดกระทรวงฯ กล่าวต่อว่า กระทรวง อว. ผ่านหน่วยบริหารและจัดการทุน ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย ผศ.ดร.ปริปก พิศสุวรรณ รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กล่าวเสริมว่า อาหารแห่งอนาคต (future food) ถือเป็นหนึ่งในหัวข้อจำเป็นเร่งด่วนที่จะช่วยแก้ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร และ บพค. ยังส่งเสริมความร่วมมือกับทั้งภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานทั้งภายในและต่างประเทศผ่านแผนงานต่าง ๆ เช่น แผนงานย่อยพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือนานาชาติ (Global Partnership)
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมที่หลากหลายครอบคลุมระบบอาหารยั่งยืน (sustainable food system) ทั้งหมด โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาสายพันธุ์พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ข้าว มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น อีกทั้งยังรับมือกับภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งทนทานต่อโรคและแมลง ขณะที่ด้านเกษตรสมัยใหม่ได้ส่งเสริมให้เกษตรนำระบบดิจิทัลเข้ามาวางแผนระบบเกษตรในภาพรวม อาทิ TAMIS ระบบขึ้นทะเบียนเกษตรกร Agri-Map ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการจัดการเชิงรุก สำหรับงานวิจัยด้านอาหารเรามุ่งผลักดันการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเกิดอุตสาหกรรมอาหารมูลค่าเพิ่มสูงและสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (high value added and functional ingredient) ต้นแบบผลิตภัณฑ์/กระบวนการใหม่ในกลุ่ม functional ingredients เช่น functional microbes และ functional protein การผลิตอาหารเฉพาะกลุ่มที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีการปรับโครงสร้างอาหาร การปรับสูตรและวัตถุดิบใหม่ เช่น อาหารทางสายยางสำหรับผู้ป่วย รวมถึงการวิจัยเรื่องความปลอดภัยอาหาร วิธีการตรวจวินิจฉัยเชื้อก่อโรค สารปนเปื้อนในอาหาร ตลอดจนบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารที่มีคุณสมบัติพิเศษ นอกจากนี้ เรายังริเริ่มพัฒนาการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรส่งออกที่มีมูลค่าสูงของประเทศไทยเช่นทุเรียนอีกด้วย
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวเสริมว่า Queen’s University Belfast สวทช. และ ม.ธรรมศาสตร์ ได้ร่วมกันก่อตั้งศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security หรือ IJC-FOODSEC) ในปี พ.ศ. 2565 ที่ไบโอเทค สวทช. เพื่อช่วยผลิตงานวิจัยระดับโลกเพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคอาเซียน ที่ผ่านมานักวิจัยภายใต้ IJC-FOODSEC มีงานวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตทางการเกษตรและทรัพยากรชีวภาพในประเทศและศึกษาด้านความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะในเรื่องสารพิษจากรา เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการในประเทศไทย และอาเซียนให้มีศักยภาพในการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการผลิตและการส่งออกอาหารในระดับโลก
รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ธรรมศาสตร์มุ่งผลิตบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ที่มีความรู้ความสามารถทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติในทุกมิติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสริมประสบการณ์เรียนรู้ในหน่วยงานหรือโรงงานอุตสาหกรรมอาหารต่าง ๆ ให้แก่บัณฑิตทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์ตรงในสาขาวิชา และมีความพร้อมทั้งความรู้และประสบการณ์ที่จะนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ
รศ.เกศินี กล่าวต่อว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เข้าร่วมในโครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Reinventing University) กลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลกเมื่อต้นปี พ.ศ. 2566 ผ่านการดำเนินงานของ IJC-FOODSEC ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คาดหวังให้ การผนึกกำลังระหว่าง IJC-FOODSEC บริษัทเมืองนวัตกรรมอาหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และภาคอุตสาหกรรมอาหารทั้งในและต่างประเทศ จะเป็นหนึ่งใน Game changer สำหรับการพัฒนากำลังคนขั้นสูงให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ การส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยมีความเป็นเลิศ และมีจุดยืนบนเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิต่อไป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมางานประชุมนานาชาติ ASSET ซึ่งเป็นงานประชุมในสาขา Food Integrity ชั้นนำระดับโลก จัดโดย Institute for Global Food Security (IGFS), Queen's University Belfast จะจัดในทวีปยุโรปเท่านั้น แต่หลังจากที่ QUB ม.ธรรมศาสตร์ และ สวทช. ได้ร่วมกันก่อตั้ง IJC-FOODSEC ขึ้นที่ไบโอเทค สวทช. ในปีนี้ (2566) ถือเป็นครั้งแรกที่งานประชุม ASEAN-ASSET จัดขึ้นในทวีปเอเชีย ระหว่างวันที่ 14 - 15 พ.ย. 66 มีผู้เข้าร่วมงานจากทั่วทุกมุมโลกมากกว่า 400 คน และมีผู้นำเสนอผลงานมากถึงจำนวน 36 เรื่อง
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จับมือ SMBC แบงก์ชั้นนำของญี่ปุ่น เสริมแกร่งกำลังคน พัฒนาการวิจัยตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
For English-version news, please visit : NSTDA and Sumitomo Mitsui Banking Corporation establish partnership to strengthen research and human resource development to advance BCG agenda
(วันที่ 13 พฤศจิกายน 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายทาคาชิ โตโยดะ ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Sumitomo Mitsui Banking Corporation: SMBC) สาขากรุงเทพฯ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โดยได้รับเกียรติจาก นายเคนทาโร นากาอิ เลขานุการเอกด้านดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขีพยาน
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีระหว่าง สวทช. และ SMBC โดยสวทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยผ่านการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบความมุ่งมั่นของเรา เราปรับตัวให้เข้ากับวาระการพัฒนาที่สำคัญของประเทศ รวมถึงโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) แผนแม่บท AI แห่งชาติ (the National AI Masterplan) และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (the Eastern Economic Corridor)
ทั้งนี้ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในงานวิจัยสาขาต่าง ๆ ของ สวทช. ดำเนินงานใน 5 สาขาเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล วัสดุ นาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีพลังงาน (Biotechnology, Digital, Materials, Nanotechnology and Energy Technology) ตลอดจนกิจกรรมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างการแก้ไขปัญหาให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมายและสังคมโดยรวม สวทช. จึงตระหนึกถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกับพันธมิตรว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว อาจไม่ช่วยให้เรานำเสนอการแก้ไขปัญหาของเราได้อย่างเต็มศักยภาพ เราต้องการพันธมิตรที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของอุตสาหกรรมและชุมชน ให้ความเชื่อมโยง ตลอดจนจัดหากลไกสนับสนุน เช่น คำแนะนำทางธุรกิจ การสนับสนุนสินเชื่อและการลงทุน
“เรามีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ SMBC ซึ่งเป็นผู้ให้บริการการแก้ปัญหาระดับโลกที่มีชื่อเสียง และมีเครื่องมือทางการเงินและบริการสนับสนุนที่หลากหลาย รวมถึงทุ่มเทอย่างลึกซึ้งในการเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจของลูกค้า ได้ตัดสินใจที่จะกระชับความร่วมมือให้ดียิ่งขึ้นกับพวกเรา อย่างไรก็ดีด้วยการลงนามบันทึกความเข้าใจในวันนี้ เราให้คำมั่นที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ SMBC ในการประสานและเสริมสร้างจุดแข็งและความสามารถร่วมกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น ทั้งไทยและญี่ปุ่น” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
นายทาคาชิ โตโยดะ ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Sumitomo Mitsui Banking Corporation: SMBC) สาขากรุงเทพฯ เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ครั้งนี้เพื่อแสดงความร่วมมือในการส่งเสริมการลงทุน บริษัทของประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่ง SMBC เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของญี่ปุ่นที่ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ สวทช.
ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ดังกล่าว SMBC จะแนะนำลูกค้าที่กำลังพิจารณาขยายธุรกิจในประเทศไทยให้กับ สวทช. โดย SMBC จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาการวิจัยและพัฒนา การสรรหาบุคลากร การพัฒนาบุคลากรและทำงานร่วมกับ สวทช. เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ผ่านการจัดสัมมนา
“ในปี 2566 ถือเป็นวันครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นในฐานะธนาคารชั้นนำของญี่ปุ่น การจัดทำ MOU นี้เราต้องการที่จะเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้มากขึ้น และมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและโมเดลเศรษฐกิจ BCG ผ่านความร่วมมือกับ สวทช. ทั้งนี้ SMBC ในฐานะสถาบันการเงินญี่ปุ่น เรามีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสานต่อกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถสนับสนุนการดำเนินกิจการของบริษัทญี่ปุ่น และมีส่วนช่วยสนับสนุนเพิ่มเติมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนเพิ่มศักยภาพเพื่อสนองต่อความต้องการของลูกค้าในประเทศไทย”
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกระทรวง อว.
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทยได้ตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมผู้บริหาร และบุคลากรให้การต้อนรับ โดยนายอนุทิน ได้เข้าถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 4) จากนั้นขึ้นรถตุ๊กตุ๊ก ไฟฟ้า EV ( MuvMi) ที่ผลิตโดยคนไทยเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และลดการใช้พลังงานน้ำมันที่กระทรวง อว.ให้การสนับสนุนภาคเอกชนเพื่อมาชมนิทรรศการการจัดแสดงผลงานเด่นของหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวง อว. ก่อนมอบนโยบายให้กับผู้บริหารกระทรวง อว.
นายอนุทิน กล่าวมอบนโยบายว่า ได้เน้นย้ำให้กระทรวง อว. ให้ความสำคัญในการตอบโจทย์ ความต้องการของประเทศ และของโลก และให้ความสำคัญกับ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยดําเนินการภายใต้หลักการ "เอกชนนํา รัฐสนับสนุน" ที่สำคัญวาระเร่งด่วนที่กระทรวง อว. ต้องดำเนินการทันที คือ การลดความเหลื่อมล้ำ และกระจายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
ในโอกาสนี้ คณะผู้บริหารของ สวทช. นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมให้การต้อนรับและแสดงผลงานวิจัย ประกอบด้วย
1. Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมืองให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น นำเสนอโดย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้อำนวยการหน่วยบริการนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับเมือง
2. FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารสำคัญให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ ซึ่งเป็นการวิจัยที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศ นำเสนอโดย ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร
3. มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) นำเสนอโดย ดร.วันวิศา ฐานังขะโน ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC)
4. ต้นแบบมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าดัดแปลง แบบ PHEV และ BEV ของ บริษัท อีซียู เทค จำกัด เป็นบริษัท Startup ของ สวทช. ซึ่งเป็นการบูรณาการทีมวิจัยระหว่าง NECTEC ENTEC และบริษัท อีซียูช็อป 1 จำกัด นำเสนอโดย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
สร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม TechBiz Starter 2023
สวทช. โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) และ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ร่วมกับหลายหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรม “Pitching & Meet Investors” ภายใต้โครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม "TechBiz Starter 2023” เปิดโอกาสให้นวัตกรหรือผู้ประกอบการ 23 รายที่ผ่านการบ่มเพาะในโครงการ Techbiz Starter ของ สวทช. ได้มาขึ้นเวทีนำเสนอแผนธุรกิจและการต่อยอดผลิตภัณฑ์ฐานนวัตกรรม ต่อหน้าคณะกรรมการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและการลงทุนจากบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ซึ่งมีการคัดเลือกและมอบรางวัล TechBiz Starter Funds ให้กับหลายผลงานที่มีความน่าสนใจและน่าลงทุน เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการหน้าใหม่ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีทิศทางและมั่นคง
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ผอ.สวทช. ร่วมเปิดงาน SynBio Consortium Advancing the Game Changer 2023 สร้างจุดเปลี่ยน และโอกาสใหม่ทางอุตสาหกรรม
(10 พฤศจิกายน 2566) ณ ห้อง Mayfair Grand Ballroom โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ – 22 หน่วยงาน ภายใต้ภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์แห่งประเทศไทย (Thailand Synthetic Biology Consortium) ร่วมจัดงานประชุม SYNBIO Consortium ประจำปี 2566 หัวข้อ Advancing the ‘Game Changer’ โดยมุ่งหวังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology Technology) ของหลายภาคส่วน เช่น ภาคเอกชนทั้งที่เป็น start up และขนาดใหญ่ ภาครัฐที่มีบทบาทกำหนดนโยบาย การส่งเสริมกำลังคน และเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ กิจกรรมพบปะพูดแลกเปลี่ยนระหว่าง startup ผู้สนับสนุน นักลงทุนด้าน SynBio ตลอดจนบูทแสดงผลิตภัณฑ์ด้าน SynBio โดยมี คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดงาน ร่วมด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และนักวิจัยไบโอเทค นำโดย ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ร่วมในงาน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า งานประชุมภาคีเครือข่ายด้านชีววิทยาสังเคราะห์ ประจำปี พ.ศ. 2566 หรืองาน SynBio Cosirtium จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 ในหัวข้อ Advancing the ‘Game Changer’ เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันอุตสาหกรรมชีวภาพให้เกิดขึ้นในประเทศและเป็นไปได้อย่างยั่งยืน โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ส.อ.ท. ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และบรรจุใน ONE FTI เพราะนอกเหนือจากกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม คือ First Industry จากเกษตรกรรมมาอุตสาหกรรม แล้ว ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ คือ Next Gen Industry เช่น BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ โดยอุตสาหกรรมชีววิทยาสังเคราะห์นับเป็นแนวโน้มที่ทั่วโลกกำลังขับเคลื่อนไปทางเดียวกัน ซึ่ง ส.อ.ท. มีนโยบาย BCG in action ด้วยการตั้งโครงการสำคัญนำร่องใน 8 อุตสาหกรรม เช่น การนำไบโอมาทำยารักษาโรค ไบโอพลาสติก เครื่องสำอาง เครื่องใย สิ่งทอ เชื้อเพลิง ไบโอเคมีคอล และไบโอฟู้ด เป็นต้น ซึ่ง 8 อุตสาหกรรมนำร่อง ได้มีการนำเอาภาค demand กับ supply มาเจอกัน โดย ส.อ.ท. เชื่อว่า การรวมพลังกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการ รวมถึงทุกภาคส่วน จะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจได้ และคาดหวังให้งานนี้จะช่วยพลิกโอกาสของโลกและวิกฤตต่าง ๆ ให้เป็นของประเทศไทย เป็น game changer ตัวจริงได้ต่อไป
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า Synthetic Biology เป็นแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมาแรงในกระแสโลก ที่ช่วยลดการพึ่งพาวิถีการทำเกษตรกรรม ปศุสัตว์ การผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้พื้นที่และทรัพยากรมหาศาล ที่สุดท้ายก่อให้เกิดขยะ มลพิษ และผลกระทบอื่น ๆ ต่อสิ่งแวดล้อมจนเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดภาวะโลกรวน ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชน ในนามภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์แห่งประเทศไทย (Thailand Synthetic Biology Consortium) ได้ร่วมมือกัน โดยปีนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ทำให้เกิดกิจกรรมจากการดำเนินงานเชิงรุกภายในเครือข่าย อาทิ การสร้าง SynBio Academy เพื่อสร้างกำลังคนทั้งรูปแบบ degree และ non-degree ป้อนเข้าสู่สถาบันวิจัยและภาคอุตสาหกรรมการลงทุนหน่วยรับจ้างพัฒนาและผลิตระดับอุตสาหกรรม (Contract Development and Manufacturing Organization: CDMO) การจัดทำแผนพัฒนา Biofoundry โครงสร้างพื้นฐานด้าน SynBio และการทำ Business Matching ภายในเครือข่ายเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และส่งเสริมให้เกิดธุรกิจนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยี SynBio ในกลุ่ม Biorefinery และการแพทย์ งานนี้นับเป็นงานที่มาร่วมอัพเดทความรู้ และมาสร้างเครือข่ายนักวิชาการ และผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ ในประเทศได้ และก่อให้เกิดอุตสาหกรรมชีววิทยาบนฐาน BCG นอกจากนี้ สวทช. กำลังดำเนินโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ในเขตนวัตกรรมพิเศษ EECi ด้วยเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงกับ SynBio Cosirtium ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ดร.วรรณพ ผอ.ไบโอเทค ร่วมเป็นหนึ่งในวิทยากรเสวนาเรื่อง โอกาสของธุรกิจด้านชีววิทยาสังเคราะห์ ช่วงที่ 3: การสนับสนุนจากภาครัฐ และ ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผอ.กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ให้ข้อมูล เรื่อง Advancing Synbio with Biorefinery Pilot Plant by NSTDA
จากผลประชุมในครั้งนี้จะช่วยขยายเครือข่ายทั้งในกลุ่มมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย ภาคเอกชน และภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เกิดกิจกรรมที่มีส่วนร่วมระหว่างองค์กรในเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง และสร้างความความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์ของประเทศ เพื่อยกระดับงานวิจัยและดึงดูดการลงทุนด้าน SynBio ในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสู่เวทีระดับนานาชาติได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
อบรมเชิงปฏิบัติการ Smart Farming Smart Branding คิด สร้าง ขาย
เปิดรับสมัครเข้าร่วมอบรมหลักสูตร Smart Farming Smart Branding คิด สร้าง ขาย
เรียนรู้การตลาด การสร้างแบรนด์ในธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ การออกแบบ-วางระบบน้ำในแปลงและประยุกต์ใช้กับระบบสมาร์ท
30 พ.ย.-1 ธ.ค. 66 เวลา 8.30-16.00 น. ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
รับ 30 ท่านเท่านั้น ค่าลงทะเบียน 1,500 บาท
สมัครได้ที่ https://shorturl.at/DGRU0
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ คุณณัฐชยา โทร. 097 1979009
ปฏิทินกิจกรรม
ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ด้วยแพลตฟอร์ม FoodSERP
สวทช. ร่วมกับ สมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS) ลงนามความร่วมมือ “การพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เวชสำอาง” พร้อมจัดงานเสวนาเรื่อง “ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามด้วย FoodSERP for sustainable health and beauty” เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองในการร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามของไทย ด้วยการใช้ประโยชน์จาก FoodSERP แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันของ สวทช.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ผู้อำนวยการ สวทช. ได้รับคัดเลือกเป็นประธานสมาพันธ์องค์การวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ (Alliance of International Science Organizations: ANSO)
For English-version news, please visit : NSTDA President appointed as the President of the Alliance of International Science Organizations (ANSO)
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ณ นครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ประชุม The 6th ANSO Governing Board (GB) และที่ประชุม The 3rd ANSO General Assembly (GA) ได้มีมติให้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำรงตำแหน่ง ประธานสมาพันธ์องค์การวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ (The Alliance of International Science Organizations (ANSO)) หรือ ANSO President ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่ง 2 ปี (ค.ศ. 2024-2026)
โดยคณะกรรมการบริหารฯ (GB) ชุดใหม่จะประกอบด้วยผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธาน ผู้อำนวยการ Chinese Academy of Sciences และ Brazilian Academy of Sciences บราซิล ดำรงตำแหน่งรองประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการเป็นผู้นำ หน่วยงานวิทยาศาสตร์อีก 6 หน่วยงาน คือ Scientific and Technological Research Council of Türkiye (TUBITAK) ตุรกี, National Research Center อียิปต์, COMSATS (องค์กรนานาชาติ), Serbian Academy of Sciences and Arts เซอร์เบีย, Mongolian Academy of Sciences มองโกเลีย, และ National Academy of Science and Techniques of Senegal เซเนกัล เพื่อเป็นการเริ่มงานได้ในทันทีหลังจากได้รับการแต่งตั้ง คณะกรรมการบริหาร ANSO ชุดใหม่ ได้จัดการประชุม The 7th ANSO Governing Board (GB) เพื่อวางแผนการดำเนินงานและยุทธศาสตร์ของ ANSO ในอนาคต เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
การดำรงตำแหน่ง ANSO President ของ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นการดำรงตำแหน่งประธานสมาพันธ์ฯ คนที่ 2 ต่อจาก ผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (The Chinese Academy of Sciences: CAS) โดย ANSO เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร มีเป้าหมายที่จะปรับปรุงขีดความสามารถในระดับภูมิภาคและระดับโลกในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การดำรงชีวิตของมนุษย์ และความเป็นอยู่ที่ดี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการสื่อสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในวงกว้าง ตั้งแต่ก่อตั้งสมาพันธ์ฯ เมื่อปี ค.ศ. 2018 จนถึงปัจจุบัน ANSO ได้มีการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การให้ทุนสนับสนุนโครงการวิจัย การจัดกิจกรรมพัฒนาเครือข่าย การสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาและนักวิจัยที่โดดเด่นจากประเทศกำลังพัฒนาในการประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นงบประมาณดำเนินงานรวมแล้วประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน ANSO มีสมาชิกทั้งหมด 78 หน่วยงาน จาก 55 ประเทศ ประกอบด้วยหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้ง academy of sciences, research councils, มหาวิทยาลัย, องค์กรวิทยาศาสตร์ (S&T organizations), และองค์กรนานาชาติ สำหรับประเทศไทย มีองค์กรสมาชิกทั้งหมด 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ นอกจาก สวทช. แล้ว สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดย รองศาสตราจารย์ ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ รองผู้อำนวยการ สกสว. ได้เข้าร่วมการประชุม GA ในฐานะหน่วยงานสมาชิกของ ANSO ด้วย
การดำรงตำแหน่ง ANSO President ของผู้อำนวยการ สวทช. ในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสดีของประเทศไทย โดยกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทั้ง สวทช. และ สกสว. ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิก ANSO จะได้ร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนประเทศไทยในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในระดับสากล ซึ่งในการประชุม The 3rd ANSO General Assembly (GA) ทั้ง สวทช. และ สกสว. ได้ร่วมกันกล่าวถ้อยแถลงการขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทยเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมกันนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้มีการหารือถึงแนวทางการพัฒนา ANSO ทั้งทางด้านกลยุทธ์และการจัดลำดับความสำคัญในการแก้ปัญหาที่ทั่วโลกเผชิญจากความก้าวหน้าเทคโนโลยี เช่น climate change, natural resource management, environmental protection, natural disasters, water security, agriculture and food security, ecosystem and biodiversity conservation, bio-safety, energy security และ big data รวมถึงการบริหารจัดการสมาพันธ์ฯ
ข่าวประชาสัมพันธ์
ส.อ.ท. ยกทีมสื่อ เยี่ยมชม สวทช. ภายใต้คอนเซปต์ “New S-Curve” เทคโนโลยี-นวัตกรรมอุตฯ แห่งอนาคต ผลักดัน ศก. ไทย
วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2566) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมคณะผู้บริหาร ส.อ.ท. นำคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หน่วยงานภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อศึกษาและเรียนรู้เทคโนโลยี นวัตกรรมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สำหรับเป็นกลไกผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
[caption id="attachment_48559" align="aligncenter" width="2560"] นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)[/caption]
ในช่วงแรก นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ได้ให้เกียรติกล่าวบรรยายภายใต้หัวข้อ “การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยไปสู่ New S-Curve” โดยกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับพายุลูกใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 1) GDP ไตรมาส 2/2566
ที่ขยายตัวเพียง 1.8% 2) มูลค่าการส่งออก 8 เดือนแรกปี 2566 หดตัว 4.5% 3) หนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/2566 เพิ่มขึ้นเป็น 90.6% (ไม่รวมหนี้นอกระบบอีก 19.8%) หนี้เสียหรือ NPL (Non-performing Loan) ไตรมาส 2 ทะลุ 1 ล้านล้านบาท 4) ผลกระทบจาก “เอลนีโญ” และปัญหาอุทกภัย 30 จังหวัด และปริมาณฝนสะสมบางพื้นที่ต่ำกว่าระดับปกติ ทำให้มีความเสี่ยงภัยแล้งในปี 2567 และ 5) อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับเป็น 2.50% สูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นต้น ซึ่งความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เตรียมพร้อมรับมือผ่านแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง
“ท่ามกลางความท้าทาย ส.อ.ท. ยังคงเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industries) 45 กลุ่มอุตสาหกรรม (11 คลัสเตอร์) 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด (5 ภาค/คลัสเตอร์จังหวัด) ผ่านแนวทางการเปลี่ยนแปลง 4 ด้าน ได้แก่ 1) เปลี่ยนจากผู้รับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทที่จะไปขายในแบรนด์ของตัวเอง (OEM) เป็นผู้รับจ้างที่ออกแบบและผลิตสินค้าให้กับบริษัทที่จะไปขายในแบรนด์ของตัวเอง (ODM) / ผู้ขายสินค้าที่ผลิตโดยผู้อื่นภายใต้แบรนด์ของตัวเอง (OBM) 2) เปลี่ยนจากการใช้แรงงานเป็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเครื่องจักรและระบบ Automation 3) เปลี่ยนการผลิตเพื่อกำไรเป็นการผลิตที่ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม และ 4) เปลี่ยนจากแรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled labor) เป็นแรงงานที่มีทักษะสูง (High-skilled labor) พร้อมกันนี้ ส.อ.ท. ยังพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ที่ประกอบด้วย 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curves) การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย BCG (Bio-Circular-Green Economy) และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”
เพื่อตอบโจทย์การดำเนินงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curves) ทาง ส.อ.ท. มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล ผ่านการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation 4.0) การขับเคลื่อนการสร้างผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม (IDE) รายอุตสาหกรรม/ภูมิภาค รวมทั้งการออกมาตรการส่งเสริมภาคเอกชนให้เกิดการซื้อสินค้าในบัญชีนวัตกรรม
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการส่งออก การค้า และสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curves โดยเร่งสร้างกลไกและแผนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม S-Curves เร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับสินค้า Made in Thailand (MiT) และปกป้องสินค้าไทยโดยการควบคุมสินค้านำเข้าที่ไม่ได้คุณภาพ
[caption id="attachment_48560" align="aligncenter" width="2560"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]
จากนั้น ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้เกียรติกล่าวต้อนรับคณะฯพร้อมบรรยายแนะนำ สวทช. เกี่ยวกับบทบาทและการขับเคลื่อนเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุน BCG Economy Model ว่า “สำหรับ BCG สวทช. เป็นเลขานุการของคณะกรรมการ BCG ของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับ ESG และ SDGs แนวทางการขับเคลื่อนให้การให้เติบโตของโลกอย่างสมดุล ทั้งนี้การจะเข้าสู่ SDGs หรือ ESG แต่ละประเทศบริบทไม่เหมือนกัน ประเทศไทยถือว่ามีจุดเด่นด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และผลผลิตทางการเกษตรอยู่แล้ว ดังนั้นการเติบโตด้าน Bioeconomy มีได้สูง ขณะเดียวกันเรื่อง Circular economy และ Green economy เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อลดการใช้ทรัพยากร และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดจะเป็นไปได้ด้วยฐานของเทคโนโลยี เพราะจะเปลี่ยนแปลงจากอุตสาหกรรมปัจจุบัน ไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ต้องใช้เทคโนโลยีเสมอ ซึ่ง BCG ก็คือกลไกการขับ New S-Curves ของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
“อย่างไรก็ตาม BCG หรือ Bio-Circular-Green เป็นคำใหญ่ แต่คีย์เวิร์ดคือ Economy ดังนั้น BCG economy เรากำลังจะบอกว่าอนาคตเศรษฐกิจประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ทั้งประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจประเทศไทยจะโตขึ้น วิสัยทัศน์ 4 ด้านที่ต้องเดินหน้า คือ 1.ต้องสร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ 2.การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากต้องโตอย่างเข้มแข็ง 3.เทคโนโลยีใหม่ต้องถูกนำมาใช้ เพื่อสร้างความสามารถในการสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และ 4.ต้องยกระดับอุตสาหกรรม BCG ให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน สร้างนวัตกรรมพรีเมียม และให้ของเสียเป็นศูนย์
ทั้งนี้ด้วยตัวอุตสาหกรรม BCG นั้น จะทำให้มีอุตสาหกรรมใหม่เกิดขึ้น คือ Circular-Green economy ซึ่งหลายอุตสาหกรรมกำลังปรับแปลงอุตสาหกรรมของตนเองให้รักษ์โลกมากขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อยลง และจะเกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ดีขึ้นช่วยสร้างเศรษฐกิจด้วยตัวเอง”
ภายหลังจากการบรรยายคณะทำงาน สวทช. นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้นำคณะผู้บริหาร ส.อ.ท. พร้อมสื่อมวลชน เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมและโรงงานต้นแบบ ซึ่งประกอบด้วยโรงงานผลิตพืช (Plant factory) โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (Food & Feed Innovation Center) และโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (BIOTEC Pilot Plant)
สำหรับโรงงานผลิตพืช (Plant factory) ถือเป็นต้นแบบการผลิตพืช นำประเทศไทยเข้าสู่ฐานการผลิตสาระสำคัญของสมุนไพรแบบพรีเมียมเกรดที่มีมูลค่าสูง ยกระดับการเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่การเกษตรแบบแม่นยำ
สวทช. ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยชิบะ ประเทศญี่ปุ่น โดยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. มุ่งเป้าใช้ Plant factory เทคโนโลยีที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย ที่ผลิตสารสำคัญต่าง ๆ เพิ่มมูลค่าการส่งออกและนำไปสู่การพัฒนายา เวชสำอาง และอาหารเสริมสุขภาพ เทคโนโลยีโรงงานผลิตพืช เป็นการปลูกพืชในระบบปิด ควบคุมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช เช่น แสง อุณหภูมิความชื้น แร่งธาตุ ต่างๆ รวมถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีการใช้แสงจากหลอดแอลอีดี ซึ่งสามารถออกแบบเลือกสี และความยาวคลื่นแสง ที่เหมาะกับพืชแต่ละชนิดช่วยให้พืชสร้างสารสำคัญเชิงหน้าที่ หรือสมบัติพิเศษตามความต้องการ พืชที่ปลูกใน Plant factory โตเร็ว ระยะเวลาเก็บเกี่ยวสั้นลง สามารถเพิ่มผลิตได้มากถึง 10 เท่า และที่สำคัญคือปราศจากเชื้อโรคและแมลงโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี ช่วยสร้างจุดแข็งให้กับประเทศในการขับเคลื่อน
ในส่วนของโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ได้มีการพัฒนานวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย โดยพัฒนาสารสกัดสมุนไพรสู่การผลิตสูตรตำรับเครื่องสำอาง และมีการให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การสกัดสารสำคัญด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาสูตรตำรับเครื่องสำอาง การให้บริการขยายขนาดการผลิตและทดลองผลิตด้วยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอางที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน GMP ตลอดจนการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดและความปลอดภัยของสูตรตำรับเครื่องสำอาง
ต่อมา คณะฯ ได้เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (Food & Feed Innovation Center) ห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ครบวงจร ตั้งแต่การคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การพัฒนาต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ที่ได้พัฒนาขึ้นแล้วไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ การทดสอบและพัฒนาระบบการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม และการประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ผลงานวิจัยสามารถถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ปิดท้ายด้วยการเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตอาหารในระดับกึ่งอุตสาหกรรม ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร และสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ เปิดให้บริการการวิจัยด้านการพัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตในระดับโรงงานต้นแบบ ทั้งการผลิตวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจรตามมาตรฐานสากล Codex GHPs และ HACCP ตามแนวทางปฏิบัติที่ดีในการใช้จุลินทรีย์ในระดับอุตสาหกรรมหรือ GILSP ที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการหมักจุลินทรีย์และกระบวนการปลายน้ำ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบสำหรับทดลองตลาด การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์การให้คำปรึกษาและฝึกอบรมโดยทีมสหสาขาที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่จะช่วยเพิ่มความพร้อมของเทคโนโลยี ช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการในการลงทุนเครื่องมือมูลค่าสูง เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ไปพร้อมๆ กับการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์
----------------------------------------------------------------------------------------------
เผยแพร่โดยฝ่ายสื่อสารองค์กร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โทร. 02-345-1051
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
BCG เครื่องมือแพทย์ มอบเครื่อง DentiiScan Duo ให้ รพ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี เพื่อบริการประชาชน
For English-version news, please visit : NSTDA presents DentiiScan Duo to Laemsing Hospital
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ จ.จันทบุรี: ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะนักวิจัย จากทีมวิจัยระบบสร้างภาพทางการแพทย์ (MIS), A-MED ได้ร่วมกันมอบเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติสำหรับงาน ทันตกรรม หรือ DentiiScan Duo (เดนตีสแกน รุ่นดูโอ)
ภายใต้ โครงการสร้างความเชื่อมั่นเครื่องมือแพทย์ไทยให้ โรงพยาบาลแหลมสิงห์ เพื่อบริการประชาชน โดยมี นายแพทย์ณัฐกาญจน์ วิเศษฤทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแหลมสิงห์ และทันตแพทย์วันชนะ สว่างหล้า เป็นผู้รับมอบ ซึ่งคณะกรรมการผู้พิจารณาได้เล็งเห็นว่า แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลแหลมสิงห์ มีความตั้งใจและมีความพร้อมที่จะใช้เครื่อง DentiiScan Duo ให้บริการประชาชนอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งมีการให้บริการทันตกรรมรากฟันเทียมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 คณะนักวิจัยได้ติดตั้งและอบรมการใช้งานเเครื่อง DentiiScan Duo ที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ถึง 2 พฤศจิกายน 2566
เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติสำหรับงานทันตกรรม DentiiScan Duo วิจัยพัฒนาขึ้นมา โดยทีมวิจัย MIS, ศูนย์เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. เพื่อรองรับการติดตั้งใช้งานในคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีขนาดพื้นที่จำกัด ตอบสนองความต้องการฟังก์ชันการถ่ายภาพรังสีบริเวณช่องปากทั้งสองมิติและสามมิติ สามารถถ่ายภาพเอกซเรย์สองมิติแบบพาโนรามิก หรือ ถ่ายภาพรังสีปริทัศน์ (Panoramic Radiography) และถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบลำรังสีทรงกรวย (CBCT หรือ Cone-Beam CT) เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการผ่าตัดบริเวณช่องปากและใบหน้า อาทิเช่น ทันตกรรมรากฟันเทียม (Dental Implant), การผ่าตัดฟันคุดและฟันฝัง, ทันตกรรมรักษารากฟัน (Endodontics) และการรักษาทางทันตกรรมทั่วไป
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
นาโนเทค สวทช. คว้ารางวัลชนะเลิศ TechBiz Starter 2023 สร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม
(2 พฤศจิกายน 2566) ณ UOB Plaza Bangkok ห้อง Auditorium ชั้น 5 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี Business Innovation Center (BIC) จัดกิจกรรม “Pitching & Meet Investors” ภายใต้โครงการ “สร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม (TechBiz Starter)” ประจำปี 2566 พร้อมประกาศรางวัล TechBiz Starter Funds ซึ่งปีนี้ได้รับการสนับสนุนทุนรางวัลจากบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เจเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อสนับสนุนและต่อยอดกลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นดำเนินธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้สามารถสร้างรากฐาน ดำเนินธุรกิจอย่างมีทิศทางและสร้างโอกาสขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง
นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า สวทช. เล็งเห็นความสำคัญในการต่อยอดธุรกิจ จึงจัดให้มีกิจกรรม Pitching Business Model ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญ ที่จะสร้างโอกาสและประสบการณ์ทางธุรกิจ ได้นำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการที่เป็นนักลงทุน นักธุรกิจผู้มีประสบการณ์ในการเริ่มต้นและพัฒนาธุรกิจ อาทิ บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีนเนอร์ยี่ เทคโนโลยี จำกัด, บริษัท กรีนร็อกเกต วีซี จำกัด, บริษัท มีเดีย รีพับบลิค จำกัด, บริษัท จันวาณิชย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท แมกซ์ เวนเจอร์ส จำกัด และองค์กร นิวเอนเนอร์จี้ เน็กซัส (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น
ทั้งนี้ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ/นักวิจัยที่สนใจจะสร้างหรือขยายธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรม ตลอดจนผู้สนใจที่มีผลิตภัณฑ์ต้นแบบและต้องการจัดตั้งธุรกิจ ให้มีการวางแผนดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบและเติบโตได้อย่างยั่งยืนจึงร่วมกับองค์กรพันธมิตรข้างต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการนำเสนอโมเดลธุรกิจที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ต่อไป
“สำหรับปีนี้ทาง สวทช. ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในการสนับสนุน Startup อีกหนึ่งกำลังสำคัญได้แก่ New Energy Nexus ซึ่งเป็นหน่วยงาน ที่ช่วยบ่มเพาะและสนับสนุนการสร้าง ผู้ประกอบการ Startup ด้านเทรนด์เทคโนโลยีกับสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) ในทุกระดับ ให้สามารถเข้าถึงความรู้เชิงลึกจากวงการ Startup ทั่วโลก ให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเงินทุน เข้าถึงเทคโนโลยี ผ่านโครงการต่าง ๆ ขององค์กรได้รวมไปถึงจัดให้มีกิจกรรมพบที่ปรึกษาแนะนำแนวทางในการประกอบธุรกิจ จากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรงเฉพาะด้าน กิจกรรมพบผู้เชี่ยวชาญราย Sectors ศึกษาดูงานแยกตามกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย BCG 5 กลุ่ม ดังนี้ ธุรกิจดิจิตอลซอฟต์แวร์ ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจสื่อสาร ธุรกิจด้านอาหาร โดยนำแนวคิดการประกอบธุรกิจมาปรับใช้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเพิ่มโอกาสการประสบความสำเร็จทางธุรกิจในอนาคต การถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนแนวความคิดระหว่างผู้เข้าร่วมอบรม ซึ่งกลยุทธ์ต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถเป็นพื้นฐานในการจัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิดที่เป็นระบบ”
นางศันสนีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางในการดำเนินการโครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม (TechBiz Starter 2566) ทาง BCI ได้เน้นกระบวนการฝึกอบรมด้านการบริหารจัดการ และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ด้วยหลักสูตรดังกล่าวข้างต้นกว่า 66 ชั่วโมง เพื่อให้ได้แผนธุรกิจรายบุคคลที่พร้อมใช้งานได้จริง และสามารถเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจในขั้นต่อไปและการพัฒนาธุรกิจให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ โดยผ่านช่องทางเครือข่ายหน่วยงานของ สวทช. และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ โอกาสในการออกงานนิทรรศการแสดงสินค้าต่าง ๆ โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโอกาสในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งนี้เพื่อให้ครอบคลุมกับความต้องการในการเริ่มดำเนินธุรกิจหรือขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับกิจกรรม “Pitching & Meet Investors” มีผู้ประกอบการ 22 รายที่ผ่านการคัดเลือก และคณะกรรมการได้คัดเลือกผลงานที่ได้รับคะแนนสูงสุด เพื่อรับรางวัล TechBiz Starter Funds
โดย รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. จากผลงานชุดทดสอบการฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันไอน้ำ รับเงินรางวัลจำนวน 30,000 บาท และรับรางวัล Investor Awards 10,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 นายณัฐพงศ์ ซื่อวิริยพันธุ์ บริษัท แพค เทคโนเวชั่น จำกัด จากผลงานระบบบริหารจัดการระบบผลิตน้ำร้อนและการใช้พลังงานแบบดิจิทัล รับเงินรางวัล จำนวน 20,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 นายฐานันต์ แก้วดิษฐ์ บริษัท ไวท์ ไท เกอร์ คิง จำกัด จากผลงาน นมถั่วลายเสือ รสโยเกิร์ตชนิดผง รับเงินรางวัล จำนวน 10,000 บาท
ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. เปิดเผยภายหลังได้รับรางวัลชนะเลิศ ว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่คณะกรรมการเห็นคุณค่าในผลงานที่ตนตั้งใจพัฒนาและมุ่งมั่นทำมาอย่างยาวนาน การได้รับรางวัลในครั้งนี้ถือเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งตนจะพยายามพัฒนาผลงานชิ้นนี้ต่อไป และจะผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จริงในอนาคต
“ในฐานะเป็นนักวิจัย Techbiz Starter เป็นโครงการที่ช่วยให้มีมุมมองว่าจะทำงานวิจัยอย่างไรให้ตอบโจทย์ภาคเอกชนมากขึ้น การเข้าร่วมโครงการนี้เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้การทำ Market Research ทำให้เราสามารถออกแบบผลงานตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ตรงจุดอย่างแท้จริง รวมทั้งได้ศึกษาเรียนรู้การทำงบการเงิน เพื่อดูว่าผลงานที่เราพัฒนาขึ้นมีความเป็นไปได้ในทางธุรกิจหรือไม่ และยังได้เรียนรู้เรื่องการขยายตลาดด้วย ถือเป็นการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมในการนำงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ในอนาคต และการมา Pitching บนเวทีครั้งนี้ยังถือเป็นตัวเชื่อมให้ได้พบกับภาคเอกชนที่มีความสนใจในเทคโนโลยีของเรา อีกทั้งยังได้รับคำแนะนำเชิงธุรกิจจากคณะกรรมการสามารถนำไปต่อยอดผลงานได้อีกด้วย” ดร.จีราพร กล่าว
“สำหรับชุดตรวจใช้แล้วทิ้งสำหรับทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันไอน้ำ ASSURE เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและพัฒนาขึ้นภายในประเทศ มีต้นทุนการผลิตต่ำ ได้มาตรฐาน ISO 13485 ใช้งานง่าย ตรวจวัดผลได้แม่นยำ มีประสิทธิภาพเทียบเท่าผลิตภัณฑ์นำเข้าที่มีราคาแพง สามารถนำไปใช้ในโรงพยาบาล คลินิก ห้องปฏิบัติการ และภาคอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ เพื่อช่วยให้ทราบผลและมีหลักฐานแสดงการตรวจสอบหม้อนึ่งฆ่าเชื้อความดันไอน้ำ โดยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มความสะดวกสบาย ในการอ่าน เก็บรักษา และนำส่งผล ไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องผ่าน Application บนโทรศัพท์มือถือ โดยการสแกน QR Code บนชุดตรวจแต่ละชิ้น ซึ่งไม่เหมือนกับชุดตรวจนำเข้าอื่นๆ ที่ต้องอ่านและบันทึกผลด้วยเครื่องอ่านเฉพาะที่มีราคาแพง” ดร.จีราพร กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร’ เตรียมจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ASEAN-ASSET 2023 ผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยหนุนครัวไทยสู่ครัวโลก
For English-version news, please visit : NSTDA’s joint research center on a mission to enhance food security
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเพิ่มจำนวนของประชากรโลก รวมถึงการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก ไม่ว่าจะเป็นมิติด้านภาวะขาดแคลนอาหารกระจายตัวอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลก หรือการผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้เพียงพอต่อความต้องการและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ซึ่งล้วนเป็นความท้าทายของนานาประเทศที่ต้องการแก้ปัญหาร่วมกัน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Queen’s University Belfast (QUB) สหราชอาณาจักร จัดตั้งศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security หรือ IJC-FOODSEC) เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตงานวิจัยระดับโลกที่ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคอาเซียน ล่าสุดเตรียมจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ASEAN-ASSET 2023: Global Summit on the Future of Future Food ระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปเอเชีย เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความตระหนักในเรื่องความมั่นคงของอาหารเพื่ออนาคต
[caption id="attachment_48543" align="aligncenter" width="700"] ศ.ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ นักวิจัยอาวุโส ไบโอเทค สวทช. ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร และศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัย Queen’s University Belfast[/caption]
ศ.ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร และศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัย Queen’s University Belfast กล่าวว่า ความมั่นคงทางอาหารเป็นประเด็นใหญ่ระดับโลกที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ แม้ว่าประเทศไทยจะมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตทางการเกษตรมากมาย แต่ที่จริงแล้วไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความไม่มั่นคงทางอาหาร เพราะความมั่นคงทางอาหารไม่ใช่แค่มีอาหารเพียงพอ แต่ต้องเป็นอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการด้วย อีกทั้งประเทศไทยยังตั้งเป้าที่จะเป็นครัวของโลก ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญกับสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ เพื่อให้ผลิตได้เพียงพอ ด้วยวิธีที่ปลอดภัยและยั่งยืน
“ต่างชาติชื่นชมและชื่นชอบอาหารไทยมาก เราใช้อาหารไทยเป็นทูต เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ชวนให้เขาอยากมาเที่ยวเมืองไทย ทำไมเขาถึงเลือกรับประทานอาหารไทย เพราะนอกจากอาหารไทยอร่อยแล้ว เขายังมั่นใจในคุณภาพด้วย หรือเมื่อไปซูเปอร์มาร์เก็ตเขาก็จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มาจากประเทศไทยเพราะเขามั่นใจในคุณภาพแม้ว่าจะราคาสูงกว่าที่มาจากประเทศอื่น อย่างเช่น กุ้ง กุ้งไทยเป็นกุ้งที่อร่อยและมีคุณภาพดีกว่ากุ้งของที่อื่น เพราะเราเลี้ยงด้วยอาหารที่มีคุณภาพแตกต่างจากคนอื่น เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ทั่วโลกมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกว่าตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร ตั้งแต่เป็นผลิตภัณฑ์การเกษตรจนไปถึงเป็นอาหาร มีความปลอดภัย มีคุณภาพ และมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างที่ทุกคนต้องการ โดยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปช่วย”
ที่ผ่านมา ไบโอเทค สวทช. มีความร่วมมือกับ Queen’s University Belfast ซึ่งมีความเป็นเลิศด้านการเกษตรและอาหารในระดับโลก ในการวิจัยและพัฒนาบุคลากรด้านความปลอดภัยทางอาหารมายาวนานกว่า 10 ปี และในปี 2565 ได้ขยายความร่วมมือสู่การจัดตั้ง ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยมีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นอีกหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ สร้างความเข้มแข็งด้านการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมถึงพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะ มีความรู้ความสามารถพร้อมสำหรับทำงานในภาคอุตสาหกรรม
[caption id="attachment_48544" align="aligncenter" width="700"] ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร หรือ IJC-FOODSEC ความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค สวทช. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Queen’s University Belfast[/caption]
“ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหารทำให้เรามีเครือข่ายทั้งในเอเชียและยุโรป สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ความเชี่ยวชาญ อย่างเราเชี่ยวชาญเทคโนโลยีการเลี้ยงกุ้ง เขาก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการเลี้ยงสัตว์น้ำอื่นได้ หรือเราอาจจะนำเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของอาหารในแป้งสาลีของเขามาประยุกต์ใช้กับข้าวหรือผลิตภัณฑ์อื่นของเราได้ นอกจากนี้ศูนย์วิจัยฯ ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงงานวิจัยไปสู่ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ต้องการได้ง่ายขึ้น รวมถึงสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญในการเป็นที่ปรึกษาให้แก่ภาคอุตสาหกรรม” ศ.ดร.นิศรา กล่าว
[caption id="attachment_48546" align="aligncenter" width="700"] ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (IJC-FOODSEC) มีเครือข่ายความร่วมมือทั้งในเอเชียและยุโรป[/caption]
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหารมุ่งวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการผลิต เพื่อลดการสูญเสียระหว่างกระบวนการและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลกำไร รวมทั้งมุ่งวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตทางการเกษตรและทรัพยากรชีวภาพในประเทศและศึกษาด้านความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะในเรื่องสารพิษจากรา เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการในประเทศไทยและอาเซียนให้มีศักยภาพในการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการผลิตและการส่งออกอาหารในระดับโลก
[caption id="attachment_48545" align="aligncenter" width="700"] ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (IJC-FOODSEC) มีความพร้อมทั้งบุคลากรและเครื่องมือวิจัยที่ทันสมัย[/caption]
ศ.ดร.นิศรา กล่าวว่า ตัวอย่างเทคโนโลยีและงานวิจัยที่พัฒนาโดยนักวิจัยภายใต้ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหารหลายเทคโนโลยีที่พร้อมถ่ายทอดสู่ภาคอุตสาหกรรม อาทิ เทคโนโลยีชีวภัณฑ์ (biocontrol technology) ชีวภัณฑ์สำหรับควบคุมโรคพืชรวมทั้งย่อยสลายสารเคมีตกค้างในดินทางการเกษตร เทคโนโลยี MycoSMART ชุดตรวจสารพิษจากเชื้อราในอาหารหรือวัตถุดิบการเกษตรด้วยเทคนิคไมโครอะเรย์ที่ตรวจสารพิษจากราได้หลายชนิดพร้อมกัน และเทคโนโลยี Agri-Mycotoxin binder วัสดุลดสารพิษจากราในอาหารสัตว์ เช่น อะฟลาท็อกซิน บี1 (Aflatoxin B1) ซีราลีโนน (Zearalenone) โอคราท๊อกซิน เอ (Ochratoxin A) ฟูโมนิซิน บี1 (Fumonisin B1) และดีอ็อกซีนิวาลีนอล (Deoxynivalenol)
[caption id="attachment_48547" align="aligncenter" width="500"] ‘MycoSMART ชุดตรวจสารพิษจากเชื้อราในอาหารหรือวัตถุดิบการเกษตร’ ตัวอย่างผลงานวิจัยเด่นของ IJC-FOODSEC[/caption]
“นอกจากนี้ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหารกำลังจะจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ASEAN-ASSET 2023 : Global Summit on the Future of Future Food ระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปเอเชีย เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความตระหนักในเรื่องความมั่นคงของอาหารเพื่ออนาคต โดยมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจ อาทิ วิธีการจัดหาอาหารกลุ่มโปรตีนทางเลือกผ่านการคิดเชิงนวัตกรรม การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสนับสนุนการผลิตอาหารเพื่ออนาคต และความปลอดภัยของอาหารเพื่ออนาคตจากแหล่งต่างๆ หวังว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นเวทีสำคัญในระดับนานาชาติที่จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการผลิตอาหารของโลกที่มีความเพียงพอ ปลอดภัยและยั่งยืน”
ผู้สนใจร่วมงานสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.biotec.or.th/asean-asset2023/ หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 08 2198 9699 หรือ info.asean.asset2023@gmail.com, asean-asset2023@biotec.or.th
[caption id="attachment_48548" align="aligncenter" width="1000"] งานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ASEAN-ASSET 2023: Global Summit on the Future of Future Food จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ[/caption]
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ


