หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
มรภ.ราชนครินทร์ จับมือ สวทช. และภาคเอกชน มุ่งเสริมกำลังสมรรถนะ‘บุคลากร-นักศึกษา’ ตอบโจทย์ภาคการผลิต สู่การขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG
วันที่ 28 กันยายน 2565 : ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 สำนักปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย NTT DATA Business Solutions (Thailand) Ltd. และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อร่วมมือการดำเนินการ ว่าด้วยโครงการพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มุ่งบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนพัฒนาประเทศจากกำลังทรัพยากรบุคคล องค์ความรู้ เทคโนโลยี งานวิจัยสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศอย่างแท้จริง ดร.จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า "ด้วยนโยบายของกระทรวง อว. มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model : BCG Model) ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือที่เข้มแข็งจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน ที่พร้อมจะขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่สถาบันในระดับอุดมศึกษาจะต้องถ่ายทอดความรู้และความเข้าใจให้กับบุคลากร เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรม นำไปสู่การสร้างสรรค์องค์ความรู้ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่มีฐานมูลค่าและเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง" รองศาสตราจารย์ ดร.ดวงพร ภู่ผะกา รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ กล่าวว่า "มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ มีความมุ่งมั่นพัฒนาคนหรือบุคลากรในทุกระดับ โดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการส่งเสริมงานวิจัย เพื่อนำไปช่วยพัฒนาชุมชนต่างๆ ด้วยการบูรณาการการทำงานร่วมกันจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เพื่อดึงเอาจุดเด่น นั่นคือองค์ความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศ โดยกระทรวง อว. ได้ร่วมเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้กับบุคลากร นิสิต นักศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษา ให้มีความพร้อมทั้งในด้านการศึกษา การวิจัย และการบริการวิชากร เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะที่ตอบโจทย์ภาคการผลิต ในขณะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่งทั่วประเทศ ในฐานะมหาวิทยาลัยเชิงพื้นที่ จะต้องเร่งสร้างบุคลากรที่จะเข้าไปช่วยพัฒนาท้องถิ่นไปพร้อมกัน เพื่อส่งเสริมความมั่นคงให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น และช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น"สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลง ว่าด้วยโครงการพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายกระทรวง อว. มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อพัฒนาทักษะอนาคตที่สำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 2. เพื่อร่วมกันวางแผนและพัฒนางานด้านการศึกษา การวิจัย และการบริการวิชาการ และ 3. เพื่อพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม"แนวทางการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย เป็นกระบวนการสำคัญในการปรับเปลี่ยนบทบาทของมหาวิทยาลัยให้มีความทันสมัย มีการทำงานที่ตรงกับเป้าหมายในการพัฒนาบุคคลให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีทักษะ องค์ความรู้ที่ทันสมัย ในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยจะต้องปรับตัวให้มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา โดยแต่ละสถาบันจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาความเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้ทราบถึงแนวทางที่จะต้องทุ่มเททรัพยากร ความสนใจ รวมถึงประสบการณ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในด้านนั้นๆ โดยทางมหาวิทยาลัยฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดทำหลักสูตรต่างๆ ทั้งหลักสูตรระยะสั้น ระยะยาว เพื่อพัฒนาศักยภาพให้กับบุคลากร ไม่ว่าจะเป็น นักศึกษาบุคลากรมหาวิทยาลัย ผู้ประกอบการ เพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตโดยเฉพาะในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมระดับฐานรากที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ" รศ. ดร.ดวงพร กล่าวทิ้งท้าย ด้าน ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. ได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ พัฒนาหลักสูตร และถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตให้กับผู้ประกอบการเกษตรในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา และบริเวณใกล้เคียง โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ การถ่ายทอดความรู้เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการหลักสูตรระยะสั้น 3-5 วันต่อหลักสูตร ผ่านความร่วมมือจากนักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ผู้ประกอบการภายใต้โครงการบ่มเพาะผู้ประกอบการ สวทช. นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ หน่วยงานพันธมิตรในการถ่ายทอดความรู้และความเชี่ยวชาญ ได้แก่ 1. หลักสูตร HandySense ‘ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ’ ขั้นพื้นฐาน 2. หลักสูตร HandySense ‘ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ’ ขั้นสูง ที่นำเทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อมทางการเกษตรและระบบควบคุมการทำงานอัตโนมัติ ซึ่งนักวิจัยได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่ายทนทานต่อสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกษตรกรได้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ 3. หลักสูตรการผลิตยางพาราตามมาตรฐานการแพทย์และสุขภาพ นำความรู้กระบวนการปลูกยางเพื่อการใช้น้ำยาง การเก็บน้ำยางและมาตรฐานน้ำยางเพื่อการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และ 4. หลักสูตรระบบบริหารจัดการและติดตามการผลิตพืชปลอดภัย GAP (SMART Farm_KASETTRACK) แอปพลิเคชันติดตามการปลูกพืชผักของเกษตรกร ซึ่งทำให้เกษตรกรรู้ชนิดพืชที่กำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและสามารถวางแผนบริหารจัดการด้านการขาย โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต นอกจากนี้ในความร่วมมือดังกล่าว สวทช. ยังมีการถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีการเกษตร โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง ,การผลิตพริกคุณภาพแบบปลอดภัย ,การผลิตพืชหลังนาแบบครบวงจร : พันธุ์ถั่วเขียวพันธุ์ KUML และสถานีตรวจวัดสภาพอากาศ ซึ่งพัฒนาระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการจัดการและควบคุมอัตโนมัติ “รูปแบบการถ่ายทอดความรู้ เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการจะเป็นหลักสูตรระยะสั้น 3-5 วันต่อหลักสูตร เพื่อเสริมทักษะและสร้างแนวทางต่อยอดการเพิ่มมูลค่าทั้งผลผลิต และการพัฒนาเป็นอาชีพเสริม โดยผู้ผ่านการอบรมเฉลี่ย 30 คนต่อหลักสูตร จะได้รับประกาศนียบัตรรับรอง ส่วนการถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการเกษตร จะมีสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. มาร่วมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถนำองค์ความรู้ ไปพัฒนาคุณภาพของผลผลิตและความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค และยังสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ทั้งนี้ สวทช. พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยี โดยเฉพาะการขับเคลื่อนตามแนวนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งรัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ด้วยการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการในภาคการเกษตร เปลี่ยนวิถีการผลิตแบบเดิมที่ ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ไปสู่ ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ ด้วยการประยุกต์และปรับใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำไปเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมและชุมชนตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
วช. – สวทช.-วท.กห. ส่งมอบนวัตกรรม MagikTuch แก่ โรงพยาบาลทหาร 3 เหล่าทัพ สู่ชีวิตวิถีใหม่ ด้วย ‘ลิฟต์ไร้สัมผัส’ ช่วยลดเสี่ยง-เลี่ยงเชื้อโรค
28 กันยายน 2565 ณ ห้องประชุม พล.ร.ท.สนิท โปษะกฤษณะ ชั้น 5 อาคารพิเคราะห์และบำบัดโรค โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. และพล.ท.สมเกียรติ สัมพันธ์ เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) ร่วมกันส่งมอบนวัตกรรม MagikTuch ระบบปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส แบบ 2 in 1 ภายหลังจากทีมวิจัยติดตั้งแล้วเสร็จและมีผู้บริหารโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งเข้ารับมอบ ได้แก่ พลเรือตรี ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า พ.อ.สมภพ ภู่พิทย์ ผู้อำนวยการกองออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และนาวาเอก วรพจน์ วิทยกฤตศิริกุล แพทย์ศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช  ทั้งนี้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อทีมบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไป ซึ่งมีความจำเป็นต้องโดยสารลิฟต์ภายในโรงพยาบาลของรัฐทั้ง 3 แห่ง โดยนวัตกรรมปุ่มกดลิฟต์แบบไร้สัมผัส มีจุดเด่นสำคัญ คือ ไม่จำเป็นต้องสัมผัสปุ่มกดลิฟต์ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อก่อโรคที่อาจสะสมอยู่บนปุ่มกดลิฟต์ที่ประชาชนมาใช้บริการจำนวนมาก ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า เกือบ 3 ปีแล้วที่คนไทยและทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวง อว. ได้มีส่วนร่วมในการคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 โดย วช. ได้รวบรวมนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คน มาทำการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยลดผลกระทบจากโควิด-19 มุ่งเน้นผลงานเชิงสุขภาพให้หลากหลาย โดยนวัตกรรม “MagikTuch” ระบบปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส แบบ 2 in 1 ถือเป็นหนึ่ง ในผลงาน ที่ วช. ให้การสนับสนุนนักวิจัย สวทช. เพื่อขยายผลสู่การใช้งานจริงเพื่อบรรเทาวิกฤตการระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศ ด้วยการแปลงระบบลิฟต์ทั่วไปให้เป็นลิฟต์แบบไร้สัมผัส เนื่องจากลิฟต์ในที่สาธารณะมีประชาชนใช้งานจำนวนมาก ดังนั้นการมีนวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงของประชาชนในการสัมผัสเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันมีโรคระบาดเกิดขึ้นจำนวนมาก และหลายโรคสามารถติดต่อกันผ่านการสัมผัสสิ่งของต่างๆ ที่มีสารคัดหลั่งหรือเชื้อโรคจากผู้ป่วยติดค้างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งของต่างๆ ที่มีคนใช้งานร่วมกัน เช่น ที่จับประตู ราวบันไดเลื่อน ก๊อกน้ำ รวมถึงปุ่มกดลิฟต์โดยสารซึ่งเป็นระบบขนส่งที่มีผู้คนใช้ร่วมกันจำนวนมาก ทีมวิจัยจึงพัฒนานวัตกรรมเมจิกทัช (MagikTuch) เพื่อเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ลดการเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค โดยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสกับปุ่มกดลิฟต์ที่อาจมีสารคัดหลั่งหรือเชื้อโรคต่างๆ ของผู้ป่วยติดค้างอยู่ จึงสามารถช่วยลดการแพร่กระจายโรคโควิด-19 ได้ ดร.ศิวรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการส่งมอบ MagikTuch ให้กับโรงพยาบาลทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ ทีมวิจัยได้ดำเนินการเพื่อให้ทันต่อความต้องการใช้ประโยชน์ โดยวันนี้ได้ส่งมอบ 3 โรงพยาบาล ได้แก่ 1. โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ ทีมวิจัยได้ดำเนินการติดตั้งระบบลิฟต์ไร้สัมผัส (MagikTuch) ณ อาคารพิเคราะห์และบำบัดโรค ตั้งแต่ชั้น B ถึง ชั้น 6 จำนวน 2 ชุด พร้อมติดตั้งแผงด้านในที่ลิฟต์จำนวน 2 ตัว และแผงด้านนอกลิฟต์จำนวน 5 แผง 2. โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ ได้ดำเนินการติดตั้งระบบลิฟต์ไร้สัมผัส (MagikTuch) ณ อาคารคุ้มเกศ ตั้งแต่ชั้น  B ถึง ชั้น 5 จำนวน 2 ชุด พร้อมติดตั้งแผงด้านในที่ลิฟต์จำนวน 2 ตัว และแผงด้านนอกลิฟต์จำนวน 6 แผง และ 3. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ดำเนินการติดตั้งระบบลิฟต์ไร้สัมผัส (MagikTuch) ณ อาคารมหาวชิราลงกรณ์ ตั้งแต่ชั้น 1 ถึง ชั้น 7 จำนวน 1 ชุด พร้อมติดตั้งแผงด้านในที่ลิฟต์จำนวน 1 ตัว และแผงด้านนอกลิฟต์จำนวน 4 แผง รวมทั้ง 3 โรงพยาบาล ติดตั้งลิฟต์ไร้สัมผัสจำนวนทั้งสิ้น  5 ชุด 20 แผงสั่งการลิฟต์ไร้สัมผัส อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา สวทช. ได้ดำเนินการติดตั้งใช้งานระบบ MagikTuch ตามสถานที่ต่างๆ แล้ว เช่น อาคารต่าง ๆ ของศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ และจากการสนับสนุนเพิ่มเติมจาก วช. อีกจำนวน 12 ชุด ทำให้เกิดการขยายผลและดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมด อาทิ ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น รวมทั้งโรงพยาบาลทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ ซึ่ง วท. กห. ได้ร่วมสนับสนุนการต่อยอดนวัตกรรมพร้อมส่งมอบในวันนี้ ซึ่งจะเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาวิกฤตเร่งด่วนของประเทศได้โดยเฉพาะในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตวิถีใหม่ ที่ต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัยส่วนบุคคลกันมากขึ้น ด้าน พล.ท.สมเกียรติ สัมพันธ์ เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) ได้ร่วมสนับสนุนการต่อยอดนวัตกรรมเมจิกทัช (MagikTuch) โดยได้ให้ความอนุเคราะห์สนับสนุนการเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ ระบบไฟฟ้า และกำลังคน เพื่อนำนวัตกรรมลิฟต์ไร้สัมผัสเข้ามาติดตั้ง ณ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ซึ่งรู้สึกดีใจและยินดีอย่างยิ่งที่ วท.กห. ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมนำนวัตกรรมที่นักวิจัยไทยเป็นผู้ค้นคิดและผลิต มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และยังมีคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับต่างประเทศ ลดการนำเข้าและไม่ต้องซื้อลิฟต์ตัวใหม่ นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับระบบลิฟต์ เนื่องจากเป็นงานวิจัยที่ผ่านมาตรฐานทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ซึ่งสามารถติดตั้งเข้าไปบนลิฟต์ตัวเดิมโดยไม่ต้องเจาะตัวลิฟต์ ที่สำคัญไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะของระบบประกันจากบริษัทผู้ติดตั้งและผู้ดูแลลิฟต์ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์สำหรับดัดแปลงปุ่มกดลิฟต์ให้เป็นระบบไร้สัมผัส ที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตคนไทยห่างไกลโรคต่างๆ ได้ สำหรับนวัตกรรม MagikTuch มีจุดเด่น 3 ข้อ คือ 1) Touchless เป็นระบบการทำงานแบบไร้สัมผัส สั่งการด้วยเซนเซอร์ วิธีใช้งานง่ายคือใช้นิ้วมือวางเหนือปุ่มลิฟต์ของชั้นที่ต้องการระยะห่าง 1-3 เซนติเมตร เซนเซอร์จะตรวจจับข้อมูลชั้นที่ต้องการเลือกและสั่งการลิฟต์โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งมีระบบการตรวจจับเพื่อป้องกันการสั่งการพร้อมกันหลายปุ่ม ขณะเดียวกันหากระบบเกิดการขัดข้อง หรือผู้ใช้งานไม่สะดวกใช้งานแบบไร้สัมผัส สามารถใช้วิธีกดปุ่มลิฟต์แบบเดิม เนื่องจากระบบออกแบบให้ทำงานได้ 2 แบบ คือ แบบไร้สัมผัสและการกดปุ่ม  2) Safe from Infection ปลอดภัยจากการติดเชื้อโรค เพราะเมื่อไม่มีการสัมผัสจะลดการแพร่กระจายเชื้อโรคในลิฟต์ และ 3) Easy Installation คือติดตั้งได้ง่ายและมีความยืดหยุ่น โดยชุดอุปกรณ์ MagikTuch สามารถติดตั้งเข้าไปบนลิฟต์ตัวเดิม โดยไม่ต้องดัดแปลงหรือเชื่อมต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของตัวลิฟต์ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะการรับประกันระบบของบริษัทผู้ติดตั้งและผู้ดูแลลิฟต์ อีกทั้งยังออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสามารถรองรับจำนวนชั้นได้ตามที่ต้องการสำหรับลิฟต์โดยสารหลากหลายยี่ห้อ อีกทั้งมีระบบป้องกันทางไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน และผ่านการทดสอบมาตรฐานด้าน EMC/EMI ปัจจุบันทีมวิจัยได้ขยายผลการพัฒนานวัตกรรม MagikTuch สำหรับแปลงระบบลิฟต์ทั่วไปให้เป็นระบบลิฟต์แบบไร้สัมผัสเพื่อบรรเทาปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากการใช้ลิฟต์ในที่สาธารณะที่มีประชาชนมาใช้จำนวนมาก ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. เบอร์โทรศัพท์: 02 564 6900 ต่อ 2521
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รับสมัครหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ “Infographic Presentation เพิ่มพลังการสื่อสารในยุคไทยแลนด์ 4.0”
หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ “Infographic Presentation เพิ่มพลังการสื่อสารในยุคไทยแลนด์ 4.0” เปลี่ยนการนำเสนอแบบเดิมๆ มาเป็นการนำเสนอแบบ Smart เพื่อก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 โดยการนำเสนอแบบ Infographic ที่เน้นการสื่อสารที่เข้าใจง่าย น่าสนใจ และน่าติดตาม หลักการและเหตุผล ในยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคการสื่อสารที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการสื่อสารด้วยภาพมีบทบาทอย่างมากต่อการรับรู้และเข้าใจของผู้คนปัจจุบัน โดยเฉพาะสื่อภาพหรือกราฟิกซึ่งบ่งชี้ถึงข้อมูลไม่ว่าจะเป็นสถิติ ความรู้ ตัวเลข ฯลฯ เรียกว่าเป็นการย่อข้อมูลเพื่อให้ประมวลผลได้ง่าย ซึ่งเหมาะสำหรับผู้คนในยุคไอทีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลที่ซับซ้อนในการถ่ายทอดเรื่องราวโดยการเปลี่ยนตัวอักษรให้กลายเป็นภาพที่เข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจมากขึ้น (เหตุผลเพราะมนุษย์ชอบและจดจำภาพสวยๆ ได้มากกว่าการอ่าน) และในปัจจุบันภาพสวยๆ นี้สามารถทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึง เข้าใจ ไม่น่าเบื่อในการเล่าเรื่องให้น่าสนใจ ด้วยการเรียงลำดับที่ตรงกับความสนใจของผู้อ่านและผู้ฟังด้วยข้อมูลที่ถูกคัดกรองมาเป็นอย่างดี เรียงร้อยเป็นเรื่องราวทำให้ผู้นำเสนอผลงานนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นวิธีการนำเสนอข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ที่เราสามารถหยิบยกเรื่องราวเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องราวใหญ่โตมานำเสนอในมุมมองที่แปลกตา ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน ด้วยรูปแบบหรือประเภทของ Infographic ที่ต้องการนำเสนอ Key highlights เรียนรู้ เข้าใจพร้อมทั้งได้รับเทคนิคในการจัดทำการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ด้วย Infographic โดยโปรแกรม Microsoft PowerPoint 2016 เรียนรู้พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติจริงตลอด 2 วัน ในด้านการออกแบบข้อมูล (Creative Content) และการออกแบบการนำเสนอ (Creative Design) สามารถจัดทำการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ด้วย Infographic ให้สวยงาม เข้าใจง่ายและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง   หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ บุคลากรทั่วไปทุกท่านที่ต้องการพัฒนาการจัดทำการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ให้น่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นด้วย Infographic **โดยควรมีพื้นฐานในการใช้โปรแกรม Microsoft PowerPoint เบื้องต้น ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจริงในการแปลงข้อมูลจากตัวอักษรออกมาเป็นรูปภาพ เพื่อนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ด้วย Infographic ได้อย่างถูกต้อง ได้เรียนรู้เทคนิคในการออกแบบการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ด้วย Infographic แบบต่างๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจริงในการใช้เครื่องมือต่างๆ ในโปรแกรม Microsoft PowerPoint 2016 เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน ได้เรียนรู้เทคนิคการจัดทำการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Presentation ด้วย Infographic ให้ง่ายขึ้นด้วยเครื่องมือจากแหล่งข้อมูลต่างๆ วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ นายทินกร พรมดีมา  เจ้าหน้าที่พัฒนาสื่อ (Media Developer) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ นายสมิทธิชัย ไชยวงศ์  วิทยากรอิสระด้าน Infographic design รูปแบบการอบรม ภาคทฤษฎี และ ภาคปฏิบัติ ระยะเวลาของหลักสูตร จำนวน 2 วัน เวลา 9.00 – 16.00 น. รุ่นที่ 13 วันที่ 10 – 11 พฤศจิกายน 2565​ ค่าลงทะเบียน ท่านละ 9,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) หมายเหตุ สถาบันฯ เป็นหน่วยงานราชการ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ค่าลงทะเบียนรวมอาหารกลางวัน อาหารว่าง เอกสารประกอบการฝึกอบรมและคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการฝึกปฏิบัติ ข้าราชการมีสิทธิ์เบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบกระทรวงการคลังและเข้าร่วมอบรมสัมมนาได้โดยไม่ถือเป็นวันลา หากท่านต้องการยกเลิกการลงทะเบียน กรุณาแจ้งยืนยันการยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อย 7 วันทำการก่อนวันจัดงาน หากการแจ้งยกเลิกล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนดดังกล่าว ทางสถาบันฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการหักค่าดำเนินการ คิดเป็นจำนวนเงิน 30% จากค่าลงทะเบียนเต็มจำนวน ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงวิทยากรและกำหนดการตามความเหมาะสม ค่าใช้จ่ายในการส่งบุคลากรเข้าอบรมทางวิชาชีพของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 200% สถานที่จัดอบรม โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส เลขที่ 444 ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ  จำนวนผู้เข้าอบรม  จำนวนผู้เข้าร่วมอบรม 30 ท่าน  เกณฑ์การประเมินผล  ผู้เข้าอบรมต้องมีเวลาเรียนไม่ต่ำกว่า 80% และทำกิจกรรมทุกหัวข้อของหลักสูตร จึงจะได้รับวุฒิบัตรจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center: 0 2644 8150 ต่อ 81897 E-mail : bas@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. สนับสนุนการสร้างความยั่งยืนประเทศ ขนงานวิจัยร่วมมหกรรมด้านความยั่งยืน Sustainability Expo 2022
(26 กันยายน 2565) ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ : ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับเชิญให้ร่วมเป็นวิทยากรบนเวทีเสวนาด้านความยั่งยืนในงานมหกรรม Sustainability Expo 2022 ในหัวข้อ ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วย BCG ECONOMY MODEL ร่วมกับ ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล และรักษาการผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เข้าร่วมเสวนา ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การร่วมงานครั้งนี้ สวทช. มีส่วนร่วมเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการวิจัยและพัฒนา ซึ่งถือเป็นอีกกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนของประเทศให้กับภาคส่วนต่างๆ ได้รับรู้และเข้าใจ โดย สวทช. มีตัวอย่างของการสนับสนุนความยั่งยืนด้วยการนำโครงการและผลงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์ตอบโจทย์ประเทศมาร่วมจัดนิทรรศการ ได้แก่ ระบบเกษตรแม่นยำฟาร์มอัจริยะและระบบเชื่อมโยงผลผลิตเพื่ออาหารกลางวัน (Handy Sense & Farm to School) โรงงานแห่งการเรียนรู้ดิจิทัลลีน ซึ่งเป็นผลงานของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช.  ผลงานแบบจำลองสามมิติค่าการหมุนเวียน เพื่อความยั่งยืนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ผลงานของศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. โครงการการประเมินขีดความสามารถในการรองรับของแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและชายฝั่ง ผลงานจากความร่วมมือระหว่าง สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (สทสย.) เอ็มเทค สวทช. และ โครงการการศึกษามูลค่าทางเศรษฐศาสตร์บริการของระบบนิเวศในพื้นที่ฟื้นฟูป่าชายเลน :กรณีศึกษาสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.9 จังหวัดจันทบุรี ผลงานความร่วมมือจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ เอ็มเทค สวทช.           นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า งาน Sustainability Expo 2022 หรือ SX2022 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนมารวมตัวกัน และขยายเครือข่ายออกไปยังต่างประเทศ แต่ยังคงยึดโมเดลและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวทางในการจัดงานและสร้างแรงบันดาลใจให้นำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ ให้เกิดความยั่งยืนในบริบทสังคมไทย จากการริเริ่ม TSX Expo ภายใต้เครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน หรือ Thailand Supply Chain Network (TSCN) ใน 2 ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้ 5 องค์กรธุรกิจได้แก่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผนึกกำลังกันพัฒนาแพลตฟอร์มสู่มหกรรมความยั่งยืนระดับภูมิภาค ภายใต้ชื่อ SX 2022 นอกจากนี้ งาน SX2022 ยังเป็นแพลตฟอร์มที่นำเสนอโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า B2C2B (Business-to-Consumer-to-Business) ซึ่งยึดผู้บริโภคเป็นแกนกลาง โดยเชื่อมโยงระหว่างองค์กรธุรกิจกับผู้บริโภค และผู้บริโภคจะเชื่อมโยงกลับสู่ภาคธุรกิจ สำหรับงาน SX2022 จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีบริษัทชั้นนำและองค์กรทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมกว่า 100  แห่ง มีการสัมมนาและนิทรรศการให้ความรู้จัดแสดงตลอด 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน – 2 ตุลาคม 2565 ////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สัมมนา “Lancang-Mekong Youth Entrepreneurship Acceleration Camp – Launchpad Session”
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. ร่วมกับ Beijing International Exchange Association of China ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนา "Lancang - Mekong Youth Entrepreneurship Acceleration Camp: Launchpad Session" ในวันที่ 29 กันยายน 2565 เวลา 13.00 - 16.00 น. (ผ่านทางระบบ ZOOM Meeting) เพื่อเเลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจาก กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม ประเทศไทย เเละสาธารณรัฐประชาชนจีน Introduction on "Lancang - Mekong Young Leaders and Entrepreneurship Acceleration Camp" Ms. Sansanee Huabsomboon, Director of Business Innovation Center, Thailand Why is Vietnam the hot spot for South East Asia? Mr. Cong-Thang Huynh, CEO and Co-Founder of InnoLab Asia, Vietnam Gate to China: A Guide for Foreign Startups Dr. Jieni Guo, Secretary General, Beijing International Exchange Association, China Cambodian Startup Ecosystem Mr. Sovila Srun, Director, National Incubation Center of Cambodia Lao's Startup Ecosystem and Its Inspiration on the Youth Mr. Jim Ophakorn Kouphokham, Founder & Project Director, Technovator Laos International Talent Service of FESCO Ms. Xiaoyuan Gong, Customer Manager of International Talent Service Division, FESCO Beijing Social Entrepreneurship Ecosystem in Cambodia: Growing Talent Seeds to Impact at Local Community Mr. Pengsan Huon, Youth Engagement Manager, Impact Hub Phnom Penh, Cambodia Opportunities of Lao Digital Economy and Lancang-Mekong Region Ms. Souphaphone Souannavong, Founder of TOHLAO Group, Laos   พิเศษ!!! การนำเสนอผลงานเด่นของ นักวิจัย/ผู้ประกอบการ เเละหน่วยงานพันธมิตร อาทิ ⭐ Cross-border e-Commerce โดย ดร. ดนัยธัญ พงษ์พัชราธรเทพ (China Intelligence Center, Chiang Mai University) ⭐ Aging exercise platform based on ICT in Robotics and AI technology โดย ดร. วินัย ชนปรมัตถ์ (NECTEC) ⭐ Surface Enhanced Raman Scattering Substrate (OnSpec) โดย คุณอรอุมา นิมิตรตระกูลชัย (SCI INNOVATECH) ⭐ Kann Herbal Cream โดย คุณกัญญ์ภัสสร์ พลชัยศรี (KAN HERBS) ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม REGISTER : https://citly.me/zwiXP กำหนดการ (Draft agenda as of 29 Sep)   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. น.ส. สุนัจจีย์ นงนุช Email: sunatjee.nongnuch@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
เอ็มเทค สวทช. เปิดตัว Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืชจากแล็บ สู่เชิงพาณิชย์ ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ
For English-version news, please visit : Plant-based chicken Ve-Chick: From lab to table คนไม่กินเนื้อสัตว์ เฮ นักวิจัย เอ็มเทค สวทช. วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์อาหาร มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเนื้อสัมผัสอาหาร เปิดตัว Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Plant-based chicken)  พร้อมส่งต่องานวิจัยจากแล็บ สู่เชิงพาณิชย์ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุง เผยจุดเด่นที่ช่วยเสริมใยอาหาร มีรสชาติ และ เนื้อสัมผัสที่คล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์ ปรุงเป็นเมนูอาหารได้หลากหลายตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า และมีราคาย่อมเยาสามารถเข้าถึงได้ วันที่ 26 กันยายน 2565 ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (อาคารวิจัยโยธี) กรุงเทพฯ : ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. พร้อมด้วย ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ นายธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด และคุณสุรีย์พร ฉัตรมั่งมี ผู้บริหารกลุ่มตลาดเจ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด แถลงข่าวเปิดตัว Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Plant-based chicken) ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช เป็นผลงานที่เกิดจากการวิจัยพัฒนาของ สวทช. โดยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค ที่เล็งเห็นถึงโอกาสจากแนวโน้มของตลาดโลกสำหรับอาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based food) ซึ่งมีมูลค่าในช่วง 4 - 30 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (USD) ในปี พ.ศ. 2563 และคาดว่าจะเติบโตมีมูลค่าสูงถึง 8 พันล้าน - 7 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (มากกว่าสามแสนล้านบาท) ในปี พ.ศ. 2568  รวมทั้งประเทศไทยที่มีผู้บริโภคกลุ่ม flexitarian ซึ่งมีความรักสุขภาพและเน้นการบริโภคผลิตภัณฑ์และโปรตีนจากพืชเพื่อลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ราว 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ หรือประมาณ 17-18 ล้านคน จากประชากรไทย 67-68 ล้านคน ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้ให้ความสำคัญในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช โดยมุ่งวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเนื้อสัมผัสอาหาร โดยเฉพาะอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่อยากรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ยังรู้สึกว่าอาหารเพื่อสุขภาพไม่อร่อย ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในการออกแบบเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์จากพืชให้คล้ายคลึงกับเนื้อไก่ เกิดเป็น Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ซึ่งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับเอกชนแล้วรวม 3 ราย รายที่ 1 เป็นโรงงานรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับอาหารตามความต้องการของลูกค้า การเพิ่มตัวเลือกผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชให้กับลูกค้าจะช่วยเพิ่มตลาดให้กับธุรกิจของบริษัท รายที่ 2 บริษัท กรีน สพูนส์ จำกัด เป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านอาหารเพื่อสุขภาพ ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ที่บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ภายหลังจากรับถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว บริษัทได้พัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในช่วงต้นปี 2566 ล่าสุด บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ที่ร่วมแถลงข่าวในวันนี้ เป็นรายที่ 3 ที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดอาหารเจที่บริษัทเชี่ยวชาญด้วยเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชที่ไม่ซับซ้อน สามารถหาวัตถุดิบได้ง่าย เนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์คล้ายคลึงกับเนื้อไก่ ปรุงเมนูอาหารได้หลากหลาย ในต้นทุนที่แข่งขันได้ นายธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด  กล่าวว่า แบรนด์ Gin Zhai  ผลิตภัณฑ์พืชและผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาภายใต้แนวคิด BCG สู่ความยั่งยืน เชื่อมโยงวัฒนธรรม อาหาร และ การท่องเที่ยว โดยใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมและความคิดสร้าง สรรค์ ซึ่งสวทช. สนับสนุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีนวัตกรรมวัตถุดิบทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Ve-Chicken Plant based) รวมถึงวัตถุดิบที่ แบรนด์ Gin Zhai เลือกสรรและส่งเสริมการใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรโดยตรง และส่งเสริมสินค้า GI ของไทยด้วย  ซึ่งเป็นไปตามพันธกิจของบริษัท คือ “มุ่งมั่นสร้างสังคมสุขภาพดีทั้งกายและใจอย่างยั่งยืน ด้วยเมนูผลิตภัณฑ์พืชและผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช ที่ผู้บริโภคชื่นชอบ โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพจากเกษตรกรโดยตรง” ดังสโลแกนของแบรนด์ GIN Zhai คือ  “กินด้วยใจ ปรุงด้วยใจ” ซึ่งสื่อถึงการบริโภคและการผลิตที่รับผิดชอบต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์แบรนด์ GIN Zhai  ประกอบด้วย 2 รูปแบบ คือ รูปแบบแรก ผู้บริโภคนำไปประกอบอาหารเอง มี 2 ผลิตภัณฑ์  คือ กินใจ แพลนต์เจ พรีคุก (GIN Zhai Plant J - Pre Cook) ใช้วัตถุดิบ Ve-Chick แทนเนื้อไก่ ขึ้นรูปเป็นชิ้นส่วนต่างๆของ เนื้อไก่ เช่น น่องไก่  ชิ้นไก่  ไก่บด ซึ่งเนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อไก่ จุดเด่น คือ นำไปทำเมนูต่างๆ แทนเนื้อไก่ ได้ทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อไก่   และ กินใจ แพลนต์เจ พรีมิกซ์ (GIN Zhai Plant J - Pre-Mix)   เป็นสูตรอาหารที่ใช้ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบ Ve-Chick แทนเนื้อไก่  ที่สามารถปรับสูตรโภชนาการได้ตามความต้องการกลุ่มผู้บริโภคที่ต่างกันได้ ทั้งด้านวัย ด้านสุขภาพ ด้านการรักษาโรค เป็นต้น   ครบคุณค่าโปรตีน ครบคุณค่าสารอาหาร ไม่มีไขมัน ไม่มีสารเร่งโต รูปแบบที่ 2  แฟรนไชส์ร้าน GIN Zhai เมนูพร้อมกิน มีทั้งเมนูทำจากพืช และเมนู Plant J ปัจจุบันให้บริการแล้วอยู่หน้า 7-11 รวมถึงสั่งผ่าน 7-11 Delivery App ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาแฟรนไชส์ร้าน GIN Zhai ให้ได้ 100 สาขา ภายใน  1 ปี   ส่วนเป้าหมายผลิตภัณฑ์ GIN Zhai Plant J บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ 200 ล้านบาท ภายในปี 2567 ผู้สนใจสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ แบรนด์ Gin Zhai (กินใจ) ได้แล้วที่ร้านกินใจ อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ 7-11 รวมถึงสั่งผ่าน 7-11 Delivery App ราคาเริ่มต้นเพียง 59 บาท รวมถึงผู้สนใจลงทุนแฟรนไชส์ร้าน Gin Zhai หน้าร้าน 7-11 ทั่วประเทศ สามารถติดต่อสอบถาม ที่ Facebook : Gin Zhai-กินใจ  หรือ Line: @ginzhai  หรือ โทร 094 885 9228 ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ได้แนวคิดมาจากโจทย์ที่ต้องการเพิ่มการใช้ประโยชน์ของใยอาหารที่ทางทีมวิจัยสกัดได้จากเปลือกส้มโอ ขณะเดียวกันทางทีมก็มองเห็นถึงกระแสการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์อาหารจากโปรตีนพืชในต่างประเทศ และมองเห็นโอกาสในการวิจัยพัฒนาเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมอาหารในประเทศ ทางทีมจึงได้ปรับเปลี่ยนจากการใช้วัตถุดิบที่ได้จากงานวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการ มาใช้ส่วนประกอบหรือวัตถุดิบที่มีอยู่และสามารถหาได้ในท้องตลาด มาออกแบบโครงสร้างของผลิตภัณฑ์และกระบวนการในการผลิตให้ได้ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืชที่เสริมใยอาหาร มีรสชาติ และ เนื้อสัมผัสที่คล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์มากที่สุด ปรุงเป็นเมนูอาหารได้หลากหลายได้ แล้วยังมีราคาย่อมเยาสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งจากรสนิยมของผู้บริโภคที่แตกต่างกันเป็นทั้งความท้าทายและจุดเด่นอีกประการหนึ่งที่ทำให้เทคโนโลยีหลักซึ่งได้ถ่ายทอดให้ทั้ง 3 ราย สามารถแตกแขนงผลิตภัณฑ์ออกไปได้หลากหลายตามกลุ่มลูกค้าของแต่ละบริษัทได้ ในส่วนของบริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ได้ใช้วีชิคเป็นส่วนประกอบของเมนูอาหารเจ ความสามารถในการปรุงรสของเชฟทำให้ผลงานวิจัยที่ได้ถ่ายทอดไปยังบริษัท มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น นอกจาก Ve-Chick (วีชิค) แล้ว เอ็มเทค ยังมี ผลิตภัณฑ์จากโปรตีนพืชอื่นๆ ที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้สนใจ อาทิ M-pro jelly drink ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเยลลี่โปรตีนสูงเสริมแคลเซียม , ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการเอ็กทรูชันความชื้นสูง  Fibrous chicken analogue หรือ HMMA และ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการเอ็กทรูชันความชื้นต่ำ minced pork analogue LWMA หรือ TVP ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการเอ็กทรูชันมีเนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อสัตว์มากขึ้น ตอนนี้ทางทีมก็มีการวิจัยพัฒนา food ink สำหรับการขึ้นรูปโดยใช้เครื่องพิมพ์สามมิติอีกด้วย คุณสุรีย์พร ฉัตรมั่งมี ผู้บริหารกลุ่มตลาดเจ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ที่ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์โปรตีนจากพืช สำหรับคนไม่กินเนื้อสัตว์  แต่ยังได้โปรตีนทดแทนครบถ้วนและยังได้รสชาติ เนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อไก่ และที่สำคัญมีความอร่อย ในฐานะผู้บริหารกลุ่มตลาดเจ ได้มองเห็นโอกาสของผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช หรือ Plant Based  จะเป็นวัตถุดิบหลักของแบรนด์ Gin Zhai (กินใจ) สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม  ทั้งกลุ่มอาหารเจ  กลุ่มมังสวิรัติ กลุ่ม Vegan กลุ่ม Plant Based  รวมถึงผู้บริโภคทั่วไปที่บริโภคเนื้อสัตว์เหมือนเดิม และเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชเป็นครั้งคราว รวมทั้งกลุ่มวัยทำงาน และกลุ่มผู้สูงอายุ บริษัทจึงมั่นใจว่า Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ที่เชฟของบริษัทเลือกแล้วว่าเหมาะสมกับการปรุงเมนูอาหารสำหรับแบรนด์ Gin Zhai (กินใจ)  ซึ่งจะได้ทั้งคุณค่าโปรตีน รสสัมผัส รสชาติ และความอร่อย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับมัธยมศึกษา กับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ในการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของโรงเรียนในโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ
วันที่ 24 กันยายน 2565 ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นตัวแทนร่วมพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับมัธยมศึกษา กับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย โดยมี ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนามณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ กรุงเทพมหานคร ผู้เข้าร่วมงานเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครูจากโรงเรียนศูนย์โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับประถมศึกษา 96 แห่ง และมัธยมศึกษา 95 แห่ง รวมจำนวน 450 คน ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวเปิด และมอบนโยบายขับเคลื่อนโรงเรียนโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 โดย “เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระยะเวลา 10 ปี เพื่อพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพผู้เรียน สร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้ที่มีความสนใจพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ” จุดประสงค์ของโครงการเพื่อมุ่งพัฒนาสมรรถนะนักเรียน (Competencies) ทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีผ่านกระบวนการของหลักสูตร (Curriculum) และเครือข่าย การพัฒนาศักยภาพมหาวิทยาลัย โรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียน (Peer Learning Network) เพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตามแผนการศึกษาชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) โดย ดร.คุณหญิงกัลยา เน้นถึงการจัดการศึกษาที่มีเป้าหมายให้เด็กได้รับการพัฒนาทักษะสำคัญ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข มีความรู้ ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และสามารถแข่งขันได้ โดยส่งเสริมให้โรงเรียนจัดการเรียนรู้เรื่องวิทยาการคำนวณ และโค้ดดิ้ง (Coding) เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้คิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล นำความรู้ที่เรียนไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันตามบริบทท้องถิ่น  และส่งเสริมให้มีการจัดการเรียนการสอนบนพื้นฐานของสะเต็มศึกษา (STEM: Science, Technology Engineering and Mathematic) การบูรณาการศาสตร์ต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาและเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน และเพิ่ม A เข้าไปจาก STEM เป็น STEAM ทั้งนี้  A หมายถึงศิลปะการใช้ชีวิต รวมไปถึงวัฒนธรรมประเพณีของคนไทย ( Arts of life, Art of Living, Arts of Working Together) ควบคู่กับการใช้สติ (STI ; Science,  Technology, Innovation) เพื่อนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบได้ จากนั้น ตัวแทนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และ คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ สวทช. เป็นตัวแทนร่วมพิธีลงนามความร่วมมือ และบันทึกภาพร่วมกับผู้อำนวยการโรงเรียนศูนย์วิทยาศาสตร์พลังสิบ จำนวน 95 โรงเรียนจากทั่วประเทศ นอกจากนี้แล้ว ในงานมีการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของโรงเรียนในโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ โดย ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน บรรยายแนวทางการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) ในการสนับสนุนการเรียนรู้ตามโรงเรียนในโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ โดยขับเคลื่อนการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) ผ่านการบูรณาการหน่วยการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา (STEAM education) เพื่อปรับกระบวนการให้นักเรียนเกิดสมรรถนะ สามารถคิดวิเคราะห์ สื่อสาร แก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีได้ และมีทักษะการใช้ชีวิตที่ดี ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้ในโครงการอัจฉริยะเกษตรประณีตในโรงเรียนซึ่งเด็กสามารถคิดวางแผน แก้ปัญหา และลองถูกลองผิดได้ เป็นต้น ในช่วงบ่ายเป็นการแบ่งกลุ่มผู้บริหารโรงเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพื่อชี้แจงและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการหลักสูตรห้องเรียนโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ และมีกิจกรรมสำหรับสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายเพื่อต่อยอดการทำงานร่วมกันในอนาคต ซึ่งในปี 2564 สวทช. ได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับประถมศึกษา และได้พัฒนาหลักสูตรกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งหมด 40 ชั่วโมงการเรียนรู้ จำนวน 5 หลักสูตร ได้แก่ คณิตศาสตร์แสนสนุก, ชี(วิทย์)ประจำวัน, สนุกกับไฟฟ้า, เรียนรู้วิทยาศาสตร์การ์ดไม่ตกกับโรคอุบัติใหม่โควิด-19 และ CODING แสนสนุก โดยออกแบบกิจกรรมที่สอดแทรกวิทยาการคำนวณและโค้ดดิ้ง (Coding) บนพื้นฐานของการจัดการเรียนรู้รูปแบบ STEAM ควบคู่กับการใช้ STI และได้จัดอบรมให้กับวิทยากรแกนนำเพื่อนำกิจกรรมไปขยายผลสู่โรงเรียนศูนย์วิทยาศาสตร์พลังสิบทั่วประเทศต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Facebook Live: แถลงข่าว “เสิร์ฟงานวิจัยสู่ผู้บริโภค ด้วย Ve-Chick ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ”
  กำหนดการแถลงข่าว “เสิร์ฟงานวิจัยสู่ผู้บริโภค ด้วย Ve-Chick ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ” วันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2565  เวลา 10.00 น. – 11.00 น. ณ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (อาคารวิจัยโยธี) รับชมการถ่ายทอดสดทาง Facebook: NSTDA-สวทช. 10.00-10.05 น. พิธีกรกล่าวต้อนรับ และพาชมวิดิทัศน์ Ve-Chick 10.05-10.15 น. ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวถึง บทบาทของเอ็มเทค สวทช. ในการวิจัยด้านอาหารเพื่อสุขภาพ และความสำเร็จในการถ่ายทอดงานวิจัยสู่เอกชน นายธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด กล่าวถึง ความร่วมมือและการต่อยอดนวัตกรรมอาหารระหว่าง บริษัทฯ และ สวทช 10.20-10.50 น. เสวนา เสิร์ฟงานวิจัยสู่ผู้บริโภค ด้วย Ve-Chick ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. นางสาวสุรีย์พร ฉัตรมั่งมี ผู้บริหารกลุ่มตลาดเจ บริษัท บี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด David Michael Holtum ดำเนินการเสวนาโดย คุณแพรว ปาลิดา หงส์กระจ่าง 10.50-11.00 น. ถ่ายภาพหมู่บนเวที
ปฏิทินกิจกรรม
 
3 หน่วยงานรัฐ เสริมแกร่งท้องถิ่น ใช้ Traffy Fondue ‘ไลน์สร้างสุข’ บริการประชาชน  “เจอ แจ้ง จบ สะดวก รวดเร็ว ประทับใจ”
For English-version news, please visit : Traffy Fondue platform to enhance efficiency of public services วันนี้ (23 กันยายน 2565) ณ ห้องอรรถไกวัลวที (108) ชั้น 1 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาลเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร : นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนาม “บันทึกความร่วมมือโครงการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน (Traffy Fondue) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาของประชาชน” ระหว่าง 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย นายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามความร่วมมือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาในหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศให้สามารถเข้าถึงช่องทางการแจ้งปัญหาอย่างทั่วถึงและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยมี นายธราเทพ เทวกุล ณ อยุธยา รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักบริหารข้อมูลกลาง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าศูนย์บริการประชาชน โดยศูนย์บริการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ของรัฐบาล 1111 เป็นอีกหนึ่งการต่อยอดของ Traffy Fondue ในการเพิ่มช่องทางแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ เช่น ถนนทางเท้า กลิ่นน้ำเสีย ประปา ไฟฟ้าโทรศัพท์ ความสะอาด ควันไฟ ฝุ่นละออง เสียงรบกวน ระเบียบการจราจร ที่จอดรถ เป็นต้น โดยทำหน้าที่ในการเชื่อมประสานระหว่างประชาชนกับหน่วยงานภาครัฐ รับฟังปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ตลอดจนข้อเสนอแนะต่างๆ และได้นำเสนอไปยังหน่วยงานภาครัฐ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาหรือกำหนดเป็นนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้ กรอบการดำเนินงานทั้ง 3 หน่วยงาน จะร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อให้ได้ข้อยุติอย่างเป็นธรรมในเวลาที่เหมาะสม โดยยึดความต้องการของประชาชนเป็นที่ตั้ง ที่สำคัญเมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้นำระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน Traffy Fondue ไปใช้ จะทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ประโยชน์ 3 อย่าง ประโยชน์ต่อสังคมต่อชุมชน และสิ่งแวดล้อม และเพิ่มประสิทธิภาพ 4 อย่าง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรและใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงาน ลดความเสี่ยงต่อความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดค่าใช้จ่ายในการแจ้งปัญหาและติดตาม โดยหน่วยงานและภาคประชาชนร่วมใช้ร่วมแบ่งปันปัญหาหรือเบาะแสของปัญหา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขด้วยแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ผู้ช่วยสำคัญในการบริหารจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามการลงนามบันทึกความร่วมมือ“โครงการสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน (Traffy Fondue) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาของประชาชน” ประกอบด้วย 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยทั้ง 3 หน่วยงานจะร่วมมือกันดำเนินการ ใน 4 เรื่อง ได้แก่ ส่งเสริมและสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติไปพัฒนาใช้งานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ใช้งานอย่างจริงจัง ให้ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ การจัดเก็บข้อมูล วิเคราะห์ ประมวลผล และการใช้ประโยชน์จากข้อมูล พัฒนาและยกระดับคุณภาพการบริการประชาชนด้านการดำเนินการเรื่องร้องเรียนสู่ความเป็นมาตรฐาน นำเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบบริหารจัดการปัญหา และข้อร้องเรียน (Traffy Fondue) มาสนับสนุนการทำงานของหน่วยราชการ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาของหน่วยงาน โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้มีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ มีกำหนดระยะเวลาความร่วมมือฯ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) นำระบบบริหารจัดการปัญหาและข้อร้องเรียน (Traffy Fondue) รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลไปใช้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ในฐานะผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Traffy Fondue พร้อมทีมวิจัย ได้ให้บริการแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อมในการรับบริการ มาตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมาและ ในปี 2564 เนคเทค สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนงบประมาณ “โครงการพัฒนาและขยายผลแพลตฟอร์มรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมืองด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศสู่ระดับการปกครองส่วนท้องถิ่น” จากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายในสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 อย่างไรก็ดี เนคเทค สวทช. เล็งเห็นว่า Traffy Fondue หรือ ‘ไลน์สร้างสุข’ เป็นแอปพลิเคชันสำหรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาเมืองด้วยโทรศัพท์มือถือประชาชนเพียงถ่ายรูปปัญหาที่เกิดขึ้น ระบุตำแหน่ง และระบุประเภท ระบบจะทำการส่งต่อปัญหาดังกล่าวไปยังหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยทันที ผู้แจ้งสามารถติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาชุมชนร่วมกัน ซึ่งทำให้เกิดความหวงแหน ดูแล รักษา ให้ชุมชนมีความน่าอยู่ยิ่งขึ้น ผู้บริหารเมืองสามารถช่วยกำกับติดตามการแก้ไขปัญหา และเห็นสถิติและภาพรวมของการดำเนินงานได้ทุกที่ ทุกเวลา “ปัจจุบันพบว่า มีหลายหน่วยงานที่นำ Traffy Fondue ไปใช้ในหน่วยงาน เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน 96 หน่วยงาน เทศบาล จำนวน 577 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 459 แห่ง อาคาร/สำนักงาน จำนวน 262 แห่ง นิคมอุตสาหกรรม จำนวน 18 แห่ง และอื่น ๆ จำนวน 1,754 แห่ง โดยประโยชน์ที่ได้รับสำหรับหน่วยงาน สามารถแก้ไขปัญหาเร็วขึ้น 8.7 ชั่วโมงต่อเรื่อง ลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 78.14 ล้านบาท และประโยชน์ที่ได้รับสำหรับประชาชน ประชาชนสามารถลดเวลาการดำเนินการได้ถึง 65 นาทีต่อการแจ้ง ลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 79 บาทต่อการเดินทางไปแจ้งเรื่อง และประชาชนมีความพึงพอใจถึงร้อยละ 89” อย่างไรก็ตาม สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของประเทศ จะมุ่งมั่นทำงานเพื่อนำระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม มาช่วยสนับสนุนหน่วยงานต่างๆ ทุกภาคส่วน โดยจากความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. พร้อมเดินหน้าศึกษาปัญหาและความต้องการจากท้องถิ่นมาเป็นโจทย์วิจัยและพัฒนาต่อยอดตามความเหมาะสมต่อไป เพื่อร่วมกันเป็นทีมประเทศไทยขับเคลื่อนการทำงานกับทุกภาคส่วน ให้การแก้ปัญหาเกิดประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันเกิดประสิทธิผลกับพี่น้องประชาชนเพื่อเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยต่อไป สำหรับ Traffy Fondue “ไลน์สร้างสุข” คือ แชทบอทสุดฮิต ผ่านไลน์แชทบอท ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมแก้ปัญหาเมือง โดย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เนคเทค สวทช. ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการแจ้งสถานการณ์โควิด การแจ้งปัญหาเมือง เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดในสถานการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จากปริมาณฝนที่ตกหนักตลอดเดือนกันยายน 2565 ทีมวิจัยได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่สำหรับใช้ตรวจสอบจุดน้ำท่วมด้วย Traffy Fondue ง่ายๆ เพียงแค่ 1. เพิ่มเพื่อน @traffyfodnue (https://lin.ee/GJymAr8) 2. กดปุ่มเขียว (ซ้ายสุด) เพื่อตรวจสอบน้ำท่วม 3. แชร์ตำแหน่งจุดที่ต้องการตรวจสอบ และ 4.Traffy Fondue จะแสดงจุดน้ำท่วมในรัศมี 1 กิโลเมตร เพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนการเดินทางได้สะดวกและช่วยลดความเสี่ยง เลี่ยงจุดเสี่ยงจากสถานการณ์น้ำท่วมในแต่ละวัน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จัดยิ่งใหญ่! งาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จับมือหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐ เอกชน พร้อมจัดงานประชุมและนิทรรศการ APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ภายใต้แนวคิด ผสานพลัง วทน. เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน (Synergizing STI to Sustainable Business) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม 2565 ณ เซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ และวันที่ 12 ต.ค. เป็นการนำผู้ประกอบการลงพื้นที่ (site visit) ชมโครงการที่ประสบความสำเร็จจากการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไปประยุกต์ใช้ ผู้ที่สนใจร่วมงานดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานได้ฟรีที่ www.nstda.or.th/apecbcg-tts2022 หรือสอบถามโทร. 0-2564-7000  
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
ประกาศผลรางวัลโครงการ Software Park – WealthMagik 3 ทีมสุดเจ๋งคว้ารางวัลชนะเลิศ เวทีเงินออมสร้างชาติ ซีซั่น 7 “ออมลงทุน คุณทำได้”
ตลอดระยะเวลา 6 ปี ของการดำเนินโครงการ Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards โดยความร่วมมือระหว่าง เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติหรือ สวทช. หน่วยงานที่ให้การสนับสนุน และผลักดันอุตสาหกรรม ซอฟต์แวร์ไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมุ่งสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาศักยภาพ บุคลากรไอที กับบริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์ www.WealthMagik.com เครื่องมือที่ให้บริการข้อมูลความรู้ด้านการเงิน การลงทุนผ่านกองทุนรวม และตราสารหนี้มาอย่างยาวนาน ถือได้ว่ามีส่วนช่วยผลักดัน และสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคมไทยในเรื่องการบริหารเงินออมเพื่ออนาคต ด้วยเล็งเห็นว่า คนไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนบริหารการเงินส่วนบุคคล ซึ่งควรเป็น ความรู้พื้นฐานสำหรับทุกครอบครัว (22 กันยายน 2565) ที่เขตอุตสาหกรรมซอฟแวร์ประเทศไทย : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ร่วมกับ บริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด ประกาศผลรางวัล “โครงการ Software Park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 7 ตอน ออมลงทุน คุณทำได้” โดยโครงการฯ มุ่งมั่นถ่ายทอดความรู้ด้านการวางแผนบริหารเงินออม และเป็นสื่อกลางความรู้ส่งต่อไปยังทุกกลุ่มสังคม ผ่านการประกวดพัฒนาการ์ตูนแอนิเมชัน และวิดิทัศน์เรื่องสั้น ซึ่งเป็นสื่อความรู้ที่เข้าถึง และเข้าใจง่ายมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับโครงการ Software park – WealthMagik เงินออมสร้างชาติ Awards Season 7 นี้ ได้กำหนดหัวข้อ การประกวดคือ “ออมลงทุน คุณทำได้” เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ทุกคนในสังคมได้รู้ว่าการบริหารเงินออม ให้งอกเงยนั้น ใครๆ ก็สามารถทำได้ และการออมเงินอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องรู้จักนำเงินออมนั้นมา บริหารโดยการ “ออมลงทุน” เพื่อขยายต่อยอดเงินออมของเราให้งอกเงย และสร้างอนาคตที่ดียามเกษียณ ซึ่งการประกวดในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทรางวัลได้แก่ 1. รางวัลแอนิเมชันสำหรับนักเรียน นักศึกษา 2. รางวัลแอนิเมชันสำหรับบุคคลทั่วไป และ 3. รางวัลผลิตวีดีโอสั้นสำหรับบุคคลทั่วไป โดยผู้ชนะเลิศของแต่ละประเภทรางวัลมีดังต่อไปนี้ รางวัลชนะเลิศ ประเภทรางวัลแอนิเมชันสำหรับนักเรียน นักศึกษา ได้แก่ ทีม Heavy Mind Production จากผลงานเรื่อง “First time ครั้งนี้ ก็โดนที เสียแล้ว” รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ทีม PINEAPPLE Mini จากผลงานเรื่อง “NOWIZ’ Adventure” รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ทีม ผมอยากทำแอนิเมชัน จากผลงานเรื่อง “stable life” รางวัลชนะเลิศ ประเภทรางวัลแอนิเมชันสำหรับบุคคลทั่วไป ได้แก่ ทีม Pi-Pi MAMA (ไปๆ มาๆ ) จากผลงานเรื่อง “you can do it” รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ทีม ss8 ss5 เหลือซีวั่นลูกต่อโฮ้ปป จากผลงานเรื่อง แมว 3 รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ทีม นั่นสินะ จากผลงานเรื่อง “Destructible values” รางวัลชนะเลิศ ประเภทรางวัล Short Video สำหรับบุคคลทั่วไป ได้แก่ ทีม The Superproductionmans จากผลงานเรื่อง “พี่ชาย” รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ทีม MOVING IMAGE จากผลงานเรื่อง “สยองขวัญการเงิน” รองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม ราหูฟิล์ม จากผลงานเรื่อง “ผีถ้วยแก้ว” ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. หวังว่าโครงการนี้จะมีส่วนส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไปได้พัฒนาศักยภาพด้านสื่อสร้างสรรค์และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ได้นำความรู้ด้านการพัฒนาสื่อซอฟต์แวร์แอนิเมชัน หรือหนังสั้น ผสมผสานความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคลมาประยุกต์เพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ และเข้าใจง่าย ตลอดจนมีเวทีนำเสนอผลงานที่มีคุณภาพ เกิดการเรียนรู้ในการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือวางแผนบริหารการเงินส่วนบุคคลเพื่ออนาคต ในขณะที่ พันธมิตรหลักที่ร่วมจัดงาน ได้แก่ Wealth Management System ก็ยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมให้คนไทยได้รู้จัก และเข้าถึงนวัตกรรมที่สามารถช่วยวางแผนบริหารเงินออมให้งอกเงยด้วยการออมลงทุน ยิ่งไปกว่านั้นนั่นคือ การมุ่งพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไทย ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างสรรค์ และเผยแพร่องค์ความรู้ที่ช่วยปลูกฝังนิสัยรักการออม และบ่มเพาะวินัยทางการเงินให้กับเยาวชนไทยสำหรับการวางรากฐานทางการเงินอย่างต่อเนื่อง “จากสถิติที่พบว่าจำนวนประชากรกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและคาดว่าในปี 2576 จะเข้าสู่การเป็น “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” คือมีสัดส่วนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในอัตราร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ จะสร้างผลกระทบในระดับบุคคล เรื่องผู้สูงอายุที่มีสภาวะขาดเงินออม ซึ่งเป็นข้อจำกัดของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกด้วย ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะสังคมสูงวัย จึงควรส่งเสริมให้ผู้สูงอายุและผู้ที่กำลังจะเข้าสู่วัยสูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยจากแนวคิด Active Ageing องค์การอนามัยโลก ได้อธิบายถึงองค์ประกอบสำคัญของการเป็น Active Ageing 3 ประการ คือ การมีสุขภาพดี มีหลักประกันและความมั่นคงในชีวิต รวมถึงมีส่วนร่วมและมีคุณค่าทางสังคม ดังนั้น คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า การวางแผนทางการเงินและการลงทุนอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยิ่งเริ่มต้นเร็วยิ่งดี” ด้าน ดร.สมเกียรติ ชินธรรมมิตร์ CEO บริษัทเว็ลธ์ แมเนจเม้นท์ ซิสเท็ม จำกัด กล่าวว่า จากการดำเนินโครงการประกวดมายาวนานถึง 7 ปี แน่นอนว่า เราสามารถถ่ายทอด ความรู้พื้นฐานทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออมเงิน หรือการออมลงทุน กระจายไปยังหลายกลุ่มสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมครอบครัว สังคมโรงเรียน สถาบันการศึกษาต่างๆ หรือแม้แต่สังคมคนทำงานที่เริ่มคิดวางแผนทางการเงินให้ได้เรียนรู้การวางแผนบริหารการเงินที่ถูกต้อง เรียนรู้แนวทางการบริหารเงินให้งอกเงยอย่างถูกวิธี จึงเป็นความภาคภูมิใจของผู้จัดโครงการที่นอกจากจะสร้างนักการเงินมือใหม่แล้ว ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา และบุคคลที่สนใจทั่วไปได้มาแสดงศักยภาพด้านจินตนาการผสมผสานความรู้ ความสามารถทางไอที ถ่ายทอดเนื้อหาด้านการเงินที่ยากๆ มาเป็นการ์ตูนแอนิเมชัน และหนังสั้นที่สนุก และเข้าใจง่าย “เวทีการประกวดนี้ นอกจากเราจะได้สร้างนักแอนิเมชัน และผู้ผลิตหนังสั้นฝีมือดีแล้ว เรายังได้สร้างนักการเงินตัวน้อยที่จะกลายเป็นมืออาชีพในวันข้างหน้า ได้เรียนรู้การบริหารเงินออมที่ถูกต้อง และสามารถถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ให้กับครอบครัว และสังคมรอบข้างได้ต่อไป ต้องไม่ลืมว่าการบริหารเงินออมส่วนบุคคลนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นความรู้พื้นฐานที่จำเป็นเพื่ออนาคตที่ดี”
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สำรวจอุทยานธรณีโลกสตูล สร้างองค์ความรู้สู่ ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’
  จังหวัดสตูลขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามทั้งธรรมชาติ ท้องทะเล ป่า ภูเขา ถ้ำ และยังพบซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ รวมถึงสัตว์ทะเลโบราณจำนวนมาก ขณะเดียวกันพื้นที่แห่งนี้ยังมีต้นทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่น ในปี 2561 ยูเนสโกอนุมัติให้อุทยานธรณีสตูลเป็นพื้นที่ ‘อุทยานธรณีโลก’ แห่งแรกของประเทศไทย และเป็นแห่งที่ 5 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) ได้นำ ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’ มาใช้เป็นเครื่องมือจัดเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม เพื่อบันทึกเรื่องราวมรดกอันล้ำค่าและส่งต่อให้ชุมชนนำไปใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน   สำรวจ ‘ถ้ำ’ แหล่งซากดึกดำบรรพ์จากบรรพกาล แหล่งท่องเที่ยวด้านธรณีวิทยาที่สำคัญของอุทยานธรณีโลกสตูลต้องยกให้ระบบนิเวศ ‘ถ้ำ’ เพราะนอกจากจะมีถ้ำที่สวยงามตระการตามากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งค้นพบฟอสซิลในมหายุคพาลีโอโซอิกที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังเช่น ถ้ำทะลุ ถ้ำขนาดเล็กที่เกิดจากการละลายของหินปูนในยุคออร์โดวิเชียน หรือเมื่อราว 490-445 ล้านปีมาแล้ว   [caption id="attachment_35873" align="aligncenter" width="700"] ภายในถ้ำทะลุ[/caption]   [caption id="attachment_35861" align="aligncenter" width="700"] นอติลอยด์[/caption]   “บนผนังถ้ำด้านนี้ที่เราเห็นคือซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ทะเลชื่อว่า นอติลอยด์ บรรพบุรุษของหมึก เมื่อ 450 ล้านปีก่อน” บังธิ หรือ นายธานี ใจสมุทร ไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นอาสาสมัครชุมชนรักษ์บ้านหาญ กล่าวถึงร่องรอยซากดึกดำบรรพ์จากบรรพกาลที่เป็นจุดไฮไลต์สำคัญของถ้ำทะลุแก่ผู้ร่วมเดินทาง และเล่าว่า ในถ้ำทะลุเราสามารถเห็นฟอสซิลนอติลอยด์ที่มีความคมชัดและสมบูรณ์ที่สุดแล้วในจังหวัดสตูล หากมองไปด้านบนจะเห็นฟอสซิลแกสโตรพอด​ ต้นกระกูลหอยฝาเดียวที่เกิดขึ้นบนโลก “ความพิเศษของถ้ำทะลุแห่งนี้คือเมื่อเดินทะลุเข้าไปด้านในจะพบหลุมยุบป่าดึกดำบรรพ์ เกิดจากปรากฏการณ์แผ่นดินเลื่อนและยุบตัวลงคล้ายปล่องภูเขาไฟ ภายในมีพันธุ์ไม้เด่นคือต้นท้ายเภายักษ์ขนาด 15 คนโอบ และยังมีพรรณไม้แปลกตานานาชนิดที่หาชมได้ยาก ทั้งเห็ดถ้วยแชมเปญ ต้นกระดาด และต้นลูกชก”   [caption id="attachment_35867" align="aligncenter" width="700"] เห็ดถ้วยแชมเปญ[/caption]   [caption id="attachment_35866" align="aligncenter" width="700"] ต้นท้ายเภายักษ์ขนาด 15 คนโอบ[/caption]   [caption id="attachment_35851" align="aligncenter" width="700"] นายเรืองฤทธิ์ พรหมดำ นักวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์[/caption]   แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตอันน่าอัศจรรย์ในถ้ำทะลุไม่ได้มีเพียงเท่านี้ นายเรืองฤทธิ์ พรหมดำ นักวิทยาศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษาสยามบรมราชกุมารี  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เล่าว่า สวทช. โดยโปรแกรมการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ ได้สนับสนุนทุนวิจัยในการสำรวจถ้ำหินปูนต่างๆ ในพื้นที่ของอุทยานธรณีโลกสตูล รวมถึงถ้ำทะลุ ซึ่งเราพบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและสัตว์มีกระดูกสันหลังจำนวนมาก สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่น่าสนใจ เช่น แมงมุมขายาว กิ้งกือมังกร หอยทากจิ๋ว ที่สำคัญยังเจอมดถ้ำซึ่งมีหนวดยาว ขายาว และอยู่ระหว่างการจำแนกลักษณะสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่   [caption id="attachment_35854" align="aligncenter" width="700"] ค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์[/caption]   “สำหรับสัตว์มีกระดูกสันหลังที่พบมากในถ้ำทะลุ คือ ค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์ ซึ่งพบเป็นโคโลนีขนาดใหญ่มากประมาณ 500 ตัว โดยค้างคาวใช้ถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยเนื่องจากมีอุณหภูมิที่เหมาะสมและทำให้ไม่สูญเสียพลังงาน ขณะเดียวกันยังช่วยทำหน้าที่ควบคุมแมลงให้มีความสมดุล นอกจากนี้ยังมีตุ๊กกายหมอบุญส่ง เป็นญาติกับตุ๊กแก แต่มีความแตกต่างคือนิ้วตุ๊กกายจะเรียวยาว ไม่แบน และไม่มีพังผืดเชื่อมต่อระหว่างนิ้ว”   ล่องเรือล่าช้างดึกดำบรรพ์ที่ ‘ถ้ำเลสเตโกดอน’ เดินทะลุถ้ำบกมาแล้ว มาลองเปลี่ยนบรรยากาศล่องเรือไคแย็กชม ถ้ำเลสเตโกดอน ถ้ำธารลอดในเทือกเขาหินปูนคล้ายอุโมงค์ใต้ภูเขา ภายในถ้ำมีลักษณะคดเคี้ยวและมีระยะทางจากปากถ้ำถึงทางออกยาว 4 กิโลเมตร ถือเป็นถ้ำที่เชื่อมกับทะเลที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทย ความโดดเด่นของถ้ำแห่งนี้คือการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นชิ้นส่วนฟันกรามของช้างสกุลสเตโกดอน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อถ้ำเลสเตโกดอน   [caption id="attachment_35862" align="aligncenter" width="700"] หินย้อยที่ยังมีชีวิตภายในถ้ำ[/caption]   นายสัมฤทธิ์ ทิพย์มณี ไกด์ท้องถิ่นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล เล่าว่า ภายในถ้ำนอกจากจะได้ตื่นตาตื่นใจกับหินงอกหินย้อยหลากรูปแบบแล้ว ยังมีฟอสซิลของสัตว์ทะเลมหายุคพาลีโอโซอิกอีกหลายชนิด อาทิ นอติลอยด์ แอมโมไนต์ ซึ่งหากพายเรือเข้าไปในถ้ำในช่วงน้ำใสจะได้เห็นกุ้งก้ามกรามขนาด 3-4 ตัว/กิโลกรัม ตามผนังถ้ำจะมีจิ้งโกร่ง และบนเพดานตามแนวที่มีน้ำจืดซึมไหลผ่านจะมีปูเขาหินปูนทุ่งหว้า ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดใหม่ของโลกที่พบเฉพาะบริเวณนี้ ที่บริเวณทางออกของถ้ำนักท่องเที่ยวจะได้พบกับค้าวคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ และได้สัมผัสกับภาพสุดประทับใจที่ธรรมชาติสรรค์สร้างไว้คือ ‘หัวใจที่ปลายอุโมงค์’   [caption id="attachment_35860" align="aligncenter" width="700"] ปูเขาหินปูนทุ่งหว้า[/caption]   ชมนิเวศชายฝั่ง ‘หอสี่หลัง’ มหัศจรรย์ ‘กองทัพปู’ หลังจากนั่งเรือลอดอุโมงค์ใต้ภูเขา ชมร่องรอยแห่งโลกธรณีกาลแล้ว เรายังสามารถนั่งเรือชมวิวป่าชายเลนไปอีกเพียง 30 นาที เพื่อพบกับ ‘หอสี่หลัง’ เนินทรายอันกว้างใหญ่กลางทะเลอันดามันที่ปรากฏเมื่อยามน้ำทะเลลดลง และเมื่อก้าวเท้าเดินบนชายหาดไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็ได้พบกองทัพปูที่มารอต้อนรับอยู่ทั่วพื้นทราย   [caption id="attachment_35859" align="aligncenter" width="700"] ปูทหารก้ามโค้ง[/caption]   [caption id="attachment_35855" align="aligncenter" width="700"] ผศ. ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์[/caption]   “ที่เราเห็นคือปูทหารก้ามโค้ง มักออกมาหากินช่วงน้ำลงและมีพฤติกรรมเคลื่อนที่ไปพร้อมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่คล้ายกับการเคลื่อนพลของกองทัพ ทำให้ได้รับสมญานามว่าปูทหาร” ผศ. ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร อาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อธิบายถึงความอัศจรรย์ของกองทัพปูที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าและเล่าว่า “ผลการสำรวจสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หาดหิน หาดทราย หาดเลน แนวหญ้าทะเล แนวปะการังน้ำตื้น และป่าชายเลน เราพบความหลากหลายมากถึง 566 ชนิด แบ่งเป็นสาหร่ายทะเล 25 ชนิด พืชมีท่อลำเลียง เช่น หญ้าทะเล และพืชบก 11 ชนิด สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น หอย กุ้ง ปู ไส้เดือนทะเล 301 ชนิด และสัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา นก โลมา พะยูน 229 ชนิด”   [caption id="attachment_35868" align="aligncenter" width="700"] หญ้าใบพาย Halophila beccarii[/caption]   “ที่สำคัญเราพบว่าสิ่งมีชีวิตหลายชนิดอยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ เช่น หญ้าใบพาย Halophila beccarii หญ้าทะเลขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย ด้วยความที่มีขนาดเล็กมากจึงถูกทับถมด้วยตะกอนได้ง่าย กิจกรรมใดๆ ที่เป็นการรบกวนตะกอน เช่น การทำประมง อวนลาก อวนรุน การก่อสร้างริมชายฝั่ง ล้วนส่งผลเสียต่อหญ้าใบพาย ซึ่งหญ้าใบพายมีความสำคัญช่วยสะสมตะกอน ทำให้พื้นทรายแน่นขึ้น รวมทั้งยังเป็นอาหารของสัตว์ทะเลหลายชนิด เช่น พะยูน เต่าทะเล นอกจากนี้ยังมีสัตว์ในข่ายใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด เช่น นกหัวโตมลายู นกกระเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล องค์ความรู้ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของ สวทช.”   ชิมโกปี๊นาข่า สร้างสรรค์ผ้าบาติกสีธรรมชาติ   [caption id="attachment_35863" align="aligncenter" width="700"] โกปี๊นาข่า[/caption]             เสน่ห์แดนใต้ไม่ได้เลื่องชื่อแค่ธรรมชาติที่งดงาม แต่วิถีชีวิตและภูมิปัญญาของชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ดังเช่น ‘โกปี๊นาข่า’ กาแฟโบราณผ่านการคั่วมือพร้อมปรุงรสให้มีความขมปนหวาน ซึ่งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรแม่บ้านนาข่าเหนือ ผลิตจากเมล็ดกาแฟพื้นถิ่นสตูลพันธุ์โรบัสตา ที่เพาะปลูกในพื้นที่หินปูนในช่วงยุคออร์โดวิเชียนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ จึงช่วยขับรสชาติโกปี๊นาข่าให้กลมกล่อมไม่เหมือนใคร   [caption id="attachment_35857" align="aligncenter" width="700"] กระบวนการคั่วกาแฟโบราณ[/caption]   [caption id="attachment_35856" align="aligncenter" width="700"] การชงกาแฟแบบดริฟ[/caption]   นางรุจินก สำเร ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรแม่บ้านนาข่าเหนือ เล่าว่า แต่เดิมวิถีชีวิตของคนในพื้นที่จะชอบดื่มกาแฟที่เรียกว่าโกปี๊ ซึ่งอำเภอละงู จังหวัดสตูล เป็นพื้นที่ปลูกกาแฟ แต่พอมีกาแฟสำเร็จรูปเข้ามา ทำให้กาแฟโบราณเริ่มสูญหาย ทางวิทยาลัยชุมชนสตูลเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาได้เข้ามาส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจฯ หันมารื้อฟื้นการทำกาแฟโกปี๊ รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการนำทุกส่วนของกาแฟมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างรายได้ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG “เรานำเมล็ดกาแฟมาพัฒนาผลิตภัณฑ์โกปี๊ กาแฟสด และทอฟฟี่กาแฟ เปลือกเชอร์รีกาแฟและใบกาแฟนำมาทำสีสำหรับการทำผ้ามัดย้อม ส่วนกากกาแฟนำไปใช้ทำปุ๋ยและสบู่สครับกาแฟ โดยออกแบบก้อนสบู่ให้คล้ายกับซากดึกดำบรรพ์ต่างๆ ที่พบในพื้นที่ เพื่อสะท้อนเรื่องราวของความเป็นอุทยานธรณีโลก”   [caption id="attachment_35858" align="aligncenter" width="700"] กระบวนการทำผ้าบาติก[/caption]   ชิมแล้วก็ต้องชอปผ้าบาติกที่วิสาหกิจชุมชนปันหยาบาติก หนึ่งในวัฒนธรรมการสร้างลวดลายบนผืนผ้าด้วยเทคนิคการปิดเทียนบริเวณที่ไม่ต้องการให้ย้อมติดสี ที่คนสตูลสืบทอดเทคนิคนี้กันมาจนถึงปัจจุบัน และมีการต่อยอดโดยนำเอาภาพซากดึกดำบรรพ์ที่พบในพื้นที่มาสร้างสรรค์เป็นลวดลาย ด้านสีย้อมก็มีการต่อยอดโดยนำเอาดินแทร์รารอสซา ดินจากซากหินปูนผุพังยุคออร์โดวิเชียนมาใช้ย้อมให้เกิดสีน้ำตาลอมส้มสวยงาม เกิดเป็นผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ท้องถิ่น และยังมีการนำเทคนิคมัดย้อมและการย้อมสีธรรมชาติจากไม้ป่าชายเลนอย่างหูกวาง โกงกาง และตะบูน เข้ามาเสริมการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วย   [caption id="attachment_35865" align="aligncenter" width="700"] ผ้าบาติกย้อมสีด้วยดินแทร์รารอสซา[/caption]   บันทึกมรดกล้ำค่า ผ่าน ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’ องค์ความรู้ทั้งในด้านความหลากหลายชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้เก็บรวบรวมไว้ในนวนุรักษ์แพลตฟอร์ม ระบบบริหารจัดการคลังข้อมูลที่พัฒนาโดย เนคเทค สวทช. สำหรับจัดเก็บข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมและพร้อมส่งต่อสู่ชุมชนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทั้งการเป็นแหล่งเรียนรู้ การพัฒนาไกด์ท้องถิ่น การประเมินซ้ำในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้านอุทยานธรณี รวมถึงการบริหารจัดการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน   [caption id="attachment_35852" align="aligncenter" width="700"] ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. กล่าวว่า จุดเด่นของแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘นวนุรักษ์’ คือ ผู้ใช้งานสามารถบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานหรือชุมชนที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลและเป็นเจ้าของข้อมูล โดยเข้ามาเพิ่มเติมข้อมูลได้ด้วยตนเอง สามารถใส่ชื่อ สถานที่ ข้อมูลกายภาพ ข้อมูลทางชีวภาพ บทบรรยายสำหรับนำชม ขนาด ลักษณะ ประวัติ สถานที่จัดเก็บได้ โดยเลือกได้ว่าต้องการเผยแพร่ข้อมูลหรือไม่ และยังอัปโหลดสื่อต่างๆ เช่น ภาพ เสียง วิดีโอ ภาพ 360 องศา ชุมชนสามารถนำไปใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ข้อมูลในท้องถิ่น ใช้ทำสื่อเรียนรู้ต่างๆ ช่วยยกระดับและพัฒนาทักษะของชุมชนให้บริหารจัดการข้อมูลดิจิทัลและการสื่อความหมายได้อย่างต่อเนื่อง       ผลจากการศึกษาวิจัยและบันทึกองค์ความรู้ไว้อย่างเป็นรูปธรรมในนวนุรักษ์แพลตฟอร์ม ได้เอื้ออำนวยให้ชาวบ้านในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูลนำไปใช้บอกเล่าถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศในฐานะไกด์ท้องถิ่นได้อย่างภาคภูมิใจ ขณะเดียวกันยังสามารถนำความรู้ต่างๆ มาต่อยอดสร้างรายได้ในหลายมิติ  นำมาสู่การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรแห่งธรณีกาล และก่อให้เกิดการอนุรักษ์เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน นายสมชาย นกเกษม หรือ บังบอย ไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นอาสาสมัครชุมชนรักษ์บ้านหาญ เล่าว่า เมื่อก่อนด้วยความไม่รู้ ยอมรับเลยว่าไม่กล้าพูด แต่เมื่อได้รับองค์ความรู้จากนักวิชาการทั้ง สวทช. และมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งได้เข้ามาจัดอบรมความรู้ให้กับชาวบ้านด้วย ทำให้เกิดความมั่นใจ กล้าที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาของถ้ำทะลุ หลุมยุบดึกดำบรรพ์พื้นที่ขนาด 2-3 ไร่ ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ทำให้ถ้ำขนาดใหญ่ในอดีตยุบตัวลง จนก่อเกิดเป็นระบบนิเวศพรรณไม้ดึกดำบรรพ์ที่ชุมชนรักษ์บ้านหาญต่างภาคภูมิใจ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวของอุทยานธรณีโลกที่ช่วยสร้างรายได้เสริมให้แก่ชุมชน และทำให้ชุมชนเห็นคุณค่าและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแห่งนี้มากขึ้นด้วย สำหรับประชาชนที่สนใจข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งท่องเที่ยว ศาสนสถาน และวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล สามารถศึกษาได้ที่เว็บไซต์ https://www.navanurak.in.th/satungeopark   แผ่นพับ Satun Global Geopark : อุทยานธรณีโลกสตูล คลิกเพื่อดาวน์โหลดแผ่นพับ  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงาน
 
ผลงานวิจัยเด่น