หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
Elsevier ประกาศเปิดให้บทความวิจัยโนเบล 2010
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2553 สำนักพิมพ์ Elsevier ประกาศแสดงความยินดีกับ ผลงานการค้นพบที่โดดเด่นของผู้ได้รับรางวัลโนเบลประจำปี 2010 ในสาขาเคมี ฟิสิกส์ และ แพทยศาสตร์  Elsevier กล่าวว่ารู้สึกถึงความมีสิทธิพิเศษในการที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับนักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2010 นี้ หลายๆท่าน คือได้มีโอกาสร่วมสร้างผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยที่มีความสำเร็จอย่างสูงในระดับโลก ผู้บริหารระดับสูงของ Elsevier กล่าวว่า นับเป็นเวลามากกว่าครึ่งศตวรรษ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลที่ผ่านมาส่วนใหญ่ ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยอันโดดเด่น กับสำนักพิมพ์ Elsevier ทั้งวารสาร และ หนังสือ รวมถึงได้ร่วมงานกันในฐานะ สมาชิกของกองบรรณาธิการ หรือ เป็นบรรณาธิการ ในวารสารชื่อต่างๆของ สำนักพิมพ์ Elsevier จำนวนมากมาย Elsevier  ขอสรรเสริญและยกย่อง จึงขอร่วมเป็นเกียรติในความสำเร็จของท่านเหล่านี้  โดยได้จัดบริการเปิดอนุญาตให้สาธารณชน เข้าถึงบทความวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลทั้ง 3 สาขา ในปี 2010 นี้ บนฐานข้อมูล SciVerse ScienceDirect ได้ฟรี (หมายความว่า สามารถให้ดาวน์โหลดบทความฉบับเต็มได้ฟรี Free access to the prize-winning articles) SciVerse คือชื่อแพลทฟอร์มชุดใหม่ของ สำนักพิมพ์ Elsevier ที่จัดเตรียมให้ผู้ใช้บริการสามารถสืบค้นฐานข้อมูล 2 ฐานหลักของ Elsevier ได้อย่างสะดวก  รวดเร็ว  คือ ฐานข้อมูล ScienceDirect และ Scopus เปิดแนะนำตัวไปเมื่อราว เดือน กันยายน 2553 นี้  (คือ เป็นการทำการเชื่อมโยงไปมาถึง 2 ฐานในหน้าหลักใหม่คือ SciVerse) รางวัลโนเบล สาขาเคมี ประจำปี 2010 ในผลงานเรื่องการวิจัย พัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยา Palladium-catalyzed cross couplings ในการสังเคราะห์สารอินทรีย์ ที่เป็นการค้นพบ วิธีการเชื่อมโยงอะตอมของคาร์บอนให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นเพื่อสร้างโมเลกุลทางเคมีที่ซับซ้อนที่จะเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงอุตสาหกรรมยาและอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ได้รับรางวัล โนเบล สาขาเคมี คือ  นักวิทยาศาสตร์ 3 ท่านที่ได้รับรางวัลร่วมกัน   คือ 1. Richarge F.Heck  ศาสตราจารย์ แห่งมหาวิทยาลัย Delaware สหรัฐอเมริกา เคยมีการตีพิมพ์บทความต่างๆ ในวารสารชื่อ Inorganica Chimica Acta, Journal of Organometallic Chemistry และ  Tetrahedron 2. Ei-ichi Negishi ศาสตราจารย์  แห่งมหาวิทยาลัย Purdue  สหรัฐอเมริกา เคยมีการตีพิมพ์บทความต่างๆ ในวารสารชื่อ Heterocycles, Inorganica Chimica Acta, Polyhedron, Tetrahedron, Journal of Molecular Catalysis A  etc. 3. Akira Suzuki  ศาสตราจารย์  แห่งมหาวิทยาลัย Hokkaido ญี่ปุ่น เคยมีการตีพิมพ์บทความต่างๆ ในวารสารชื่อ Journal of Organometallic Chemistry และ Tetrahedron ตัวอย่าง บทความวิจัยที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ที่ฐานข้อมูล ScienceDirect Richard F. Heck  1. Palladium catalyzed synthesis of aryl, heterocyclic and vinylic acetylene derivatives Journal of Organometallic Chemistry, 1975, 93 (2), pp. 259-263; Dieck, H.A., Heck, F.R . Ei-ichi Negishi 2. Palladium-catalysed cross-coupling reaction of alkynylzincs with benzylic electrophiles Tetrahedron Letters, 2005, 46 (16), pp. 2927-2930. Qian, M., Negishi, E.-I. Akira Suzuki  3.  A new stereospecific cross-coupling by the palladium-catalyzed reaction of 1-alkenylboranes with 1-alkenyl or 1-alkynyl halides Tetrahedron Letters, 1979, 20 (36), pp. 3437-3440; Miyaura, N., Yamada, K., Suzuki, A. แสดงรายการบทความวิจัย จัดเตรียมให้ฟรี  รวม 8 เรื่อง อ้างอิงจาก เว็บไซต์ http://asia.elsevier.com/elsevierdnn/NobelPrize/tabid/1660/Default.aspx?utm_source=ECU001&utm_campaign=&utm_content=&utm_medium=email&bid=OCREX1F:EL5B5#chemistry Accessed as 25 November 2010 รางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ประจำปี 2010 โนเบล ฟิสิกส์ 2010 ได้แก่ 2 นักฟิสิกส์ผู้เป็นอาจารย์และลูกศิษย์ Andre Geim กับ Konstantin Novoselov  แห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร  ที่ทำการวิจัยและพัฒนา “กราฟีน” แผ่นคาร์บอนบางแค่ 1 อะตอม  มีคุณสมบัติพิเศษไม่เหมือนธรรมดา ทั้งแข็งแรง บางเบา และ มีคุณสมบัตินำไฟฟ้าได้   สามารถนำไปประยุกต์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ Andre K. Geim  ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการที่ปรึกษา ชุด Physica E: Low dimensional Systems and Nanostructure รวมถึงเป็นบรรณาธิการรับเชิญ Konstantin S. Novoselov  เป็นผู้แต่ง 1 บท (chapter) เรื่อง Graphene : Electronic properties ในสารานุกรม ปี 2008 ชื่อ Encyclopedia of Materials : Science and Technology. ตัวอย่าง บทความวิจัย ที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ที่ฐานข้อมูล ScienceDirect 1. Microscopic view on a single domain wall moving through ups and downs of an atomic washboard potential Physica E: Low-Dimensional Systems and Nanostructures, 2004, Vol. 22, pp. 406-409, Novoselov, K.S., Dubonos, S.V., Hill, E., Geim, A.K. 2.  On the roughness of single- and bi-layer graphene membranes Solid State Communications, 2007, Vol. 143, pp. 101-109, Meyer, J.C., Geim, A.K., Katsnelson, M.I., Novoselov, K.S., Obergfell, D., Roth, S., Girit, C., Zettl, A. แสดงรายการบทความวิจัย จัดเตรียมให้ฟรี  รวม 15 เรื่อง อ้างอิงจาก เว็บไซต์ http://asia.elsevier.com/elsevierdnn/NobelPrize/tabid/1660/Default.aspx?utm_source=ECU001&utm_campaign=&utm_content=&utm_medium=email&bid=OCREX1F:EL5B5#chemistry Accessed as 25 November 2010 รางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ ประจำปี 2010 รางวัล โนเบลสาขาการแพทย์ ประจำปี 2010  คือ นายแพทย์ Robert G. Edwards ศาสตราจารย์กิตติคุณ แห่งมหาวิทยาลัยแคมบริดส์ สหราชอาณาจักร ากผลงานการบุกเบิกและพัฒนาวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว (In Vitro Fertilisation, IVF) ซึ่งช่วยรักษาคู่สมรสที่มีภาวะไม่เจริญพันธุ์ที่มีบุตรได้ยากให้สามารถมี บุตรได้ Robert G. Edwards  เป็นผู้ก่อตั้ง วารสาร ชื่อ  Reproductive BioMedicine Online (RMBOnline)  ในปี 2000 ได้ร่วมพัฒนาจนกลายเป็นวารสารชั้นนำในสาขานี้ ละในปี 2009 ได้เป็นบรรณาธิการกิตติคุณ ของ RMBOnline ตัวอย่าง บทความวิจัย ที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ที่ฐานข้อมูล ScienceDirect 1. Maturation in vitro of human ovarian oocytes Lancet, 1965, 286 (7419), 926 929, Edwards R. G. 2.  Towards single births after assisted reproduction treatment Reproductive BioMedicine Online, 2003, 7(5), 506-508. Edwards, R.G. แสดงรายการบทความวิจัย จัดเตรียมให้ฟรี  รวม 5 เรื่อง อ้างอิงจาก เว็บไซต์ http://asia.elsevier.com/elsevierdnn/NobelPrize/tabid/1660/Default.aspx?utm_source=ECU001&utm_campaign=&utm_content=&utm_medium=email&bid=OCREX1F:EL5B5#chemistry Accessed as 25 November 2010 นอกจากนี้ Elsevier แสดงรายการบทความของนักวิทยาศาสตร์โนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี 2010 ด้วย แปลและเรียบเรียง โดย รังสิมา เพ็ชรเม็ดใหญ่ ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2553
รายงานสถานภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
 
สารสนเทศวิเคราะห์
 
Technology Readiness Levels: ระดับความพร้อมของเทคโนโลยีสู่อุตสาหกรรม
Technology Readiness Levels : ระดับความพร้อมของเทคโนโลยีสู่อุตสาหกรรม เป็นหัวข้อหนึ่งในการจัดงาน NSTDA Knowledge Sharing ครั้งที่ 54 ของ สวทช. เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2553 ต่อเนื่องจากการจัด NSTDA Knowledge Sharing ครั้งที่ 53 เรื่อง แนวคิดและผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมที่ สวทช. มีต่อประเทศไทย (Concept and Economic and Social Impact NSTDA to Thailand) บรรยายโดยวิทยากรท่านเดียวกัน คือ ดร.ชัชชาลี รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการฝ่ายประเมินผลองค์กร สำนักงานกลาง สวทช.สวทช. มีการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยมหลัก แนวนโยบาย คลัสเตอร์มุ่งเน้นโปรแกรมงานที่สำคัญ ตลอดจนแผนที่กลยุทธ์  พร้อมเป้าหมายในการดำเนินงานไว้อย่างชัดเจน รวมทั้งมีระบบการบริหารงานที่มุ่งให้ผลงานของ สวทช. สามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของประเทศ  และดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุดภายใต้สภาวการณ์ภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่มาก นอกจากนี้  สวทช. ยังได้พัฒนาประยุกต์ใช้กลไกการขับเคลื่อนแผนกลยุทธ์สู่การปฏิบัติในระดับสากล ได้แก่ Balanced Scorecard (BSC) มาใช้กับองค์กรรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้เกิดผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากตลอดเวลาอย่างไรก็ตาม สวทช. ในฐานะองค์กรหลักของประเทศ ซึ่งทำหน้าที่ในการผลักดันผลงานวิจัยและพัฒนาให้สามารถถ่ายทอดเทคโนโลยี และต่อยอดความรู้สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และสินค้าภาคอุตสาหกรรม ยังคงมีความจำเป็นที่ต้องหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลงานอย่างสร้างสรรค์ก่อนการส่งมอบ ซึ่งแนวทางหนึ่งที่ได้รับความสนใจในองค์กรชั้นนำของโลก เช่น Technology Readiness Levels (TRL) สามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินงานการบริหารจัดการงานวิจัยหรือเทคโนโลยีของ สวทช. ได้ จึงได้เริ่มศึกษาแนวทาง TRL ซึ่งจะนำมาสู่ผลกระทบที่สำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตในงานดังกล่าว  วิทยากรได้บรรยายถึงความหมายและความสำคัญของ Technology Readiness Levels (TRL) ว่าคืออะไร และทำไม สวทช. ถึงต้องนำมาใช้Technology Readiness Levels (TRL) คืออะไร TRL คือ เครื่องมือในการบริหารจัดการงานวิจัยและพัฒนา (R&D Tools)ทำไม สวทช. ถึงต้องเลือกนำมาใช้เพื่อนำมาปรับใช้ในการบริหารจัดการงานวิจัย เทคโนโลยี ของ สวทช. ซึ่งในฐานะที่ สวทช. เป็นองค์กรวิจัย มีระบบ เครื่องมือ กระบวนการ และหน่วยงานภายในที่ดูแล รับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารจัดการงานวิจัย รวมทั้งการต่อยอดนำผลงานวิจัยออกสู่เชิงพาณิชย์ แต่ในการศึกษาเรื่อง TRL นี้ เป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม เพื่อศึกษาวิธีการบริหารจัดการงานวิจัย สวทช. ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแต่ประเด็นหลักคือ ความคาดหวังของบุคคลภายนอกที่มีต่อ Impact สวทช. สูงมากขึ้น มีการกล่าวถึงโครงการวิจัยที่ได้รับอนุมัติดำเนินการจำนวนมากนั้น มีโครงการใดบ้างที่สามารถนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี ออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ (Commercialized) หรือที่นักวิจัยรู้จักกันในชื่อ หุบเหวแห่งความตาย (The Valley of Death) ที่นับเป็นความยากลำบากในการทำงานวิจัย ในการที่จะทำผลงานวิจัยนั้นให้เป็นจริง และออกสู่เชิงพาณิชย์ได้ ดังนั้นจะทำอย่างไรที่จะก้าวข้ามหุบเหวนี้ไปได้ และเป็น Applied Research Innovation  อย่างไรก็ตาม TRL นั้นเริ่มพัฒนามาจากองค์กรนาซ่า (NASA) ของสหรัฐอเมริกา และหน่วยงานอื่นที่นำมาใช้อีก คือ Sandia National Laboratories ซึ่งทั้งสองหน่วยงานเกี่ยวข้องกับงานวิศวกรรมเป็นหลัก ทำหน้าที่ทดสอบ (Test) ต้นแบบ ให้งานไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เป็นงานทดสอบแบบซ้ำๆ กัน เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การยิงจรวด ต้องมีการตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ  TRL แบ่งออกเป็น 9ระดับ คือ Level 1 : Basic principles observed and reported Level 2 : Concept and/or application formulatedLevel 3 : Concept demonstrated analytically or experimentallyLevel 4 : Key elements demonstrated in laboratory environmentsLevel 5 : Key elements demonstrated in relevant environmentsLevel 6 : Representative of the deliverable demonstrated in relevant environmentsLevel 7 : Final development version of the deliverable demonstrated in operational Level 8 : Actual deliverable qualified through test and demonstrationLevel 9 : Operational use of deliverable ซึ่งสรุปจากทั้ง 9 Levels ได้ ดังนี้ Level 1 : BasicLevel 3 : AppliedLevel 4-9 : Prototype โดยสรุป TRL ทั้ง 9 Levels มีประโยชน์และสำคัญ อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า สวทช. มีเทคโนโลยี หรือ ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) อยู่ในระดับใด ซึ่งขณะนี้ สวทช. ยังไม่ได้นำ TRL เข้ามาใช้ เพียงแต่อยู่ในระยะเริ่มต้นการศึกษาเท่านั้น และคงไม่ได้นำมาใช้กับงานวิจัยทุกเรื่องของ สวทช. และการที่จะ Commercialized ได้นั้นต้องมีหลายปัจจัยประกอบ เช่น การประเมินด้านการตลาด ด้านเทคนิค เป็นต้น ซึ่ง TRL ก็มีจุดอ่อนที่ไม่เน้นการทำตลาด ดังนั้นจึงเป็นงานที่ต้องศึกษาต่อเนื่องว่าหากจะนำ TRL มาใช้กับ สวทช. นั้นจะต้องมีกระบวนการบริหารจัดการภายในกันอย่างไร  จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ และนำมาสู่ผลกระทบที่สำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม
การจัดการความรู้ (KM)
 
DNA สำคัญอย่างไร
รายการวันละนิดวิทย์เทคโน กับสวทช. กระทรวงวิทย์ ชุดที่ 2 เทคโนโลยีชีวภาพ ตอน DNA สำคัญอย่างไร ดีเอ็นเอ คือ สารพันธุกรรมที่ส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตทำหน้าที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรม มีลักษณะเป็นเกลียวคู่คล้ายบันไดเวียนอยู่ในไมโครโซมและไมโทรคอนเดรียของ สิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ดีเอ็นเอจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ในคน พืช และสัตว์แล้ว ยังทำหน้าที่เก็บรักษาและถ่ายทอดรหัสพันธุกรรมซึ่งมีความสำคัญต่อการกำหนด ลักษณะต่างๆของสิ่งมีชีวิต ทำให้เราสามารถสืบทอดลักษณะประจำพันธุ์และดำรงเผ่าพันธุ์จากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่ง
วันละนิดวิทย์เทคโน
 
Dokuwiki เครื่องมือจัดการความรู้ที่เป็นประโยชน์มากๆ
ในยุคสังคมข่าวสารที่ต้องแข่งขันกันด้วย ICT ย่อมหนีไม่พ้นกระแสการจัดการความรู้ การพัฒนาให้องค์กรก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ ทุกหน่วยงานต่างแสวงหาทั้งกระบวนการและเครื่องมือที่ใช้บริหารจัดการความรู้ของตนเอง หากท่านลองหันมามองที่ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สซึ่งส่วนมากเริ่มต้นด้วยหลักศูนย์บาท ท่านอาจจะพบว่า Dokuwiki ซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งในกลุ่มโอเพนซอร์สนี้เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ในการจัดการความรู้ คำว่า Wiki อาจจะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยประทับใจของผู้ใช้จำนวนมากเพราะรู้สึกยุ่งยากซับซ้อนกับชุดคำสั่ง แต่ Dokuwiki จัดได้ว่าเป็น Wiki Tools ตัวหนึ่งที่ใช้งานได้ง่าย ชุดคำสั่งไม่ซับซ้อนเท่ากับ MediaWiki ที่ถูกนำไปใช้พัฒนาสารานุกรมเสรีระดับโลกอย่าง Wikipedia ทั้งนี้มีผู้พัฒนาเครื่องมือแปลงเอกสาร Word เป็น Dokuwiki ซึ่งน่าจะเป็นอีกทางเลือกสำหรับท่านที่ไม่ต้องการศึกษาคำสั่งของ Dokuwiki ก็ได้ Dokuwiki ทำงานบนเครื่องแม่ข่ายเว็บมาตรฐานทั่วไป โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบฐานข้อมูล  ไม่ต้องอาศัยระบบจัดการฐานข้อมูลบนเว็บแต่มีระบบจัดการสมาชิก เว็บไซต์ และโปรแกรมเสริม (Plug-ins) ผ่านหน้าเว็บ สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเว็บไซต์ หน้าเนื้อหาได้อิสระ แต่พร้อมด้วยความสามารถที่ซอฟต์แวร์วิกิต่างๆ ควรจะมีทั้งระบบติดตามการแก้ไข (History, Review) ระบบตรวจสอบการแก้ไขเนื้อหาล่าสุด (Recent Change) ด้วยโปรแกรมเสริมที่หลากหลาย ทำให้ Dokuwiki สามารถประยุกต์ใช้กับการจัดการความรู้และงานต่างๆ ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมเสริมจัดการเกี่ยวกับสูตรสมการ การวาดภาพออนไลน์ การสร้างผังงานออนไลน์ การพิมพ์โน้ตเพลง การสใส่สูตรทางเคมี ทำให้สามารถใช้พัฒนาการเรียนรู้แบบร่วมมือของนักเรียน นักศึกษาตามแนวทาง Child Centered ได้เป็นอย่างดี ลองดูตัวอย่างจากเว็บไซต์ http://www.stks.or.th/botany/wiki ที่ให้ครู อาจารย์ร่วมกันนำเนื้อหาทั้งข้อความ ภาพถ่าย ภาพวาด ภาพสแกน บทความ บทกลอน บทเพลงมานำเสนอในลักษณะความร่วมมือภายใต้งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ในโครงการพันธุกรรมพืชตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นอกจากนี้ Dokuwiki ยังช่วยให้การจัดการเอกสารสำนักงานเป็นไปในแนวทางที่เหมาะสม เห็นภาพการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่การที่ทุกคนในองค์กรต้องเรียนรู้การใช้งานไปพร้อมๆ กัน ร่วมกัน และผสานกับการทำงานปกติ อันนี้น่าจะเป็นแนวทางการก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม มากกว่าการที่จะให้เหตุผลที่ไม่ใช้ Dokuwiki ว่า ต้องลงรหัสคำสั่ง ทำให้ยากในการใช้งาน เป็นแบบนี้แล้วจะก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ต้องเริ่มจากตัวคนได้อย่างไร ขณะนี้หลายๆ องค์กร ประสบปัญหา Internet Traffic ที่ค่อนข้างเต็ม รวมถึงพื้นที่การใช้งาน Storage ของ Mail Server ที่ใกล้จะเต็ม เพราะทุกคนเอาแต่แนบไฟล์ไปกับอีเมล ไปกับระบบ e-Office ทั้งๆ ที่ข้อความในเอกสารแนบ มีไม่มาก หรือไม่เหมาะสมที่จะแนบ หากลองหันมาใช้ Dokuwiki จะพบว่าปริมาณพื้นที่ Storage และ Internet Traffic อาจจะลดลงได้ (ลองดูกันไหมครับ) อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาทักษะการเขียน การสื่อสาร และการสนทนา (ออนไลน์) กันมากขึ้น รวมถึงการยอมรับการปรับแก้ไขโดยผู้อื่น เพราะ Dokuwiki ยอมให้ทุกคนร่วมกันแก้ไขได้ (แต่หากองค์กรใดไม่มีลักษณะนี้ ก็คงไม่สามารถใช้ Dokuwiki หรือซอฟต์แวร์ในกลุ่ม Wiki ได้อย่างแน่นอน) แล้วทำไมต้องเป็น Dokuwiki จริงๆ แล้ว สวทช. โดย STKS ภายใต้คำแนะนำของ ดร.ทวีศักดิ์ ไม่ได้คาดหวังว่าทุกหน่วยงานต้องใช้ Dokuwiki หรอกครับ จะใ้ช้ Wiki Tools ตัวใดก็ได้ หรือเครื่องมือใดก็ได้ที่เหมาะสมกับบุคลากร องค์กร สำหรับเหตุผลที่ STKS เลือกใช้ Dokuwiki ก็คงจะต้องเริ่มจากการเข้าไปศึกษา Wiki Tools ต่างๆ ผ่านเว็บ http://www.wikimatrix.org/ แล้วเปรียบเทียบความสามารถของ Wiki Tools ต่างๆ จากนั้นจึงนำมาทดลองใช้งาน พบว่าชุดคำสั่งของ Dokuwiki ไม่ซับซ้อน การจัดการต่างๆ ผ่านเว็บทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ มีโปรแกรมเสริมหลากหลายนั่นเอง สำหรับท่านที่สนใจศึกษาว่ามีใครบ้างใช้ Dokuwiki ลองเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ดังนี้ดูนะครับ วิกิห้องสมุดสตางค์ มงคลสุข ม.มหิดล สารานุกรมวิทยาศาสตร์ เพื่อประชาชน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล Knowledge and Collaboration Platform for the KINDML Lab ผู้เขียนคาดหวังว่า Dokuwiki น่าจะเป็นเครื่องมือในใจของท่านหรือองค์กรท่าน ทั้งนี้ท่านที่สนใจ Dokuwiki สามารถศึกษาโปรแกรมได้จากเว็บไซต์ของ STKS     
การจัดการความรู้ (KM)
 
NASA IBM Lucent-Bell Labs มีวิธีการบริหารจัดการนักวิจัยกันอย่างไร
สำหรับองค์กรที่ดำเนินงานด้าน R & D เพื่อสร้างสรรค์ผลงานและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วงชิงพื้นที่ทางการตลาด หรือมีตัวชี้วัดที่ต้องส่งมอบ เพื่อตอบโจทย์ ฯ แต่จะทำอย่างไรให้ทีมงานที่มีนั้นมีประสิทธภาพยิ่งขึ่น เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เรียนรู้วิธีบริหารจัดการนักวิจัยจาก 3 องค์กรยักษ์ใหญ่อย่าง NASA IBM และ Lucent-Bell Labsในกิจกรรม NSTDA Knowledge Sharing เวทีของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันของชาว สวทช. ครั้งที่ 30 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อเรื่อง “NASA IBM Lucent-Bell Labs มีวิธีการบริหารจัดการนักวิจัยกันอย่างไร”ซึ่งเนื้อหาโดยรวมของงานครั้งนี้ คือ การนำแนวคิด กระบวนการ และวิธีบริหารจัดการนักวิจัยอย่างมืออาชีพ โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรคนไทย 3 ท่าน ที่เคยร่วมงานใน 3 องค์กรดังกล่าวมานานกว่า 10 ปี คือศ.ดร.ปราโมทย์ เดชะอำไพ รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รศ.ดร.โชคชัย เลี้ยงสุขสันต์ ดร.นพวรรณ ตันพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งนอกจากให้เกียรติเป็นวิทยากรแล้วยังรับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการด้วยเริ่มที่ NASA (National Aeronautics and Space Administration) NASA มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประกอบด้วย ศูนย์วิจัยใหญ่ 3 ศูนย์ และศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะด้าน ซึ่ง Langley Research Center คือ ศูนย์ปฏิบัติการหนึ่ง ซึ่ง ศ.ดร.ปราโมทย์ เดชะอำไพ เคยเป็นหนึ่งในทีมงาน โดยขณะนั้นมีทีมงานมากกว่า 3,000 คน ซึ่งอัตราส่วนระหว่างฝ่ายวิจัยและฝ่ายสนับสนุน คือ 5:1ศ.ดร.ปราโมทย์ เล่าถึงระบบการดูแลนักวิจัยของ NASA ที่เริ่มต้นตั้งแต่การรับเข้าทำงาน วิธีการหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การเป็น co-op คือ ช่วงพักภาคฤดูร้อน นักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.ตรี จะสมัครเข้าทำงานที่ NASA นอกจากค่าตอบแทนที่จะได้รับ ขณะที่ทำงานจะมีนักวิจัยพี่เลี้ยงช่วยฝึกสอนงาน วิธีการนี้ช่วยเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้ระบบงานของ NASA ก่อนตัดสินใจสมัครเข้าทำงาน เช่นเดียวกัน NASA เองก็ได้เห็นแววนักศึกษาที่น่าจะดึงเข้าร่วมทีมต่อไป นอกจากนี้ NASA ยังมีการวางระบบบุคลากรที่รอบคอบ และรัดกุม ด้วยการแบ่งพนักงาน เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มข้าราชการ ซึ่งต้องเป็น U.S. citizen เท่านั้น Contractor คือ พนักงานบริษัทที่รับงานจาก NASA (outsource)Grantes อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ได้รับทุนวิจัยจาก NASAหลังเข้ารับงาน นักวิจัยใหม่ทุกคนจะได้รับเวลาในการปรับตัวประมาณ 3 เดือน เพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ รวมถึงการสอนให้คิดอย่างเป็นระบบ การทำวิจัย การทำ Technical paper รวมถึงทักษะการนำเสนอผลงานที่ลงรายละเอียดทุกบรรทัด ทุกนาที โดยมีหัวหน้าและผู้บริหารประกบ (ศ.ดร.ปราโมทย์ แซวว่าต่างจากเมืองไทยเราที่หัวหน้าและผู้บริหารส่วนใหญ่จะหมดเวลาไปกับการประชุม กิจกรรมแบบนี้จึงไม่ค่อยเกิดขึ้น) ส่วนหัวข้อในการทำวิจัยนั้นจะมาจากปัญหาที่ระดับสูงส่งลงมาถึง ซึ่งเน้นเพื่อการใช้งานจริงและเกิดองค์ความรู้ใหม่ เช่น โครงการ Natioal Aerospace Plane ขณะที่การประเมินผลงานจะถูกประเมินด้วย Technical report Technical paper และสิทธิบัตร ซึ่งนักวิจัยจะไม่ถูกแรงกดดันเรื่องหารายได้อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้นักวิจัยของ NASA สร้างสรรค์ผลงาน คือ การให้รางวัลจูงใจ ที่มีเกณฑ์การประเมินชัดเจน โปร่งใส นอกจากรางวัลตอบแทนที่เป็นตัวเลข ยังมีรางวัลแห่งความภาคภูมิใจที่ได้รับจากผู้บริหารระดับสูง ศ.ดร.ปราโมทย์ ย้ำว่าการทำงานใน NASA โดยเฉพาะในฐานะคนไทย จะต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากโชคและความรู้ สิ่งสำคัญ คือ ความมานะต่อกันด้วยหน่วยงานที่ 2 คือ Lucent-Bell Labs เจ้าของธุรกิจเทคโนโลยีโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมถึงการเป็นบริษัทแรกที่คิดค้นประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์เครื่องแรกของโลก ซึ่งมีพนักงานมากถึง 3 แสนคน โดยผลิตภัณฑ์ 1 จะมีทีมงานร่วมพัฒนาถึง 800 คน รศ.ดร.โชคชัย เลี้ยงสุขสันต์ ได้ย้อนวันวานและเล่าให้ฟังถึงเมื่อครั้งที่เป็นหนึ่งในทีมพัฒนาของบริษัท Lucent-Bell Labs ว่า เริ่มต้นเข้าทำงานจากการร่วมทำวิจัยกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ และได้รับการแนะนำจากรุ่นพี่สมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา เพื่อเข้าทำงานในที่ดังกล่าว รศ.ดร.โชคชัย ย้ำว่าการทำงานและการใช้ชีวิตในอเมริกานั้นเรื่องเครือข่ายนับเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีของ รศ.ดร.โชคชัย ในการร่วมทีมกับ Lucent-Bell Labs ทักษะที่สำคัญของนักวิจัย คือCommunicationPeople skill โดยเฉพาะการเข้ากับคนอื่นๆ ได้Negotiation (การต่อรอง) อีกทักษะที่จำเป็นกรณีต้องทำงานกับ partner ต่างบริษัทTeam workThank you skill เช่น รางวัลสำหรับทีมงานCan do attitude สร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง เพื่อนร่วมงานและองค์กรความคิดที่ว่า “บริษัทเป็นบริษัทของพ่อแม่เราเอง”จากการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในบริษัทเอกชน ดร.โชคชัย ได้ผันตัวเองเข้าสู่แวดวงการศึกษา ด้วยการลาออกจากบริษัทเพื่อเป็นอาจารย์ใน Louisiana Tech University การย้ายเข้าสู่สถาบันอุมดศึกษาทำให้มีอิสระทางความคิดก็จริง แต่ก็ต้องถูกคาดหวังทั้งการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ และการหาทุนวิจัย โดยเฉพาะอย่างหลังที่หลายคนไม่ชอบนัก แต่ ดร.โชคชัย มองในมุมกลับว่า “หากงานเราเจ๋งจริง เงินทุนก็มาเอง”ปิดท้ายกันที่ ดร. นพวรรณ ตันพิพัฒน์  กับประสบการณ์การร่วมทีม IBM เจ้าของกิจการที่เกี่ยวข้องกัยเทคโนโลยีสารสนเทศรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งครองบทบาทการเป็นผู้นำนวัตกรรมทางธุรกิจมายาวนาน ดร. นพวรรณ เสริมว่าการทำงานในอเมริกานั้นงานมีช่องทาง มีเครือข่าย ซึ่งหากเรามีศักยภาพ ไม่ใช่เราที่หางาน แต่งานต่างหากที่วิ่งหาเรา ดังนั้นการพัฒนาและฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ใน IBM ทุกคนต้องทำงานหนัก แม้แต่เวลาพักยังคุยงานและร่าง project ลงบนกระดาษเช็ดปาก โดยใน IBM นั้น ไม่มีผู้ช่วยนักวิจัย ดังนั้นทุกคนต้องทำเป็นทุกๆ อย่างสิ่งหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้ทั้ง 3 องค์กร อย่าง NASA Lucent-Bell Labs และ IBM ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำคือ การทำให้พนักงานภูมิใจในการได้เป็นส่วนร่วมในองค์กร มีแต่ “We” ไม่มี “I” ซึ่งทุกคนพร้อมจะเต็มที่กับงานเพื่อความสำเร็จขององค์กรที่มาข้อมูล :“NASA IBM Lucent-Bell Labs มีวิธีการบริหารจัดการนักวิจัยกันอย่างไร” Knowledge Sharing NSTDA ครั้งที่ 30 ณ ห้องบุษกร อาคารเนคเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
การจัดการความรู้ (KM)
 
แนวคิดและผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมที่ สวทช. มีต่อประเทศไทย
แนวคิดและผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมที่ สวทช. มีต่อประเทศไทย (Concept and Economic and Social Impact NSTDA to Thailand) เป็นหัวข้อหนึ่งในการจัดงาน NSTDA Knowledge Sharing ครั้งที่ ๕๓ ของ สวทช.  เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ สวทช. มีภารกิจในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวหน้า โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการสนับสนุนและขับเคลื่อนทั้งภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และชุมชน ให้สามารถดำเนินงานได้ดี มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อีกทั้งช่วยหาวิธีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม ซึ่งผู้บริหารได้ให้ความสำคัญและกำหนดให้เรื่องผลกระทบนั้นเป็นตัวชี้วัดเชิงกลยุทธ์ขององค์กร (Balanced Scorecard) มาตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๐ เป็นต้นมา โดยหน่วยงานภายในองค์กรมีการเก็บรวบรวมผลลัพธ์และผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งหลักฐานอ้างอิงต่าง ๆ สรุปเป็นมูลค่าผลกระทบในแต่ละปีนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารงานทั้งภายใน สวทช. และนำไปประกอบกับการจัดทำคำของบประมาณเสนอต่อหน่วยงานภายนอกในงานดังกล่าว  วิทยากรได้บรรยายถึงความสำคัญของคำว่าข้อมูลผลลัพธ์ ผลกระทบ Logic Model คือ  ทรัพยากร - กิจรรม - ผลผลิต - กลุ่มเป้าหมาย - ผลลัพธ์ระยะสั้น - ผลลัพธ์ระยะยาว - ผลกระทบ และรวบรวมคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลผลลัพธ์และผลกระทบของ สวทช. เช่น๑. ทำไมต้องจัดเก็บ จัดทำข้อมูลผลลัพธ์ ผลกระทบ มีประโยชน์อย่างไร เอาไปใช้อะไร ข้อมูลผลลัพธ์ ผลกระทบเหล่านั้นถือเป็นผลงาน หรือความสำเร็จขององค์กร ที่แสดงถึงความมีคุณค่า มีประโยชน์ ขององค์กร และที่สำคัญ คือ เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการของบประมาณในแต่ละปี ๒. ใครควรเป็นผู้จัดเก็บข้อมูลผลลัพธ์และผลกระทบของ สวทช.ฝ่ายประเมินผล สำนักงานกลาง๓. ผลลัพธ์และผลกระทบ ควรจัดเก็บข้อมูลเมื่อไหร่ ควรทำไปพร้อมกัน หรือว่า ควรเริ่มติดตามเมื่องานเสร็จแล้วควรทำไปพร้อมกัน๔. ผลกระทบจะเกิดขึ้นได้กี่ปี หลังจากโครงการเสร็จสิ้นแล้วไม่ควรเกิน ๕ ปี หากหลังจากนั้น จะไม่นับเป็นผลกระทบแล้ว๕. ทำไมปี ๒๕๕๔ นี้ จึงเปลี่ยนมาเป็นการนับที่มูลค่า (บาท) ของผลลัพธ์และผลกระทบ จากเดิมที่นับที่จำนวนโครงการเป็นนโยบายของผู้บริหารท่านใหม่ รวมทั้งให้เพิ่มมูลค่าในหมวดการลงทุนด้าน ว และ ท กับภาคเอกชนให้มากขึ้น โดยให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมวิจัยกับ สวทช. มากขึ้น  (R&D กับภาคเอกชนมากขึ้น)๖. ข้อมูลผลลัพธ์และผลกระทบแบบไหนที่รายงานไม่ได้คือ แบบที่ยังไม่เกิด๗. หน่วยงานอื่นเขามีการรายงานผลลัพธ์และผลกระทบอย่างไรแล้วแต่นโยบายของแต่ละหน่วยงาน ว่าจะกำหนดการ  claim หรือ รายงานผลงานอย่างไร๘. ผลลัพธ์และผลกระทบเชิงสังคมจะรายงานอย่างไรขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก เนื่องจากการประเมินผลลัพธ์และผลกระทบเชิงสังคมของ สวทช. ยังอยู่ในช่วงการเริ่มต้นศึกษาเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่น เช่น สกว. และ สสส.๙. รู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลที่รายงานไปนั้นตรงหรือไม่ตรง จริงหรือไม่จริงสวทช. มีข้อบังคับกำกับอยู่ในเรื่องของวินัย ซึ่งถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง หากมีการรายงานเท็จ ไม่ถูกต้อง และยังขัดต่อค่านิยมหลัก (Core value) ของ สวทช. ในข้อความซื่อสัตย์ ความซื่อตรง และโปร่งใสอีกด้วยดังนั้นนอกจากการตระหนักถึงเรื่องข้อมูลผลลัพธ์และผลกระทบที่ สวทช. มีต่อประเทศไทยแล้ว การรายงานผลงานที่ถูกต้องเป็นจริง ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน
การจัดการความรู้ (KM)
 
What makes P&G the no.1 consumer products company in the world?
บริษัท P&G นับเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของกิจการสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ก่อตั้งมานานกว่า 170 ปี  จากจุดเริ่มต้นเพียงการเป็นเจ้าของกิจการที่ผลิตและจำหน่ายเทียนไข และสบู่ สู่ปัจจุบันกับการเป็นเจ้าของสินค้ากว่า 300 แบรนด์ จำหน่ายใน 160 ประเทศทั่วโลก ซึ่งประกอบด้วยทีมงานกว่า 135,000 คน และนักวิจัย 10,000 คน นอกจากนี้ P&G ยังได้ลงทุนจัดตั้งสายการผลิตและศูนย์วิจัยในพื้นที่กว่า 80 ประเทศทั่วโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยความสำเร็จส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากผลประกอบการปีล่าสุด โดยมีสินค้าถึง 22 แบรนด์ ที่มียอดจำหน่ายกว่าพันล้าน เช่นแชมพูสระผมแพนทีน 3.6 พันล้านถ่านดูลาเซล 2.5 พันล้านมันผรั่งพริงเกิลส์ 1.9 พันล้านผลิตภัณฑ์ยิลเลตต์ 1.3 พันล้านเคล็ดลับสำคัญของการก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ของ บริษัท P&G ดร.ดวงเพ็ญ ฟูคาดะ Project Manager Procter & Gamble Company เผยให้ทราบว่าส่วนสำคัญ คือ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน การทำให้ทีมงานในองค์กรทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และมีผลงานยอดเยี่ยม รวมถึง Consumer researchบริษัท P&G มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการดำเนินกิจการที่พนักงานทุกคนยึดถือร่วมกัน คือ การสัญญาที่จะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพแก่ลูกค้า โดยตั้งมั่นว่าเพื่อ “คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นวันละนิดแต่ดีขึ้นในทุกๆ วัน”ในประเด็นของการให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนนั้น ตัวอย่าง A.G. Lafly ซีอีโอของบริษัท P&G เมื่อปี 2005 ได้ให้แนวคิดว่า "การพัฒนาทีมงานเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการพัฒนาผู้นำที่จะมารับและสานงานต่อ โดยผู้นำที่ประสบความสำเร็จ คือ ผู้นำที่มีหรือไม่มีเค้าอยู่ในองค์กร แต่องค์กรก็สามารถอยู่ได้ และการเข้าใจว่าพนักงานทุกคนต้องการประสบความสำเร็จ"การพัฒนากำลังคนและการทำให้พนักงานในองค์กรทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ สิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับผู้นำ คือการสร้างความไว้วางใจ (Trusting relationship)Feedback & CreditTranining & Developmentการสร้างความไว้วางใจ (Trusting relationship)  ประกอบด้วยการรู้จักและเข้าใจในความต้องการขั้นพื้นฐานการชมและการบอกกล่าวอย่าตำหนิต่อหน้าเคลียร์ให้ชัดว่าอยากได้อะไรทำตามที่พูดเปิดเผย ซื่อสัตย์และจริงใจปกป้องลูกน้อง ทั้งต่อหน้าและลับหลังเข้าใจความช่วยเหลือสนใจทุกคนในองค์กร รวมถึงติดตามและดูแลเห็นปัญหาแล้วจะต้องคุยกับทีมงานทันที และทำทุกอย่างให้ชัดเจนตรงกันข้ามสิ่งที่ผู้นำไม่ควรกระทำ คือข้อมูลไม่พอในการวิเคราะห์ พิจารณาหรือที่เกีี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมกระบวนการทำงานที่ไม่ชัดเจนไม่มี Feedbackไม่มีรางวัล คำชมเวลาทำดีไม่เข้าใจในบทบาทหน้าที่นอกจากการสร้างความไว้วางใจ ประเด็นที่ 2 คือ Feedback & Credit บริษัท P&G มีแนวคิดว่าการให้รางวัลเพื่อให้เราโตขึ้นและเป็นเครื่องมือในการพัฒนา ส่วนการให้ Feedback ก็เพื่อบอกถึงสิ่งที่ทำไม่ดีเพราะอะไร และจะแก้ไขยังไงโดยเมื่อเห็นว่าไม่ดีก็จะต้องให้ Feedback ในทันที เช่นเดียวกับการชมเมื่อทำดี ก็ควรชมบ่อยๆ อย่างจริงใจ และชมในที่สาธารณะ นอกจากนี้ ดร.ดวงเพ็ญ ยังบอกถึง trick ของการชมว่า "เมื่อมีการชมก็ต้องบอกให้ทราบว่าชมเพราะอะไร ย้ำและเน้น เพื่อเป็นแนวทางแก่พนักงานคนอื่นๆ  หากชมผ่านอีเมลก็จะต้อง CC ถึงหัวหน้างานเพื่อร่วมรับรู้"ขณะที่ Training & Development ควรพิจารณา คือ ความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และแผนการทำงานเพิ่มเติมจากการพัฒนากำลังคนแล้ว สิ่งที่บริษัท P&G ทุ่มทุน คือ การค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองความ ต้องการของลูกค้า ซึ่งส่งผลถึงปริมาณยอดขายที่เกิดขึ้นในแต่ละปี โดยมีหน่วยที่เรียกว่า Consumer research ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จาก Consumer research คือการรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า จากการศึกษาพฤติกรรม และความต้องการของลูกค้า (บางครั้งมีการเคาะประตูบ้านเพื่อสอบถามข้อมูลความต้องการ)การเลือกสรรเทคโนโลยีเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการการสื่อสารแก่ลูกค้าหลังจากได้ผลิตภัณฑ์โดยเกณฑ์เบื้องต้นในการพิจารณาพื้นที่เพื่อจัดตั้ง Consumer research จะพิจารณาจากข้อมูลความต้องการของลูกค้า และฐานลูกค้าที่จะบริโภคดร.ดวงเพ็ญ ยังฝากถึงข้อคิดอื่นๆ ที่น่าสนใจในการเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ คือ การค้นหาและรู้จักจุดอ่อนพร้อมทั้งการเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า รวมถึงการสอบถามความต้องการของพนักงานว่าเค้าอยากได้อะไรเมื่อตัดสินใจจะมา อยู่กับเรา ซึ่งเมื่อเลือกเค้าเข้าทำงาน เราก็จะต้องเก็บข้อมูลความต้องการที่เค้าพูดถึงและคาดหวัง เพื่อนำมาทำเป็นแผนในการพัฒนาบุคลากรและหน่วยงานท่านใดสนใจอ่านข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรและทีมงานของ P&G ห้องสมุดกลาง สวทช. ขอแนะนำหนังสือเรื่อง "165 ปี P&G เรียนรู้การสร้างแบรนด์จากยักษ์ใหญ่คอนซูเมอร์ พีแอนด์จี" และ "The game-changer" ซึ่งเจาะลึกเคล็ดลับที่ทำให้บริษัท P&G ครองอันดับ 1 เจ้าของกิจการ consumer products รวมถึงการก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 2 ของ “Top Companies for Leaders” จากการสำรวจของนิตยสาร Fortuneที่มาข้อมูล :“What makes P&G the no.1 consumer products company in the world?” Knowledge sharing NSTDA ครั้งที่ 37 โดย ดร.ดวงเพ็ญ ฟูคาดะ. Project Manager Procter & Gamble Company. วันที่ 8 มีนาคม 2553 ณ ห้องบุษกร อาคารเนคเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
การจัดการความรู้ (KM)
 
เครื่องมือพื้นฐานการจัดการความรู้
“Classification is at the basis of all intelligence work, and is resorted to unconsciously by     intelligent people. It is a thousand times more effective of consciously used as a tool.” -     Bernard Palmer & Derek Austinเครื่องมือสำคัญ สำหรับการจัดการสารสนเทศ คือ การจัดหมวดหมู่และการทำดัชนีการจัดหมวดหมู่เป็นพื้นฐานในการจัดเนื้อหาให้เป็นระบบ  การทำดัชนีช่วยในการจัดเอกสารและลงรายการเอกสาร  ด้วยการรวมทั้งหัวเรื่องและแหล่งที่อยู่ของเอกสารเข้าด้วยกัน ถ้าการทำดัชนีมีประสิทธิภาพ จะต้องทำให้ผู้ใช้รู้ว่าต้องใช้คำสำคัญคำใดเพื่อที่จะหาสารสนเทศที่เกี่ยว ข้องกันได้ ด้วยการใช้คำศัพท์ควบคุม โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้ taxonomy หรือศัพท์สัมพันธ์เข้ามาช่วย“Besides the investment in technology, taxonomies take a great deal of intellectual effort. Most require a fair amount of manual effort at some point, too, no matter what sales people tell you.” - Susan Feldmanหน้าที่ของ Taxonomy ในการจัดการความรู้ก็คือ ทำให้สารสนเทศสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ด้วยการใช้คำศัพท์ที่ควบคุมและอย่างมีโครงสร้างการสร้าง Taxonomyกำหนดขอบเขตของ Taxonomyมีทีมทำงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านสารสนเทศรวบรวมคำศัพท์กว้าง ๆ ที่อธิบายตัวเนื้อหากำหนดคำที่ใช้และกำหนดคำจำกัดความโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่ใช้คำศัพท์ใช้หลักเกณฑ์ที่มีอยู่เพื่อให้ครอบคลุมด้านอื่น ๆ ด้วยเลือกคำสำคัญจากชื่อเรื่อง สาระสังเขป เนื้อหา หรือคำที่แนะนำโดยผู้จัดทำดรรชนีสนับสนุนให้มีการใช้อย่างแพร่หลายฝึกอบรมการใช้ฯลฯตัวอย่าง Taxonomy ของสาขาวิชาที่ สวทช. ใช้เป็นตัวกำหนดการกำกับผลงานหรือความรู้แต่ละสาขาวิชา โดยมีการแบ่งเป็น ๓ ระดับ (ขอยกตัวอย่างเพียง ๑ สาขาวิชา)Biological sciences Plant biotechnology and related agricultural science Plant biotechnology ฺBiological sciences Plant biotechnology and related agricultural science Plant breedingBiological sciences Plant biotechnology and related agricultural science Plant pathologyBiological sciences Plant biotechnology and related agricultural science Plant physiologyBiological sciences Plant biotechnology and related agricultural science Plant geneticsBiological sciences Plant biotechnology and related agricultural science Plant biochemistry
การจัดการความรู้ (KM)
 
แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ. 2552-2556
แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ ๒) ของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖ ฉบับเสนอผ่านความเห็นชอบ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมือวันที ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ โดย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ฉบับที่ 2 ได้สานความต่อเนื่องทางนโยบายจาก IT2010 และ “แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2545-2549” ควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายใหม่และการปรับให้มีจุดเน้นในบางเรื่องที่เด่นชัดขึ้นจากแผนฯ ฉบับแรก เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคมที่เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศไทย และในขณะเดียวกัน เพื่อมุ่งแก้ไขส่วนที่ยังเป็นจุดอ่อน และต่อยอดส่วนที่เป็นจุดแข็งของประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื$อสารในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด อันจะช่วยนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาประเทศตามที่กำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ในที่สุด เอกสารฉบับภาษาไทย เอกสารฉบับภาษาอังกฤษ
เอกสารเผยแพร่
 
กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศระยะ พ.ศ. 2544 – 2553 ของประเทศไทย
คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ ได้ตระหนักถึงบริบททางสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และความสำคัญที่จะต้องมีนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศที่สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและต่างประเทศ จึงได้จัดทำกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศในระยะที่สอง ที่ครอบคลุมระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 - 2553 หรือ IT-2010 นี้ขึ้น  ดาวน์โหลดเอกสาร
เอกสารเผยแพร่
 
ยุทธศาสตร์การผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
จากสถานการณ์การระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไปทั่วโลก ในช่วงปี 2552 จนถึงปัจจุบัน และเนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งนับเป็นความเสี่ยงที่จะมีวัคซีนไม่เพียงพอครอบคลุมประชากรของประเทศ หากเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้น ดังนั้น งานนโยบายและจัดการความรู้ สวทช. เพื่อนำเสนอในเอกสารข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าว โดยมีเป้าหมายเพื่อเสนอแผนสำรองของประเทศในการผลิตวัคซีนให้ได้มากที่สุด ในระยะเวลาสั้นที่สุด ทั้งนี้รายละเอียดของยุทธศาสตร์ปรากฏอยู่ในเอกสารดังกล่าวนี้  ดาวน์โหลดเอกสาร
เอกสารเผยแพร่
 
นโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ (พ.ศ.2551-2554)
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้จัดทำ “นโยบายและยุทธศาสตร์ การวิจัยของชาติ (พ.ศ. 2551-2554)” ขึ้น โดยเป็นการปรับและขยายเวลามาจากนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ (พ.ศ. 2551-2553) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง รวมทั้งให้สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมุ่งเน้นให้เป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัยของหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ของประเทศและใช้เป็นกรอบทิศทางในการประเมินผลข้อเสนอการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐที่เสนอของบประมาณประจำปี ตามมติคณะรัฐมนตรีระหว่างปีงบประมาณ 2551-2554 โดยสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ บนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และยุทธศาสตร์การวิจัยระดับภูมิภาค รวมทั้งความต้องการของพื้นที่ โดยคำนึงถึงศักยภาพของประเทศ ในขณะเดียวกันได้คำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554)   ดาวน์โหลดเอกสาร  
เอกสารเผยแพร่