ผลการค้นหา :
ไบโอเทค สวทช. พัฒนา ‘ชุดตรวจโรคกุ้ง 4 ชนิดที่พบบ่อยในไทย’ ตรวจง่าย รู้ผลไว ต้นทุนต่ำ แม่นยำสูง
‘กุ้ง’ เป็นหนึ่งในสัตว์เศรษฐกิจหลักของอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย เพราะมีตลาดรองรับชัดเจน มีความต้องการสูงทั้งในไทยและต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งต่างทราบกันดีว่า ‘งานเพาะเลี้ยงเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง’ เพราะนอกจากจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ควบคุมไม่ได้แล้ว ยังมีปัญหาโรคระบาดที่พบเจอได้ทุกฤดูกาล ซึ่งหากรู้ตัวช้า รับมือไม่ทัน ก็อาจเกิดความเสียหายตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านบาท หรือบางรายอาจสูญเสียจนถึงขั้นไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเริ่มทำธุรกิจใหม่ได้
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยและพัฒนา ‘ชุดตรวจโรคกุ้งที่พบบ่อยในประเทศไทย’ ประกอบด้วย โรคตัวแดงดวงขาว (WSSV) โรคตายด่วน (EMS) โรคขี้ขาวอีเอชพี (EHP) และโรคแคระแกร็น (IHHNV) โดยใช้เทคนิค “แลมป์ (LAMP)” ในการตรวจ เพราะเทคนิคนี้โดดเด่นเรื่องขั้นตอนการตรวจไม่ยุ่งยาก ให้ผลตรวจแม่นยำ อ่านผลตรวจได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ผล ที่สำคัญน้ำยาและอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจมีราคาถูก ทั้งนี้ สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนในการทำวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และได้รับความร่วมมือในการทำวิจัยจากพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
[caption id="attachment_52033" align="aligncenter" width="700"] ทีมวิจัยที่พัฒนาชุดตรวจโรคกุ้ง[/caption]
คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า โดยทั่วไปการเริ่มต้นเลี้ยงกุ้งแต่ละรอบการผลิต เกษตรกรหรือผู้ประกอบการจะรับซื้อลูกกุ้งพันธุ์ดีปลอดโรคมาจากบริษัทเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อลดความเสี่ยงในการติดโรคตั้งแต่เริ่มต้น แต่เมื่อนำลูกกุ้งมาเพาะเลี้ยงในบ่อแล้ว ยังมีโอกาสเสี่ยงอีกมากที่ลูกกุ้งจะติดโรคจากสภาพแวดล้อมในการเพาะเลี้ยง ดังนั้นผู้เพาะเลี้ยงจึงจำเป็นต้องติดตามสุขภาพของกุ้งอยู่เสมอ หากพบความผิดปกติเกิดขึ้นก็จะต้องรีบนำตัวอย่างกุ้งไปส่งตรวจด้วยเทคนิค PCR (polymerase chain reaction) ซึ่งเป็นการตรวจในระดับห้องปฏิบัติการ เพื่อนำผลการตรวจมาใช้วางแผนแก้ปัญหาทันที
“ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เกษตรกรรับมือกับปัญหาโรคระบาดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทีมวิจัยได้พัฒนาชุดตรวจโรคกุ้งด้วยเทคนิค “แลมป์ (LAMP: loop-mediated isothermal amplification)” ที่มีจุดแข็งเรื่องตรวจง่าย รู้ผลไว และค่าใช้จ่ายถูก เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงชุดตรวจโรคที่ใช้ตรวจได้ด้วยตัวเอง ช่วยลดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการฟาร์ม รวมถึงช่วยให้รับมือกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงทีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เทคนิคแลมป์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมีวิธีใช้งานและอ่านผล 2 รูปแบบ แบบแรก คือ ‘XO-AMP’ เป็นเทคนิคที่ให้ผลการตรวจเชิงคุณภาพ เกษตรกรจะทราบว่ากุ้งตัวอย่างที่นำมาตรวจเป็นโรคหรือไม่จากการสังเกตสีที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยตาเปล่า ส่วนเทคนิคย่อยที่สอง คือ ‘Real-AMP’ เทคนิคนี้จะแสดงผลการตรวจเป็นกราฟบ่งชี้ปริมาณเชื้อที่ตรวจพบ เพื่อให้เกษตรกรนำข้อมูลที่ได้ไปใช้วางแผนการจัดการโรคได้ละเอียดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
ขั้นตอนหลักที่ใช้ในการตรวจโรคกุ้งของทั้งเทคนิค XO-AMP และ Real-AMP มีเพียง 3 ขั้นตอน ทุกขั้นตอนทำง่ายและไม่จำเป็นต้องใช้ห้องปฏิบัติการเฉพาะสำหรับการตรวจ
คุณวรรณสิกา อธิบายถึงขั้นตอนการตรวจว่า ขั้นตอนแรก คือ การเตรียมตัวอย่าง ด้วยการสกัดดีเอ็นเอจากอวัยวะของกุ้งด้วยน้ำยาสกัดดีเอ็นเอชนิดรวดเร็วที่ใช้งานง่าย ใช้เวลาในการสกัดเพียง 5-10 นาที ขั้นตอนที่สองคือการนำดีเอ็นเอที่สกัดได้มาใส่ในหลอดน้ำยาแลมป์ XO-AMP หรือ Real-AMP (เป็นชุดอุปกรณ์สำเร็จรูปพร้อมใช้งาน) ขั้นตอนที่สามคือการทดสอบและอ่านผล โดยนำหลอดน้ำยาแลมป์ที่เติมดีเอ็นเอเรียบร้อยแล้วไปบ่มที่อุณหภูมิ 63 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยเทคนิค XO-AMP จะบ่มด้วยเครื่อง heating block ซึ่งเป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป ส่วนเทคนิค Real-AMP จะบ่มในเครื่องวัดความขุ่นแบบเรียลไทม์ที่ทีมวิจัยร่วมกับบริษัทไดมอนด์ พาย จำกัด พัฒนาขึ้น หลังจากบ่มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ตรวจสามารถนำหลอดทดสอบที่ตรวจด้วยเทคนิค XO-AMP ออกมาอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า หากสีของน้ำยาเปลี่ยนจากม่วงเป็นเหลืองแปลว่าพบการติดเชื้อ (เป็นการเปลี่ยนแปลงสีของสาร Xylenol orange) ส่วนเทคนิค Real-AMP ผู้ตรวจจะอ่านผลได้จากเส้นกราฟที่แสดงบนหน้าจอแท็บเล็ตซึ่งเชื่อมต่อกับเครื่องวัดความขุ่นแบบเรียลไทม์
[caption id="attachment_52031" align="aligncenter" width="700"] ชุดตรวจโรคกุ้ง ‘XO-AMP’[/caption]
[caption id="attachment_52032" align="aligncenter" width="750"] เครื่องวัดความขุ่นแบบเรียลไทม์[/caption]
ชุดตรวจ ‘XO-AMP’ และ ‘Real-AMP’ มีประสิทธิภาพในการตรวจสูงเทียบเท่าการตรวจด้วยเทคนิค PCR ซึ่งเป็นเทคนิคการตรวจมาตรฐานในระดับห้องปฏิบัติการ ทั้งด้านความไว (sensitive) ความแม่นยำ และความจำเพาะในการตรวจ แต่ชุดตรวจทั้งสองแบบนี้ยังมีจุดแข็งอื่นที่เหนือกว่า คือ ใช้งานง่าย ตรวจได้รวดเร็ว และมีราคาจับต้องได้
คุณศิรินทิพย์ แดงติ๊บ ผู้เชี่ยวชาญเทคนิค จากทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ไบโอเทค สวทช. เสริมว่า ชุดตรวจวัดทั้งเทคนิค XO-AMP และ Real-AMP ผ่านการออกแบบภายใต้แนวคิดการช่วยแก้ปัญหาความยากลำบากในการส่งตรวจโรคกุ้งและการรอคอยผลตรวจนานให้แก่เกษตรกร ดังนั้นนอกจากการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีให้ใช้งานได้ง่ายดังที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ชุดตรวจทั้งสองยังผ่านการพัฒนาให้ตรวจได้รวดเร็วกว่าเทคนิค PCR ด้วย โดยทั้งเทคนิค XO-AMP และ Real-AMP ใช้เวลาในการตรวจเพียง 1 ชั่วโมง 15 นาที แตกต่างจากเทคนิค PCR ที่ต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง (ไม่รวมระยะเวลาในการส่งตรวจ รอคิวตรวจ และรอการแจ้งผลกลับ) ดังนั้นหากเกษตรกรมีเครื่องมือตรวจ XO-AMP หรือ Real-AMP เป็นของตัวเอง หรือมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเกษตรกรเพื่อลงทุนด้านเครื่องมือตรวจสำหรับใช้งานร่วมกัน เกษตรกรจะตรวจโรคกุ้งได้บ่อยครั้งมากขึ้นหรือดำเนินงานแบบเชิงรุกได้ ซึ่งช่วยลดความสูญเสียจากการแก้ปัญหาไม่ทันการณ์ได้เป็นอย่างดี
“ส่วนด้านราคา ทีมวิจัยได้พัฒนาเทคโนโลยี XO-AMP และ Real-AMP ภายใต้แนวคิด ‘เกษตรกรต้องเข้าถึงได้’ เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจด้วยเทคนิค XO-AMP จึงมีราคาเพียง 2-3 หมื่นบาท ส่วน เครื่องวัดความขุ่นแบบเรียลไทม์ที่ใช้ในการตรวจร่วมกับชุดตรวจ Real-AMP มีราคาประมาณ 1 แสนบาท ขณะที่เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจด้วยเทคนิค PCR มีราคาสูงกว่า 5-10 เท่า นอกจากนี้ราคาของน้ำยาสกัดดีเอ็นเอและน้ำยาแลมป์ที่ใช้ในการตรวจด้วยเทคนิค XO-AMP และ Real-AMP ก็ผ่านการพัฒนาให้มีราคาถูกกว่าน้ำยาที่ใช้ในการตรวจด้วยเทคนิค PCR มากเช่นกัน”
[caption id="attachment_52034" align="aligncenter" width="750"] ภาพบรรยากาศการสอนผู้ประกอบการหรือเกษตรกรใช้งานชุดตรวจ[/caption]
[caption id="attachment_52035" align="aligncenter" width="750"] ภาพบรรยากาศการสอนผู้ประกอบการหรือเกษตรกรใช้งานชุดตรวจ[/caption]
ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมแล้วที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชุดตรวจโรคกุ้งทั้ง 4 โรคหลักที่พบในประเทศไทย โรคตัวแดงดวงขาว (WSSV) โรคกุ้งตายด่วน (EMS) โรคขี้ขาวอีเอชพี (EHP) และโรคแคระแกร็น (IHHNV) ทั้งการตรวจด้วยเทคนิค XO-AMP และ Real-AMP
คุณวรรณสิกา เสริมว่า ขณะนี้นอกจากการเสาะหาผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในธุรกิจชุดตรวจโรคกุ้งด้วยเทคนิคแลมป์แล้ว ไบโอเทค สวทช. ยังมองหาผู้ประกอบการในประเทศไทยที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ “การให้คำปรึกษาการตรวจโรคกุ้งด้วยเทคนิคแลมป์แบบเรียลไทม์” ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจ โดยผู้ประกอบการ 10 เจ้าแรกที่สนใจเข้าร่วม โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. จะ ‘ช่วยจ่ายค่าชุดตรวจโรคให้ร้อยละ 50’ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด)
ผู้ที่สนใจเทคโนโลยี ติดต่อขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตชุดตรวจทั้งเทคนิค XO-AMP และ Real-AMP ได้ที่คุณลินดา อารีย์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3301 หรืออีเมล linda.are@biotec.or.th และสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการการให้คำปรึกษาการตรวจโรคกุ้งด้วยเทคนิคแลมป์แบบเรียลไทม์ พร้อมเข้าร่วมแคมเปญช่วยจ่ายร้อยละ 50 จาก ITAP ติดต่อได้ที่ คุณเปรมฤดี ศรีทัพไทย เบอร์โทรศัพท์ 08 6781 1711 หรืออีเมล premrudee.sritupthai@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ไบโอเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ศุภมาส ผลักดันเศรษฐกิจ AI จ่อเสนอตั้งคณะกรรมการ AI แห่งชาติชุดใหม่
(วันที่ 29 มกราคม 2567) ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม: นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ที่กำลังกระทบทุกคน ทุกประเทศ เพราะถูกใช้ในแทบทุกอุตสาหกรรมและ กลุ่มอาชีพ ตลอดจนในชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่การเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่รอบรู้ เช่น ChatGPT หรือโปรแกรมสร้างรูปเหมือนจริงที่กำลังนิยมใช้กันเท่านั้น แต่ถูกใช้ในการตลาด โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงการแพทย์มาสักระยะหนึ่งแล้ว และกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว จึงกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเทคโนโลยี AI นี้ เช่นเดียวกับการที่เทคโนโลยีใหม่เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการที่เทคโนโลยีเครื่องจักรกลก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงปี พ.ศ. 2303 หรือเทคโนโลยีสารกึ่งตัวนำก่อให้เกิดการปฏิวัติอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงปี พ.ศ. 2490 ที่แตกต่างคือ เทคโนโลยี AI นี้จะสร้างผลกระทบรุนแรงและรวดเร็วต่อเศรษฐกิจกว่าทุกเทคโนโลยีที่ผ่านมา
ดังนั้น ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) จึงผลักดันให้มีการเริ่มจัดทำแผนการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ AI ของประเทศ โดยในครั้งนี้ที่ประชุมซึ่งประกอบด้วยกรรมการจากผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น อธิการบดี ข้าราชการระดับสูง CEO ปตท. SCG และไทยพาณิชย์ เป็นต้น ได้พิจารณาเห็นชอบร่างแผนการใช้ประโยชน์ AI พร้อมทั้งให้ความเห็นเชิงนโยบายก่อนนำเสนอคณะกรรมการ AI แห่งชาติต่อไป โดยแผนนี้จะทำให้เกิดการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ AI อย่างเป็นรูปธรรมเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศและลดการเสียเปรียบทางเศรษฐกิจ โดยจะต้องใช้และพัฒนาผู้เชี่ยวชาญที่เป็นคนไทยให้มากที่สุดและเร็วที่สุด ควบคู่กับการนำเข้าเทคโนโลยี AI จากต่างประเทศ โดยการทำงานต้องมีการวางแผน แบ่งงาน และร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ พร้อมกลไกการสนับสนุนจากภาครัฐในจุดที่สำคัญ จึงจะประสบความสำเร็จในเชิงการใช้ประโยชน์และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
นอกจากนั้น นางสาวศุภมาส เปิดเผยว่า กระทรวง อว. ได้เตรียมรายชื่อคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ชุดใหม่ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกรรมการชุดนี้มีผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวง อว. เป็นเลขานุการร่วมกับเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวง DE
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า สาระสำคัญที่ได้รับคำแนะนำจากคณะกรรมการในวันนี้มีประโยชน์ต่อการดำเนินงานเป็นอย่างมาก การเห็นชอบของคณะกรรมการ กวทช. ครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการลงรายละเอียดในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565-2570 (Thailand National AI Strategy) ซึ่งอาศัยกำลังทั้งจาก สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร เพราะจากผลสำรวจความพร้อมในการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในประเทศไทย ในปี 2566 พบว่ามีหน่วยงานเพียง 15.2% จากกลุ่มตัวอย่างสำรวจที่ได้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้งานแล้ว แสดงถึงความต้องการขับเคลื่อนผลักดันระบบนิเวศของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ภายในประเทศทั้งองคาพยพ
ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการดำเนินงานเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ai.in.th/
ข่าวประชาสัมพันธ์
🎉Easy E-Receipt @ TSP ช้อปดีมีคืน ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
🎉Easy E-Receipt @ TSP
ช็อปดีมีคืน ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
.
บริการห้องประชุมสัมมนา Meeting package ห้องพักค้างคืน พื้นที่ออกบูธ สินค้าภายใน NSTDA@TSPCC
.
✨ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท
ตั้งเต่วันนี้ ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567
.
👉สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
INBOX : https://bit.ly/3bOUWLm
โทรศัพท์ : 02-564-7170 กด 1
.
ติดต่อห้องพักค้างคืน และพื้นที่ออกบูธ
ศูนย์บริการลูกค้า 02-564-7200 ต่อ 5555 หรือ 02-117-6900
อีเมล cs@sciencepark.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
ระบบบำบัดน้ำบาดาลด้วยนาโนไฮบริดเมมเบรน นวัตกรรมนาโนเทค สวทช. รับ BCG เพื่อความยั่งยืน
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านวัสดุนาโน ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตและภัยแล้งที่ชุมชนหลายแห่งของไทยต้องเผชิญเมื่อใช้น้ำบาดาลในการดำรงชีวิต “นาโนไฮบริดเมมเบรน” ที่ผสานวัสดุกราฟีนออกไซด์และนาโนเคลย์ สู่แผ่นเมมเบรนที่มีรูพรุนระดับนาโน/ไมครอนสำหรับใช้ในระบบกรอง ถอดเปลี่ยน-ล้าง (regenerate) ใหม่ได้ ตอบโจทย์ความต้องการระบบการบำบัดน้ำบาดาลที่มีการปนเปื้อนไอออนต่างๆ เช่น เหล็ก แมงกานีส แคลเซียม เกลือ พร้อมต่อยอดพัฒนาต้นแบบระบบน้ำกรองของโรงเรียน ณ จังหวัดอุดรธานี หวังเป็นตัวช่วยกลุ่มชุมชน โรงเรียน หมู่บ้าน และพื้นที่ชายขอบที่ประสบปัญหาในเรื่องของคุณภาพน้ำด้วยระบบการจัดการน้ำสะอาดที่มีประสิทธิภาพ ตอบ BCG ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนไทย
ดร. กฤตภาส เลาหสุรโยธิน ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ระบบน้ำบาดาลมีความสำคัญมากในพื้นที่ที่มีความต้องการน้ำใช้เพื่ออุปโภคและบริโภค ซึ่งในหลายพื้นที่ พบว่า น้ำบาดาลมีการปนเปื้อนไอออนต่างๆ เช่น เหล็ก แมงกานีส แคลเซียม หรือเกลือ ที่ส่งผลต่อคุณภาพน้ำ และคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้ใช้น้ำ ทีมวิจัยนาโนเทคจึงนำองค์ความรู้มาพัฒนาต่อยอดจากวัสดุนาโนที่มีโครงสร้าง 2 มิติ จากนาโนเคลย์หรือเลเยอร์ดับเบิ้ลไฮดรอกไซด์ที่มีสมบัติในการดูดซับและแลกเปลี่ยนไอออนในการตรึงไอออนและโมเลกุลของสารประกอบต่างๆ เพื่อให้สามารถเพิ่มสมบัติการดูดซับสารปนเปื้อนดียิ่งขึ้น
“เราศึกษาอย่างต่อเนื่องร่วมกับการพัฒนาเสริมวัสดุกราฟีนออกไซด์ให้เป็นคอมพอสิตระดับนาโนไฮบริดของวัสดุสองมิติ 2 ชนิด ที่มีความเข้ากันได้ โดยมองความเป็นไปได้ที่วัสดุนาโนไฮบริดนี้จะถูกนำไปใช้งานจริง และมี TRL ที่สูงขึ้นเพื่อการต่อยอดใช้ประโยชน์ทั้งเชิงพาณิชย์และเชิงสาธารณะประโยชน์ ด้วยเหตุนี้จึงออกแบบให้วัสดุดังกล่าว อยู่ในรูปของแผ่นเมมเบรนที่มีรูพรุนระดับนาโนหรือไมครอนซึ่งจะทำให้ถูกนำไปใช้งานในระบบกรอง ถอดเปลี่ยน และล้าง (regenerate) ให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้” ดร. กฤตภาสกล่าว
ในงานวิจัยส่วนนี้ นาโนเทค สวทช. พร้อมกับผู้ร่วมวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SIIT) ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อพัฒนาและออกแบบนาโนไฮบริดเมมเบรนพร้อมระบบชุดกรองน้ำแบบไหลข้าม (crossflow) สำหรับการกำจัดไอออนแคลเซียมและเกลือคลอไรด์จากกลไกการดูดซับและการแยกไอออนจากลักษณะชั้นระดับนาโน (nanochannel) จากการซ้อนทับกันของกราฟีนออกไซด์และนาโนเคลย์ โดยมีประสิทธิภาพและความเป็นไปได้ในการพัฒนาต่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชน ซึ่งเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นได้จริง
ในการเตรียมวัสดุเลเยอร์ดับเบิ้ลไฮดรอกไซด์หรือนาโนเคลย์สังเคราะห์นั้น นักวิจัยนาโนเทคเผยว่า สามารถเตรียมขึ้นได้จากเกลือไนเตรดของโลหะที่เป็นไดเวเลนท์แคตไอออนกับไตรเวเลนท์แคตไอออน เมื่อใช้ไอออนของโลหะที่เหมาะสม จะสามารถเตรียมและผลิตเลเยอร์ดับเบิ้ลไฮดรอกไซด์ที่มีสมบัติเฉพาะต่างกัน และมีสมบัติการดูดซับและการแลกเปลี่ยนไอออนลบจากชั้นระหว่างเลเยอร์ของแคตไอออนไฮดรอกไซด์ เมื่อนำไปผนวกกับส่วนประกอบของวัสดุคาร์บอนจึงเป็นการเพิ่มสมบัติการดูดซับและพื้นที่ผิวให้สูงขึ้น
การสร้างคาร์บอนที่มีสมบัติหลากหลายและมีพื้นที่ผิวสูง เช่นกราฟีนออกไซด์ ที่มีสมบัติเชิงโครงสร้างแบบ 2D จะมีความสอดคล้องกันกับมิติของวัสดุเลเยอร์ดับเบิ้ลไฮดรอกไซด์ เมื่อทำการผสมแบบ in-situ ตามวิธีที่ทางนาโนเทคพัฒนาขึ้นนี้ ทำให้มีการก่อตัวของของผสมทั้งสองชนิดและได้วัสดุคอมพอสิตแบบ 2D/2D ที่ยากจะแยกกันออก ข้อดีของแนวทางแบบนี้คือทำให้วัสดุมีสมบัติการดูดซับและตรึงไอออนของเป้าหมายได้ดีขึ้น ที่สำคัญ เมื่อนำไปขึ้นรูปเป็นแผ่นเยื่อกรองโดยมีวัสดุยึดเหนี่ยวที่เหมาะสม จะทำให้วัสดุคอมพอสิตนี้ มีความเสถียร ทนต่อการนำไปใช้งานในการแยกผ่านตะกอนหรืออนุภาคได้ดี โดยเฉพาะการก้าวข้ามข้อจำกัดด้านการเป็นวัสดุที่มีความชอบน้ำต่ำ (hydrophilicity) ของกราฟีนออกไซด์ที่จะสลายตัวเมื่อนำไปใช้ในงานด้านน้ำ ดังนั้น เมื่อวัสดุนาโนไฮบริดนี้อยู่ในรูปของเมมเบรนที่มีขนาดรูพรุนเล็กระดับไมครอน และมีความเสถียรสูงจึงสามารถนำมาใช้รับแรงดันในกระบวนการกรองน้ำได้ผ่านการดูดซับและกรองแบบไหลข้าม (crossflow) ที่มีข้อดีกว่าแบบ dead-end หรือกรองแบบตั้งฉากกับหน้าแผ่นกรองที่จะเกิดการสะสมและอุดตันจนไม่สามารถใช้งานต่อได้
“ผลการทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการ แสดงให้เห็นว่า วัสดุเมมเบรนนี้มีสมบัติในการดูดซับไอออนที่มีประจุทั้งในกลุ่มไอออนลบ เช่น Cl- และไอออนบวก เช่น Ca2+ และไอออนอื่นๆ” ดร. กฤตภาสกล่าว พร้อมชี้ว่า งานวิจัยนี้พัฒนาวัสดุนาโนคอมพอสิตขั้นสูงนี้ สามารถพัฒนากระบวนการที่มีประสิทธิภาพ โดยรวมถึงการควบคุมอัตราส่วนทางเคมี อุณหภูมิ และบรรยากาศที่เหมาะสมจึงเกิดวัสดุดังกล่าวได้ นอกจากนี้ ยังพัฒนาเทคนิคในการผลิตในปริมาณมาก การออกแบบและพัฒนารูปแบบการเตรียมให้ได้วัสดุในรูปผงแห้ง ที่เก็บได้ยาวนานกว่าและคงประสิทธิภาพได้ดีเช่นเดียวกับวัสดุที่เพิ่งเตรียมขึ้นใหม่ ในสถิติ สามารถเก็บไว้ได้นานเกิน 1 ปี จึงพร้อมสำหรับการต่อยอดสู่งานวิจัยและพัฒนาวัสดุอื่นต่อไป
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังกำลังดำเนินงานวางแผนพัฒนาระบบน้ำกรองของโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ผ่านความร่วมมืออย่างน้อยสองเครือข่าย ได้แก่ มรภ.ราชภัฏอุดรธานี และทางโรงเรียนเป้าหมายใน ตำบลพันดอน อำเภอกุมภวาปี จ.อุดรธานี ภายใต้โครงการงบบูรณาการน้ำ ปี 2567 ซึ่งจะเป็นการสำรวจคุณภาพน้ำและทำการปรับปรุงฟื้นฟูระบบกรองน้ำที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นอีกครั้งโดยการใช้ระบบตกตะกอน การให้อากาศ และการกรองผ่านระบบไมโครเมมเบรนนาโนไฮบริด โดยจะมีการติดตาม ทดสอบผลเปรียบเทียบความแตกต่างของระบบที่ติดตั้ง เพื่อรวบรวมเป็นผลงานวิจัยเชิงวิชาการ และร่วมกับการพัฒนาทักษะและความเข้าใจให้กับโรงเรียนและชุมชนผู้ดูแลระบบในพื้นที่จริง ให้ทราบถึงประโยชน์ของนาโนเทคโนโลยีต่อไป
“นวัตกรรมแผ่นไมโครเมมเบรนพร้อมด้วยชุดกรองแบบไหลข้ามนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับกลุ่มชุมชนที่ประสบปัญหาในเรื่องของคุณภาพน้ำ มีโรงเรียน หมู่บ้าน และพื้นที่ชายขอบที่ยังมีความต้องการระบบการจัดการน้ำสะอาดที่มีประสิทธิภาพ ตอบโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการใช้ วทน. ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนไทย ในขณะเดียวกัน การพัฒนาวัสดุนาโนไฮบริดของเลเยอร์ดับเบิ้ลไฮดรอกไซด์และกราฟีนออกไซด์นี้ ยังพร้อมสำหรับการผลิตในเชิงพาณิชย์เมื่อมีผู้สนใจรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการวิจัยเพิ่มเติมถึงการใช้งานอื่นๆ ที่หลากหลาย และนำเสนอให้ผู้สนใจได้เห็นโอกาสในการนำไปขยายผลเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ต่อไป” ดร. กฤตภาสกล่าวย้ำ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช’ ยกระดับเกษตรกรรมไทยให้ปลอดภัยและยั่งยืน
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ทั่วทุกภูมิภาค และมีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญหลายชนิด แต่ในระหว่างการผลิต เกษตรกรต้องเผชิญกับปัญหาศัตรูพืช ทั้งโรค แมลง และวัชพืช ซึ่งบางฤดูกาลอาจพบการระบาดรุนแรงและสร้างความเสียหายให้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจำนวนมากเช่นเดียวกัน และเมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานจะส่งผลให้เกิดการดื้อยา มีสารพิษตกค้างในผลิตภัณฑ์ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเกษตรกร รวมถึงปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม เป็นอันตรายต่อทั้งคน สัตว์ ระบบนิเวศ และกระทบต่อการทำเกษตรในระยะยาว
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้มุ่งวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์ทางการเกษตรสำหรับใช้ในไม้ผล พืชผัก พืชสวน พืชไร่ โดยเฉพาะนาข้าว เพื่อช่วยเกษตรกรแก้ปัญหาศัตรูพืชในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และลดต้นทุนจากการใช้สารเคมี โดยชีวภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืช และชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช
คัดเลือกจุลินทรีย์พัฒนาเป็นชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช
[caption id="attachment_51700" align="aligncenter" width="750"] ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันมีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในพื้นที่เพาะปลูกเป็นปริมาณมาก โดยสารเคมีที่ใช้ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ ทีมวิจัยจึงได้ดำเนินการคัดเลือกจุลินทรีย์จากคลังจุลินทรีย์ของประเทศที่มีประสิทธิภาพควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชได้สูงในระดับห้องปฏิบัติการ นำมาพัฒนาเป็นชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช เช่น ราบิวเวอเรีย (Beauveria bassiana สายพันธุ์ BCC 2660) สำหรับควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไก่แจ้ แมลงหวี่ขาว แมลงวันผลไม้ ฯลฯ ซึ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนผลิตเป็นชีวภัณฑ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนกรมวิชาการเกษตรแล้ว
[caption id="attachment_51701" align="aligncenter" width="750"] ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ[/caption]
นอกจากนี้ยังมีราเมตาไรเซียม (Metarhizium สายพันธุ์ BCC 4849) เพื่อควบคุมไรแดง แมลงวันผลไม้ แมลงปีกแข็งชนิดต่างๆ โปรตีนวิป (VIP) จากแบคทีเรียบีที ใช้ควบคุมหนอนผีเสื้อต่าง ๆ และไวรัสเอ็นพีวี (NPV) 3 ชนิด ใช้ควบคุมหนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก และหนอนเจาะสมอฝ้ายได้อย่างจำเพาะเจาะจง โดยนำชีวภัณฑ์ผสมน้ำและฉีดพ่นให้ทั่วแปลงปลูกในช่วงเวลาเย็นเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนและแสงยูวีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์
ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืช ช่วยชาวสวนทุเรียนสู้โรครากเน่า-โคนเน่า
โรครากเน่า-โคนเน่าถือเป็นปัญหาโรคพืชที่ร้ายแรงของชาวสวนทุเรียนที่มักระบาดหนักในฤดูฝน หากต้นทุเรียนเป็นโรครุนแรงอาจทำให้ยืนต้นตายได้ ทีมวิจัยได้พัฒนาชีวภัณฑ์จากเชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma asperellum สายพันธุ์ TBRC 4734) ที่ควบคุมราก่อโรคพืชได้หลายชนิด เช่น โรครากเน่า-โคนเน่าจากเชื้อไฟทอปธอรา (Phytophthora) โรคเน่าคอดินที่เกิดจากเชื้อพิเทียม (Pythium) และ โรคราน้ำค้างที่เกิดจากเชื้อราเพอโรโนสปอรา (Peronospora)
[caption id="attachment_51702" align="aligncenter" width="450"] การใช้ชีวภัณฑ์ราไตรโคเดอร์มาควบคุมโรครากเน่าโคนเน่าในต้นทุเรียนที่เกิดจากเชื้อไฟทอปธอรา ช่วยหยุดการตายของต้นทุเรียนและทำให้ต้นทุเรียนค่อย ๆ ฟื้นตัว[/caption]
“เราได้นำชีวภัณฑ์ราไตรโคเดอร์มาไปทดสอบในสวนทุเรียนของเกษตรกรที่มีปัญหาโรครากเน่าโคนเน่าอย่างรุนแรงในจังหวัดระยอง พบว่าชีวภัณฑ์สามารถหยุดการตายของต้นทุเรียนได้ และทำให้ต้นทุเรียนค่อย ๆ ฟื้นตัว ดังนั้นทีมวิจัยจึงได้สนับสนุนให้เกษตรกรฉีดพ่นไตรโคเดอร์มาแบบปูพรมทั้งสวน เพื่อลดความรุนแรงของเชื้อราไฟทอปธอร่า และยังส่งเสริมความแข็งแรงของพืชได้อีกด้วย ช่วยเกษตรกรลดความเสียหายจากโรครากเน่าโคนเน่าได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี” ดร.อลงกรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้พัฒนาชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืชอีกหลายชนิด ทั้งโรคพืชที่เกิดจากแบคทีเรียและถ่ายทอดผ่านเมล็ดได้ เช่น โรคกล้าไหม้และผลเน่าของแตง โรคไหม้ของพืชตระกูลพริกและกะหล่ำ โรคเหี่ยวเขียวของพืชหลายตระกูล
ค้นหาเชื้อรา พัฒนาสารสกัดคุมวัชพืช
ดร.อลงกรณ์ ให้ข้อมูลว่า วัชพืชเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่พบได้ทั่วไปในแปลงเกษตร โดยที่ผ่านมาประเทศไทยนำเข้าสารเคมีกำจัดวัชพืชมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของสารเคมีเกษตรทุกชนิด ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวรค้นหาสารกำจัดวัชพืชจากธรรมชาติ โดยคัดแยกจุลินทรีย์จากตัวอย่างวัชพืชที่เป็นโรค นำมาเพาะเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเชื้อและสกัดสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต่อวัชพืชมาพัฒนาสูตรชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช
“สารชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืชที่เราผลิตได้เป็นสารสกัดจากกลุ่มเชื้อราที่แยกได้จากวัชพืช เช่น ราลาซิโอไดโพลเดีย (Lasiodiplodia theobromae) เมื่อเลี้ยงในอาหารต้นทุนต่ำจากวัสดุเหลือใช้ทางอุตสาหกรรมจะผลิตสารได้หลายชนิด นำมาผสมเป็นสูตรชีวภัณฑ์ในรูปแบบไมโครอิมัลชัน ใช้ฉีดพ่นในแปลงเกษตรควบคุมวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับสารเคมีกำจัดวัชพืชที่ใช้กันทั่วไป ควบคุมได้ทั้งวัชพืชใบกว้างและใบแคบ เช่น ตีนตุ๊กแก หญ้าปากควาย สาบม่วง และผลการทดสอบพิษวิทยาในสัตว์ทดลองพบว่ามีความปลอดภัยต่อมนุษย์และสัตว์ ปัจจุบันได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) พัฒนากระบวนการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมเพื่อเตรียมพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผู้ประกอบการ”
[caption id="attachment_51703" align="aligncenter" width="750"] สารชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช ควบคุมได้ทั้งวัชพืชใบกว้างและใบแคบ[/caption]
นอกจากการพัฒนาสารชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชแล้ว ทีมวิจัยยังได้รวบรวมองค์ความรู้จากการทำงานด้านชีวภัณฑ์ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรและเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อจัดทำคู่มือการจัดการศัตรูพืชด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจร (SOP) สำหรับทุเรียนและถั่วฝักยาวเผยแพร่ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ของทีมวิจัยและพันธมิตร เพื่อส่งเสริมเกษตรกรให้ใช้ชีวภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ถูกกับชนิดศัตรูพืช ถูกวิธี และถูกเวลา
[caption id="attachment_51704" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ถ่ายทอดความรู้ด้านการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชแก่เกษตรกร[/caption]
[caption id="attachment_51705" align="aligncenter" width="750"] : ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ถ่ายทอดความรู้ด้านการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชแก่เกษตรกร[/caption]
[caption id="attachment_51706" align="aligncenter" width="750"] : ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. ถ่ายทอดความรู้ด้านการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชแก่เกษตรกร[/caption]
การใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชจะส่งผลดีในหลายด้าน ทั้งช่วยลดการใช้สารเคมีในแปลงเกษตร ลดสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์ ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์เคมีจากต่างประเทศ ไม่พบปัญหาแมลงศัตรูพืชดื้อต่อชีวภัณฑ์ ที่สำคัญคือมีความปลอดภัยต่อมนุษย์ สัตว์ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศด้านเกษตรปลอดภัยและการผลิตผักผลไม้อินทรีย์ สอดรับกับนโยบาย BCG Economy Model ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ผู้สนใจเทคโนโลยี ‘ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช’ ติดต่อได้ที่ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก ‘ชีวภัณฑ์ไบโอเทค เพื่อผักผลไม้ปลอดภัย’
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยเด็กเยอรมนี ยกย่องแนวทางการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากอาหารไทย
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2566 ณ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา : รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) พร้อมด้วย นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร. รูดอล์ฟ เฮอร์เบอร์ส หัวหน้าห้องปฏิบัติการทอยโทแลป แห่งมหาวิทยาลัยบีเลเฟลด์ โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และ ไฮดี้ สตาร์ค ผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตรในโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้การทำอาหารไทย เพื่อเชื่อมโยงการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านการทำอาหารไทยเมนูต่าง ๆ ได้แก่ ส้มตำ กุ้งทอดราดซอสมะขาม ต้มข่าไก่ แกงเขียวหวาน และขนมทับทิมกรอบ
รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงสุมณฑา ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการสอนทำอาหารไทยครั้งนี้ กล่าวว่า อาหารไทยเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์และมีลักษณะพิเศษที่บ่งบอกว่าเป็นอาหารไทยที่เป็นที่ชื่นชอบของคนหลายประเทศ โดยเฉพาะวัตถุดิบและเครื่องปรุง ตลอดจนขั้นตอนในการทำอาหารไทยแต่ละชนิด ทำให้ได้อาหารที่มีลักษณะและรสชาติเฉพาะแตกต่างกันในแต่ละเมนู และความน่าอัศจรรย์ของวัตถุดิบที่ใส่ลงในอาหารไทยถึงแม้ว่าวัตถุดิบนั้นจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่เมื่อใส่ลงไปในอาหารแล้วทำให้รูปร่างหรือรสชาติอาหารไม่เหมือนกัน ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากอาหารไทยได้เป็นอย่างดี
สำหรับกิจกรรมทำอาหารไทยครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้ทดลองทำอาหารไทยที่สามารถเชื่อมโยงกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เช่น การทำส้มตำ จะได้เรียนรู้ผ่านอุปกรณ์ที่ใช้ตำส้มตำ ครกควรเป็นครกดินเผา ไม่ใช้ครกหิน เพราะจะทำให้พริก กระเทียม และเนื้อมะละกอ ไม่ช้ำมากเกินไป ดูน่ารับประทาน รวมทั้งได้เรียนรู้ปฏิกิริยาเคมีและการเปลี่ยนแปลงสสาร เช่น การเปลี่ยนแปลงของแป้งชนิดต่าง ๆ เมื่อได้รับความร้อน แป้งที่นำมาใช้เป็นองค์ประกอบในเมนูกุ้งทอดราดซอสมะขาม และแป้งที่ใช้ในเมนูขนมทับทิมกรอบ ใช้ชนิดแป้งต่างกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเยอรมันกล่าวว่าลักษณะแป้งภายนอกที่ดูเหมือนกัน แต่เมื่อใส่ลงในเมนูอาหารแล้ว เมนูหนึ่งช่วยทำให้กุ้งแข็งกรอบ แต่แป้งอีกชนิดที่ใส่ทำให้อีกเมนูมีความนุ่มลื่น คุณสมบัติของแป้งทั้งสองที่แตกต่างกันนี้ สามารถนำมาเรียนรู้และอธิบายในเรื่องของวิทยาศาสตร์ได้
นายพงศ์ภัค เชิงชาญกิจ อาจารย์ประจำโรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ และเชฟใหญ่ฝีมือเยี่ยมประจำร้านปรุงสารพัด สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา กล่าวว่า แป้งที่ใส่ลงในเมนูกุ้งทอดราดซอสมะขามนั้น เป็นแป้งสาลีที่มีคุณสมบัติยึดจับกับอาหารได้ดีและทำให้อาหารมีความกรอบร่วนเหมาะสำหรับนำมาใช้ทำอาหารจำพวกทอด ส่วนแป้งที่ใช้ห่อแห้วในเมนูขนมทับทิมกรอบนั้น คือแป้งมันสำปะหลัง เมื่อนำไปต้มในน้ำเดือดจะมีความอ่อนนุ่มใส ให้สังเกตว่าถ้าแป้งสุกแล้วจะใสและตัวทับทิมกรอบจะลอยขึ้นมา
อีกเมนูที่สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดาได้เตรียมให้ลองทำคือ แกงเขียวหวาน มีการใส่น้ำกะทิ 2 ครั้ง ซึ่งสามารถเชื่อมโยงและอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ว่า การใส่กะทิลงในแกงเขียวหวานครั้งแรก เป็นการใส่หัวกะทิ และครั้งที่ 2 ใส่หางกะทิ ซึ่งน้ำกะทิทั้งสองมีความเข้มข้นที่ต่างกัน หัวกะทิเป็นน้ำกะทิได้จากการคั้นมะพร้าวครั้งแรกและมีความเข้มข้นสูงที่สุด ส่วนหางกะทิเป็นการคั้นมะพร้าวครั้งที่ 2 หรือ 3 จะมีน้ำผสมอยู่มากกว่า ความเข้มข้นของกะทิจะลดลง การทำเมนูแกงเขียวหวานจะนำหัวกะทิที่มีความเข้มข้นผัดพร้อมพริกแกงเขียวหวานให้แตกมันก่อน แล้วค่อยเติมเนื้อสัตว์ ต่อจากนั้นจึงค่อยเติมหางกะทิเพื่อลดความเข้มข้นของหัวกะทิและได้เป็นน้ำแกงเขียวหวาน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเยอรมันได้ทดลองและชื่นชมอาหารไทยมีความน่าอัศจรรย์ สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี
ศาสตราจารย์ ดร. รูดอล์ฟ เฮอร์เบอร์ส กล่าวว่า จุดประสงค์ของการทำอาหารไทยครั้งนี้ คืออยากเรียนรู้พื้นฐานการทำอาหารไทย และทำเมนูง่าย ๆ ได้ แต่เมื่อได้มาลองทำจริงที่สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ก็พบว่า เรียนรู้วิทยาศาสตร์จากการทำอาหารได้อย่างสนุกและน่าสนใจ พ่อครัวที่ดีจะมีความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาสูตรอาหารที่ยอดเยี่ยมที่คนอื่นสามารถปรุงอาหารตามได้ นักวิทยาศาสตร์ก็เช่นเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ที่ดีจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ต่อยอดจากนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นได้ ถึงแม้การเป็นเชฟและนักวิทยาศาสตร์จะมีความแตกต่างกันแต่ก็สามารถเรียนรู้จากกันและกันได้ ขอขอบคุณเชฟจากสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดาที่ช่วยจัดเตรียมวัตถุดิบในการทำอาหารเป็นอย่างดี และช่วยอธิบายถึงความสำคัญของลำดับและกระบวนการทำอาหารได้เหมือนนักวิทยาศาสตร์ และสามารถอธิบายได้ดีเหมือนนักการศึกษาด้วย
ไฮดี้ สตาร์ค ผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตรในโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก กล่าวว่า รู้สึกประทับใจมากที่ได้มาลองทำอาหารไทยที่สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากการทำอาหารในครั้งนี้ และจะลองกลับไปทำอาหารที่เยอรมันด้วย แต่สิ่งสำคัญที่น่าสนใจมากคือการทำอาหารเกี่ยวข้องกับกระบวนการเคมีได้อย่างไร และการเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์กับการทำอาหารเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับนักเรียน เพราะสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงอยู่ในชีวิตประจำวันของนักเรียนอยู่แล้ว และสามารถนำไปเป็นกิจกรรมการทดลองแบบ hands-on ให้นักเรียนได้เรียนรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์จากอาหารได้อีกด้วย.
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไบโอเทค พร้อมพันธมิตร รุกพื้นที่ทุเรียนเมืองจันท์ นำชีวภัณฑ์จัดการศัตรูพืชและแมลงธรรมชาติ หนุนสู่ระบบเกษตรปลอดภัย
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรี ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช (ศทอ.) จังหวัดชลบุรี และศูนย์พัฒนาไม้ผลตามพระราชดำริจังหวัดจันทบุรี จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การจัดการโรคและแมลงศัตรูพืชในสวนทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์”
ณ ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนบ้านมาบโอน จังหวัดจันทบุรี และทางออนไลน์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ (17 ม.ค. 67) เพื่ออบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่เกษตรในพื้นที่เกี่ยวกับการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชในสวนทุเรียน การผลิตชีวภัณฑ์เบื้องต้นสำหรับใช้ในสวนทุเรียน เพื่อประโยชน์ด้านความปลอดภัยต่อตัวเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมจากการใช้ชีวภัณฑ์ ทำให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจและมั่นใจที่จะใช้ชีวภัณฑ์เพื่อจัดการศัตรูพืชในสวนทุเรียนมากขึ้น รวมถึงสามารถนำชีวภัณฑ์ไปปรับใช้กับสวนทุเรียนและผลิตชีวภัณฑ์ใช้เองได้ ส่งเสริมเกษตรกรสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิตในพื้นที่ ตามนโยบาย BCG สาขาเกษตร ด้วยการสร้างความพร้อมและความสามารถในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตชีวผลิตภัณฑ์สำหรับพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ นำสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดต่อไป
ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ (IBCT) ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการจัดการโรคและแมลงศัตรูพืชในสวนทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์ เป็นการส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชในทุเรียนอย่างถูกวิธี ให้แก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่เกษตรในพื้นที่ได้รับความรู้เรื่องการใช้ชีวภัณฑ์ที่ “ถูกชนิด ถูกเวลา ถูกวิธี” ด้วยการจัดการที่ดีในสวนทุเรียน และการผลิตชีวภัณฑ์ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ในพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย ซึ่งทุเรียนนับเป็นผลไม้ที่มีมูลค่าสูงมาก แต่ติดปัญหาหนึ่งที่สำคัญคือโรครากเน่าโคนเน่า ปกติเกษตรกรมักใช้สารเคมีปริมาณสูงมากเพื่อกำจัดแม้กระทั่งการฉีดเข้าไปที่ลำต้น สิ่งที่ทีมวิจัยฯ พยายามเข้าไปนําเสนอคือ การใช้จุลินทรีย์ เช่น ราไตรโครเดอร์มา เพื่อมาจัดการโรครากเน่าโคนเน่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถากทาที่แผล ร่วมกับการฉีดพ่นลงดินและบริเวณโคนต้น ในระยะยาวพบว่าเมื่อใช้ไปแล้ว 3-4 เดือน แผลแห้งลง ต้นที่มีการเหี่ยวเฉาจะฟื้นฟูขึ้นมา มีใบผลิงอกขึ้นชัดเจน รวมถึงยังมีชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เช่น ราบิวเวอเรียที่ใช้จัดการเพลี้ยไก่แจ้ เพลี้ยไฟและเพลี้ยจักจั่น และราเมตาไรเซียมที่ใช้กำจัดไรแดงและแมลงปีกแข็งชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
“จันทบุรีนับเป็นพื้นที่สำคัญในภาคตะวันออกที่มีการผลิตทุเรียนในพื้นที่มาก เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทีมวิจัยจึงได้บูรณาการเชิงพื้นที่ (Area-Based) กับหน่วยงานหลายภาคส่วน ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรให้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มในพืชเศรษฐกิจของจังหวัดอย่างทุเรียน ด้วยการใช้ชีวภัณฑ์จัดการศัตรูทุเรียน เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรที่มีประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง และรายได้สูง”
ด้าน นายปัญญา ประดิษฐสาร เกษตรจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า ทิศทางตลาดทุเรียนปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่จังหวัดได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้ชีวภัณฑ์ในสวนทุเรียน เพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับต้นทุเรียนและลดต้นทุนให้กับพี่น้องเกษตรกร เพราะหากต้นทุเรียนมีความแข็งแรง จะสามารถติดดอก ออกผลได้อย่างเต็มที่ แล้วคงต้นอยู่ได้อย่างยาวนาน ต่างจากการใช้สารเคมีอย่างพร่ำเพรื่อ ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและต้นทุเรียนจะอ่อนแอลงไปด้วย ในการสนับสนุนตรงนี้เรามีกลไกลผ่านทางศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนที่มีสมาชิกอยู่ในทุกอำเภอ ในทุกตำบล เพื่อให้การใช้สารชีวภัณฑ์เข้าไปช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัย และทำให้ผลผลิตมีคุณภาพยาวนาน
ทั้งนี้ การอบรมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว มีการให้ความรู้เรื่องการใช้ชีวภัณฑ์และคู่มือปฏิบัติงานเบื้องต้นในสวนทุเรียน การสำรวจและควบคุมแมลงศัตรูพืชในสวนทุเรียน การควบคุมโรครากเน่าโคนเน่าในสวนทุเรียนด้วยราไตรโคเดอร์มา พร้อมติดอาวุธความรู้ด้วยฐานกิจกรรมเชิงปฏิบัติการอย่างเข้มข้นให้เกษตรกรได้ลงมือทำจริง ได้แก่ การใช้และการผลิตชีวภัณฑ์เบื้องต้น การสำรวจประเมินแมลงศัตรูพืชและศัตรูธรรมชาติในสวนทุเรียน และการสำรวจประเมินโรคพืชและใช้ราไตรโคเดอร์มาในสวนทุเรียน รวมถึงยังนำเกษตรกรเข้าเยี่ยมชมสวนทุเรียนตัวอย่างที่มีการใช้ชีวภัณฑ์เทียบกับการใช้สารเคมี และใช้แบบผสมผสานด้วย เพื่อให้ทราบถึงแบบแผนการจัดการศัตรูพืชแบบครบวงจรในทุเรียนและองค์ความรู้ในการจัดการศัตรูพืชอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ในงานยังมีการออกบูธของผู้ประกอบการที่ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านชีวภัณฑ์จาก สวทช. ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ด้านชีวภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน ทำให้เกษตรกรได้ใช้ชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปริมาณตามที่กรมวิชาการเกษตรได้แนะนำ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง
เกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถศึกษาและอ่านคู่มือการจัดการศัตรูทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์ในรูปแบบ e-book ได้ที่ลิงค์ https://anyflip.com/bookcase/buxwn พร้อมติดตามข่าวสารเกี่ยวกับชีวภัณฑ์เพื่อกำจัดแมลงศัตรูพืชได้ทางเพจ https://www.facebook.com/BIOTEC.Biocontrol
ข่าวประชาสัมพันธ์
เปิดรับสมัคร นักศึกษาทำวิจัยระยะสั้นที่ A-STAR !!!
.
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ เปิดรับสมัคร นักศึกษาระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโทไปทำวิจัยระยะสั้น ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของสำนักงาน A-STAR สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำปีการศึกษา 2567 (ค.ศ. 2024) โดยทุนดังกล่าวเป็นทุนภายใต้ Singapore International Pre-Graduate Award (SIPGA) ที่ทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 4 ทุน ระยะเวลา 2 – 6 เดือน ทำวิจัยใน 4 สาขาดังนี้
(1) Biomedical Sciences
(2) Computing and Information Sciences
(3) Engineering and Technology
(4) Physical Sciences
.
เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 15 มีนาคม 2567
.
รายชื่อโครงการวิจัยที่นักศึกษาสามารถเลือกไปปฏิบัติการวิจัย (SIPGA Projects List) ดูได้ที่ https://psit.e-office.cloud/d/0ce28d48 · สนใจประกาศรับสมัคร ดูและสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/a-star/
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โทร. 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์)
email : info@princess-it.org
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.princess-it.org/scholarship/
ปฏิทินกิจกรรม
EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยาก จากปาล์มน้ำมันไทย
นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. พัฒนา EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยาก ผลิตจากปาล์มน้ำมันไทย เพื่อลดโอกาสการเกิดเหตุไฟไหม้ลุกลามในกรณีหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน อีกทั้งยังส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย ปัจจุบันทีมนักวิจัยร่วมกับหน่วยงานการไฟฟ้าภาครัฐ เตรียมนำไปทดสอบการใช้งานจริงในพื้นที่นำร่องเป็นเวลา 1 ปี ก่อนขยายผลการใช้งานต่อไป
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
เดินหน้าขยายผล! HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ
นักวิจัยเนคเทค สวทช. เดินหน้าพัฒนาและขยายผลการใช้งาน HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ เป็นเทคโนโลยีเซนเซอร์และระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแปลงเพาะปลูก ปัจจุบันมีศูนย์ต้นแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์มมากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ และประกาศเป็นเทคโนโลยีแบบเปิดเพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ผู้ที่สนใจสามารถติดตามได้ที่ https://handysense.io หรือ https://www.facebook.com/groups/handysense/
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ขอเรียนเชิญเข้าร่วมงานสัมมนาในรูปแบบ ONSITE ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ในหัวข้อ Top 10 Technology & Cyber Security Trends and Updates 2024
FREE ONSITE SEMINAR ❗ หัวข้อ: Top 10 Technology & Cyber Security Trends and Updates 2024 ขอเรียนเชิญเข้าร่วมงานสัมมนาในรูปแบบ ONSITE ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ! เดินทางมาง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพู 🚝 ขอเชิญทุกท่านมาร่วม Update ความรู้และทักษะใหม่ๆ
🔵วิเคราะห์ก้าวต่อไปของเทรนด์เทคโนโลยีในปี 2024
🟢พร้อมประเด็นกระแสความแรงของ Generative AI อย่าง ChatGPT และเครื่องมืออื่นๆ ที่หลายๆ อาชีพนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั้งในวงการธุรกิจและการศึกษา
🟡Platform Development Trends 2024 ที่นักพัฒนาโปรแกรมควรรู้
🔴รวมไปถึงอัปเดตเรื่อง Cybersecurity และ Digital Risks ที่ยังคงคุกคามภาคธุรกิจและประชาชนในรูปแบบต่างๆ จะได้รู้เท่าทัน และมีภูมิคุ้มกันต่อ Cyber Threats
👉พบคำตอบจากกูรูระดับ Top ของประเทศ และเคลียร์ทุกคำตอบแบบ INSIGHT ได้ในงานนี้
Top 10 Technology & Cyber Security Trends and Updates 2024
📅วันที่: วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567
🕛เวลา: 12.00 - 16.30 น.
📍สถานที่: ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 3
อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค ถ.แจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ปฏิทินกิจกรรม
7 ข้อเท็จจริงควรรู้เกี่ยวกับลิเทียมและอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
ข่าวการค้นพบแหล่งแร่ลิเทียมในประเทศไทยในช่วงราววันที่ 17-18 มกราคม พ.ศ. 2567 ทำให้คนไทยจำนวนมากสนใจ และอาจเกิดข้อสงสัยว่าการค้นพบครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรต่ออุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าของไทยหรือไม่ อย่างไร ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอให้ข้อมูลเบื้องต้นที่สำคัญโดยสังเขป ดังนี้
1 ) ลิเทียมเป็นธาตุหลักที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Li-ion battery) ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่นิยมใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในยานยนต์ไฟฟ้า โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ หลายประเภท ทั้งนี้ลิเทียมถูกใช้งานในรูปของสารประกอบ โดยสารประกอบลิเทียมเป็นองค์ประกอบหลักของแคโทดในเซลล์แบตเตอรี่
2 ) สารประกอบของลิเทียมที่ใช้ทำแคโทดมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของแบตเตอรี่ ที่น่ารู้จัก เช่น แบตเตอรี่ชนิด NMC ใช้สารประกอบ LiNiMnCoO2 ซึ่งมีธาตุลิเทียม นิกเกิล แมงกานีส และโคบอลต์ในรูปของออกไซด์ หรือแบตเตอรรี่ชนิด LFP ใช้สารประกอบ LiFePO4 ซึ่งมีธาตุลิเทียม เหล็ก และฟอสฟอรัสในรูปของออกไซด์ เป็นต้น จะเห็นว่าในการผลิตแบตเตอรี่จำเป็นต้องใช้ธาตุหลายชนิดเพื่อผลิตขั้วแคโทด นอกจากนี้ชิ้นส่วนอื่นๆ ในแบตเตอรี่ยังจำเป็นต้องใช้ธาตุอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าขั้วแอโนด สารอิเล็กโทรไลต์ เมมเบรน วัสดุหุ้มเซลล์ ขั้วนำไฟฟ้าทั้งฝั่งแคโทดและแอโนด รวมทั้งส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ นั่นคือ ธาตุลิเทียมเพียงอย่างเดียวยังไม่สามารถผลิตออกมาเป็นแบตเตอรี่ที่สมบูรณ์ได้
3 ) การผลิตลิเทียมในปัจจุบันมาจากสองรูปแบบหลัก ได้แก่ น้ำเกลือ (brine) และ หินแร่ (hard rock) โดยน้ำเกลือลิเทียมพบมากในแถบอเมริกาใต้ เช่น ชิลี โบลิเวีย อาร์เจนตินา และสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนหินแร่พบกระจายอยู่ทั่วไปในรูปของสโปดูมีน (spodumene) และหินแร่อื่นๆ เช่น เลพิโดไลต์ (lepidolite) ทั้งนี้ในประเทศไทยมีการพบแร่เลพิโดไลต์ (lepidolite) ในหินเพกมาไทต์ (pegmatite) โดยแร่ดังกล่าวมีความสมบูรณ์ของลิเทียมหรือเกรดลิเทียมออกไซด์เฉลี่ย 0.45%
4 ) ประเด็นสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไออนคือ จะต้องผลิตธาตุลิเทียมที่มีความบริสุทธิ์ในปริมาณที่สูงเพียงพอ และลิเทียมต้องอยู่ในรูปสารประกอบที่เหมาะสมสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ชนิดที่ต้องการ เช่น การผลิตแบตเตอรี่ชนิด NMC ใช้ลิเทียมไฮดรอกไซด์ และการผลิตแบตเตอรี่ชนิด LFP ใช้ลิเทียมคาร์บอเนต เป็นต้น ดังนั้น จึงยังมีข้อพิจารณาสำคัญว่าในกระบวนการถลุงและแต่งแร่ที่ค้นพบนี้จะได้ธาตุลิเทียมและสารประกอบที่ต้องการมีคุณสมบัติทางเทคนิคที่เหมาะสมและปริมาณมากเพียงพอแก่การผลิตแบตเตอรี่หรือไม่
5 ) อีกปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่ ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการสร้างเหมืองและระยะเวลาที่ใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตแร่ ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาราว 5-10 ปี อันเป็นระยะเวลาที่นานกว่าการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่หรือโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
6 ) นอกจากการผลิตลิเทียมจากแหล่งแร่ใหม่ๆ แล้ว การรีไซเคิลลิเทียมจากแบตเตอรี่ใช้แล้วก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นอย่างดี
7 ) อุตสาหกรรมแบตเตอรี่มีห่วงโซ่คุณค่าที่ยาวและค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นประเทศไทยจึงมีโอกาสที่จะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่นี้ได้ในหลายจุดหากมีการให้ความสำคัญ ดำเนินการศึกษาและส่งเสริมในทิศทางนี้อย่างจริงจัง ทั้งนี้พึงระลึกว่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สามารถเป็น New S-curve ได้ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็นต้องอิงกับยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากการใช้งานแบตเตอรี่มีความหลากหลายไม่จำเพาะแต่เพียงยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น
เรียบเรียงโดย สุมิตรา จรสโรจน์กุล และ พิมพา ลิ้มทองกุล ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช
อ้างอิงจาก Gielen, D. and M. Lyons (2022), Critical Materials for the Energy Transition: Lithium, International Renewable Energy Agency, Abu Dhabi.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


