หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
KM Experiences in IE Singapore
IE Singapore หรือ International Enterprise Singapore มีสาขาอยู่หลายประเทศทั่วโลกด้วยการที่ต้องทำหน้าที่สนับสนุนให้มีการลงทุน ของต่างประเทศเพือให้เกิดการค้าระหว่างประเทศ IE Singapore เองก็มีการจัดการความรู้ หรือ KM ด้วยเช่นกัน  ด้วยเหตุผล: เห็นว่า KM จะเป็นตัวขับเคลื่อนในการพัฒนา IE มีความต้องการในการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการตลาดและอุตสาหกรรมใหม่ สารสนเทศทะลักทะลายในองค์กร  จากอินเทอร์เน็ต ฟอรัม การแสดงนิทรรศการสินค้า และสื่อต่างๆ การลาออกของพนักงาน IE Singapore นำ KM มาใช้ในองค์กร ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และมีพัฒนาการเรื่อยมา ดังนี้ ค.ศ. 2003 ชี้ให้เห็นว่า KM เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของ IE ค.ศ. 2005 มีการจัดตั้งคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมี CEO ของ IE เป็นประธาน ค.ศ. 2006 มีการสร้างความตระหนักในเรื่อง KM และให้การศึกษาแก่พนักงานในการจัดการ “ความรู้” ค.ศ. 2007 เริ่ม Information Management Blueprint Study ค.ศ. 2008 มีอินทราเน็ต เป็นเว็บ 2.0 ค.ศ. 2009   มีระบบ e-mail filing system โดยบังคับให้พนักงานทุกคนเก็บ e-mail ไว้ในองค์กรจัดใส่เข้าโฟล์เดอร์ แบ่งเป็น Personal folder ซึ่งเมลจะถูกภายใน 90 วัน โดยที่คนอื่นๆ ไม่เห็น และ Company folder คนอื่นๆ สามารถอ่านได้ ซึ่งระบบ e-mail filing system นี้ เมลทุกฉบับ ไม่สามารถส่งออกได้ ถ้าไม่จัดเก็บก่อน ทั้งนี้ระบบจะกัน ไม่ให้มีการ forward Gov-email ไปที่ Freemail เช่น Yahoo เนื่องจากไม่ให้มีการใช้ Free mail ในสำนักงาน มีการกระจายหรือแจกจ่ายความรู้ ค.ศ. 2010 มี Knowledge Center มี Teams@IE Page เชื่อมระหว่างแต่ละ department ของ IE มี Story Telling มี Knowledge & Info. Audit Best practices ของ IE ทำให้เห็นว่า KM เป็นเรื่องธรรมดาในการทำงาน จัดหาการเข้าถึงความรู้ที่มีความสัมพันธ์กัน ได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้า จากบนลงล่าง ทำให้เห็นว่าวัฒนธรรมเปลี่ยนเกิดจาก KM ทำให้เกิด KM กับกลุ่มโครงการเล็กๆ ก่อน ติดตามความสามารถและวิเคราะห์ผลสำหรับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ก้าวต่อไปของ IE ค.ศ. 2011 พัฒนา Knowledge Center ต่อ โดย re-define contribution Transfer of Critical Knowledge ในระบบอินทราเน็ต ปรับปรุง Taxonomy, IA และ Search ค.ศ. 2012 มี Knowledge & Info. Audit
การจัดการความรู้ (KM)
 
KM กับการแก้ปัญหาทางด่วน
การจัดการความรู้ หรือ Knowledge Management มักมีการตั้งเป้าหมายเดียวกัน คือ การเพิ่มผลผลิต (Productivity) และการมีนวัตกรรม (Innovation) ที่ตอบสนองการดำเนินธุรกิจขององค์กร เช่นเดียวกับการจัดการความรู้ของบริษัท Korea Expressway Corporation (KEC) เพื่อประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก เมื่อได้รับการร้องเรียนจากลูกค้าที่ไม่สะดวกในการใช้ทางด่วน ตั้งแต่เรื่องการหาที่จอดรถ เพื่อเดินลงไปซื้อบัตร การเข้าคิวเป็นเวลานาน และการเข้าถึงที่ลำบาก KEC เริ่มต้นด้วย การหาปัญหาของลูกค้า ซึ่งมาจากหลายแหล่ง เช่น การร้องเรียนเป็นรายบุคคล การร้องเรียนผ่านทางโทรศัพท์ การร้องเรียนบริเวณทางด่วน ผ่าน Call Center การแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ จากกลุ่มที่ปรึกษา และสื่อต่างๆ การแก้ปัญหาให้ลูกค้า โดยมีทีมชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) เข้ามาร่วมพิจารณาหาทางปรับปรุงในแต่ละกระบวนการ การแก้ปัญหาโดยใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาแก้ปัญหาที่คนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ การร่วมกันแก้ปัญหาด้วยการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ วิธีการ กระบวนการ เทคนิคของชุมชนนักปฏิบัติ เมื่อใช้กระบวนการข้างต้นทั้ง 4 เข้ามา ทำให้แก้ปัญหาการขายบัตรทางด่วนให้กับลูกค้า โดยสามารถลดเวลาซื้อบัตรจาก 4.5 นาที เหลือเพียง 1.40 นาที และสามารถเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ถึง 48 เปอร์เซ็นต์ ที่มา: Hong Lee. 2010. Knowledge Management of Public Organizations in Korea. Study Meeting on Knowledge Management in Public Sector, Korea.
การจัดการความรู้ (KM)
 
KM in the Industrial Development Bureau, ROC
“The Application of Knowledge Share Management in the Industrial Development Bureau” การสัมมนา "Study Meeting on Knowledge Management  in the Public Sector" ณ เมือง Chuncheon ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 2 – 5 พฤศจิกายน 2553  จัดโดย Asian Pacific Organization ผู้แทนของประเทศไต้หวัน ได้นำเสนอหัวข้อเรื่อง “The Application of Knowledge Share Management in the Industrial Development Bureau” Mr. Jiunn-Shiow Lin (สังกัด Knowledge Services Division (KSD), Industrial Development Bureau, Ministry of Economic Affairs, ROC)  นำเสนอการจัดการความรู้ของ Industrial Development Bureau หรือ IDB  มีการจัดโครงสร้างองค์กรที่มีหน่วยงานที่ดำเนินการด้านจัดการความรู้โดย เฉพาะ คือ Knowledge Services Division  มีจำนวนพนักงานทั้งหมด 1,200 คน เริ่มดำเนินการจัดการความรู้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 โดยมีผู้บริหารเป็นผู้อนุมัติและเห็นด้วยกับพระราชบัญญัติการพัฒนาเศรษฐกิจ ความรู้ (Knowledge Economy Development Act) ในปี ค.ศ. 2001 มีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่และมีการจัดตั้ง KSD ซึ่งมีพันธกิจในการพัฒนาบริการทางเทคนิคให้กับภาคอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการจัดการความรู้ในภาพเอกชนและภาคบริการ และเพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม การจัดการความรู้ของ  IDB เกิดจากการต้องการเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาคุณภาพของภาคบริการ และเพื่อต้องการให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้  ทั้งนี้ IDB ได้กำหนดสูตรในการนำให้เกิด KM ในองค์กรคือ  KM =  (P + K) s โดย P (People)  หมายถึง คน, K (Knowledge) หมายถึง  ความรู้, S (Share) หมายถึง การแบ่งปัน ในที่นี้ ยกกำลัง S ส่วนเครื่องหมาย + หมายถึง เทคโนโลยี (Technology) กล่าวคือ การจัดการความรู้ในองค์กรจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ มีคน มีความรู้ ผนวกกับการมีเทคโนโลยีหรือเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในองค์กรเกิดขึ้น การจัดการความรู้ ของ IDB มีการวัดผลของการนำความรู้ไปใช้ หลายประการ ที่น่าสนใจ ได้แก่ มีการทบทวนและให้รางวัลแก่หน่วยงานและพนักงานที่มีคะแนนสูงสุดในการส่ง เอกสาร นอกจากนี้ ยังมีการนับจำนวนการดาวน์โหลดเอกสาร ซึ่งทำให้เห็นความเคลื่อนไหวของการใช้ความรู้ ทำให้ผลลัพธ์ของการทำ KM ใน IDB นั้น เกิด learning time ที่มีประสิทธิผลมากขึ้นจากเดิมที่พนักงานใหม่ 1 คนต้องมีการเรียนรู้ถึง 3 เดือนเป็นมาใช้เวลาเพียง 1 เดือน จำนวนของเอกสารที่สะสมในคลังมีมากกว่า 90,000 รายการ (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2009)  จำนวนผู้ใช้ โดยเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 67.8% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดใน IDB และจำนวนการเข้าใช้เอกสารโดยเฉลี่ยเท่ากับ 68.8 ครั้งต่อวัน (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2009) ผลของการจัดการความรู้ของ IDB ทำให้เห็นว่า ต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การหาบุคคลที่เหมาะสมในการดำเนินการ กลยุทธ์ในการนำไปใช้และการให้ความสนับสนุนในการนำไปใช้ต้องให้เหมาะสมกับ วัฒนธรรมองค์กร โดยต้องคำนึงถึงผู้ใช้ และต้องอย่าคาดหวังว่าจะสมบูรณ์  แต่ต้องคิดว่า ต้องเริ่มที่จะทำ แม้ว่าจะได้รับความสำเร็จในระดับที่เรียกได้ว่ามีคนมาขอดูงานการจัดการความ รู้ก็ตาม IDB ก็หวังว่าจะมีการพัฒนาต่อไปและเชื่อมโยงไปถึงศักยภาพของพนักงานในการสนับ สนุนการเลื่อนตำแหน่ง
การจัดการความรู้ (KM)
 
Web 2.0 กับการจัดการความรู้ในองค์กร
American Productivity and Quality Center หรือ APQC พบว่า นายจ้างต้องการหาระบบที่มีลักษณะและหน้าที่การทำงานเหมือนกับระบบเครือข่าย สังคมแบบภายนอกที่ใช้กันอยู่ทั่วไป เช่น Facebook หรือบริการอื่นๆ เช่น Linkedln ให้กับลูกจ้างได้ใช้กันภายในองค์กร  แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่อง  การใช้งานภายในมีเป็นจำนวนมาก ข้อจำกัดของโปรแกรมที่ให้ใช้ รวมทั้ง นโยบายของบริษัทไม่เอื้อต่อการให้เสรีกับลูกจ้างในการใช้เท่าใดนัก  APQC จึงเป็นผู้นำในกลุ่มภาคีในการประยุกต์ใช้โปรแกรมต่างๆ  โดยการเข้าเยี่ยมชมบริษัทชั้นนำที่มีการนำ Web 2.0 มาใช้ ได้แก่ บริษัท Accenture,  Hewlett-Packard,  Royal Dutch Shell plc., Sieman AG และ U.S Department of State ซึ่งสรุปได้ว่า Wiki, Blogs และ Social network อื่นๆ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนความรู้กันมากที่สุด Wiki Wiki เป็นคำที่มาจากภาษาฮาวาย แปลว่า เร็วๆ เป็นความร่วมมือกันทางเว็บไซต์โดยใครก็ได้ ที่เข้าถึงบทความนั้นๆ สามารถปรับ แก้ไขข้อความ  ตัวอย่าง วิกิ ที่นิยมกันมากที่สุด ก็คือ วิกิพีเดีย (Wikipedia) เป็นสารานุกรมแบบเปิดทางออนไลน์ ที่ไม่ว่าใครๆ ก็สามารถเข้าไปใส่ข้อความ แก้ไข แสดงความคิดเห็น เพราะ Wiki เป็น platform ที่ถูกสร้างขึ้นมาที่มีอุปสรรคหรือข้อจำกัดในการเข้าใช้น้อยมาก ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ วิกิจึงถูกนำมาใช้องค์กรต่างๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรไม่หวังผลกำไร การศึกษา ฯลฯ ความสะดวกสบายในการนำวิกิมาใชัในองค์กร สามารถกำหนดระดับของการใช้ ว่าใครสามารถเข้าไปแก้ไข หรือแม้แต่ดูได้ ตัวอย่างเช่น  U.S. Department of State นำวิกิไปใช้ในการจัดการความรู้ระดับผู้นำของหน่วยงาน ซึ่งเรียกระบบนี้ว่า Diplopedia เป็นวิกิตัวแรกที่เกิดขึ้นในกระทรวง มีบทความประมาณ 1,900 บทความ โดยบรรณาธิกรที่ขึ้นทะเบียนจำนวน 300 คน กลุ่มผู้ใช้จะต้องลงทะเบียนก่อนจึงจะสามารถเข้าไปสร้างบทความใหม่ แก้ไข แต่ไม่ต้องได้รับตรวจสอบจากเจ้าของบทความก่อนที่จะมีการปรับแก้แต่อย่างใด บล็อก (Blogs) บล็อก เป็นเครื่องมือของเว็บ 2.0 ที่มีความเป็นส่วนตัว และเป็นเวทีที่มีการโต้ตอบ มีปฏิสัมพันธ์ และถูกนำมาใช้มากที่สุดในเชิงธุรกิจ ตัวเลขนี้แม้จะเก่าไปซักหน่อย แต่ก็จะเห็นแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้บล็อก จากใน ค.ศ. 1999 มีบล็อก เพียง 23 บล็อก และเกิดบล็อกตามมาอีกเป็นจำนวนมากกว่า 110 ล้านบล็อกในปี ค.ศ. 2007 และมีบล็อกเกิดขึ้นในแต่ละวันถึง 175,000 บล็อก ความสามารถของบล็อกนี้เอง ทำให้พนักงานในองค์กรสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับคนอื่นๆ ได้จนบล็อกอาจกลายเป็นสินทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ในที่สุด เป็นเครื่องมือทางเครือข่ายสังคมอย่างหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถที่จะแลก เปลี่ยนความรู้ และเป็นช่องทางในการติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ บริษัท Hewlett Packard กระตุ้นให้พนักงานใช้บล็อกในเริ่องต่างๆ จากเครื่องพิมพ์จนไปถึงประเด็นของการใช้ Second Life (เป็นโลกเสมือนจริงที่สร้างขึ้นโดยผู้ใช้) ให้เป็นเครื่องมือทางการตลาด เครือข่ายทางสังคม (Social network) เครือข่ายทางสังคม หมายถึง ระบบที่อนุญาตให้สมาชิกเฉพาะกลุ่มเข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะ พรสวรรค์ ความรู้ ความชอบ ความเชี่ยวชาญของคนอื่นๆ ในต่างที่กัน ตัวอย่างของเครื่องมือเครือข่ายทางสังคม ที่นิยมกันมาก ได้แก่ MySpace และ Facebook, Ryze และ Linkedln หน่วยงานบางแห่งใช้เครื่องมือเครือข่ายสังคมนี้ในการช่วยบ่งชี้คุณลักษณะของ ผู้เชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะด้าน บางแห่งมีการเพิ่มเติมการสื่อสารเข้าไประหว่างพนักงานด้วยกัน ทำให้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติการทำงาน ความสนใจของแต่ละบุคคลได้ เครือข่ายสังคมของบริษัท  Accenture คนของบริษัท เป็นตัวอย่างหนึ่งของการบ่งชี้คุณลักษณะและบอกตำแหน่งของคนที่ทำงานอยู่ด้วย กัน พนักงานแต่ละคน จัดการ workspace ของแต่ละคนเอง โดยจะต้องสร้างหน้าที่เป็นบทบาทหรือหน้าที่การทำงานของตัวเองลงใน portal มีข้อมูลการติดต่อ เช่น อีเมล เบอร์โทรศัพท์ สถานที่ติดต่อ คำอธิบายถึงภารงาน ประสบการณ์ ข้อมูลการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา และโครงการที่รับผิดชอบอยู่ในปัจจุบัน ในหลายๆ องค์กร เห็นความสำคัญของการรวมกันระหว่างเครือข่ายทางสังคมและกระบวนการในการบ่งหา ผู้เชี่ยวชาญ จึงมีการนำระบบ Expertise Locator Systems หรือ ELS มาบูรณาการความสัมพันธ์ระหว่าง คน กระบวนการ และเทคโนโลยี ดังนี้ เชื่อมคนกับคน เชื่อมโยงคนกับข้อมูลบุคคล บ่งชี้คุณลักษณะของคนกับความเชี่ยวชาญและเชื่อมโยงไปถึงโจทย์ หรือปัญหาหรือคำถาม บ่งชี้ความสามารถหรือศักยภาพของพนักงานเพื่อให้เหมาะสมกับโครงการที่มอบหมาย ช่วยพัฒนาทางอาชีพ สนับสนุนทีมทำงานและชุมชนนักปฏิบัติ ความสามารถในการเชื่อมหาคนได้ ย่อมจะเป็นวิธีการที่ทำให้ก่อเกิดความรู้หรือสะสมความรู้มากขึ้น Social tagging และ Social bookmarking เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการจัดการความรู้ ถูกออกแบบเพื่อให้สนับสนุนการติดต่อสื่อสารที่ขยายออกไปในวงกว้างทั่วทั้ง องค์กร เพื่อให้ความรู้นั้นมีโอกาสที่จะถูกถ่ายทอดได้มากขึ้น Social bookmarking เป็นช่องทางที่มีความนิยมสูงในการบอกตำแหน่ง จัดหมวดหมู่ จัดอันดับ และแลกเปลี่ยนเนื้อหาที่มีคุณภาพ ผ่านการเชื่อมโยงทรัพยากรที่โปรดปราน (หรือชื่นชอบจนต้องเก็บเอาไว้เพื่อใช้งานภายหลัง) และเว็บไซต์  ในบางองค์กร Bookmark เหล่านี้สามารถชี้ไปหาแฟ้มข้อมูลที่เปิดโอกาสให้ดึงข้อมูลไปใช้งานได้ มีเหตุผลหลายประการ ถึงการที่องค์กรยกระดับจากเนื้อหาไปยังความสัมพันธ์ระหว่างคน และอนุญาตให้คนเหล่านี้มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ดังนี้ หุ้นส่วนที่มีแนวปฏิบัติที่ดีของบริษัทส่วนใหญ่ มีความสัมพันธ์กับการจัดการความรู้ของหน่วยงาน ดังนั้น เนื้อหาหรือความรู้ที่สำคัญก็ควรจะถูกสืบค้นได้ด้วย ธรรมชาติของการพิมพ์ด้วยตนเองบนเว็บ 2.0 เช่น บล็อก วิกิ  ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างความรู้ใหม่ ขณะที่ติดต่อกับคนอื่นๆ ได้ และเป็นหนทางในการการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ตามมา การสิ่อสารทางออนไลน์ สามารถที่จะบ่งชี้ด้วยตัวเองถึงเนื้อหาของความเชี่ยวชาญ และผู้เชี่ยวชาญได้ ที่ Shell มีกลยุทธ์ Ask-Learn-Share แนะนำให้พนักงานสอบถาม ผู้ฝึกสอน เพื่อนร่วมงาน หรือผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเริ่มทำงาน โดยการถามนั้นไม่ได้เป็นเพียงการใช้เครื่องมือเท่าใดนัก แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์กรด้วยกันเอง สำหรับกลยุทธ์การจัดการความรู้ของ บริษัท Accenture นั้น มุ่งเน้นไปที่ "people to people"  โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ความร่วมมือขององค์กรในการสร้างแผนงานอย่างละเอียดจะเป็นตัวจัดการ ที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยงคนข้ามองค์กรได้ ผู้นำระดับอาวุโสก็คาดหวังว่าการใช้แผนงานที่ละเอียดนี้จะถูกสนับสนุนไปทั่ว ทั้งองค์กร สรุป ในโลกของดิจิทัล การที่จะเชื่อมโยงจากคนๆ หนึ่งไปยังกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง และขยายวงไปถึงความร่วมมือหรือชุมชนนั้น จำต้องมีความเข้าใจก่อนที่จะจัดหาเครื่องมือที่เหมาะสม ง่าย หรือมีประสิทธิภาพ จึงจะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เก็บความจาก:  O'Dell, Carla. 2008. Web 2.0 and Knowledge Management : Themes from an APQC Consortium Benchmarking Study. [ออนไลน์] : Available: http://wiki.sla.org/download/attachments/11371006/APQC+2008+Web+2+and+KM.pdf?version=1 Access: 12-11-2009
การจัดการความรู้ (KM)
 
การจัดการความรู้ของบริษัท Schlumberger
การจัดการความรู้บริษัท Schlumberger ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของโลก  ที่เห็นความสำคัญของความรู้อันมีค่าของบริษัท ตามเก็บความรู้  บูรณาการ และดูแลรักษาความรู้ ด้วยความเชื่อมั่นว่า ถ้าบริษัทและพนักงาน สามารถรู้ทุกอย่างที่แต่ละคนทั้งหมดในบริษัทรู้ ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพและส่งผลให้เกิดกำไร เนื่องจากความรู้สำคัญด้านประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ที่เก็บไว้นั้น สามารถทำให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงได้ บริษัทจึงได้สร้างระบบที่ทำให้พนักงานมีความเชื่อมโยง มีความร่วมมืออย่างง่ายๆ และสามารถเข้าถึงความรู้ผ่าน Project Knowledge Portals Download เอกสาร KM Schlumberger from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
การจัดการความรู้ (KM)
 
วิธีการและเครื่องมือ KM
Asian Productivity Organization (APO) ได้เสนอวิธีการและเครื่องมือการจัดการความรู้เพื่อให้หน่วยงานพิจารณาเลือก ใช้ให้เหมาะสมตามกระบวนการของการจัดการความรู้ 6 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 : การค้นหาว่าองค์กรมีความรู้อะไรบ้าง ในรูแบบใด อยู่ที่ใคร และความรู้จำเป็นต่อองค์กรมีอะไรบ้าง (Identifying the Knowledge) วิธีการและเครื่องมือที่เสนอเพื่อพิจารณา APO Knowledge Management Assessment Tool Knowledge Cafes Communities of Practice Advanced Search Tools Knowledge Clusters Expert Locator Collaborative Virtual Workspaces Knowledge Mapping KM Maturity Model Mentor/Mentee   ขั้นตอนที่ 2 : การสร้างความรู้ (Creating Knowledge) วิธีการและเครื่องมือที่เสนอเพื่อพิจารณา Brainstorming Learning and Idea Capture Learning Reviews After Action Reviews Collaborative Physical Workspaces Knowledge Cafes Communities of Practices Knowledge Bases (Wikis, etc) Blogs Voice and Voice-over-Internet Protocol (VOIP) Advanced Search Knowledge Clusters Expert Locator Collaborative Virtual Workspaces Mentor/Mentee Knowledge Portal Video Sharing   ขั้นตอนที่ 3 : การจัดเก็บความรู้ (Storing Knowledge) วิธีการและเครื่องมือที่เสนอเพื่อพิจารณา Learning Reviews After Action Reviews Knowledge Cafes Communities of Practice Taxonomy Document Libraries Knowledge Bases (Wikis, etc.) Blogs Voice and VOIP Knowledge Clusters Expert Locator Collaborative Virtual Workspaces Knowledge Portal Video Sharing   ขั้นตอนที่ 4 : การแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ (Sharing Knowledge) วิธีการและเครื่องมือที่เสนอเพื่อพิจารณา Peer Assist Learning Reviews After Action Reviews Storytelling Communities of Practice Collaborative Physical Workspaces Knowledge Cafes Communities of Practice Taxonomy   ขั้นตอนที่ 5 : การแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ (Sharing Knowledge) วิธีการและเครื่องมือที่เสนอเพื่อพิจารณา Document Libraries Knowledge Bases (Wikis, etc.) Blogs Social Networking Services Voice and VOIP Knowledge Clusters Expert Locator Collaborative Virtual Workspaces Knowledge Portal Video Sharing Mentor/Mentee   ขั้นตอนที่ 6 : การนำความรู้ไปใช้ (Applying Knowledge) วิธีการและเครื่องมือที่เสนอเพื่อพิจารณา Peer Assist Collaborative Physical Workspaces Knowledge Cafes Communities of Practice Taxonomy Document Libraries Knowledge Bases (Wikis, etc.) Blogs Advanced Search Knowledge Clusters Expert Locator Collaborative Virtual Workspaces Knowledge Worker Competency Plan Mentor/Mentee Knowledge Portal ทั้งนี้ จะได้นำเสนอวิธีการและเครื่องมือแต่ละประเภทต่อไป รายการอ้างอิง: Asian Productivity Organization. Knowledge Management Tools and Tecniques Manual. Japan : Asian Productivity Organization, 2010.
การจัดการความรู้ (KM)
 
การจัดการความรู้ กรณีศึกษา Qian Hu Corporation Lim
เรียนรู้กรณีศึกษาการจัดการความรู้ของ Qian Hu Corporation Limited บริษัทผู้นำธุรกิจส่งออกปลาสวยงาม ที่มียอดการส่งออกปลาแต่ละเดือนกว่า 500,000 ตัว มากกว่า 1,000 สายพันธุ์ เพื่อจำหน่ายใน 60 ประเทศทั่วโลก ซึ่งนับเป็นผู้มีส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้สิงคโปร์ก้าวขึ้นสู่ประเทศผู้นำ การส่งออกปลาสวยงามระดับโลก ด้วยยอดการส่งออกรวม 30% ของตลาดโลก ตัวอย่างหัวข้อที่นำเสนอ อาทิ ตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการประยุกต์ใช่ KM การสร้างสรรค์คุณค่าผ่านกลยุทธ์ KM ขั้นตอนการดำเนินการ ปัญหาและแนวทางการแก้ไข การคัดเลือกและการประยุกต์ใช้เทคนิคและเครื่องมือเพื่อการจัดการความรู้ การสร้างความตระหนักภายในและภายนอกองค์กร การติดตามและการวัดผล
การจัดการความรู้ (KM)
 
การจัดการความรู้ กรณีศึกษา JTC Corporation
กรณีศึกษาการจัดการความรู้ ของ JTC Corporation บริษัทชั้นนำในการวางแผนและจัดเตรียมพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ เจ้าของกิจการ Jurong Island และ Wafer fab (fabrication) parks เป็นต้น บริษัทที่ช่วยให้เศรษฐกิจของสิงคโปร์เจริญเติบโตขึ้น ด้วยการพัฒนาพื้นที่สำหรับก่อตั้งอุตสาหกรรม และโรงงานมากกว่า 7,000 แห่ง กลยุทธ์ของการประยุกต์ใช้ KM ขั้นตอนการดำเนินงาน Milestones การติดตามและประเมินผล ปัญหาที่เผชิญและวิธีการแก้ไขปัญหา ความท้าทาย  
การจัดการความรู้ (KM)
 
การเล่าเรื่อง (Storytelling)
การเล่าเรื่อง หรือ Storytelling เป็นวิธีการหรือเครื่องมือประเภทหนึ่งของการจัดการความรู้ ในการดึงเอาประสบการณ์ หรือความรู้ที่อยู่ภายในของผู้เล่าออกมาเล่าให้บุคคลอื่นฟัง ผู้ฟังสามารถนำเอาประสบการณ์ หรือความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานของตนเองได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นในการศึกษาเรื่องนั้นๆ ใหม่ การเล่าเรื่อง ควรมีขั้นตอน ดังนี้ ตั้งหัวข้อหรือความรู้ที่ต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือแบ่งปันให้กับผู้ฟังในองค์กร หาบุคคลที่เหมาะสมกับหังข้อนั้นๆ ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากและสามารถร้องขอให้มาเล่าเรื่องได้ ความกระตือรือร้นและความสามารถในการพูดดี คล่องแคล่วจะเป็นสิ่งที่ส่งผลให้ผู้เล่าเรื่องประสบผลสำเร็จในการเล่าเรื่อง ดังนั้น หัวข้อและผู้พูดจะต้องสัมพันธ์กัน กลุ่มเป้าหมายในการเล่าเรื่องเพื่อจะได้เชิญชวนผู้ที่มาร่วมฟัง ดำเนินการเล่าเรื่อง  บรรยากาศไม่ต้องมีพิธีการมาก อาจมีการเปลี่ยนฉาก บริการของว่าง เป็นต้น ผู้เล่าเรื่องต้องจับกลุ่มผู้ฟังกลุ่มเล็กๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากจบการเล่าเรื่องแล้วเพื่อก่อให้เกิดเป็นสังคมเครือข่าย ระหว่างผู้เล่าเรื่องและผู้เข้าฟัง ผลลัพธ์ของการเล่าเรื่อง อาจมีการนำการเล่าเรื่องออกเผยแพร่ทางวิดีโอหรือโพสต์ขึ้นเผยแพร่ทางอินทรา เน็ตเพื่อแบ่งปันให้กับพนักงานทั้งหมด จัดกลุ่มผู้ฟังที่มีความสนใจในหัวข้อนั้นเป็นพิเศษ โดยมีผู้เล่าเรื่องเป็นผู้นำกลุ่ม การเล่าเรื่องนั้น อาจจะกระตุ้นและเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเล่าเรื่องหรือในการ สนทนาด้วย การตั้งคำถามที่ดีจะช่วยเป็นการดึงประสบการณ์ของผู้เล่าออกมาได้มาก และได้ดีตรงกับประสบการณ์ของผู้เล่าอย่างแท้จริง  ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน อาจจะสรุปเป็นระยะๆ และผู้ฟังสามารถช่วยกันกรั่นกรองเรื่องเล่าที่เป็น tacit ให้เป็น explicit บันทึก และสามารถนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ต่อไป
การจัดการความรู้ (KM)
 
ประสบการณ์การวิจัยนานาชาติ
Thomson Reuters : Healthcare & Science  ได้เปิดเว็บไซต์ชื่อ Intelligent Information for Life มีการนำเสนอคอลัมน์ ชื่อ Find out what Intelligent Information can do for you  มีคำนำว่า นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั่วโลกมากกว่า 20 ล้านคน จำเป็นต้องใช้แหล่งข้อมูลวิชาการคุณภาพเพื่อขับเคลื่อน ค้นพบ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพิ่มความเร็วในงานวิจัยวิทยาศาสตร์ รวมถึงช่วยปรับปรุงคุณภาพในการรักษาและความปลอดภัยในชีวิตของผู้ป่วยคอลัมน์นี้เป็นการเล่าประสบการณ์การวิจัยผ่านการสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์นานาชาติผู้ที่ใช้บริการแหล่งข้อมูลของ Thomson ด้วยฐานข้อมูลชื่อต่างๆ ในเรื่องการทำงานวิจัย เช่น หลักคิดงานวิจัย  หัวข้องานวิจัยการใช้แหล่งข้อมูลวิจัยวิชาการ ประสบการณ์ต่างๆ ของนักวิทยาศาสตร์จากประเทศต่างๆ รวม 30 เรื่อง เป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดยบทความนี้ขอนำเสนอประสบการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ 8 ประเทศแถบเอเชียเป็นหลัก ใน 9 เรื่อง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และไทย คาดหวังว่าเราจะได้ทราบถึงความก้าวหน้างานวิจัยวิทยาศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้าน ดังต่อไปนี้ งานวิจัยที่ 1 ประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่องการรักษาเยียวยาโลก (Healing the World)โดย Dr. Eugenio de hostos, Amanda L' Espesance แห่งสถาบัน Institute of One World Health (iOWH),  San Francisco, USA.  ใช้แหล่งข้อมูลวิชาการชื่อ Thomson Pharma  ตั้งแต่ปี 2009 สถาบันกำลังทำงานวิจัยเรื่องวิธีการรักษาโรค Visceral Leishmaniasis(VL) (โรคเกี่ยวกับอวัยวะภายใน) โรคมาลาเรีย และ โรคท้องร่วง มีนักวิทยาศาสตร์ร่วมงานจากหลากหลายพื้นฐาน ทั้งภาคการศึกษา อุตสาหกรรมยา และภาคสาธารณสุข  สถิติล่าสุดแสดงตัวเลขมีเด็ก 1.6 ล้านคน เสียชีวิตเพราะเชื้อท้องร่วง ดังนั้น iOWH จึงจัดตั้งโปรแกรมวิจัยเพื่อวิจัยพัฒนายารักษาเชื้อโรคนี้  ซึ่งได้รับข้อเสนอโครงการวิจัยจำนวนมาก โดย iOWH ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยก้อนใหญ่ จากมูลนิธิ บิลและเมลินดา เกตส์ สิ่งแรกสุดในการเริ่มต้นวิจัยคือการสืบค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับยารักษาโรค นี้ โดยใช้แหล่งข้อมูล ชื่อ Thomson Pharma  โปรแกรมวิจัย Visceral Leishmaniasis (VL) ถือว่าเป็นโปรแกรมที่มีความสำเร็จมากที่สุด iOWH เริ่มดำเนินการทางคลินิก โดยการใช้ยา Paromomycin IM  ซึ่งเป็นยาที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลอินเดีย และกำลังนำเข้าเป็นรายชื่อยาสำคัญของ WHO ซึ่งจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนราว 5 แสนคนต่อปี การดำเนินการคู่ขนานอีกอย่างหนึ่งที่ iOWHกับการวิจัยพัฒนายาคือ การให้ความรู้เกี่ยวกับเชื้อโรค และอาการของโรคนี้ แก่ประชากรที่ไม่รู้ถึงเชื้อโรค VLแหล่งข้อมูลเพื่อการวิจัยเป็นข้อมูลที่จำเป็นที่สุดขาดเสียมิได้ เป็นปัจจัยพื้นฐาน (Essential  Information) นักวิจัยของ iOWH  ทำการสืบค้นแหล่งข้อมูลเป็นกิจวัตรประจำ  (routine) เพื่อที่ให้ทราบถึงยารักษาโรคต่างๆ หรือยาที่อยู่ในระหว่างการอนุมัติ และรวมถึงตรวจสอบในเรื่องสถานภาพทางทรัพย์สินทางปัญญาของยาชื่อต่างๆตลอดเวลา ซึ่งได้ทำวิธีการนี้มาถึง 15 ปี พบว่ามีประโยชน์มากโดยมีรูปภาพแสดง เด็กกำลังเล่นอยู่ท่ามกลางกองขยะมหึมา ที่เขต Tondo กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเขตที่ที่มีผู้อาศัยอยู่หากินจากการเก็บขยะที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้กับนำไปเป็นถ่าน อ้างอิงจาก  http://intelligentinformationforlife.com/dehostos/ งานวิจัยที่ 2 ประเทศสิงคโปร์ เรื่องผู้ปลูกอวัยวะเทียม(The Organ Growers) โดย Assoc. Prof. Chua Chec Kai, School of Mechanical & Aerospace Eng., Nanyang Technological  Univ. , Singappore  ใช้แหล่งข้อมูลวิชาการชื่อ  Web of Science, WOS  ตั้งแต่ปี 2009 ผศ. Chua มีคุณวุฒิการศึกษาด้านวิศวกรรมเครื่องกล ทำงานวิจัยในสาขานี้มามากกว่า 20 ปี ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นสาขา Biomedical Engineering อย่างค่อยเป็นค่อยไปที่ละน้อย จนที่สุดมาเป็นเรื่องเฉพาะ Tissue Engineering โดยทำงานวิจัยร่วมกับโรงพยาบาลในสิงคโปร์เรื่องการใส่อวัยวะเทียมที่ปรับ เปลี่ยน ตามความต้องการของผู้ป่วย (Customizing Prostheses) จุดสนใจ ที่สำคัญสำหรับทีมงานวิจัยในขณะนี้ คือประดิษฐ์อวัยวะที่ทำหน้าที่แทน สวมตำแหน่งแทนให้แก่เนื้อเยื่อของผู้ป่วยแต่ละราย เช่นผู้ป่วยหูข้างขวาขาด ทีมวิจัยใช้เทคนิค CAD เพื่อวาดภาพหูข้างซ้าย และนำข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ จากจุดนี้ ทีมวิจัยสามารถทำรูปภาพเสมือน ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่า หูข้างขวาและซ้ายเป็นสมมาตรกัน นี้คืองานวิจัยที่เรากำลังดำเนินการ และต่อมาเปลี่ยนมาเป็นการวิจัย เรื่อง tissue scaffolds (โครงร่างที่สร้างขึ้นมาเพื่อนำเซลล์มาปลูกถ่ายและเลี้ยงให้เจริญเติบโตเป็นอวัยวะที่ต้องการ) ขณะนี้มีผู้ป่วยจำนวนมากกำลังรอคอยอวัยวะปลูกถ่าย แต่ด้วยมีจำนวนผู้บริจาคไม่เพียงพอ และอัตราการไม่สนองตอบมีจำนวนสูง จึงทำให้มีความต้องการในการพัฒนาความรู้เรื่อง อวัยวะเทียมนี้อย่างมาก อวัยวะของมนุษย์เป็นเรื่องยากมากที่จะประดิษฐ์ขึ้นมาหรือให้เติบโต ตัวอย่าง ไต หัวใจ เป็นอวัยวะที่สลับซับซ้อนมาก ขณะนี้มีแนวคิดประดิษฐ์อวัยวะประเภทกระดูก (Bone) ในลักษณะเนื้อเยื่อแบบอ่อน (soft tissue) เช่น เส้นเอ็นของกระดูกอ่อน (cartilage tendon) มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งกว่ากระดูก ซึ่งช่วยให้เราเตรียมความพร้อมในการประดิษฐ์อวัยวะที่สำคัญ เช่น หัวใจ ไตและตับ ถือว่าอยู่ในสาขา Biomaterial ซึ่งประกอบด้วยสาขาย่อย คือ Cell Biology และ Biochemistry ดังนั้นทีมนักวิจัยต้องมาจากหลากหลายตามความเชี่ยวชาญและความร่วมมือกัน ทีมวิจัยของเรา เริ่มทำการวิจัยเรื่องนี้มา 10 ปีที่ผ่านมา ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางบทความวิจัย ซึ่งขณะนี้ได้รับการอ้างอิง จากทีมวิจัยอื่นๆ มากขึ้น แหล่งข้อมูล หรือห้องสมุดในเรื่องนี้ทีมวิจัยได้ใช้ฐานข้อมูล Web of Science, WOS เกือบทุกวัน เพื่อติดตามบทความใหม่ ทำการอ่านเร็ว ๆ และส่งต่อให้ทีมงาน จากข้อมูลทำให้สามารถทราบถึงทีมวิจัยอื่น ๆ ที่อ้างอิงงานเรา และลักษณะงานวิจัยของเขา และใช้ข้อมูล WOS เพื่อจัดทำร่างข้อเสนอโครงการวิจัย (Drafting  Research Proposal) หรือบทความวิจัยเสนอตีพิมพ์ในวารสาร รายงานการประชุม หัวข้องานวิจัย Tissue Engineering เป็นสาขาวิจัยที่น่าตื่นเต้น ในปี 1990 Joseph Murray ได้รับรางวัลในเบลในงานวิจัยเรื่อง การปลูกถ่ายอวัยวะเทียม (organ transplants) ซึ่งนั้นเป็นแรงบันดาลใจของทีมวิจัยเรา อ้างอิงจาก   http://intelligentinformationforlife.com/chua/ งานวิจัยเรื่องที่ 3 เขตปกครองพิเศษฮ่องกง เรื่อง ฮ่องกงฮับ (Hong Kong Hub) โดย David Palmer, System Librarian, Main Library, University of Hong Kong (HKU) ใช้แหล่งข้อมูลวิชาการชื่อ  Web of Science, WOS ตั้งแต่ปี  2000 ได้เดินทางมาฮ่องกง ตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา เริ่มทำงานเป็นบรรณารักษ์ระบบของมหาวิทยาลัยฮ่องกง และในปี 2005 ได้รับตำแหน่งผู้จัดการโครงการ Hong Kong Scholar Hub คือ เป็นฮับที่เป็นศูนย์กลางบริการข้อมูลวิชาาการแบบเสรีเปิดฟรี (Free Open Access Scholarly Content)  ที่มีสถิติการดาว์นโหลดเข้าใช้ในจำนวนสูง HKU ผลิตบทความวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการแบบ Peer Reviewed ราว 3,000 บทความต่อปี  ฮับนี้ได้ทำการจัดเก็บบทความของนักวิจัย HKU ได้เพียงเปอร์เซ็นต์เล็กน้อย เนื่องจากยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนสำหรับการจัดเก็บและการขออนุญาตจัดเก็บ งาน ที่สำเร็จไปแล้วอย่างดีคือการจัดเก็บวิทยานิพนธ์ของบัณฑิตศึกษา ซึ่งขณะนี้จัดเก็บได้ 17,000 เรื่อง เปิดบริการออนไลน์แบบเปิด  ภาระกิจสำคัญของ HKU ตั้งแต่ปี 1941  มีอยู่ 3 ส่วน คือ การเรียนการสอน การวิจัย และการแลกเปลี่ยนความรู้ บริการฮับนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ HKU สามารถแสดงและวัดถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Exchange, KE) นอกจากเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ ฮับนี้ยังทำหน้าที่ เป็นแหล่งค้นหาชื่อผู้เชี่ยวชาญ จากภาครัฐบาลและอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการวิจัยร่วมกันที่ปรึกษาร่วมมือ อื่นๆ นอกจากนี้ฮับทำหน้าที่เป็นฐานข้อมูลเพื่อการประเมินผลงานวิจัย (Research Assessment Exercise หน่วยวัดที่ต้องการเพื่อประเมินศักยภาพงานวิจัย ของ HKU คือฐานข้อมูล WOS ในปีที่ผ่านมาได้เริ่มศึกษาปัญหาในการสืบค้นด้วยชื่อนักวิทยาศาสตร์ในภาษา จีนของฐานข้อมูล  WOS เมื่อทำการถอดถ่ายตัวอักษร (Transliterate) ให้เป็นอักษรโรมัน พบว่าอาจมีชื่อนักวิจัย ถึง 20 ชื่อ ที่ใช้ภาษาโรมันเดียวกัน เช่น ชื่อ Chan, KW. ซึ่งเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก เมื่อ ได้ติดต่อผู้บริหาร Jim Pringle ของ Thomson ISI  ซึ่งได้แนะนำถึงแหล่งข้อมูล Researcher ID ซึ่งได้ช่วยแก้ไขปัญหาชื่อผู้แต่งบทความ ได้เรียบร้อย อย่างเป็นระเบียบ และยังให้บริการหน่วยวัดสำหรับนักวิทยาศาสตร์ แต่ละชื่อ (จำนวนบทความ จำนวนการอ้างอิง) จากนั้นจึงได้เริ่มสร้างบัญชี 900 ชุด ResearcherID สำหรับนักวิจัย ทั้งสาขาวิศวกรรม แพทย์ ทันตแพทย์ และคณะอื่น ๆ ของ HKU คณบดี คณะทันตแพทยศาสตร์ มีความสนใจกระตือรือร้นในเรื่องงานวิจัย และ KE มาก รวมถึงเรื่องผลกระทบ เมื่อส่งไฟล์ข้อมูลรายชื่อนักวิจัยของคณะไปให้ และข้อมูลจาก   ResearcherID  badges ที่แสดงข้อมูลเป็นแบบกราฟ รูปแบบต่างๆ มีความพึงพอใจมาก จากนั้นผู้บริหารให้ทีมงานฮับไปแนะนำบริการ  ResearcherID ทั่ว HKU ได้เริ่มทำ Web of Science API ซึ่งสามารถช่วยเชื่อมโยงจำนวนนับของการอ้างอิงต่อไปให้ได้ ขณะนี้ฮับกำลังดำเนินการ แสดงข้อมูลงานวิจัย หน่วยวัดคุณภาพงานวิจัยของนักวิจัยแต่ละชื่อ ใน HKU อ้างอิงจาก http://intelligentinformationforlife.com/palmer/ หัวข้อวิจัยเรื่องที่ 4 ประเทศไทย  เรื่อง คำสัญญาในเรื่องโปรตีน (The Promise of Proteins)  โดย  รศ. นพ. วิศิษฏ์ ทองบุญเกิด   Head of Medical  Proteomics Unit คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  มหาวิทยาลัยมหิดล กรุงเทพฯ ใช้แหล่งข้อมูลวิชาการชื่อ   Web of Knowledge, WOK  ตั้งแต่ปี 2000 โรคนิ่วในไต (kidney stones) เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ็บปวดทรมานแก่ มนุษยชาติตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ โดยที่นักวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบหลักฐานนิ่วในไตใน ซากมัมมี่ ที่มีอายุเก่าแก่ 7,000 ปีของยุคอียิปต์และปัจจุบัน มันยังคงเป็นโรคสามัญ ที่พบอยู่ทั่วโลก จากการศึกษาถึงระดับโปรตีน เรากำลังสร้าง ความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นของโรคนี้ เพื่อให้ทราบถึงว่านิ่วเกิดขี้นมาได้อย่างไร และมีความหวังว่าเราจะสามารถป้องกันโรคนี้ได้ในอนาคต ดร.วิศิษฏ์ จบการศึกษาแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ใน ปี 1994 ผ่านการฝึกอบรมระดับบัณฑิตศึกษาในสาขาคลินิกวิทยา  แผนกอายุรกรรมและไตวิทยา (Nephrology) ในช่วงปี 1995 - 2000 ในปี 2000 เริ่มศึกษา Proteomics ที่ Univ. Louisville, USA. และในปี 2004 กลับประเทศไทยมาทำงานที่โรงพยาบาลศิริราชฯ  มหาวิทยาลัยมหิดล โปรตีน ทำงานหนักเป็นเครื่องจักรเสมือนม้าที่ถูกใช้งานในร่างกายมนุษย์เป็นส่วนที่ จำเป็นกับชีวิต คำว่า proteome มาจาก 2 คำผสมกันคือ protein กับ genome ถูกใช้ครั้งแรกในปี 1994 โดยนักวิทยาศาสตร์ Marc Wiilkins จากประเทศออสเตรเลีย  ส่วนคำว่า Proteomics หมายถึงการวิเคราะห์โปรตีนอย่างเป็นระบบเพื่อระบุเพื่อหาปริมาณจำนวน เพื่อทราบถึงกลไกการทำงานของระบบเซลล์ เนื้อเยื่อ  ชีววิทยาที่สนใจหนึ่งๆ เป็นเรื่องที่สำคัญที่อาจค้นพบโปรตีนพิเศษในเซลล์มะเร็ง โปรตีนพิเศษสำหรับพัฒนายาชนิดใหม่ การศึกษาวิจัยเรื่องนี้ยากซับซ้อนเพราะร่างกายมนุษย์มีโปรตีนมากมาย และมีความแตกต่างกันในแต่ละเซลล์ในแต่ละช่วงเวลา นพ.วิศิษฏ์ ได้พัฒนาเทคนิคในการวิเคราะห์ โปรทีโอมิกส์ ที่แตกต่างจากวิธีการเดิม ซึ่งช่วยให้สามารถศึกษาโปรตีนจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้ โดยศึกษาโปรตีนในปัสสาวะ (urinary protein) ที่ช่วยยับยั้งการเกิดนิ่วในไตได้ ความต้องการที่สำคัญคือความร่วมมือเพื่อ ประสบความสำเร็จในคำมั่นสัญญาของโปรทีโอมิกส์  ขณะนี้ นพ.วิศิษฏ์  ทำหน้าที่ เป็นกองบรรณาธิการ วารสารวิชาการหลายชื่อ และได้รับให้เป็นสมาชิกขององค์กร Human Proteome Organisation (HUPO) ซึ่งมีการจัดประชุมทางวิชาการรายปี ได้รับหน้าที่ให้จัดตั้งมาตรฐานและคู่มือ ในการวิเคราะห์โปรทีโอมิกส์ของปัสสาวะ ทำให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลกับเครือข่ายทั่วโลก รวมทั้งขณะนี้ที่ โรงพยาบาลศิริราช มีเพื่อนร่วมงานที่สนใจการประยุกต์โปรทีโอมิกส์  ในประเด็นต่างๆ เช่นไวรัส แบคทีเรีย แหล่งข้อมูลที่ใช้บ่อย เพื่อทบทวนวรรณกรรม คือ Web of  Knowledge, WOK รวมทั้งดูถึงจำนวนการอ้างอิงและค่า Impact Factor, IF ของวารสาร และใช้โปรแกรม EndNote ในการจัดการข้อมูลบรรณานุกรม  เริ่มใช้ WOK ตั้งแต่ปี 2000 ในช่วงที่เรียนอยู่ที่ Univ.Louisville เมื่อกลับมาเมืองไทยและใช้อย่างต่อเนื่อง WOK มีประโยชน์อย่างแน่นอน ทำให้ทราบถึงงานวิจัยอื่น ๆ จากทั่วโลก ขณะนี้กำลังหาวิธีใช้ประโยชน์จากบริการ Researcher ID อ้างอิงจาก  http://intelligentinformationforlife.com/thongboonkerd/ งานวิจัยที่ 5 ประเทศสิงคโปร์  เรื่อง มือที่ช่วยรักษา (Healing Hands) โดย Ass. Prof. Plan Toan Thang, National University of Singapore, Singapore  ใช้แหล่งข้อมูลวิชาการชื่อ  Web of Knowledge, WOK ตั้งแต่ปี 2000 ทำการวิจัยเรื่องการสร้าง (formation) เนื้อเยื่อของผิวหนังและรอยแผลเป็น (scar) เพื่อค้นหาความเข้าใจว่าทำไมจึงมีการสร้างแผลเป็นหลังจากเป็นแผลบาดเจ็บ (wounding) จุดมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีรักษาใหม่ เพื่อรักษาผิวหนังและแผลจากการบาดเจ็บ (wounds) มีเป้าหมายสุดท้าย คือหาวิธีการป้องกันการสร้างแผลเป็น (scars) ผศ.Plan จบการศึกษาจากประเทศเวียดนาม มี ความสนใจในการรักษา เยียวยา บำบัดแผลบาดเจ็บในช่วงระยะแรกสุดของการเกิด ได้ทำงานที่ National Institute of Burns มา 4 ปี รักษาเหยื่อจากสงครามเวียดนาม  ทหารผ่านศึก  ทั้งที่เป็นทหารและพลเรือน จากนั้นได้รับทุนการศึกษาที่ Oxford  ที่สถาบัน Wound Healing Institute, Dept. of  Dermatology ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้และได้พัฒนาความรู้ของตนเองที่ นั้นในปี 1998 Dr.Ivor Lim และ ผศ. Phan ได้จัดตั้งกลุ่มวิจัย คือ Wound Healing & Stem Cell Research Group มุ่งเน้นศึกษาชีววิทยาของผิวหนังและเนื้อเยื่อแผลเป็นคีรอยด์ (keloid scar) จนปัจจุบันกลุ่มวิจัยนี้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกในการวิจัย เรื่องนี้ ปัจจุบัน ผศ. Phan ทำงานที่ National University of Singapore โดยมุ่งน้นทำงานวิจัย 2 แนวทาง คือ 1.รักษาผิวหนังและแผลเป็น 2. Stem cell ได้ค้นพบแหล่งกำเนิดของ stem cell แหล่งใหม่คือ จากเนื้อเยื่อหุ้มเซลล์ชั้นบุในของสายสะดือ (umbilical cord lining membrane) ซึ่งมีประโยชน์ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และการงอกขึ้นมาใหม่ ทำงานวิจัยเข้มข้นร่วมกับเพื่อนร่วมงานต่างชาติ คือ อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนของบริษัทเกิดใหม่ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ 2 แห่ง ในสิงคโปร์ ชื่อ Cell Research Corporation Pte Ltd. และ Cord Labs Pte Ltd. ทั้ง 2 บริษัทมุ่งดำเนินการแบบเชิงพาณิชย์ การทำงานขณะนี้ บางครั้งทำในห้องปฏิบัติการ ร่วมกับนักศึกษาปริญญาโท บางครั้งทำการทดสอบที่ได้ตัวอย่างจริงมา รวมทั้งเดินทางเข้าร่วมการประชุมต่างประเทศ แหล่งข้อมูลวิชาการที่ใช้ บ่อยมากคือ Web of Knowledge ที่มีบริการที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ทำให้ตรวจสอบหาค่า Impact Factor , IFของวารสาร รวมถึงใช้เพื่อประเมินคุณภาพงานวิจัยโดยดูจากค่าการอ้างอิงที่ได้รับของบท ความเรา ซึ่งคิดว่าสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยทั่วโลก ก็ใช้แหล่งข้อมูลวิชาการชื่อนี้เช่นกัน และยังได้ลงทะเบียนใช้บริการ Researeher ID ด้วย เป้าหมายงานวิจัยวิชาการ คือ หาวิธีที่การประยุกต์ที่แตกต่างของเดิม เช่น การสร้างกระดูก (bone regeneration) มีความต้องการที่จะคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ อุปกรณ์ใหม่ เพื่อรักษาโรคที่ยาก เช่น โรคเกี่ยวกับตับ โรคหัวใจ ตอนนี้มีสิทธิบัตรที่ถือครองในเรื่อง umbilical cord membrane อ้างอิงจาก http://intelligentinformationforlife.com/phan/ งานวิจัยที่ 6 ประเทศญี่ปุ่น เรื่อง วัสดุมายากล (Magician with Materials)  โดย Prof. Dr. Yoshinori Tokura สาขาฟิสิกส์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยโตเกียว ญี่ปุ่นใช้แหล่งข้อมูลวิชาการชื่อ  Web of Science, WOS ตั้งแต่ปี 2000 ทำงานวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ อิเล็กตรอนในวัสดุ (electron materials) ซึ่งอิเล็กตรอนในของแข็งอยู่ในสถานะ จำกัดอยู่เฉพาะที่อย่างแน่นอน (strictly localized state) หรือเสมือนเข็มหมุด (pinned) อิเล็กตรอนมีพฤติกรรม (behave) คล้ายคลื่นประเภทหนึ่งในของแข็ง ด้วยอิเล็กตรอนอนุภาคหนึ่งสามารถหยุดอิเล็กตรอนอนุภาคหนึ่งได้ด้วยทำ ปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน ( mutual interaction) ฉะนั้นการเคลื่อนไหวจึงเกือบหยุดนิ่ง (freezed out) นั่นคือความสัมพันธ์ที่สำคัญของระบบอิเล็กตรอน ในกรณีซึ่งเมื่อสารตัวนำไฟฟ้าอย่างยิ่งยวดชนิดทองแดงออกไซด์ แบบHigh - Tc (copper oxide high-Tc Superconductors) มีอิเล็กตรอนแบบแช่แข็งนี้ จึงนำมาสร้างเป็น ฉนวนเครื่องกันไฟฟ้าในโลหะ ต่อมาสร้างเป็นซุปเปอร์คอนดัคเตอร์ ส่วนในสารประกอบประเภทอื่น เช่น ferromagneticmetal มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน  นี้คือการเล่นแร่แปรธาตุประเภทหนึ่ง (alchemy) มีคำหนึ่งที่เป็นที่ ชื่นชอบ คือ คำว่า emergence ซึ่งหมายถึง มีองค์ประกอบอิสระมากมายเมื่อมารวมกัน อาจสร้างให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจได้  คุณสมบัติของวัสดุทั้งหมดไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการรวมองค์ประกอบต่างๆเข้า ด้วยกัน ในส่วนตัวมีความเชื่อว่าเรื่องความสัมพันธ์ของอิเล็กตรอนใน วัสดุจะเป็นสาขาที่สำคัญหนึ่งของ วิทยาศาสตร์ เป้าหมายคือการพัฒนาอิเล็กตรอนแบบใหม่ ซึ่งมีความหมายแตกต่างอิเล็กทรอนิกส์เซมิคอนดักเตอร์แบบเดิม เพิ่งอ่านหนังสือชื่อเรื่อง Physics of the Impossible โดยนักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน Michio Kaky ด้วยความประทับใจ อันที่จริงแล้วเป้าหมายส่วนตัวของฉัน ต้องการทราบถึงกึ่งๆของฟิสิกส์ ที่จะนำไปสู่นวัตกรรมและวิวัฒนาการของเทคโนโลยี  ขอเรียกว่า Innovation 4 ซึ่งอาจเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ ผ่านจากการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ทางฟิสิกส์  อุณหภูมิห้อง เมื่อต้องการถ่ายเทพลังงาน ต้องการใช้พลังงานที่มีอุณหภูมิถึง 400 องศาเคลวินด้วย superconductors ขณะนี้เรามีเพียง superconductors ชนิด 130-140 kelvin ดังนั้นเราต้องการความพยายามอีก 3 เท่า โดยเป้าหมายหลักของเราคือการทำวิจัย High-Tc อีกกรณีคือความสัมพันธ์ ระหว่างไฟฟ้ากับความร้อน (thermoelectric)  เรามีเป้าหมายผลิตวัสดุที่มีการใช้พลังงานต่ำ (ultra-low energy cousuming electronics) ตัวอย่างเครื่องปรับอากาศ ที่ใช้คอมเพรสเซอร์ในการทำความเย็น นั้นเป็นหลักการความสัมพันธ์ระหว่างความร้อนกับพลังงานกล (thermodynamics) ของยุคศตวรรษที่ 19 แต่หากสามารถเปลี่ยน กระแสไฟฟ้าแบบตรงไปเป็น heat conduction จะช่วยให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น หน่วยวัดค่าความร้อนเป็น merit (ZT) ที่ขณะนี้มีหน่วย ZT เพียง1 หรือน้อยกว่า หากมีการพัฒนาให้มีค่ามากเป็น 3-4  สามารถเลิกใช้คอมเพรสเซอร์  เราจะสามารถแทนที่อย่างทันทีด้วย direct heat electricity transformation Prof. Dr. Yoshinori ใช้แหล่งข้อมูล Web of Science ทุกวันเป็นหลัก เพื่อระบุวัสดุใหม่ หรือ ค่าวัดใหม่ทางฟิสิกส์(new physical parameter) สืบค้นโดยใช้คำค้นสามัญ (Key word) เมื่อผลลัพธ์ออกมามากเป็นหลักพันจะมุ่งสนใจเฉพาะบทความวิจัยที่ได้รับการ อ้างอิงสูงๆ (highly cited papers) นอกจากนั้นยังเป็นการค้นหาผู้เข้าร่วมแข่งขัน(candidates) ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เมื่อทางคณะได้รับข้อเสนอโครงการวิจัยจำนวนมาก จะทำการสืบค้นหาภูมิหลังของ นักวิทยาศาสตร์ผู้ขอทุน เพื่อทราบถึงกิจกรรมวิจัยและการมีชื่อเสียงในสาขา ที่ภาควิชานี้คณาจารย์ทุกท่านใช้ฐานข้อมูล Web of  Science กันมากและทราบถึงวิธีการสืบค้นที่ถูกต้องอย่างดีอีกด้วย อ้างอิงจาก   http://intelligentinformationforlife.com/tokura/ งานวิจัยที่ 7 ประเทศมาเลเซีย  เรื่องรู้จักด้านซ้ายจากด้านขวา (Knowing left from right) โดย Prof. Fun Hoomg  Kun ภาควิชาฟิสิกส์   มหาวิทยาลัยเซ็นต์มาเลเซีย ปีนัง มาเลเซีย  ใช้แหล่งข้อมูลวิชาการ ชื่อWeb of Science, WOS  และ ReseaecherID ตั้งแต่ปี 2002 หากเรา ต้องการหาคำตอบให้คำถาม 1 คำถาม ธรรมชาติเป็นที่ที่ควรหาคำตอบในเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องสลับซับซ้อนที่เราต้องใช้ความระมัดระวังอย่างที่สุด งานวิจัยที่กำลังหาคำตอบคือ เรื่องโครงสร้างคริสตัลของโมเลกุลของสารอินทรีย์ (crystal structure of organic molecules) ที่พบได้ในผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เมื่อเรามองดูในโครงสร้างแบบ 3 มิติ (3 D) ของโมเลกุล ความโน้มเอียงในการใช้มือข้างใดมากกว่าอีกข้างหนึ่ง (handedness) ของโมเลกุลเป็นสิ่งที่สำคัญมากบางครั้งความแตกต่างของอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ทำให้คุณสมบัติทั้งหมดแตกต่างกันไปด้วย ยกตัวอย่างยาชื่อThalidomide (ยาแก้แพ้ท้องประเภทสังเคราะห์) ที่ถูกพัฒนาและใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 1970 ที่ช่วยรักษาอาการแพ้ท้องของหญิงตั้งครรภ์  ยาที่สังเคราะห์เพื่อเชิงพานิชย์นั้นมีโมเลกุลแบบ 2 แขน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมีโมเลกุลเพียง 1 แขน แขนที่ 2 ของโมเลกุล ยานั้นมีผลอย่างร้ายแรงต่อทารกที่เกิดขึ้น จากผลลัพธ์นั้นนำไปสู่คำ ถามที่เกี่ยวกับการสังเคราะห์สารประกอบ ยกตัวอย่าง ยาฆ่าแมลง ที่สังเคราะห์ขึ้นมาบนหลักการจากคุณสมบัติสารธรรมชาติ เมื่อนำไปฉีดพ่นต้นไม้ที่นำมาเป็นอาหารของมนุษย์ แขนอีก 1 แขนของโมเลกุล มีผลกระทบอย่างไร ต้องมีการทดสอบ ในเรื่อง enantiomorphs ของโมเลกุลที่สังเคราะห์ เพื่อยืนยันความปลอดภัยก่อนที่จะปล่อยออกสู่เชิงพานิชย์ Prof. Dr.Fun  เป็นนักถ่ายภาพเอ็กเรย์ระดับโมเลกุลของคริสตัล สนใจในสาขาวิชานี้ มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาโครงสร้าง 3D ของโมเลกุลเล็กๆ กำลังค้นหาวิธีการประยุกต์ ที่มีศักยภาพต่อวงการแพทย์ รวมถึง possessing non-linear optical และคุณสมบัติของฟูออเรสเซนต์ ทีมงานวิจัยของเรา สนใจถึงประโยชน์ของสารประกอบที่มาจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะ เรื่อง supramolecule network ในคริสตัลของสารอินทรีย์ โดยในปี 2001 ได้ค้นพบระยะการส่งผ่านแบบใหม่ (phase transition) ชื่อ FAST (Fun Anwar Suchada Transition) หลังจากนั้นก็ค้นพบตัวอย่างของ FAST มากมาย ได้ค้นพบพฤติกรรม กลไก ของ FAST พบว่าเป็นปฏิกิริยาร่วมกันระหว่าง hydrogen bonds กับ lattice phonons ในคริสตัล ทฤษฎี Landau กับ ทฤษฎี microscopic ที่อยู่บนหลักการกลไกควันตัม ได้ถูกพัฒนา ด้วยคำอธิบายของ 2nd-order FAST จน ถึงปัจจุบัน Prof. Dr. Fun ได้ตีพิมพ์บทความวิจัยรวม 1462 เรื่อง ถูกทำดัชนีในฐานข้อมูล Web of  Science รวมทั้งใช้ WOS และ Researcher ID เป็นประจำซึ่งช่วยให้ติดตามจำนวนนับของการได้รับการอ้างอิง อ้างอิงจาก   http://intelligentinformationforlife.com/fun/ งานวิจัยที่ 8 ประเทศไต้หวัน  เรื่องหมอยา (Medicine Man ) โดย Dr. Chang Yu-Li-Hsinchu, Taiwan จาก Industrial Technology Research Institute, ITRI, Taiwan ใช้แหล่งข้อมูลวิชาการชื่อ Thomson Pharma มาตั้งแต่ปี 2007 งานวิจัยที่กำลังดำเนินการคือ การวิจัยพัฒนาด้านพรีคลินิก ยาสมุนไพรชนิดใหม่จากยาสมุนไพรจีนดั้งเดิม รวมถึงการสำรวจหาโมเลกุลขนาดเล็กของยาชนิดใหม่เพื่อใช้ในคลินิก ยาสมุนไพรเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นมรดกสมบัติของชาติ และส่วนตัวเองมีความเชื่อว่ามันสามารถมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น ทีมงานวิจัยเราจึงสนใจในความเป็นไปได้ในอนาคตว่าสักวันหนึ่งเราจะสามารถออก แบบและพัฒนายาสมุนไพรที่มาจากของดั้งเดิมได้ด้วยธรรมชาติของยาสมุนไพรนั้นโดยทั่วไปมีความอ่อนโยน มีประสิทธิภาพที่ผู้คนสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ทีมงานเราทำการสกัดสาร เพื่อกลั่นกรองสารออกฤทธิ์ที่มีปฏิกิริยาทางชีววิทยาหรือทำให้บริสุทธิ์ และทำการควบคุมคุณภาพทำในเชิงอุตสาหกรรมและพัฒนาทางพรีคลินิก ขณะนี้ เรากำลังสนใจมุ่งในโรคตับ เช่น Chronic hepatitisB,C,  liver fiibrous, cirrhosis และ hepato cellular carcinoma เพราะว่าเป็นโรคที่พบอย่างแพร่หลายในประเทศจีน งานวิจัยของเราเป็นขบวนการตรวจสอบยาใหม่ (Investigation New Drug , IND) ทีมงานวิจัยใช้แหล่งข้อมูล Thomsom Pharma ที่มีประโยชน์มากมีการรวบรวมข้อมูลยาที่มีเนื้อหาเข้าเรื่องในงานวิจัยเรา ฐานข้อมูลให้รายงานที่มีการเรียบเรียงและจัดเป็นระเบียบอย่างดีและยังให้ ข้อมูลใหม่ล่าสุดเสมอ ให้ข้อมูลครอบคลุมทุกสถานะของการพัฒนายา 1 ชนิด เช่น deal situation, patent position, chemistry, toxicity, mechanism of action และข้อมูลการทดสอบทางคลินิก ITRI บอกรับเป็นสมาชิกฐานข้อมูล Thomsom Pharma ตั้งแต่ปี 2007 ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่ให้ข้อมูลทั้ง 2 ด้าน คือ ด้านเทคนิคและด้านเชิงพานิชย์ของยา อ้างอิงจาก http://intelligentinformationforlife.com/chang/ งานวิจัยเรื่องที่ 9 ชื่อเรื่องการวิจัยทรัพย์สินทางปัญญาจาก 3 ฝ่าย (The IP Trinity) โดย Ms. Yukie Akakabe & Mr. Hiroshi Oyama บริษัท Showa Denko K.K. and Denka, Tokyo, Japan ใช้ฐานข้อมูล Derwent World Patent Index, DWPI ตั้งแต่ปี 1995 บทสัมภาษณ์ Ms. Yukie Akakabe บริษัท ของเรา Showa Denka K.K. บริษัทของเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ในเรื่องธุรกิจเทคโนโลยีที่ทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สินค้า หลายประเภท ขณะนี้เรากำลังทำงานในสนามที่มีการแข่งขันสูงมาก เช่นเรื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับสายตา (Optoelectronic devices) เราได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลสิทธิบัตรอย่างเข้มข้นและมีประสิทธิภาพมากสำหรับงานวางแผนกลยุทธ์ด้านธุรกิจเทคโนโลยี (Business strategy) ตัวอย่าง หากบริษัทเราเป็นผู้มาทีหลัง (latecomers) การวิเคราะห์สิทธิบัตร สามารถช่วยเราได้อย่างยิ่งในการหาช่อง โพรง สำหรับบริษัทเรา เมื่อนักวิจัยมาบอกว่า ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนทำให้ฉันมีความพึงพอใจในผลงานของตนเองมาก นั่นคือฉันได้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ในเรื่องการละเมิดสิทธิบัตร (Patent Infringement) ให้แก่บริษัทได้ ในอดีต ฉันทำหน้าที่เพียงสืบค้นข้อมูลสิทธิบัตรตามคำขอเท่านั้น  ต่อมาในช่วงเวลาที่ไม่นานมานี้นั้นลักษณะงานได้ปรับเปลี่ยนไปมาก กลายเป็นงานใหม่ที่มีชื่อกลุ่มว่า Holy Trinity ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของงาน 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ฝ่ายธุรกิจ (Commercial) และฝ่ายทรัพย์สินทางปัญญา (IP Specilaist) กลุ่มงานใหม่นี้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เริ่มต้นโครงการวิจัยเรื่องหนึ่งๆ ปัจจุบันต้องเดินทางไปพบปะทีมงานแบบตัวต่อตัว ใช้ข้อมูลเป็นหลักการในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ไม่ทึกทักว่าเป็นจริงเอาเองอย่างที่เคยทำมาก่อน ทีมงานจะร่วมกันตัดสินใจ หาวิธีการพัฒนา วิธีป้องกัน และการตลาดอย่างดีที่สุด สำหรับนวัตกรรมของบริษัทเรา เรามีปฏิสัมพันธ์กันและสนุกสนานมากในสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ เราจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในแต่ละโครงการ บทสัมภาษณ์ Mr. Hiroshi Oyama ประเทศ จีนมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องรวดเร็วกว่าระบเศรษฐกิจใดๆ ด้วยเหตุผลสำคัญคือ จีนมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน จีนมีจำนวนผู้บริโภคสูงมากถึง 1.3 พันล้านคน เป็นตลาดที่ใหญ่มหึมา เพื่อให้บริษัท Denka ประสบความสำเร็จในจีน จำเป็นต้องทำการทำแฟ้มการยื่นขอจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ให้มากเพื่อเจาะตลาดในจีน บริษัทเน้นธุรกิจเทคโนโลยี โพลิเมอร์  ขั้นสูง (advanced polymer) ที่ประยุกต์เป็นชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ และรถยนต์ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงเสมอ รวมทั้งเรายังสนใจสิทธิบัตรด้านยาอีกด้วย เรา 2 คนมีความเชี่ยวชาญในข้อมูลสิทธิบัตรจีนได้ร่วมกันเขียนหนังสือ เรื่อง The Knack of searching Chinese Patents ในการทำงานและเขียนหนังสือ ได้ใช้แหล่งข้อมูลจากฐานข้อมูล Derwent World Patent Index, DWPIเป็นหลัก DWPI เป็นแหล่ง ข้อมูลสิทธิบัตรที่มีคุณภาพสูงและครอบคลุมทั่วโลก อ้างอิงจาก http://intelligentinformationforlife.com/akakabeoyama/ เรียบเรียง โดย รังสิมา เพ็ชรเม็ดใหญ่ ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วันที่ 6 พฤษภาคม 2553
รายงานสถานภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
 
สารสนเทศวิเคราะห์
 
Nature วารสารวิทยาศาสตร์ที่ทรงอิทธิพล
วารสารเนเจอร์ เป็นวารสารวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด มาจากประเทศอังกฤษ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 1869 มีอายุรวม 140 ปี เป็นวารสารวิทยาศาสตร์แบบสหวิทยาการ (interdisciplinary) ที่ถูกอ้างอิงมากที่สุดชื่อหนึ่ง ปัจจุบันวารสารวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นวารสารเฉพาะทาง  วารสารเนเจอร์ยังคงเป็นวารสารในกลุ่มจำนวนน้อยที่เป็นแบบสหวิทยาการ ตัวอย่างวารสารที่มีชื่อเสียงในกลุ่มนี้ เช่น  Science, Proceeding of the National Academy of Science (PNAS) กลุ่มผู้อ่านหลักของวารสารเนเจอร์ คือ นักวิทยาศาสตร์ผู้ทำงานวิจัย สาธารณชนผู้อ่านทั่วๆไปก็สามารถอ่านบทความประเภทสรุป ที่เข้าใจได้ง่าย วารสารเนเจอร์ตีพิมพ์แบบรายสัปดาห์ ใน 1 ปี จึงมีจำนวนรวมราว 52 - 54 ฉบับ คอลัมน์ในแต่ละฉบับประกอบด้วย บทบรรณาธิการ (Editorial)  ข่าว (News)  บทความเด่น (Feature articles)  และอื่นๆ เช่น current affair, science funding,  business, scientific ethics, research breakthroughs, book& arts etc. ในปี 2007 วารสารเนเจอร์ กับวารสาร Science ได้รับรางวัล The Prince of Asturias Award for Communications and Humanity รายละเอียดของวารสารเนเจอร์ ชื่อย่อ Nature เนื้อหา สหสาขาวิชา (Interdisciplinary) ภาษา อังกฤษ สำนักพิมพ์ Nature Publishing Group (NPG) สหราชอาณาจักร ปีที่เริ่มพิมพ์ ค.ศ. 1869 – ปัจจุบัน ความถี่ในการตีพิมพ์ รายสัปดาห์ ค่า Impact Factor, IF 31.434 (2008) ISSN 0028-0836 Web Site www.nature.com/nature/index.htm ประวัติความเป็นมา ในช่วงศตวรรษที่ 19 สหราชอาณาจักร เป็นประเทศแหล่งกำเนิดของวิทยาการความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในช่วงหลังศตวรรษ อังกฤษอยู่ในช่วงการดำเนินการอย่างมากเกี่ยวกับความก้าวหน้าและการเปลี่ยน แปลงทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของโลก วารสารวิทยาศาสตร์ที่ได้รับความเชื่อถืออย่างสูง ในขณะนั้นมาจากราชสมาคม ( Royal Society) ที่มีการตีพิมพ์ผลงานวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก คือ งานค้นพบวิทยาศาตร์ที่สำคัญของ Sir Isaac Newton, Michael Faraday จนถึงผลงานของ Charles Darwin และในช่วงเวลาต่อมา ในช่วงปีค.ศ. 1850 - 1860 จำนวนสิ่งพิมพ์ต่อเนื่องทางวิทยาศาสตร์เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 2 เท่า วารสารเนเจอร์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1869 ในชื่อครั้งแรกคือ  Recreative Science : a Record and Remembrancer of Intellectual Observation ที่เน้นเนื้อหาด้านธรรมชาติวิทยา ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อวารสารหลายชื่อ และต่อมาเริ่มเน้นเนื้อหาด้าน วิทยาศาสตร์กายภาพ เช่น Astronomy, Archaeology ผู้ก่อตั้งวารสารเนเจอร์ คือ Norman Lockyer  ส่วนผู้สนับสนุนการเงินในการตีพิมพ์ คือ Alexander MacMillan หลายบทความในฉบับแรกๆของวารสารเนเจอร์ เขียนโดยกลุ่มสมาชิกที่ตั้งชื่อกลุ่มว่า X Club  ที่มีความเป็นอิสระเสรีนิยม (liberal) หัวก้าวหน้า (progressive) และบางทีมีประเด็นโต้แย้งกันในเรื่องวิทยาศาสตร์ในช่วงเวลานั้น บางทีอาจเป็นเพราะการมีอิสระเสรีทางวิทยาศาสตร์ (Scientific liberality) เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้วารสารเนเจอร์ได้รับความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับในชุมชนวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมาอย่างยาวนานมากกว่าบรรพบุรุษวารสารเนเจอร์ในยุคศตวรรษที่ 20 และช่วงต้นที่ 21 วารสารเนเจอร์ได้ดำเนินการได้อย่างดีในการพัฒนาและขยายฐานงานตีพิมพ์ผลงานวิทยาศาสตร์ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 จนถึงยุคที่ 20 บรรณาธิการ (Editors) Norman Lockyer ผู้ก่อตั้งวารสารเนเจอร์ เป็นศาสตราจารย์ที่ Imperial College ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการคนแรก  ส่วนคนที่ 2  คือ Richard Gregory  เป็นผู้ที่ช่วยสร้างเครือข่ายชุมชนวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ  ในช่วงปี 1945 - 1973 มีบรรณาธิการ 3 คน คือ A.J.V. Gale, L.J.F. Brimble และ John Maddox มีการหมุนเวียนกันเป็นรอบ 2 ในบางคน และสุดท้ายตั้งแต่ปี 1995 – ปัจจุบัน บรรณาธิการคนล่าสุด คือ Philip Cambell การพัฒนาการ มีการขยายสาขาของสำนักงานไปยังประเทศต่างๆ เรื่อยมา ตั้งแต่ปี 1970 ที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี  ปี 1985 กรุงนิวยอรค์ ปี 1987 กรุงโตเกียวและกรุงมิวนิค ปี 1989 กรุงปารีส ปี 2001 ซานฟรานซิสโก ปี 2004 กรุงบอสตัน และปี 2005 ที่ฮ่องกง ตั้งแต่ช่วงปี 1980’s เป็นต้นมาวารสารได้ขยายฐานอย่างยิ่งใหญ่ มีการริเริ่มตีพิมพ์วารสารชื่อใหม่เพิ่มอีกราว 10 ชื่อ ตั้งชื่อสำนักพิมพ์ใหม่ชื่อ Nature Publishing Group, NPG ในปี 1999 ที่ประกอบด้วยสำนักพิมพ์ชื่อเดิม อันได้แก่  Nature, Nature Research Journals, Stockton Press Specialist Journals, MacMillan Reference ในปี 1997 วารสารเนเจอร์ได้เปิดเว็บไซต์ที่ www.nature.com   และในปี 1999 เริ่มตีพิมพ์บทความในวารสารชุดของ Nature Reviews  แบบออนไลน์ โดยเปิดบางบทความให้อ่าน เข้าถึงได้แบบฟรี ส่วนบทความอื่นๆ ผู้อ่านสามารถเข้าถึงแบบขอซื้อในแต่ละบทความ  ถือได้ว่าวารสารเนเจอร์เป็นวารสารแบบ partial open access journal คือเปิดให้อ่านฟรีได้แบบบางส่วน วารสารเนเจอร์ประกาศว่า กลุ่มผู้อ่านเป็นนักวิทยาศาสตร์และผู้บริหารราว 3 แสนคน ส่วนผู้อ่านอื่นๆ ราว 6 แสนคน มีจำนวนตีพิมพ์หมุนเวียนราว 6.5 หมื่นเล่มต่อฉบับ และมีการศึกษาพบว่า วารสาร 1 เล่มมีการแบ่งปันกันอ่านเฉลี่ย 10 คนต่อเล่ม เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2008 วารสารเนเจอร์ได้ให้การรับรอง (endorsed) ผู้สมัครชิงตำเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก ด้วยการสนับสนุนการณรงค์หาเสียงของนายบารัค โอบามา การเสนอตีพิมพ์บทความในวารสารเนเจอร์ นัก วิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างมุ่งหวังเสนอบทความลงตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์นี้ หากผู้ใดได้รับการตีพิมพ์ ถือว่าได้รับชื่อเสียง รับเกียรติอย่างสูง น่าเคารพนับถือ (prestigious)  และบทความมักจะได้รับการอ้างอิงในจำนวนสูงอีกด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การเลื่อนตำเหน่ง การได้รับอนุมัติให้ทุนวิจัย รวมถึงจะได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนหลักด้วย เหตุผลเป็นเพราะว่ามักได้รับการตอบสนองในทางบวก ฉะนั้นจึงมีการแข่งขันกันในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่จะเสนอตีพิมพ์บทความวิจัย ของตนเอง รวมถึงมีการแข่งขันในวารสารคู่แข่งที่ใกล้ชิดที่สุด คือ Science อย่างดุเดือด (fierce) อีกด้วย วารสารเนเจอร์ ได้รับค่า IF = 31.434 ในปี 2008 ที่วัดโดย Thomson ISI ถือว่ามีค่าสูงสุดในกลุ่มของวารสารประเภทเดียวกัน วารสารเนเจอร์มีนโยบายตรวจสอบคุณภาพบทความที่เสนอตีพิมพ์เช่นเดียวกับวารสาร ส่วนใหญ่ชื่ออื่นๆ มีการกลั่นกรองคัดเลือก (screen) โดยบรรณาธิการ ตามด้วยขั้นตอนของกระบวนการ peer review  โดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่คัดเลือกโดยบรรณาธิการ ซึ่งต้องไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆ กับงานวิจัยนั้นๆ โดยจะทำการอ่านและให้ข้อวิจารณ์ก่อนที่จะอนุมัติให้ตีพิมพ์ คำประกาศพันธกิจล่าสุดของ วารสารเนเจอร์ ข้อที่ 1 เพื่อเป็นการบริการแก่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ให้มีแหล่งตีพิมพ์ผลงานอันเป็นความก้าวหน้าทางที่สำคัญอย่างทันทีในทุกๆสาขา วิชาของวิทยาศาสตร์ และเพื่อเป็นการจัดที่ที่แสดงความคิดเห็นให้มีโอกาสในการรายงานและซักถามพูดคุยในประเด็นทางวิทยาศาสตร์ ข้อที่ 2  เพื่อให้มั่นใจในผลลัพธ์ของวิทยาศาสตร์ที่มีการเผยแพร่อย่างรวดเร็วแก่สาธารณชนทั่วโลก บทความวิทยาศาสตร์สำคัญที่มีการตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ (Landmark papers) วารสารเนเจอร์ได้ตีพิมพ์บทความวิทยาศาสตร์ที่เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลกเป็นแห่งแรก ดังรายชื่อบทความต่อไปนี้ หัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง Wave Nature of particles – C. Davisson et al. 1927 . “The scattering of electrons by a single crystal of nickel “ Nature 119 : 558-560  doi:10.1038/119558a0 หัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง The neutron – J. Chadwick 1932 “ Possible  existence of a neutron “ Nature 129 : 132   doi:10.1038/129312a0 หัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง Nuclear fission – L. Meitner et al. 1939 “Disintegration of uranium by neutrons : a new type of nuclear reaction” Nature 143 : 239-240  doi:10.1038/143239a0 หัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง The structure of DNA – J.D. Watson and F.H.C. Crick 1953 “Molecular structure of nucleic acids : A structure for deoxyribose nucleic acid” Nature 171 : 737-738  doi:10.1038/171737a0 หัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง First molecular protein structure (myoglobin) – J.C.Kendrew et al. 1958 “A three dimensional model of the myoglobin  molecule obtained by X-ray analysis” Nature 181 : 662-666  doi:10.1038/181662a0 หัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง Plate tectonics – J. Tuzo Wilson 1966 “ Did the Atlantic close and then re-open ? “ Nature 211 : 676-681 doi:10.1038/211676a0 หัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง Pulsars – A.Hewish et al. 1968 “ Observation of a Rapidly Pulsating Radio Source” Nature 217 : 709-713  doi:10.1038/217709a0 หัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง The Ozone hole – J.C. Farman et al. 1985 “ Large losses of total ozone in Antarctica reveal seasonal CIOx/NOx interaction” Nature 315 : 207-210  doi:10.1038/315207a0 หัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง First cloning of a mammal ( Dolly the sheep) – J. Wilmut et al.  1997 “ Viable offspring derived from fetal and adult mammalian cells” Nature 385 : 810-813 doi:10.1038/385810a0 หัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง The Human genome – International Human Genome Sequencing Consortium (2001) “Initial sequencing and analysisof the human genome” Nature 409 : 860-921  doi:10.1038/35057062 ความผิดปกติในขนวนการ Peer Review ของวารสารเนเจอร์ ในวารสาร เนเจอร์ พบว่ามีการตีพิมพ์บทความที่หลอกหลวง ไม่เป็นจริง บิดเบือนของผู้แต่งชื่อ Hendrik Schon  ในปี 2001 - 2002 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ superconductivity ต่อมาในปี 2003 วาราสารได้แจ้งขอถอนบทความนั้นออก เช่นเดียวกับวารสาร Science สิ่งพิมพ์ชื่อต่างๆ ของกลุ่ม NPG NPG เริ่มตีพิมพ์วารสารเฉพาะทางหลายชื่อ  เช่น Nature Neuroscience, Nature Biotechnology, Nature Methods, Nature Clinical Practice etc. และปัจจุบันวารสารเนเจอร์ จัดบริการ Podcasts ให้แก่ผู้ใช้บริการซึ่งสามารถรับชมภาพและฟังเสียง ที่เป็นบทความเด่นและบทสัมภาษณ์ผู้แต่งด้วย ในปี 2007  NPG ได้เริ่มตีพิมพ์วารสารร่วมกับสมาคมวิชาชีพต่างๆ หลายแห่ง เช่น The American Society of Clinical Pharmacology & Therapeutics โดยตีพิมพ์วารสารชื่อ Clinical Pharmacology & Therapeutics กับสมาคม The American Society of gene โดยตีพิมพ์วารสารชื่อ Molecular Therapy สิ่งพิมพ์ ของ NPG แบ่งออกได้เป็น 3 ชุด คือ กลุ่มที่หนึ่ง วารสารวิจัย ( Research Journals) ตัวอย่างเช่น Nature  Biotechnology, Nature cell Biology, Nature Chemistry, Nature Genetics, Nature Geoscience, Nature Nanotechnology, Nature Physics เป็นต้น กลุ่มที่สอง วารสารวิจารณ์ สรุปผล( Reviews Journals)  ตัวอย่างเช่น Nature Review Cancer, Nature Review drug Discovery, Nature Review genetics, Nature Review Immunology เป็นต้น กลุ่มที่สาม วารสารออนไลน์(Nature Online) ตัวอย่าง Nature China และ Nature India สำนักพิมพ์ NPG มีความกระตือรือร้นอย่างมากในการส่งเสริม การจัดเก็บคลังความรู้ส่วนตัว (Self Archiving)  ถือเป็นสำนักพิมพ์แห่งแรกสุดที่อนุญาตให้ผู้แต่งบทความสามารถทำสำเนาบทความ ตนเองไปเก็บไว้ที่เว็บไซต์ส่วนตัวหรือ สถาบันได้ ในปี 2002  โดยใช้วิธีให้ผู้แต่งทำเรื่องขอ exclusive license มายังสำนักพิมพ์ มากกว่าการขอให้ผู้แต่งมอบลิขสิทธิ์ให้ และในปี 2007 NPG ได้แนะนำการอนุญาตที่ชื่อว่า Creative Common, CC เอกสารอ้างอิง 1. Nature (Journal) from Wikipedia, the free encyclopedia – available at http://en.wikipedia.org/wiki/Nature_journal as of  18 May 2010 2. Web Site : Nature International Weekly Journal of Science – available at http://www.nature.com/nature/index.html  as of 24 May 2010 เรียบเรียงโดย รังสิมา เพ็ชรเม็ดใหญ่ ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  สวทช. วันที่ 25 พฤษภาคม 2553
รายงานสถานภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
 
สารสนเทศวิเคราะห์
 
บทความเด่นจาก Scientific American
วารสาร Scientific American เป็นวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชื่อดังอีกชื่อหนึ่ง ที่ผู้อ่านทั่วไปสามารถติดตามข่าว กิจกรรมวิทยาศาสตร์ในระดับสากล โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลักได้อย่างเท่าทันการณ์ มีการตีพิมพ์แบบรายเดือน มีการนำเสนอบทความเด่นที่น่าสนใจ ในเกือบทุกฉบับโดยในฉบับเดือนกรกฎาคม 2553 นี้ มีบทความพิเศษที่น่าสนใจในคอลัมน์ Content features รวม 8 เรื่อง ในสาขาต่างๆ หน้าปกหลัก โปรยชื่อเรื่องว่า โลกกำลังรั่ว ( The Universe is leaking) ขอเสนอเนื้อหาสรุปแบบย่อ ของ 8 บทความหลัก ดังต่อไปนี้ 1. สาขาดาราศาสตร์ (Cosmology) มีชื่อเรื่องหลักว่า โลกกำลังเกิดพลังงานรั่วไหล หรือไม่ (Is the universe leaking energy ?) มีเนื้อหาสรุปดังนี้ ระบบจักรวาลที่มีการแผ่ขยายทำให้เกิดระยะห่างไกลออกไปจากกลุ่มดาวกาแล็กซี่มากยิ่งขึ้นอีก แสงของกลุ่มดาวมีการเปลี่ยนความยาวคลื่นของคลื่นแสง (redshifted)  ที่เป็นเหตุทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงพลังงานให้ลดน้อยลงนี้ดูเหมือนว่าเป็นการละเมิดกฎ หลักการของการเกิดพลังงานในทางฟิสิกส์ (ติดตามอ่านรายละเอียดได้ในความยาวจำนวน 8 หน้า พร้อมรูปภาพประกอบ) 2. สาขาการขนส่ง (Transportation) มีชื่อเรื่องหลักว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่พอใจเกี่ยวกับปลั๊กของรถยนต์ไฮบริด (The dirty truth about plug-in hybrids) มีเนื้อหาสรุปดังนี้ หลังจากการประกาศเปิดตัวรถ ยนต์รุ่น LEAF ของบริษัทนิสสัน เมื่อปีที่แล้วในเมืองใหญ่ 24 แห่งในสหรัฐอเมริกาแล้วนั้น ถือได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของโลกที่ทำการผลิตแบบอุตสาหกรรม  บริษัทนิสสันได้อวดเทคโนโลยีใหม่นี้ ด้วยสโลแกนที่ว่า zero emission tour รถยนต์ LEAF ใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าที่จุพลังงานในแบตตารี่แบบห่อ โดยแบตตารี่ได้พลังงานที่ส่งผ่านจากสายปลั๊กไฟฟ้าจากโรงรถของแต่ละบ้าน (ติดตามอ่านรายละเอียดได้ในความยาวจำนวน 2 หน้า พร้อมรูปภาพประกอบ) LEAF= Leading Environmentally Friendly Affordable Family Car 3. สาขาหุ่นยนต์ (Robotics) มีชื่อเรื่องหลักว่า สงครามของหุ่นยนต์ (War of the machines)  มีเนื้อหาสรุปดังนี้ เมื่อ ครั้งหนึ่งกองทัพสหรัฐอเมริกา ได้ใช้หุ่นยนต์เพื่อหลบเลี่ยงอุปสรรคต่างๆ ในธรรมเนียมเดิมทางทหาร  หุ่นยนต์แบบระบบที่ไม่มีคนควบคุมดูแลนั้น มีการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ใช้ในงานที่มีความขัดแย้ง ต่อสู้ ในแถบภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นหลัก ทั้งในการช่วยต่อรองเจรจาความยุ่งยากในท้องถนนของเมืองหรือทำหน้าที่ เป็นลูกเสือในหมู่บ้านที่ห่างไกล หุ่นยนต์มีความสามารถทำงานได้มากกว่า จึงมีการประดิษฐ์คิดสร้างอย่างต่อเนื่อง  มีคำเรียกร้องให้มุ่งเน้นในประเด็นจริยธรรมและกฎหมายให้มากขึ้น (ติดตามอ่านรายละเอียดได้ในความยาวจำนวน 8 หน้า พร้อมรูปภาพประกอบ) 4. สาขาพลังงาน (Energy)  มีชื่อเรื่องหลักว่า พลังงานสะอาดจากน้ำสกปรก (Clean energy from filthy water)   มีเนื้อหาสรุปดังนี้ การนำน้ำเสียจากเขตเทศบาลฉีดพ่นเข้าสู่สนามความร้อนชั้นใต้พิภพ (underground geothermal field) ซึ่งก่อให้เกิดแหล่งของไอน้ำ (stream) ที่สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ รวมทั้งช่วยลดปัญหาน้ำเสียในจำนวนมากได้อีกด้วย  ขณะนี้เกิดโครงการลักษณะนี้ที่เขต Santa Rosa รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เป็นต้นแบบให้เกิดบทเรียนว่าจะทำอย่างไรในการผลิตให้ดีที่สุด ในเรื่องการเจาะให้ตื้นหรือลึกอย่างไรดี มีการพบว่าเกิดแผ่นดินไหวเล็กๆ ในพื้นที่โครงการก่อสร้างโรงงานนี้  ทำให้สภาชุมชนต้องร่วมกันพิจารณาถึงผลแทรกซ้อนอันร้ายแรงนี้ (ติดตามอ่านรายละเอียดได้ในความยาวจำนวน 6 หน้า พร้อมรูปภาพประกอบ) 5. สาขาวิวัฒนาการ (Evolution) มีชื่อเรื่องหลักว่า ชัยชนะของการบินได้ด้วยปีก (Winged victory)   มีเนื้อหาสรุปดังนี้ สัตว์ปีก เช่น นก มีวิวัฒนาการมาจากไดโนเสาร์ประเภทกินเนื้อ มาจนถึงปัจจุบัน แต่ยังไม่มีความชัดเจนมากนักในเรื่องจุดกำเนิดทางกายวิภาคศาสตร์ของนกในยุคสมัยใหม่นี้  จากซากฟอสซิลมีการตั้งสมมุติฐานว่านกในยุคใหม่นี้  เกิดขึ้นหลังจากการชนของวัตถุที่มีลักษณะคล้ายดาว (asteroid impact) ที่อ้างถึงไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตจาก 65 ล้านปีก่อน แต่จากการศึกษาถึงระดับโมเลกุล พบว่านกในสมัยใหม่นั้นอาจมีรากสายมาลึกกว่านั้น โดยเริ่มมีการศึกษาวิเคราะห์ซากฟอสซิลของนกยุคโบราณ (ติดตามอ่านรายละเอียดได้ในความยาวจำนวน 6 หน้า พร้อมรูปภาพประกอบ) 6. สาขาจิตวิทยา (Psychology) มีชื่อเรื่องหลักว่า เด็กคิดอย่างไร (How baby think ?)  มีเนื้อหาสรุปดังนี้ เด็ก เล็กมีความสามารถในกระบวนการรับรู้มากกว่าที่นักจิตวิทยาได้สรุปไว้ก่อนหน้านี้ เด็กสามารถจินตนาการถึงประสบการณ์ของผู้อื่นได้อย่างทันที เรียนรู้โลกได้มากกว่า เดิมที่คิดไว้ นักจิตวทยาได้จัดให้มีการทดลองและสรุปผลโดยวิเคราะห์ทางสถิติ (ติดตามอ่านรายละเอียดได้ในความยาวจำนวน 6 หน้า พร้อมรูปภาพประกอบ) 7. สาขาสิ่งแวดล้อม (Environment) มีชื่อเรื่องหลักว่า เครื่องขุดเจาะกำลังมา ( The drillers are coming)   มีเนื้อหาสรุปดังนี้ ชั้นแผ่นหิน Marcellus อาจมีศักยภาพในการเป็นแหล่งจัดเตรียมก๊าซธรรมชาติเพื่อสนองความต้องการของ ประเทศได้ยาวถึง 40 ปี นักวิจารณ์ได้กล่าวว่า การเกิดรอยร้าวจากแรงกดอัดพลังน้ำนั้น อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของก็าซเข้าไปทางก็อกน้ำของแหล่งน้ำดื่มได้ (ติดตามอ่านรายละเอียดได้ในความยาวจำนวน 4 หน้า พร้อมรูปภาพประกอบ) 8. สาขาแพทยศาสตร์ (Medicine) มีชื่อเรื่องหลักว่า ยุคของยารักษาโรคชนิดดีเอ็นเอ (DNA drugs come on age)   มีเนื้อหาสรุปดังนี้ มีการคิดค้นวัคซีนและวิธีการบำบัดรักษาโรคเอดส์ หรือ HIV  เป็นยาที่มีส่วนประกอบของ สายของดีเอ็นเอ (DNA ring) ที่มีชื่อเรียกว่า plasmids มีการทำการวิจัย ทดสอบมายาวนานมากกว่า 10 ปี จึงเริ่มเห็นผลสำเร็จ โดยในช่วงแรกของการทดลองให้ผลลัพธ์ที่ตอบสนองน้อยมาก ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาปรับปรุงวิธีการนำส่ง (delivering)  ที่ช่วยเสริมให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่ารวดเร็ว ปัจจุบันมีการนำวัคซีน DNA นี้ ใช้รักษาโรคในสัตว์ และ อยู่ในขั้นทดสอบมนุษย์ในระยะสุดท้าย ซึ่งมีการแสดงออกถึงการมีศักยภาพที่ดี ยาที่มีองค์ประกอบ เป็น DNA ทำงานอย่างไร ไม่ว่าจะตั้งใจในการรักษาหรือป้องกันโรค ยาที่มีองค์ประกอบเป็น DNA ถูกสร้างมาจาก plasmid (วงแหวนเล็กๆ ของ DNA) ถูกออกแบบเพื่อนำพายีนที่ได้ถูกคัดเลือกเข้าสู่เซลล์  เมื่อ plasmid เข้าสู่เซลล์ ๆ จะผลิตโปรตีนซึ่งถูกแปรรหัสโดยยีน เมื่อ plasmid เข้าสู่ host cell  เครื่องจักรที่โดยปกติจะแปรรหัส DNA จะเริ่มอ่านยีนของ plasmid และทำให้เกิดโปรตีน ที่ต้องการซึ่งท้ายที่สุดจะถูกปล่อยออกจากเซลล์ มากเท่ากับ อนุภาคไวรัส  โปรตีนจำเพาะต่อเชื้อโรคจะถูกจดจำว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมต่อร่างกายโดยเซลล์ใน ระบบภูมิคุ้มกันจากนั้นจะถูกทำให้คิดว่าร่างกายมีการติดเชื้อ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดการจดจำในระยะยาวโดยทันที และตอบสนองต่อโปรตีนที่เป็นสิ่งแปลกปลอม เพียงแค่สาย DNA ที่มียีน เพียง ยีน เดียวก็สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันซึ่งจะป้องกันต่อเชื้อโรคได้ เป็นต้น จากความปลอดภัยและความเรียบง่าย วัคซีนที่มีองค์ประกอบเป็น DNA มีข้อดีเหนือกว่า วัคซีน ชนิดอื่นๆ มากมาย ด้วยเหตุผลคือ 1. การผลิตของวัคซีนชนิดนี้เร็วกว่าวัคซีน รุ่นเก่าๆ เช่นวัคซีน ไข้หวัดใหญ่ซึ่งต้องการการจัดการและการเพาะพันธุ์ไวรัส ที่มีชีวิตซึ่งจะใช้เวลา 4 - 6 เดือน ในกระบวนการผลิตเป็นอย่างต่ำ 2. DNA จะเสถียร ณ อุณหภูมิห้อง ดังนั้นวัคซีน ที่มีองค์ประกอบเป็น DNA ซึ่งไม่ต้องการตู้เย็น และไม่ต้องกังวลระหว่างการขนส่งและการบรรจุสำหรับวัคซีน จำนวนมาก ในปี 2007 บริษัทยา Merck ริเริ่มการทดลอง HIV vaccine ในชุดใหญ่โดยใช้ Adenovirus ที่เรียกว่า "AdHu 5" เพื่อทำ HIV gene การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันซึ่งเห็นได้ในการทดลองโดยใช้ใน adenovirus มีความคาดหวังและเกิดขึ้นในช่วงเริ่มของการทดลอง จากทั้งหมด ประมาณ 3,000 การทดลอง ตารางแสดงศักยภาพ DNA ในการรักษาโรคเป็นวัคซีนในมนุษย์และสัตว์ ผลิตภัณฑ์     ความผิดปกติในมนุษย์ ความผิดปกติในสัตว์  วัคซีน (ป้องกันโรค) (Prevent disease) HIV (วัคซีน 3 ชนิด) Influenza (วัคซีน 2 ชนิด) ไวรัส West nile (ม้า) ไวรัสติดเชื้อ hematopoietic necrosis (ฟาร์มปลาซอลมอน) การรักษาโรคแบบกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับโรคที่คงอยู่ (immune-stimulating) Hepatitis C HIV HumanPapillomovirus induced tumors Liver Cancer/Melanoma Melanoma เนื้องอก (สุนัข) การรักษาโดยเพิ่มโปรตีนที่ต้องการ (rise to need proteins) Limb circulatory disorder Melanoma Fetal loss (สุกร)การแท้งลูก ติดตามอ่านรายละเอียดได้ในความยาวจำนวน 6 หน้า พร้อมรูปภาพประกอบ ในปกหลังสุดของวารสาร Scientific American ฉบับเดือนกรกฎาคมนี้  ได้ประกาศโฆษณา เรื่องเปิดบริการออนไลน์แบบสมัครเป็นสมาชิกแบบองค์กร ที่สามารถเข้าถึงได้แบบไม่จำกัด (Unlimited online access for institutions) โดยดำเนินการผลิตเวอร์ชั่นออนไลน์ร่วมกับสำนักพิมพ์เนเจอร์กรุ๊ป (Nature publishing group, NPG)  ที่เว็บไซต์  http://www.nature.com/scientificamerican โดยที่ทุกบทความเป็นลักษณะสมาชิกเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าถึงได้ วารสาร Scientific American ไม่จัดบริการแบบ Open Access article (OA) อ้างอิง วารสาร Scientific American - July 2010 - Volume 303 Number 1 เรียบเรียงโดย รังสิมา เพ็ชรเม็ดใหญ่ ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วันที่ 18 สิงหาคม 2553
รายงานสถานภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
 
สารสนเทศวิเคราะห์