10 Technologies to Watch 2025: เทคโนโลยีพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน (Low Fumarate, High Ethanol or LFHE Eco-friendly Rice)
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ภาคเกษตรมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ร้อยละ 15.23 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด เป็นอันดับที่ 2 รองจากภาคพลังงาน (ร้อยละ 69.96) โดย “การปลูกข้าว” ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดถึงร้อยละ 50.58 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรทั้งหมด ขณะที่เวทีโลกเริ่มกำหนดมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเข้มงวด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ
ประเทศไทยมีนโยบายลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว ด้วยการส่งเสริม “การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” ซึ่งลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้ถึงร้อยละ 30 แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดทำได้เฉพาะนาชลประทาน ซึ่งมีเพียงร้อยละ 20 ของพื้นที่นาในประเทศ การพัฒนา “พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน” จึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูง เพราะประยุกต์ใช้ได้ทั้งนาน้ำฝนและนาชลประทาน ซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 70 ล้านไร่
ข้าวลดการปล่อยมีเทนมีคุณสมบัติสำคัญคือ รากผลิตเอทานอล (ethanol) ปริมาณมาก และผลิตฟูมาเรต (fumarate) น้อยลง ซึ่งฟูมาเรตเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่สร้างมีเทน (methanogen) จึงทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ไม่ดี และปล่อยมีเทนน้อยกว่าข้าวปกติ
การพัฒนาพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนทำได้ 2 แนวทาง หนึ่งคือ การผสมข้ามสายพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีการคัดเลือกโดยใช้เครื่องหมายโมเลกุล หรือ Marker Assisted Selection (MAS) เลือกคุณลักษณะเด่น เช่น ต้นเตี้ย อายุสั้น ผลผลิตสูง และปล่อยก๊าซมีเทนต่ำ สองคือ เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing Technology) เพิ่มประสิทธิภาพการปรับปรุงพันธุ์ ช่วยให้ได้พันธุ์ข้าวปล่อยก๊าซมีเทนต่ำ แต่ยังให้ผลผลิตสูง รวมถึงมีคุณลักษณะตอบโจทย์ตลาด เช่น กลิ่นหอม คุณภาพหุงต้ม
ปัจจุบันประเทศจีนพัฒนาพันธุ์ข้าว LFHE จากข้าวสายพันธุ์ “Heijing (เฮจิง)” ที่ลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้สูงถึงร้อยละ 70 และให้ผลผลิตสูงถึง 1.4 ตันต่อไร่ อีกทั้งยังมีจุดเด่น คือ ต้นทุนการผลิตต่ำเมื่อเทียบกับการใช้เทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซมีเทนแบบอื่น เช่น การใส่ถ่านชีวภาพ (biochar) เพื่อกักเก็บคาร์บอนในดิน หรือการใช้ระบบควบคุมน้ำอัตโนมัติเพื่อจัดการไม่ให้น้ำท่วมขังตลอดเวลา ขยายผลสู่เกษตรกรได้จริง ด้วยการกระจายพันธุ์ผ่านระบบเมล็ดพันธุ์ในชุมชน ที่สำคัญตอบโจทย์เชิงนโยบายและการตลาดไปพร้อมกัน ด้วยการแสดงฉลากสิ่งแวดล้อม (eco-label) สำหรับตลาดพรีเมียม
สวทช. มีองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการพัฒนาพันธุ์ เป็นศูนย์กลางการใช้เทคโนโลยี Marker Assisted Selection ระดับประเทศและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อีกทั้งมีเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกข้าว
เมื่อนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการผลิตข้าวที่เป็นมิตรและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้ประเทศไทยสร้างความมั่นคงทางอาหารบนความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เกิดโอกาสทางธุรกิจต่าง ๆ เช่น การพัฒนาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ที่ลดการปล่อยมีเทน การรับรองผลิตภัณฑ์กลุ่มข้าวคาร์บอนต่ำในตลาดพรีเมียม และผลักดันไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065
📌 อ่านข้อมูลฉบับเต็มและข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่: https://www.nstda.or.th/r/BtQWQ
📌 รับชมการบรรยายได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=8cAv6AEX55c