หน้าแรก “ชุมชนรักษ์อาหาร” สานพลังท้องถิ่นกอบกู้อาหารส่วนเกิน สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

“ชุมชนรักษ์อาหาร” สานพลังท้องถิ่นกอบกู้อาหารส่วนเกิน สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน

11 มิ.ย. 2568
0
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

 

ในแต่ละวันมีอาหารเหลือทิ้งมากมาย มีทั้งอาหารปรุงสุก/อาหารพร้อมรับประทานที่จำหน่ายไม่หมด เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้สด ไปจนถึงวัตถุดิบที่ใกล้หมดอายุ ซึ่งอาหารเหล่านี้จำนวนมหาศาลต้องกลายเป็นขยะทั้งที่ยังสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารที่มีคุณค่าได้อีกมากมาย การสูญเสียอาหาร (Food loss) และขยะอาหาร (Food waste) ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสูญเสียทรัพยากรและโอกาสในการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน

ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีขยะอาหารมากถึง 10 ล้านตันต่อปี โดยในขยะอาหารเหล่านั้นมีอาหารที่ยังสามารถนำกลับมารับประทานได้ หรือ “อาหารส่วนเกิน” (Food surplus) มากถึง 3.7 ล้านตัน ในขณะเดียวกันยังมีประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนหลายล้านคนที่กำลังประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร และไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเหมาะสม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้ร่วมกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ หรือ SOS (Scholars of Sustenance Foundation) และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนผู้ผลิตอาหาร ภาคประชาสังคม และชุมชน ดำเนินงานโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อการจัดตั้งเป็นธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) โดยมีเป้าหมายในการขยายผลการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ส่งต่ออาหารไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ

 

ภาพถ่าย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

 

กอบกู้อาหารส่วนเกิน ลดขยะอาหาร ปันอิ่มสู่ชุมชน

มูลนิธิ SOS ได้ริเริ่มโครงการรักษ์อาหารขึ้นด้วยความตระหนักถึงปัญหาอาหารเหลือทิ้งและความมั่นคงทางอาหาร ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ด้อยโอกาสและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง โดยดำเนินการกอบกู้อาหารส่วนเกินจากผู้ผลิตอาหารในเครือข่ายของหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม และร้านอาหาร ซึ่งเป็นผู้บริจาคอาหาร และนำอาหารเหล่านี้ส่งต่อให้แก่เครือข่ายผู้รับบริจาคอาหาร ทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน

ดร.จุฬารัตน์อธิบายว่า การกอบกู้อาหารส่วนเกิน (Food rescue) อาศัยกระบวนการทำงานของ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้บริจาคอาหาร ตัวกลางกอบกู้อาหาร และผู้รับบริจาค แต่ที่ผ่านมายังประสบปัญหาในเรื่องการขยายผล เนื่องจากข้อจำกัดของจำนวนตัวกลางกอบกู้อาหาร และงบประมาณในการดำเนินการ จึงเป็นที่มาของการจัดทำกลไก “ชุมชนรักษ์อาหาร หรือ Local food rescue” โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและบุคลากรในท้องถิ่นเข้ามาช่วยดำเนินงาน เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย พร้อมทั้งลดปริมาณขยะอาหารในพื้นที่ไปในเวลาเดียวกัน โดยมีเป้าหมายขยายผลการดำเนินงานไปสู่ 8 จังหวัดในปี 2568 ซึ่งได้เริ่มนำร่องที่จังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดแรก

“การดำเนินงานด้านการจัดการอาหารส่วนเกินจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องของบุคลากรผู้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับส่งอาหาร หากมูลนิธิไม่สามารถขยายการทำงานไปทั่วประเทศได้ด้วยตนเอง ทีมงานจึงต้องมองหาเครือข่ายหรือกลุ่มบุคคลที่สามารถเข้ามารับบทบาทนี้แทนได้ และทีมงานพบว่าภายในชุมชนเองก็มีเครือข่ายจิตอาสาและอาสาสมัครอยู่แล้ว เช่น อสม. อพม. ซึ่งเป็นผู้ที่มีความตั้งใจในการทำงานเพื่อสังคมอยู่เดิม ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นว่าการใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ในชุมชน พร้อมกับการอบรมและเสริมศักยภาพให้พวกเขาสามารถดำเนินงานด้านการจัดการอาหารส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายผลไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้”

 

ภาพอินโฟกราฟิกเรื่องชุมชนรักษ์อาหาร

 

สานต่อความสำเร็จ “ชุมชนบางพูน” สู่ “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล”

ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมามูลนิธิ SOS ได้ดำเนินโครงการรักษ์อาหารร่วมกับชุมชนบางพูน ตำบลบางพูน อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี จนประสบความสำเร็จ และสามารถเป็นต้นแบบในการขยายผลไปสู่ชุนชนอื่นได้ จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง สวทช. มูลนิธิ SOS องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี ในการดำเนินโครงการ “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน” โดยใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหาร (Local food rescue) เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในจังหวัดปทุมธานี เช่น ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ประสบภัย ควบคู่ไปกับการลดปริมาณขยะอาหารในพื้นที่ โดยมุ่งสู่การพัฒนา “ปทุมธานีต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน” หรือ “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล” (Pathum Thani Food Bank Model)

 

ภาพถ่าย ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

 

“ความสำเร็จของชุมชนรักษ์อาหาร คือ การที่ชุมชนสามารถเริ่มต้น เรียนรู้ และพร้อมจะเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นได้ ซึ่งมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ ชุมชนบางพูน จังหวัดปทุมธานี แม้โครงการยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ แต่ชุมชนนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างแรงกล้า ด้วยจิตอาสาอย่างแท้จริง พวกเขาลงมือทำเองทุกขั้นตอน ทั้งรับการฝึกอบรมจากมูลนิธิ SOS การจดบันทึกข้อมูล และการเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ร่วมกับเรา โดยใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว เช่น ค่าน้ำมันรถในการรับ-ส่งอาหาร

“ปัจจุบันชุมชนบางพูนได้เริ่มรับอาหารจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นแม็กซ์แวลูคลอง 2, แม็กซ์แวลูลาดสวาย, ฟิวเจอร์พาร์ค และตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และพวกเขาก็ทำมาอย่างต่อเนื่องมากว่า 2 ปีแล้ว และทำได้อย่างดีด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องตระหนัก คือ ชุมชนไม่ควรต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปตลอดโดยลำพัง จึงเป็นที่มาของ “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล” ที่ทีมงานเริ่มต้นในวันนี้ เพื่อเข้ามาเป็นกลไกสนับสนุนชุมชนบางพูน ทั้งในด้านทรัพยากรและงบประมาณบางส่วน เพื่อให้พวกเขาสามารถเดินหน้าต่อได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน”

 

ภาพความร่วมมือระหว่าง สวทช. มูลนิธิ SOS องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี ในการดำเนินโครงการ “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน”
สวทช. มูลนิธิ SOS องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี ในการดำเนินโครงการ “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน”

 

ใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการอาหารให้ปลอดภัย สร้างความมั่นใจทั้งผู้ให้และผู้รับ

ดร.ปัทมาพร ยังชี้ให้เห็นว่า ความท้าทายหลักของการขับเคลื่อนชุมชนรักษ์อาหาร คือ “ความปลอดภัยของอาหาร” ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุด ที่ต้องให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะการฝึกอบรมและการให้ความรู้แก่กลุ่มอาสาสมัครในชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจว่า “อาหารปลอดภัย” หมายถึงอะไร และจะต้องจัดการกับอาหารแต่ละประเภทอย่างไรให้ถูกต้อง เพราะหากเกิดความผิดพลาดในกระบวนการเหล่านี้ ผลกระทบอาจร้ายแรงต่อผู้รับอาหาร ดังนั้นจุดนี้จึงเป็น “จุดวิกฤต” ที่ต้องบริหารจัดการให้ดี หากเราสามารถทำให้ชุมชนเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ความท้าทายอื่น ๆ จะลดลงอย่างมาก

ทั้งนี้ สวทช. ได้นำองค์ความรู้จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในสังกัด สวทช. เรื่อง แนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับอาหารบริจาค (Food Safety Guideline for Food Donation) มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการอาหารให้มีความปลอดภัยต่อการบริโภค ซึ่งมีทั้งแนวทางปฏิบัติตั้งแต่ขั้นตอนการรับอาหาร การเก็บรักษาอาหาร การขนส่ง การแจกจ่ายอาหาร หลักปฏิบัติสำหรับผู้สัมผัสอาหาร เช่น การแช่แข็งอาหารส่วนเกินและติดฉลากใหม่ การระบุวันที่และระยะเวลาที่แนะนำ ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายและการควบคุมอันตราย เช่น สารเคมี สารก่อภูมิแพ้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย เพื่อให้อาหารที่นำไปแจกจ่ายยังคงมีความปลอดภัยและเหมาะสมต่อการบริโภค ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งผู้บริจาคว่าอาหารที่บริจาคไปแล้วนั้นได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและจะไม่เกิดปัญหากับผู้บริโภค ส่วนผู้รับก็มั่นใจได้ว่าอาหารที่รับมานั้นมีคุณภาพและปลอดภัยต่อการบริโภคอย่างแท้จริง

 

ภาพตัวอย่างองค์ความรู้และเทคโนโลยีของ สวทช. ที่นำไปใช้ในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินร่วมกับกลไกชุมชนรักษ์อาหาร
สวทช. ได้นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปช่วยในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน

 

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ สวทช. นำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอาหาร คือ แพลตฟอร์มแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ ที่พัฒนาโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)

“หนึ่งในประเด็นที่เราพบจากการทำวิจัยเชิงนโยบาย คือ ความกังวลของผู้บริจาค ที่มักตั้งคำถามว่าอาหารที่บริจาคไปนั้น ถึงมือผู้ที่ต้องการจริงหรือไม่ มีการนำไปขายต่อหรือส่งต่อให้บุคคลเฉพาะกลุ่มหรือเปล่า แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้เราตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยระบุได้ว่า อาหารล็อตไหนมาจากที่ใด และถูกส่งต่อไปถึงใครอย่างชัดเจน ทำให้เกิดความโปร่งใสและความเชื่อมั่นกับทั้งผู้บริจาคและผู้รับ อีกทั้งในอนาคตเราตั้งใจจะต่อยอดแพลตฟอร์มช่วยในการออกแบบการจัดสรรอาหารให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้รับแต่ละกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งอาจมีข้อจำกัดด้านโภชนาการ เป็นการยกระดับการจัดการอาหารส่วนเกินให้มีทั้งประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และมีความยั่งยืน” ดร.ปัทมาพร ให้ข้อมูล

นอกจากนี้ สวทช. ยังได้นำแพลตฟอร์มการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ที่พัฒนาโดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ในสังกัด สวทช. มาประยุกต์ใช้กับการจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อคำนวณว่าในการบริจาคอาหารแต่ละครั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่าไหร่ เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริจาค ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร และอาจนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ในอนาคต ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

 

ภาพตัวอย่างอาหารส่วนเกินจากผู้บริจาค

 

“การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชนโดยใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหารยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs ในเป้าที่ 2 คือ Zero hunger ที่มุ่งการขจัดความหิวโหย สร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย และเป้าที่ 12 คือ Responsible consumption and production ที่มุ่งลดปริมาณขยะอาหารและการสูญเสียอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยทั้งสองเป้าหมายนี้สามารถแก้ไขไปพร้อมกันได้ด้วยแนวทางที่เชื่อมโยงกัน หากเราสามารถนำอาหารส่วนเกินจากการผลิต หรืออาหารที่สูญเสียไปในกระบวนการผลิต มาส่งต่อให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนหรือกลุ่มผู้หิวโหยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยแก้ปัญหาทั้งเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการลดขยะอาหารไปพร้อมกันในคราวเดียว” ดร.ปัทมาพรกล่าว

แม้โครงการขยายผล “ชุมชนรักษ์อาหาร” จะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการที่จังหวัดปทุมธานีเป็นแห่งแรก แต่คณะทำงานคาดหวังว่าจะสามารถขยายผลออกไปให้ได้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีแหล่งอาหารส่วนเกินจำนวนมาก สามารถจัดวางระบบให้เกิดการแบ่งปันระหว่างจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงกันได้ จะช่วยให้การจัดการอาหารส่วนเกินเกิดประโยชน์สูงสุด และตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมี “ธนาคารอาหาร” หรือฟูดแบงก์ในทุกจังหวัด แต่มีจุดกระจายศูนย์กลางที่สามารถเชื่อมโยงและสนับสนุนพื้นที่ใกล้เคียงได้ ซึ่งจะนำไปสู่ระบบการแบ่งปันที่ยั่งยืน และขยายผลได้อย่างแท้จริงในระดับประเทศ


เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
อินโฟกราฟิกโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.

แชร์หน้านี้: