หน้าแรก “ข้าวเจ้าไบโอเทค 1” พันธุ์ใหม่จาก สวทช. ผลผลิตสูง ต้านทานเพลี้ยกระโดด พร้อมต่อยอดสู่ข้าวคาร์บอนต่ำ

“ข้าวเจ้าไบโอเทค 1” พันธุ์ใหม่จาก สวทช. ผลผลิตสูง ต้านทานเพลี้ยกระโดด พร้อมต่อยอดสู่ข้าวคาร์บอนต่ำ

20 พ.ย. 2568
0
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ภาพกราฟิกประกอบบทความเรื่องข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1

 

ชาวนาไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนซึ่งกลายเป็นแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม โรคและแมลงศัตรูพืชที่ระบาดรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่เป็นศัตรูพืชอันดับหนึ่งของข้าวไทย ได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตและรายได้ของเกษตรกร ขณะเดียวกันกระแสโลกที่มุ่งสู่การผลิตอาหารคาร์บอนต่ำกลับกลายเป็นทั้งโจทย์ใหญ่และโอกาสใหม่ของภาคเกษตรไทย

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเจ้าสายพันธุ์ใหม่ “ข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1” ซึ่งเป็นข้าวไม่ไวแสง มีลักษณะประจำพันธุ์คือ กอตั้ง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย และมีลักษณะเด่นที่สำคัญคือ ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล อายุเก็บเกี่ยวสั้น และให้ผลผลิตสูง โดยล่าสุดข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 ได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์พืชจากกรมวิชาการเกษตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดให้เกษตรกรร่วมกับเทคโนโลยีการผลิต “ข้าวคาร์บอนต่ำ” เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ข้าวไทยสู่ตลาดข้าวพรีเมียม

 

ภาพ ดร.ศรีสวัสดิ์ ขันทอง ผู้ช่วยวิจัย ไบโอเทค สวทช.
ดร.ศรีสวัสดิ์ ขันทอง ผู้ช่วยวิจัย ไบโอเทค สวทช.

 

ดร.ศรีสวัสดิ์ ขันทอง ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 เป็นหนึ่งใน 4 ข้าวพันธุ์ใหม่ของไบโอเทค ได้แก่ ไบโอเทค 1 หอมชลสิทธิ์ 2 หอมสยาม และหอมสยาม 2 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “ข้าวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม” โดยข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 มีจุดเด่นคือ อายุเก็บเกี่ยวสั้นเพียง 90 วัน (นาหว่านน้ำตม) ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 800-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ และต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลซึ่งเป็นศัตรูพืชตัวสำคัญในนาข้าวที่มักมีการระบาดเกิดขึ้นเป็นประจำและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นทุกปี

จากการทดสอบปลูกข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 ในพื้นที่จริงร่วมกับเกษตรกรในจังหวัดพิจิตรซึ่งประสบปัญหาการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลรุนแรงพบว่า แปลงปลูกข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 ยังคงให้ผลผลิตสูง โดยในบางแปลงสูงถึง 1,530 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์ทั่วไปที่เกษตรกรปลูกในพื้นที่ซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,000–1,200 กิโลกรัมต่อไร่ แสดงถึงศักยภาพของพันธุ์ข้าวไบโอเทค 1 ในการรักษาระดับผลผลิตแม้เผชิญสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย

 

ภาพแปลงปลูกทดสอบข้าวเจ้าพันธุ์ไบโอเทค 1 ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน
แปลงปลูกทดสอบข้าวเจ้าพันธุ์ไบโอเทค 1 ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน

 

นอกจากพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อช่วยเกษตรกรรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมแล้ว ทีมวิจัยยังมีเป้าหมายส่งเสริมสู่การผลิตข้าวคาร์บอนต่ำเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์การทำเกษตรแบบยั่งยืน โดยทำงานร่วมกับสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดพิจิตร สภาเกษตรกรจังหวัดพิจิตร และหน่วยงานพันธมิตรดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำให้แก่เกษตรกรในพื้นที่นำร่อง 5 อำเภอของจังหวัดพิจิตร ได้แก่ อ.สามง่าม อ.บึงนาราง อ.วชิรบารมี อ.ทับคล้อ และ อ.วังทรายพูน

ดร.ศรีสวัสดิ์เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ ตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ปรับวิธีทำนาเป็นแบบเปียกสลับแห้ง ใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การจัดการฟางข้าวและตอซังข้าวแทนการเผา ตลอดจนเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการจัดการแปลงและลดต้นทุนการผลิต

 

ภาพตัวอย่างเมล็ดข้าวเปลือกและข้าวสารของข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1
ตัวอย่างเมล็ดข้าวเปลือกและข้าวสารของข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1

 

“พันธุ์ข้าวที่เกษตรกรปลูกโดยทั่วไปมีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 110-120 วัน ซึ่งอายุการอยู่ในนาของข้าวมีผลต่อการปลดปล่อยแก๊สมีเทนจากแปลงนา ฉะนั้นถ้าลดอายุการเก็บเกี่ยวข้าวได้ การปล่อยแก๊สมีเทนก็จะน้อยลง ขณะเดียวกันถ้าผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นก็จะทำให้คาร์บอนฟุตพรินต์ต่อกิโลกรัมผลผลิตลดลงด้วย เมื่อเกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 ที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นและให้ผลผลิตสูง ก็จะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยลดแก๊สมีเทนได้”

การทำนาแบบเปียกสลับแห้งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดแก๊สมีเทนจากแปลงนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้มีผลโดยตรงต่อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่บริเวณรากข้าวซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแก๊สมีเทน จุลินทรีย์เหล่านี้เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic microorganisms) หรือ เมทาโนเจน (methanogen) ซึ่งเจริญได้ดีในสภาพนาน้ำขัง เมื่อเกษตรกรระบายน้ำออกจากนาปล่อยให้แปลงนาแห้งเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งจะทำให้มีอากาศซึมเข้าไปในดิน เมื่อจุลินทรีย์ดังกล่าวเจออากาศก็จะลดจำนวนลง การผลิตแก๊สมีเทนก็ลดลง ขณะเดียวกันการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินจะช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับปริมาณไนโตรเจนให้เหมาะสมกับความต้องการของต้นข้าว ก็จะไม่มีไนโตรเจนส่วนเกินเหลือสะสมในดินให้จุลินทรีย์ในดินเปลี่ยนไปเป็นแก๊สไนตรัสออกไซด์ได้ ช่วยลดแก๊สเรือนกระจกได้อีกชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ยังรณรงค์ให้เกษตรกรงดการเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยว และส่งเสริมการไถกลบฟางเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มอินทรียวัตถุให้ดินไปในตัว”

 

ภาพตัวอย่างผลิตภัณฑ์ข้าวคาร์บอนต่ำจากข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1
ข้าวพันธุ์ไบโอเทค 1 มีอายุเก็บเกี่ยวสั้น จึงมีศักยภาพช่วยลดการปล่อยแก๊สมีเทนจากแปลงนา และสามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ข้าวคาร์บอนต่ำได้

 

ทั้งนี้ การทำนาแบบเปียกสลับแห้งช่วยลดแก๊สมีเทนในนาข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ และจากการทดสอบในแปลงวิจัยกับพันธุ์ข้าวไบโอเทค 1 พบว่าลดแก๊สมีเทนได้มากถึง 48 เปอร์เซ็นต์ แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดทำได้เฉพาะเขตนาชลประทานเท่านั้น อย่างไรก็ตามทีมวิจัยกำลังดำเนินการคำนวณปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ของกระบวนการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำในทุกขั้นตอน เพื่อใช้เป็นข้อมูลรับรองทางวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งเดินหน้าปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ช่วยลดการปล่อยแก๊สมีเทนและข้าวพันธุ์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกรและรองรับกับทิศทางของตลาดโลกที่มุ่งสู่เกษตรคาร์บอนต่ำและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต


เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ภาพประกอบโดย วีณา ยศวังใจ และ ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.

แชร์หน้านี้: