หยุดกลัวเกี่ยวกับการคาดการณ์และการวัดผลลัพธ์ของ KM

สรุปความคิดเห็นจากบทสัมภาษณ์ของ Phillip Jones ผู้จัดการ Change management practice ของ Access Sciences Corporation เกี่ยวกับการคาดการณ์ประโยชน์และการวัดผลลัพธ์ของการจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM)

ทำไมการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของ KM ถึงยาก?
หน่วยงานส่วนใหญ่ตระหนักถึงคุณค่าของความรู้ แต่ความรู้คือสิ่งที่ไม่สามารถนับจำนวน เห็น หรือสัมผัสได้ ขณะที่หน่วยงานมักวัดสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ ดังนั้นจึงเป็นงานยากสำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับ KM ในการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของ KM

อะไรคือข้อกังวลที่ใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของ KM ของผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับ KM?
ความกังวล สามารถแบ่งออกเป็น 2 ข้อหลัก คือ 1. การที่ผู้ที่ปฏิบัติงานฯ คิดว่าตัวเองไม่สามารถคาดการณ์หรือวัดผลลัพธ์ของ KM ที่สามารถทำให้คนอื่นๆ เชื่อได้ว่าการคาดการณ์หรือวัดผลลัพธ์นั้นเป็นจริง เพราะความรู้เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม ผู้ที่ปฏิบัติงานฯ อาจคิดว่าจะไม่มีใครยอมรับการคาดการณ์และรายงานของตน ซึ่งสิ่งที่ผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับ KM ควรทำความเข้าใจคือ การวัดผลลัพธ์ของ KM คือ เพื่อลดจำนวนของความคลุมเครือหรือความไม่แน่นอนของผลลัพธ์เกี่ยวกับ KM 2. ความกลัว คือ ผู้ที่ปฏิบัติงานฯ กังวลที่จะแบ่งปัน (Sharing) โมเดลของการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของตัวเองแก่คนอื่นๆ

อะไรคือโมเดลของการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของ KM?
โมเดลของการคาดการณ์ประโยชน์และและการวัดผลลัพธ์ของ KM ประกอบด้วย
1. จำแนกสิ่งที่กำลังทำออกเป็นคำถามที่เหมาะสมหลายๆ ข้อ
2. มองหาหลักการที่สำคัญเกี่ยวกับคำถามเหล่านั้น
3. ทำการคาดการณ์ และวัดหรือปรับการคาดการณ์นั้นด้วยข้อมูลที่สามารถรวบรวมได้
4. สร้างโมเดล
5. จำลองการใช้โมเดลด้วยตัวแปรการทดสอบต่างๆ

องค์กรสามารถตรวจสอบโมเดลเพื่อช่วยคาดการณ์หรือวัดผลลัพธ์ของ KM ได้อย่างไร?
เริ่มจากการตั้งคำถามที่ถูกต้องและเหมาะสมเกี่ยวกับโมเดล ตัวอย่างเช่น องค์กรควรตั้งคำถามว่า โมเดลนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่ อย่างไร

อะไรคือความผิดพลาดที่พบโดยทั่วไปจากการกำหนดโมเดลเพื่อวัดผลลัพธ์ของ KM?
ความผิดพลาดแรกคือการคิดว่าโมเดลคือเครื่องมือที่มหัศจรรย์ แต่ความจริงแล้ว การวัดผลลัพธ์ของ KM คือการลดความคลุมเครือหรือความไม่แน่นอน ไม่ใช่การกำจัดความคลุมเครือหรือความไม่แน่นอนนั้น ความผิดพลาดที่สองคือการไม่ตรวจสอบหรือประเมินการคาดการณ์ตามความเป็นจริง และความผิดพลาดสุดท้ายคือการยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม


ที่มา: Trees, L. (2017, March 13). Stop being afraid of knowledge management forecasting and measuring [Web log post]. Retrieved from https://www.apqc.org/blog/stop-being-afraid-knowledge-management-forecasting-and-measuring

วิธีการใหม่สำหรับเอดส์: ไม่ปล่อยให้เอชไอวีออกจากเซลล์เพื่อให้ตายผ่านกระบวนการตายของเซลล์ (apoptosis)

นักวิจัยจาก Kumamoto University ในประเทศญี่ปุ่นพัฒนาสารประกอบใหม่ซึ่งเป็นตัวหลักในการทำลายเอชไอวี เมื่อสารประกอบดังกล่าวถูกนำเข้าในเซลล์ติดเชื้อ การปล่อยไวรัสออกจากเซลล์จะถูกยับยั้งดังนั้นเก็บไวรัสไว้ในเซลล์ ต่อมาเซลล์ตายอย่างธรรมชาติผ่านกระบวนการ apoptosis เป็นความหวังว่าวิธีการนี้จะนำไปสู่การหายจากเอดส์อย่างสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้

เมื่อไม่นานมานี้ การใช้ยาหลายตัวในการรักษาสามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนเอชไอวีในร่างกายได้เมื่อได้รับอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามวิธีนี้ไม่สามารถกำจัดอนุภาคไวรัสที่หลบซ่อนอยู่ (อนุภาคไวรัสที่ไม่เพิ่มจำนวนซึ่งอยู่อย่างสงบในเซลล์ของร่างกาย) ในทันทีเมื่อการให้ยาหยุดลง ไวรัสจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในร่างกาย การกำจัดแหล่งที่สะสมไวรัสปัจจุบันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในงานวิจัยเอดส์

วิธีการ kick และ kill ซึ่งถูกพัฒนาเมื่อหลายปีก่อนเป็นกลวิธีสำหรับฆ่าเซลล์ที่เป็นแหล่งสะสมไวรัส วิธีการนี้ใช้ยาซึ่งมีเป้าหมายเป็นเซลล์ที่เป็นแหล่งสะสมไวรัสและกระตุ้นไวรัสซึ่งต่อมาทำให้ระบบภูมิคุ้มกันค้นพบเซลล์เหล่านี้โดยใช้ไวรัสที่ถูกกระตุ้นเป็นตัวบอกตำแหน่ง ถึงแม้วิธีนี้ได้รับการทดสอบทางคลินิก ยังคงมีปัญหาคือไม่สามารถยับยั้งฤทธิ์ของไวรัสได้ดีหลังจากการกระตุ้นสำเร็จ

นักวิจัยของ Kumamoto University พัฒนาวิธีการใหม่ซึ่งเรียกว่า Lock-in และ apoptosis เริ่มต้นด้วยสังเคราะห์สารประกอบ L-HIPPO ซึ่งจับแน่นกับโปรตีนของเอชไอวี Pr55Gag และยับยั้งการแตกตัวออกของไวรัส เมื่อL-HIPPO ถูกใส่ไปในเซลล์ติดเชื้อไวรัสโดยอาศัยตัวพาชื่อ alpha-CDE ทำให้ไวรัสถูกจำกัดให้อยู่ภายในเซลล์และเซลล์จะตายโดยกระบวนการ apoptosis ตามธรรมชาติ

รองศาสตราจารย์ Mikako Fujita จาก Kumamoto University หนึ่งของผู้นำในการศึกษานี้ กล่าวว่า อย่างโชคไม่ดี วิธีนี้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้สำหรับคนที่ติดเชื้อเอชไอวี อย่างแรกพวกเราต้องปรับปรุงยาซึ่งกระตุ้นไวรัสและรวมเข้ากับ L-HIPPO เพื่อมุ่งเป้าไปที่แหล่งเก็บสะสมไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่จะเป็นก้าวสำคัญไปยังการหายอย่างสมบูรณ์จากเอชไอวี พวกเราเชื่อว่างานวิจัยของพวกเราจะช่วยกำจัดเอดส์ได้อย่างสมบูรณ์

ที่มา: Kumamoto University (2017, October 2). New approach for AIDS: Lock HIV in reservoir cells, to die through apoptosis. ScienceDaily. Retrieved October 19, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/10/171002093415.htm

แผ่นเสียงที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากกว่า 2 แสนแผ่น จะเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์

ห้องสมุดประชาชนเมืองบอสตันจะแปลงแผ่นเสียงที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากกว่า 2 แสนแผ่น เผยแพร่และให้บริการในรูปแบบออนไลน์

Internet Archive ประกาศที่จะร่วมมือกับห้องสมุดประชาชนเมืองบอสตัน (Boston Public Library) แปลงแผ่นเสียงที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากกว่า 2 แสนแผ่น ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อสงวนรักษาและให้บริการแก่สาธารณะ เช่น 78s และสื่อบันทึกแรกของ LP และ Thomas Edison ซึ่งแผ่นเสียงเหล่านี้เดิมทีถูกจัดเก็บไว้และไม่ได้เปิดให้บริการแก่สาธารณะ

การแปลงแผ่นเสียงเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี โดยผู้เชี่ยวชาญของ Internet Archive และความช่วยเหลือของ 2 บริษัท คือ George Blood, L.P. และ the ARChive of Contemporary Music โดยจะแปลงแผ่นเสียงให้อยู่ในเวอร์ชั่นที่หลากหลายเพื่อรองรับกลุ่มผู้ใช้บริการตั้งแต่ผู้ใช้ทั่วไปจนถึงผู้ใช้ที่ต้องการศึกษาหรือวิจัยเชิงลึก

โครงการนี้นับได้ว่าเป็นการได้รับประโยชน์จาก Open access และการเข้าถึงแผ่นบันทึกเสียงที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าการแปลงสื่อให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลเป็นงานเร่งด่วนเพื่อสงวนรักษาแผ่นเสียงที่จะชำรุดหรือสูญหายตามกาลเวลา

ที่มาข้อมูล: Open Culture. (2017, October 17). The Boston Public Library will digitize & put online 200,000+ vintage records. Retrieved October 18, 2017, from  http://www.openculture.com/2017/10/the-boston-public-library-will-digitize-put-online-200000-vintage-records.html

นักวิทย์คิดถึงในหลวง : บทความรำลึกถึงพระราชจริยวัตร ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

นักวิทย์คิดถึงในหลวง : บทความรำลึกถึงพระราชจริยวัตร ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนักวิทย์คิดถึงในหลวง : บทความรำลึกถึงพระราชจริยวัตร ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

เขียนโดย นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ ที่วิเคราะห์ถึงพระราชกรณียกิจ พระราชดำริ และพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งด้านการทรงเป็นนักคิด นักค้นคว้า นักทดลอง นักปฏิบัติ และทรงมีความเป็นครู ผู้ถ่ายทอดความรู้ที่ทรงเรียนรู้และค้นพบ โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่บทความเหล่านี้แก่เด็ก เยาวชนและประชาชนทั่วไปอ่าน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และนำไปเป็นแบบอย่างในการศึกษาเล่าเรียน รวมทั้งการดำเนินชีวิตได้

ดาวน์โหลดเอกสาร

เทคโนโลยี CRISPR ใช้เพื่อเปลี่ยนสีของดอกไม้

นักวิจัยจาก University of Tsukuba  the National Agriculture and Food Research Organization (NARO) และ Yokohama City University ประเทศญี่ปุ่น เปลี่ยนสีของดอกไม้ของต้น Japanese morning glory (Ipomoea nil หรือ Pharbitis nil) จากสีม่วงเป็นสีขาวโดยไปขัดขวางยีนหนึ่ง งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นประสิทธิภาพอย่างมากของ CRISPR/Cas9 ในการศึกษาและจัดการกับยีนในพืชสวน

ตามที่รายงานเมื่อ 30 สิงหาคม 2017 ในวารสาร Scientific Reports ดีเอ็นเอสายสั้นในยีน DFR-B (dihydroflavonol-4-reductase-B) ของ Japanese morning glory ถูกเลือกเป็นเป้าหมายของ CRISPR/Cas9 ดีเอ็นเอสายสั้นนี้มีตำแหน่งที่สำคัญในการทำหน้าที่ของเอนไซม์ (active site) ที่ผลิตโดยยีน DFR-B ดังนั้นขัดขวางการทำหน้าที่ของดีเอ็นเอสายสั้นนี้ควรจะทำให้เอนไซม์ไม่สามารถทำงานได้ ผลก็คือทำให้ขาด pigment ที่ให้สี (anthocyanin) CRISPR/Cas9 ถูกแทรกเข้าไปในต้นอ่อนของ  Japanese morning glory ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยใช้แบคทีเรียของพืช (Rhizobium) ช่วยในการแทรก เหมือนที่คาดหวังไว้ เอนไซม์ DFR-B ถูกทำให้ไม่สามารถทำงานได้เป็นผลสำเร็จ ผลก็คือประมาณ 75% ของพืชที่ได้รับการตัดต่อยีนมีดอกสีขาวและลำต้นสีเขียว พืชที่ไม่ถูกทำให้เปลี่ยนแปลงซึ่งมีเอนไซม์ทำงานได้มีดอกและลำต้นสีม่วง การเปลี่ยนแปลงของสีของลำต้นพบเห็นได้ในช่วงต้นมากๆ ในขบวนการการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จากการวิเคราะห์ยีนยืนยันว่าดีเอ็นเอเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไปในพืชที่ได้รับการตัดต่อยีนด้วยการแทรกของดีเอ็นเอหรือการตัดออกในทั้งสอง copies ของยีน DFR-B อีกสองยีนที่เกี่ยวข้องกัน คือ DFR-A และ DFR-C ได้รับการทดสอบและผลก็คือไม่พบมีการเปลี่ยนแปลงของยีน ยืนยันความจำเพาะเจาะจงของ CRISPR/Cas9

CRISPR/Cas9 ที่พูดถึงในที่นี้ยืนยันว่ายีน DFR-B เป็นยีนที่รับผิดชอบหลักสำหรับสีของต้น Japanese morning glory

ในการวิจัยนี้ เทคโนโลยี CRISPR/Cas9 มีประสิทธิภาพไม่ 100% เต็ม คือไม่ใช่พืชเป้าหมายทั้งหมดจะถูกตัดต่อยีน อัตราการกลายพันธุ์อยู่ที่ 75% ซึ่งค่อนข้างสูง นี่เป็นหนึ่งของเหตุผลที่งานวิจัยครั้งนี้จะช่วยอย่างมากสำหรับคนที่สนใจจะเปลี่ยนสีและรูปร่างของดอกไม้โดยใช้ CRISPR/Cas9 ในดอกไม้ประดับ 

ที่มา: University of Tsukuba (2017, September 5). CRISPR technology used to change flower color. ScienceDaily. Retrieved October 17, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/09/170905123207.htm

หนังสือนิทรรศการ NAC2017

นิทรรศการ
การประชุมวิชาการ สวทช. ประจาปี 2560
(NAC2017)
สวทช. ยุคใหม่ ตอบกลุ่มเป้าหมายตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
NSTDA 5.0 : Building Thailand Towards Sufficiency Economy
29 มีนาคม – 1 เมษายน 2560
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถนนพหลโยธิน จังหวัดปทุมธานี

การประชุมวิชาการประจาปีของสานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถือ เป็นงานใหญ่และสำคัญที่ สวทช.จัดเป็นประจาต่อเนื่องมาทุกปีนับตั้งแต่ พ.ศ. 2548 โดยมีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และผลงานวิจัยของ สวทช. และที่ สวทช. สนับสนุนและดาเนินการร่วมกับเครือข่าย ให้แก่ นักวิจัย นักธุรกิจอุตสาหกรรม นักศึกษา ตลอดจนชุมชน โดยมุ่งเน้นให้เกิดการนาไปประยุกต์ใช้ในภาคเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง เสริมสร้างความเข้มแข็งและความสามารถในการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

ดาวน์โหลดเอกสาร [79.8MB]

หนังสือนิทรรศการ Nac2017 from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) – Thailand

มาตรฐานแถบสีธงชาติไทย

มติคณะกรรมการจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 100 ปี การประกาศใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย ที่มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องการกำหนดมาตรฐานแถบสีธงชาติไทย เพื่อให้มีมาตรฐานสีและเป็นมาตรฐานสีตามหน่วยสากล โดยกำหนดในลักษณะของค่าแนะนำทางราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี การดำเนินงานมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั้ง 9 แห่ง คือ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมวิทยา ศาสตร์บริการ สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานกฎระเบียบกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในการคัดเลือกธงต้นแบบ ที่จะกำหนดสี ด้วยวิธีการวัดสีธงต้นแบบจากธงชาติ 3 แหล่ง แบ่งเป็น

  • ธงชาติจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ จากธง 2 ประเภท ได้แก่ ธงชัยเฉลิมพล และ ธงไตรรงค์
  • ธงชาติจากพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย
  • ธงจากราชนาวี

โดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ หรือวศ. ได้รับมอบหมายให้พิจารณาคัดเลือกธงจากทั้ง 3 แหล่ง โดยดูจากลักษณะปรากฏ และการวัดค่าสีด้วยเครื่อง Colorimetric spectrophotometer และมีมติเห็นสมควรให้กำหนดค่าแถบสีธงชาติไทยจากธงชาติราชนาวี และใช้ผลของกรมวิทยาศาสตร์บริการ

ผลการทดสอบค่าแถบสีธงชาติไทย สีน้ำเงินแก่ สีขาว และสีแดง ด้วยเครื่อง Colorimetric spectrophotomete มีดังนี้ กำหนดค่า CIELAB D65 สีแดง ค่า L* = 36.4 , a* = 55.47 , b* = 25.42 สีขาว ค่า L* = 96.61 , a* = -0.15 , b* = -1.48 และสีน้ำเงิน ค่า L* = 18.63 , a* = 7.89 , b* = -19.45 โดยได้กำหนดค่า ∆E* (delta E) ไม่เกิน 1.5

ขณะนี้ได้นำเสนอต่อที่ประชุมเพื่อกำหนดค่าสีของธงต้นแบบ ให้เป็นเกณฑ์ลักษณะของค่าแนะนำของธงชาติไทย โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 134 ตอนพิเศษ 245 ง ลงวันที่ 30 ก.ย.2560 ให้เป็นเกณฑ์ลักษณะของค่าแนะนำทางราชการ

อย่างไรดีพบว่ายังขาดรายละเอียดสีที่ผู้ใช้ส่วนมากคุ้นเคย ได้แก่ รหัสสี RGB, CMYK และ Web Hexo color code ซึ่งคงต้องรอดูว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะกำหนดค่าใดออกมา ทั้งนี้หากลองทดสอบตรวจสอบการแปลงรหัสผ่านด้วยเครื่องมือออนไลน์ เช่น https://www.e-paint.co.uk/Convert_Lab.asp หรือ https://www.nixsensor.com/free-color-converter/

แหล่งข้อมูล

http://news.thaipbs.or.th/content/266890
https://www.facebook.com/www.thaiflag.org

ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนาประเทศ 2560

ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนาประเทศ ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนาประเทศ 2560

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้จัดทำดัชนีการวิจัยและพัฒนาของประเทศโดยใช้วิธีการสำรวจฯ และได้จัดทำ Hand Out “ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนา ประเทศ 2560″  ซึ่งเป็นข้อมูลจากการสำรวจของหน่วยงานภาครัฐบาล ภาคอุดมศึกษา ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนไม่ค้ากำไร และ ข้อมูลประมาณการของภาคเอกชน

ดาวน์โหลดเอกสาร

** ติดตามเล่มอื่นๆ ได้ที่ https://www.nrct.go.th/การวิจัย/การวิจัย/ข้อมูลดัชนีการวิจัย

กินไขมันมีอายุยืนกว่า

งานวิจัยของ University of California – Davis ซึ่งเผยแพร่ในฉบับเดือนกันยายนของวารสาร Cell Metabolism ค้นพบว่าอาหารที่มีไขมันสูงไม่เพียงทำให้อายุยืนขึ้นแต่ยังทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น

โดยได้ทำการศึกษาในหนู แล้วพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของค่าเฉลี่ยอายุขัย 13% เมื่อได้รับอาหารที่มีไขมันสูง เมื่อเปรียบเทียบกับคนจะเป็น 7 ถึง 10 ปี แต่สิ่งน่าสนใจเหมือนกันคือหนูเหล่านั้นยังคงรักษาคุณภาพของสุขภาพในช่วงต่อมาของชีวิต

การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าอาหารที่มีไขมันสูงมีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตและสุขภาพ นอกจากนี้ยังสนับสนุนสำหรับความเป็นไปได้ของอาหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับความชรา

มีอีกหนึ่งงานวิจัยของ the Buck Institute ที่เผยแพร่ในฉบับเดียวกันของวารสาร Cell Metabolism ให้ผลไปในทางเดียวกันกับการวิจัยครั้งนี้

ที่มา: Univerity of California – Davis (2017, September 5). Eat fat, live longer?. ScienceDaily. Retrieved October 12, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/09/170905145551.htm

อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) แนวทางของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) แนวทางของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

อุตสาหกรรม 4.0

แนวทางของอุตสาหกรรมในอนาคตได้มีการกระเพื่อมขึ้นทั่วโลก ซึ่งมีการเรียกขานที่แตกต่างกันไป  เช่น

  • สหรัฐ คือ Smart Manufacturing
  • ยุโรป คือ Factories of the Future (FoF)
  • เยอรมัน คือ Industry 4.0
  • ญี่ปุ่น คือ Industrial Value Chain Initiatives (IVI)
  • เกาหลีใต้ คือ Manufacturing Innovation 3.0
  • จีน คือ Made in China 2025: A New Era for Chinese Manufacturing
  • ไต้หวัน คือ Productivities 4.0

กล่าวคือ แนวคิดที่ทาง EU หรือ European Union มีข้อสรุปออกมา เรียกว่า Factories of the Future (FoF) ในอเมริกาเรียกว่า Smart Manufacturing ส่วน Industry 4.0 เยอรมนีเป็นประเทศที่นำไปใช้ ทั้งนี้ในกรอบของการผลิตในอนาคต หรือ Factories of the Future จะพูดถึงเรื่องการหาวัตถุดิบใหม่ๆ เช่น มีน้ำหนักเบา หรือแบตเตอรี่ประหยัดพลังงานได้รีไซเคิลกลับมาใช้ได้ง่ายเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นต้น ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกระบวนการ Automation หรือว่าไอทีมาช่วยเพียงอย่างเดียว

โดยหากหยิบยกการเรียกแบบเยอรมันผสานกับยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม สามารถแบ่งยุคได้ ดังนี้

  • 0 คือ ยุคหัตถกรรมและเกษตรกรรมที่ผลิตด้วยมือ หรือใช้สัตว์ช่วยในการผ่อนแรง
  • 1.0 คือ ยุคการผลิตด้วยเครื่องจักรกลไอน้ำทุ่นแรงงานคน/สัตว์
  • 2.0 คือ ยุคแห่งการคิดค้นมอเตอร์ไฟฟ้า/พลังงานไฟฟ้า เพื่อทดแทนเครื่องจักรกลไอน้ำผลิตสินค้าที่เร็วขึ้น ถึงขั้นลักษณะที่เหมือนๆ กันจึงเกิดการผลิตแบบ Mass Production ที่สินค้าผลิตเหมือนกันในปริมาณมาก
  • 3.0 คือ ยุคเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ดิจิทัล/หุ่นยนต์ เริ่มแพร่หลาย กระบวนการผลิตทุกอย่างเริ่มอัตโนมัติมากขึ้นทำงานซ้ำๆ ได้ดี เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ มีการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้งานทดแทนแรงงานมนุษย์ การผลิตด้วยการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาสั่งเครื่องจักรในการผลิต
  • 4.0 คือ การผลิตด้วยการนำเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้ามาการเชื่อมโยงข้อมูลการผลิตระหว่างเครื่องจักรอย่างมีประสิทธิภาพ จากการผลิตที่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จึงต้องมีการออกแบบ function การผลิตที่ละเอียดขึ้นแบบที่มนุษย์ไมสามารถผลิตได้ เป็นยุคใหม่ของการรวมพลังระหว่างเทคโนโลยีดิจิทัลควบคุมเครื่องจักรให้เครื่องจักรสื่อสารข้อมูลกันเอง ซึ่งตัวที่ผลักดันได้ชัดเจนที่สุดให้เกิด 4.0 ขึ้นมาคือ อินเทอร์เน็ต/ไซเบอร์

กล่าวโดยสรุป คือ การผลิตที่มีเพียงงานหัตถกรรมและเกษตรกรรม ได้พัฒนาสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก (Industry 1.0) ที่มีการสร้างเครื่องจักรไอน้ำนำไปสู่การสร้างรถไฟและเครื่องจักรในโรงงาน การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (Industry 2.0) เป็นการเปลี่ยนจากการใช้เครื่องจักรไอน้ามาใช้พลังงานไฟฟ้า การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3 (Industry 3.0) เป็นการใช้ระบบอัตโนมัติในการผลิตแทนที่แรงงานคน และการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือ Industry 4.0 คือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการผลิตสินค้า สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายตามความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคแต่ละราย เป็นการพัฒนาจนถึงเครื่องจักรสามารถสื่อสารกันเองได้ ส่งข้อมูลระหว่างกันได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่นำมาสู่การมีประสิทธิภาพที่ใช้แรงงานน้อยลง ใช้อุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆ ที่มีความแม่นยำมากขึ้น วัสดุที่ใช้จึงมีความพิเศษมากขึ้น ประสิทธิภาพสูงขึ้น และใช้ปริมาณที่น้อยลงอีกด้วย

นอกจากนี้ “Industry 4.0” ยังถือว่าเป็นแนวคิดใหม่ที่เป็นเสมือนการปฏิรูปอุตสาหกรรมครั้งใหม่ล่าสุด ที่มีจุดเด่น คือ การพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารกับเครื่องจักร และระบบการผลิตในลักษณะ industrial automation เพื่อผลิตสินค้าตามความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค แต่ยังรักษาประสิทธิภาพ การผลิตที่สูง โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการผลิต เช่น 3D Printing, Augmented reality, Big data and analytics, Autonomous Robots, Simulation, Horizontal and vertical system integration, Smart Factor, Cybersecurity, The Cloud เป็นต้น

ดังนั้น Industry 4.0 หรือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมขั้นที่ 4 จึงเป็นการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้ร่วมในกระบวนการผลิต เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของ Demand และ Supply ของโลกในอนาคต โดยมีปัจจัยขับเคลื่อน Demand ของโลกในปี 2025 ได้แก่

  1. ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.9 พันล้านคน เปรียบเทียบได้กับมนุษย์ต้องมีโลกเพื่อรองรับประชากรถึง 2 ใบครึ่ง เพราะประชากรล้นโลก ส่งผลให้ทรัพยากรโลกลดน้อยลง จึงเกิดแนวคิดส่งมนุษย์ไปดาวดวงอื่น หรือ หาวิธีการใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพสูงสุด
  2. รายได้โดยเฉลี่ยของประชาชนจะส่งผลให้เกิดความกินดีอยู่ดีเพิ่มสูงขึ้น จะมีชนชั้นกลางและผู้มีรายได้สูง 4.2 พันล้านทั่วโลก ส่งผลให้มีความต้องการที่แตกต่างหลากหลายสูงขึ้น
  3. ขนาดตลาดของกลุ่มประเทศตะวันออก (30 Triton USD) และตะวันตก (34 Triton USD) ไม่แตกต่างกันมาก
  4. ผู้อาศัยในเขตเมืองจะเพิ่มสูงขึ้น (Urbanization)
  5. ปัญหาสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น มีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น แต่ละประเทศจะลดการพึ่งพิงทรัพยากรน้ำมันแล้วหันมาเพิ่มเปอร์เซ็นต์การใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น เพื่อลดความเสียงการขาดแคลนพลังงาน รวมถึงการใช้งาน Smart Grid จะขยายตัวมากขึ้น

 

การพัฒนา Industry 4.0 ในต่างประเทศ

ในต่างประเทศมีการตื่นตัวในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเดิมสู่ Industry 4.0 มาก นำโดยประเทศเยอรมันที่ประกาศ German Standardization Roadmap Industrie 4.0 (Version 2) ในเดือนตุลาคม 2015 ตามหลังจีนที่ได้ประกาศแผน Roadmap ที่ชื่อ Made in China 2025 เพื่อเน้นการพัฒนากระบวนการผลิตของจีนเมื่อต้นปี 2015 เนื่องจากการปรับกระบวนการผลิตใหม่นี้จะสามารถช่วยลดต้นทุนทั้งกระบวนการได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำนั่นเอง

ในอาเซียนนั้น ประเทศที่เป็นแนวหน้าด้าน Industry 4.0 คือประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งสิงคโปร์นั้นแม้ยังไม่มีความพร้อมด้านบุคลากรที่มีจำนวนเพียงพอ แต่อาจสามารถเป็นต้นแบบให้กับโรงงานในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) ที่ผลิตสินค้าให้แก่สิงคโปร์ต่อไปได้ ส่วนประเทศมาเลเซีย ซึ่งเน้นทางด้านไอทีแต่วัตถุดิบของมาเลเซียยังน้อยกว่าไทย หากไทยสามารถนำ Industry 4.0 ไปพัฒนาก่อนได้อาจจะสามารถขยับด้านการแข่งขันด้วย Industry 4.0 ได้ไม่ยากนัก

การพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ Industry 4.0 ของประเทศต่างๆ ในเอเชีย

ประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ Industry 4.0
ญี่ปุ่น ศึกษาการปรับการผลิตให้เป็นเทคโนโลยีของตนเองตามความเหมาะสมในแต่ละรูปแบบ และทยอยปรับการผลิตเข้าสู่ Industry 4.0 ตามความปรับที่แตกต่างกันทีละแผนก (Production Module) เช่น เริ่มจากแผนกจัดซื้อ ตามด้วยแผนกวางแผนการผลิต และปรับสายการผลิต เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงการผลิตระหว่างโรงงานผลิตอีกด้วย
ไต้หวัน เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศจากการส่งเสริมให้เกิดฐาน SMEs ซึ่งได้ขยับอันดับ World Ranking จากระดับใกล้เคียงกับไทยในอดีต จนอยู่เป็นอันดับที่ 14 ในปัจจุบันนั้น ได้มีการศึกษา Industry 4.0 ด้วยการแปลเอกสารจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาจีน แล้วนำไปปรับการผลิตต่อไป เช่น โรงงานทอผ้าที่ทอผ้าด้วยเครื่องจักรได้ปรับเป็น i-Factory ด้วยการปรับ PDCA (Plan, Do, Check, Action) และสร้างทีมงานศึกษาและปรับการผลิตเข้าสู่ Industry 4.0 โดยเริ่มนำเทคโนโลยีเซนเซอร์มาใช้ร่วมกับ Embedded และ reengineering จาก Industry 3.0 เป็น Industry 4.0 เพื่อให้การทำงานร่วมกับระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรให้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลไต้หวันก็ได้ตอบรับด้วยการส่งเสริมการศึกษาด้าน Human Interface/Interaction อีกด้วย
เกาหลีใต้ ศึกษา Industry 4.0 และลอกแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแบบเยอรมัน
จีน ศึกษา Industry 4.0 และลอกแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแบบเยอรมัน นอกจากนี้ยังได้มีความร่วมมือในการวางแผนการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานร่วมกับรัฐบาลเยอรมันอีกด้วย
อินโดนีเซีย ศึกษา Industry 4.0 และลอกแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแบบเยอรมัน แล้วนำไปปรับการผลิตต่อไป

—————————————————————————————————————————————————————————–

ในส่วนของประเทศของไทยนั้น แม้จะมี GDP ประมาณร้อยละ 40 ใกล้เคียงกับจีน แต่ทั้งไทยและประเทศอื่นๆ ใน AEC ยังคงมีค่า GDP ที่พึ่งพาการลงทุนในการผลิตจากต่างประเทศ มากกว่าภาคบริการและการเกษตรอย่างในกลุ่มประเทศยุโรป ส่งผลให้ไทยต้องรีบศึกษา Industry 4.0 เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและให้สามารถอยู่รอดได้ในอนาคต ที่ต้องสามารถนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมากกว่าการใช้ในเชิงส่วนบุคคลเท่านั้นอย่างในปัจจุบัน ซึ่งภาคอุตสาหกรรมไทยที่สามารถปรับตัวพร้อมรับ Industry 4.0 ได้สูงสุดคือ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ รองลงมาได้แก่ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ การแปรรูปโลหะ สิ่งทอ การบริการ และอาหารที่ยังไม่พบการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต

ซึ่งทางรอดของอุตสาหกรรมไทย คือ การยกระดับภาคการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่งให้เข้าสู่ Industry 4.0 ให้สอดคล้องกับที่ภาครัฐได้ตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้ นอกจากนี้ยังต้องสอดคล้องกับสภาพสังคมยุคใหม่ที่กำลังเป็น paperless society และนโยบาย Digital Economy ของรัฐบาล รวมทั้งการผลักดันยุทธศาสตร์ Trading Nation ที่จะทำให้ไทยเป็นชาติการค้าในภูมิภาคและระดับโลก โดยมองตลาดโลกเป็นตลาดเป้าหมาย

ข้อมูลอ้างอิง

1. กมลพรรณ แสงมหาชัย, Revolution to Industry 4.0, ศูนย์การจัดการพลังงานและเทคโนโลยีแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2558.
2. เจน นำชัยศิริ, Driving the cluster towards Thai industries 4.0, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, 2558.
3. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, Thai Industries 2025 กับแนวทางอุตสาหกรรมในอนาคต,Industry Focus, ปีที่4, ฉบับที่ 050, 2558.
4. สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ, Managing Today to Shape Tomorrow’s World, Productivity Conference 2015, 2558.