การเปลี่ยนพลาสติก polyethylene ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งเป็นผลิตภัณฑ์ของเหลวคุณภาพสูง (Upcycling single-use polyethylene into high-quality liquid products)

เมื่อมองไปรอบๆ ตัวจะพบว่าพลาสติกเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมากในชีวิตประจำวัน โดยใช้ไม่เพียงเพื่อความสะดวกเช่น ถุงพลาสติก และขวดพลาสติก แต่ยังเพื่อการประยุกต์ใช้ที่จำเป็นเช่น การบรรจุอาหาร และอุปกรณ์การแพทย์ เนื่องจากพลาสติกเป็นวัสดุที่ดีที่สุดที่มีอยู่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการพลาสติกที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีการผลิตพลาสติกเกือบ 400 ล้านตันต่อปีทั่วโลก และตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้น 4 เท่าในปี 2050 ทุกวันนี้มีการทิ้งพลาสติกมากกว่า 3 ใน 4 ส่วนหลังจากใช้ครั้งเดียว ทำให้เหลือพลาสติกในหลุมฝังกลบหรือสิ่งแวดล้อม รู้หรือไหมขยะพลาสติกใช้เวลาเป็นพันปีเพื่อย่อยสลาย ดังนั้นจะดีไหมถ้าสามารถเปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงเช่น เครื่องสำอาง ผงซักฟอก หรือน้ำมันหล่อลื่น

ดังนั้นจึงมีการรวมตัวกันระหว่างนักวิจัยจากหลายสถาบัน ได้แก่ ห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Argonne และห้องปฏิบัติการ Ames ของกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา, มหาวิทยาลัย Northwestern, มหาวิทยาลัย Cornell, มหาวิทยาลัย South Carolina และมหาวิทยาลัย California Santa Barbara เพื่อทำให้ฝันนั้นเป็นจริง

ในขณะที่บางส่วนของขยะพลาสติกถูกนำกลับมาใช้ใหม่ (recycled) แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพและคุณค่าต่ำกว่าพลาสติกตั้งต้น เมื่อเร็วๆ นี้ทีมวิจัยดังกล่าวได้รายงานในวารสาร ACS Central Science ว่าสามารถค้นพบวิธีเร่งปฏิกิริยาสำหรับเปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เช่น น้ำมันหล่อลื่น หรือขี้ผึ้ง (waxes) ต่อมาขี้ผึ้งสามารถเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันเช่น ผงซักฟอก และเครื่องสำอาง

ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้คือ อนุภาคนาโนแพลทินัม (platinum nanoparticles) แต่ละอนุภาคมีขนาดเพียง 2 นาโนเมตร ถูกยึดไว้บน perovskite nanocuboids มีขนาดประมาณ 100 นาโนเมตร ทีมวิจัยเลือกใช้ perovskite เพราะคงตัวมากๆ ในอุณหภูมิและความดันที่ใช้ในการเร่งปฏิกิริยาและได้รับการทดสอบว่าเป็นวัสดุที่ดีเป็นพิเศษสำหรับการเปลี่ยนพลังงาน

ทีมวิจัยเลือกใช้วิธี atomic layer deposition เป็นวิธีวางอนุภาคนาโนแพลทินัมบน perovskite nanocuboid ทำให้ควบคุมขนาดอนุภาคนาโนได้แม่นยำ ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการพัฒนาโดยห้องปฏิบัติการ Argonne และมหาวิทยาลัย Northwestern

เริ่มจากการทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยากับ polyethylene ที่ใช้สำหรับงานวิจัย ผลที่ได้คือตัวเร่งปฏิกิริยาสามารถเปลี่ยน polyethylene ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่พบได้ทั่วไปมากที่สุดในพลาสติกเป็นผลิตภัณฑ์ของเหลวคุณภาพสูงปริมาณมาก ต่อมาได้ทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยากับถุงพลาสติกที่มีวางจำหน่าย พบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาให้ผลกับถุงพลาสติกเหมือนกับการใช้ polyethylene อย่างเดียวและผลิตน้อยกว่ามากไฮโดรคาร์บอนที่มีขนาดเล็ก (ตัวอย่างเช่น methane และ ethane) ที่เกิดขึ้นในกระบวนการ pyrolysis (กระบวนการให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูง) หรือใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาทั่วไปซึ่งประกอบด้วยอนุภาคนาโนแพลทินัมอยู่บนสารตั้งต้น alumina

ต่อมาทีมวิจัยได้คำนวณตามทฤษฎี พบว่ามี 2 ลักษณะหลักที่มีผลต่อประสิทธิภาพของตัวเร่งปฏิกิริยา อย่างแรกคือความสามารถคงตัวในอุณหภูมิเนื่องจากการลงตัวทางเรขาคณิตระหว่างรูปร่างเป็นลูกบาศก์ของอนุภาคนาโนแพลทินัมและ perovskite nanocuboid อย่างที่สองคือความไม่เป็นรูของวัสดุ perovskite ซึ่งช่วยให้เกิดปฏิกิริยาเร่ง

การค้นพบครั้งนี้คงเป็นข่าวดีของใครหลายคนที่สามารถใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติก แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นผลสำเร็จ แต่ยังหวังว่าจะได้ยินข่าวดีแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ในอนาคตข้างหน้า

ที่มา: Joseph E. Harmon (2019, October 23). Rethinking the science of plastic recycling. Argonne National Laboratory. Retrieved January 13, 2019, from https://www.anl.gov/article/rethinking-the-science-of-plastic-recycling

การติดตั้งโปรแกรม Greenstone 3.09

การติดตั้ง Greenstone 3.09 สำหรับ Windows

Download โปรแกรมได้ที่ http://www.greenstone.org/download

  1. เลือก Download โปรแกรมที่สำหรับใช้ในระบบปฏิบัติการ Windows
  2. ติดตั้งโปรแกรม

    เลือกภาษาสำหรับแสดงในโปรแกรม คลิกปุ่ม Next

     

    ตำแหน่งติดตั้งโปรแกม ถ้าไม่เปลี่ยนคลิกปุ่ม Next
       – เปลี่ยนตำแหน่งคลิกปุ่ม  Browser 
     

    ติดตั้งโปรแกรมเสริมที่จำเป็น คลิกปุ่ม Next ต่อไปได้เลย

     

    ตั้งรหัสผ่าน สำหรับเข้าใช้งาน คลิกที่ช่องสี่เหลี่ยม คลิกปุ่ม Next
     

    คลิกปุ่ม Install 
     

     

  3. เมื่อติดตั้งโปรแกรมเรียบร้อยแล้ว ให้เปิดที่ Start –> Greenstone –> Greenstone Librarian Interface(GLI) เพื่อเปิดใช้งานโปรแกรม Greenstone
     

Chemical Upcycling of Polymers (การเปลี่ยนพลาสติกที่ถูกทิ้งจากของเสียเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง)

ถ้าเรามองไปในชีวิตประจำในโลกยุคใหม่จะพบว่ามีพลาสติกมาเกี่ยวข้องอย่างมาก รู้ไหมว่าพลาสติกเหล่านั้นเกิดมาจากโพลิเมอร์สังเคราะห์ที่มีส่วนประกอบของคาร์บอนเป็นหลัก (โมเลกุลอินทรีย์ขนาดใหญ่ที่ประกอบขึ้นจากหน่วยย่อยซ้ำๆ กันที่เรียกว่า โมเลกุลเดี่ยว (โมโนเมอร์)) โพลิเมอร์ถูกออกแบบให้ทนทานต่อการทำลาย เมื่อมาดูทั่วโลกมีการผลิตพลาสติกมากน้อยแค่ไหน พบว่ามีการผลิตมากกว่า 400 ล้านเมตริกซ์ตันต่อปี ด้วยมากกว่า 8 พันล้านเมตริกซ์ตันถูกผลิตในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยแล้วมีการผลิตเพิ่มขึ้น 36% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มที่จะผลิตถึง 700 ล้านเมตริกซ์ตันในปี 2030 (พลาสติกจะถูกผลิตเพื่อทุกคนบนโลกประมาณ 80 กิโลกรัม) ทั่วโลกพลาสติกที่ถูกทิ้ง 20% จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ (น้อยกว่า 10% ในสหรัฐอเมริกา) โดยกระบวนการเชิงกลเป็นหลัก และประมาณ 25% ถูกเผาเพื่อให้ได้พลังงานออกมา มากกว่าครึ่งถูกเก็บในหลุมฝังกลบหรือถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม ดังนั้นพลาสติกของเสียเป็นปัญหาต่อสิ่งแวดลอมในระยะยาว ตัวอย่างเช่น ด้วยอัตราของการผลิตและการทิ้งพลาสติกในปัจจุบัน ได้รับการทำนายว่าปริมาณพลาสติกของเสียในมหาสมุทรจะมากกว่าปริมาณของปลาในปี 2050

พลาสติกเป็นแหล่งของสารเคมี เชื้อเพลิง และวัสดุ ถึงแม้การเผาจะกำจัดของเสียและได้พลังงานออกมา แต่ใช้หมดไปแหล่งที่มีประโยชน์และสร้างผลพลอยได้ที่ไม่ต้องการ การนำกลับมาใช้ใหม่ที่อาศัยกระบวนการเชิงกล (mechanical recycling) ซึ่งเกี่ยวกับการตัดเป็นชิ้นๆ การให้ความร้อน และการสร้างขึ้นใหม่ของพลาสติก มีประสิทธิภาพมากกว่าการผลิตพลาสติกจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ใช้พลังงานน้อยกว่าครึ่งเพื่อผลิตพลาสติกใหม่ แต่วิธีนี้ลดคุณค่าของพลาสติก การนำกลับมาใช้ใหม่ที่อาศัยวิธีทางเคมี (chemical recycling) เปลี่ยนโพลิเมอร์เป็นตัวกลางระดับโมเลกุลซึ่งใช้เป็นหน่วยโครงสร้างเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ทำให้พลาสติกที่ถูกทิ้งกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง อย่างไรก็ตามวิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (ตัวอย่างเช่น การใช้อุณหภูมิสูงที่ไม่มีออกซิเจน) ต้องการพลังงานมากและกระบวนอื่นๆ อีกเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ วิธีการใหม่คือ polymer upcycling เป็นการเปลี่ยนโพลิเมอร์เป็นสารเคมี เชื้อเพลิง หรือตัวกลางระดับโมเลกุลและต่อจากนั้นสร้างใหม่ตัวกลางเหล่านั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงภายใต้สภาพที่ไม่รุนแรง

Basic Energy Sciences ภายใต้กระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกาจัดการประชุมในหัวข้อ Chemical Upcycling of Polymers ในเดือนเมษายน 2019 เพื่อระบุปัญหาพื้นฐานและการวิจัยที่สามารถเปลี่ยนพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นเชื้อเพลิง สารเคมี และวัสดุที่มีมูลค่าสูงขึ้น จากการประชุมดังกล่าวได้ระบุ 4 งานวิจัยที่ควรให้ความสนใจก่อนเพื่อจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและกระบวนการทางฟิสิกส์ที่ซับซ้อนที่ใช้ในการเปลี่ยนพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง งานวิจัยดังกล่าวได้แก่
1. รู้อย่างละเอียดกลไกการเปลี่ยน สร้างใหม่ และการทำหน้าที่ของโพลิเมอร์
ต้องการตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การเปลี่ยนโมเลกุลขนาดใหญ่ และกระบวนการทางเคมีใหม่เพื่อเปลี่ยนสายโพลิเมอร์ในพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นตัวกลางซึ่งสามารถถูกสร้างใหม่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ (ตัวอย่างเช่น สารเคมี เชื้อเพลิง หรือโพลิเมอร์ใหม่)

2. เข้าใจและค้นหากระบวนการเปลี่ยนพลาสติกผสมเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
พัฒนาสารเคมีที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงาน วิธีเร่งปฏิกิริยาและแยกใหม่ที่จะแก้ปัญหาทางเคมีและฟิสิกส์ของพลาสติกผสม จะทำให้เกิดการเปลี่ยนพลาสติกผสมเป็นสารเคมีและเชื้อเพลิง รวมถึงวัสดุใหม่

3. ออกแบบโพลิเมอร์รุ่นถัดไปสำหรับการหมุนเวียนทางเคมี
ต้องออกแบบพลาสติกใหม่ให้มีคุณสมบัติและการหมุนเวียนทางเคมีตามต้องการเพื่อทำให้เกิดการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่และ chemical upcycling พัฒนาเคมีโมโนเมอร์และโพลิเมอร์ใหม่ซึ่งทำให้เกิดโพลิเมอร์รุ่นถัดไปที่มีคุณสมบัติเหมือนหรือดีกว่าโพลิเมอร์ปัจจุบันและทำให้เกิดวงจรชีวิตวงกลมใช้กระบวนการที่ใช้อะตอมและพลังงานที่มีประสิทธิภาพ

4. พัฒนาเครื่องมือใหม่เพื่อค้นหาและควบคุมกลไกทางเคมีสำหรับการเปลี่ยนโมเลกุลขนาดใหญ่
การศึกษาลักษณะแบบ in situ และ operando รวมกับการสร้างแบบจำลองโดยใช้คอมพิวเตอร์แบบ real-time การจำลอง และการวิเคราะห์ข้อมูล จะทำให้เข้าใจกลไกและ kinetic ของการเปลี่ยน การสร้างใหม่ และการแยก เทคนิคเหล่านี้จะช่วยออกแบบการเปลี่ยนทางเคมีและกระบวนการใหม่สำหรับเปลี่ยนพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ

สรุป
Chemical upcycling จากพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นเชื้อเพลิง สารเคมี หรือวัสดุที่มีมูลค่าสูงจะเปลี่ยนแปลงวงจรชีวิตของพลาสติก ช่วยประหยัดพลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความก้าวหน้าของทั้ง 4 งานวิจัยดังกล่าวจะทำให้เกิดความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต่อการออกแบบปฏิกิริยาเคมี ตัวเร่งปฏิกิริยา กระบวนการใหม่ที่จะทำให้การเปลี่ยน การสร้างขึ้นใหม่ และการทำหน้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของพลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง งานวิจัยพื้นฐานในเรื่อง chemical upcycling of polymers จะทำให้พลาสติกที่ถูกทิ้งเป็นแหล่งในการผลิตที่มีประสิทธิภาพสารเคมี เชื้อเพลิง วัสดุที่มีมูลค่าสูง และลดการสะสมของพลาสติกของเสียในสิ่งแวดล้อม

ที่มา: Office of Science, U.S. Department of Energy. Roundtable on Chemical Upcycling of Polymers. Retrieved January 8, 2020, from https://winey.seas.upenn.edu/wp-content/uploads/2017/08/2019_DOE_Polymer_Upcycling_Brochure.pdf

เอาคลิปคนอื่นมาใช้โดยไม่ขออนุญาตแล้วให้เครดิต ผิดหรือถูกต้อง?

ในปัจจุบัน มีหลายคนหรือสื่อหลายสำนักที่สนใจการทำ youtube , สื่อออนไลน์เพื่อการค้า มีความเข้าใจว่า “การนำคลิปคนอื่นมาใช้งานโดยการให้เครดิตเจ้าของคลิปบนวีดีโอที่ตัดต่อใหม่ของตนแล้วเผยแพร่ สามารถทำได้เพราะให้เครดิตแล้ว”  ความเข้าใจนี้ถือเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง เนื่องจากสื่อดังกล่าวไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าของคลิปที่เป็นต้นฉบับ (Original Content) อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร หรือผ่านการอนุญาตที่ชัดเจนจากเจ้าของไม่ว่าจะช่องทางใดๆ ก็ตาม ที่สำคัญคือการไม่ได้รับการติดต่อจากผู้ขอใช้ เป็นการคิดเองเออเองทั้งสิ้นจากผู้สร้าง หากเจ้าของพบเจอ สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่นำคลิปไปดัดแปลง ทำซ้ำ ได้อย่างหนักหน่วง กฏเกณฑ์เหล่านี้มีกฏหมายรองรับและสำคัญที่จิตสำนึกในการนำไปใช้ หากใครทำ youtube จะเข้าใจได้ดีในเรื่องการละเมิดคลิปของผู้อื่น ที่มีโทษถึงขั้นปิด account หรือยุติช่อง youtube ทันที  ดังนั้นจึงควรพิจารณาและศึกษาให้เข้าใจถึงกติกา มารยาท จิตสำนึก และ กฏหมายในการละเมิดสิทธิ์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับผู้สร้างทั้งเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดีครับ เพราะลิขสิทธิ์และสัญญาอนุญาต ไม่ใช่การคิดเองเออเอง แต่มันคือการทำความเข้าใจในกฏกติกาสากล และการสื่อสารอย่างลงตัวระหว่างผู้ขอและผู้ให้ครับ

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 8 เดือน สิงหาคม 2562

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 8 เดือน สิงหาคม 2562

การประกาศยกเลิกการใช้พลาสติก 8 ชนิดในสหราชอาณาจักร

รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรได้ประกาศเลิกใช้พลาสติก 8 ชนิดภายในปี ค.ศ. 2020 ได้แก่
1.ชุดช้อน ส้อม และมีดพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง
2.บรรจุภัณฑ์ที่ทำด้วยวัสดุพอลิสไตรีน
3.สำลีก้านพลาสติก (cotton buds)
4. แท่งคนกาแฟ
5.หลอดดื่มน้ำที่ทำจากพลาสติก (มีข้อยกเว้นสำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้ในทางการแพทย์)
6.พลาสติกแตกสลายได้ชนิดอ๊อกโซ (Oxo-degradable Plastics)
7.พลาสติก PVC หรือ พอลิไวนิลคลอไรด์ (polyvinylchloride, PVC)
8.ชามและถ้วยพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง

โครงการ UK Plastics Pact

โครงการ UK Plastics Pact ได้ถูกจัดตั้งเมื่อปี ค.ศ. 2018 โดยมีสมาชิก 127 เข้าร่วม โดยสมาชิกต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดว่าด้วยการเลิกใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกทั้ง 8 ชนิด และหาวัสดุทดแทน เช่น กระดาษ เส้นใย โลหะ และ อื่นๆ รวมไปถึงร่วมมือกันในการบรรลุเป้าหมายการกำจัดพลาสติกที่เป็นปัญหาทั้งหมดและลดการใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็นให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2025

การยกเลิกใช้พลาสติกบางประเภทในประเทศไทย

สำหรับประเทศไทย คณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) พิจารณากำหนดการลด และเลิกใช้ ผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ที่พบมากในขยะซึ่งถูกทิ้งในทะเลของประเทศไทยและก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม โดยมีแผนการยกเลิกพลาสติก 7 ประเภทดังนี้
1.พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม
2.พลาสติกแตกสลายได้ชนิดอ๊อกโซ
3.ไมโครบีดจากพลาสติก เลิกใช้ปี 2562
4.ถุงพลาสติกหูหิ้วขนาดความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน
5.กล่องโฟมบรรจุอาหาร เลิกใช้ปี 2565
6.แก้วน้ำพลาสติก (ชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง)
7.หลอดพลาสติก เลิกใช้ปี 2568 โดยมีเป้าหมายรวมในการลด

การประชุมประจำปีของสมาคมนักวิชาชีพไทยในภูมิภาคยุโรป ATPER 2019

สำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของสมาคมนักวิชาชีพไทยในภูมิภาคยุโรป ATPER 2019 ณ เมือง Dusseldorf สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 2-4 สิงหาคม 2562 การจัดประชุมครั้งนี้ มีผู้แทนของหน่วยงานในประเทศไทย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ร่วมกันพัฒนารูปแบบและแนวทางในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อสนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม

ที่มาของการประชุม

การถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคอุตสาหกรรมสามารถสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมในประเทศควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดวิสาหกิจเริ่มต้นทางด้าน เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Startup) อันเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเพื่อรองรับการเติบโต ของอุตสาหกรรมใหม่ หัวข้อการประชุมสมาคมนักวิชาชีไทยในภูมิภาคยุโรปมุ่งเน้นไปที่ประเด็นดังนี้
1.นวัตกรรม
2.เทคโนโลยีชีวภาพและวิทยาศาสตร์สุขภาพ
3.อุตสาหกรรมการผลิตและโลจิสติกสมัยใหม่

การประชุมหารือ สร้างความร่วมมือการวิจัย พัฒนา และการทดสอบพลาสติกชีวภาพ การรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์พลาสติก และวัสดุสัมผัสอาหาร

ในการประชุมครั้งนี้ได้พบปะกับองค์กรเชี่ยวชาญระดับโลกที่มีประสบการณ์สูงในด้านพลาสติกชีวภาพของราชอาณาจักรเบลเยียมและราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ รวม 4 หน่วยงาน คือ
1.Wageningen University & Research
2.Rodenburg Biopolymers
3.Public Waste Agency of Flanders (OVAM)
4.Organic Waste Systems (OWS)
โดยมีประเด็นการหารือด้านการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม การพัฒนามาตรฐานวิธีทดสอบ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการขยะ และความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี รวมถึงการเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการและโรงงานต้นแบบ

  ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2019/20191119-newsletter-brussels-no8-aug62.pdf

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 7 เดือน กรกฎาคม 2562

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 7 เดือน กรกฎาคม 2562

ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปหญิงคนแรกกับวาระการแก้ปัญหาโลกร้อน

รัฐสภายุโรปได้มีการเลือกตั้งประธานคณะกรรมาธิการยุโรปคนใหม่ คือ นาง Ursula von der Leyen ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นประธานคณะกรรมาธิการยุโรปผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ และเป็นชาวเยอรมันคนแรกที่เข้ารับตำแหน่งนี้ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา

การผลักดันวาระด้านสิ่งแวดล้อม

นาง Ursula von der Leyen ได้ประกาศว่า ตนเองจะผลักดันนโยบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศภายใน 100 วันแรกที่รับตำแหน่ง การสร้างสังคมไร้มลพิษถือเป็นความท้าทายและเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และได้เสนอแผนปรับเปลี่ยนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 50 เพิ่มเป็น ร้อยละ 55 ภายในปี ค.ศ. 2030 รวมถึงการร่างแผนสังคมสีเขียวสำหรับยุโรป และร่างกฎหมายสภาพภูมิอากาศแห่งยุโรป นอกจากนี้จะผลักดันการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยจะจัดสรรงบและทรัพยากรบางส่วนจากธนาคารเพื่อการลงทุนของยุโรป (The European Investment Bank, EIB) เพื่อจัดตั้ง Climate bank เพื่อจัดงบลงทุนสูงถึง 1 ล้านล้านยูโรในโครงการต่างๆ ที่จะช่วยจัดการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และท้ายสุดจะประกาศใช้มาตราการการจัดเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรหมแดนฉบับใหม่ โดยหวังว่าท้ายสุดจะผลักดันให้ยุโรปเป็น “ทวีปที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” (Carbon-neutral continent) ให้ได้ภายในปี ค.ศ.2050

ปฏิกิริยาต่อข้อเสนอของนาง Ursula von der Leyen

ถึงแม้ประชาชนทั่วไปจะรู้สึกว่าวิสัยทัศน์ มีความมุ่งมั่นและจริงจังในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยผู้อำนวยการของ IDDRI ซึ่งเป็นสถาบันที่ทำการค้นคว้า ศึกษา วิจัย วิเคราะห์นโยบายสาธารณะด้านสภาพภูมิอากาศของฝรั่งเศส กล่าวว่า ความมุ่งมั่นในการยกระดับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ในทางกลับกันสมาชิกรัฐสภายุโรปที่ไม่สนับสนุนกล่าวว่าข้อเสนอที่ประกาศในที่ประชุมยังไม่เพียงพอในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยไม่ได้เสนอแผนงานที่ชัดเจนว่ายุโรปจะปฏิบัติตามความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้ลงนาม ณ กรุงปารีส ไว้อย่างไร บางท่านกล่าวว่าข้อเสนอด้านสิ่งแวดล้อมไม่ได้ช่วยยกระดับมาตรการในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

คุณประโยชน์ที่น่าค้นหาจากแมงกะพรุน

แมงกะพรุนเป็นแพลงก์ตอนสัตว์ขนาดใหญ่ อยู่ในไฟลัมไนดาเรีย มีรูปร่างคล้ายระฆัง ร่ม หรือจาน ตัวแมงกระพรุนประกอบด้วยส่วนลำตัวด้านบนมีลักษณะโปร่งใสรูปร่างคล้ายร่ม โดยมีส่วนที่เป็น หนวดอยู่บริเวณขอบร่ม และปากอยู่ด้านล่างของร่ม และมีขาอยู่รอบปากทำหน้าที่ปกป้องปาก หรือช่วยในการกินอาหาร แมงกะพรุนพบมากในทะเลแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มี 17 สายพันธุ์
  
โมเลกุลต่างๆ ที่พบในแมงกะพรุน

แมงกะพรุนมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์และมีรสชาติดีหากปรุงให้สุก นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดพัฒนาเป็นยารักษาโรค และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้

คอลลาเจน

คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นสายยาว ทำหน้าที่แตกต่างจากสารโปรตีนทั่วๆ ไปเช่นเดียวกับเอนไซม์ เส้นใยคอลลาเจนมีลักษณะเป็นสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันกันมากมาย คอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นผิวมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เคราติน สหราชอาณาจักรได้ทำการวิจัยศึกษาคอลลาเจนจากแมงกะพรุน และพบว่าแมงกะพรุนอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าในการสร้างเนื้อเยื่อ เพราะคอลลาเจนที่ได้จากแมงกะพรุนสามารถเข้ากับเซลล์หลากหลายประเภทของมนุษย์

สารต้านอนุมูลอิสระ

ได้มีการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากแมงกะพรุน โดยทำให้คอลลาเจนจากแมงกะพรุนแตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆ ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารที่สามารถยับยั้ง หรือชะลอการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ (free radical) สารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหลายโรคโดยเฉพาะโรคเรื้อรัง เช่น โรงมะเร็ง เบาหวาน หัวใจ สมอง (เช่นอัลไซเมอร์)

การวิจัยอื่นๆ เพื่อศึกษาคุณประโยชน์ของแมงกะพรุน

จากผลงานทางวิชาการว่าสารประกอบที่พบในรังไข่ของแมงกะพรุนชนิดนี้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ โดยได้ทำการทดลองนำแมงกะพรุนมาต้มด้วยน้ำร้อน มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลในแมงกะพรุน สามารถรักษากักเก็บสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีถึงแม้จะถูกต้มในน้ำร้อน

การวิจัยแมงกะพรุนในประเทศไทย

ปัจจุบันประเทศไทยจะบริโภคแมงกะพรุนที่ผ่านการแปรรูปด้วยการดองเกลือและสารส้ม ขายแบบสดและตากแห้ง ในประเทศไทยพบแมงกะพรุนที่ภริโภคได้ 3 สายพันธุ์ คือ แมงกะพรุนหนัง แมงกะพรุนลอดช่อง และแมงกะพรุนหอม แต่แมงกะพรุนหอมที่พบมากและ นิยมนำมาแปรรูปเพื่อส่งออกและจำหน่ายในประเทศคือแมงกะพรุนหนังและแมงกะพรุนลอดช่อง พบมากบริเวณอ่าวไทยและอันดามัน

งานประชุมเครือข่ายวิชาการสุขภาพ ครั้งที่ 7 (7th Health Challenge Thailand 2019)

การจัดประชุมเครือข่ายนักเรียนไทยและนักวิชาการในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นความท้าทายทางสุขภาพ การติดตามงานวิจัยและความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับความสำคัญของอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งเป็น New engine ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ความเป็นมา

เพื่อเป็นงานประชุมวิชาการของนักเรียนไทยในสหราชอาณาจักรที่ศึกษาและมีความสนใจประเด็นด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ริเริ่มจัดประชุมครั้งแรกปี พ.ศ. 2554 โดยมีจุดประสงค์หลัก 3 ข้อด้วยกัน คือ
1.ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายนักเรียนไทยที่กำลังศึกษาด้านสุขภาพวิทยาศาสตร์สุขภาพสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบวิชาชีพสุขภาพในสหราชอาณาจักร
2.ส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นความท้าทายทางสุขภาพ
3.เผยแพร่ผลงานด้านวิชาการของเครือข่ายที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน

กิจกรรมและผลจากการประชุมครั้งที่ 7

การประชุมวิชาการเครือข่าวิทยาศาสตร์สุขภาพ ครั้งที่ 7 จัดขึ้นในธีม Towards Health Innovations : Application of Basic and Translation Research ซึ่งมีรูปแบบการดำเนินการเป็น 2 ส่วนหลักคือ
1.การบรรยายพิเศษจากวิทยากร 2 ท่าน
2.การนำเสนอผลงานทางวิชาการและแลกเปลี่ยนความรู้ของผู้เข้าร่วมประชุม

 ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2019/20191119-newsletter-brussels-no7-jul62.pdf

ไม้ประดับทนน้ำท่วม

พรรณไม้ที่ปลูกในบ้านทนน้ำท่วมหรือไม่

การกล่าวว่า พรรณไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งทนน้ำท่วมหรือไม่ ทนได้มากเพียงไร หรือทนได้มากกว่าหรือน้อยกว่าชนิดอื่นๆ นั้น จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่มีเกณฑ์เปรียบเทียบเดียวกัน อาทิเช่น ระดับน้ำท่วมสูง จำนวนวันที่น้ำท่วม เป็นน้ำหลากหรือไหลผ่านหรือน้ำนิ่งที่สะอาดหรือน้ำเน่าเสีย และพรรณไม้ที่นำมาเปรียบเทียบควรมีอายุ หรือความสูง หรือความแข็งแรงพอๆ กัน ถ้าจะเปรียบเทียบง่ายๆ ก็ดูจากบริเวณเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ว่าชนิดไหนตาย ชนิดไหนรอด แต่ก็มีอีกหลายชนิดที่ดูเหมือนว่า มีความทนทานต่อน้ำท่วม น้ำท่วมนานเท่าไร สูงเท่าไร ก็ทนได้ มีใบเขียวชอุ่มแน่นทรงพุ่ม แต่พอน้ำลด ดินโคนต้นเริ่มแห้ง ใบก็เริ่มเหี่ยว ร่วง และตายในที่สุด

โดยปรกติในที่ราบลุ่มของภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ในภาคกลาง ได้แก่จังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี สระบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานีและกรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา เมื่อถึงฤดูฝนจะมีน้ำหลากจากภาคเหนือและท่วมขังอยู่เป็นเวลา 2-3 เดือน ประชาชนจึงปลูกบ้านที่มีเสาสูง 1.5-2.0 เมตร และยกพื้นบ้านให้สูงกว่าระดับน้ำ ส่วนพรรณไม้ที่ขึ้นอยู่ในบริเวณนี้ก็ปรับตัวจนสามารถทนทานต่อน้ำท่วมได้ ทั้งนี้เนื่องจากภาวะน้ำท่วมที่เกิดจากน้ำหลากในฤดูฝน เป็นน้ำที่ไหลมาจากภูเขาในภาคเหนือ เป็นน้ำสะอาดไม่เน่าเสีย ในน้ำยังมีออกซิเจนมากเพียงพอให้รากต้นไม้ได้แลกเปลี่ยนกาซและดูดน้ำขึ้นไปใช้ ในเวลาเดียวกัน น้ำหลากเหล่านี้ได้พัดพาเอาตะกอนดินที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์จากภูเขาลงมาด้วย สังเกตได้ว่าน้ำมีสีน้ำตาลอ่อนหรือเหลืองนวลที่มีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ดังนั้นน้ำหลากจึงช่วยให้พืชพื้นเมืองตามริมแม่น้ำเจ้าพระยาเจริญเติบโตได้ดี

ทำไมพรรณไม้แต่ละชนิดจึงทนน้ำท่วมขังได้แตกต่างกัน

ถ้าตอบแบบง่ายๆ และถูกต้องก็คือ เป็นธรรมชาติของพรรณไม้ หากขยายความก็คือ ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของพรรณไม้ เห็นได้จากถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ (Habitat & distribution) พรรณไม้ที่ขึ้นอยู่ริมแหล่งน้ำ ก็จะชอบน้ำและทนทานต่อน้ำท่วม หากกล่าวถึงเฉพาะพรรณไม้พุ่มหรือไม้ต้นที่มีเนื้อไม้แข็ง สามารถสังเกตได้จากลักษณะทางสัณฐานวิทยาของเปลือกลำต้นและเปลือกรากที่มีความแข็ง หรือหนาเหนียว และอาจพบช่องแลกเปลี่ยนก๊าซตามเปลือกที่เป็นรอยขีดนูนหรือเป็นตุ่มนูนสีขาวหรือเทา ดังเช่น ต้นมะกอกน้ำ มะดัน อโศกน้ำ ยางนา ละมุด มะกรูด ซึ่งมีความทนทานต่อน้ำท่วมได้ดี แต่ในขณะที่เปลือกลำต้นหรือเปลือกรากมีลักษณะค่อนข้างอ่อน หนาและค่อนข้างฉ่ำน้ำ เช่น จำปี จำปา มะกอก มะกอกฝรั่ง พญาสัตบรรณหรือตีนเป็ด ชมพูพรรณทิพย์ จะไม่ทนทานต่อน้ำท่วม

ทำไมพรรณไม้ถึงตายเมื่อน้ำท่วม

ตามธรรมชาติแล้วพรรณไม้ประดับทุกชนิดต้องการน้ำที่จะนำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง เพื่อสร้างอาหาร เพื่อการเจริญเติบโต แต่มีความต้องการในปริมาณที่เหมาะสมไม่เท่ากัน โดยดูดซับเข้ามาทางรากขนอ่อนที่อยู่ส่วนปลายของราก รากขนอ่อนนี้มีผนังบางๆ หากมีน้ำท่วม น้ำจะเข้าไปแทนที่ฟองอากาศที่มีอยู่ในดิน ทำให้รากแลกเปลี่ยนก๊าซไม่ได้ เซลล์จะตายหรือเน่าเสีย ทำให้รากใหญ่ดูดน้ำขึ้นไปใช้ไม่ได้ ใบก็จะขาดน้ำ ทำการสังเคราะห์แสงไม่ได้ ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เหี่ยวแห้งและร่วง ตายในเวลาต่อมา ซึ่งหลายคนสงสัยว่า ทำไมใบไม้ขาดน้ำ ทั้งๆ ที่ต้นแช่น้ำอยู่

พรรณไม้ประดับที่ทนน้ำท่วม

พรรณไม้ที่ทนน้ำท่วมส่วนใหญ่ขึ้นอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง หรือขึ้นอยู่ริมแหล่งน้ำที่เป็นแม่น้ำ ลำธาร น้ำตก หนองบึง หรือพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นพรรณไม้พื้นเมืองดั้งเดิมของไทย อาทิเช่น พรรณไม้ในวงศ์ยาง (Family Dipterocarpaceae) ได้แก่ ยางนา ตะเคียนทอง ตะเคียนหิน ตะเคียนทราย สยาขาว กระบาก จันทน์กะพ้อ พะยอม พรรณไม้ในวงศ์มะเกลือ (Family Ebenaceae) โดยเฉพาะในสกุลมะพลับ (Genus Diospyros) ได้แก่ มะพลับ ไม้ดำ ดำดง สั่งทำ ตะโกพนม ตะโกนา ตะโกสวน จันดำ จันอิน มะเกลือ พญารากดำ พรรณไม้ในวงศ์อื่นๆ ได้แก่ โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ โกงกางหัวสุม โกงกางหูช้าง  กระโดน กระทุ่มน้ำ กระทุ่มนา กระเบา กรวยน้ำ กะพ้อแดง กะพ้อหนาม กาจะ การเวกน้ำ เกด กุ่มน้ำ ข่อย ขะเจาะน้ำ ขี้เหล็กบ้าน คัดเค้าเครือ คล้า คลุ้ม เคี่ยม แคนา ไคร้ย้อย จิกน้ำ จิกสวน ชมพู่น้ำ ชำมะเลียงบ้าน ตะแบกนา ตีนเป็ดน้ำ ตีนเป็ดทราย เตยทะเล เตยน้ำ เตยพรุ  เตยหอม เตยหนู เต่าร้าง ทองกวาว ไทร โพธิ์ นาวน้ำ นนทรี นมแมว ประดู่ป่า ประดู่บ้าน ไผ่สีสุก ไผ่เลี้ยง  ไผ่ป่า ฝรั่ง พิกุล พุดทุ่ง  พุดภูเก็ต พุดสี  พุทรา โพทะเล มะกรูด โมกลา มะพร้าว มะขาม มะขามเทศ  มะเดื่อกวาง มะตูม ยอบ้าน ละมุด ลำพู สะแก สะตือ เสม็ด สารภี หูกวาง หมากสง อินทนิล อโศกป่าพุ (พุเมืองกาญจนบุรี)

นอกจากนี้ยังมีพรรณไม้จากต่างประเทศอีกหลายชนิดที่นำเข้ามาปลูกกัน แล้วมีความทนทานต่อภาวะน้ำท่วมได้ อาทิเช่น อโศกอินเดีย ก้ามปู หูกระจง กระดังงาจีน

สำหรับพรรณไม้ประดับบางชนิด มีความทนทานเป็นเลิศ ถึงแม้ว่าจะมีน้ำท่วมสูงมิดยอดเป็นเวลานาน (ทนได้ถึง 30 วัน) ได้แก่ ปาล์มแวกซ์ (Copernicia prunifera) ต้นตาลโตนด (Borassus flabellifer) จาก สาคู อโศกน้ำ มะกอกน้ำ มะดัน หลังจากน้ำลดลงแล้ว เจริญเติบโตต่อได้เลย

อย่างไรก็ตาม การปลูกพรรณไม้ทนน้ำท่วมเหล่านี้ประดับบ้าน ก็ควรมีการตัดแต่งทรงพุ่มให้สวยงาม มีการกำจัดวัชพืช โรคและแมลง มีการพรวนโคนต้นให้สวยงาม พร้อมทั้งมีการใส่ปุ๋ยเร่งการเจริญเติบโตเป็นช่วงๆ พรรณไม้เหล่านี้ก็จะเป็นไม้ประดับที่สวยงาม พร้อมที่จะสู้ทนน้ำท่วมให้เจ้าของบ้านอย่างท่านได้สบายใจ

(อ้างอิง : ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น  ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.))

แนวโน้มผู้บริโภคทั่วโลก ปี 2030 (ตอนจบ)

ตอนที่แล้วได้นำเสนอ 3 ปัจจัยขับเคลื่อนพฤติกรรมผู้บริโภคในปี 2030 จากรายงานของ Gabrielle Lieberman บริษัท Mintel ตอนนี้ขอเสนออีก 4 ปัจจัย เพื่อทำความรู้จักและเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภค ได้แก่ สิทธิ ตัวบุคคล คุณค่า และ ประสบการณ์ เพื่อการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

สิทธิ

Cancel culture หรือ Call-out culture (การคว่ำบาตรหรือการเลิกสนับสนุนคนที่มีชื่อเสียงโดยกลุ่มคนจำนวนมาก เนื่องจากการกระทำที่น่าสงสัยหรือการแสดงความเห็นที่ไม่เหมาะสมลงบนโซเชียลมีเดีย กำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าตนเองมีอำนาจมากขึ้น นอกจากนี้ แนวคิดที่คำนึงว่าคนเป็นศูนย์กลาง ได้ให้อำนาจแก่คนในการควบคุมวิธีการรวบรวมและการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลของตน โดยคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า ผู้บริโภคจะเบื่อหน่ายกับ Cancel culture หรือ Call-out culture ที่ไม่มีวันจบสิ้น ผลที่ตามมาคือบริษัทและแบรนด์ต่างๆ จะมีพลังเสียงอีกครั้ง นอกจากนี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจากแพลตฟอร์มสู่ตัวบุคคล การควบคุมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมและการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจะอยู่ในมือของผู้บริโภค

สิ่งที่คาดหวังในปี 2030

  • การแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคลจะอยู่ใต้การควบคุมของผู้บริโภค
  • ผู้บริโภคต้องการเสรีภาพในตัวตน วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และระบบนิเวศ
  • เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพและความสำเร็จในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030

  • แบรนด์จำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะส่งมอบสัมผัสที่เป็นส่วนตัวแก่ผู้บริโภคมากขึ้น
  • ผู้บริโภคยินดีที่จะให้เข้าถึงข้อมูลของตนเองกับการทำธุรกรรมที่มีความคุ้มค่า ดังนั้นแบรนด์ต้องแสดงให้ผู้บริโภคเห็นถึงความคุ้มค่าดังกล่าว

ตัวตนบุคคลหรือเอกลักษณ์

ผู้บริโภคกำลังเคลื่อนห่างจากคำจำกัดความที่เข้มงวดของเพศ เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ อีกทั้ง ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนว่าตนเองสูญเสียความเป็นตัวตน ความรู้สึกโดดเดี่ยวถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชนมากขึ้น

สิ่งที่คาดหวังในปี 2030

  • ชื่อเรียกเพศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจะเกิดขึ้น
  • สถานที่ทำงานจะมีการปรับให้เข้ากับสภาวะ non-binary คือ การไม่ได้จำกัดแค่เพศชายหรือหญิง
  • การใช้หุ่นยนต์อย่างกว้างขวางเพื่อลดความวิตกกังวลและกระตุ้นการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • ผู้คนเลือกอยู่อาศัยด้วยกันจากความคิดและงานอดิเรกที่ร่วมกัน

กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030

Gen Z เป็นผู้นำในการกำหนดบรรทัดฐานตัวบุคคล แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในปี 2030 จะต้องเปิดกว้างเพื่อตอบสนองความหลากหลาย การค้นหาวิธีแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีเพื่อช่วยต่อสู้กับความเหงา นอกจากนี้ ผู้บริโภคมองว่าการซื้อสินค้าและบริการของตนเป็นการแสดงออกถึงตัวตนของตนเอง ดังนั้นแบรนด์ที่จะประสบความสำเร็จไม่เพียงแต่พยายามที่จะปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค แต่ต้องหาวิธีที่จะรวมสินค้าและบริการของตนเข้ากับกระบวนการสำรวจตัวตนของผู้บริโภค

คุณค่า

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในปัญหาของสังคมสมัยใหม่ ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการบริโภคของตัวเองและมองหาการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ที่นำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า การซื้อสินค้าที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้บริโภคกำลังค้นหาสินค้ามือสองที่ราคาไม่แพงเพิ่มมากขึ้นซึ่งนำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจมือสอง ในขณะที่ผู้บริโภคกำลังมองหาวิธีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ก็ยังต้องการบางสิ่งที่ไม่เหมือนใครสำหรับตนเอง คาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญการบริโภคที่ช้าลง โดยเน้นความทนทาน การป้องกัน และการใช้งาน

สิ่งที่คาดหวังในปี 2030

  • ผู้บริโภคยอมรับคุณค่าความคิดสร้างสรรค์ งานฝีมือ และผลิตภัณฑ์ของแท้ คุณภาพ และความทนทาน
  • การใช้จ่ายของผู้บริโภคมุ่งเน้นไปที่ประโยชน์สาธารณะมากกว่าการผูกขาดส่วนตัว
  • Slow life กลายเป็นสถานะในอุดมคติ
  • เศรษฐกิจการแบ่งปันบังคับให้นักวางผังเมืองมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้แนวคิดของการแบ่งปัน

กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030

  • ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับความคงทนของผลิตภัณฑ์ แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจะเป็นแบรนด์ที่ยึดมั่นในจริยธรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในการออกแบบผลิตภัณฑ์
  • ในขณะที่ผู้บริโภคกำลังมองหาวิธีการซื้อสินค้าและบริการอย่างมีสติ แต่ก็ยังต้องการสิ่งที่เป็นเฉพาะสำหรับตนเอง แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในปี 2030 จะก้าวไปไกลกว่าการปรับเรื่องการให้บริการส่วนบุคคล หรือ Personalisation สู่ กรอบความคิดหรือทัศนคติของบริการที่แต่ละคนระบุว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง หรือ Hyper-individualisation
  • เศรษฐกิจการแบ่งปันจะดำเนินต่อไปเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้บริโภคเพื่อความยั่งยืนที่ดีขึ้นของเมือง

ประสบการณ์

เทคโนโลยีกำลังผลักดันประสบการณ์จากการพักผ่อนไปจนสู่การค้าปลีก ประสบการณ์โดยรวมจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์ที่บ้านจะเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยเดี่ยวและครัวเรือนหลากหลายรุ่นมากขึ้น ในเวลาเดียวกันผู้คนจะเริ่มนิยามสิ่งที่พวกเขาต้องการในฐานะบุคคล ซึ่งจะรวมถึง Nothing Experience เมื่อผู้คนตัดสินใจอย่างรอบคอบมากขึ้นเกี่ยวกับเวลาของตนเอง นอกจากนี้ การศึกษาเป็นประสบการณ์มากกว่าความจำเป็น

สิ่งที่คาดหวังในปี 2030

  • เส้นทางการศึกษาแบบดั้งเดิมมีความสำคัญ และการสำรวจเส้นทางใหม่ในการศึกษาและอาชีพก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
  • การเน้นย้ำถึงผลประโยชน์ทางกายภาพและทางอารมณ์จาก Nothing experience โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อลำดับความสำคัญของงานและชีวิต

กลยุทธ์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2030

  • การกระตุ้นผู้บริโภคให้ละทิ้งความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ผ่านประสบการณ์ที่สนุกสนาน โดยที่ความสนุกสนานจะทำให้แบรนด์สามารถสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับลูกค้าของตนและทำให้ลูกค้าเหล่านั้นรู้สึกถึงอิสรภาพใหม่
  • ในโลกแห่งความตึงเครียด ผู้คนจะค้นหาแบรนด์และวิธีการแก้ปัญหาที่ให้การสนับสนุนความต้องการที่แตกต่างหลากหลาย โอกาสมีอยู่สำหรับแบรนด์ที่ขยายข้อเสนอของตนเพื่อเสนอทางเลือกที่มากขึ้นแก่ผู้บริโภค
  • Nothing Experience เป็นวิธีผ่อนคลายผ่อนคลาย ผู้คนจะมองหาผลิตภัณฑ์และบริการและสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้พวกเขาแยกตัวออกมาจากโลกวุ่นวาย

อ้างอิง

Lieberman, G. (2019). 2030 Global Consumer Trends : Seven core drivers of consumer behaviour that will shape global markets over the next 10 years [presentation].

ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2562 โดย IMD (2019 IMD World Competitiveness Ranking)

ในปี 2562 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ 63 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ใน IMD World Competitiveness Yearbook 2019 โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้

ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2561-2562 โดย IMD

ประเทศ สิงคโปร์ ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไทย
ปี 2562 2561 2562 2561 2562 2561 2562 2561 2562 2561 2562 2561
อันดับรวม 1 3 2 2 3 1 4 5 5 7 25 30
1. สมรรถนะทางเศรษฐกิจ
5 7 10 9 1 1 23 25 7 3 8 10
1.1 เศรษฐกิจในประเทศ 8 7 18 20 2 2 6 8 22 22 30 34
1.2 การค้าระหว่างประเทศ 1 2 4 3 16 14 29 34 2 1 6 6
1.3 การลงทุนระหว่างประเทศ 5 7 4 3 1 1 18 33 16 10 21 37
1.4 การจ้างงาน 7 8 17 12 6 7 29 27 9 3 3 4
1.5 ระดับราคา 58 51 62 61 48 41 57 53 18 25 29 23
2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ
3 3 1 1 23 26 4 2 2 4 20 22
2.1 ฐานะการคลัง 7 3 1 1 50 51 5 4 3 2 16 18
2.2 นโยบายภาษี 12 13 2 2 13 22 8 9 3 3 6 6
2.3 กรอบการบริหารด้านสถาบัน 2 3 8 9 22 23 1 1 5 10 34 35
2.4 กฎหมายด้านธุรกิจ 2 2 1 1 16 14 12 18 5 11 32 36
2.5 กรอบการบริหารด้านสังคม 9 17 20 23 37 34 8 5 18 29 48 45
3. ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ
5 11 2 1 11 12 9 9 1 2 27 25
3.1 ผลิตภาพและประสิทธิภาพ 9 15 8 10 5 7 10 11 2 2 43 40
3.2 ตลาดแรงงาน 8 10 6 8 26 27 15 23 2 2 9 6
3.3 การเงิน 6 7 1 1 2 4 3 2 16 22 19 24
3.4 การบริหารจัดการ 16 18 3 7 18 11 17 13 1 2 27 24
3.5 ทัศนคติและค่านิยม 4 9 3 7 30 27 21 15 2 1 26 17
4. โครงสร้างพื้นฐาน 6 8 22 23 1 1 2 2 33 36 45 48
4.1 สาธารณูปโภคพื้นฐาน 11 7 3 6 12 12 8 10 2 9 27 31
4.2 โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี 1 2 18 19 6 3 8 9 24 27 38 36
4.3 โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ 14 17 23 24 1 1 4 3 39 37 38 42
4.4 สุขภาพและสิ่งแวดล้อม 23 25 20 23 7 8 1 2 35 46 55 58
4.5 การศึกษา 2 2 16 18 21 21 9 8 41 44 56 56

สิงคโปร์ได้อันดับ 1 ดีขึ้นกว่าปีก่อน 2 อันดับ รองลงมาคือ ฮ่องกง ยังคงครองอันดับเดิมเหมือนปีที่แล้ว ถัดมาเป็นสหรัฐอเมริกา ซึ่งตกลงมา 2 อันดับจากปีที่แล้วเคยเป็นอันดับ 1  สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ  อันดับ 5 คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ซึ่งขึ้นมา 2 อันดับจากปีที่แล้ว ส่วนไทยได้อันดับ 25 ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 5 อันดับ

สิงคโปร์ได้อันดับ 1 ในปีนี้เลื่อนอันดับขึ้นกว่าปีก่อน 2 อันดับ เกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นถึง 3 ปัจจัยจากทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับจากอันดับ 7 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 5 ในปีนี้  2. โดยเฉพาะปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 6 อันดับ ในปีนี้ได้อันดับ 5 จากอันดับ 11 ในปีที่แล้ว  3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ มีอันดับ 6 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัยคือ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ยังคงรักษาอันดับ 3 ไว้เหมือนปีที่แล้ว ปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจคือ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศ ปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ และปัจจัยย่อยการจ้างงานเป็นอันดับ 1, 5 และ 7 ในปีนี้ จากปีที่แล้วได้อันดับ 2, 7 และ 8 ตามลำดับ ในขณะที่ปัจจัยย่อยทั้งหมด (5 ปัจจัยย่อย) มีการเลื่อนอันดับขึ้นทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจมีอันดับเลื่อนขึ้นมาก โดยเฉพาะปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ และปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยมมีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 6 และ 5 อันดับจากอันดับ 15 และ 9 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 9 และ 4 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ และปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน โดยปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีเลื่อนอันดับขึ้นจากอันดับ 2 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 1 ในปีนี้  ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เลื่อนอันดับขึ้นจากอันดับ 17 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 14 ในปีนี้ และปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลื่อนอันดับขึ้นเป็นอันดับ 23 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 25   

ฮ่องกงยังคงครองอันดับ 2 เหมือนปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการยังคงรักษาอันดับ 1 ไว้ได้ของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ และปีนี้ได้อันดับ 2 ถึงแม้จะเลื่อนอันดับลง 1 อันดับจากปีที่แล้วของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ส่วนอีก 2 ปัจจัยได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนลง 1 อันดับเป็นอันดับ 10 ในปีนี้ และปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับดีปานกลางทั้งปีนี้และปีที่แล้วโดยได้อันดับ 23 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 22 การยังคงรักษาอันดับไว้เหมือนเดิมได้ของปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจที่อันดับ 1, 2 และ 1 ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐยังคงรักษาอันดับ 1 ไว้ได้ ถึงแม้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับดีปานกลางทั้งปีนี้และปีที่แล้ว แต่มี 1 ปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีมากคือ สาธารณูปโภคพื้นฐานมีอันดับ 6 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 3

ถึงแม้สหรัฐอเมริกามีอันดับรวมตกลงมาจากอันดับ 1 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 3 ในปีนี้ แต่ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจและปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานยังคงครองอันดับ 1 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ปัจจัยย่อยที่ส่งผลให้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจยังคงครองอันดับ 1 ไว้ได้คือ ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศที่ยังครองอันดับ 2 และ 1 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ตามลำดับ ส่วนปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานยังคงครองอันดับ 1 ไว้ได้คือ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ และปัจจัยย่อยการศึกษาที่ยังคงครองอันดับ 12, 1 และ 21 ไว้เหมือนเดิมกับปีที่แล้ว ตามลำดับ

สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องจากปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับจากอันดับ 25 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 23 ในปีนี้ ในขณะที่ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจยังคงรักษาอันดับ 2 และ 9 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ตามลำดับ และปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเลื่อนอันดับลง 2 อันดับ จากอันดับ 2 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 4 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศและปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศมีผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ โดยปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศเลื่อนอันดับขึ้น 5 อันดับ เป็นอันดับ 29 ในปีนี้ และปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศเลื่อนอันดับขึ้นถึง 15 อันดับ เป็นอันดับ 18 ในปีนี้

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้อันดับ 5 ในปีนี้ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 2 อันดับ เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นถึง 3 ปัจจัยได้แก่ 1. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับจากอันดับ 4 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 2 ในปีนี้  2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับจากอันดับ 2 ในปีที่แล้วส่วนปีนี้ได้อันดับ 1  3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเลื่อนอันดับขึ้น 3 อันดับจากอันดับ 36 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 33 ในปีนี้ ส่วนที่เหลืออีก 1 ปัจจัยคือ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเลื่อนอันดับลง 4 อันดับจากอันดับ 3 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐคือ ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน ปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจ และปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสังคมที่เลื่อนอันดับขึ้น 5, 6 และถึง 11 อันดับจากอันดับ 10, 11 และ 29 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 5, 5 และ 18 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยการเงินและปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ 6 และ 1 อันดับเป็นอันดับ 16 และ 1 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับขึ้น ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเลื่อนอันดับขึ้นได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐานเลื่อนอันดับขึ้น 7 อันดับจากอันดับ 9 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 2 ในปีนี้  2. ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลื่อนอันดับขึ้นถึง 11 อันดับจากอันดับ 46 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 35 ในปีนี้

คงเป็นข่าวดีมากของไทยที่เลื่อนอันดับรวมขึ้นถึง 5 อันดับจากอันดับ 30 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 25 ในปีนี้ เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นถึง 3 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ และปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน จากอันดับ 10, 22 และ 48 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 8, 20 และ 45 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะอีก 1 ปัจจัยคือ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับลง 2 อันดับจากอันดับ 25 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 27 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ส่งผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจคือ ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศที่เลื่อนอันดับขึ้น 4 และถึง 16 อันดับจากอันดับ 34 และ 37 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 30 และ 21 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศเป็นปัจจัยย่อยที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุดในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมด ส่วนปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐได้แก่ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 2, 1 และ 4 อันดับจากอันดับ 18, 35 และ 36 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 16, 34 และ 32 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ และปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมทำให้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับเลื่อนขึ้น โดยปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐานและปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับจากอันดับ 31 และ 42 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 27 และ 38 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลื่อนอันดับขึ้น 3 อันดับจากอันดับ 58 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 55 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงอย่างมากถึง 9 อันดับจากอันดับ 17 ในปีที่แล้วเป็นอันดับ 26 ในปีนี้ของปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยม ทำให้เป็นปัจจัยย่อยที่มีการเลื่อนอันดับลงมากที่สุดในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมด ส่งผลอย่างมากต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีมากในปีนี้ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศได้อันดับ 6 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว อยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ  2. ปัจจัยย่อยการจ้างงานได้อันดับ 3 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 4 อยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ  3. ปัจจัยย่อยนโยบายภาษียังครองอันดับ 6 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว อยู่ภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ  4. ปัจจัยย่อยตลาดแรงงานมีอันดับ 9 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 6 อยู่ภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับไม่ค่อยดีในปีนี้ต้องได้รับการพัฒนาอย่างมากพบเพียงในปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้อันดับ 55 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 58  2. ปัจจัยย่อยการศึกษายังคงครองอันดับ 56 ไว้เหมือนปีที่แล้ว

ถึงแม้ไทยจะเลื่อนอันดับขึ้นในปีนี้ถึง 5 อันดับ เป็นอันดับ 25 ในปีนี้ แต่เป็นอันดับระดับดีปานกลาง ทำให้ไทยต้องพัฒนาในอีกหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษาที่ได้อันดับต่ำมากในปีนี้และปีที่แล้วดังที่กล่าวมาแล้ว เพื่อในปีหน้าไทยจะเลื่อนอันดับขึ้นมาก

รายงานข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 6 เดือนมิถุนายน 2562

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 6 เดือน มิถุนายน 2562

โครงการแบตเตอรี่ 2030 + : แผนการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ระยะยาวของสหภาพยุโรป

แบตเตอรี่มีศักยภาพในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคการขนส่ง และสามารถช่วยให้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยโครงการแบตเตอรี่ 2030 + ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มของคณะกรรมาธิการยุโรปที่จะพัฒนาแผนการวิจัยขนาดใหญ่และระยะยาวด้านแบตเตอรี่ จะส่งผลให้เกิดการรวบรวมนักวิจัยชั้นนำในยุโรปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาครั้งสำคัญในการนำไปสู่เทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูง ปัจจุบันทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงแหล่งพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะต้องอาศัยเทคโนโลยีแบตเตอรี่และการกักเก็บพลังงานในการขับเคลื่อน สหภาพยุโรปจึงจำเป็นต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านแบตเตอรี่เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในการผลิตแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูง ชาร์จไฟได้เร็ว มีความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการแบตเตอรี่ 2030 + ยังเน้นการวิจัยและศึกษาหาวิธีทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ที่เอื้อให้มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ ข้อมูลขนาดใหญ่ ระบบเซ็นเซอร์ และการคำนวณเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านไฟฟ้าเคมี และศึกษากระบวนการทางเคมีของแบตเตอรี่ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมพลังงาน รวมไปถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใกล้เคียง   

ข้อคิดเห็นจากคณะกรรมาธิการยุโรปและผู้เชี่ยวชาญ

กรรมาธิการยุโรป ด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล กล่าวว่ายุโรปจะเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้คาร์บอนไดออกไซด์ จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีศักยภาพที่เอื้อต่อการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและการกักเก็บพลังงานหมุนเวียนในระดับกว้าง สหภาพยุโรปต้องระดมความเป็นเลิศทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเพื่อเสริมสร้างเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและผลิตเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีมูลค่าสูงในยุโรป กรรมาธิการยุโรป ด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม กล่าวว่า แบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรวบรวมความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์และสร้างห่วงโซ่คุณค่าของแบตเตอรี่ เพื่อพัฒนายุโรปให้เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่แห่งอนาคต ซึ่งจะถือเป็นตัวกำหนดลำดับของความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก และเสริมสร้างความเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ผู้ประสานงานโครงการแบตเตอรี่ 2030 + กล่าวว่า ในอนาคตแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง น่าเชื่อถือ ปลอดภัย ยั่งยืน และราคาถูกเป็นสิ่งที่จำเป็น และโครงการแบตเตอรี่ 2030 + จะมุ่งเน้นการพัฒนาและออกแบบแบตเตอรี่ประเภทนี้ โดยเราจะสร้างแพลตฟอร์มขึ้นมาโดยการใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง และปัญญาประดิษฐ์เพื่อเร่งการพัฒนาวัสดุใหม่ๆ ในการผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าว โดยพิจารณาถึงข้อกำหนดด้านความยั่งยืนอยู่เสมอ   

สหภาพยุโรปและโครงการด้านแบตเตอรี่

ในปี ค.ศ.2017 คณะกรรมาธิการยุโรปได้จัดตั้งภาคีแบตเตอรี่แห่งยุโรป ซึ่งรวบรวมนักกำหนดนโยบายตัวแทนจากภาคการศึกษา และตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรม เพื่อทำงานร่วมกันในการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ๆ และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในยุโรป คณะทำงานของโครงการแบตเตอรี่ 2030 + ประกอบด้วย : 5 มหาวิทยาลัย (Uppsala University, Politecnico di Torino, Technical University of Denmark, Vrije Universiteit Brussel, University of Munster) 8 ศูนย์วิจัย (French Alternative Energies and Atomic Energy Commission, Karlsruhe Institute of Technology, French National Centre for Scientific Research, Forschungszentrum Julich, Fraunhofer Gesellschaf, Fundacion Cidetec, etc) 3 องค์กรวิจัยขับเคลื่อนโดยภาคอุตสาหกรรม (Energy Materials Industrial Research Initiative, European Association for Storage of Energy, Recharge Association)

กฎระเบียบว่าด้วยความปลอดภัยของการใช้เมล็ดเจียใน Novel Food

ธัญพืชที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพ คือ Chia Seed หรือ เมล็ดเจีย โดยจัดเป็นพืชในกลุ่มเครื่องเทศตระกูลเดียวกับสะระแหน่และกะเพรา มีถิ่นกำเนิดทางตอนกลางไปจนถึงตอนใต้ของประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา เป็นพืชที่มีอายุมากกว่า 3,500 ปีก่อนคริสตกาล เมล็ดเจีย ได้รับการประชาสัมพันธ์ว่าเป็น super food ที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เช่น กรดไขมันโอเมก้า3 สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุ เช่น โบรอนที่ช่วยดูดซึมแคลเซียม โดยคุณสมบัติเด่นคือ มีไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มท้อง จึงมักนำมาเป็นอาหารเพื่อช่วยลดน้ำหนัก เมล็ดเจียเมื่อนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นสิบเท่า ลักษณะคล้ายเม็ดแมงลักแต่คุณค่าทางอาหารสูงกว่ามาก ส่วนใหญ่านำไปผสมในอาหารรับประทาน เช่น โยเกิร์ต นมสด น้ำเต้าหู้ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ประโยชน์ของเมล็ดเจียในการเสริมสร้างสุขภาพ ดังนี้ ช่วยให้หัวใจแข็งแรง ช่วยให้บาดแผลหายเร็ว ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน บำรุงสมองและความจำ ป้องกันโรคกระดูกพรุน กระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายดีขึ้น และช่วยระบบย่อยให้ทำงานได้ดีขึ้น เป็นต้น   

อาหารใหม่ หรือ Novel food

ถึงแม้เมล็ดเจีย จะเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ แต่การนำเมล็ดเจียไปแปรรูปในอาหารอาจจะก่อให้เกิดปัญหาทางด้านความปลอดภัยทางอาหารได้ คณะกรรมาธิการยุโรปจึงได้ยื่นคำร้องให้คณะกรรมการด้านโภชนาการ อาหารใหม่ และสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร ทำการศึกษาและพิจารณาพร้อมให้ความเห็นในประเด็นการใช้เมล็ดเจีย ในรูปแบบผงเพื่อใช้เป็น Novel Food หรือ อาหารใหม่ ตามกฎระเบียบ EU Novel Food คืออะไร หรืออาหารใหม่ หมายถึง

1. อาหารใหม่ หมายถึง อาหารหรือส่วนประกอบของอาหาร ที่ปรากฏหลักฐานทางวิชาการ ว่ามีประวัติการบริโภคเป็นอาหารน้อยกว่า 15 ปี

2. อาหารใหม่ หมายถึง อาหารหรือส่วนประกอบของอาหาร ที่ได้จากระบวนการผลิตที่ไม่ใช่กระบวนการผลิตโดยทั่วไปของอาหารนั้น ๆ ที่ทำให้ส่วนประกอบ โครงสร้างของอาหาร รูปแบบของอาหาร นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลต่อคุณค่าทางโภชนาการ กระบวนการทางเคมีภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต (Metabolism)   

การตรวจสอบและประเมินความปลอดภัย

หลังจากได้รับคำร้องทาง NDA ได้ทำการทดสอบผงเมล็ดเจียที่ถูกสกัดไขมันออกไปบางส่วน ซึ่งถูกผลิตด้วยการนำเมล็ดเจียทั้งเมล็ดไปอัดผ่านเกลียว โดยการประเมินความปลอดภัยของอาหารใหม่ชนิดนี้ NDA ได้ดำเนินการตามวิธีการที่กำหนดไว้ในแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานความปลอดภัยทางอาหารแห่งสหภาพยุโรป (EFSA) ว่าด้วยเรื่องการอนุญาตการใช้อาหารใหม่ตามกฎระเบียบ EU โดยอาหารใหม่นี้ ทางผู้ผลิตประชาสัมพันธ์ให้ใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเป็นส่วนผสมในอาหารประเภทอื่น ๆ โดยปริมาณสูงสุดที่แนะนำให้ใช้อยู่ที่ ร้อยละ 0.7 ถึง ร้อยละ 10 ในอาหารที่มีการเติมสารอาหารเพิ่มลงไปเพื่อทำให้อาหารนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มมากขึ้น (fortified food) และกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเป้าหมายของอาหารใหม่ชนิดนี้คือประชาชนทั่วไป

หุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกันสำหรับโรงงานอัจฉริยะ

หุ่นยนต์อุตสาหกรรมสามารถช่วยประหยัดเวลาและงบประมาณ และเพิ่มความสามารถในการผลิตและรับรองความปลอดภัยในโรงงาน อย่างไรก็ตามหุ่นยนต์อุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีข้อจำกัดด้านความสามารถ ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่า ในปัจจุบันเทคโนโลยีหุ่นยนต์ชั้นนำที่มีศักยภาพเต็มรูปแบบกลับไม่ได้ถูกนำไปใช้จริงในโรงงานผลิตในยุโรป ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งโครงการ THOMAS ซึ่งได้รับงบสนับสนุนจากสหภาพยุโรป โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาหุ่นยนต์สองแขนเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตนเอง โดยหุ่นยนต์นี้จะรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้างได้ผ่านกระบวนการใช้เหตุและผล นอกจากนี้ยังสามารถทำงานร่วมกันระหว่างหุ่นยนต์ด้วยกันเอง และทำงานร่วมกับหน่วยการผลิตอื่น ๆ รวมไปถึงมนุษย์ โดยปกติแล้วผู้ผลิตทราบว่าประสิทธิภาพของหุ่นยนต์นั้นมีความแม่นยำสูงและมีความสม่ำเสมอ แต่หุ่นยนต์ส่วนใหญ่มีปัญหาในการจัดการกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ในการผลิต หรือมีการดัดแปลงผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตอยู่แล้ว ผลคือ ประสิทธิภาพในการผลิตของหุ่นยนต์และรูปแบบการผลิตอย่างต่อเนื่องจะลดลง ดั้งนั้นอุปกรณ์การผลิตที่ไม่สามารถรองรับการทำงานที่หลายหลายในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจำเป็นต้องถูกดัดแปลงและพัฒนาให้สามารถปฏิบัติฟังก์ชันใหม่ ๆ ได้   

หุ่นยนต์เคลื่อนที่ที่สามารถทำงานได้หลากหลาย

สำหรับหุ่นยนต์ที่ถูกพัฒนาภายใต้โครงการ THOMAS การเคลื่อนที่และความคล่องตัวถือเป็นคุณลักษณะสำคัญเพราะหุ่นยนต์ที่มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวจะสามารถระบุเส้นทางในการเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเองและสามารถปฏิบัติงานตามชุดคำสั่งที่หลากหลาย โดยหุ่นยนต์จะรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมได้โดยการสื่อสารผ่านเซ็นเซอร์ของตัวหุ่นยนต์เอง และยังมีการรับรู้ร่วมกันผ่านเซ็นเซอร์ของหุ่นยนต์หลาย ๆ ตัวรวมกัน การสื่อสารร่วมกันระหว่างหุ่นยนต์หลายๆ ตัว จะเกิดเป็นเครือข่าย ทำให้หุ่นยนต์แต่ละตัวปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อจัดสรรหน้าที่การทำงานระหว่างหุ่นยนต์ด้วยกันเอง นอกจากนี้ยังสามารถลงโปรแกรมหรือชุดคำสั่งใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ โดยอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะเริ่มมีการใช้หุ่นยนต์ก็คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อสหภาพยุโรป และการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตในอุตสาหกรรมดังกล่าว

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารควอนตัมในยุโรป   

ภูมิหลัง

ในเดือนตุลาคม ค.ศ.2018 คณะกรรมาธิการยุโรปได้เปิดตัวโครงการ “Quantum Technologies Flagship” ซึ่งมีระยะเวลา 10 ปี และงบโครงการจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยจุดประสงค์ในการรวบรวมทรัพยากรตามแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน 5 สาขาดังนี้ 1. Quantum communication 2. Quantum computing 3. Quantum simulation 4. Quantum metrology and sensing 5. วิทยาศาสตร์พื้นฐานของการใช้เทคโนโลยีควอนตัม ในปี ค.ศ. 2021 ถึง 2027 เทคโนโลยีควอนตัมจะถูกสนับสนุนผ่านโครงการ Digital Europe programme ซึ่งจะช่วยพัฒนาและเสริมสร้างความสามารถเชิงกลยุทธ์ของสหภาพยุโรปและคณะกรรมาธิการยุโรปผ่านโครงการ Horizon Europe ในงานวิจัยและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ   

การประกาศลงนามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารควอนตัม

ในงานประชุม Digital Assembly ณ กรุง Bucharest ประเทศโรมาเนีย ตัวแทนจาก 7 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป ได้แก่ เบลเยียม เยอรมนี อิตาลี ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ และสเปน ได้ร่วมกันลงนามประกาศความร่วมมือในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารควอนตัม (Quantum Communication Infrastructure, QCI) ทั่วสหภาพยุโรปภายใน 10 ปีข้างหน้า โดยจะมีการบูรณาการระบบและเทคโนโลยีควอนตัมในโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม ซึ่งประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลักด้วยกัน คือ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับโลก ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายสายไฟเบอร์สำหรับการสื่อสารเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ทางกลยุทธ์ในระดับประเทศและระหว่างประเทศ   

ข้อคิดเห็นจากคณะกรรมาธิการยุโรปและผู้เชี่ยวชาญ

รองประธานคณะกรรมธิการยุโรปด้าน Digital Single Market กล่าวว่าทุก ๆ ภาคส่วนของเศรษฐกิจและสังคมทั่วทั้งยุโรปต่างมีศักยภาพในการได้รับประโยชน์จากการใช้โครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารควอนตัม โดยโครงสร้างพื้นฐานนี้จะช่วยรักษาความปลอดภัยของการทำธุรกรรมทางการเงิน และเอื้อให้มีการส่งผ่านและจัดเก็บข้อมูลที่มีความอ่อนไหวในระยะยาวได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะข้อมูลภาครัฐ ปัจจุบันการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลออนไลน์ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งซึ่งยุโรปจะเพิกเฉยให้ภูมิภาคอื่นพัฒนาล้ำหน้ากว่าไม่ได้ กรรมาธิการยุโรป ด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล กล่าวว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าวิธีที่เราใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลและรักษาความปลอดภัยของระบบดิจิทัลจะประสบความเสี่ยงจากการใช้คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังอย่างคอมพิวเตอร์ควอนตัม ในการเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงและป้องกันเศรษฐกิจและสังคมจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดย 7 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปได้ประกาศลงนามความร่วมมือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารควอนตัมแห่งอนาคต   

ก้าวต่อไป

ประเทศที่ประกาศลงนามในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารควอนตัม ได้มีความตกลงที่จะทำงานร่วมกัน และจะร่วมกับคณะกรรมาธิการยุโรปในการจัดทำแผนงานปฏิบัติการเพื่อศึกษาถึงประโยชน์และความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารควอนตัม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี ค.ศ. 2020 แผนงานปฏิบัติการฉบับนี้จะครอบคลุมทั้งในส่วนการศึกษาเบื้องต้นของโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารควอนตัม ตัวเลือกเทคโนโลยีต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารควอนตัมในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป งบประมาณในการดำเนินโครงการ และกรอบการรับรองความปลอดภัยในการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารควอนตัมโดยเฉพาะในงานที่ประกอบด้วยข้อมูลที่มีความอ่อนไหว นอกจากนี้ในรายงานจะศึกษาถึงโอกาสการต่อยอดพัฒนาระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์และเทคโนโลยีควอนตัมที่มีคุณภาพสูงและสามารถแข่งขันได้

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2019/20191112-newsletter-brussels-no6-june62.pdf