Copyleaks โปรแกรมออนไลน์เพื่อตรวจสอบการคัดลอกผลงานเขียน

Copyleaks โปรแกรมออนไลน์ที่ใช้ตรวจสอบการคัดลอกผลงานเขียน เช่น เรียงความ บทความ หนังสือ วิทยานิพนธ์ Blog หรือ เว็บไซต์ โดยให้บริการทั้งแบบฟรีและแบบเสียค่าใช้จ่าย (อัพเกรด)

Copyleaks คือเครื่องมือออนไลน์เพื่อช่วยตรวจสอบการคัดลอกผลงานเขียน (Plagiarism checker) ของ บริษัท Copyleaks Technologies Ltd. ฟังก์ชั่นหลักคือการเปรียบเทียบเนื้อหาในเอกสารกับแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลออนไลน์เชิงพาณิชย์ คลังเอกสาร วารสารวิชาการ และเนื้อหาที่เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต พร้อมทั้งชี้แหล่งข้อมูลที่ปรากฏซ้ำเป็นแถบสี และแสดงระดับเปอร์เซ็นต์การเทียบซ้ำ (Similarity index)

คุณสมบัติหลักของ Copyleaks กรณีใช้งานแบบฟรี

  • รองรับไฟล์เอกสารที่ต้องการตรวจหลายสกุล ได้แก่ docx, pdf, html, txt และ rtf
  • รองรับการอัพโหลดไฟล์เอกสาร (File) การคัดลอกข้อความในเอกสาร (Free text) การป้อน URL เว็บไซต์ และการอัพโหลด Source code ที่ต้องการตรวจสอบ
  • รองรับภาษาที่หลากหลายมากกว่า 100 ภาษา
  • เปรียบเทียบเนื้อหาในเอกสารกับฐานข้อมูลออนไลน์เชิงพาณิชย์ คลังเอกสาร วารสารวิชาการ และเนื้อหาที่เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต
  • แสดงผลการตรวจสอบด้วยการชี้แหล่งข้อมูลที่ปรากฏซ้ำเป็นแถบสี และแสดงระดับเปอร์เซ็นต์การเทียบซ้ำ (Similarity index) แต่ไม่ครบทุกรายการ หากต้องการดูแหล่งข้อมูลที่ปรากฏซ้ำทั้งหมดจะต้องอัพเกรด
  • ตรวจสอบการคัดลอกผลงานเขียนในไม่กี่วินาที ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดของไฟล์และจำนวนคำที่ต้องการตรวจสอบ
  • ใช้งานง่ายเพียงแค่เลือกไฟล์เอกสาร คัดลอกข้อความ หรือ พิมพ์ URL ที่ต้องตรวจสอบ
  • สามารถสแกนเอกสารได้ จำนวน 10 หน้า หรือ 2,500 คำ ต่อเดือน เท่านั้น
  • ต้องลงทะเบียนและสร้างบัญชีสำหรับการใช้งาน

คุณสมบัติเพิ่มเติมของ Copyleaks กรณีใช้งานแบบเสียค่าใช้จ่าย (อัพเกรด) สำหรับสถาบันการศึกษา

แบบที่ 1 สามารถสแกนเอกสารได้

  • 100 หน้า หรือ 25,000 คำ ราคา $10.99 ต่อเดือน
  • 250 หน้า หรือ 62,500 คำ ราคา $24.99 ต่อเดือน
  • 500 หน้า หรือ 125,000 คำ ราคา $40.99 ต่อเดือน
    • เพิ่ม Full-access open API แชร์ผลการตรวจสอบเป็น pdf หรือ URL รองรับการทำงานร่วมกับ MS word และ Google Doc ในลักษณะโปรแกรมเสริม (Add-on) ช่วยให้สามารถตรวจสอบการคัดลอกเนื้อหาขณะที่สร้างเอกสารได้โดยตรง และดาวน์โหลดผลการตรวจสอบเป็น pdf

กลุ่มที่ 2 สามารถสแกนเอกสารได้

  • 1,000 หน้า หรือ 250,000 คำ ราคา$75.99 ต่อเดือน
  • 2,500 หน้า หรือ 625,000 คำ ราคา $184.99 ต่อเดือน
  • 5,000 หน้า หรือ 1.25 ล้าน คำ ราคา $349.99 ต่อเดือน
    • เพิ่ม การทำงานร่วมกับ Learning Management System (LMS) สร้างบัญชีสถาบันและการจัดการผู้ใช้เพิ่มเติม จัดทำดัชนีเอกสารภายในเพื่อเปรียบเทียบ สแกนเอกสารได้ครั้งละ 100 รายการ และสแกนเอกสารเร็วขึ้น

กลุ่มที่ 3 สามารถสแกนเอกสารได้

  • 10,000 หน้า หรือ 2.5 ล้าน คำ ราคา $679.99 ต่อเดือน
  • 20,000 หน้า หรือ 5 ล้าน คำ ราคา $1,299.99 ต่อเดือน
    • เพิ่ม การสแกนเอกสารรายวันแบบไม่จำกัด สร้างผู้จัดการบัญชีเฉพาะ สร้างดัชนีเอกสารภายในโดยไม่จำกัดเพื่อเปรียบเทียบ รายงานผลการตรวจผ่านทาง API และสร้างทีมเพื่อแบ่งปันเครดิต

ทั้งนี้สำหรับผู้ใช้ที่เป็นบริษัท ธุรกิจหรือหน่วยงานเอกชน ราคาค่าใช้บริการจะถูกกว่าสำหรับสถาบันการศึกษา ดูข้อมูลเพิ่มเติม คลิกที่นี่

ตัวอย่างหน้าจอการทดลองใช้งาน Copyleaks แบบฟรี

ภาพด้านล่างแสดงหน้าจอที่ผู้ใช้สามารถเลือกอัพโหลดไฟล์เอกสาร คัดลอกข้อความในเอกสาร ป้อน URL เว็บไซต์ หรืออัพโหลด Source code ที่ต้องการตรวจสอบ


ภาพจาก https://copyleaks.com

ภาพด้านล่างแสดงหน้าจอตัวอย่างการอัพโหลดไฟล์เอกสาร pdf เพื่อตรวจสอบการคัดลอก


ภาพจาก https://copyleaks.com

ภาพด้านล่างแสดงหน้าจอการแสดงผลการสแกนหรือตรวจสอบการคัดลอก ซึ่งแสดงจำนวนแหล่งข้อมูลและจำนวนคำที่มีความคล้ายคลึงกัน แสดงระดับเปอร์เซ็นต์การเทียบซ้ำ (Similarity index) ซึ่งสามารถเลือกได้ และแสดงคำและประโยคที่มีความคล้ายคลึงกันกับแหล่งข้อมูล รวมถึงแหล่งข้อมูลที่ตรวจสอบ


ภาพจาก https://copyleaks.com


ภาพจาก https://copyleaks.com

ภาพด้านล่างแสดงการเปรียบเทียบการตรวจสอบระหว่างเอกสารต้นฉบับกับแหล่งข้อมูลแต่ละแหล่งที่พบข้อความคล้ายคลึงกัน


ภาพจาก https://copyleaks.com

จากการทดลองใช้งานแบบฟรี (จำนวน 10 หน้า หรือ 2,500 คำ ) พบว่า ใช้งานง่าย รวดเร็ว และผลการตรวจสอบค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดหลักที่พบคือ การไม่สามารถเข้าถึงผลการตรวจสอบที่ชี้แหล่งข้อมูลที่ปรากฏซ้ำเป็นแถบสี และแสดงระดับเปอร์เซ็นต์การเทียบซ้ำ (Similarity index) ครบทุกรายการ หากต้องการดูแหล่งข้อมูลที่ปรากฏซ้ำทั้งหมดจะต้องอัพเกรด อีกทั้งไม่มีข้อมูลรายชื่อของแหล่งข้อมูลที่ตรวจสอบทั้งหมดปรากฎ ดังนั้นการตรวจสอบความแม่นยำยังคงต้องอาศัยข้อมูลและการทดสอบเพิ่มเติม

อ้างอิงข้อมูล

OKRs

OKRs คืออะไร เหมือนหรือแตกต่างจาก KPIs หรือไม่ อย่างไร การนำ OKRs มาประยุกต์ใช้ในองค์กรควรทำอย่างไร องค์กรแบบใดที่สนับสนุนให้เกิด OKRs และ OKRs ในภาวะวิกฤต COVID-19 เป็นอย่างไร

เมื่อวันพุธที่ 29 เมษายน 2563 มีโอกาสเข้าร่วม Virtual seminar เรื่อง Managing OKRs in a Post COVID-19 World จัดโดย Personnel Management Association of Thailand (PMAT) ซึ่งมีวิทยากร คือ ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ คุณพรทิพย์ กองชุน อดีตผู้บริหาร Google ประเทศไทย COO และ Co-founder Jitta จึงขอสรุปเนื้อหาสำคัญจากการสัมมนามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน

OKRs คืออะไร

OKRs ย่อมาจากคำว่า Objectives and Key Results ซึ่งแปลเป็นภาษาไทย คือ เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์สำคัญ โดย OKRs เป็น Framework สำหรับการบริหารจัดการองค์กรที่เน้นเป้าหมายในเรื่องที่สำคัญ

  • O ย่อมาจากคำว่า Objective หมายความถึง วัตถุประสงค์ที่ท้าทาย สิ่งที่ต้องการได้ ต้องการทำ ต้องการเห็น ต้องการบรรลุ หรือต้องการส่งมอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถวัดผลได้
  • KR ย่อมาจากคำว่า Key Result หรือ ผลลัพธ์หลัก หมายความถึง ผลลัพธ์ที่จะวัดเพื่อให้รู้ว่าบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงไร ในหลักการของ OKRs จะเน้นวัดเฉพาะเรื่องสำคัญที่ต้องการบรรลุในช่วงเวลานั้นๆ

OKRs กับ KPIs เหมือนหรือแตกต่างกัน

ทั้ง OKRs และ KPIs ว่าด้วยการวัดผลองค์กรเช่นกัน แต่แตกต่างกันในวัตถุประสงค์ วิธีการ และกระบวนการที่เกี่ยวข้อง

  • OKRs พิจารณาการบรรลุเป้าหมายขององค์กรเป็นหลัก ขณะที่ KPIs พิจารณาการดำเนินงานและสรรถนะของพนักงานเป็นหลัก OKRs ไม่เกี่ยวข้องและไม่นำคะแนน OKRs มาใช้เพื่อประเมินผลการทำงานและสรรถนะของพนักงานโดยตรง
  • การกำหนด Objectives ของ OKRs มีลักษณะกระจายศูนย์ และ Top-down ผสมกับ Bottom-up คือ ผู้บริหารขององค์กรคิดเป้าหมายใหญ่ที่องค์กรต้องการบรรลุ จากนั้นให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมคิดเป้าหมายเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวขององค์กร โดยพิจารณาภาระหน้าที่ของตนเอง พนักงานต้องมีความเข้าใจชัดเจนว่าจะตั้งเป้าหมายอย่างไรให้เหมาะสม คือต้องตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับความสำเร็จขององค์กรและสอดคล้องกับงานที่ตนทำ นอกจากนี้ การถ่ายทอดเป้าหมายขององค์กรและการให้ Feedback ของ OKRs มีลักษณะการสื่อสารแบบ Two-way ขณะที่การกำหนด Objectives ของ KPIs มีลักษณะรวมศูนย์ และ Top-down คือ ผู้บริหารขององค์กรคิดเป้าหมายใหญ่ที่องค์กรต้องการบรรลุ แล้วมอบหมายลงมาให้พนักงานดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
  • การกำหนด Objectives ของ OKRs เน้นสิ่งที่ท้าทายและต้องการทำเพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญขององค์กร โดยเน้นให้พนักงานกล้าคิดอะไรที่ไม่เคยทำและคิดอะไรที่ยากขึ้น ไม่ตั้งเป้าหมายที่พนักงานคิดว่าทำได้ดีอยู่แล้วและจะทำได้สำเร็จเพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีๆ เช่น จะได้เงินเดือนหรือโบนัสเท่าไหร่ ดังนั้น OKRs จึงไม่นิยมนำไปผูกกับผลตอบแทน ขณะที่ KPIs เนื่องจากเน้นพิจารณาการดำเนินงานและสรรถนะของพนักงานจึงมักนำไปผูกกับผลตอบแทน
  • การกำหนด Objectives ของ OKRs มีลักษณะ Dynamic สามารถปรับเปลี่ยนในภายหลังเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่องค์กรต้องเผชิญ ขณะที่ การกำหนด Objectives ของ KPIs มีลักษณะ Static คือไม่ค่อยปรับเปลี่ยน กำหนดแล้วกำหนดเลย
  • การกำหนด Objectives ของ OKRs แม้จะตั้งเป้าหมายที่ต้องการบรรลุเป็นรายปี แต่สามารถทอนเป้าหมายดังกล่าวลงมาเป็นเป้าหมายรายไตรมาส รายเดือน หรือรายสัปดาห์ได้ ทำนองเดียวกัน การทบทวน OKRs จะมีความถี่บ่อยๆ เพื่อพิจารณาว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุใด และจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไรในเวลาที่เหลือ ขณะที่ การกำหนดและการทบทวน Objectives ของ KPIs ส่วนใหญ่เป็นรายครึ่งปีหรือรายปี
  • การทำ OKRs ต้องสื่อสารและแบ่งปันให้พนักงานทุกคนทราบ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและการสร้างความร่วมมือในการดำเนินงาน เนื่องจากเป้าหมายสำคัญขององค์กรที่กำหนดไว้อาจต้องอาศัยหลายฝ่ายร่วมมือกัน และท้ายที่สุดคือการไปสู่ความโปร่งใส

ทั้งนี้องค์กรสามารถนำทั้ง OKRs และ KPIs มาประยุกต์ใช้โดยแบ่งสัดส่วนการประเมินตามเหมาะสม เช่น X% = KPI, Y% = competency, Z% = OKRs หรือการประเมิน OKRs อาจเป็นการให้คะแนนพิเศษ แต่ในการประเมินต้องจะต้องใช้แนวทางการประเมินของ OKRs หรือ KPIs เช่น ใช้ OKRs ก็ต้องประเมินด้วย OKRs ไม่ใช่ใช้ KPI เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน

การเริ่มต้นนำ OKRs มาใช้ในองค์กร ควรดำเนินการอย่างไร

สิ่งแรกที่ควรดำเนินการเมื่อจะนำ OKRs มาประยุกต์ใช้ในองค์กร คือ การทำความเข้าใจในหลักการทำงานของ OKRs โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริหารองค์กร ทั้งนี้มีคำแนะนำว่าควรเริ่มทำจากกลุ่มเล็กๆ ในองค์กร แล้วจึงค่อยขยายผลในวงกว้าง เพื่อพิจารณาความเหมาะสม

องค์กรที่เอื้อต่อการเติบโตของ OKRs มีลักษณะเป็นอย่างไร

OKRs มีแนวโน้มจะเติบโตในองค์กรที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้

  • องค์กรที่มีวัฒนธรรมเชื่อใจไม่ใช่ควบคุม
  • องค์กรที่มี Mindset ปล่อยให้พนักงานได้คิดโดยมีภาพใหญ่ที่ชัดเจนขององค์กรให้แก่พนักงาน ไม่สั่งให้พนักงานทำเพราะผู้บริหารคิดว่าใช่
  • องค์กรที่ให้อำนาจพนักงานในการตัดสินใจปรับเปลี่ยนภายใต้การแนะนำของผู้บริหารที่เป็น Coach คือชวนคิด
  • องค์กรที่มี Mindset ว่าความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องน่าอับอายหรือเสียหน้า ล้มเหลวไม่ได้ไม่เอา แต่มองว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องการเรียนรู้ เช่น อะไรที่ทำให้เราล้มเหลว แนวทางแก้ไข
  • รับปรุงความล้มเหลวนั้นคืออะไรและจะทำอย่างไรต่อไป
  • องค์กรที่พนักงานทุกคนต้องเห็น OKRs ขององค์กร เพื่อเชื่อมโยงทั้งองค์กรไปในทางเดียวกันและเพื่อความโปร่งใส
  • องค์กรที่มี Growth mindset หรือ ความเชื่อที่ว่าความสามารถนั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ผ่านความพยายาม การเรียนรู้และความไม่ย่อท้อ
  • องค์กรที่มีกระบวนการทำงานที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
  • องค์กรที่มีความพร้อมด้านข้อมูลและเทคโนโลยีที่จะสนับสนุนการประเมินและรายงานผลทั้งระยะสั้นและระยาว

การนำ OKRs มาประยุกต์ใช้ในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนเป็นอย่างไร

หลายองค์กรพยายามนำ OKRs มาประยุกต์ใช้ ซึ่งก็มีความแตกต่างกันออกไปตามบริบทของแต่ละองค์กร เช่น บริษัท Google โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และ หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งนี้การนำ OKRs มาใช้ในภาคราชการพบว่ามีความท้าทายมากกว่าในภาคเอกชน เช่น เรื่องความยืดหยุ่นของการบริหารของหน่วยงานภาครัฐที่มีน้อยกว่าภาคเอกชน

นอกจากนี้ ปัญหาที่พบในการนำ OKRs มาประยุกต์ใช้ในองค์กร คือ การเขียนวัตถุประสงค์ที่แม้ว่าจะเสร็จสิ้นแล้วจะไม่มีผลกระทบต่อองค์กร หรือ การตั้งเป้าหมายที่สร้างความท้าทายให้กับองค์กรและพนักงานซึ่งมีผลกระทบสูง แต่เมื่อผ่านไปซักระยะก็เกิดความกังวลว่าจะไม่ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้จึงพยายามลดเป้าหมายนั้นลงเพื่อให้สุดท้ายบรรลุเป้าหมายที่ปรับเปลี่ยน

OKRs ในวิกฤต COVID-19 สัมพันธ์กันอย่างไร

ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ถือเป็นโอกาสการนำ OKRs มาประยุกต์ใช้เพิ่มมากขึ้น เพราะ OKRs มีความยืดหยุ่น และ กระตุ้นและรองรับการคิดใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลง ในยุคที่ไม่มีคำตอบตายตัวหรือสิ่งเดิมๆ ที่เคยทำไม่สามารถใช้ได้อย่างเช่นในสถานการณ์ COVID-19 นี้ เช่น การเรียนการสอนออนไลน์ 100%

หากองค์กรที่นำ OKRs มาใช้อยู่ก่อนแล้ว ควรหยิบ OKRs เดิมมาทบทวนว่ามีสิ่งใดที่ต้องปรับใหม่บ้าง เนื่องจากเมื่อโจทย์เปลี่ยนหรือโจทย์ใหม่เกิดขึ้น ก็จำเป็นต้องปรับปรุงเป้าหมายและการวัดผล ต้องมีการประชุมและติดตามบ่อยขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในทุกวันหรือทุกสัปดาห์ ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือการกล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน

วิธีฆ่าเชื้อโรคในคอลเลกชันของห้องสมุดช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลก นับเป็นความท้าทายใหญ่ของห้องสมุด ห้องสมุดหลายแห่งต้องปรับเปลี่ยนตนเองอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การประกาศปิดให้บริการพื้นที่ทางกายภาพ การขยายทรัพยากรสารสนเทศให้อยู่ในรูปแบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เช่น หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และ streaming media การขยายการเข้าถึงบริการและรูปแบบการบริการให้อยู่ในรูปแบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เช่น นโยบายการต่ออายุออนไลน์ และ บริการตอบคำถามและช่วยในการค้นคว้าแบบออนไลน์ ไปจนถึงการมีส่วนร่วมกับชุมชนเพื่อต่อสู้กับ COVID-19 เช่น การผลิตและการมอบหน้ากากผ้าแก่ชุมชน และ การใช้อุปกรณ์ makerspace เพื่อสร้างอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น 3D print face shield เพื่อมอบแก่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่ขาดแคลน อย่างไรก็ตาม มีห้องสมุดหน่วยงานอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงต้องเปิดให้บริการเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของกลุ่มผู้ใช้หลัก ดังนั้นหนึ่งในความท้าทายที่เกิดขึ้นคือ การทำอย่างไรให้แน่ใจว่าหนังสือหรือทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดที่ให้บริการยืมหรือคืนปราศจากการปนเปื้อนของไวรัสและไม่เป็นสื่อของการแพร่ระบาดของ COVID-19

จากประเด็นที่ว่า การทำอย่างไรให้แน่ใจว่าหนังสือหรือทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดที่ให้บริการยืมหรือคืนปราศจากการปนเปื้อนของไวรัสและไม่เป็นสื่อของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ดังน้ันในบทความนี้จึงขอนำเสนอเนื้อหาจากการทบทวนวรรณกรรมคือบทความออนไลน์ในต่างประเทศเกี่ยวกับแนวทางในการทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนในหนังสือหรือทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุด เพื่อเป็นข้อมูลชวนศึกษา พิจารณาและทดสอบต่อไป

  • ข้อจำกัดของการศึกษาและข้อมูล

ข้อมูลการศึกษาและปฏิบัติงานที่ผ่านเกี่ยวกับการฆ่าเชื้อโรคบนพื้นผิวหนังสือหรือทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุด โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส มีจำนวนน้อย ไม่มีการศึกษาที่ตอบคำถามว่าโคโรนาไวรัสสามารถแพร่จากทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดที่พบได้บ่อย เช่น กระดาษที่เคลือบและไม่เคลือบผิว หนังสือที่ปกหุ้มด้วยผ้า หรือหนังสือที่ปกหุ้มด้วยโพลีเอสเตอร์ (Ewen, 2020)

  • ความไม่ชัดเจนของระยะเวลาการมีชีวิตอยู่ของไวรัสบนพื้นผิววัสดุ

ข้อมูลผลการศึกษาที่แตกต่างกันเกี่ยวกับระยะเวลาการมีชีวิตอยู่ของโคโรนาไวรัส SARS-CoV-2 บนพื้นผิววัสดุ ซึ่งส่งผลต่อการกำหนดมาตราการที่เกี่ยวข้องในการลดการแพร่กระจายของไวรัส เช่น บทความชื่อเรื่อง Persistence of coronaviruses on inanimate surfaces and their inactivation with biocidal agents ใน Journal of Hospital Infection เดือน ก.พ. 2020 ระบุว่า โคโรนาไวรัส SARS-CoV-2 สามารถอยู่บนพื้นผิว เช่น โลหะ แก้วและพลาสติก 9 วัน บนกระดาษ 4-5 วัน ขณะที่ National Institutes of Health เดือน มี.ค. 2020 ระบุว่า โคโรนาไวรัส SARS-CoV-2 สามารถตรวจพบในละอองในอากาศได้ 3 ชั่วโมง บนทองแดง 4 ชั่วโมง บนกระดาษแข็ง 1 วัน และบนพลาสติกและสแตนเลส 2-3 วัน (Ewen, 2020) สอดคล้องกับข้อมูลจาก New England Journal of Medicine เดือน มี.ค. 2020 ระบุว่า โคโรนาไวรัส SARS-CoV-2 จะอยู่บนพื้นผิวกระดาษแข็ง 1 วัน และ บนพื้นผิวพลาสติก 3 วัน (Northeast Document Conservation Center, 2020)

  • หลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดกับทรัพยากรสารสนเทศเนื่องจากการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อไวรัส

พนักงานห้องสมุดควรระวังการใช้น้ำยาทำความสะอาดหรือยาฆ่าเชื้อโรคในหนังสือและทรัพยากรสารสนเทศอื่นๆ ของห้องสมุดที่มีความเปราะบาง ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการฉีดหรือเช็ดด้านนอกของหนังสือและทรัพยากรสารสนเทศด้วยแอลกอฮอล์หรือสารฟอกขาว ความชื้นและความรุนแรงของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ และสารฟอกขาวทำให้กระดาษเสียหายได้ (Ewen, 2020 ; Northeast Document Conservation Center, 2020)

  • การใช้รังสียูวี (UV)

การใช้ UV เพื่อฆ่าเชื้อโรคไม่ถูกแนะนำ เพราะ UV อาจทำลายกระดาษหรือสื่อของห้องสมุด และความยากลำบากในการทำให้แน่ใจว่าหนังสือทุกหน้าได้รับ UV ซึ่งมันไม่ได้ผลเท่าการแยกหรือพักหนังสือไว้อย่างน้อย 14 วัน (Ewen, 2020 ; Tseng and Li, 2007) ทำนองเดียวกัน Northeast Document Conservation Center (2020) ไม่แนะนำให้ใช้ UV เพื่อฆ่าเชื้อโรค เพราะ UV ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อทรัพยากรสารสนเทศ แต่อ้างถึง American Institute for Conservation Health and Safety Committee ที่ระบุว่า ต้องใช้เวลา 40 นาที กับ UV ปริมาณสูงเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และสถานที่ที่ UV ส่องไม่ถึงก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสได้

ในการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งศึกษาความสามารถของ UV ประเภท C หรือ UVC ในการฆ่าเชื้อไวรัสในอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลพบว่า ในขณะที่มีความเป็นไปได้ที่ UVC จะฆ่าไวรัส แต่มีตัวแปรที่สำคัญ คือ ปริมาณไวรัส รูปร่างและชนิดของทรัพยากรสารสนเทศที่ไวรัสปนเปื้อน กับปริมาณ UV (Gorvett, 2020) นอกจากนี้ยังไม่มีการวิจัยใดที่พิจารณาว่า UVC มีผลต่อ Covid-19 อย่างไร การศึกษาที่มีแสดงให้เห็นว่าสามารถใช้กับ coronaviruses อื่นๆ เช่น Sars

นอกจากนี้ UVC สามารถทำอันตรายต่อผิวหนังของมนุษย์ โดยอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะถูก UVB เผา แต่ UVC ใช้เวลาไม่กี่วินาที ในการใช้ UVC ต้องมีอุปกรณ์และการฝึกอบรมพิเศษ องค์การอนามัยโลกก็ได้ออกคำเตือนอย่างรุนแรงต่อการใช้ UV เพื่อฆ่าเชื้อบนมือหรือส่วนอื่นๆ ของผิวมนุษย์ เมื่อเร็วๆ นี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ UVC รูปแบบใหม่ คือ Far-UVC มีความยาวคลื่นสั้นกว่า UVC ปกติ มีแนวโน้มไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์แต่ยังสามารถทำลายไวรัสและแบคทีเรีย แต่ก็ยังมีประเด็นว่าไวรัสและแบคทีเรียบางชนิดมีขนาดเล็กกว่าที่แสงส่องถึง

  • เวลาเป็นยาฆ่าเชื้อที่ดีที่สุด

Northeast Document Conservation Center (NEDCC) อ้างอิงถึงข้อมูลจาก New England Journal of Medicine แนะนำให้พักหนังสือหรือสื่อของห้องสมุดไว้ 3 วัน (Northeast Document Conservation Center, 2020) ในทำนองเดียวกัน Jacob Nadal ซึ่งเป็น Director for preservation ของ Library of Congress (LC) เสนอว่า การพักเป็นแผนการที่ดีที่สุด (Ewen, 2020) โดย Fletcher Durant ซึ่งเป็น director of conservation and preservation ที่ the University of Florida George เสนอเวลาพักหนังสือหรือสื่ออย่างน้อย 1 วัน แต่ที่ดีที่สุดคือ 14 วัน (Ewen, 2020)

พนักงานห้องสมุดควรได้รับการแนะนำให้สวมถุงมือเมื่อเคลื่อนย้ายหนังสือหรือสื่อของห้องสมุดเข้าสู่การพักและถอดถุงมือนั้นออกทันทีหลังจากเสร็จงานเพื่อไม่ให้สัมผัสกับสิ่งอื่นๆ โดยไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นควรล้างมือเป็นเวลา 20 วินาทีตามคำแนะนำของหน่วยงานด้านสาธารณสุข (Northeast Document Conservation Center, 2020)

อ้างอิง

วิธีหลีกเลี่ยงการลอกเลียน (plagiarism) ในงานเขียน

แนวทาง 5 ข้อ เพื่อหลีกเลี่ยงการลอกเลียน (plagiarism) ในการเขียนผลงานวิชาการ

ความหมายของคำว่า Plagiarism ตามพจนานุกรม เช่น

  • Cambridge Dictionary – กระบวนการหรือการปฏิบัติในการใช้ความคิดหรืองานของผู้อื่น และหลอกลวงหรืออวดอ้างว่าความคิดหรืองานนั้นเป็นของตนเอง
  • Dictionary by Merriam-Webster – เพื่อขโมยและส่งต่อ (ความคิดหรือคำพูดของผู้อื่น) เป็นของตนเอง: เพื่อใช้ (ผลผลิตของผู้อื่น) โดยไม่ให้เครดิตแหล่งที่มา

การลอกเลียนผลงาน (plagiarism) หมายความถึง

  • การใช้ความคิด ข้อความ หรือคำพูดของผู้อื่น โดยอวดอ้างว่าเป็นของตนเอง
  • การลอกเลียนผลงานของผู้อื่นโดยไม่ให้เครดิต ไม่อ้างอิงแหล่งที่มา และไม่แสดงว่าข้อความหรือคำพูดที่คัดลอกมานั้นส่วนใดเป็นของผู้อื่น เช่น ด้วยการใส่เครื่องหมายอัญประกาศหรือเครื่องหมายคำพูด (“…”)
  • การถอดความหรือการสรุปความโดยไม่ให้เครดิตหรือไม่อ้างอิงแหล่งที่มา
  • การนำผลงานเดิมของตนเองทั้งหมดหรือบางส่วนมาใช้ซ้ำ โดยไม่แจ้งหรืออ้างอิงผลงานเดิมนั้น (self-plagiarism)

การลอกเลียนผลงาน ถือเป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรม ผิดทางวิชาการและทางปัญญาอย่างร้ายแรง ส่งผลในทางลบอย่างมาก เช่น การเพิกถอนผลงาน การสูญเสียความน่าเชื่อถือและชื่อเสียง รวมถึงการดำเนินคดี

แนวทางในการหลีกเลี่ยงการลอกเลียนผลงาน (plagiarism)

  1. ถอดความ (Paraphrase) – อ่านงานต้นฉบับอย่างรอบคอบและพยายามทำความเข้าใจแนวคิดและบริบทของงานนั้นให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ถอดความได้อย่างถูกต้องและไม่เปลี่ยนความหมายของแนวคิดนั้น จากนั้นใช้คำของตัวเองเพื่อแสดงถึงงานต้นฉบับ โดยไม่ลืมที่จะอ้างอิงถึงงานต้นฉบับ เทคนิคที่มักมีการแนะนำคืออย่าจดบันทึกตามคำหรือข้อความที่ใช้ในงานต้นฉบับ และ อย่าเปิดงานต้นฉบับระหว่างที่เขียน
  2. อ้างคำหรือข้อความของงานต้นฉบับ (Quote) – ใช้เครื่องหมายเครื่องหมายอัญประกาศหรือเครื่องหมายคำพูด (“…”) เพื่อชี้แจงว่าคำหรือข้อความใดที่นำมาจากงานต้นฉบับ พร้อมระบุแหล่งที่มา การอ้างคำหรือข้อความของผู้อื่นถือเป็นการทำซ้ำคำหรือข้อความ ดังนั้นจึงควรพิจารณาคัดลอกคำหรือข้อความของผู้อื่นเท่าที่จำเป็น
  3. อ้างอิง (Citation) – การใช้ความคิด ข้อความ หรือคำพูดใดๆ ของผู้อื่น (รวมถึงในงานอื่นๆ ที่ผ่านมาของตนเอง) จำเป็นต้องอ้างอิงแหล่งที่มา ยกเว้นข้อเท็จจริงหรือความรู้ทั่วไป แต่หากไม่แน่ใจก็ควรใส่อ้างอิง ประโยชน์ของการอ้างอิง เช่น
    1. เพื่อรับทราบว่าเป็นการใช้ผลงานของผู้อื่น
    2. เพื่อแสดงว่าผู้เขียนได้อ่านและค้นคว้าข้อมูลอย่างกว้างขวาง
    3. เพื่อ Backup ความคิดและข้อโต้แย้งของผู้เขียนพร้อมหลักฐาน
    4. เพื่อแยกแยะความคิดเห็นและข้อโต้แย้งของผู้เขียนกับผู้อื่น
    5. เพื่อการตรวจสอบหรือเพื่อการติดตามรายการที่อ้างอิงถึงของผู้อ่าน
  4. จัดการรายการอ้างอิงที่ใช้ – เก็บและจัดการแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงถึง โดยอาจใช้ซอฟต์แวร์สำหรับจัดการข้อมูลบรรณานุกรมและการอ้างอิง เช่น EndNote Mendeley และ Zotero เพื่อความสะดวกในการอ้างอิงถึงแหล่งที่มาของผลงานของผู้อื่น
  5. ใช้โปรแกรมเพื่อช่วยตรวจสอบความคล้ายคลึงกันของผลงาน – อาจใช้โปรแกรม เช่น iThenticate เพื่อช่วยแสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาคำหรือข้อความของผู้อื่นในการเขียนผลงานว่ามีมากน้อยเพียงไรและอย่างไร และแสดงให้เห็นถึงการใช้การอ้างอิงที่สอดคล้องและสม่ำเสมอกันหรือไม่อย่างไร

อ้างอิง

ซอฟต์แวร์ตรวจจับการลอกเลียนผลงาน vs ซอฟต์แวร์จับคู่ข้อความ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ตรวจจับการคัดลอกผลงานเขียน (Plagiarism checker หรือ Plagiarism detection software) กับ ซอฟต์แวร์จับคู่ข้อความที่คล้ายหรือตรงกัน (Text-matching software)

ซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษานับเป็นหนึ่งในธุรกิจขนาดใหญ่ที่สร้างมูลค่าจำนวนมาก ยกตัวอย่างจากข่าวเมื่อปีที่ผ่านมาที่ บริษัท Advance Publications Inc. ตกลงที่จะซื้อ บริษัท Turnitin ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของซอฟต์แวร์ Turnitin ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปว่าคือเครื่องมือเพื่อช่วยตรวจสอบการคัดลอกผลงานทางวิชาการ ที่มีลูกค้าคือมหาวิทยาลัยจำนวนมากในหลายประเทศ ด้วยมูลค่าเกือบ 1.75 พันล้านดอลลาร์ (Kawamoto, 2019)

การเพิ่มจำนวนขึ้นของการบอกรับเป็นสมาชิก Turnitin หรือซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่คล้ายกัน ของมหาวิทยาลัยต่างๆ กำลังสะท้อนให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยกำลังเผชิญกับประเด็นการลอกเลียนผลงานเขียนอยู่หรือไม่…บทความออนไลน์ ชื่อเรื่อง Universities must stop relying on software to deal with plagiarism ของ Mphahlele และ McKenna (2019) ได้นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับประเด็นนี้ โดยยกตัวอย่างผลการศึกษาซึ่งดำเนินการในมหาวิทยาลัยของรัฐในแอฟริกาใต้ และตีพิมพ์เป็นบทความชื่อ The use of Turnitin in the higher education sector: decoding the myth ตีพิมพ์ในวารสารชื่อ Assessment & Evaluation in Higher Education ปี 2019 ซึ่งการศึกษาพบว่า มหาวิทยาลัยของรัฐในแอฟริกาใต้พึ่งพาซอฟต์แวร์เพื่อตรวจจับการคัดลอกผลงานเขียนในลักษณะที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ในพฤติกรรมของนักศึกษา กล่าวคือ Turnitin ถูกใช้อย่างกว้างขวางในมหาวิทยาลัย แต่ผิดจุดประสงค์ โดย Turnitin ถูกพิจารณาว่าเป็น Plagiarism checker หรือ Plagiarism detection software หรือ ซอฟต์แวร์ตรวจจับการคัดลอกผลงานเขียน มากกว่าจะเป็น Text-matching software หรือ ซอฟต์แวร์เพื่อจับคู่ข้อความที่คล้ายคลึงหรือตรงกัน

วิดีโอ การใช้ Turnitin และ Text-matching software อื่นๆ ในทางที่ผิด โดย Enhancing Postgraduate Environments

Turnitin และ ซอฟต์แวร์ที่คล้ายกัน ทำงานโดยการเปรียบเทียบและจับคู่ข้อความที่คล้ายหรือตรงกัน (Text-matching) โดยจะแสดงย่อหน้าหรือประโยคหรือวลีในเอกสารต้นฉบับที่พบว่าคล้ายคลึงหรือตรงกับผลงานที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ จากนั้นจะสร้างรายงานที่มีเปอร์เซ็นต์ดัชนีความคล้ายคลึงกัน (Similarity index) ช่วยแสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาคำพูดหรือข้อความของคนอื่นในการเขียนผลงานว่ามีมากน้อยเพียงไรและอย่างไร และแสดงให้เห็นถึงการใช้การอ้างอิงที่สอดคล้องและสม่ำเสมอกันหรือไม่อย่างไร แต่ก็มีความเข้าใจว่า เปอร์เซ็นต์ดัชนีความคล้ายคลึงกันนี้ (Similarity index) เท่ากับ ระดับของการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงาน (Enhancing Postgraduate Environments, 2017) นักวิชาการและนักศึกษาจำนวนมากเชื่อว่า Turnitin คือเครื่องมือเพื่อช่วยตรวจจับการคัดลอกผลงานที่แม่นยำ ดังนั้นคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ เปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของผลงานวิชาการที่ยอมรับได้มีค่าเท่าไหร่

ใน Weblog ของ Turnitin (2013) เอง ก็มีข้อความที่ระบุว่า สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่าดัชนีความคล้ายคลึงกัน (Similarity index) ไม่ใช่ดัชนีการคัดลอก (Plagiarism index) ใน Weblog ของ Turnitin ยังมีคำถามและคำตอบที่ว่า

  • “So does Turnitin detect plagiarism?” “No” หรือ “Turnitin ตรวจจับการคัดลอกหรือไม่?” “ไม่”

https://www.turnitin.com/blog/does-turnitin-detect-plagiarism

Mphahlele และ McKenna (2019) อ้างว่า มหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งสนับสนุนให้มีการคัดลอกผลงานเขียนแต่ไม่ถูกตรวจจับ ด้วยการสนับสนุนให้นักศึกษาแก้ไขข้อความที่ Turnitin ไฮไลท์ว่าคล้ายคลึงหรือตรงกับผลงานอื่นๆ และส่งงานที่แก้ไขใหม่จนกว่าการลอกเลียนแบบจะหลบเลี่ยง Turnitin ได้

ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและการใช้งานซอฟต์แวร์เพื่อจับคู่ข้อความที่คล้ายคลึงหรือตรงกัน (Text-matching software) เพียงผิวเผิน ไม่ได้ช่วยจัดการกับสาเหตุและปัญหาของการคัดลอกผลงานเขียน และไม่ได้ช่วยสนับสนุนการพัฒนาการเขียนของนักศึกษา ยังคงมีนักศึกษาจำนวนมากที่ลอกเลียนผลงานของคนอื่นเพราะไม่เคยได้รับการสอนหรือไม่มีเข้าใจเกี่ยวกับจริยธรรมและบรรทัดฐานของการผลิตผลงานวิชาการจากในสถานศึกษา การกำหนดเปอร์เซ็นต์ดัชนีความคล้ายคลึงกัน (Similarity index) ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาการคัดลอกผลงาน ดัชนีความคล้ายคลึงกันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถบอกนักวิชาการได้ว่าวลีหรือประโยคที่เป็นไฮไลท์นั้นลอกเลียนผลงานอื่นโดยเจตนาหรือไม่เจตนา รายงานความคล้ายคลึงกันของ Turnitin และซอฟต์แวร์อื่นๆ ในทำนองเดียวกัน มีความหมายเฉพาะเมื่อถูกตีความโดยคน

ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ นักศึกษาควรได้รับการสอนและส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการเขียนเชิงวิชาการที่คำนึงถึงจริยธรรม แทนที่จะถูกสนับสนุนให้เขียนในลักษณะที่หลอกซอฟต์แวร์ มหาวิทยาลัยจะต้องลงทุนทรัพยากรในการพัฒนาความเข้าใจของนักศึกษาในเรื่องนี้ ซึ่งต้องใช้เวลา ยกตัวอย่าง การพัฒนาความรู้และทักษะเกี่ยวกับจริยธรรมทางการวิจัยของนักเรียนและนักวิชาการของกระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน

อ้างอิง

เปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของผลงานวิชาการที่ยอมรับได้

ในการตรวจสอบความคล้ายคลึงกันของผลงานเขียนทางวิชาการ เช่น บทความวิจัย บทความวิชาการ ไปจนถึงวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือออนไลน์เพื่อช่วยในการตรวจสอบนั้น คำถามหนึ่งที่มักพบ คือ มีเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของผลงานเขียนที่เป็นมาตรฐานหรือเป็นที่ยอมรับร่วมกันหรือไม่ และ เปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันควรมีค่าสูงและต่ำที่เท่าไหร่จึงจะถือว่าผ่านหรือไม่ผ่านการพิจารณาว่าคัดลอกหรือลอกเลียนแบบผลงานเขียนของคนอื่น…ในบทความนี้ขอเสนอข้อมูลเรื่องนี้จากการทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง

จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องพบว่า ฝั่งที่หนึ่ง ระบุว่า ไม่มีเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของผลงานวิชาการที่แน่นอน ที่กำหนดว่าเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่จึงจะถือว่าเป็นการคัดลอกหรือลอกเลียนแบบผลงานของคนอื่น เช่น

  • School of Public Health ของ University of Texas ที่ระบุในเอกสารแนะนำการใช้งานโปรแกรม Turnitin สำหรับนักศึกษาภายในสถาบันว่า ไม่มีการกำหนดเปอร์เซ็นต์การจับคู่หรือเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของผลงานในโปรแกรม Turnitin ที่สถาบันใช้ เพื่อระบุว่างานใดคัดลอกหรือไม่คัดลอกงานคนอื่นๆ ความคล้ายคลึงกันของผลงานที่ 40% อาจเป็นที่ยอมรับได้ ตราบใดที่งานนั้นนำเสนอและอ้างอิงได้อย่างถูกต้อง ในทางตรงกันข้าม ความคล้ายคลึงกันของผลงานเพียง 4% อาจเป็นการคัดลอกงานคนอื่นๆ หากไม่มีการอ้างอิงที่ถูกต้องและเหมาะสม อ้างอิง
  • ในทำนองเดียวกัน La Trobe University ระบุในคำแนะนำสำหรับการอ่านรายงานของโปรแกรม iThenticate ที่ใช้ในสถาบันว่า ไม่มีเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันที่สูงสุดหรือต่ำสุดของผลงานเขียนที่เป็นมาตรฐานหรือยอมรับร่วมกัน เปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันที่สูงไม่จำเป็นต้องบ่งชี้ถึงการลอกเลียนผลงานหรือรูปแบบอื่น ๆ ของความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการ และ เปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันที่ต่ำก็ไม่จำเป็นต้องบ่งชี้ว่าผลงานเขียนนั้นจะไม่มีปัญหาเรื่องการลอกเลียนผลงาน ทั้งนี้สาขาวิชาและประเภทของการเขียนเชิงวิชาการที่แตกต่างกันอาจมีความคาดหวังที่แตกต่างกันและมีข้อตกลงเกี่ยวกับการอ้างอิงที่แตกต่างกัน อ้างอิง
  • เช่นเดียวกัน University of Reading อ้างอิง และ University of Brighton อ้างอิง ที่ระบุว่า ไม่มีการกำหนดความเหมาะสมสำหรับเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของผลงาน งานของนักศึกษาจะต้องมีคำบางคำจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ เปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทและความยาวของงานที่ได้รับมอบหมายและข้อกำหนดของงานที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบความคล้ายคลึงกันแม้จะมีโปรแกรม Turnitin เข้ามาช่วย แต่จะต้องได้รับการตรวจสอบโดยการเปิดผลงานของนักศึกษาเพื่อพิจารณาทั้งโดยรวมและรายละเอียด
  • ในส่วนของสำนักพิมพ์ เช่น Springer ได้ระบุในจริยธรรมการตีพิมพ์ผลงานประเภทวารสารว่า การพิจารณาและการตัดสินใจเกี่ยวกับการคัดลอกหรือลอกเลียนแบบผลงานจะแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี โดยทิ้งคำถามไว้ให้ผู้เขียนพิจารณาว่า การคัดลอกหรือลอกเลียนนั้นเกี่ยวข้องกับความผิดพลาดอย่างสุจริต หรือ มีความพยายามในการเบี่ยงเบนโดยเจตนา อ้างอิง
  • ในบทความวิชาการที่ศึกษาเรื่อง การวัดความคล้ายคลึงกันในบริบททางวิชาการ ก็ได้ระบุว่า ปัจจุบันมีสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงและมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลก ใช้บริการโปรแกรมเพื่อช่วยตรวจสอบอัตราความคล้ายคลึงกันของเอกสารทางวิทยาศาสตร์ วิทยานิพนธ์ และงานเขียนที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่กับผลงานที่มีอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนทั่วไปในกระบวนการตีพิมพ์ผลงานปัจจุบัน แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีหน่วยวัดหรือมาตรฐานทั่วไปที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันในชุมชนวิทยาศาสตร์สำหรับอัตราความคล้ายคลึงกันของผลงานที่เป็นที่ยอมรับหรือได้รับอนุญาต อ้างอิง

มีความพยายามของบางชุมชนในการเสนอเครื่องมือและมาตรฐานทั่วไปที่เหมาะสมสำหรับการวัดความคล้ายคลึงของผลงานเขียนเชิงวิชาการ โดยยังคงเปิดช่องให้สามารถปรับได้โดยพิจารณาจากสาขาการวิจัยที่แตกต่างกัน และการชั่งน้ำหนักความคล้ายคลึงกันที่ยอมรับได้แตกต่างกันในบางส่วนของบทความ เช่น บทนำและวิธีการศึกษาวิจัยที่นำเสนอในบทความซึ่งอาจมีตัวเลขเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันที่ยอมรับได้สูงกว่า ผลลัพธ์และการอภิปรายรวมถึงข้อสรุปในบทความ

  • สำหรับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย มีบางมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้กำหนดเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา จากโปรแกรมที่ใช้งาน เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น กรณีที่ผลงานมีเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงรวมเกิน 70 % ต้องเขียนชี้แจงเหตุผลการซ้ำซ้อน (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) หรือ การตรวจสอบและรับรองโดยอาจารย์ที่ปรึกษา และถ้าพบการคัดลอกเป็นที่ประจักษ์ จะไม่เสนอขออนุมัติปริญญา หรือถ้าอนุมติปริญญาไปแล้ว อาจถอดถอนปริญญาได้ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)

แต่ทั้งนี้ก็มีอีกฝั่งระบุที่ระบุเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของผลงานวิชาการที่แน่นอน เช่น

  • Pharmaceutical and Biosciences Journal อ้างอิง และ สำนักพิมพ์ Bentham Science อ้างอิง ที่ระบุในเงื่อนไขการรับบทความวารสารต้นฉบับเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ว่า อนุญาตให้มีความคล้ายคลึงกันโดยรวม 20% สำหรับต้นฉบับที่จะพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ ทั้งนี้เปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันจะถูกตรวจสอบเพิ่มเติม โดยมีการระบุเพิ่มเติมสำหรับ
    • ความคล้ายคลึงกันของข้อความที่ต่ำ ข้อความของทุกต้นฉบับที่ส่งจะถูกตรวจสอบโดยใช้โหมด Content Tracking ในโปรแกรม iThenticate เพื่อทำให้แน่ใจได้ว่าต้นฉบับที่มีเปอร์เซ็นต์คล้ายคลึงกันของเนื้อหาโดยรวมต่ำ (แต่อาจมีความคล้ายคลึงสูงจากแหล่งเดียว) จะไม่ถูกมองข้าม โดยกำหนดให้ ความคล้ายคลึงกันของข้อความจากแหล่งเดียวที่ยอมรับได้คือ 5% ถ้าสูงกว่า 5% ต้นฉบับจะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อปรับสำนวนและสไตล์การเขียน (paraphrase) และอ้างถึงแหล่งต้นฉบับของเนื้อหาที่คัดลอก อีกทั้ง ข้อความที่นำมาจากแหล่งต่างๆ ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงต่ำ อาจจะถูกพิจารณาว่าเป็นเป็นการคัดลอกหรือลอกเลียนแบบผลงานอืน่ได้ ถ้าเนื้อหาส่วนใหญ่ของบทความนั้นเกิดจากการคัดลอกเนื้อหาของหลายๆ แหล่งมารวมกัน
    • ความคล้ายคลึงกันของข้อความที่สูง อาจมีบทความต้นฉบับบางบทความที่มีเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันโดยรวมต่ำ แต่มีเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันจากแหล่งข้อมูลเดียวที่สูง ต้นฉบับนั้นอาจมีความคล้ายคลึงโดยรวมน้อยกว่า 20% แต่อาจมีข้อความที่คล้ายคลึงกันกับแหล่งข้อมูลเดียว 15% กรณีนี้ถือว่าดัชนีความคล้ายคลึงกันสูงกว่าที่จำกัดอนุมัติสำหรับแหล่งข้อมูลเดียว ดังนั้นทางสำนักพิมพ์จะแนะนำผู้เขียนเรียบเรียงข้อความที่คล้ายกันอีกครั้งอย่างละเอียดและอ้างอิงแหล่งข้อมูลอย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงการลอกเลียนแบบและการละเมิดลิขสิทธิ์
  • สำหรับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย มีบางมหาวิทยาลัยที่กำหนดเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของผลงาน เช่น เปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของผลงานรวมต้องไม่เกิน 25% โดยที่ส่วนของผลการวิจัยและอภิปรายผลต้องมีค่าไม่เกิน 10%

จากเนื้อหาที่นำเสนอข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การกำหนดเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของผลงานวิชาการที่ชัดเจน เพื่อระบุว่างานใดคัดลอกหรือไม่คัดลอกงานอื่นๆ นั้น มีความซับซ้อนในการพิจารณาและกำหนด เช่น

  • เปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันที่ต่ำไม่จำเป็นต้องบ่งชี้ว่าผลงานนั้นจะไม่มีปัญหาเรื่องการลอกเลียนผลงานเสมอไป
  • ความแตกต่างในสาขาวิชา ประเภทของการเขียน ความยาวของงานเขียน ข้อตกลงเกี่ยวกับการอ้างอิง ส่วนที่นำเสนอในเอกสาร (เช่น บทนำ วิธีวิจัย ผลลัพธ์ และการอภิปรายผลการศึกษา) และข้อกำหนดของงานที่เกี่ยวข้อง อาจทำให้จำเป็นต้องพิจารณาความคล้ายคลึงกันของผลงานแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี

ขณะที่บางหน่วยงานได้กำหนดเปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันโดยรวมที่ยอมรับได้ เช่น 20% และ เปอร์เซ็นต์ความคล้ายคลึงกันของข้อความจากแหล่งข้อมูลเดียวที่ยอมรับได้ เช่น 5% แต่ก็ยังคงต้องอาศัยการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยคน เช่น บรรณาธิการ ผู้ประเมิน อาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อทำให้มั่นใจในการลดความเสี่ยงการคัดลอกผลงานและการละเมิดลิขสิทธิ์

รูบริคสำหรับประเมินคลัง OER (Open Education Resource Repository)

BCOER Librarians Working Group พัฒนารูบริค (Rubric) หรือเกณฑ์ประเมินเพื่อใช้ในกระบวนการประเมินคลังของแหล่งทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (Open Education Resource Repository : OERR) โดยครอบคลุม 8 ประเด็น ได้แก่

  1. การตรวจสอบและรับรองคุณภาพ
  2. การรองรับผู้ใช้งานที่หลากหลาย
  3. การเข้าถึงและความหลากหลาย
  4. การใช้งานง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน
  5. ความครอบคลุมด้านเนื้อหา
  6. การรองรับฟังก์ชั่นการค้นหาและการไล่เรียงดู
  7. ความหลากหลายของประเภทสื่อ
  8. การอนุญาตให้ใช้สิทธิ์และการอนุญาตให้ใช้งาน

โดยแต่ละประเด็นจะแบ่งการประเมินเป็น 3 ระดับ

1. การตรวจสอบและรับรองคุณภาพ
เกณฑ์ข้อนี้มุ่งเน้นไปที่ ความรู้และความเชี่ยวชาญ ชื่อเสียง และความสัมพันธ์ที่ผู้สร้างสรรค์หรือสถาบันมีต่อ OER และ เนื้อหาสาระที่ครอบคลุมใน OERR แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  • ระดับ 3
    • เนื้อหา OERR ถูกตรวจสอบ peer reviewed โดยผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในสาขาหรือหัวข้อนั้นๆ
    • OERR มีส่วนเกี่ยวข้องกับหรือร่วมกันกับสถาบันอุดมศึกษา
  • ระดับ 2
    • เนื้อหา OERR ถูกตรวจสอบโดยผู้ที่มีประสบการณ์ในสาขาหรือหัวข้อนั้นๆ เช่น บรรณาธิการวารสาร
    • OERR มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ให้บริการด้านการศึกษา
  • ระดับ 1
    • เนื้อหา OERR ไม่มีมาตรฐานการตรวจสอบที่เห็นได้
    • OERR ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันหรือองค์กรที่คุณสมบัติ

2. การรองรับผู้ใช้งานที่หลากหลาย
เกณฑ์ข้อนี้มุ่งเน้นไปที่ การพัฒนาและรวบรวม OER ใน OERR ที่รองรับกลุ่มผู้ใช้งาน ตามอายุ ประสบการณ์ หรือความเชี่ยวชาญ

  • ระดับ 3
    • เนื้อหา OERR ถูกจัดระเบียบและสามารถเข้าถึงได้ตามประเภทหรือกลุ่มผู้ใช้
    • เนื้อหา OERR ประกอบด้วย OER ส่วนใหญ่ที่พัฒนาขึ้นสำหรับนักเรียน นักศึกษา และนักวิชาการในระดับอุดมศึกษา
  • ระดับ 2
    • เนื้อหา OERR จัดหมวดหมู่ตามประเภทหรือกลุ่มผู้ใช้ แต่การเข้าถึงมีข้อจำกัด เช่น OERR รองรับการไล่เรียงดู OER และเนื้อหาในระดับปริญญาตรี แต่ไม่รองรับการค้นหาโดยจำกัดกลุ่มผู้ใช้ได้
    • เนื้อหา OERR ประกอบด้วย OER ที่พัฒนาขึ้นสำหรับทุกระดับการศึกษา
  • ระดับ 1
    • เนื้อหา OERR ไม่มีการจัดการหมวดหมู่ตามประเภทหรือกลุ่มผู้ใช้
    • เนื้อหา OERR ประกอบด้วย OER ส่วนน้อยที่พัฒนาขึ้นสำหรับนักเรียน นักศึกษา และนักวิชาการในระดับอุดมศึกษา

3. การเข้าถึงและความหลากหลาย
เกณฑ์ข้อนี้มุ่งเน้นไปที่ ความพร้อมใช้งานและการจัดเตรียม OER และเนื้อหา สำหรับสไตล์และความสามารถในการเรียนรู้ที่แตกต่างและหลากหลายของผู้ใช้

  • ระดับ 3
    • OERR มีรูปแบบทางเลือกอื่นสำหรับ OER ที่อัพโหลด เช่น วิดีโอและการถอดเสียงเป็นตัวหนังสือเพื่ออ่าน
    • OERR มี OER และเนื้อหาที่รองรับความหลากหลายของเพศ ภาษา การแสดงออกทางวัฒนธรรม และแนวทางการศึกษาของผู้ใช้
  • ระดับ 2
    • OERR มีรูปแบบทางเลือกอื่นบางส่วนสำหรับ OER ที่อัพโหลด
    • OERR มี OER และเนื้อหาที่รองรับความหลากหลายของเพศ ภาษา การแสดงออกทางวัฒนธรรม และแนวทางการศึกษาของผู้ใช้ เพียงส่วนน้อย
  • ระดับ 1
    • OERR ไม่รูปแบบทางเลือกอื่นสำหรับ OER ที่อัพโหลด
    • OERR ไม่มี OER และเนื้อหาที่รองรับความหลากหลายของเพศ ภาษา การแสดงออกทางวัฒนธรรม และแนวทางการศึกษาของผู้ใช้

4. การใช้งานง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน
เกณฑ์ข้อนี้มุ่งเน้นไปที่ อุปสรรคในการเข้าถึงและใช้ OER

  • ระดับ 3
    • ไม่ต้องลงทะเบียนใดๆ เพื่อเข้าถึง OER และเนื้อหาใน OERR
    • OERR ทำงานได้กับทุกระบบปฏิบัติการและเว็บเบราว์เซอร์ที่หลากหลาย
    • OERR ไม่มีค่าธรรมเนียมการใช้งาน
    • การนำทาง (Navigation) ใช้งานง่าย
  • ระดับ 2
    • ต้องลงทะเบียนเพื่อเข้าถึง OER และเนื้อหาบางส่วนใน OERR
    • OERR มี OER และเนื้อหาบางอย่างที่จำกัดสำหรับบางระบบปฏิบัติการหรือเว็บเบราว์เซอร์
    • OERR มีค่าธรรมเนียมการเข้าถึง OER และเนื้อหาบางอย่าง
    • การนำทาง (Navigation) ต้องการการทดลองใช้งานและมีข้อผิดพลาดในการใช้งาน
  • ระดับ 1
    • ต้องลงทะเบียนเพื่อเข้าถึง OER และเนื้อหาใน OERR
    • ERR จำกัดอยู่ที่ระบบปฏิบัติการหรือเว็บเบราว์เซอร์ที่เฉพาะเจาะจง
    • OERR มีค่าธรรมเนียมการเข้าถึง OER และเนื้อหา
    • การนำขัดข้อง (Navigation) และ/หรือต้องการคำแนะนำปรับปรุงเพิ่มเติม

5. ความครอบคลุมด้านเนื้อหา
เกณฑ์ข้อนี้มุ่งเน้นไปที่ ความลึกของความครอบคลุมด้านเนื้อหาของ OER

  • ระดับ 3
    • OERR มีเนื้อหาที่ครอบคลุมภายในสาขาวิชานั้นๆ
    • OERR เชื่อมโยงแนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องภายในหัวข้อและสาขาวิชานั้นๆ หมายความถึง เมื่อค้นหา OER ในหัวข้อหนึ่ง OERR จะมีการเชื่อมโยงไป OER อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในผลการค้นหา
  • ระดับ 2
    • OERR มีเนื้อหาที่ครอบคลุมบางส่วนในสาขาวิชานั้นๆ เช่น มี OER เรื่องชีววิทยาของเซลล์ แต่มีเนื้อหาเรื่องชีววิทยาโมเลกุลน้อย
    • OERR เชื่อมโยงแนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องบางส่วนภายในหัวข้อและสาขาวิชานั้นๆ
  • ระดับ 1
    • OERR ไม่มีเนื้อหาที่ครอบคลุมในเรื่องใดๆ ในเชิงลึก
    • OERR ไม่เชื่อมโยงแนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องภายในหัวข้อและสาขาวิชานั้นๆ

6. การรองรับฟังก์ชั่นการค้นหาและการไล่เรียงดู
เกณฑ์ข้อนี้มุ่งเน้นไปที่ ฟังก์ชั่นการค้นหาของ OERR เช่น การค้นหาขั้นสูง (Advanced search) การค้นหาขั้นพื้นฐาน (Basic search) และการตัดทอน (Truncation) เพื่อช่วยผู้ใช้ค้นหาสิ่งที่ต้องการโดยไม่ต้องเสียเวลามากเกินไปในการไล่เรียงดู

  • ระดับ 3
    • OERR มีฟังก์ชั่นการค้นหาขั้นสูงพร้อมตัวจำกัดสำหรับประเภทของกลุ่มผู้ใช้ หัวเรื่อง ประเภทของสื่อ และการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์และการอนุญาตให้ใช้งาน
    • OERR มีฟังก์ชันการไล่เรียงดูสำหรับประเภทของกลุ่มผู้ใช้ หัวเรื่อง ประเภทของสื่อ และการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์และการอนุญาตให้ใช้งาน
    • การค้นหาและเรียกดู OERR ให้ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้อง
  • ระดับ 2
    • OERR มีฟังก์ชันการค้นหาขั้นสูงและตัวจำกัดให้เลือกได้
    • OERR มีฟังก์ชันการไล่เรียงดูแต่อาจจำกัด เช่น สามารถเลือกไล่เรียงดูตามประเภทของกลุ่มผู้ใช้ แต่ไม่สามารถเลือกไล่เรียงดูตามประเภทของสื่อ
    • การค้นหาและเรียกดู OERR ให้ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องบางส่วน
  • ระดับ 1
    • OERR ไม่มีฟังก์ชั่นการค้นหาขั้นสูง แต่อาจมีฟังก์ชันการค้นหาขั้นพื้นฐาน
    • OERR ไม่มีฟังก์ชั่นการไล่เรียงดูตามหมวดหมู่
    • การค้นหาและเรียกดู OERR ให้ผลลัพธ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง

7. ความหลากหลายของประเภทสื่อ
เกณฑ์ข้อนี้มุ่งเน้นไปที่ ประเภทของสื่อ (เช่น วิดีโอ เสียง ข้อความ ภาพ และอื่นๆ) ใน OERR

  • ระดับ 3
    • OERR มีความหลากหลายของประเภทของสื่ออย่างมาก
  • ระดับ 2
    • OERR มีความหลากหลายของประเภทของสื่อบ้างบางส่วน
  • ระดับ 1
    • OERR มีความหลากหลายของประเภทของสื่อน้อย

8. การอนุญาตให้ใช้สิทธิ์และการอนุญาตให้ใช้งาน

  • ระดับ 3
    • OERR อนุญาตให้แชร์ แก้ไข และปรับเปลี่ยน OER ภายใต้ข้อจำกัดบางประการ เช่น
      • ให้เผยแพร่ ดัดแปลง โดยต้องระบุที่มา แต่ห้ามใช้เพื่อการค้า และต้องเผยแพร่งานดัดแปลงโดยใช้สัญญาอนุญาตชนิดเดียวกัน (CC-BY-SA) หรือ
      • ให้เผยแพร่ ดัดแปลง โดยต้องระบุที่มา แต่ห้ามใช้เพื่อการค้า (CC-BY-NC)
    • OERR ได้รับการคุ้มครองโดยสัญญาอนุญาตที่เข้มแข็งและเข้าใจง่าย (เช่น Creative Commons หรือ GNU)
  • ระดับ 2
    • OERR อนุญาตให้แชร์ แต่ไม่อนุญาตให้ดัดแปลงหรือแก้ได้ เช่น
      • ให้เผยแพร่ โดยต้องระบุที่มา แต่ห้ามดัดแปลง (CC-BY-ND) หรือ
      • ให้เผยแพร่ โดยต้องระบุที่มา แต่ห้ามดัดแปลงและห้ามใช้เพื่อการค้า (CC-BY-NC-ND)
    • OERR ได้รับการคุ้มครองโดยสัญญาอนุญาตที่เข้มแข็งและเข้าใจง่าย (เช่น Creative Commons หรือ GNU)
  • ระดับ 1
    • OERR อนุญาตให้แชร์เพื่อการศึกษาเท่านั้น
    • OERR ไม่อนุญาตให้แก้ไขหรือดัดแปลง
    • OERR อยู่ภายใต้ข้อกำหนดการใช้งานที่คลุมเครือหรือไม่เฉพาะเจาะจง เช่น ข้อกำหนดเว็บไซต์ในการให้บริการ

ที่มา

BCOER Librarians Working Group. (2015). Open Education Resource Repository (OERR) Rubric.
https://open.bccampus.ca/files/2014/07/OERR-Rubric.pdf

การประชุมออนไลน์ : e-Meeting/Online Meeting

จากสภาวะ Covid-19 ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานของหน่วยงานรัฐ/เอกชนหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ การประชุมของหน่วยงาน ซึ่งมีข้อกังวลอย่างมากกว่าผิดระเบียบหรือไม่ อย่างไร ทำได้มากน้อยเพียงใด ในที่สุดก็มีประกาศ … พระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 ออกมาในวันที่ 18 เมษา 2563 โดยมีสาระสำคัญดังนี้

การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หมายความว่า การประชุมที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องมีการประชุมที่ได้กระทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้ร่วมประชุมมิได้อยู่ในสถานที่เดียวกันและสามารถประชุมปรึกษาหารือและแสดงความคิดเห็นระหว่างกันได้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำหนด ทั้งนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้จัดทำ คู่มือมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้อธิบายและอ้างอิงเกี่ยวกับประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2557 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 74/2557 เรื่อง การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ลงวันที่ 27 มิถุนายน พุทธศักราช 2557

โดยมีประเด็นน่าสนใจทางเทคนิคที่หน่วยงานต้องพิจารณาให้เหมาะสมคือ

(1) จัดให้มีการบันทึกเสียงหรือทั้งเสียงและภาพ แล้วแต่กรณี ของผู้ร่วมประชุมทุกคน ตลอดระยะเวลาที่มีการประชุมในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เว้นแต่เป็นการประชุมลับ

(2) จัดเก็บข้อมูลจราจรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ร่วมประชุมทุกคนไว้เป็นหลักฐาน

โดยทั้งสองรายการให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงานการประชุม

นอกจากนี้หน่วยงานที่จัดการประชุมควรพิจารณาเพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้

  1. การใส่ Password ในเอกสารลับ และแจ้งรหัสต่อผู้ร่วมประชุมที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
  2. แจ้งผู้ร่วมประชุมงดการจับจอภาพ หรือบันทึกภาพ/เสียง/VDO สำหรับการประชุมลับ รวมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประชุมลับ
  3. ผู้ดำเนินการประชุมควรทำความเข้าใจโปรแกรม VDO Conference ที่ใช้ให้เข้าใจก่อน เช่น วิธีการแชร์หน้าจอของผู้เข้าร่วมประชุม วิธีแทรกไฟล์นำเสนอ รวมถึงวิธีการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นของโปรแกรม หากผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นใช้โปรแกรมไม่เป็น ผู้ดำเนินการประชุมควรจัดเตรียมเอกสาร สื่อ แนะนำขั้นตอนการประชุม รวมทั้งการใช้งานเครื่องมือ ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับการประชุมต่อผู้ร่วมประชุม
  4. ระมัดระวังการผยแพร่ Meeting Id/Personal Link Name ผ่าน Social Media ซึ่งอาจทำให้บุคคลที่ไม่ได้รับเชิญสามารถ Copy รหัสและนำไปใช้ เพื่อเข้าร่วมประชุมได้อีกด้วย
  5. ควบคุม/กำกับให้ผู้ร่วมประชุมปิดระบบของตนเอง โดยเฉพาะระบบเสียงเพื่อป้องกันเสียงรบกวนระหว่างประชุม และเปิดระบบเมื่อต้องการแสดงความเห็นเท่านั้น
  6. ควบคุมการเปิดโปรแกรม VDO Conference ของผู้ร่วมประชุมที่อยู่ในห้องเดียวกัน โดยให้แต่ละเครื่องต้องใช้หูฟังเท่านั้น เพื่อป้องกันการกวนของสัญญาณเสียง
  7. จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ให้พร้อม และแยกหน้าที่ เช่น เจ้าหน้าที่ติดตามการสื่อสารแบบ Chat เพราะหลายครั้งที่เกิดข้อขัดข้องในการพูด หรือสัญญาณ ส่งผลให้ผู้ร่วมประชุมต้องเลือกพิมพ์แทนการพูด … เจ้าหน้าที่ควรติดตามและตอบสนองโดยเร็ว และจัดเก็บข้อความผ่านระบบ Chat เป็นความเห็นประกอบการประชุม รวมทั้งจัดเก็บไฟล์ภาพ ไฟล์เอกสารที่ผู้ร่วมประชุมจัดส่งผ่านระบบ Chat ในขณะที่เจ้าหน้าที่หลักก็ดำเนินการประชุมตามปกติ
  8. ทบทวนการสร้างสไลด์ประกอบการประชุมออนไลน์ โดยอาจจะต้องกำหนดแนวปฏิบัติการสร้างสไลด์รูปแบบใหม่ เนื่องจากต้องการความกระชับ ขนาดตัวอักษร ขนาดสี การใช้เทคนิคการนำเสนอ ที่แตกต่างไปจากการออกแบบการสร้างในสภาวะปกติ
  9. ปิดระบบเตือนของ Apps ต่างๆ เช่่น Line, Facebook, Messenger ระหว่างประชุม โดยเฉพาะระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ดำเนินการนำเสนอข้อมูล รวมทั้งการปรับเปลี่ยน Desktop ของ MS Windows ให้เหมาะสมกับองค์ประชุม

ชุดหนังสือเศรษฐกิจแห่งอนาคต 7 เล่ม เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี

สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยงานในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมจัดทำ eBook ชุดหนังสือเศรษฐกิจแห่งอนาคต 7 เล่ม เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี

1. หนังสือเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจชีวภาพ เป็นระบบเศรษฐกิจที่นำความรู้และนวัตกรรมทางด้านชีววิทยาหรือวิทยาศาสตร์ชีวภาพอื่นๆ มาช่วยพัฒนาการผลิตสินค้าและบริการที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ เช่น การเกษตร อาหาร สุขภาพ การแพทย์ และพลังงาน ให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ประเทศไทยมีต้นทุนทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพสูง จึงนับเป็นจุดแข็งในด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพได้เป็นอย่างดี

2. หนังสือเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ได้มากที่สุด โดยการลดของเสียและการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่ ก่อให้เกิดวงรอบของการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้ได้มากที่สุด

3. หนังสือเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เศรษฐกิจสีเขียว เป็นหนึ่งในแนวทางการพัฒนาของโลกในศตวรรษที่ 21 ที่คำนึงถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านอื่น ๆ เพื่อสร้างให้เกิด “การเติบโตสีเขียว” การใช้ทรัพยากรที่เหมาะสมและรู้คุณค่า ลดการใช้พลังงาน ลดความเสี่ยงที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย และตอบสนองการพัฒนาที่ยั่งยืน

4. หนังสือเศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์ (Sharing Economy) เศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์เป็นแนวคิดใหม่ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยกร ผ่านกระบวนการจัดสรรทรัพยกรที่มีประสิทธิภาพ ทั้งบริการเช่ารถ เช่าที่พัก เช่าอุปกรณ์ เช่าพื้นที่ทำงาน เมกเกอร์สเปซ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น โมเดลเศรษฐกิจรูปแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จะเปลี่ยนแปลงโลกของเราไปในทิศทางไหน แนวโน้มเศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์ในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้างสามารถค้นหาคำตอบได้จากหนังสือเล่มนี้

5. หนังสือเศรษฐกิจผู้สูงวัย (Silver Economy) การเตรียมการรับมือกับวัยชรา เมื่อประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว การมีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่าวัยแรงงานจะส่งผลทางบวกหรือทางลบต่อประเทศไทยอย่างไร ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือในเรื่องใดบ้าง หนังสือเล่มนี้อธิบายแนวคิดและการเตรียมตัวของประเทศเพื่อรองรองเศรษฐกิจผู้สูงวัย

6. หนังสือเศรษฐกิจอัจฉริยะ (Intelligent Economy) มุ่งให้เห็นความสำคัญของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ AI ที่อยู่รอบตัวเราในปัจจุบัน และที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของเราในอนาคตอันใกล้ ส่งผลให้การดำเนินชีวิตประจำวันสะดวกสบายยิ่งขึ้น อาทิ ในภาคธุรกิจ AI มีบทบาทสำคัญในการทำการตลาดดิจิทัล ช่วยผู้ประกอบการวางแผนธุรกิจไปในทิศทางที่เหมาะสม และทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

7. หนังสือเทคโนโลยีควอนตัม (Quantum Technology) สร้างความรู้ ความเข้าใจ และเตรียมเยาวชนไทยและคนไทยทั่วไปให้พร้อมสำหรับการขับเคลื่อนประเทศในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ผ่านการเรียนรู้คำศัพท์และแนวคิดมุมมอง โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ซึ่งใกล้ตัวคนไทย และจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญสำหรับระบบเศรษจูกิจประเทศในอนาคตอันใกล้นี้

การถ่ายรูปเด็กกับสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว

การถ่ายรูปเด็กมักเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างมาก ในบทความนี้ขอนำเสนอ เรื่อง การถ่ายและใช้รูปถ่ายเด็ก กับ ประเด็นกฎหมายสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว รวมถึงปัจจัยหลักที่ควรคำนึงถึง จากการทบทวนบทความออนไลน์ของช่างภาพ นักกฎหมาย และอื่นๆ ในต่างประเทศ

  • กฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล

สิทธิส่วนบุคคล (Right to Privacy) หมายถึง สิทธิที่จะอยู่โดยลำพัง หรือ สิทธิที่จะได้อยู่โดยลำพังโดยปราศจากการรบกวน (The Right to Be Left Alone) ซึ่งกฎหมายที่บัญญัติถึงการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของไทยคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 32 ดังนี้

“บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว การกระทําอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือการนําข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใดๆ จะกระทํามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จําเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ” (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560, 2560)

ส่งผลให้ประชาชนทุกคนต้องเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลอื่น เพื่อยับยั้งการกระทำที่คุกคามหรือละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล

ในกฎหมายสากลก็ได้บัญญัติเรื่องการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล เช่นใน UN Universal Declaration of Human Rights 1948 มาตรา 12 บัญญัติว่า “ไม่มีบุคคลใดที่จะถูกแทรกแซงในความเป็นส่วนตัว ครอบครัวบ้านหรือการติดต่อระหว่างกันหรือทั้งสิทธิในเกียรติยศชื่อเสียงของเขา ทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายหากมีการถูกแทรกแซงเช่นว่านั้น” (บุญยศิษย์, 2553)

นโยบายทางกฎหมายร่วมสมัยที่สุดเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลคือการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล (Right to Information Privacy) ซึ่งนำมาสู่การมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) สัมพันธ์กับข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) คือ ความเป็นส่วนตัว เช่น สิทธิที่จะอยู่โดยลำพัง หรือ สิทธิที่จะได้อยู่โดยลำพังโดยปราศจากการรบกวน (The Right to Be Left Alone) ส่วนข้อมูลส่วนบุคคล คือ ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม (ศุภวัชร์, 2562)

เด็กก็มีสิทธิ์ในความเป็นส่วนตัวเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ มีกฎหมายสำคัญจำนวนหนึ่งที่ปกป้องสิทธิ์ของเด็กในความเป็นส่วนตัว เช่น อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก (UN Convention on the Rights of the Child : UNCRC) มาตรา 16 การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว ซึ่งระบุว่า “เด็กทุกคนมีสิทธิได้รับความเป็นส่วนตัว กฎหมายต้องให้ความคุ้มครองเด็กจากการถูกละเมิดชื่อเสียง ความเป็นส่วนตัว หรือการดูหมิ่น” (กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ, 2562)

  • ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อรูปถ่าย

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อรูปถ่ายบุคคลรวมถึงเด็ก ได้แก่ 1. สถานที่ที่ถ่ายรูป และ 2. จุดประสงค์ของการถ่ายรูป

สถานที่ที่ถ่ายรูป : สถานที่สาธารณะ VS สถานที่ส่วนบุคคล โดยทั่วไปการถ่ายรูปบุคคลในสถานที่สาธารณะสามารถกระทำได้อย่างถูกกฎหมายโดยไม่ต้องขออนุญาต เช่น ถนน สวนสาธารณะ หรือชายหาด หากไม่ได้ถ่ายรูปคนเหล่านั้นเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ขณะที่การถ่ายรูปบุคคลในสถานที่ส่วนบุคคล ผู้ถ่ายภาพต้องได้รับอนุญาตในการเข้าสถานที่จากเจ้าของสถานที่ก่อน (ไม่เช่นนั้นอาจโดยข้อหาบุกรุกสถานที่) และการถ่ายรูปก็ต้องขออนุญาตและได้รับความยินยอมจากเจ้าของก่อน เพราะการได้รับอนุญาตให้เข้าสู่สถานที่ไม่ได้หมายความว่าผู้ถ่ายภาพจะมีสิทธิ์ถ่ายและเผยแพร่รูปถ่ายได้ตามต้องการ ดังนั้น แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่มีการแนะนำสำหรับช่างภาพ คือ เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังสถานที่ส่วนบุคคลแล้ว ควรถามว่า “คุณรังเกียจไหมถ้าฉันจะขอถ่ายรูปคุณ และ/หรือ ครอบครัวของคุณ?”

ทั้งนี้ มีข้อควรตระหนักถึงคำว่า “สถานที่สาธารณะ” เพราะบางสถานที่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่สาธารณะแต่ในความเป็นจริงแล้วส่วนใหญ่เป็นของเอกชนหรือสถานที่ส่วนบุคคล เช่น สวนสาธารณะในศูนย์การค้า คอนเสิร์ตฮอลล์ หรือ สนามกีฬา ซึ่งสองสถานที่หลังนั้นโดยทั่วไปจะเข้าไปได้จะต้องซื้อตั๋ว มีเงื่อนไขของสัญญากับเจ้าของหรือผู้ดำเนินการ และเงื่อนไขเหล่านั้นอาจรวมถึงการห้ามถ่ายรูป หรือสถานที่สาธารณะบางแห่งมีข้อบังคับป้องกันการถ่ายรูปเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า เช่นใน Trafalgar Square และ Parliament Square ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ดังนั้นก่อนจะถ่ายรูปใดๆ จะต้องเข้าใจนโยบายและเงื่อนไขของแต่ละสถานที่ที่เข้าไปเสียก่อน

จุดประสงค์ของการถ่ายรูป : เพื่อการค้า VS เพื่อการใช้งานส่วนตัว การถ่ายรูปที่มีจุดประสงค์เชิงพาณิชย์หรือเพื่อการค้าใดๆ ต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าเสมอ

  • การถ่ายรูปเด็กและคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

การถ่ายรูปเด็กและคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ในที่สาธารณะ สามารถกระทำได้อย่างถูกกฎหมายโดยไม่ต้องขออนุญาต หากการถ่ายรูปนั้นไม่ได้กระทำเพื่อประโยชน์ทางการค้า (Bottoms, 2018; Vishneski, 2018; Krages, 2016; Meyer, 2012) ส่วนการถ่ายรูปเด็กเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลตามกฎหมายเสมอ (Meyer, 2012) ตัวอย่างเช่น หากเด็กอยู่ในสวนสาธารณะที่เป็นของสาธารณะ ช่างภาพสามารถถ่ายรูปของเด็กได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตหากการถ่ายรูปนั้นไม่ได้กระทำขึ้นเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ แต่หากเด็กอยู่ในสวนหลังบ้าน ช่างภาพไม่สามารถถ่ายรูปของเด็กได้ เพราะจะละเมิดสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวของเด็ก (Farkas, n.d.)

ในสหราชอาณาจักรพบว่าไม่มีกฎหมายใดที่ระบุว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายสำหรับคนแปลกหน้าที่ถ่ายรูปเด็ก โดยกฎหมายของสหราชอาณาจักรครอบคลุมเฉพาะภาพลามกอนาจารของเด็กเท่านั้น โดยกฎหมายระบุว่า “การถ่าย ทำ แบ่งปัน และมีรูปลามกอนาจารของเด็ก และการตัดต่อรูป การทำรูปด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกหรืออื่นๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นรูปถ่ายของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย” (Davies, 2019 ; GOV.UK, 2019)

การถ่ายรูปเด็กเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างหนัก เพราะนอกจากการหยิบยกกฎหมายขึ้นมาถกเถียงกันแล้ว ยังมีประเด็นทางศีลธรรมและจริยธรรมที่มักถูกยกมาประกอบ โดยเฉพาะการเสนอให้พิจารณาในมุมของการเป็นผู้ปกครองของเด็ก หรือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา คงไม่มีใครต้องการให้ใครสักคนมาถ่ายรูปลูกของเราโดยไม่ถามเราก่อน (Krages, 2016)

อ้างอิง