Archives: คลังความรู้
แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565
แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565
โดยมีเนื้อหา
- สถานการณ์แนวโน้ม และระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
- นโยบาย ยุุทธศาสตร์ชาติและแผนที่เกี่ยวข้องกับแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
- สถานการณ์ของประเทศด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
- ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในปัจจุบัน
- แนวโน้มของโลกและนัยต่อประเทศไทย
- ฉากทัศน์ภาพอนาคต
- ทิศทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ
สามารดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ : shorturl.asia/uK3Mi หรือคลิกที่ลิงก์ หนังสือแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
หนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดทำหนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน จัดพิมพ์ครั้งแรก เดือนเมษายน 2563 และเผยแพร่ฉบับ pdf file ไว้บนเว็บไซต์ สสส. (https://www.thaihealth.or.th/)
เนื้อหาในเล่ม ประกอบด้วย สาระความรู้ต่างๆ ในเรื่องของ โควิด-19 ได้แก่
- ทําความรู้จักโควิด – 19
- ติดโควิดหรือเปล่า? เช็กสัญญาณและอาการได้ที่นี่
- ใครบ้างที่เสี่ยงสูงติดโควิด-19
- เเนวทางปฏิบัติเมื่อต้องกักตัว 14 วัน
- เตรียมที่พักและอุปกรณ์อย่างไรให้พร้อม
- ข้อปฏิบัติกรณีอยู่บ้านคนเดียว
- ข้อปฏิบัติสําหรับผู้ที่ต้องกักตัว
- ข้อปฏิบัติสําหรับผู้ดูแลอาคารชุด
- เมื่อไหร่ควรไปหาหมอ
- ทําความเข้าใจเส้นทางการรักษาโควิด-19
- การดูแลตนเองสําหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ในช่วงระบาดของ COVID-19
- แนะนําวิธีดูแลเด็กอย่างไรในช่วงโควิด-19
Download เอกสาร ได้ที่เว็บไซต์ข้างต้น หรือคลิกที่ลิงก์ หนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน
ที่มา: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มกราคม 2564
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มกราคม 2564
สหรัฐอเมริการกับการมีส่วนกับประชาคมโลกในด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีสถิติการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกมาจนถึงปี 2548 ที่จีนได้แซงหน้า สหรัฐฯ ได้เข้าเป็นภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Unitec Nations Framework Convention on Climate Change – UNFCCC) เมื่อปี 2535 ขณะที่ต่อมีมีการจัดทำพิธีสารเกียวโต ทีประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2538 สหรัฐฯ ในฐานะที่เป็นประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก ที่ต้องมีพันธกรณีลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายของพิธีสาร ไม่เข้าร่วมเป็นภาคีพิธีสารฯ ซึ่งมีการผูกมัดประเทศพัฒนาแล้วให้ลดก๊าซเรือนกระจก และช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในโครงการซื้อขายก๊าซเรือนกระจกที่มีเครดิตคาร์บอนที่เรียกว่า กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanise – CDM) เป็นกรอบโครงการที่รัฐภาคีสมาชิกจะดำเนินร่วมกันจนทำให้การดำเนินงานระหว่างภายใต้พิธีสาร
เกียวโตขาดเอกภาพ และค่อยๆ หมดกำลังลง โดยเฉพาะ ปี 2556 – 2563 แคนาดาขอถอนตัวจากการเป็นภาคีพิธีสาร ขณะที่ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ประกาศไม่ขอผูกมัดตนเองตามพันธกรณี โดยญี่ปุนพยายามสร้างกลไกมาซื้อขายคาร์บอนแบบทวิภาคี หรือ Joint Crediting Mechanism (JCM) ซึ่งมีส่วนทำให้พิธีสารเกียวโตหมดความหมายเช่นเดียวกัน
พัฒนาของเหตุการณ์เหล่านี้ มีผลสำคัญมาจากการที่ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวยเหมือนแต่ก่อน ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาได้พัฒนารุดหน้าขึ้นมาก ทั้งทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ทั้งในการผลิตทางอุตสาหกรรม และเพิ่มสัดส่วนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะ จีน อินเดีย บราซิล อินโดนีเซีย ได้รวมตัวกันแล้วปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 63% ของโลก ด้วยเหตุนี้
ที่ประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้พยายามหามาตรการใหม่ที่จะให้ทุกประเทศร่วมแรงร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อรักษาอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงเกินกว่า 2 องศาเซลเซียส และนำไปสู่การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ 21 ที่กรุงปารีส เมื่อปี 2558 มุ่งเน้นให้มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกโดยสมัครใจ จากความตกลงระหว่างประเทศที่ชื่อว่า ความตกลงปารีส (Paris Agreement)
ความตกลงปารีส Paris Agreement
ความตกลงปารีสมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 หรือ 30 วันหลังจากวันที่ภาคีอนุสัญญาฯ อย่างน้อย 55 รัฐ ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันอย่างน้อย 55% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดย จีนกับสหรัฐฯ ได้ยื่นสัตยาบันสารรับรองความตกลงปารีสพร้อมกัน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2559 (ไทยยื่นสัตยาบันสารเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559)
การเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้การบริหารงานของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์
หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ชนะผลการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2560 นั้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกฎและระเบียบจากสมัยอดีตประธานาธิบดีโอบามา รวมถึง นโยบายและการบริหารจัดการของหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่
1. การถอนตัวจากความตกลงปารีส
การที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโอบามาได้ลงนามในความตกลงปารีส เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 และให้สัตยาบันเดือนกันยายนปีเดียวกันพร้อมกับสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่เมื่อการสืบทอดตำแหน่งทางการเมืองในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศกร้าวว่าโลกร้อนไม่จริง ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ จะถอนการสนับสนุนความตกลงปารีส
นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นภาพสะท้อนนโยบายภาพรวมของพรรคที่มีกลุ่มผลประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมเชื้อเพลิง
ฟอสซิล (น้ำมันและก๊าซ) หนุนหลังอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัท Exxon Mobil ที่เป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ
หลังจากแถลงการณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ยกเลิกการเข้าร่วมความตกลงปารีส เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 ณ ทำเนียบขาว โดยได้ยื่นสารขอลาออกจากสมาชิกภาพเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2562 จึงทำให้ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มุ่งมั่นที่จะนำสหรัฐฯ กลับเข้าเป็นภาคีรัฐสมาชิกตามเดิมในโอกาสแรก
2. การยกเลิกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและถอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกจากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ
ในช่วงต้นเดือนมกราคม 2561 สมาชิกรัฐสภา ได้ส่งจดหมายเพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ พิจารณายกเลิกการถอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกจากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติอีกครั้ง นายกเทศมนตรีรัฐชิคาโก ได้จัดประชุมผู้นำท้องถิ่นจากรัฐต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ร่วมกับแคนาดา และเม็กซิโก ร่วมลงนามความตกลงใน Global Covenant of Mayors for Climate and Energy ซึ่งเป็นแผนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถึงแม้ว่าการประชุมจะเกิดขึ้นก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงการณ์ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาตินั้นแต่ผู้นำท้องถิ่นในแต่ละรัฐยังคงเดินหน้าต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3. การเปลี่ยนแปลงของหน่วยงาน EPA
หน่วยงาน Environment Protection Agency (EPA) มีหน้าที่ปกป้อง ประเมิน และวิจัยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งได้สนับสนุนให้นายสก๊อต พรูอิทท์ (Scott Pruitt) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ EPA
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 นายพรูอิทท์เคยฟ้องร้องหน่วยงาน EPA 14 ครั้งในเรื่องมลพิษทางน้ำ อากาศ การควบคุม
สารปรอท หมอกควัน และมลพิษอื่นๆ ทั้งยังมีความคิดไม่เห็นด้วยว่า กิจกรรมของมนุษย์เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาวิจัยไว้
ปลายปี 2560 หน่วยงาน EPA และนายพรูอิทท์ได้ถูกฟ้องร้องในข้อหาละเลยหน้าที่ของรัฐบาลในการควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทน อัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์กร่วมกับอีก 13 รัฐ กล่าวว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 115 ล้านคน กำลังสูดหมอกควันระดับอันตรายเข้าไป แสดงให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อสุขภาพของประชาชนและกฏหมาย
นายพรูอิทท์ ได้ลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการ EPA เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 หลังจากสื่อต่างๆ กล่าวถึงการทำผิดจรรยาบรรณและความไม่เหมาะสมในตำแหน่งด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอชื่อนายแอนดรูว์
วีลเลอร์ (Andrew Wheeler) ดำรงตำแหน่งแทน นายวีลเลอร์มีนโยบายการบริหารงานทางด้านสิ่งแวดล้อมไม่แตกต่างจากนายพรูอิทท์ และนโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อมของประธานาธิบดีทรัมป์คงเดินหน้าต่อไป
4. การยกเลิกแผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan : CPP)
แผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan : CPP) โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้า 32% ภายในปี 2573 ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า CPP ไม่สอดคล้องกับ Clean Air Act ซึ่งเป็นกฏหมายของรัฐบาลกลางในการควบคุมคุณภาพอากาศและลดมลพิษทางอากาศจึงควรยกเลิกแผนพลังงานสะอาด ทั้งนี้ แผน ACE จะทำให้ความเข้มงวดในการควบคุมการปล่อยมลพิษลดลงและคาดว่าจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น 12 เท่าใน 10 ปีต่อจากนี้
5. การอนุมัติโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน Keystone XL
ประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่าโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน KeystonXL หรือ Keystone Export Limited ของบริษัท TransCanada Corp. มีมูลค่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพิ่มศักยภาพในการขนส่งน้ำมันดิบ (Oil sands) จากรัฐแอลเบอร์ตาไปยังรัฐเนเบรสกา ถึง 830,000 บาเรล/วัน ซึ่งโครงการนี้ถูกระงับโดยอดีตประธานาธิบดีโอบามาด้วยเหตุผลด้านผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เนื่องจากการกลั่นน้ำมันดิบจากทรายน้ำมัน (Oil sands) ต้องใช้น้ำในปริมาณมากและความร้อนสูงชะแยกน้ำมันออกจากมวลทราย โดยกระบวนการดังกล่าวจะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าปกติถึง 17% และประชาชนอาจจะได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างและหากมีการรั่วไหลของน้ำมัน
นโยบายการปฏิวัติด้านพลังงานสะอาดและความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมของนายโจ ไบเดน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2564 มีมุมมองว่าเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม คือเรื่องเดียวกัน และวางแผนดำเนินการทางด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลกลางจะลงทุน 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงสิบปีข้างหน้า ในการปฏิวัติพลังงานสะอาด (Clean Energy Revolution) โดยไบเดนได้กลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีสเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน นอกจากนี้ยังเตรียมปรับ Green New Deal (คือ ข้อเสนอด้านนโยบายของสหรัฐฯ ที่ระบุปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ)
นโยบายทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของนายไบเดน ได้แก่ :
1. นำพาสหรัฐฯ ไปสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาด (cleanenergy economy) 100% และภายในปี 2593 (ค.ศ.2050) จะยุติการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
1.1 ระเบียบบริหารราชการชุดใหม่ (series of new executive orders) ผลักดันความก้าวหน้าครั้งประวัติศาสตร์ในการลดการปล่อยก๊าซอย่างมีนัยสำคัญของสหรัฐฯ
1.2 วาระทางด้านกฏหมายที่จะมีการผลักดันในปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
2. เสริมความแข็งแกร่งและฟื้นฟูสหรัฐฯ รัฐบาลวางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นอาคาร ระบบน้ำ การขนส่ง และพลังงาน ให้มีความทนทาน ช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
3. ร่วมกับนานาประเทศในการรับมือกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สหรัฐฯ มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดสัดส่วน 15% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
4. ต่อต้านการใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้ปล่อยมลพิษ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนคนผิวสีและผู้ที่มีรายได้ต่ำ
5. ให้ความสำคัญและช่วยเหลือคนงานและชุมชนที่ดำเนินการด้านถ่านหินโรงไฟฟ้า นายไบเดนให้คำมั่นที่จะไม่ทอดทิ้งคนงานทุกคน
อ่านเพิมเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/ost-sci-review-jan2021.pdf
การเลือกใช้งาน Joomla กับ WordPress
Joomla เป็นระบบ CMS เพื่อบริหารจัดการข้อมูลบนเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมาก มีการวางโครงสร้างทางด้านโปรแกรมไว้เป็นสัดส่วน เหมาะสำหรับนำมาใช้ทำเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน หลักการสำคัญของการจัดการคือ
- จัดหมวดหมู่ของเนื้อหาเว็บเป็น category ได้
- จัดทำหน้าโชว์ข้อมูลใน category ได้หลายรูปแบบ ทั้ง List และ Blog โดยผ่านการกำหนดของ Menu
- มี Template ที่ออกแบบสวยงามแล้วให้ใช้งานได้
- เพิ่มความสามารถต่างๆ ได้โดยการใช้ Extension เสริม
นับเป็น cms ที่ใช้จัดทำเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมากตัวนึง แต่ทั้งนี้ Joomla ได้ลดความนิยมลงไป จากการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของ WordPress
WordPress เป็นระบบ CMS ที่เริ่มจากการเป็นที่นิยมของกลุ่ม Bloger หรือนักเขียน เหมาะสำหรับมือใหม่เน้นการใช้งานง่าย สร้างเว็บไซต์ขนาดกลาง-เล็ก และมีความสามารถในการทำ SEO มากที่สุด การใช้งานหลักจะเหมือนกับ Joomla มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป คือ
- ส่วนเสริม Elementor หรือกลุ่ม Page Builder ทำให้การสร้างเนื้อหาได้หลากหลาย สวยงาม และยืดหยุ่นมากกว่า Editor Tools ธรรมดา
- การรองรับการจัดทำหน้าเว็บเป็นแบบ Responsive ที่ดูได้จากทุกรูปแบบ device ได้ดีกว่า
- มี Plugin จำนวนมาก ช่วยในการปรับความสามารถ
ในการจัดทำเว็บ ต้องคำนึงถึง Tools ที่เสริมความสามารถในการจัดทำให้ตรงกับจุดประสงค์ของเว็บไซต์ ในแต่ละระบบก็มีข้อดี/ข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ content หรือเนื้อหาในเว็บไซต์ต้องถูกต้อง และสื่อสารได้ตรงประเด็นกับที่ต้องการ จะทำให้เว็บและสิ่งที่เราเผยแพร่ได้รับความนิยมและมีผลต่อ search engine ต่อไป
การมีส่วนร่วมของประชาชนสามารถเปลี่ยนงานวิจัย แต่จะเปลี่ยนสถาบันวิจัยอย่างไร ศึกษาจากสถาบัน ICES ของแคนาดา
ข้อมูลข้างล่างได้จากการเขียนร่วมกันโดยทีมที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนของ ICES และสมาชิก 4 ท่านจาก ICES Public Advisory Council (PAC)
ICES หรือ the Institute for Clinical Evaluative Sciences เป็นสถาบันวิจัยที่ไม่แสวงหากำไรอิสระใน Ontario ของแคนาดา งานหลักเกี่ยวข้องกับเป็นที่เก็บข้อมูลสุขภาพส่วนตัวของประชาชนทั้งหมดใน Ontario โดยมีผู้เชี่ยวชาญในการทำวิจัย ข้อมูล และคลินิกของสถาบันนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้เพื่อปรับปรุงนโยบายและบริการทำให้สุขภาพของประชาชนดีขึ้น ในปี 2017 เริ่มกิจกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเป็นทางการโดยนำมุมมองของประชาชนเข้าไปอยู่ในการตัดสินใจ, กิจกรรม และงานวิจัยของสถาบัน ทำให้สื่อสารกับประชาชนมากขึ้นเกี่ยวกับสถาบันและในฐานะเป็นผู้ดูแลข้อมูล ในปี 2018 สถาบันได้พัฒนาแผนการมีส่วนร่วมของประชาชน (public engagement strategy) ขึ้นมา ICES PAC เป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญของแผน
PAC ก่อตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ประกอบด้วยสมาชิก 20 คนจากประชาชนทั่ว Ontario ทำให้ได้มุมมองที่หลากหลายของประชาชน ในการประชุมของ PAC ทั้งหมด จะมีผู้จัดการการมีส่วนร่วมของประชาชน ประธานกรรมการบริหาร และหัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของ ICES เข้าร่วมด้วยทุกครั้ง เพื่อความเห็นของ PAC จะถูกนำไปประยุกต์ใช้ในระดับสถาบัน ตัวอย่างเช่น PAC เห็นว่าประชาชน Ontario ทั้งหมด ควรจะรู้เกี่ยวกับ ICES และงานวิจัยของ ICES (ข้อมูลของประชาชนถูกใช้เพื่องานวิจัยข้อมูลสุขภาพอย่างไร) ดังนั้น ICES ควรจะมุ่งไปที่การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบัน
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญของแผนคือการจัดให้มีทรัพยากรและการสนับสนุนเพื่อส่งเสริมให้นักวิจัยใช้การมีส่วนร่วมของประชาชนในโครงการ ทีมที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนสร้างเครื่องมือซึ่งสามารถนำไปใช้กับขบวนการวิจัยช่วยให้นักวิจัยนำการมีส่วนร่วมของประชาชนไปใช้ง่ายขึ้น นอกจากนี้นักวิจัยสามารถปรึกษา PAC เพื่อให้ได้มุมมองของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับโครงการ ICES เห็นการเพิ่มขึ้นของนักวิจัยใช้ทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยข้อมูลแสดงว่าในปี 2019 มีนักวิจัยประมาณ 20% ใช้บางรูปแบบของการมีส่วนร่วมของประชาชนในโครงการ
ในอนาคตหวังว่า ICES จะประสบผลสำเร็จในการมีส่วนร่วมของประชาชนกว้างขึ้น และในขณะที่มีการทำงานวิจัยข้อมูลสุขภาพมากขึ้น นักวิจัยควรคำนึงถึงสิทธิของประชาชนและพยายามเพื่อความโปร่งใสและการเข้าถึงส่วนตัวมากขึ้น สุดท้าย ICES กำลังมองหาหนทางที่ดีกว่าที่จะทำให้การมีส่วนร่วมของประชาชนเกิดขึ้นทั่วทั้งสถาบันเพื่อเข้าไปมีส่วนในการตัดสินใจของทุกระดับ
ที่มา: Jenine Paul, Randy Davidson, Cheryl Johnstone, Margaret Loong, John Matecsa, Astrid Guttmann and Michael J. Schull (2020). Public engagement can change your research, but how can it change your research institution? ICES case study. Retrieved March 15, 2021, from https://ijpds.org/article/view/1364
ปัจจัยความสำเร็จของการดำเนินโครงการ ศึกษาจาก 4 โครงการของห้องปฏิบัติการหนึ่งที่ได้รับทุนจากภาครัฐ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการ 4 โครงการของห้องปฏิบัติการหนึ่งที่ได้รับทุนจากภาครัฐ ได้แก่ โครงการเกษตร, โครงการสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ, โครงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และโครงการอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า
ปัจจัยความสำเร็จของการดำเนินโครงการ ได้แก่
1. กำหนดเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่เริ่มแรกและเป็นระบบ (Define an S&T focus early and systematically)
2. เข้าใจและมีส่วนร่วมในตลาดตั้งแต่เริ่มแรก (Understand and engage the market early)
3. มองไปข้างนอกหน่วยงานเพื่อทิศทางและการตรวจสอบความถูกต้อง (Look outside the organization for direction and validation)
โดยการทำ external review ตั้งแต่เริ่มแรกและบ่อยๆ เช่น peer review ที่เป็นทางการ
4. สร้างทีมที่เหมาะสมสำหรับงาน (Create the right team for the task)
การสร้างทีมที่เหมาะสมสำหรับงานเริ่มต้นด้วยความเป็นผู้นำที่เหมาะสม ผู้นำของโครงการต้องมีทั้งความเข้าใจตลาดดีและประสบการณ์ในขบวนการการพัฒนาภายในหน่วยงาน นอกจากนี้การรู้ถึงความสามารถของห้องปฏิบัติการ ขบวนการตัดสินใจและโครงสร้างหน่วยงานทำให้ผู้นำสามารถนำความสามารถที่ต้องการมารวมกันเพื่อแก้ปัญหาความต้องการของตลาด โครงการที่มีผู้นำหรือผู้นำร่วมและรองแสดงว่าการแบ่งความรับผิดชอบกันนี้ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้ามีความร่วมมือกันทำงานเป็นทีมเพื่อบรรลุเป้าหมายทางกลยุทธ์
5. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในหน่วยงานเพื่อทิศทางและการสนับสนุนภายใน (Develop alliances within the organization for direction and internal support)
การสนับสนุนจากผู้บริหารอาวุโสที่ประสบผลสำเร็จและบุคคลอื่นที่มีความสำคัญทางกลยุทธ์ เช่น นักวิทยาศาสตร์ผู้นำ เจ้าหน้าที่การตลาด มีผลสำคัญต่อความสำเร็จของการดำเนินโครงการ
ที่มา: Charlette Geffen and Kathleen Judd (2004). Innovation through initiatives—a framework for building new capabilities in public sector research organizations. Retrieved March 9, 2021, from https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0923474804000487
Four-platform open innovation system ของ ITRI (the Industrial Technology Research Institute) ในไต้หวัน
จากการสัมภาษณ์ผู้เป็นหลักและเกี่ยวข้องโดยตรงกับการวางแผนระบบนวัตกรรมแบบเปิด (open innovation system) ของ ITRI (หน่วยงานวิจัยและพัฒนาที่ไม่แสวงหากำไรใหญ่ที่สุดในไต้หวัน, หลายประเทศยอมรับว่าเป็นหน่วยงานตัวอย่างของการเชื่อมโยงระหว่างการประดิษฐ์ (invention) และการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ (commercialization)) ทำให้เข้าใจระบบนวัตกรรมแบบเปิดแบบ 4 platforms (four-platform open innovation system) ของ ITRI ว่าประกอบด้วย platforms ดังนี้ Front-End Platform, Core Technology Platform, Innovation Platform และ Commercialization Platform โดยแต่ละ platform จะทำหน้าที่ต่าง ๆ กันและทำงานสัมพันธ์กัน มีการติดต่อระหว่างกันทำให้เกิดความเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์ระหว่างนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์นำไปสู่ผลลัพธ์สุดท้ายคือคุณค่าทางเศรษฐกิจ สวัสดิการสังคม และการเติบโตของอุตสาหกรรม
นอกจากนี้การศึกษานี้ยังได้แสดงรายละเอียดของกิจกรรมและปฏิสัมพันธ์ระหว่างแต่ละ platform จากการประยุกต์ใช้ four-platform open innovation system กับ 3 โครงการที่มีลักษณะแตกต่างกันของ ITRI ได้แก่ โครงการพัฒนากล้องจุลทรรศน์ (The optical electronics multi-function desktop microscope project), โครงการบำบัดน้ำ (The water treatment project) และโครงการบริหารโรคเบาหวาน (The Diabetes Management project) ซึ่งทั้ง 3 โครงการประสบความสำเร็จในการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ สวัสดิการสังคม หรือการเติบโตของอุตสาหกรรม
ที่มา: Yun-chu Wang, Fred Phillips and Chyan Yang (2020). Bridging innovation and commercialization to create value: An open innovation study. Retrieved March 2, 2021, from https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0148296320306329
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของเทคโนโลยีและการเติบโตของธุรกิจ
จากการศึกษาข้อมูลการถ่ายทอดเทคโนโลยี 514 รายการ โดย 43 มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยหลักของรัฐบาลไปยังบริษัทในเกาหลี เพื่อศึกษาผลของปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ความสามารถในการรับความรู้และเทคโนโลยีใหม่ (adsorptive capacity) ของบริษัท, ความสามารถทางนวัตกรรมภายใน (internal innovation capacity) ของบริษัท, ความร่วมมือกันระหว่างผู้ให้เทคโนโลยีและผู้รับเทคโนโลยี และสภาพการแข่งขันทางการตลาด ต่อความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และการเติบโตของธุรกิจ พบว่า
ผลของปัจจัยที่มีต่อความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของเทคโนโลยีที่ถูกถ่ายทอดและต่อการเติบโตของธุรกิจมีความแตกต่างกันในสภาพแวดล้อมของการแข่งขันทางการตลาดที่แตกต่างกัน ในสภาพที่ตลาดมีการแข่งขันสูง ความสามารถในการรับความรู้และเทคโนโลยีใหม่ของบริษัททำให้เกิดความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ในระยะสั้นและทำให้เกิดการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว เมื่อตลาดมีการแข่งขันต่ำ ความสามารถทางนวัตกรรมภายในของบริษัททำให้เกิดการเติบโตของบริษัทในระยะยาว ในขณะที่ไม่มีความสำคัญต่อความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของเทคโนโลยีในระยะสั้น ความร่วมมือกันดีระหว่างผู้ให้เทคโนโลยีและผู้รับเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของเทคโนโลยีที่ถูกถ่ายทอดโดยสภาพตลาดไม่มีผล
ที่มา: Jae-Woong Min, YoungJun Kim and Nicholas S. Vonortas (2020). Public technology transfer, commercialization and business growth. Retrieved February 23, 2021, from https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0014292120300398
การต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ดีหรือไม่ดีต่อวิทยาศาสตร์ ศึกษาจากผู้อำนวยการสถาบัน Max Planck ประเทศเยอรมัน
เป็นการศึกษาผลของการเปิดเผยการประดิษฐ์ (invention disclosure), การอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวิจัย (licensing) และ กิจกรรม spin-off ของผู้อำนวยการสถาบัน Max Planck ประเทศเยอรมัน (หน่วยงานวิจัยของรัฐบาลที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัย) ในช่วงปี 1985-2004 ที่มีต่อการเผยแพร่ (publication) และการอ้างอิงผลงาน (citation) พบว่า
- การประดิษฐ์เทคโนโลยีที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ซึ่งต่อมามีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวิจัย มีผลเพิ่มจำนวนการเผยแพร่และการอ้างอิงผลงาน ในขณะที่การเป็นผู้ก่อตั้ง spin-off ระยะยาว มีจำนวนการเผยแพร่และการอ้างอิงผลงานในระดับต่ำ
- การประดิษฐ์ที่ได้รับอนุญาตให้ spin-off มีผลไม่สำคัญต่อการเผยแพร่หรือการอ้างอิงผลงาน แสดงว่าการอนุญาตให้ spin-off ไม่มีผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นมาพิเศษต่อนักวิจัย
- นักวิจัยมีการเผยแพร่และการอ้างอิงผลงานมากขึ้นหลังจากการเปิดเผยการประดิษฐ์ที่มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวิจัยครั้งแรก
- การไหลเวียนของรายได้จากการอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวิจัยและการต่อยอดการประดิษฐ์สู่เชิงพาณิชย์ไม่มีผลทางบวกต่อคุณภาพและปริมาณการเผยแพร่ผลงานของนักวิจัย
- ผลของการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับภาคเอกชนไม่สามารถมีผลต่อความสามารถในการวิจัยของนักประดิษฐ์ทางวิชาการและนักวิจัยที่ต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์อย่างสมบูรณ์ อย่างเช่นในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์อาวุโสซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดในภาคเอกชน โดยเฉลี่ยมีจำนวนการเผยแพร่และการอ้างอิงผลงานลดลง
ที่มา: Guido Buenstorf (2009). Is commercialization good or bad for science? Individual-level evidence from the Max Planck Society. Retrieved February 4, 2021, from https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0048733308002746