ขายหัวเราะ ฉบับรู้ทันโควิด

ขายหัวเราะ ฉบับรู้ทันโควิด

ขายหัวเราะเฉพาะกิจรู้ทันโควิด 19 เป็นความร่วมมือขององค์การอนามัยโลกกับภาคีในการก้าวไปกับ “ความปรกติใหม่” ของชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกับเชื้อไวรัส

ฉบับภาษาไทย | English Version

 

ที่มา : https://www.who.int/docs/default-source/searo/thailand/knowcovid-final-pages-r01.pdf

แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565

แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565

โดยมีเนื้อหา

  • สถานการณ์แนวโน้ม และระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • นโยบาย ยุุทธศาสตร์ชาติและแผนที่เกี่ยวข้องกับแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • สถานการณ์ของประเทศด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในปัจจุบัน
  • แนวโน้มของโลกและนัยต่อประเทศไทย
  • ฉากทัศน์ภาพอนาคต
  • ทิศทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ

 

สามารดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ : shorturl.asia/uK3Mi  หรือคลิกที่ลิงก์ หนังสือแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565

ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

หนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดทำหนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน จัดพิมพ์ครั้งแรก เดือนเมษายน 2563 และเผยแพร่ฉบับ pdf file ไว้บนเว็บไซต์ สสส. (https://www.thaihealth.or.th/)

เนื้อหาในเล่ม ประกอบด้วย สาระความรู้ต่างๆ ในเรื่องของ โควิด-19 ได้แก่

  • ทําความรู้จักโควิด – 19
  • ติดโควิดหรือเปล่า? เช็กสัญญาณและอาการได้ที่นี่
  • ใครบ้างที่เสี่ยงสูงติดโควิด-19
  • เเนวทางปฏิบัติเมื่อต้องกักตัว 14 วัน
    • เตรียมที่พักและอุปกรณ์อย่างไรให้พร้อม
    • ข้อปฏิบัติกรณีอยู่บ้านคนเดียว
    • ข้อปฏิบัติสําหรับผู้ที่ต้องกักตัว
    • ข้อปฏิบัติสําหรับผู้ดูแลอาคารชุด
  • เมื่อไหร่ควรไปหาหมอ
  • ทําความเข้าใจเส้นทางการรักษาโควิด-19
  • การดูแลตนเองสําหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ในช่วงระบาดของ COVID-19
  • แนะนําวิธีดูแลเด็กอย่างไรในช่วงโควิด-19

 

PDF PicDownload เอกสาร ได้ที่เว็บไซต์ข้างต้น หรือคลิกที่ลิงก์  หนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน

ที่มา: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มกราคม 2564

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มกราคม 2564

สหรัฐอเมริการกับการมีส่วนกับประชาคมโลกในด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีสถิติการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกมาจนถึงปี 2548 ที่จีนได้แซงหน้า สหรัฐฯ ได้เข้าเป็นภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Unitec Nations Framework Convention on Climate Change – UNFCCC) เมื่อปี 2535 ขณะที่ต่อมีมีการจัดทำพิธีสารเกียวโต ทีประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2538 สหรัฐฯ ในฐานะที่เป็นประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก ที่ต้องมีพันธกรณีลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายของพิธีสาร ไม่เข้าร่วมเป็นภาคีพิธีสารฯ ซึ่งมีการผูกมัดประเทศพัฒนาแล้วให้ลดก๊าซเรือนกระจก และช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในโครงการซื้อขายก๊าซเรือนกระจกที่มีเครดิตคาร์บอนที่เรียกว่า กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanise – CDM) เป็นกรอบโครงการที่รัฐภาคีสมาชิกจะดำเนินร่วมกันจนทำให้การดำเนินงานระหว่างภายใต้พิธีสาร
เกียวโตขาดเอกภาพ และค่อยๆ หมดกำลังลง โดยเฉพาะ ปี 2556 – 2563 แคนาดาขอถอนตัวจากการเป็นภาคีพิธีสาร ขณะที่ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ประกาศไม่ขอผูกมัดตนเองตามพันธกรณี โดยญี่ปุนพยายามสร้างกลไกมาซื้อขายคาร์บอนแบบทวิภาคี หรือ Joint Crediting Mechanism (JCM) ซึ่งมีส่วนทำให้พิธีสารเกียวโตหมดความหมายเช่นเดียวกัน
พัฒนาของเหตุการณ์เหล่านี้ มีผลสำคัญมาจากการที่ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวยเหมือนแต่ก่อน ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาได้พัฒนารุดหน้าขึ้นมาก ทั้งทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ทั้งในการผลิตทางอุตสาหกรรม และเพิ่มสัดส่วนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะ จีน อินเดีย บราซิล อินโดนีเซีย ได้รวมตัวกันแล้วปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 63% ของโลก ด้วยเหตุนี้
ที่ประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้พยายามหามาตรการใหม่ที่จะให้ทุกประเทศร่วมแรงร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อรักษาอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงเกินกว่า 2 องศาเซลเซียส และนำไปสู่การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ 21 ที่กรุงปารีส เมื่อปี 2558 มุ่งเน้นให้มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกโดยสมัครใจ จากความตกลงระหว่างประเทศที่ชื่อว่า ความตกลงปารีส (Paris Agreement)

ความตกลงปารีส Paris Agreement

ความตกลงปารีสมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 หรือ 30 วันหลังจากวันที่ภาคีอนุสัญญาฯ อย่างน้อย 55 รัฐ ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันอย่างน้อย 55%  ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดย จีนกับสหรัฐฯ ได้ยื่นสัตยาบันสารรับรองความตกลงปารีสพร้อมกัน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2559 (ไทยยื่นสัตยาบันสารเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559)

 

การเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้การบริหารงานของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์

หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ชนะผลการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2560 นั้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกฎและระเบียบจากสมัยอดีตประธานาธิบดีโอบามา รวมถึง นโยบายและการบริหารจัดการของหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่
1. การถอนตัวจากความตกลงปารีส
การที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโอบามาได้ลงนามในความตกลงปารีส เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 และให้สัตยาบันเดือนกันยายนปีเดียวกันพร้อมกับสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่เมื่อการสืบทอดตำแหน่งทางการเมืองในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศกร้าวว่าโลกร้อนไม่จริง ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ จะถอนการสนับสนุนความตกลงปารีส
นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นภาพสะท้อนนโยบายภาพรวมของพรรคที่มีกลุ่มผลประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมเชื้อเพลิง
ฟอสซิล (น้ำมันและก๊าซ) หนุนหลังอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัท Exxon Mobil ที่เป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ
หลังจากแถลงการณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ยกเลิกการเข้าร่วมความตกลงปารีส เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 ณ ทำเนียบขาว โดยได้ยื่นสารขอลาออกจากสมาชิกภาพเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2562 จึงทำให้ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มุ่งมั่นที่จะนำสหรัฐฯ กลับเข้าเป็นภาคีรัฐสมาชิกตามเดิมในโอกาสแรก

2. การยกเลิกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและถอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกจากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ
ในช่วงต้นเดือนมกราคม 2561 สมาชิกรัฐสภา ได้ส่งจดหมายเพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ พิจารณายกเลิกการถอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกจากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติอีกครั้ง นายกเทศมนตรีรัฐชิคาโก ได้จัดประชุมผู้นำท้องถิ่นจากรัฐต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ร่วมกับแคนาดา และเม็กซิโก ร่วมลงนามความตกลงใน Global Covenant of Mayors for Climate and Energy ซึ่งเป็นแผนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถึงแม้ว่าการประชุมจะเกิดขึ้นก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงการณ์ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาตินั้นแต่ผู้นำท้องถิ่นในแต่ละรัฐยังคงเดินหน้าต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

3. การเปลี่ยนแปลงของหน่วยงาน EPA

หน่วยงาน Environment Protection Agency (EPA) มีหน้าที่ปกป้อง ประเมิน และวิจัยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งได้สนับสนุนให้นายสก๊อต พรูอิทท์ (Scott Pruitt) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ EPA
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 นายพรูอิทท์เคยฟ้องร้องหน่วยงาน EPA 14 ครั้งในเรื่องมลพิษทางน้ำ อากาศ การควบคุม
สารปรอท หมอกควัน และมลพิษอื่นๆ ทั้งยังมีความคิดไม่เห็นด้วยว่า กิจกรรมของมนุษย์เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาวิจัยไว้
ปลายปี 2560 หน่วยงาน EPA และนายพรูอิทท์ได้ถูกฟ้องร้องในข้อหาละเลยหน้าที่ของรัฐบาลในการควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทน อัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์กร่วมกับอีก 13 รัฐ กล่าวว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 115 ล้านคน กำลังสูดหมอกควันระดับอันตรายเข้าไป แสดงให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อสุขภาพของประชาชนและกฏหมาย
นายพรูอิทท์ ได้ลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการ EPA เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 หลังจากสื่อต่างๆ กล่าวถึงการทำผิดจรรยาบรรณและความไม่เหมาะสมในตำแหน่งด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอชื่อนายแอนดรูว์
วีลเลอร์ (Andrew Wheeler) ดำรงตำแหน่งแทน นายวีลเลอร์มีนโยบายการบริหารงานทางด้านสิ่งแวดล้อมไม่แตกต่างจากนายพรูอิทท์ และนโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อมของประธานาธิบดีทรัมป์คงเดินหน้าต่อไป

4. การยกเลิกแผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan : CPP)

แผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan : CPP) โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้า 32% ภายในปี 2573 ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า CPP ไม่สอดคล้องกับ Clean Air Act ซึ่งเป็นกฏหมายของรัฐบาลกลางในการควบคุมคุณภาพอากาศและลดมลพิษทางอากาศจึงควรยกเลิกแผนพลังงานสะอาด ทั้งนี้ แผน ACE จะทำให้ความเข้มงวดในการควบคุมการปล่อยมลพิษลดลงและคาดว่าจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น 12 เท่าใน 10 ปีต่อจากนี้

5. การอนุมัติโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน Keystone XL

ประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่าโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน KeystonXL หรือ Keystone Export Limited ของบริษัท TransCanada Corp. มีมูลค่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพิ่มศักยภาพในการขนส่งน้ำมันดิบ (Oil sands) จากรัฐแอลเบอร์ตาไปยังรัฐเนเบรสกา ถึง 830,000 บาเรล/วัน ซึ่งโครงการนี้ถูกระงับโดยอดีตประธานาธิบดีโอบามาด้วยเหตุผลด้านผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เนื่องจากการกลั่นน้ำมันดิบจากทรายน้ำมัน (Oil sands) ต้องใช้น้ำในปริมาณมากและความร้อนสูงชะแยกน้ำมันออกจากมวลทราย โดยกระบวนการดังกล่าวจะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าปกติถึง 17% และประชาชนอาจจะได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างและหากมีการรั่วไหลของน้ำมัน

นโยบายการปฏิวัติด้านพลังงานสะอาดและความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมของนายโจ ไบเดน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2564 มีมุมมองว่าเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม คือเรื่องเดียวกัน และวางแผนดำเนินการทางด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลกลางจะลงทุน 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงสิบปีข้างหน้า ในการปฏิวัติพลังงานสะอาด (Clean Energy Revolution) โดยไบเดนได้กลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีสเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน นอกจากนี้ยังเตรียมปรับ Green New Deal (คือ ข้อเสนอด้านนโยบายของสหรัฐฯ ที่ระบุปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ)

นโยบายทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของนายไบเดน ได้แก่ :
1. นำพาสหรัฐฯ ไปสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาด (cleanenergy economy) 100% และภายในปี 2593 (ค.ศ.2050) จะยุติการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
1.1 ระเบียบบริหารราชการชุดใหม่ (series of new executive orders) ผลักดันความก้าวหน้าครั้งประวัติศาสตร์ในการลดการปล่อยก๊าซอย่างมีนัยสำคัญของสหรัฐฯ
1.2 วาระทางด้านกฏหมายที่จะมีการผลักดันในปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

2. เสริมความแข็งแกร่งและฟื้นฟูสหรัฐฯ รัฐบาลวางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นอาคาร ระบบน้ำ การขนส่ง และพลังงาน ให้มีความทนทาน ช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

3. ร่วมกับนานาประเทศในการรับมือกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สหรัฐฯ มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดสัดส่วน 15% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก

4. ต่อต้านการใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้ปล่อยมลพิษ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนคนผิวสีและผู้ที่มีรายได้ต่ำ

5. ให้ความสำคัญและช่วยเหลือคนงานและชุมชนที่ดำเนินการด้านถ่านหินโรงไฟฟ้า นายไบเดนให้คำมั่นที่จะไม่ทอดทิ้งคนงานทุกคน

อ่านเพิมเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/ost-sci-review-jan2021.pdf

 

 

 

 

 

การเลือกใช้งาน Joomla กับ WordPress

Joomla เป็นระบบ CMS เพื่อบริหารจัดการข้อมูลบนเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมาก มีการวางโครงสร้างทางด้านโปรแกรมไว้เป็นสัดส่วน เหมาะสำหรับนำมาใช้ทำเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน หลักการสำคัญของการจัดการคือ

  • จัดหมวดหมู่ของเนื้อหาเว็บเป็น category ได้
  • จัดทำหน้าโชว์ข้อมูลใน category ได้หลายรูปแบบ ทั้ง List และ Blog โดยผ่านการกำหนดของ Menu
  • มี Template ที่ออกแบบสวยงามแล้วให้ใช้งานได้
  • เพิ่มความสามารถต่างๆ ได้โดยการใช้ Extension เสริม

นับเป็น cms ที่ใช้จัดทำเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมากตัวนึง แต่ทั้งนี้ Joomla ได้ลดความนิยมลงไป จากการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของ WordPress

 

WordPress เป็นระบบ CMS ที่เริ่มจากการเป็นที่นิยมของกลุ่ม Bloger หรือนักเขียน เหมาะสำหรับมือใหม่เน้นการใช้งานง่าย สร้างเว็บไซต์ขนาดกลาง-เล็ก และมีความสามารถในการทำ SEO มากที่สุด การใช้งานหลักจะเหมือนกับ Joomla มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป คือ

  • ส่วนเสริม Elementor หรือกลุ่ม Page Builder ทำให้การสร้างเนื้อหาได้หลากหลาย สวยงาม และยืดหยุ่นมากกว่า Editor Tools ธรรมดา
  • การรองรับการจัดทำหน้าเว็บเป็นแบบ Responsive ที่ดูได้จากทุกรูปแบบ device ได้ดีกว่า
  • มี Plugin จำนวนมาก ช่วยในการปรับความสามารถ

 

ในการจัดทำเว็บ ต้องคำนึงถึง Tools ที่เสริมความสามารถในการจัดทำให้ตรงกับจุดประสงค์ของเว็บไซต์ ในแต่ละระบบก็มีข้อดี/ข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ content หรือเนื้อหาในเว็บไซต์ต้องถูกต้อง และสื่อสารได้ตรงประเด็นกับที่ต้องการ จะทำให้เว็บและสิ่งที่เราเผยแพร่ได้รับความนิยมและมีผลต่อ search engine ต่อไป

ปัจจัยความสำเร็จของการดำเนินโครงการ ศึกษาจาก 4 โครงการของห้องปฏิบัติการหนึ่งที่ได้รับทุนจากภาครัฐ

จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการ 4 โครงการของห้องปฏิบัติการหนึ่งที่ได้รับทุนจากภาครัฐ ได้แก่ โครงการเกษตร, โครงการสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ, โครงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และโครงการอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า

ปัจจัยความสำเร็จของการดำเนินโครงการ ได้แก่

1. กำหนดเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่เริ่มแรกและเป็นระบบ (Define an S&T focus early and systematically)

2. เข้าใจและมีส่วนร่วมในตลาดตั้งแต่เริ่มแรก (Understand and engage the market early)

3. มองไปข้างนอกหน่วยงานเพื่อทิศทางและการตรวจสอบความถูกต้อง (Look outside the organization for direction and validation)

โดยการทำ external review ตั้งแต่เริ่มแรกและบ่อยๆ เช่น peer review ที่เป็นทางการ

4. สร้างทีมที่เหมาะสมสำหรับงาน (Create the right team for the task)

การสร้างทีมที่เหมาะสมสำหรับงานเริ่มต้นด้วยความเป็นผู้นำที่เหมาะสม ผู้นำของโครงการต้องมีทั้งความเข้าใจตลาดดีและประสบการณ์ในขบวนการการพัฒนาภายในหน่วยงาน นอกจากนี้การรู้ถึงความสามารถของห้องปฏิบัติการ ขบวนการตัดสินใจและโครงสร้างหน่วยงานทำให้ผู้นำสามารถนำความสามารถที่ต้องการมารวมกันเพื่อแก้ปัญหาความต้องการของตลาด โครงการที่มีผู้นำหรือผู้นำร่วมและรองแสดงว่าการแบ่งความรับผิดชอบกันนี้ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้ามีความร่วมมือกันทำงานเป็นทีมเพื่อบรรลุเป้าหมายทางกลยุทธ์

5. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในหน่วยงานเพื่อทิศทางและการสนับสนุนภายใน (Develop alliances within the organization for direction and internal support)

การสนับสนุนจากผู้บริหารอาวุโสที่ประสบผลสำเร็จและบุคคลอื่นที่มีความสำคัญทางกลยุทธ์ เช่น นักวิทยาศาสตร์ผู้นำ เจ้าหน้าที่การตลาด มีผลสำคัญต่อความสำเร็จของการดำเนินโครงการ

 

ที่มา: Charlette Geffen and Kathleen Judd (2004). Innovation through initiatives—a framework for building new capabilities in public sector research organizations. Retrieved March 9, 2021, from https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0923474804000487

Four-platform open innovation system ของ ITRI (the Industrial Technology Research Institute) ในไต้หวัน

จากการสัมภาษณ์ผู้เป็นหลักและเกี่ยวข้องโดยตรงกับการวางแผนระบบนวัตกรรมแบบเปิด (open innovation system) ของ ITRI (หน่วยงานวิจัยและพัฒนาที่ไม่แสวงหากำไรใหญ่ที่สุดในไต้หวัน, หลายประเทศยอมรับว่าเป็นหน่วยงานตัวอย่างของการเชื่อมโยงระหว่างการประดิษฐ์ (invention) และการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ (commercialization)) ทำให้เข้าใจระบบนวัตกรรมแบบเปิดแบบ 4 platforms (four-platform open innovation system) ของ ITRI ว่าประกอบด้วย platforms ดังนี้ Front-End Platform, Core Technology Platform, Innovation Platform และ Commercialization Platform โดยแต่ละ platform จะทำหน้าที่ต่าง ๆ กันและทำงานสัมพันธ์กัน มีการติดต่อระหว่างกันทำให้เกิดความเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์ระหว่างนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์นำไปสู่ผลลัพธ์สุดท้ายคือคุณค่าทางเศรษฐกิจ สวัสดิการสังคม และการเติบโตของอุตสาหกรรม

นอกจากนี้การศึกษานี้ยังได้แสดงรายละเอียดของกิจกรรมและปฏิสัมพันธ์ระหว่างแต่ละ platform จากการประยุกต์ใช้ four-platform open innovation system กับ 3 โครงการที่มีลักษณะแตกต่างกันของ ITRI ได้แก่ โครงการพัฒนากล้องจุลทรรศน์ (The optical electronics multi-function desktop microscope project), โครงการบำบัดน้ำ (The water treatment project) และโครงการบริหารโรคเบาหวาน (The Diabetes Management project) ซึ่งทั้ง 3 โครงการประสบความสำเร็จในการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ สวัสดิการสังคม หรือการเติบโตของอุตสาหกรรม

 

ที่มา: Yun-chu Wang, Fred Phillips and Chyan Yang (2020). Bridging innovation and commercialization to create value: An open innovation study. Retrieved March 2, 2021, from  https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0148296320306329

ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของเทคโนโลยีและการเติบโตของธุรกิจ

จากการศึกษาข้อมูลการถ่ายทอดเทคโนโลยี 514 รายการ โดย 43 มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยหลักของรัฐบาลไปยังบริษัทในเกาหลี เพื่อศึกษาผลของปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ความสามารถในการรับความรู้และเทคโนโลยีใหม่ (adsorptive capacity) ของบริษัท, ความสามารถทางนวัตกรรมภายใน (internal innovation capacity) ของบริษัท, ความร่วมมือกันระหว่างผู้ให้เทคโนโลยีและผู้รับเทคโนโลยี และสภาพการแข่งขันทางการตลาด ต่อความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และการเติบโตของธุรกิจ พบว่า

ผลของปัจจัยที่มีต่อความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของเทคโนโลยีที่ถูกถ่ายทอดและต่อการเติบโตของธุรกิจมีความแตกต่างกันในสภาพแวดล้อมของการแข่งขันทางการตลาดที่แตกต่างกัน ในสภาพที่ตลาดมีการแข่งขันสูง ความสามารถในการรับความรู้และเทคโนโลยีใหม่ของบริษัททำให้เกิดความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ในระยะสั้นและทำให้เกิดการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว เมื่อตลาดมีการแข่งขันต่ำ ความสามารถทางนวัตกรรมภายในของบริษัททำให้เกิดการเติบโตของบริษัทในระยะยาว ในขณะที่ไม่มีความสำคัญต่อความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของเทคโนโลยีในระยะสั้น ความร่วมมือกันดีระหว่างผู้ให้เทคโนโลยีและผู้รับเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของเทคโนโลยีที่ถูกถ่ายทอดโดยสภาพตลาดไม่มีผล

 

ที่มา: Jae-Woong Min, YoungJun Kim and Nicholas S. Vonortas (2020). Public technology transfer, commercialization and business growth. Retrieved February 23, 2021, from https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0014292120300398

การต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ดีหรือไม่ดีต่อวิทยาศาสตร์ ศึกษาจากผู้อำนวยการสถาบัน Max Planck ประเทศเยอรมัน

เป็นการศึกษาผลของการเปิดเผยการประดิษฐ์ (invention disclosure), การอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวิจัย (licensing) และ กิจกรรม spin-off ของผู้อำนวยการสถาบัน Max Planck ประเทศเยอรมัน (หน่วยงานวิจัยของรัฐบาลที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัย) ในช่วงปี 1985-2004 ที่มีต่อการเผยแพร่ (publication) และการอ้างอิงผลงาน (citation) พบว่า

  1. การประดิษฐ์เทคโนโลยีที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ซึ่งต่อมามีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวิจัย มีผลเพิ่มจำนวนการเผยแพร่และการอ้างอิงผลงาน ในขณะที่การเป็นผู้ก่อตั้ง spin-off ระยะยาว มีจำนวนการเผยแพร่และการอ้างอิงผลงานในระดับต่ำ
  2. การประดิษฐ์ที่ได้รับอนุญาตให้ spin-off มีผลไม่สำคัญต่อการเผยแพร่หรือการอ้างอิงผลงาน แสดงว่าการอนุญาตให้ spin-off ไม่มีผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นมาพิเศษต่อนักวิจัย
  3. นักวิจัยมีการเผยแพร่และการอ้างอิงผลงานมากขึ้นหลังจากการเปิดเผยการประดิษฐ์ที่มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวิจัยครั้งแรก
  4. การไหลเวียนของรายได้จากการอนุญาตให้ใช้สิทธิในงานวิจัยและการต่อยอดการประดิษฐ์สู่เชิงพาณิชย์ไม่มีผลทางบวกต่อคุณภาพและปริมาณการเผยแพร่ผลงานของนักวิจัย
  5. ผลของการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับภาคเอกชนไม่สามารถมีผลต่อความสามารถในการวิจัยของนักประดิษฐ์ทางวิชาการและนักวิจัยที่ต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์อย่างสมบูรณ์ อย่างเช่นในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์อาวุโสซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดในภาคเอกชน โดยเฉลี่ยมีจำนวนการเผยแพร่และการอ้างอิงผลงานลดลง

 

ที่มา: Guido Buenstorf (2009). Is commercialization good or bad for science? Individual-level evidence from the Max Planck Society. Retrieved February 4, 2021, from https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0048733308002746