NSTDA Services 2023

หน่วยงานในกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2534 สวทช. มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก โดยการนำความสามารถอันเหนือชั้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาช่วยให้ภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมสามารถดำเนินงานได้ดี มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่ง สวทช. ได้ดำเนินงานผ่านการทำงานร่วมกัน โดยมีศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี หรือ ทีเอ็มซี (TMC) และ 5 ศูนย์วิจัยแห่งชาติ คือ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค (BIOTEC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค (NECTEC) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ หรือ เอ็มเทค (MTEC) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ นาโนเทค (NANOTEC) และ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ หรือ เอ็นเทค (ENTEC)

สวทช. มีภารกิจหลัก คือ การทำวิจัยและสนับสนุนการวิจัยเพื่อนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปช่วยพัฒนาประเทศ โดย สวทช. สนับสนุนให้มหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน ผ่านกลไกต่างๆ อาทิ การร่วมวิจัย การรับจ้างวิจัย การให้คำปรึกษา และการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรม การสร้างและการเข้าถึงคลังข้อมูลผลงานวิจัย การช่วยจัดหาข้อมูลวิชาการที่จำเป็นสำหรับงานวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาที่ประสบอยู่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรและเตรียมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญต่างๆ ไว้รองรับ

นอกจากนี้ ภาคเอกชนที่มีศักยภาพในการดำเนินการวิจัยและพัฒนาด้วยตัวเอง ยังสามารถจัดตั้งห้องปฏิบัติการในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งเป็นนิคมวิจัยแห่งแรกของประเทศได้ เพื่อดำเนินการวิจัยคู่ขนานไป หรือเชื่อมโยงกับ สวทช. ได้อีกทางหนึ่งด้วย

 

 

ไม่สวมหมวกนิรภัยมีโทษปรับ

รู้หรือไม่? ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะครับ

 

สวมหมวกนิรภัยลดโอกาสเสียชีวิต

รู้หรือไม่? การสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่จักรยายนยนต์ลดโอกาส การเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุได้เท่าไหร่?

เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะครับ

 

วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 3 เดือน มีนาคม 2565

วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 3 เดือน มีนาคม 2565

ขยะ ขยะ ขยะ… แนวทางการกำจัดขยะในอนาคต

Earth day
          วันคุ้มครองโลกตรงกับวันที่ 22 เมษายนของทุกปี เป็นวันครบรอบการกำเนิดของการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสร้างความตระหนักในความสำคัญของความยั่งยืนของระบบนิเวศระยะยาว

ขยะและของเสีย
          ขยะ/ของเสีย คือ ผลิตภัณฑ์หรือสารที่ไม่เหมาะสมกับการใช้งานอีกต่อไป ของเสียในระบบนิเวศตามธรรมชาติ เช่น ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และอินทรียวัตถุที่ตายแล้ว จะถูกใช้เป็นอาหารหรือสารตั้งต้น
ขยะ/ของเสียสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ขยะ/ของเสียที่ไม่เป็นอันตรายหรือ ขยะมูลฝอย และขยะ/ของเสียอันตราย โดยของเสียอันตรายมักถูกควบคุมในระดับชาติ ส่วนของเสียที่ไม่เป็นอันตราบถูกควบคุมโดยระดับภูมิภาคหรือระดับท้องถิ่น
ขยะ/ของเสียอันตราย คือ ขยะ/ของเสียที่ระบุว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จึงต้องมีการจัดการที่เป็นพิเศษ มีการกำหนดลักษณะทางเคมีและกายภาพ กระบวนการจัดเก็บและรีไซเคิล ความไวไฟ การกัดกร่อน ความเป็นพิษ และการระเบิด โดยของเสียที่เป็นของเหลว ก๊าซ จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทั้งการบำบัดด้วยสารเคมี การเผา อย่างปลอดภัย การนำกลับมาใช้ใหม่ และการรีไซเคิล
ขยะ/ของเสียอันตรายชนิดพิเศษ ได้แก่
– การกัมมันตรังสี วัสดุกัมมันตภาพรังสี รวมถึงเวชศาสตร์นิวเคลียร์ การวิจัยนิวเคลียร์ การผลิตพลังงานนิวเคลียร์ การขุดแร่หายาก และการนำอาวุธนิวเคลียร์มาแปรรูปใหม่ ซึ่งการจัดการมีความแตกต่างจากของเสียอื่นๆ
– ของเสียทางการแพทย์ที่มาจากระบบการรักษาพยาบาลทั้งของคนและสัตว์ ประกอบด้วย ยา สารเคมี ผ้าพันแผล อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้แล้ว ของเหลวจากร่างกายฯ ของเสียทางการแพทย์อาจจะเป็นสารที่เป็นพิษ หรือมีกัมมันตภาพรังสี หรือมีแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย หรือที่ดื้อต่อยา สามารถติดเชื้อได้
– ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) เป็นขยะอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่หมดอายุการใช้งาน เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ขยะอิเล็กทรอนิกส์นับว่าเป็นอันตรายแม้ว่า บางส่วนนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบที่เป็นพิษ เช่น ตะกั่ว และโลหะต่างๆ

การจัดการขยะ

วิธีการกำจัดขยะแบบต่างๆ

– ฝังกลบ เป็นวิธีการกำจัดขยะที่นิยมใช้ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งการฝังของเสียในดิน มีกระบวนการกำจัดกลิ่นและของเสียที่เป็นอันตรายก่อนที่จะฝังลงดิน แต่ปัจจุบันวิธีการนี้มีการใช้น้อยลง เนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอ และการเกิดก๊าซมีเทนและก๊าซอื่นๆ ก่อให้เกิดการปนเปื้อนและปัญหามลพิษทางอากาศและทางน้ำ ส่งผลกระทบทั้งคนและสัตว์
– การเผา เป็นวิธีการกำจัดขยะมูลฝอยด้วยการเผาที่อุณหภูมิสูง ข้อดีคือ สามารถลดปริมาณขยะมูลฝอยได้ถึง 20-30% และลดพื้นที่ในการฝังกลบ เป็นที่นิยมในประเทศ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
– พลาสมาก๊าซซิฟิเคชั่น (Plasma gasification) การใช้พลาสมาที่เป็นก๊าซประจุไฟฟ้าหรือไอออไนซ์สูง ทำให้ขยะ/ของเสียแตกตัวเป็นก๊าซ การจัดการในรูปแบบนี้ให้พลังงานหมุนเวียนและประโยชน์อื่นๆ ที่น่าอัศจรรย์เป็นเทคโนโลยีที่นำไปสู่พลังงานสะอาด
– ปุ๋ยหมัก กระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพที่ง่ายและเป็นธรรมชาติ นำของเสียอินทรีย์ เช่น ซากพืชและของเสียทางการเกษตรในครัวเรือน ให้กลายเป็นสารอาหารที่ดีเยี่ยมให้แก่พืช และเป็นวิธีการกำจัดของเสียที่ดีที่สุด แต่ข้อเสียคือ กระบวนการย่อยของจุลินทรีย์เกิดขึ้นช้าๆ ใช้เวลา และใช้พื้นที่ค่อนข้างมาก
– การนำกลับมาใช้ใหม่และการรีไซเคิล กระบวนการนำสิ่งของที่ถูกทิ้ง กลับมาใช้โดยการแปรรูป หรือแปลงให้เป็นพลังงานในรูปของความร้อน ไฟฟ้า หรือเชื้อเพลิง ส่วนการรีไซเคิลเป็นกระบวนการเปลี่ยนของเสียให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อลดการใช้พลังงานและการใช้วัตถุดิบใหม่ แนวคิดเบื้องหลังการรีไซเคิล คือ การลดใช้พลังงาน ลดปริมาณของหลุมฝังกลบ ลดมลภาวะทางอากาศและทางน้ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
แนวทางการแก้ปัญหาขยะในปัจจุบัน

Zero waste หรือ ขยะเป็นศูนย์ ความหมายว่า เป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติจากแหล่งต่างๆ จากการผลิต การบริโภค การใช้ซ้ำ Zero waste ครอบคลุมทั้งวงจรของผลิตภัณฑ์หรือวัสดุ การได้มา การผลิต การบริโภค และการไม่มีขยะส่งไปยังหลุมฝังกลบ เตาเผาขยะ หรือมหาสมุทร

Zero Waste

3Rs – หลักของ Zero Waste

Reduce : การลดปริมาณขยะ ลดการใช้ เลี่ยงการทิ้งผลิตภัณฑ์หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงการลดการใช้วัสดุที่เป็นพิษ กำจัดตัวเลือกผลิตภัณฑ์แบบใช้แล้วทิ้งและเปลี่ยนไปใช้ตัวเลือกที่ใช้ซ้ำได้แทน

Reuse : การนำกลับมาใช้ใหม่ บำรุงรักษา ซ่อมแซม การใช้วัสดุและผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด โดยการนำกลับมาใช้ใหม่ การใช้ซ้ำ การถอดแยกชิ้นส่วน ฯ เป็นเป้าหมายที่ครอบคลุมทั้งในระดับการผลิตและผู้บริโภค

Recycle : การรีไซเคิลมีบทบาทสำคัญของ Zero Waste การรีไซเคิลเป็นการเปลี่ยนของเสีย ของที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้กลับมาเป็นสิ่งมีประโยชน์ ทั้งนี้ การรีไซเคิลยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เนื่องจากวัสดุและผลิตภัณฑ์ ที่ใช้งานในปัจจุบันมีความหลากหลาย นอกจากนี้ การรีไซเคิลรวมถึง การหมักทำปุ๋ย/ขยะย่อยสลาย เช่น เศษผัก เปลี่ยนเป็นปุ๋ยหมัก กระบวนการทางธรรมชาติทำให้ของเสียมีค่า หมุนเวียนจากอาหารไปสู่ปุ๋ยหมักอีกครั้ง

          Recycle

          การรีไซเคิลช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติ หรือวัสดุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่นำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์ เช่น กระดาษ หากไม่มีรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ ทรัพยากรต้นไม้อาจถูกใช้หมด ประโยชน์ที่สำคัญของการรีไซเคิล คือ ลดขยะในหลุมฝังกลบและเตาเผา ซึ่งสร้างมลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศของโลก ประหยัดพลังงาน และเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ

กระบวนการรีไซเคิล ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ การรวบรวม การแปรรูป และการผลิตซ้ำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่

ขั้นตอนที่ 1 : การรวบรวม (Processing) – การรวบรวมขยะรีไซเคิล รวมถึงการรวบรวมการส่งกลับศูนย์ การมัดจำ หรือการส่งคืนขวดและรับเงินคืน

ขั้นตอนที่ 2 : การดำเนินการ (Processing) – หลังจากรวมขยะรีไซเคิลแล้ว ขยะจะถูกส่งไปที่ศูนย์เพื่อคัดแยก ทำความสะอาด และแปรรูปเป็นวัสดุที่สามารถใช้ในการผลิตได้ สินค้าบางชนิดต้องมีการประมวลผลเพิ่มเติมสำหรับการคัดแยกและการขจัดสิ่งปนเปื้อนเพิ่มเติม เช่น แก้วและพลาสติก จะส่งไปโรงงานแปรรูป เพื่อบดละเอียด

ขั้นตอนที่ 3 : การผลิตซ้ำ (Remanufacturing) หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว รีไซเคิลจะทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่โรงงานรีไซเคิลหรือโรงงานอื่น เช่น โรงงานกระดาษหรือโรงงานผลิตขวด

          Energy recovery

          ขยะเปียก ขยะมูลฝอย และของเสียเป็นก๊าซ เป็นปัญหา ด้วยเหตุนี้จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีและใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบต้นทุนต่ำนี้ ผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ สารตั้งต้นชีวภาพ พลังงานความร้อน และพลังงานไฟฟ้า

การแปลงวัสดุเหลือใช้ให้กลับนำมาใช้ใหม่หรือที่เรียกว่า ‘Waste to Energy’ เช่น

-พลังงานที่ได้จากการเผาไหม้ :

การนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่จากการเผาไหม้ของขยะมูลฝอยจากแหล่งชุมชนเป็นลำดับการจัดการขยะที่ไม่เป็นอันตราย แต่ยังสามารถผลิตพลังงานจะกระบวนการเผาขยะได้ด้วย

-การย่อยสลายขยะอินทรีย์ของแบคทีเรีย :

ขยะอินทรีย์ เช่น มูลสัตว์หรือสิ่งปฏิกูลของมนุษย์ หรือผลิตภัณฑ์ของเหลือทางการเกษตร พืชที่มีน้ำตาลและแป้ง รวบรวมในถังที่ปราศจากออกซิเจน ใช้เชื้อแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic bacteria) ย่อยสลายวัสดุเหล่านี้ ผ่านกระบวนการหมักเพื่อสร้างไบโอแอลกอฮอล์ เอทานอล บิวทานอล และโพรพานอล เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือผลิตกระแสไฟฟ้าได้

-การแปลงเป็นก๊าซหรือเชื้อเพลิงเหลว :

ชีวมวลสามารถเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงที่เป็นก๊าซหรือของเหลวได้โดยผ่านการแปรสภาพเป็นก๊าซ (Gasification) และไพโรไลซิส (Pyrolysis) ซึ่งการทำให้เป็นก๊าซ (Gasification) เป็นกระบวนการที่ทำให้ชีวมวลที่เป็นของแข็ง ผ่านอุณหภูมิสูง เพื่อผลิตก๊าซสังเคราะห์ (Synthesis gas) หรือ Syngas) ที่เป็นส่วนผสมประกอบด้วยคาร์บอนมอนอกไซต์และไฮโดรเจน ก๊าซสามารถเผาในหม้อต้มแบบธรรมดาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้ นอกจากนี้ ยังใช้แทนก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันก๊าซแบบ Combined-cycle gas turbine

ไพโรไลซิส (Pyrolysis) ใช้กระบวนการที่คล้ายกับการแปรสภาพเป็นก๊าซแต่สภาวะการทำงานต่างกัน โดยชีวมวลจะถูกให้ความร้อนที่อุณหภูมิต่ำกว่า เพื่อผลิตน้ำมันชีวภาพดิบ ซึ่งใช้ทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือดีเซลในเตาเผา กังหัน และเครื่องยนต์เพื่อการผลิตไฟฟ้า

นวัตกรรมปฏิวัติการจัดการขยะในอนาคต

การจัดการขยะอัจฉริยะเป็นการใช้ Internet of Things (IoT) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบ รวบรวม และติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรวบรวมขยะและกระตุ้นนวัตกรรมในอนาคต

ถังขยะอัจฉริยะ

เพื่อลดปัญหาการแยกขยะไม่ถูกหรือ ไม่เหมาะสมนี้ มีการพัฒนาถังขยะอัจฉริยะที่ใช้การจดจำวัตถุโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อแยกขยะรีไซเคิลออกเป็นช่องต่างๆ โดยอัตโนมัติ แล้วเครื่องจะบีบอัดขยะและตรวจสอบว่าแต่ละถังเต็มแค่ไหน เมื่อเต็มถังจะส่งสัญญาณไปยังศูนย์ เพื่อดำเนินการจัดเก็บ ถังขยะอัจฉริยะช่วยขจัดความผิดพลาดการคัดแยกของคน ทำให้การแปรรูปวัสดุเร็วและง่ายขึ้นสำหรับโรงงานรีไซเคิล สามารถลดต้นทุนการจัดการขยะได้มากถึง 80%

ท่อลมส่งขยะ

พื้นที่เขตชุมชนเมืองขยายตัวและเติบโตรวดเร็ว การจัดการขยะจำเป็นต้องมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับปริมาณขยะ จึงเกิดเป็นแนวคิดการติดตั้งถังกำจัดขยะแบบท่อลมที่เชื่อมต่อกับท่อใต้ดินหลายชุด ขยะจะไหลผ่านท่อไปยังโรงงานเก็บขยะเพื่อแยก ระบบนี้ขจัดความจำเป็นในการรวบรวมของเสียแบบเดิมๆ ลดต้นทุนด้านพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม

หุ่นยนต์รีไซเคิล AI

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จำนวนพนักงานที่ลดลงในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 เพื่อตอบสนองความต้องการ หุ่นยนต์รีไซเคิลขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์เป็นทางออกที่ดีเยี่ยม ที่ได้มีการออกแบบเพื่อให้สามารถระบุและคัดแยกวัสดุรีไซเคิลได้แม่นยำ เพิ่มประสิทธิภาพและลดความต้องการแรงงานมนุษย์ ช่วยประหยัดเงินของศูนย์รีไซเคิล และยังช่วยเปลี่ยนเส้นทางวัสดุที่จบลงในหลุมฝังกลบได้มากขึ้น

เซ็นเซอร์วัดระดับขยะ

บ้านและภาคธุรกิจทั่วประเทศใช้บริการเก็บขยะรายสัปดาห์มานานหลายทศวรรษแล้ว เพื่อช่วยลดการเดินทางไปและกลับ ระหว่างแหล่งชุมชนและหลุมฝังกลบ บริษัทและชุมชนสามารถติดตั้งเซ็นเซอร์วัดระดับขยะในถังทุกขนาด โดยอุปกรณ์จะรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าควรจัดเก็บขยะจากแหล่งใดบ่อย และช่วยป้องกันขยะล้นออกนอกถังขยะด้วย นอกจากนี้ สามารถติดเซ็นเซอร์หรือกลไกการชั่งน้ำหนักรถบรรทุกขยะ เพื่อคาดการณ์ระดับการบรรจุและลดการเดินทางและลดต้นทุนการรวบรวมรายปี

เครื่องอัดขยะพลังงานแสงอาทิตย์

เครื่องอัดขยะพลังงานแสงอาทิตย์สามารถเก็บขยะได้มากกว่าถังขยะแบบเดิมถึง 5 เท่า เครื่องจะบีบอัดขยะเพื่อเพิ่มความจุของถังขยะ

แอพรีไซเคิล

          การคัดแยกขยะปนเปื้อน ไม่สามารถเข้าศูนย์รีไซเคิลได้ องค์กรต่างๆ ได้เผยแพร่แอพ เช่น RecycleNation และ iRecycle ที่ให้ข้อมูลผู้ใช้เกี่ยวกับอัตราการรีไซเคิลและที่ตั้งศูนย์ และรายการใดบ้างที่สามารถรีไซเคิลได้

ตู้ขยะอิเล็กทรอนิกส์

          อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สมาร์ทโฟน แล็ปท็อป จอภาพ ทีวี ลำโพง และอุปกรณ์อื่นๆ ที่พัฒนาออกมาประกอบด้วยสารเคมีและโลหะ เช่น ตะกั่ว แคดเมียม และปรอท ที่เป็นสารพิษอันตราย หากจัดการที่ไม่เหมาะสมอาจเป็นอันตรายต่อทั้งคนและสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งหลายบริษัทได้เริ่มโครงการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เก่าคืน เพื่อแลกอุปกรณ์เครื่องใหม่ บริษัท ecoATM ได้สร้างตู้รีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้เป็นเงินสดทันที แม้จะไม่ได้เสนอเงินสดให้สำหรับอุปกรณ์ที่แตกหักหรือไม่สามารถใช้งานได้เสมอไป แต่ก็รับโทรศัพท์ แท็บเล็ต และเครื่องเล่น MP3 ในทุกสภาวะ นำกลับมาใช้ใหม่อย่างเหมาะสม

ยุทธศาสตร์สหรัฐฯ

          กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (DOE) ประกาศระดมทุนสูงถึง 14.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการวิจัยและพัฒนาเพื่อลดขยะและลดพลังงาน จำพวกถุงพลาสติก พลาสติกคลุมอาหาร และฟิล์ม โดยมุ่งไปที่เทคโนโลยีการรีไรเคิลพลาสติก เพื่อให้ DOE จัดการกับความท้าทายการรีไซเคิลขยะพลาสติก ในการสร้างเศรษฐกิจพลังงานสะอาดและรับรองว่าสหรัฐฯ จะปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2593

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/ost-sci-review-mar2022.pdf

 

 

แนวปฏิบัติกระบวนการทางดิจิทัลภาครัฐ – ภาพรวม (GUIDELINES FOR DIGITAL GOVERNMENT PROCESS) (มสพร. 6-2565)

มาตรฐานสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ว่าด้วยแนวปฏิบัติกระบวนการทางดิจิทัลภาครัฐ – ภาพรวม (GUIDELINES FOR DIGITAL GOVERNMENT PROCESS) (มสพร. 6-2565)

มาตรฐานสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ฉบับนี้นำเสนอเนื้อหาในภาพรวมของการจัดทำกระบวนการทางดิจิทัลสำหรับการ “ขออนุญาต” หมายความรวมถึง ขอรับใบอนุญาต ขออนุมัติ ขอจดทะเบียน ขอขึ้นทะเบียน ขอแจ้ง ขอจดแจ้ง ขออาชญาบัตร ขอการรับรอง ขอความเห็นชอบ ขอความเห็น ขอให้พิจารณา ขออุทธรณ์ ร้องทุกข์ หรือร้องเรียน ขอให้ดำเนินการ ขอรับเงิน ขอรับสวัสดิการ และขอรับบริการอื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ มิได้ครอบคลุมกระบวนการดำเนินงานอื่นภายในหน่วยงานของรัฐ และข้อมูลทางเทคนิคของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นแนวทางการปฏิบัติสำหรับใช้ภายในสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือเป็นการเสนอแนะแนวปฏิบัติวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ได้ตามระดับความพร้อม ซึ่งเนื้อหาได้อ้างอิงจากกฎหมาย มาตรฐาน ข้อเสนอแนะ และแนวทางการดำเนินงานที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเท่านั้น

PDF Pic ดาวน์โหลด เอกสารแนวปฏิบัติกระบวนการทางดิจิทัลภาครัฐ – ภาพรวม

รูปแบบอ้างอิงเอกสารฉบับนี้ :

สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน). (2022, October 3). มาตรฐานสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ว่าด้วยแนวปฏิบัติกระบวนการทางดิจิทัลภาครัฐ—ภาพรวม (GUIDELINES FOR DIGITAL GOVERNMENT PROCESS) (มสพร. 6-2565). Digital Government Standard. https://standard.dga.or.th/dga-std/5212/

 

หมวกนิรภัยแบบไหนปลอดภัยที่สุด

มาดูกันครับว่าหมวกนิรภัยที่ใช้กันอยู่ มีความปลอดภัยอยู่ในระดับใด แบบไหนใช้แล้วปลอดภัยที่สุด

เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะคะ

 

แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570

ด้วยพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 44(3) กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) มีหน้าที่และอำนาจ จัดทำนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อกำหนดและกำกับทิศทางในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ

 

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้จัดทำแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 โดยใช้แนวทางตามกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 โดยให้ความสำคัญกับการนำวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และมีศักยภาพเพียงพอในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมรองรับความท้าทายใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยมุ่งเน้นให้ คนไทยมีสมรรถนะและทักษะสูง เพียงพอในการพลิกโฉมประเทศให้ยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน เศรษฐกิจไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่าและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพิ่มความมั่นคงของเศรษฐกิจฐานราก และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนพร้อมสู่อนาคต และสังคมไทยมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนสามารถแก้ปัญหาท้าทายของสังคมและสิ่งแวดล้อม ปรับตัวได้ทันต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก

 

แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570 โดยท่านสามารถดาวน์โหลด (ฉบับสมบูรณ์) อ่าน และ ทำความเข้าใจได้ที่ QR Code บนภาพ หรือคลิกเพื่อ
 ดาวน์โหลดเอกสาร

 

หรืออ่านเอกสารสรุปสาระสำคัญแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570 ดาวน์โหลดเอกสารสรุปสาระสำคัญ

วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2565

วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2565

อำนาจการควบคุมของ ‘สมอง’

รู้จักสมองของเรา

สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนควบคุมความคิด ความจำ อารมณ์ สัมผัส การมองเห็น การหายใจ อุณหภูมิ ความหิว และทุกกระบวนการที่ควบคุมร่างกาย

สมองมีน้ำหนักประมาณ 1.36 กิโลกรัม สมองไม่ใช่กล้ามเนื้อ แต่เต็มไปด้วยหลอดเลือดและเส้นประสาท รวมเซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เนื้อสมองแบ่งออกเป็น 2 ส่วน หรือ 2 สี คือ ส่วนที่เป็นสีเทา อยู่ส่วนนอกที่มีสีเข้มกว่า และส่วนที่เป็นสีขาว อยู่ด้านใน

ส่วนที่เป็นสีเทานั้น ทำหน้าที่ควบคุมข้อมูลที่รับและส่งออก เนื่องจากมีเซลล์ของเซลล์ประสาทอยู่ ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ และการให้ความรู้สึก ส่วนที่เป็นสีขาว ซึ่งเป็นเส้นใยใช้ส่งสัญญานไปยังส่วนอื่นๆ ของสมองไขสันหลัง และร่างกาย

รู้จักศัพท์ทางประสาท

– นิวรอน (Neuron) หรือเซลล์ประสาท
– แอกซอน (Axon) เป็นเส้นใยที่ใช้ส่งสัญญาณไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อแอกซอนรวมตัวกันเป็นมัดเรียกว่าเส้นประสาท
– ไมอีลิน (Myelin) เยื่อหุ้มประสาทที่ช่วยให้การนำข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังเซลล์ประสาทอื่นรวดเร็วขึ้น
– นิวโรแทรนสมิตเทอร์ (Neurotransmitter) สารสื่อประสาท เป็นสารเคมีที่เซลล์ประสาทผลิตขึ้น เพื่อนำสัญญาณจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์ประสาท โดยผ่านช่องว่างไซแนปซ์
– ไซแนปซ์ (Synapse) หรือช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาทกับเซลล์กล้ามเนื้อ หรือเซลล์ประสาทกับเซลล์ประสาท

สมองส่วนต่างๆ และหน้าที่

สมองมีการรับ-ส่งสัญญาณเคมีและไฟฟ้าทั่วร่างกาย โดยสัญญาณที่แตกต่างกัน กระบวนการแตกต่างกัน และสมองจะตีความแตกต่างกันออกไป กระบวนการที่เกิดขึ้นนี้ระบบประสาทส่วนกลางต้องอาศัยเซลล์ประสาทหลายพันล้านเซลล์ เพื่อให้ร่างกายมีการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นอาการเหนื่อย หรือรู้สึกเจ็บปวด ซึ่งข้อความบางอย่างถูกเก็บไว้ในสมอง ขณะที่ข้อความอื่นจะถูกส่งต่อผ่านกระดูกสันหลังและเครือข่ายเส้นประสาทของร่างกายไปแขนขา

สมองคนเราแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ ซีรีบรัม (Cerebrum) ก้านสมอง (Brainstem) และซีรีเบลลัม (Cerebellum)
ซีรีบรัม (Cerebrum)

          ซีรีบรัม เป็นส่วนของสมองที่ใหญ่ที่สุด ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ประสาทสัมผัส การมองเห็น รวมถึงการเรียนรู้ การคิดและการให้เหตุผล การแก้ปัญหาและอารมณ์ ซีบรัม แบ่งย่อยได้ 4 ส่วน ได้แก่

– สมองส่วนหน้า (Frontal Lope) เป็นกลีบสมองที่ใหญ่ที่สุด อยู่ด้านหน้าศีรษะ โดย ทำงานเกี่ยวกับลักษณะบุคลิกภาพ การเคลื่อนไหว การตัดสินใจ การรู้กลิ่น และความสามารถในการพูด

– สมองพาไรเอทัล (Parietal lope) อยู่บริเวณตรงกลางของสมอง ทำงานเกี่ยวกับการรับรู้ ความรู้สึกสัมผัส ความเจ็บปวด การรับรู้ภาพ เสียง และภาษา

– สมองส่วนหลัง (Occipital lope) ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็น

– สมองส่วนขมับ (Temporal lope) อยู่ด้านข้างของสมอง ทำงานเกี่ยวกับความจำระยะสั้น คำพูด เสียง และการรับรู้กลิ่นในระดับหนึ่ง

ซีรีเบลลัม (Cerebellum)

ซีรีเบลลัม หรือสมองน้อย มีขนาดราวกำปัน อยู่บริเวณด้านหลังศีรษะ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และความสมดุล จากการวิจัยพบว่า ซีรีเบลมีบทบาทสำคัญด้านความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมทางสังคมด้วย

ก้านสมอง (Brainstem)

          ก้านสมอง เชื่อมต่อซีรีบรัมกับไขสันหลัง ก้านสมองประกอบด้วย สมองส่วนกลาง พอนส์ (Pons) และไขกระดูก

– สมองส่วนกลาง หรือ มีเซนเซฟาลอน (Mesencephalon)  มีหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน การเคลื่อนไหว และการตอบสนอง

– พอนส์ (Pons) เป็นแหล่งกำเนิดของเส้นประสาทสมอง 4 ใน 12 เส้น ซึ่งช่วยให้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น การฉีกขาด การเคี้ยว การกะพริบตา การโฟกัสการมองเห็น การทรงตัว การได้ยิน และการแสดงออกทางสีหน้า

– ไขกระดูก (Medulla) บริเวณด้านล่างของก้านสมอง เป็นที่ที่สมองไปบรรจบกับไขสันหลัง ไขกระดูกมีความสำคัญต่อการอยู่รอด หน้าที่ควบคุมกิจกรรมของร่างกาย จังหวะการเต้นของหัวใจ การหายใจ การไหลเวียนของเลือด และระดับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์

สารเคมีที่สำคัญต่อสมอง

สื่อประสาท (Neurotransmitters) และฮอร์โมน (Hormone)

สารสื่อประสาท หรือนิวโรแทรนสมิตเทอร์ (Neurotransmitter) เป็นสารที่ช่วยให้เซลล์ประสาททั่วร่างกายสามารถสื่อสารกันได้ ทำให้สมองทำหน้าที่ต่างๆ ได้หลากหลายจากกระบวนการส่งผ่านสารสังเคราะห์ทางเคมีนี้ สารสื่อประสาทมีความสำคัญต่อชีวิต นับตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของพัฒนาการ รวมถึง การเติบโตของเซลล์ประสาท และการพัฒนาวงจรประสาท

          ฮอร์โมน (Hormone) ผลิตจากระบบต่อมไร้ท่อ ได้แก่ ต่อมใต้สมอง ไพเนียลไทมัส ไทรอยด์ ต่อหมวกไต ตับอ่อน รวมถึง อัณฑะและรังไข่ ฮอร์โมนมีผลต่อกระบวนการต่างๆ มากมายในร่างกาย เช่น การเติบโตและพัฒนาการเมตาบอลิซึม อารมณ์

ตัวอย่างสารสื่อประสาทและฮอร์โมนที่สำคัญในภาพรวม

          อะดรีนาลีน (Adrenaline) หลั่งโดยต่อมหมวกไตอยู่ด้านบนของไตแต่ละข้าง อะดรีนาลีนจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อ เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและทำให้รูม่านตาขยายมีปริมาณสูงในการตอบสนองต่อการเอาตัวรอด การต่อสู้ หรือหนี

นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) เป็นสารสื่อประสาทและฮอร์โมน เชื่อมโยงกับความกลัว ความเครียด และกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว

โดพามีน (Dopamine) สารแห่งความสุข เปรียบเสมือนสารเสพติดที่สมองต้องการปลดปล่อยเมื่อมีความรู้สึกพึงพอใจ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ จากกิจกรรมหรืออาหารที่ชอบ ไม่ใช่แค่สารเคมีเพื่อความสุขเท่านั้น แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ การตัดสินใจ การเคลื่อนไหว ความสนใจ ความจำในการทำงาน และการเรียนรู้

ออกซิโตซิน (Oxytocin) เป็นสารสื่อประสาทและฮอร์โมน ถูกปล่อยออกมาเมื่อคุณอยู่ใกล้บุคคลอื่น การสร้างความสัมพันธ์ บางครั้งออกซิโตซินถูกเรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก

กาบา (GABA: Gamma-Aminobutyric Acid) เป็นสารสื่อประสาทที่สกัดกั้นกระแสประสาทระหว่างเซลล์ในสมอง ช่วยให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และเกิดความสมดุลในสมอง

แอซิติลโคลีน (Acetylcholine) เป็นสารสื่อประสาทหลัก มีหน้าที่เกี่ยวกับกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัว การเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสื่อประสาทนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการรับรู้และความจำ

กลูตาเมต (Glutamate) เป็นสารสื่อประสาทที่มีมากที่สุดในระบบประสาทของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง เซลล์ประสาทใช้กลูตาเมตเพื่อส่งสัญญาณไปยังเซลล์อื่นๆ หากมีมากเกินไปอาจทำให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญา

เอนเดอร์ฟิน (Endorphins) เสมือนยาแก้ปวดตามธรรมชาติของร่างกาย ตอบสนองต่อความเจ็บปวดหรือความเครียด ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ร่ายกายจะหลั่งสารเมื่อออกกำลังกาย เต้นรำ ร้องเพลง

เซโรโทนิน (Serotonin) สารแห่งความสุขที่เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ที่ดี มีหน้าที่ควบคุมความสมดุลของอารมณ์ วงจรการนอนหลับ และการย่อยอาหาร เซโรโทนินเพิ่มขึ้นจากการออกกำลังและสัมผัสกับแสงแดด

ความรู้สึก อำนาจจากการควบคุมของสมอง

ตัวอย่างความรู้สึกที่เกิดจากการควบคุมของสมอง
การหัวเราะ
ยาขนานเอกช่วยให้สุขภาพดี รู้สึกเบิกบาน คนเราเริ่มหัวเราะตั้งแต่อายุ 3 เดือน หัวเราะก่อนที่จะมีการเรียนรู้ที่จะพูด การหัวเราะเป็นกลไกธรรมชาติ การหัวเราะ ยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ โดยคาดว่า เกิดจากการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่กำหนดการตอบสนองทางอารมณ์

การหัวเราะจะช่วยลดระดับคอร์ติซอล (Cortisol) เป็นฮอร์โมนความเครียดตัวหลักของร่างกายในกระแสเลือดลดลง แทนที่ด้วยสารเคมีในสมอง ได้แก่ โดปามีน ออกซิโทซิน และเอ็นดอร์ฟิน การหัวเราะช่วยให้การทำงานของภูมิคุ้มกันดีขึ้น สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น ความวิตกกังวลลดลง ความรู้สึกปลอดภัย และอารมณ์ดี ทำให้สมองปลอดโปร่ง มีความคิดสร้างสรรค์และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้าง
การร้องไห้ เป็นปรากฎการณ์ที่มีลักษณะของมนุษย์ ตอนสนองตามธรรมชาติ ตั้งแต่โศกเศร้าถึงความสุขสุดขีด การร้องไห้เกิดจากการทำงานหลายส่วน ทั้งในซีรีบรัมที่รับรู้ถึงความโศกเศร้า ระบบต่อมไร้ท่อจะถูกกระตุ้นเพื่อปล่อยฮอร์โมนไปยังบริเวณดวงตา ซึ่งทำให้เกิดน้ำตา รวมถึงกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic nervous system: PN) การร้องไห้ส่งผลดีต่อสุขภาพเหมือนเป็นยาระบายปลดปล่อยความเครียด ความเจ็บปวดทางอารมณ์ และกระตุ้นการปล่อยสารเคมีในสมอง เช่น ออกซิโทซิน
ความรัก
เป็นสิ่งที่วัฒนธรรมบนโลกให้ความสำคัญ เห็นได้ชัดเจนจากคำสอนทางศาสนา นวนิยาย การ์ด บทเพลง รวมถึงวาเลนไทน์ หลายคนจะได้ยินคำพูดที่ว่า ความรักไม่มีเหตุผล เป็นความรู้สึกพิเศษที่มาจากใจ ไม่สามารถอธิบายได้ เป็นความรู้สึกที่มาจากจิตใจ มากกว่าการใช้สมองคิดไตร่ตรอง แต่ทางวิทยาศาสตร์ความรักเป็นกลไกเกิดขึ้นจากสมองโดยตรง เหมือนความรู้สึกอื่นๆ ที่สามารถอธิบายได้ด้วยปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย จากการศึกษาของทีมวิทยาศาสตร์โดย ดร. Helen Fisher นักมานุษยวิทยาชีวภาพ แบ่งความรักเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ความหลง/ความปรารถนา (Lust) ความรัก (Attraction) และความผูกพัน (Attachment)  ความรักทำให้โลกสดใสเป็นสีชมพู แต่ก็มีด้านมืดมาพร้อมกัน ความรักมักมาพร้อมกับความหึงหวง ความไร้เหตุผล

การใช้กัญชาทางการแพทย์
การใช้กัญชาทางการแพทย์ในสหรัฐฯ

          สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่อนุญาตให้ครอบครอง และใช้กัญชา สารสกัด CBD (ที่มี THC น้อยกว่า 0.3%) ได้ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ การใช้กัญชายังขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละรัฐ มี 37 รัฐ เขตอาณา 4 แห่ง และกรุงวอชิงตัน กำหนดให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อการรักษาบางโรคถูกต้องตามกฎหมาย เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) โรคเอดส์ โรคโครห์น โรคลมบ้าหมู ต้อหิน เส้นโลหิตตีบและกล้ามเนื้อกระตุก อาการปวดอย่างรุนแรงและเรื้อรัง อาการคลื่นไส้หรืออาเจียนรุนแรงจากการรักษามะเร็ง การพิจารณาการใช้การรักษาด้วยกัญชา ต้องมีคำแนะนำเป็นลายลักษณ์อักษรจากแพทย์ที่มีใบอนุญาตในรัฐที่สามารถใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย ผู้ป่วยต้องมีเงื่อนไขเข้าเกณฑ์สำหรับการใช้กัญชาทางการแพทย์ ถึงจะสามารถเข้ารับการรักษา หรือซื้อกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ได้

          การศึกษาวิจัยด้านสมองในสหรัฐฯ

          21st Century Cures Act

21st  Century Cures Act เป็นพระราชบัญญัติ ที่ได้ลงนามในกฎหมายในสมัยประธานาธิบดี
โอบามา เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และนำเสนอนวัตกรรมและความก้าวหน้าใหม่ๆ แก่ผู้ป่วยที่ต้องการอย่างรวดเร็ว เพื่อศึกษา 4 โครงการนวัตกรรมขั้นสูง ได้แก่

– All of us Research Program (เดิมชื่อโครงการ PMI Cohort) โครงการสร้างฐานข้อมูล ที่สามารถให้ข้อมูลการศึกษาหลายพันเรื่องเกี่ยวกับภาวะสุขภาพ ปัจจัยเสี่ยงของโรคบางชนิด การพิจารณาว่าการรักษาแบบใดได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีภูมิหลังต่างกัน

– Cancer Moonshot โครงการศึกษาเกี่ยวกับมะเร็ง ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน และการแชร์ข้อมูล ประธานาธิบดีไบเดน ได้กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการ ในการลดอัตราการเสียชีวิตของโรคมะเร็งลงอย่างน้อย 50% ในอีก 25 ปีข้างหน้า และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยรอดชีวิตจากมะเร็ง

– Regenerative Medicine Innovation Project ที่จะสนับสนุนการวิจัยทางคลินิกร่วมกับองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากผู้ใหญ่เพื่อส่งเสริมด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู

– Brain Ressearch through Advancing Innovative Neurotechnologies (BRAIN) Initiative เพื่อศึกษาระบบการทำงาน จัดเก็บ และดึงข้อมูลออกมาใช้ของสมอง ซึ่งจะช่วยให้วินิจฉัยและรักษาความผิดปกติทางระบบประสาทและจิตใจ  

BRAIN Initiative

สมองของคนเราประกอบด้วยเซลล์ประสาทเกือบ 100 พันล้านเซลล์ ที่มีการเชื่อมโยงกัน 100 ล้านล้านเครือข่ายนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์และความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้านการแพทย์ โรคที่เกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาทและจิตเวช ส่งผลกระทบต่อบุคคล ครอบครัว และสังคม ดังนั้น การช่วยเหลือผู้ป่วย สิ่งสำคัญคือ นักวิจัยต้องมีเครื่องมือและข้อมูลที่สมบูรณ์ เพื่อทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสมองและเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างไร

Brain Research Through Advancing Innovation Neurotechnologies Initiative (BRAIN Initiative) เป็นโครงการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสมองของมนุษย์ใช้เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ จะเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างภาพไดนามิกของสมองที่แสดงให้เห็นว่าเซลล์แต่ละเซลล์มีปฏิสัมพันธ์ภายในวงจรประสาทที่ซับซ้อน แนวทางวิธีใหม่ในการรักษาโรค การป้องกันความผิดปกติของสมอง เข้าใจกระบวนการทำงานของสมอง ทั้งการบันทึกการประมวลผล ใช้ประโยชน์ และดึงข้อมูลจำนวนมหาศาลออกมาใช้

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/ost-sci-review-feb2022.pdf

 

 

 

 

 

 

ประกาศคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เรื่อง นโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (พ.ศ. 2565 – 2570)

นโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2565-2570 ฉบับนี้ เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 มาตรา 9 (1) บัญญัติให้คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.)มีหน้าที่และอำนาจ เสนอนโยบายและแผนว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ส่งเสริม และสนับสนุนการดำเนินการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามมาตรา 42 และมาตรา 43 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบนโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์นี้ใช้เป็นแผนแม่บท ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย การพัฒนาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในภาพรวมที่ครอบคลุมในทุกมิติ และเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ มาตรา 9 (3) บัญญัติให้คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) มีหน้าที่และอำนาจ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เสนอต่อคณะรัฐมนตรี สำหรับเป็นแผนแม่บทในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยซเบอร์ในสถนการณ์ปกติและในสถานการณ์ ที่อาจจะเกิดหรือเกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยแผนดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนระดับชาติ และกรอบนโยบายและแผนแม่บทที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของสภาความมั่นคงแห่งชาติ

 

Continue reading “ประกาศคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เรื่อง นโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (พ.ศ. 2565 – 2570)”

ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว.

ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว. ถอดบทเรียนกองหนุน อว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19

ที่มาของชื่อชุดหนังสือ เพราะเธอเป็นลมหายใจ บันทึกประวัติศาสตร์ อว. : ถอดบทเรียนกองหนุนอว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19 ทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ต้องการเน้นย้ำถึงคำว่า “เธอ” ในสองความหมายโดยความหมายแรกหมายถึงประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์โรคระบาด ทั้งที่เป็นผู้ป่วยโดยตรงและผู้ที่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคม

ขณะที่ “เธอ” ในความหมายที่สองหมายถึงบุคลากรในสังกัดกระทรวง อว. ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ นักศึกษาแพทย์และพยาบาลนักวิจัยคณาจารย์ รวมถึงข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ ซึ่งได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ความรู้ และความเชี่ยวชาญตลอดกว่า 3ปีที่ผ่านมาในฐานะ ‘กองหนุนช่วยชาติ’ที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะวิกฤติใหญ่ครั้งนี้มาได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคำว่า “เธอ” ในความหมายใดต่างมีความสำคัญและเปรียบเสมือน”ลมหายใจ” ที่ทำให้ภารกิจเร่งด่วนและสำคัญของกระทรวง อว. ครั้งนี้สำเร็จได้อย่างสวยงาม

ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจ ประกอบไปด้วยหนังสือ 11 เล่ม โดยแต่ละเล่มบอกเล่าถึงภารกิจของกระทรวง อว. ในช่วงวิกฤติโควิด-19 รวม 11 ภารกิจ ได้แก่

  1. โรงพยาบาลหลัก อว.ความหวังของผู้ป่วย
  2. โรงพยาบาลสนาม อว. กองหนุนขนาดยักษ์
  3. อว.กองกำลังสร้างภูมิคุ้มกัน โควิด
  4. U2T สร้างงาน สร้างรายได้
  5. พลิกโฉมการเรียนและสอนออนไลน์
  6. เยียวยานิสิตนักศึกษาผู้ประกอบการ
  7. งานวิจัยเร่งด่วนตรงเป้า
  8. หน่วยสนับสนุน อว. (อว.พารอด)
  9. ข้อมูลวิชาการถูกต้อง รวดเร็ว ฉับไว
  10. อุปกรณ์เวชภัณฑ์ นวัตกรรมพร้อมใช้
  11. ไอทีและเอไอเพื่อการบริหารจัดการ

เนื้อหาแต่ละเล่มแบ่งเป็น 5 บทได้แก่

บทที่ 1 รู้จัก อว. กล่าวถึงประวัติกระทรวงและภาพรวมของทั้ง 11 ภารกิจ
บทที่ 2 พวกเราชาวอว.ทำอะไรเพื่อคนไทยบ้างที่มา ขั้นตอน ผลการดำเนินงาน และเคล็ดลับความสำเร็จของแต่ละภารกิจ
บทที่ 3 จากใจชาว อว. บทสัมภาษณ์และความประทับใจของผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานในแต่ละภารกิจ
บทที่ 4 บทเรียนจากเหตุการณ์ส่งผ่านสู่อนาคตถอดบทเรียนเชิงวิเคราะห์และข้อเสนอเพื่อการรับมือกับวิกฤติการณ์ในอนาคต และ
บทที่ 5 ก้าวไปกับพวกเรา ชาว อว.

รายชื่อของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้ง 11 ภารกิจ

ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจถือเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าและถอดบทเรียนการทำงานและความร่วมมือของชาว อว. เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวไทยให้สามารถก้าวผ่านความโหดร้ายของโรคระบาดครั้งนี้ที่กินเวลานานกว่า 3 ปี และยกระดับขีดความสามารถทางด้านอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทยไปพร้อม ๆ กันอีกทั้งยังมีความตั้งใจในการนำเสนอบทเรียนและข้อเสนอแนะในการทำงาน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว. ถอดบทเรียนกองหนุน อว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19

ISBN: 978-616-584-091-0

จัดทำโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว)
75/47 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2333 3700
เว็บไซต์ www.mhesigo.th