ผลการค้นหา :

ฉลาดใช้ สไตล์ ICT
ฉลาดใช้ สไตล์ ICT โดยฝ่ายวิจัยนโยบาย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เอกสารที่นำเสนอตัวอย่างของ ICT อันเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนคนไทยสู่ความรู้และปัญญา Smart ICT Usage from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
เอกสารเผยแพร่

ความรู้กับการจัดการความรู้ โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ได้กล่าวถึง “ยุคของความรู้” ไว้น่าสนใจผ่านเอกสาร “การจัดการความรู้เพื่อคุณภาพที่สมดุล” ความรู้ 2 ยุค ความรู้ที่เราคุ้นเคยกัน เป็น “ความรู้ยุคที่ 1″ แต่ความรู้ที่เน้นในเรื่องการจัดการความรู้ เป็น “ความรู้ยุคที่ 2″
ความรู้ยุคที่ 1 เป็นความรู้ที่สร้างขึ้นโดยนักวิชาการ มีความเป็นวิทยาศาสตร์ เน้นความเป็นเหตุเป็นผล พิสูจน์ได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือวิชาการ มีการจำแนกแยกแยะ เป็นความรู้เฉพาะสาขาวิชาการ เป็นความรู้ที่เน้นความลึก ความเป็นวิชาการเฉพาะด้าน (specialization)
ความรู้ยุคที่ 2 เป็นความรู้ที่ผูกพันอยู่กับงาน หรือกิจกรรมของบุคคล และองค์กร เป็นความรู้ที่ใช้งาน และสร้างขึ้นโดยผู้ปฏิบัติงาน หรือกลุ่มผู้ปฏิบัติงานเอง โดยอาจสร้างขึ้นจากการเลือกเอาความรู้เชิงทฤษฎี หรือความรู้จากภายนอกมาปรับแต่ง เพื่อการใช้งาน หรือสร้างขึ้นโดยตรงจากประสบการณ์ในการทำงาน ความรู้เหล่านี้ มีลักษณะบูรณาการ และมีความจำเพาะต่อบริบทของงาน กลุ่มผู้ปฏิบัติงาน หน่วยงาน และองค์กรนั้นๆ
การจัดการองค์ความรู้ จึงเป็นเรื่องของความรู้ที่มีบริบททีมจำเพาะ เป็นกิจกรรมของผู้ปฏิบัติงาน ไม่ใช่กิจกรรมของ “ผู้รู้” ทีมีความรู้เชิงทฤษฎีมากมาย และลึกซึ้ง ที่จะ “จัด” ความรู้ เพื่อให้ผู้ปฏิบัตินำไปประยุกต์ใช้
ที่มา: สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล. 2547. การจัดการความรู้เพื่อคุณภาพที่สมดุล = Knowledge Management for Balance of Quality.
การจัดการความรู้ (KM)

50 บริษัทเทคโนโลยีสุดยอดของโลก ปี 2014
วารสาร MIT Technology Review ฉบับเดือน March/Apr 2014 นำเสนอบทความหลัก เรื่อง The 50 Smartest Companies 2014 โดยจัดลำดับบริษัทเทคโนโลยี 50 รายชื่อ พร้อมข้อมูลสั้นๆ ทั้ง 50 บริษัท สรุปได้ดังนี้
บรรณาธิการของวารสาร MIT Technology Review กล่าวว่า การนำเสนอรายชื่อบริษัท 50 ชื่อนี้ ไม่ได้นับจากจำนวนสิทธิบัตรของบริษัท หรือจำนวนนักวิจัยระดับปริญญาเอกของบริษัท แต่ได้พิจารณาจากการสอบถามว่า บริษัทมีความก้าวหน้าในนวัตกรรมในปีที่ผ่านมาอย่างไร ตัวอย่างเช่น บริษัท Illumina ที่มีความก้าวหน้าที่ทำให้ราคาของการหาลำดับดีเอ็นเอลดลงจำนวนมาก ซึ่งมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับการปฏิบัติของแพทย์ นอกจากนี้ยังพบว่ามีการพัฒนาอย่างมากของบริษัทที่ทำธุรกิจในเรื่องเว็บ เรื่องแบตเตอรี่และแม้แต่ในเรื่องเทคโนโลยีการเกษตร
ส่วนชื่อบริษัท ที่คุ้นเคยกันอย่างดี เช่น Apple และ Facebook ไม่ได้อยู่ในรายการนี้เพราะ MIT Technology Review ถือว่าชื่อเสียงเป็นเรื่องไม่สำคัญ เราเน้นที่นวัตกรรมที่สำคัญที่เกิดขึ้นในโลกขณะนี้ และ บริษัท ทั้ง 50 ชื่อนี้ ได้จำหน่ายเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมอย่างแท้จริง เป็นผู้นำในตลาด บริษัทคู่แข่งน่าจะมีการปรับตัวหรือศึกษากลยุทธ์ของพวกเขา
MIT Technology Review จัดลำดับบริษัทสุดยอดเทคโนโลยี มาตั้งแต่ปี 2010 เรื่อยมาจนถึงปี 2014 โดยในปี 2014 จำนวน 50 ชื่อ ดังนี้
อ้างอิง : วารสาร MIT Technology Review ฉบับออนไลน์ : http://www2.technologyreview.com/tr50/2014/
ลำดับที่ 1 บริษัท Illumina
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง เมือง San Diego, California สหรัฐอเมริกา
คือบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในเรื่องการค้นหาจีโนมลำดับเบส เป็นบริษัทที่มีความโดดเด่น ได้เปรียบและ อยู่ได้นานกว่าบริษัทคู่แข่งอื่นๆ ก่อตั้งจากมหาวิทยาลัย Tufts ตั้งแต่ปี 1998 ถือ
เป็นธุรกิจที่กำลังจะทะยานมีความสำคัญในตลาดมากยิ่งขึ้น ที่เป็นการรักษาสุขภาพแบบ Personalized medicine บริษัททำธุกิจเรื่องการหาลำดับเบสของดีเอ็นเอ ที่ใช้เทคโนโลยีแบบ read DNA Optically ที่เสร็จสิ้นภายในชั่วโมงแทนที่เดิมเป็นวัน ทำให้ราคาลดลงอย่างมาก
ลำดับที่ 2 บริษัท Tesla Motor
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง Palo Alto, California สหรัฐอเมริกา
บริษัทผลิต รถยนต์ไฟฟ้า ที่สามารถทำยอดขายได้มากทันทีในปีแรกของการจำหน่าย เป็นรถซีดานแบบหรูหรา รุ่น เอส ที่สามารถขายได้มากกว่ารถยี่ห้ออื่นๆ เช่น Leaf นิสสัน และ
Volt จีเอ็ม ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยี เด่น คือ แบตตารี่ชนิดพิเศษ และออกแบบส่วนประกอบต่างๆ เอง คือ batteries, motors, electronics และ software controls มีแผนงานพัฒนาระบบ Wireless รวมถึงมีสถานีเติมพลังงาน ที่มีอุปกรณ์ Supercharger ที่โดดเด่นทั่วสหรัฐอเมริกา มากกว่า 80 แห่ง ยุโรป 16 แห่ง เอเชีย 2 แห่ง
ลำดับที่ 3 บริษัท Google
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง Mountain View, California สหรัฐอเมริกา
จากเดิมที่บริษัทผู้คิดค้นระบบการค้นหา Search Engine ที่โด่งดังระดับโลก พึ่งพารายได้จากการโฆษณาเพียงแหล่งเดียว บริษัทได้ฝ่าฟัน ก้าวข้าม ออกมาได้สำเร็จมีการพัฒนา
สิ่งประดิษฐ์มากมาย เช่น Chrome, Gmail, Calendar, Spreadsheets, Docs, Picasa, Google Maps เป็นต้น Google เริ่มจัดหา และเข้าครอบครองธุรกิจใหม่ ตั้งแต่ปี 2012 คือ Motorola Mobility (Mobile phones) ปี 2013 ซื้อกิจการด้านพลังงาน จากบริษัท Makani Power (Airborne wind turbines) และบริษัทด้านหุ่นยนต์ Boston Dynamics
(Walking robots) และล่าสุดต้นปี 2014 เข้าซื้อบริษัท Nest Labs (Home automation)
ลำดับที่ 4 บริษัท Samsung
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง กรุงโซล เกาหลีใต้
บริษัทได้สร้างกำไรสูงสุด จากการขยายตัวในแต่ละรุ่นของสมาร์ทโฟนที่ออกจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ซัมซุงถือครองตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกถึงร้อยละ 32
ลำดับที่ 5 บริษัท Salesforce.com
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
บริษัทผู้ผลิตแอพพลิเคชั่น CRM Cloud ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ บริษัท รวบรวมข้อมูลใหม่จากอินเทอร์เน็ต ขณะนี้ Salesforce มีจำนวนแอพลิเคชันในตลาดออนไลน์ ราว 2,150 แอพ
ลำดับที่ 6 บริษัท Dropbox
บริษัทเอกชน
ที่ตั้ง ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
คือบริษัทที่บริการธุรกิจในการจัดเก็บไฟล์แบบ คลาวด์ ที่แพร่หลายมาก ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้ 200 ล้านแห่ง
ลำดับที่ 7 บริษัท BMW
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง มิวนิค เยอรมนี
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ระดับแนวหน้าของโลก กำลังพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนรถเเอง (Self driving) โดยในปี 2020 BMW คาดการณ์ว่าจะสามารถผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนเองบนทางหลวง และจะเริ่มจำหน่ายได้ในปี 2020
ลำดับที่ 8 บริษัท Third Rock Ventures
บริษัทเอกชน
ที่ตั้ง เมืองบอสตัน รัฐแมสสาจูเซส สหรัฐอเมริกา
คือบริษัทร่วมลงทุนด้านเทคโนโลยีชีวภาพ คิดค้นวิธีการรักษาแบบ gene therapy สำหรับ nervous-system disorders (ALS) มีแผนการในเรื่อง personalized vaccines และ molecular stethoscope
ลำดับที่ 9 บริษัท Square
บริษัทเอกชน
ที่ตั้ง ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
ไม่เพียงแต่เป็นพ่อค้าที่จะตามเรียกเก็บเงินบนโทรศัพท์เท่านั้น ตอนนี้ยังสามารถใช้อีเมล เรียกเงินของใครบางคนได้ด้วย มีการประเมินว่า รายได้ราว 20 พันล้านเหรียญ สหรัฐต่อปี ที่เป็นการประมวลผลของการทำธุรกรรมโดยบริษัท square
ลำดับที่ 10 บริษัท Amazon
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง ซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา
บริษัทอีคอมเมิร์ซ ที่ขายและจัดส่งสินค้าปลีกต่างๆ มีแผนที่จะควบรวม 12 จำนวนร้านค้าปลีกออนไลน์ชั้นนำของที่มียอดขายสูง
ลำดับที่ 11 บริษัท Tencent
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง เซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน
ส่งข้อมูลบนบริการสื่อสังคมออนไลน์ ทวิตเตอร์ ในประเทศจีนด้วยเทคโนโลยีที่ให้การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Tencent มีมูลค่าตลาดราว 130 พันล้านเหรียญ สหรัฐ
ลำดับที่ 12 บริษัท Snapchat
บริษัทเอกชน
ที่ตั้ง เมือง Los Angeles สหรัฐอเมริกา
บริการ การสื่อสารออนไลน์แบบชั่วคราว เช่น การประชุม การสนทนา การพูดคุย Facebookเสนอขอซื้อขายหุ้นในจำนวน 3 พันล้านเหรียญ สหรัฐ ซึ่ง Snapchat ปฏิเสธ
ลำดับที่ 13 บริษัท Cree
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง Durham, North Carolina สหรัฐอเมริกา
บริษัทผู้ผลิต หลอดไฟ LED เป็นบริษัทที่เข้ามาใหม่ที่เสนอราคาถูก ในหลอดไฟขนาด 60 วัตต์ ราคาต่ำกว่า 14 เหรียญ สหรัฐ คิดค้นเทคโนโลยีที่โดดเด่น จาก silicon carbide wafers เป็นพลังงานแสงทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูง
ลำดับที่ 14 บริษัท Box
บริษัทเอกชน
ที่ตั้ง Los Altos, California สหรัฐอเมริกา
ให้บริการจัดเก็บไฟล์ออนไลน์ซึ่งได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับความหลากหลายของการใช้งาน มีแอพพลิเคชั่น จำนวน1,000 แอพ จากกลุ่มบุคคลที่สามที่มาร่วมทำงานกับบริษัท Box
ลำดับที่ 15 บริษัท BrightSource Energy
บริษัทเอกชน
ที่ตั้ง Oakland, California สหรัฐอเมริกา
เป็นโรงงานผลิตความร้อนแสงอาทิตย์ในแคลิฟอร์เนีย ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีกำลังการผลิต สูงในจำนวน 377 เมกะวัตต์ เมื่อโรงงานดำเนินงานอย่างเต็มที่
ลำดับที่ 16 บริษัท ห้าง Wal-Mart
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง Bentonville, Arkansas สหรัฐอเมริกา
คือห้างสรรพสินค้า ดำเนินธุรกิจค้าปลีก มีการพัฒนาเทคโนโลยีหลายๆ ส่วน เช่น การชำระเงินและ e-commerce ในห้าวันแรกของเทศกาลวันหยุด เว็บไซต์ Walmart.com มีผู้เข้าขม 1 พันล้านเพจวิว
ลำดับที่ 17 บริษัท General Electric
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง Fairfield, Connecticut สหรัฐอเมริกา
บริษัท กำลังดำเนินการ การใช้ข้อมูล Big Data และเซ็นเซอร์ที่ช่วยฟื้นฟูการผลิต มีการประกาศการลงทุน 1.5 พันล้านเหรียญ สหรัฐ ใน "อุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต" (industrial internet)
ลำดับที่ 18 บริษัท Qualcomm
บริษัทมหาชน
ที่ตั้ง San Diego, California สหรัฐอเมริกา
บริษัทที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ในการทำ "neuromorphic" เซลล์ประสาท ด้วยการประมวลคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ในปี 2013 มีรายได้เติบโตถึงร้อยละ 30
ลำดับที่ 19 บริษัท Kaggle
บริษัทเอกชน
ที่ตั้ง ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
จัดบริการให้แก่องค์กรหลายๆ องค์กร ในการวิเคราะห์ข้อมูล crowdsource data analysis และตอนนี้กำลังมุ่งเน้นไปที่บางอุตสาหกรรม ขณะนี้มีจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าใช้ จำนวน 144,000 ราย
ลำดับที่ 20 บริษัท Second Sight
บริษัทเอกชน
ที่ตั้ง Sylmar แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
บริษัทผู้ผลิตจอประสาทตาเทียมสำหรับผู้ป่วยที่จะเกิดอาการตาบอดอย่างแน่นอน ขณะนี้มีจำนวนคน 74 คน ที่ได้รับการปลูกฝัง Argus II implant
ลำดับที่ 21 บริษัท SpaceX แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้านการขนส่ง
ลำดับที่ 22 บริษัท Kickstarter นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้านการขนส่ง
ลำดับที่ 23 บริษัท Hanergy Holding Group ปักกิ่ง สาธารณประชาชนจีน - เป็นบริษัทด้าน Internet & Digital Media
ลำดับที่ 24 บริษัท Siemens มิวนิค, เยอรมนี - เป็นบริษัทด้าน พลังงาน
ลำดับที่ 25 บริษัท 1366 Technology ฟอร์ด, แมสซาชูเซต สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้านพลังงาน
ลำดับที่ 26 บริษัท Uber ซานฟรานซิส สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้านการขนส่ง
ลำดับที่ 27 บริษัท Evernote เรดวูดซิตี้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Internet & Digital Media
ลำดับที่ 28 บริษัท Baidu ปักกิ่ง สาธารณประชาชนจีน - เป็นบริษัทด้าน Internet & Digital Media
ลำดับที่ 29 บริษัท GitHub ซานฟรานซิส สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Computing & Communications
ลำดับที่ 30 Xiaomi ปักกิ่ง สาธารณประชาชนจีน - เป็นบริษัทด้าน Computing & Communications
ลำดับที่ 31 บริษัท Oculus VR แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Computing & Communications
ลำดับที่ 32 บริษัท Qihoo 360 Technology ปักกิ่ง สาธารณประชาชนจีน - เป็นบริษัทด้าน Internet & Digital Media
ลำดับที่ 33 บริษัท Monsanto แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Biotech
ลำดับที่ 34 บริษัท Aquion Energy พิตส์เบิร์ก สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้านพลังงาน
ลำดับที่ 35 บริษัท IBM - Armonk นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Computing & Communications
ลำดับที่ 36 บริษัท Jawbone ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Computing & Communications
ลำดับที่ 37 บริษัท Medtronic -Minneapolis สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Biotech
ลำดับที่ 38 บริษัท Valve - Bellevue Washington สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Internet & Digital Media
ลำดับที่ 39 บริษัท Genomics England ลอนดอน อังกฤษ - เป็นบริษัทด้าน Biotech
ลำดับที่ 40 บริษัท D-Wave Systems - Burnaby British Columbia สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Computing & Communications
ลำดับที่ 41 บริษัท Siluria Technologies ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้านพลังงาน
ลำดับที่ 42 บริษัท Kaiima Bio-Agritech - Moshav Sharona อิสราเอล - เป็นบริษัทด้าน Biotech
ลำดับที่ 43 บริษัท DATAWIND กรุงลอนดอน อังกฤษ - เป็นบริษัทด้าน Internet & Digital Media
ลำดับที่ 44 บริษัท Freescale Semiconductor ออสติน เท็กซัส สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Computing & Communications
ลำดับที่ 45 บริษัท Upworthy นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Internet & Digital Media
ลำดับที่ 46 บริษัท LG โซล เกาหลีใต้ - เป็นบริษัทด้าน Computing & Communications
ลำดับที่ 47 บริษัท Expect Labs ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Internet & Digital Media
ลำดับที่ 48 บริษัท AngelList ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Internet & Digital Media
ลำดับที่ 49 บริษัท Arcadia Bioscience เดวิส แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Biotech
ลำดับที่ 50 บริษัท Ripple Labs ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา - เป็นบริษัทด้าน Internet & Digital Media
ติดตามรายละเอียด ของทั้ง 50 บริษัทได้ที่วารสาร MIT Technology Review ฉบับเดือน มีนาคม/เมษายน 2014 หรือที่เว็บไซต์ของวารสาร
อ้างอิง : The 50 Smartest Companies 2014 in the World. MIT Technology Review - March/Apr 2014 : http://www2.technologyreview.com/tr50/2014/
รายงานสถานภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สารสนเทศวิเคราะห์

ทำไมการทำงานร่วมกันข้ามสาขาวิชา (Cross-disciplinary collaboration) จึงมีความสำคัญ
5 สาเหตุหลักที่ผลักดันให้การทำงานร่วมกันข้ามสาขาวิชาได้รับความสนใจ ความต้องการของสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ ความซับซ้อนของปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร การจำกัดการเพิ่มขึ้นของทรัพยากร และ ความจำเป็นในการสร้างสรรค์ผลงานที่สร้างผลกระทบเชิงพาณิชย์ การเพิ่มขึ้นของความเชี่ยวชาญและการกระจายตัวของความรู้ (more…)
การจัดการความรู้ (KM)

คู่มือการจัดทำแผนการจัดการความรู้
คู่มือการจัดทำแผนการจัดการความรู้ โครงการพัฒนาส่วนราชการ ให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้ในส่วนราชการ โดย สำนักงาน ก.พ.ร. และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและให้แนวทางในการจัดทำแผนการจัดการความรู้ (KM Action Plan) ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น อันสืบเนื่องจากพระราชพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มาตรา 11 กำหนดไว้ว่า ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์ และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัดให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกัน
KM Handbook from Boonlert Aroonpiboon
การจัดการความรู้ในองค์กร หมายถึง การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ
ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม
ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่างๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม
7-KM Process from Boonlert Aroonpiboon
การจัดการความรู้ (KM)

ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice – CoP)
ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice - CoP) คือ กลุ่มของคนซึ่งมาแลกเปลี่ยนความรู้ ปัญหา หรือความสนใจในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง และเรียนรู้วิธีการเพื่อให้สามารถปฏิบัติหรือทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม เป็นการแลกเปลี่ยน และสร้างทักษะ สร้างความรู้ และความเชี่ยวชาญให้เกิดขึ้นในกลุ่ม บ่อยครั้งที่เน้นในการแลกเปลี่ยนวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best practices) ชุมชนนักปฏิบัติได้กลายเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากทุกวันนี้ องค์กร กลุ่มทำงาน ทีมงาน และแม้แต่ตัวบุคคลเอง ต้องทำงานร่วมกันในแนวทางใหม่ ความร่วมมือข้ามองค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญ ชุมชนนักปฏิบัติจึงเป็นรูปแบบใหม่สำหรับการเชื่อมโยงคนที่มีจิตใจในการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนความรู้ และความร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคล เป็นกลุ่มและถือว่าเป็นการพัฒนาองค์กร
(more…)
การจัดการความรู้ (KM)

การทบทวนหลังทำงาน หรือหลังปฏิบัติ หรือหลังกิจกรรม (After Action Review-AAR)
เป็นการทบทวนหรือเป็นกระบวนการเพื่อวิเคราะห์ว่าเกิดเหตุอะไร สาเหตุของการเกิด และจะสามารถดำเนินการให้ดีกว่าเดิมได้อย่างไร โดยเอาบทเรียนจากความสำเร็จและความล้มเหลวของการทำงานที่ผ่านมา เพื่อนำมาซึ่งการพัฒนาหรือการปรับปรุงการทำงาน การทำ AAR เป็นรูปแบบของกลุ่มทำงานที่สะท้อน ความมีส่วนร่วมในการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง สาเหตุของการเกิดและสิ่งที่ได้เรียนรู้คืออะไร
การทำ AAR เริ่มใช้เป็นครั้งแรกโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา เพื่อสะท้อนถึงการทำงานโดยการจำแนกถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และสิ่งที่ต้องปรับปรุง
การทำ AAR มักจะใช้ 4 คำถาม คือ
สิ่งที่คาดว่าจะได้จากการทำงาน คืออะไร
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคืออะไร
สิ่งที่แตกต่างและทำไมจึงแตกต่าง
สิ่งที่ต้องแก้ไข คืออะไร และจะปรับปรุงได้อย่างไร
คุณลักษณะของ AAR
เปิดใจและซื่อสัตย์ในการพูดคุย
ทุกคนในทีมมีส่วนร่วม
เน้นผลลัพธ์ของกิจกรรมของงาน
การอธิบายวิธีเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องถึงสิ่งที่ต้องทำ
การพัฒนาของการแสดงออกทางความคิดเห็นเพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรค
ใครควรจะใช้ AAR
เครื่องมือนี้ เหมาะสมกับทุกทีมที่ต้องการเรียนรู้จากการทำงาน แต่ละโครงงานควรใส่ใจและเข้าร่วมในกิจกรรม AAR และทุกเสียงในทีมมีความหมายและความสำคัญ
เมื่อใดที่ควรใช้ AAR เป็นเครื่องมือ
เครื่องมือนี้สามารถแนะนำทีมงานในการชี้นำ AAR อย่างสั้นๆ หลังจากโครงการหรือโครงงานเสร็จสิ้นแล้ว หรืออาจจะใช้ระหว่างการดำเนินการก็ได้ เพื่อให้ทีมงานได้รับประโยชน์
ควรใช้เวลาใดและต้องใช้ทรัพยากรใดบ้าง
AAR อย่างเป็นทางการจะชี้แนะด้วย "คุณอำนวย" หรือ ถ้าเป็น AAR ที่ไม่เป็นทางการสามารถนำโดยสมาชิกในทีมงานของโครงการ การทบทวนอย่างเป็นทางการอาจใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่เป็นทางการอาจจะใช้เวลาเท่าที่ทีมงานจัดสรรได้ การสนทนาอาจสั้น ประมาณ 15 นาที อาจจะชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของงานและกลยุทธ์ที่จะทำให้ประสบผลสำเร็จ
ขั้นตอนการทำ AAR
ควรทำ AAR ทันที หลังจากจบงานนั้นๆ หรือเร็วที่สุดที่จัดหาเวลาได้ เพราะยังจำได้ดี การเรียนรู้จะได้ถูกนำมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม
สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองในการทำ AAR ต้องมีการเปิดใจและยอมรับที่จะเรียนรู้ ทุกคนควรมีส่วนร่วมในบรรยากาศที่อิสระไม่มีความเป็นเจ้านาย หรือลูกน้อง AAR เป็นการเรียนรู้จากเหตุการณ์มากกว่าการวิจารณ์
มี "คุณอำนวย" เป็นผู้คอยกระตุ้น ตั้งคำถามให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ
ถามตัวเองว่า สิ่งที่ควรจะได้รับคืออะไร
ถามตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคืออะไร หมายถึง ทีมงานต้องเข้าใจและเห็นด้วยความจริงที่เกิดขึ้น พึงระลึกไว้ว่า จุดประสงค์ก็คือการแยกแยะปัญหาไม่ใช่การกล่าวหา หรือกล่าวโทษ
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแผนงานกับความจริง การเรียนรู้ความจริงเริ่มต้นด้วยทีมเปรียบเทียบแผนงานกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และตัดสินว่า ทำไมจึงเกิดความแตกต่าง และได้เรียนรู้อะไร จำแนกให้เห็นและอภิปรายถึงความสำเร็จและสิ่งที่ขาดหายไป ใส่ในแผนงานเพื่อดำเนินการให้ถึงความสำเร็จและพัฒนาปรับปรุงในสิ่่งที่ขาดหายไป
บันทึกประเด็นสำคัญ การบันทึกประเด็นสำคัญหลังจากที่ได้มีการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนในการทำ AAR แล้ว ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเปรียบเทียบกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เป็นการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ภายในทีมงานด้วยกันและเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ที่กว้างมากขึ้นกว่าเดิมในองค์กร
บรรณานุกรม:
After Action Review. Retrieved 201402011 from http://www.kstoolkit.org/After+Action+Review.
Salem-Schatz, Susanne, Ordin, Diana and Mittman, Brian. Guide to the after action review. Retrieved 201402011 from http://www.queri.research.va.gov/ciprs/projects/after_action_review.pdf
การจัดการความรู้ (KM)

วารสารเนเจอร์ : สรุปข่าววิทยาศาสตร์สำคัญในรอบปี 2013
วารสารเนเจอร์ ฉบับวันที่ 19- 26 ธันวาคม 2013 หน้าปก One Year Ten Stories ในคอลัมน์ข่าวนำเสนอเรื่อง 365 Days : The Year in Science 2013 in Review เป็นการสรุปข่าวสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ของโลก 11 เรื่อง ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองและความผกผันด้านวิทยาศาสตร์เสมือนกับภาพยนต์ฮออลลีวูด ตั้งแต่เรื่อง การหยุดงานของสหรัฐอเมริกา (US Shutdown) ไวรัสที่ทำให้ถึงตาย (Lethal Viruses) พายุใต้ฝุ่น สะเก็ดาว/อุกกาบาต หนทางการรักษาโรคเอดส์ การศึกษาการทำงานของสมองมนุษย์ จนถึงเรื่องความก้าวหน้าครั้งที่สำคัญคือการบำบัดโรคด้วยเซลล์ต้นกำเนิด เป็นการประมวลสรุปเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ของโลกที่สำคัญในปี 2013 จากวารสารที่มีชื่อเสียงที่สุดด้านวิทยาศาสตร์ ที่คุณควรต้องรู้
ดังรายละเอียดโดยสรุป ต่อไปนี้
1.ความลึกลับของจักรวาล (Cosmic mysteries)
การศึกษาเกี่ยวกับจักรวาล ในเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากที่สุดของปี 2013 คือ การไขปริศนาสสารมืด (Dark- matter) ด้วยมีการตั้งห้องแลปส์ที่ใต้เหมืองทองคำ ลึกราว 1.5 กิโลเมตร ที่รัฐเซาท์ดาโกต้า ด้วยอุปกรณ์ LUX (Large Underground Xenon) ที่เป็นถังบรรจุสารซินอนในน้ำหนัก 370 กิโลกรัม เพื่อที่จะตรวจจับหา Dark -matter ซึ่งผลการทดลองยังไม่สามารถค้นหาสสารใดๆ ได้เลย
แม้ว่าก่อนหน้านี้นักฟิสิกส์ได้รายงานว่าได้พบเห็น dark-matter มาก่อน นั้นอาจเป็นเพราะความผันผวนในข้อมูลทางสถิติ ไม่ว่า dark-matter เป็นอะไรก็ตาม มันทำให้เกิดสสารในจักรวาลถึงร้อยละ 84 ตามรายงานเรื่อง Universe's cosmic microwave background (CMB) ของสถาบัน European Space Agency's Planck ที่มีการถ่ายภาพที่สนับสนุนสมมุติฐานเรื่อง inflation อย่างแข็งขัน คือจักรวาลมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วหลังจาก Big Bang
2. การหยุดงานของสหรัฐอเมริกา (Shutdown)
การสนับสนุนในงานวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา ลดลงอย่างช้าๆ โดยลดลงคิดเป็นร้อยละ 16.3 ตั้งแต่ปี 2010 มา และเข้าสู่จุดตกต่ำที่สุดเมื่อเดือนตุลาคม 2013 เมื่อฝ่ายการเมืองดำเนินการนโยบายแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นวิกฤตการณ์ ที่นำไปสู่การปิดตัวลงของหน่วยงานรัฐบาลเป็นเวลา 16 วัน มีการหยุดการใช้เงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติมาแล้ว หน่วยงานรัฐบาลต่างๆ หยุดชั่วคราว เช่นที่ ฐานของกล้องโทรทัศน์ ฐานแอนตารก์ติก และห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่ รวมถึงฐานข้อมูลที่สำคัญของรัฐบาลในชื่อต่างๆ ต่างหยุดให้บริการ นักวิจัยถูกห้ามเข้าไปในสำนักงานหรือแม้แต่การใช้อีเมลของหน่วยงาน จนกระทั่งเมื่อเหตุการณ์การหยุดงานสิ้นสุดลง หน่วยงานต่างๆ ต้องเร่งรีบดำเนินงานด้วยเกิดงานคั่งค้างและเกิน
กำหนดตามแผนงานเดิม
ส่วนที่สหภาพยุโรป ได้มีข้อตกลงเรื่องงบประมาณการวิจัยในแผนสำหรับช่วงปี 2014-20 ในจำนวน 80 พันล้านยูโร (พันล้าน US$110 ) เป็นการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2007-13 ส่วนประเทศอื่นๆ เช่นเกาหลีใต้ จีน เยอรมนี ญี่ปุ่น ล้วนแต่มีจำนวนงบประมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส มีเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย)
ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Government_shutdown_in_the_United_States
3. ทศวรรษแห่งการวิจัยสมองมนุษย์ (Decade of the Brain)
เมื่อเดือนเมษายน 2013 ประธานาธิบดีบารักโอบามา ได้ประกาศแผนงานวิจัยเรื่อง The Brain Initiative ซึ่งนักประสาทวิทยาศาสตร์ สหรัฐอเมริกา ต่างตื่นเต้น ถือว่าโครงการนี้มีความสำคัญเทียบเท่ากับโครงการสำรวจดวงจันทร์ เป็นแผนงานที่จะวิจัยค้นหาเทคโนโลยีใหม่เพื่อค้นหาการทำงานของสมอง ด้วยการถอดรหัสแปลความหมาย โดยที่สาขาประสาทวิทยานี้มีการเปลี่ยนแปลงจากการศึกษาระดับโมเลกุลและเซลล์ไปยังวิธีการอื่นที่ละน้อยๆ เป็นการเน้นศึกษาค้นหาว่าตาข่ายของเซลล์ประสาท ที่ทำงานแล้วเกิดเป็น ความนึกคิด ความทรงจำ และ การกระทำได้อย่างไร
ที่มา : http://en.m.wikipedia.org/wiki/File:BRAIN_Initiative_announcement.png
ในปีนี้มีผลการวิจัยสมองเรื่องหนึ่ง ที่อาจทำให้ความฝันให้เป็นความจริงคือ เมื่อนักวิจัยสามารถทำการย้อมสีเซลล์ประสาทของตัวอ่อนปลาม้าลายด้วย Calcium-sensing dye เกิดภาพเซลล์เส้นประสาทที่เป็นแสงสว่างอย่างโปร่งใส เป็นความพยายามในการทำแผนที่ของโครงสร้างสมอง ด้วยวิธีการทางคมี CLARITY (Clear, Lipid-exchanged, Anatomically Rigid, Imaging/immunostaining compatible, Tissue hYdrogel) ที่ทำการย้อมสีเซลล์สมองให้โปร่งใสและถ่ายภาพ วิธีการนี้ทำให้ไม่ต้องทำในวิธีการเดิมจำเจที่ทำการเฉือนสมองเป็นแผ่นๆ ถือเป็นวิธีการที่ช่วยส่งเสริมการวิจัยเรื่องสมองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วนการศึกษากายวิภาคของเซลล์ประสาทแบบเดิม ช่วยให้ประสบความสำเร็จในโครงการ BigBrain ที่เป็นแผนที่ของ
สมองมนุษย์แบบ 3 มิติด้วย
4. การกำจัดไวรัส (Vanquishing viruses)
ปี 2013 เกิดการระบาดของโรคโปลิโอ ที่ก่อให้เกิดกล้ามเนื้อเปลี้ย ใน 3 ประเทศ คือปากีสถาน ไนจีเรียและอัฟกานิสถาน และไวรัสชนิดนี้มีการเกิดขึ้นเป็นพักๆ ที่ โซมาเลีย ซีเรีย อิสราเอล ที่นำไปสู่การให้วัคซีนขนานใหญ่ทั่วแถบตะวันออกกลาง
และในปี 2013 เช่นกันเกิดไวรัสชนิดเกิดขึ้นใหม่ 2 ชนิด คือ H7N9 avain influenza virus และ MERS coronavirus โดยที่เมื่อเดือนเมษายน เกิดไวรัส H7N9 ที่ตลาดสัตว์ปีกในประเทศจีนมีรายงานมีผู้ติดเชื้อโรค 143 ราย เสียชีวิต 45 ราย ส่วนไวรัส MERS coronavirus มีการรายงานครั้งแรกที่ ซาอุดิอารเบีย เมื่อเดือนกันยายน พบมีผู้ป่วย 185 รายและเสียชีวิต 74 ราย มีการแพร่กระจายในตะวันออกกลางและยุโรป
5. แนวพรมแดนสุดท้าย (The final frontier)
การยุติภารกิจลงของยานอวกาศ Kepler ขององค์การนาซ่า ที่ทำการสำรวจดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายโลก เมื่อเดือนพฤษภาคม 2013 จะเป็นความจดจำที่ดี ผลลัพธ์ช่วยให้ค้นหาดาวเคราะห์คล้ายโลก ที่เป็นไปได้มากถึง 3,500 ดวง ส่วนการสำรวจดาวอังคาร ทั้งองค์การนาซา สหรัฐอเมริกาและอินเดียต่างส่งยานสำรวจเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2013
ประเทศจีน กำลังดำเนินการก่อสร้างสถานีอวกาศแห่งที่สอง มีการส่งนักอวกาศ 3 คน ออกสำรวจอวกาศด้วย และเมื่อเดือนธันวาคม 2013 จีนส่งยานอวกาศไปยังดวงจันทร์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2013 มีเหตุการณ์อุกกาบาตตกที่รัสเซีย ที่เกิดแสงสว่าง เสียงระเบิดดังสนั่น เกิดความเสียหายเล็กน้อยแก่ทรัพย์สิน และต่อมาในเดือนตุลาคม 2013 มีการค้นพบอุกกาบาต ขนาดใหญ่ ชื่อว่า Chelyabinsk Meteorite มีน้ำหนักราวครึ่งตันที่ทะเลสาบ Chebarkul ในภาคกลางของประเทศรัสเซีย
ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Chelyabinsk_meteor
6. สิทธิบัตรยีน (Gene Patents)
เกือบ 20 ปีแล้ว ที่สหรัฐอเมริกาดำเนินการให้ความคุ้มครองในสิทธิบัตรยีน แต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2013 เรื่มมีการเปลี่ยนแปลงท่าทีหลังจากศาลสูงได้ออกกฎระเบียบว่า ยีนมนุษย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่สามารถยื่นขอสิทธิบัตรได้ ผลจากการตัดสินในเรื่องนี้ทำให้เกิดสภาวะช็อก ก่อให้เกิดการต่อต้านจากบริษัทด้านวินิจฉัยทางการแพทย์ ชื่อ Myriad Genetics ที่ถือครองสิทธิบัตรการทดสอบตรวจหายีนที่ก่อให้เกิดมะเร็งในเต้านม 2 ชนิด คือ BRCA1 และ BRCA2
หลังจากการประกาศของศาลเพียงสั้นๆ มีหลายบริษัทเริ่มเปิดตัวแข่งขันการทดสอบหายีน BRCA1/2 ในราคาที่ต่ำลง โดยที่บริษัท Myriad ที่ตั้งที่ Salt Lake City, Utah ได้ยื่นฟ้องดำเนินคดีความแก่ 6 บริษัท อ้างเหตุผลว่าถือครองสิทธิบัตรการทดสอบยีนนี้อยู่ ผลกระทบจากคำตัดสินนี้ยังมีต่อเนื่องขยายออกมาอีก โดยในเดือนตุลาคม ศาลของรัฐบาลกลางได้ตัดสินล้มล้าง คว่ำ ในคดีความของ Myriad โดยให้การอนุมัติรับรองให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรเรื่อง fetal DNA circulationg in the blood of pregnant women แก่บริษัท Sequenom , San Diego, California ที่ใช้ตรวจสอบหญิงตั้งครรภ์ในช่วงก่อนคลอด นักกฎหมายรายงานว่า ผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกา เริ่มปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับการยื่นขอสิทธิบัตรยีน และเซลล์ที่เกิดตามธรรมชาติ มากกว่าเดิม
7. สภาวะอากาศที่ไม่มั่นคง (Wavering atmosphere)
เมื่อเดือนมกราคม ปี 2013 ณ กรุงเจนีวา มีการลงนามร่วมกันของประเทศต่างๆ มากกว่า 90 ประเทศ ในข้อตกลงสนธิสัญญาเรื่องการจำกัดการใช้และการปลดปล่อยสารปรอทสู่บรรยากาศ ถือเป็นข้อตกลงชุดใหญ่ในเรื่องสิ่งแวดล้อมของโลก นอกเหนือไปจากเรื่องนี้ไม่มีใครคาดหมายว่าจะเห็น คือมีหลายประเทศที่มีการถดถอยลงในข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมก่อนหน้านี้ เช่น ประเทศญี่ปุ่นได้ปฏิเสธข้อผูกมัดในการจำกัดการปลดปล่อยคาร์บอน ในระยะเวลากำหนดอันใกล้นี้ ประเทศแคนาดาได้ถอนตัวจากการประชุมขององค์การสหประชาชาติ ในเรื่องการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย รัฐบาลประเทศออสเตรเลียที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งเมื่อกันยายน 2013 ได้ตัดสินใจยกเลิกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาษีคาร์บอน และสหภาพยุโรปได้ยกเลิกการทำประมงแบบเกินขีดจำกัด
ในเดือนพฤษภาคม พบว่าความเข้มข้นของคาร์บอนไดอ็อกไซต์ในชั้นบรรยากาศสูงเกินกว่า 400 หน่วยต่อล้าน นี้อาจเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์โลก คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ออกรายงานเมื่อเดือนกันยายน ว่า ต่อไปนี้สภาพภูมิอากาศโลกจะเป็นไปแบบคาดไม่ถึง/ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่นพายุใต้ฝุ่นไห่เยี่ยน ที่มีความรุนแรง/เลวร้ายมาก ในทางกลับกันในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป เริ่มมีความสามารถในการพัฒนาพลังงานที่เกิดขึ้นใหม่ ได้มากถึง 5000 เทตทาวัตต์/ชั่วโมง
ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Meteorological_history_of_Typhoon_Haiyan
รูปภาพแสดง กลุ่มเมฆของพายุใต้ฝุ่น ไห่เยี่ยน จับภาพได้จาก สถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งไต้ฝุ่นนี้ได้มุ่งเข้าสู่ทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน เกิดความเสียหายมาก มีผู้เสียชีวิตเกือบ 4,000 คน
8. การเปิดข้อมูลงานวิจัยวิทยาศาสตร์ออกให้พร้อมใช้ (Opening up science)
ปี 2013 มีการผลักดันอย่างต่อเนื่องให้มีการเปิดเผยสิ่งพิมพ์วิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ สหรัฐอเมริกาได้ประกาศว่างานวิจัยที่ได้รับทุนการวิจัยจากรัฐบาลต้องเปิดให้สาธารณะเข้าถึงข้อมูลผลงานวิจัยนั้นได้ โดยให้เวลา 12 เดือนหลังจากตีพิมพ์แก่นักวิจัยที่ต้องทำการเผยแพร่ ในขณะที่สหราชอาณาจักรต้องการให้มีการเผยแพร่ออกทันที ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะเริ่มเห็นประเทศต่างๆใช้กลยุทธ์ทั้ง 2 วิธี ผสมกัน ซึ่งขณะนี้มีการอภิปรายในเรื่องค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์
ในขณะเดียวกัน มีความร่วมมือระดับโลกของทีมนักพันธุศาสตร์ที่มีการแบ่งปันแลกเปลี่ยนข้อมูล ลำดับเบสดีเอ็นเอ และข้อมูลการรักษาทางคลีนิค รัฐบาลของอังกฤษเริ่มเปิดข้อมูลการรักษาผู้ป่วย หน่วยงานผู้ควบคุมกฏระเบียบเริ่มปรับเปลี่ยนการจัดการข้อมูลการทดลองในผู้ป่วยต่างๆ แต่ก็มีการขัดขวางจากคดีความของบริษัทยา
9. ความก้าวหน้าในการรักษาเอชไอวี (Progress on HIV)
ในปี 2013 เริ่มเห็นความก้าวหน้าในเป้าหมายการวิจัยเรื่องเอชไอวี ที่มีอยู่ 3 ส่วนหลักคือ การป้องกัน การรักษา และ การฟื้นฟู เพิ่มมากขึ้น เดือนมกราคมมีการค้นพบการรักษาระบบภูมิคุ้มกันไม่ได้เสื่อมเสีย เดือนมีนาคม มีรายงานการรักษาทารกด้วย antiretroviral therapy ที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศแนะนำ ให้ทำการรักษาให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
ในเดือนกรกฎาคม แพทย์ ได้ทำการรักษาผู้ป่วย 2 รายด้วยวิธีปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด ผลลัพธ์เห็นได้ชัดเจน แต่ว่าในเดือนธันวาคมไวรัสที่ก่อโรคหวนกลับมาอีก นักวัคซีนได้พบว่าวัคซีนแอนตี้บอดี้สามารถป้องกันไวรัสในลิงได้
10. ความสำเร็จเซลล์ต้นกำเนิด (Stem-cell success)
จากทศวรรษก่อนหน้านี้ ที่มีการโฆษณาแสดงการต้อนรับอย่าใหญ่โตต่อนักวิทยาศาสตร์ ชาวเกาหลีใต้ Woo Suk Hwang ที่กล่าวอ้างว่าสามารถสร้างเซลล์ต้นกำเนิดจากการโคลนนิ่งตัวอ่อนของมนุษย์ได้ ที่ต่อมาพบว่าเป็นการหลอกลวง ในฤดูใบไม้ผลิปี 2013 นี้ เรื่องนี้กลายเป็นจริงได้จากทีมนักวิจัยที่ Oregon Health and Science University ประโยชน์ของการสร้าง embryonic stem cells สามารถนำไปรักษาผู้ป่วยได้ ในปี 2013 ญี่ปุ่นเริ่มการศึกษาวิธีการรักษาต้นแบบผู้ป่วยโรคตา macular degeneration โดยมีแผนงานด้วยการปลูกถ่าย retinal epithelial cells จากเซลล์ต้นกำเนิดชนิด Pluripotent stem cell ( iPS-cell) ซึ่งหากมีความสำเร็จจริงจะช่วยเร่งความเร็วในการอนุมัติ iPS cell เพื่อการรักษาต่อไป
ในขณะเดียวกันหน่วยงานผู้ควบคุมยังไม่อนุมัติการรักษาทางคลีนิกด้วยเซลล์ต้นกำเนิดในแมวและหนู ปี 2013 รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข อิตาลี ได้สนับสนุนเป็นครั้งแรกด้วยการรักษาแบบนี้ จากเดิมที่มีการห้ามฉีดเซลล์ต้นกำเนิดซ้ำจากไขกระดูก (bone marrow)
11. ปริศนาของเอกลักษณ์ (Identity puzzles)
เดือนมกราคม 2013 Yaniv Erlich นัก Computational Biologist แห่งสถาบัน Whitehead Institute for Biomedical Research, Cambridge, Massachusetts ได้เปิดเผยวิธีการโยงรายการของ ข้อมูลดีเอ็นเอในฐานข้อมูลกับข้อมูลสาธารณะเพื่อพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ในชื่อโครงการ Genome Hacker ที่สามารถตรวจสอบแผนภูมิลำดับเครือญาติในวงศ์ตระกูลได้ถึง 13 ล้านคน ย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 15 จากเว็บไซต์ Genealogy Sites
การวิเคราะห์ดีเอ็นเอ อย่างต่อเนื่องช่วยให้เปิดเผยถึงเบาะแสของบรรพบุรุษของมนุษย์ได้ ตัวอย่างซากเด็กชาย Siberian ที่มีอายุ 24,000 ปี มีการระบุว่าเป็น Native American Ancestry ที่ตรวจสอบกลับไปยังยุโรปได้
ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Family_tree
สรุปในวารสารเนเจอร์ฉบับนี้ คอลัมน์ News in Focus นอกเหนือจากบทความเรื่องดังข้างต้น ยังมีการนำเสนอบทความที่สรุปเรื่องราววิทยาศาสตร์ของโลกในปี 2013 คือ 365 Days : Image of the Year, Nature's 10 people. ที่เป็นการนำเสนอภาพถ่ายวิทยาศาสตร์ประจำปี 2013 และบุคคลดีเด่นด้านวิทยาศาสตร์ 10 ชื่อ อีกด้วย
อ้างอิง
Richard Van Noorden et al.(2013) 365 Days : 2013 in Review . Nature (News) 18 December 2013 Volume 504 Number 7480 P. 344-349 Available at : http://www.nature.com/news/365-days-2013-in-review-1.14366
รายงานสถานภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สารสนเทศวิเคราะห์

นิตยสารไทม์ : 25 สิ่งประดิษฐ์สุดยอดประจำปี 2013
นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ ไทม์ ในฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน 2013 เสนอบทความเรื่อง 25 สิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของปี 2013 (The 25 Best Inventions of the Year) เป็นการนำเสนอสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นความก้าวหน้าล่าสุดของเทคโนโลยีในสาขาต่างๆ 25 เรื่องในระดับโลก เป็นเรื่องที่น่ารับรู้และติดตาม สรุปเนื้อหาได้ดังต่อไปนี้
สิ่งประดิษฐ์ที่ 1 หมวดความบันเทิง The driverless toy car
รถยนต์ของเล่นที่ไร้คนขับ บริษัท Anki แห่งซานฟรานซิสโก เป็นบริษัทแรกที่ขายของเล่นเกมส์รถแข่งในราคา 200 เหรียญสหรัฐ ให้ชื่อว่า Anki Drive เป็นรถที่วิ่งได้เอง มีเซ็นเซอร์ที่ส่งข้อมูลไปยังไอโฟนหรือไอแพด ผู้เล่นสามารถควบคุมความเร็วและตำเหน่งของรถของเล่นได้ สามารถนำมาเล่นแข่งขันเป็นรถแข่งกับคู่แข่งได้
ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=BRIwjv8d4-g
สิ่งประดิษฐ์ที่ 2 หมวดภาพยนต์ Gravity's Lightbox
Alfonso Cuaron ผู้กำกับภาพยนต์เรื่อง Gravity ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักบินอวกาศ ตื่นเต้น เร้าใจ แนววิทยาศาสตร์แบบ 3 มิติ ได้คิดค้นlightboxที่มีขนาด 6x3 เมตร ที่โครงสร้างประกอบด้วยแผง 196 แผงของหลอดไฟ LED จำนวน 4000 กว่าหลอด โดยแต่ละปุ่มมีการกระตุ้นให้เปล่งแสงให้คล้ายในสภาพอวกาศเสมือนจริง ถือเป็นเทคนิคพิเศษที่สุดยอด นักแสดงนำโดย Sandra Bullockและ George Clooney ทำเงินจากการฉายได้มากมายและภาพยนต์เรื่องนี้ได้รับยกย่องและชื่นชมจากเทศกาลภาพยนต์แห่งเมืองคานส์ เมื่อเดือนสิงหาคม 2013 อีกด้วย
ที่มา : Gravity Movie Wallpaper
สิ่งประดิษฐ์ที่ 3 หมวดเครื่องดื่ม Alcoholic Coffee
นักวิจัยชาวโปตุเกรสและสเปน ได้ร่วมกันรายงานในวารสาร Food Science and Technologyเรื่องกาแฟชนิดใหม่ ที่มีส่วนผสมแอลกอฮอร์ ด้วยวิธีการทำกาแฟให้แห้ง จากนั้นทำให้ร้อนจัดด้วยน้ำร้อนราว 45 นาที และเพิ่มน้ำตาลและยีสต์เข้าไปเพื่อให้เกิดการหมัก ทำให้เข้มข้นเพื่อให้เกิดแอลกอฮอล์ ผลการทดสอบพบว่าคล้ายวอดกา ดีต่อการบริโภค รสชาดอาจต้องปรับปรุงในแต่ละกลุ่มอายุ กาแฟชนิดนี้ไม่มีการกระตุ้นให้ตื่นตัวด้วยสารคาแฟอีนสลายไปในช่วงการหมัก เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีรสชาดพื้นฐานเป็นกาแฟ
สิ่งประดิษฐ์ที่ 4 หมวดการถ่ายภาพ Sony's Smart lens
กล้องถ่ายรูปรุ่น DSC-QX100 ของบริษัทโซนี เป็นกล้องถ่ายรูปดิจิทัลที่มีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ มีเลนส์แก้วที่มีคุณภาพสูง มีพลังการซูมถึง 3.6 X มีการยึดติดชิปไปยังไอโฟนหรือแอนดรอยด์โฟน ด้วยแอพพิเคชั่นของโซนี ทำหน้าที่เป็น view-finder มีราคาขายที่ 499 $US
สิ่งประดิษฐ์ที่ 5 หมวดเกมส์ The Oculus Rift
อุปกรณ์เล่นเกมส์ Oculus Rift เป็นเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual-Reality, VR) ผู้ใช้งานต้องสวมใส่อุปกรณ์จอภาพที่ศรีษะ (headset) แสดงภาพในแบบ 3มิติ โดยมีพื้นฐานที่นำผู้เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์เข้าสู่โลกเสมือนจริง ระบบสร้างมุมมองให้ขยายกว้างขึ้นกว่าเดิม ในอนาคตคาดว่าอาจเป็นอุปกรณ์บันเทิงภายในบ้าน (Home VR) ด้วยราคาที่ลดต่ำลง
ที่มา : http://intergalacticrobot.blogspot.com/2013/05/separados-nascenca.html
สิ่งประดิษฐ์ที่ 6 หมวดสถาปัตยกรรม The Invisible Skyscraper
มีการวางแผนสร้างตึกสูงระฟ้าที่ประเทศเกาหลีใต้ ชื่อ Tower Infinity ที่ออกแบบโดยทีมสถาปนิกบริษัท GDS Architects แห่งสหรัฐอเมริกา ใช้เทคโนโลยี 2 ส่วนผสมผสานกันคือ จอภาพ LED และกล้อง I8 weatherproof HD ที่ติดตั้งไว้รอบทิศ ทำให้จะกลายเป็นตึกสูงที่ล่องหน/มองไม่เห็นแห่งแรกของโลก ตึกนี้กำหนดสร้างแล้วเสร็จในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และยังจะเป็นตึกที่สูงที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ของโลกอีกด้วย
ที่มา :http://en.wikipedia.org/wiki/Tower_Infinity
สิ่งประดิษฐ์ที่ 7 หมวดความมั่นคง The Edible password pill
ยาเม็ดที่กินเพื่อให้จำรหัสผ่าน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงในการถูกแฮกข้อมูลส่วนบุคคล ทีมนักประดิษฐ์ค่ายมือถือโมโตโรล่า จึงได้สร้างสรรค์ยาเม็ดอิเล็กทรอนิกส์ที่มีรหัสผ่านให้ผู้ใช้กลืนยาวันละ 1 เม็ด ยาประกอบด้วยชิปขนาดเล็ก กรดในกระเพาะจะทำปฏิกิริยาออกฤทธ์ส่งสัญญานไปยังโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ แม้ว่าองค์กร FDA ได้อนุมัติยาชนิดนี้แล้ว แต่ยังไม่มีกำหนดวางจำหน่าย (อาจใช้ชื่อว่า "vitamin authentication" / “smart pill”)
สิ่งประดิษฐ์ที่ 8 หมวดอาหาร Cronut
ขนมโครนัท ปี 2013 นี้เกิดอาหารฟิวชั่นชนิดใหม่ขึ้นมา คือโครนัท เป็นการเพิ่มอาหารฟิวชั่นชนิดใหม่รวมกับของเดิม เช่น เค็กไอสครีม turducken (ไก่และเป็ดไร้ก้างผสมกันเป็นไก่งวง) โครนัททำขึ้นจากขนมปังเบเกอรี่ครัวซองส์ที่นำไปทอดแบบโดนัท คิดค้นโดยเชฟ Dominique Ansel แห่งมหานครนิวยอรก์ เริ่มมีการขายในเดือนพฤษภาคม 2013 มีลูกค้าสนใจเข้าคิวรอซื้อนานนับชั่วโมง
ที่มา :http://qz.com/109795/it-took-less-than-two-months-for-dunkin-donuts-to-mass-produce-the-cronut/
สิ่งประดิษฐ์ที่ 9 หมวดขนส่ง The Mission R
ซุปเปอร์มอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า มีพลังขับเคลื่อน 160 แรงม้า และความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รูปลักษณ์มีการดีไซน์ที่ทันสมัย โฉบเฉียวสวยงาม
สิ่งประดิษฐ์ที่ 10 หมวดการพักผ่อนหย่อนใจ The Plus Pool (+ Pool)
สระน้ำลอยได้บนแม่น้ำ East River แห่งมหานครนิวยอร์ก ที่มีขนาดเท่าสระว่ายน้ำในกีฬาโอลิมปิก มีระบบการบำบัดกรองน้ำแบบพิเศษ สามารถทำความสะอาดน้ำที่ไหลผ่านมาได้มากถึงหมื่นแกลลอนต่อวัน ซึ่งจะทำให้ชาวนิวยอร์กว่ายน้ำในแม่น้ำที่สะอาดได้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี
Plus Pool เป็นโครงการที่รณรงค์ขอทุนสนับสนุน เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา หากดำเนินการต่อไปได้คาดว่าจะเปิดใช้ได้ราวฤดูร้อนของปี 2016
สิ่งประดิษฐ์ที่ 11 หมวดอุปกรณ์สร้างสรรค์ The 3 Doodler
3 Doodler คือปากกาชนิดใหม่ที่เขียนเส้นสายออกมาเป็นรูปวัตถุในแบบ 3 มิติ แทนที่ปากกาแบบเดิม 2 มิติที่เขียนออกมาได้เป็นเพียงภาพ ทำงานคล้ายกับเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่หลอมเหลวพลาสติกสีต่างๆ และทำให้เย็นลง เพื่อสร้างโครงสร้างที่แข็งแรงเป็นอิสระในรูปแบต่างๆตามที่ต้องการ
บริษัท WobbleWorks เป็นผู้คิดค้นและประดิษฐ์ ตั้งที่เมืองบอสตัน ที่ผ่านมาสามารถขายได้มากกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่มา : http://www.extremetech.com/extreme/148824-the-worlds-first-3d-printing-pen-yours-for-just-75
สิ่งประดิษฐ์ที่ 12 หมวดวิทยาศาสตร์ Artificial memories
นักประสาทวิทยาศาสตร์แห่ง MIT ตั้งชื่อโครงการนี้ว่า Inception มีเป้าหมายเพื่อปลูกฝังความทรงจำเทียม (implant false memories) ให้แก่สมองของหนู เพื่อที่จะศึกษาขยายต่อถึงสมองของมนุษย์ต่อไป
สิ่งประดิษฐ์ที่ 13 หมวดฟิสิกส์ The Amplituhedron
เมื่อไม่นานมานี้นักฟิสิกส์แห่งสถาบัน Institute for Advanced Study in Princeton รัฐนิวเจอร์ซี่ ค้นพบวิธีการใหม่ทางลัดที่ช่วยการทำนาย เรื่อง Subatomic-particle collisions ที่อาจนำไปสู่การค้นหาทฤษฎีควอนตัมของแรงโน้มถ่วง (quantum theory of gravity) ต่อไป
สิ่งประดิษฐ์ที่ 14 หมวดขนส่ง Volvo's Solar pavilion
แผงโซล่าห์ของรถยนต์วอลโว่ รุ่นไฮปริด V60 มีการออกแบบแผลโซล่าห์ที่ยืดเก็บพับได้ ใช้ในการอัดประจุไฟฟ้าให้แก่แบตตารี่ของรถ ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงการทดสอบ
สิ่งประดิษฐ์ที่ 15 หมวดลำดับเหตุการณ์ A New Atomic Clock
นาฬิกาอะตอม เมื่อเดือนสิงหาคม 2013 นักฟิสิกส์แห่งสถาบัน National Institute of Standard & Technology (NIST) ได้เปิดตัวนาฬิกาประเภทใหม่ คือนาฬิกาอะตอมธาตุซีเซียม เป็นนาฬิกาบอกเวลาที่มีความเที่ยงตรงสูงมาก
สิ่งประดิษฐ์ที่ 16 หมวดขนส่ง SpaceShipTwo
สายการบิน Virgin ได้ให้สัญญาในการจัดโครงการท่องกาแล็กซี่ (Galactic's SpaceShipTwo) แก่ผู้ที่สนใจจะเดินทางท่องอวกาศด้วยราคา 2.5 แสนเหรียญสหรัฐ ในช่วงต้นปี 2014 ถือเป็นธุรกิจท่องเที่ยวอวกาศโดยเอกชนแห่งแรกของโลก
ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/SpaceShipTwo
สิ่งประดิษฐ์ที่ 17 หมวดหุ่นยนต์ (The Atlas Robot)
หุ่นยนต์ Atlas นี้ ตั้งใจออกแบบมาเพื่อเลียนแบบมนุษย์ผู้ช่วยชีวิต ในสภาวะภัยพิบัติและช่วยฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพปกติ จึงมีความสามารถในการใช้เครื่องมือต่างๆ คลานไปตามพื้นดิน ค้นหาตำเหน่งของวัตถุต่างๆ ที่ใช้เทคโนโลยีกล้องและเลเชอร์ พัฒนาโดยบริษัท Boston Dynamics ด้วยทุนสนับสนุนของสถาบันด้านทหาร DARRA ในโครงการหุ่นยนต์ กำหนดแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2013 นี้
ที่มา : http://www.nytimes.com/2013/07/12/science/modest-debut-of-atlas-may-foreshadow-age-of-robo-sapiens.html?_r=0
สิ่งประดิษฐ์ที่ 18 หมวดความยั่งยืน The Gravity light
วิศกรแห่งบริษัท Deciwatt ได้รับการร้องขอให้คิดค้นดวงไฟ ที่มีราคาต่ำกว่า 10 เหรียญสหรัฐ เพื่อจะแทนที่ตะเกียงที่มีมลพิษจากสารคีโรซีน ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า หลอดไฟ gravity light ผลิตแสงสว่างได้คราวละ 25 นาทีด้วยวิธีการใช้กำลังแรงของน้ำหนักที่ใส่ในถุงเช่นหิน ทราย น้ำหรือสิ่งของใดๆ ที่มีน้ำหนัก เป็นการผลิตแสงสว่างจากแรงโน้มถ่วง
ที่มา : http://commons.wikimedia.org/wiki/File:GravityLight_-_03.jpg
สิ่งประดิษฐ์ที่ 19 หมวดพันธุศาสตร์ The Gastric brooding frog
กบฟักไข่จากกระเพาะ นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย New Castle ประเทศออสเตรเลีย ทำโครงการวิจัยชื่อ Lazarus โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคืนชีพให้ตัวอ่อนกบ ที่สูญพันธ์ตั้งแต่ปี 1983 โดยนำดีเอ็นเอจากเนื้อเยื่อแช่แข็งของกบ มาทำให้เกิดใหม่จากช่องปากของกบ กบตัวผู้ทำการผสมพันธ์ภายนอก กบตัวเมียกลืนไข่ ตั้งท้อง และฟักไข่ในกระเพาะจากนั้นสำรอกตัวอ่อนของกบออกมา เป้าหมายต่อคือการคืนชีพให้แก่ Tasmanian Tiger
ที่มา : http://www.australiangeographic.com.au/journal/weird-frog-brought-back-from-the-dead.htm
สิ่งประดิษฐ์ที่ 20 หมวดการมองเห็น The Argus II
องค์กรอาหารและยา สหรัฐอเมริกา (FDA) ได้อนุมัติเป็นครั้งแรกให้แก่อุปกรณ์ที่ช่วยซ่อมแซมให้มองเห็นได้บางส่วน(restore partial vision) ให้แก่ผู้ป่วยจอตาอักเสบแบบรุนแรงที่อาจทำให้ตาบอด แว่นตา Argus II นี้ประกอบด้วยแว่นตา 1 คู่ที่ยึดติดกับจอประสาทตาเทียมที่ปลูกฝังไว้พร้อมด้วยหน่วยของวิดีโออุปกรณ์นี้ช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพได้คร่าวๆ รวมถึงแยกความแตกต่างของความสว่างและความมืดได้
ที่มา : http://www.engadget.com/2013/02/15/fda-clears-argus-ii-bionic-eye-for-sale-in-the-us-video/
สิ่งประดิษฐ์ที่ 21 หมวดการทหาร The X-47B Drone
เครื่องบินรบไร้คนขับรุ่น X-47B ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ที่มีฐานอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบิน เป็นเครื่องยนต์แบบเจ็ท มีความสามารถในการบรรทุกอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในน้ำหนักราว 2000 กิโลกรัม
สิ่งประดิษฐ์ที่ 22 หมวดพลังงาน Waterless Fracking
วิธีการเจาะขุดบ่อน้ำมัน ก๊าซด้วยวิธี Fracking ที่ไม่มีน้ำปนเปื้อน จากการถกเถียงกันในเรื่องวิธีการเจาะขุด กลุ่มอนุรักษ์นิยมมีความวิตกกังวลว่าอาจมีของเหลวเข้าไปปนเปื้อนในระบบน้ำปะปาได้ บริษัท GasFrac ประเทศแคนาดา ใช้ Gelled liquid petroleum แทนในการขุดเจาะ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนได้
สิ่งประดิษฐ์ที่ 23 หมวดการแพทย์ The Artificial pancreas
อุปกรณ์ตับอ่อนเทียม ที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA เป็นครั้งแรก เป็นอุปกรณ์ตรวจจับการลดลงของระดับน้ำตาล และสั่งให้หยุดการทำงานในการส่งอินซูลิน ในผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 ทำหน้าที่คล้ายตับที่แท้จริง การที่ผู้ป่วยมีอินซูลินในปริมาณที่สูงขึ้นโดยเฉพาะเวลากลางคืน อาจทำให้หมดสติได้
สิ่งประดิษฐ์ที่ 24 หมวดการเคลื่อนไหว Rewalk
อุปกรณ์ช่วยเดินให้แก่ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งล่างที่เดินไม่ได้ มีลักษณะเป็นโครงร่างแข็งแรงแบบภายนอกร่างกาย (exoskeleton) หรือเป็นชุดที่สวมใส่ให้แก่ร่างกายที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ (Bionic suit) ชุด Rewalk นี้พัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์อิสราเอล มีเซ็นเซอร์ที่ช่วยให้การเคลื่อนย้ายมีความสมดุลทั้งในท่าการยืนและก้าวเดิน มีวางจำหน่ายในยุโรปแล้ว ส่วนในสหรัฐอเมริกา FDA กำลังพิจารณาให้การอนุมัติ
ที่มา : http://www.flickr.com/photos/chayin/5243320541/
สิ่งประดิษฐ์ที่ 25 หมวดความปลอดภัย Nest Protect Smoke Alarm
Nest อุปกรณ์ชุดสัญญาณเตือนภัยควัน ทำการตรวจจับควันและก๊าซคาร์บอนมอนน็อกไซต์ Nest สามารถรับรู้ได้ทันที่เพียงแค่ขนมปังปิ้งไหม้ มีการออกแบบในรูปแบบที่ทันสมัย เชื่อมต่อเครือข่ายไวไฟ สามารถสื่อสารได้กับเครื่องสมาทร์โฟน
นิตยสารไทม์ให้เนื้อหาเรื่องนี้แบบออนไลน์อย่างย่อที่เว็บไซต์ : http://techland.time.com/2013/11/14/the-25-best-inventions-of-the-year-2013/ ส่วนเรื่องเต็มติดตามได้ในฉบับพิมพ์ ที่มีบริการตามห้องสมุดชั้นนำต่างๆ หรือติดตามรายละเอียดของสิ่งประดิษฐ์ตามชื่อของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดได้ที่เว็บไซต์แต่ละแห่งได้เช่นกัน
อ้างอิง :
"The 25 Best Inventions of the year". Time. 182 (22): 35-47 ; November 25, 2013.
รายงานสถานภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สารสนเทศวิเคราะห์

เมื่อข้าวคือหัวใจ… สวทช. ช่วยอะไรบ้างระหว่างปลูก?
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ size : 6.7 MB (2975x6992) | 2.8 MB (1772 x 4164) | 1.6 MB (1181 x 2775)
NSTDA Infographic

สวทช. พัฒนาเทคโนโลยี สร้างความมั่นคงของชาติ
ดาวน์โหลดไฟล์ภาพ size : 4.98 MB (3543 x 4206) | 2.94 MB (2362 x 2804) | 1.14 MB (1181 x 1402)
NSTDA Infographic

วารสาร Science ทดสอบเสนอตีพิมพ์บทความวิจัยวิทยาศาสตร์ปลอมไปยังวารสารแบบเปิด
บทนำ
ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2013 John Bohannon ผู้สื่อข่าวประจำวารสาร Science ได้ทดลองยื่นเสนอบทความวิจัยปลอม (fake research papers) จำนวน 304 เรื่องไปยังวารสารแบบเปิด (open access journals) โดยเป็นบทความวิจัยที่แต่งเรื่องกุเรื่องขึ้นมา มีข้อบกพร่องมีข้อตำหนิซึ่งควรจะได้รับการปฏิเสธทันที จากบรรณาธิการ และ ผู้ตรวจสอบเนื้อหา แต่ผลการทดสอบพบว่ามีวารสารแบบเปิดจำนวนมากยอมรับให้ตีพิมพ์ได้ Bohannon ได้จัดทำ Interactive Map แสดงข้อมูลประเทศ ของวารสารที่มีการยอมรับให้ตีพิมพ์และปฏิเสธพร้อมด้วยข้อมูลการติดต่อทางอีเมล ข้อมูล IP Adress และบัญชีธนาคารแสดงที่เว็บไซต์ - http://scicomm.scimagdev.org/ ถือว่าเป็นการทดสอบคุณภาพวารสารแบบเปิดทั่วโลกที่น่าสนใจ
รูปที่ 1 : Interactive Map โดย John Bohannon
รายละเอียดในช่วงการทดสอบ
John Bohannon ได้แต่งเรื่อง/กุเรื่องบทความวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้วยการปลอมชื่อนักวิทยาศาสตร์ ปลอมชื่อสถาบัน จัดทำเป็นบทความ 304 ชุด (versions) โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับโมเลกุลที่สกัดได้จากไลเคนเพื่อการรักษาโรคมะเร็ง เสนอไปยังวารสารแบบเปิดที่มีการระบุว่ามีกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา (peer review journals)
รูปที่ 2 : ตัวอย่างบทความปลอมที่กุเรื่องขึ้นมาเสนอตีพิมพ์
ทั้งนี้ John Bohannon ได้เสนอบทความดังกล่าวไปยังวารสารชื่อ Journal of Natural Pharmaceuticals ของสำนักพิมพ์ Medknow ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ซึ่งสำนักพิมพ์นี้ตีพิมพ์วารสารราว 270 ชื่อ จำนวนกว่า 2 ล้านบทความและเมื่อปี 2011 สำนักพิมพ์นี้ถูกซื้อโดย Wolters Kluwer (เป็นสำนักพิมพ์ด้านการแพทย์ชั้นนำประเทศเนเธอร์แลนด์ มีรายได้ราว 5 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี) บรรณาธิการของวารสารนี้ชื่อ Ilkay Orhanเป็นศาสตราจารย์ด้านเภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Eastern Mediterraneanเมือง Gazimagosa ประเทศไซปรัส ได้ติดต่อกลับมาให้แก้ไขเพียงผิวเผินและต่อมายอมรับให้ตีพิมพ์หลังจากนั้นเพียง 51 วัน นอกจากนี้บทความวิจัยปลอมนี้ยังได้รับการยอมรับจากสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง คือ Elsevier และ Sage ด้วย และยังได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์จากสถาบันการศึกษาชั้นนำ คือ Kobe University, Japan ในวารสารชื่อ Journal of Experimental & Clinical Assisted Reproduction
คงมีเพียงสำนักพิมพ์ PLOS ONE ที่ปฏิเสธการเสนอตีพิมพ์ใน 2 สัปดาห์ด้วยเหตุผลว่าบทความนี้มีปัญหาเรื่องจริยธรรม
รูปที่ 3 : ตัวอย่างอีเมลที่ผู้แต่งติดต่อกับสำนักพิมพ์ต่างๆ
นักชีววิทยาDavid Ross แห่งUniversity of Pennsylvania กล่าวว่าวารสารแบบเปิดที่หลอกลวง โกหกนั้นมีการวางแผน คิดอุบาย เป็นกาฝากของชุมชนวิจัยวิทยาศาสต์เช่นสำนักพิมพ์ Scientific & Academic Publishing (SAP) ประกาศตัวเป็นสำนักพิมพ์ที่มีคุณภาพระดับโลก ตีพิมพ์วารสารราว 200 ชื่อ ตั้งอยู่ที่นอกเมืองลอสแอนเจลีส แคลิฟอร์เนีย เมื่อลองเลือกวารสารมา 1 ชื่อ คือ The American Journal of Polymer Science พบว่าบางส่วนของเนื้อหามีการคัดลอก (cut and pasted) จากเว็บไซต์ของวารสาร Journal of Polymer Science ที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Wiley ในปี 1946
กระบวนการคัดเลือกชื่อวารสารแบบเปิดจากแหล่งข้อมูลที่สำคัญ
กระบวนการคัดเลือกชื่อวารสารแบบเปิดจากแหล่งสำคัญ ทำโดยผู้แต่งได้คัดเลือกรายชื่อวารสารแบบเปิดจากแหล่งข้อมูลที่สำคัญ 2 แหล่งใหญ่ๆ คือ
Directory of Open Access Journals (DOAJ) และ Beall's List
Directory of Open Access Journals (DOAJ) เป็นแหล่งข้อมูลบัญชีรายชื่อวารสารวิชาการแบบเปิดที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ จัดทำมายาวนานเกือบ10 ปีโดยห้องสมุดของ Lund University ประเทศสวีเดนและมีการเติบโตอย่างรวดเร็วโดยปีที่แล้วมีการเพิ่มชื่อวารสารเข้ามาอีกราว 1,000 ชื่อ ปัจจุบันมีชื่อวารสารจำนวนรวม 8,250 ชื่อ
Beall's List เป็นเว็บไซต์ที่พัฒนาโดย Jeffrey Beall จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด ที่แสดงรายชื่อสำนักพิมพ์หลอกลวงที่เขาเรียกชื่อว่า Predatory publishers ชุมชนวิจัยวิทยาศาสตร์ต่างให้การยกย่อง Beall's List ว่ามีคุณค่ามากแก่วงการวิทยาศาสตร์
ผู้แต่งบทความนี้ได้ตรวจสอบรายชื่อวารสารจากทั้ง 2 แหล่ง คือ DOAJ กับ Beall's List และคัดเลือกจากทั้งสองแหล่ง จนที่สุดคัดเลือกวารสารได้จำนวน 304 ชื่อ (จาก DOAJ 167 ชื่อ จาก Beall 121 ชื่อทั้งนี้มี 16 ชื่อที่ซ้ำกัน) สามารถดูรายละเอียดที่แสดงเป็น Interactive Map ได้ที่ เว็บไซต์ - http://scim.ag/OA-Sting
ธรรมเนียมของการตีพิมพ์บทความวิจัย
ปกติธรรมเนียมของการเสนอตีพิมพ์บทความวิทยาศาสตร์ หากมีข้อผิดพลาดในเนื้อหาของบทความสำนักพิมพ์ต้องปฏิเสธการให้ตีพิมพ์ รวมถึงไม่ควรมีการเสนอตีพิมพ์ในเรื่องแบบเดียวกันไปยังวารสารเป็นหลักร้อยชื่อ บทความวิจัยปลอมที่เสนอตีพิมพ์เรื่องนี้แสดงข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง และเพื่อให้แนบเนียนยิ่งขึ้นผู้แต่งได้แสดงชื่อนักชีววิทยาอาสาสมัครจาก Harvard University เข้าไปด้วยและในบทสรุปเขารายงานว่าโมเลกุลที่ค้นพบชนิดนี้มีความหวังในการผลิตยาชนิดใหม่เพื่อที่จะรักษามะเร็ง
ในช่วง 6 เดือน เขาได้ทดลองเสนอตีพิมพ์ราวสัปดาห์ละ10 เรื่องในวารสาร 1 ชื่อของแต่ละสำนักพิมพ์โดยคัดเลือกวารสารในสาขาเภสัชศาสตร์ ก่อนลำดับแรก ตามมาด้วย สาขาแพทย์ สาขาชีววิทยา และเคมี ผู้แต่งใช้อีเมลของยาฮูเสนอยื่นตีพิมพ์บทความแบบอัตโนมัติ (Automate submission) จากนั้นเริ่มมีการติดต่อกลับมาจากสำนักพิมพ์ต่างๆ ขอให้แก้ไขเนื้อหาแบบผิวเผิน เช่นการจัดหน้า รูปแบบ ให้เพิ่มรูปภาพไลเคน เป็นต้น แต่ไม่มีการขอให้แก้ไขในจุดที่บกพร่องสำคัญเลย หลังจากนั้นก็ได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ซึ่งท้ายสุดผู้แต่งได้แจ้งกลับไปว่า ขอถอนการเสนอการตีพิมพ์ออกด้วยเหตุผลว่าพบมีจุดผิดพลาดอย่างมากเช่น มีจุดบกพร่องในการทดลองเรื่องนี้ บทสรุปไม่เป็นจริง
ผลการทดสอบการเสนอตีพิมพ์
Science Magazine เริ่มเสนอข่าวเรื่องนี้เมื่อการทดลองนี้ใช้วารสารรวม 255 ชื่อ สรุปว่ามีวารสารจำนวน 157 ชื่อ ยอมรับให้ตีพิมพ์ ปฏิเสธ 98 ชื่อ ส่วนที่เหลืออีก 49 ชื่อ (แบ่งเป็น 29 ชื่อ ดูเหมือนมีการยกเลิกไปด้วยเว็บไซต์หายไป และอีก 20 ชื่อแจ้งกลับมาว่ากำลังตรวจสอบอยู่ จึงได้ตัดออกจากการทดลอง) พบว่าค่าเฉลี่ยของจำนวนวันที่ตอบรับให้ตีพิมพ์อยู่ที่ 40วัน ส่วนการปฏิเสธเท่ากับ 24 วัน
จากบทความ 255 เรื่อง พบว่า ร้อยละ 60 ไม่มีร่องรอยของการตรวจสอบเนื้อหาเลย (peer review) มีวารสารอยู่ 106 ชื่อ ที่สังเกตได้ว่ามีการตรวจสอบ ซึ่งในที่สุดยอมรับให้ตีพิมพ์ร้อยละ 70 โดยจุดที่ให้แก้ไขหลักๆเช่น การจัดวางเนื้อหา(layout) รูปแบบเนื้อหา (formatting) และภาษา เท่านั้นและยังพบว่าจากการยื่นเสนอมีเพียง 36 ชื่อจาก 304 ชื่อ ที่ให้ความเห็นในเรื่องว่ามีปัญหาทางเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์ในบทความที่เสนอไป
Beall's List เป็นแหล่งข้อมูลที่แสดงถึงรายชื่อวารสารวิชาการแบบเปิดที่ไม่มีคุณภาพพบว่ามีวารสารในกลุ่มนี้มากถึงร้อยละ 82 ที่ยอมรับให้ตีพิมพ์บทความปลอมนี้แต่เป็นที่ประหลาดใจที่แหล่งข้อมูลวารสารที่ DOAJ ที่มีการยอมรับร้อยละ 45 โดยที่ผู้ก่อตั้ง DOAJ กล่าวว่าไม่น่าเชื่อเลยขณะนี้กำลังปรับเปลี่ยนเกณฑ์การคัดเลือกวารสารให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
รูปที่ 4 : ผลการทดสอบการเสนอตีพิมพ์
การแพร่กระจายของสำนักพิมพ์แบบเปิด (ที่ทดสอบ) ในระดับโลก
ผู้แต่งบทความนี้ได้จัดทำข้อมูลการแพร่กระจายของสำนักพิมพ์แบบเปิดในระดับโลกในรูป Interactive Map ให้ข้อมูลชื่อสำนักพิมพ์ บรรณาธิการ บัญชีธนาคาร วารสารเหล่านี้มีการตั้งชื่อต่างๆ เลียนแบบชื่อวารสารชื่อเดิม เช่น American Journal of Medical and Dental Sciences, European Journal of Chemistry ซึ่งทั้ง 2 ชื่อนี้ ตีพิมพ์ที่ประเทศปากีสถานและตุรกี บรรณาธิการเป็นศาสตราจารย์ด้านเคมีของมหาวิทยาลัย Mersin ตุรกี
จากการศึกษาพบว่าวารสารที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้ มีฐานอยู่ที่ประเทศอินเดียถึง 1 ใน 3 ส่วน (มีการยอมรับ 64 ชื่อ ปฏิเสธ 15 ชื่อ) รองลงมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา (ยอมรับให้ตีพิมพ์ 29 ชื่อ ปฏิเสธ 26 ชื่อ) ดังภาพ
รูปที่ 5 : Interactive Map แสดงผลการเสนอตีพิมพ์
ทั้งนี้ข้อมูลจาก Interactive Map http://scicomm.scimagdev.org/
แสดงวารสารชื่อ International Transaction Journal of Engineering, Management, & Applied Sciences & Technologies ระบุว่ามาจากประเทศไทย
รูปที่ 6 : วารสารจากประเทศไทย
การตอบสนองของสำนักพิมพ์วิชาการชั้นนำในการเสนอตีพิมพ์บทความปลอมนี้
สำนักพิมพ์ชั้นนำยักษ์ใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์ 2 แห่งคือ Sage, Elsevierต่างยอมรับการเสนอตีพิมพ์บทความจอมปลอมนี้ด้วย ในปี 2012 สำนักพิมพ์ Sage ได้รับการยกย่องให้เป็น The Independent Publishers Guild Academic and Professional Publisher ประจำปี ซึ่งได้ตอบรับทางอีเมลยอมรับให้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อ Journal of International Medical Research โดยไม่มีให้แก้ไขใดๆ ส่งมาพร้อมใบแจ้งหนี้ในราคา 3,100 USD บรรณาธิการเป็นศาสตราจารย์สาขา Psychopharmacology แห่ง King's College กรุงลอนดอนและเป็นสมาชิกของ Royal Society of Psychiatrists อีกด้วย
ส่วนสำนักพิมพ์ Elsevier ยอมรับให้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อDrug Invention Today ซึ่งสำนักพิมพ์แจ้งว่าจริงๆไม่ได้เป็นเจ้าของวารสารนี้แต่เป็นการจัดพิมพ์ให้ที่อื่น บรรณาธิการคือ ศาสตราจารย์สาขาเภสัชศาสตร์ แห่ง BLDEA College, Bijapur อินเดีย
ส่วนวารสารจากสถาบันการศึกษาชื่อ Kobe Journal of Medical Sciences แห่งKobe University ญี่ปุ่น มีการตอบรับให้ตีพิมพ์และตอบกลับทางอีเมล ที่ต่อมาผู้แต่งร้องขอถอนการเสนอบทความนี้ออก
Hindawi สำนักพิมพ์แบบเปิดที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งตั้งที่กรุงไคโร อียิปต์ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2004 ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ ในกองบรรณาธิการราว 1,000 คน ตีพิมพ์วารสาร 559 ชื่อ 25,000 บทความต่อปี ประกาศว่าสำนักพิมพ์ยึดหลักการ Publication Ethicsได้ตอบปฏิเสธให้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อ Chemotherapy Research and Practice ด้วยเหตุผลว่ามีข้อผิดพลาดที่ชัดเจนและได้แนะนำให้เสนอไปยังวารสารชื่ออื่นๆ ของ Hindawi คือ ISRN Oncology ซึ่งต่อมาก็ตอบปฏิเสธเช่นกัน
บทสรุป
ทุกคนในชุมชนวิทยาศาสตร์ต่างยอมรับว่าวารสารแบบเปิด (Open Access) เป็นเรื่องที่ดีแต่มีคำถามว่าจะทำอย่างไรให้บรรลุความสำเร็จได้ ผู้ก่อตั้ง arXiv กล่าวว่าการผลิตวารสารวิชาการคุณภาพต้องมีข้อผูกมัดพื้นฐานที่สำคัญ คือ กระบวนการตรวจสอบความถูกต้องจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขา (Peer review) แต่เป็นที่น่าเสียใจมากที่ขณะมีวารสารแบบเปิดที่ไม่ทำหน้าที่ในเรื่องนี้ในสัดส่วนที่สูงมากกลายเป็นวารสารที่ไม่มีการควบคุมคุณภาพ ทำลายชุมชนวิจัยโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่รัฐบาลและมหาวิทยาลัยออกหนังสือรับรองให้บุคคลที่ผลิตบทความที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้
เอกสารอ้างอิง
John Bohannon (2013). Who's afraid of peer review ? A spoof paper concocted by Science reveals little or no scrutitiny at many open-access journals. Science (4 October 2013) Vol. 342 No. 6154 P.60-65
(Available at http://www.sciencemag.org/content/342/6154/60.full )
รายงานสถานภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สารสนเทศวิเคราะห์