ผลการค้นหา :

โลกเปลี่ยน คนปรับ ความพอเพียงในโลกหลังโควิด
“โลกหลังโควิด-19”จะเป็นโลกที่มีการพลิกโฉมครั้งใหญ่ เป็นการปรับเปลี่ยนทั้งเชิงโครงสร้างและพฤติกรรมแบบ “ภาคบังคับ”ก่อให้เกิดโลกที่ผู้คนต้องอิงอาศัยกันมากขึ้น การกระทำของบุคคลหนึ่งย่อมส่งผลกระทบได้ทั้งทางบวกและทางลบต่อผู้อื่นไม่มากก็น้อย จนอาจกล่าวได้ว่า “จํากนี้ไป ผู้คนในโลก สุขก็จะ สุขด้วยกัน ทุกข์ก็จะทุกข์ด้วยกัน” ไม่ว่าหลังโควิด-19 เราจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ใน “โลกใบเดิม” หรือ “โลกใบใหม่” การเตรียมความพร้อม มีภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทัน ใช้ปัญญา มีเหตุผล รู้จักความพอดี ความพอประมาณ ความลงตัว คุณลักษณะเหล่านี้เมื่อประกอบกันเพียงพอที่จะนำพาพวกเรา ครอบครัวของเรา องค์กรของเรา ประเทศของเรา และโลกของเราฝ่าฟันอุปสรรค ก้าวข้ามวิกฤต และดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขอย่างแน่นอน
ดาวน์โหลด link1 | link2
เอกสารเผยแพร่

รายงานข่าววิทย์ปริทัศน์ เดือนมกราคม 2563
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มกราคม 2563 อววน.ในกลุ่ม MERCOSUR สาธารณรัฐอาร์เจนตินา รัฐบาลอาร์เจนตินาให้ความสำคัญต่อการศึกษาของนักเรียนเป็นอย่างมาก การศึกษาในสถาบันของรัฐในอาร์เจนตินามีข้อโดดเด่น คือ ได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาไปจนถึงระดับปริญญาตรี จากข้อมูลของ UNESCO อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่มีความเสมอภาคทางการศึกษา มีจำนวนนักศึกษาที่จบการศึกษาเพีมขึ้นร้อยละ 68 โดยเป็นประเทศที่มีอัตรานักศึกษาในมหาวิทยาลัยสูงสุดในลาตินอเมริกา และมีประชากรไม่รู้หนังสือเพียงร้อยละ 1.9 เป็นอัตราที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับสองในลาตินอเมริกา อาร์เจนตินามีมหาวิทยาลัยที่มีชือเสียงหลายแห่ง อาทิ University of Buenos Aires (UBA) National University La Plata (UNLP) National University of Cordoba (UNC) National University of Rosario (UNR) Auatral University National Technology University (UTN) สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล รัฐบาลบราซิลให้ความสำคัญต่อการศึกษาขั้นสูง โดยมหาวิทยาลัยของรัฐในบราซิลได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางหรือรัฐบาลระดับรัฐและนักศึกษาสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สถาบันการศึกษาของบราซิลมีระบบหลักสูตรการศึกษามุ่งเน้นงานวิจัยและพัฒนาหลายด้าน โดยที่ผลงานทางด้าน วทน. ร้อยละ 99 ของผลงานวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่ผลิตในบราซิลเกิดขึ้นจาการพัฒนาในสถาบันการศึกษาของรัฐ มหาวิทยาลัยที่มีขื่อเสียงทางด้านวิทยาศาสตร์ในบราซิล เช่น University of São Paulo (USP) University of Campinas (Univamp) Federal University of Rio de Janeiro (NFRJ) PARQUE TECHNOLÓGICO UFRJ Federal University of Rio Grande do Sul (UFRGS) São Paulo State University (UNESP) Federal University of Minas Gerais (UFMG) สาธารณรัฐปารากวัย ปารากวัย หัวใจแห่งอเมริกาใต้ที่ล้อมรอบด้วยอาร์เจนตินา โบลิเวีย และบราซิล จากความไม่สงบทางการเมือง การทุจริต และปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรัง ส่งผลให้การพัฒนาประเทศล่าช้า ในเชิงของความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ของปารากวัยยังคงเป็นรองหลายประเทศ เนื่องจากยังไม่มีห้องปฎิบัติการที่ทันสมัย ระบบการรับรองคุณภาพที่ดี และจำนวนนักวิจัยที่มีคุณสมบัติที่จะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงในระบบการวิจัยและพัฒนา ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามผลักดันการพัฒนาทางด้าน วทน. มากขึ้น มีการเพิ่มตำแหน่งงานในมหาวิทยาลัย รวมทั้งการให้ความสำคัญเพิ่มหลักสูตรการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอกเพื่อสนับสนุนให้นักวิจัยสามารถดำเนินการศึกษาวิจัยได้ภายในประเทศ National University of Asuncion (UNA) Autonomous University of Asunción สาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย อุรุกวัย เป็นประเทศเล็กที่ขนาบด้วยประเทศใหญ่อย่างอาร์เจนตินา ที่มีขนาดประเทศใหญ่กว่า 16 เท่า และบราซิล ที่มีขนาดประเทศใหญ่กว่า 48 เท่า แต่ขนาดพื้นที่ไม่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาของประเทศ อุรุกวัยกลับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพที่สุดในลาตินอเมริกา มีการพัฒนาหลายด้านที่โดดเด่น โดยเฉพาะทางด้านการใช้พลังงานทดแทน จากที่ต้องนำเข้าไฟฟ้าจากอาร์เจนตินาและบราซิล ปัจจุบันอุรุกวัยกลับเป็นผู้ส่งออกไฟฟ้าให้กับเพื่อนบ้านสองประเทศ มีอัตราส่วนของนักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์ต่อหัวประชากรสูงที่สุดในภูมิภาค มีการวางรากฐานการศึกษา วิจัยไว้เป็นอย่างดี นักศึกษาอุรุกวัยสามารถเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาภาครัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจนถึงระดับปริญญาตรี University of Montevideo (UM) University of the Republic (UdelaR) Catholic University of Uruguay (UCU) ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/ost-sci-review-jan2020.pdf
นานาสาระน่ารู้

คู่มือมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้จัดทำ คู่มือมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้อธิบายและอ้างอิงเกี่ยวกับประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2557 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 74/2557 เรื่อง การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ลงวันที่ 27 มิถุนายน พุทธศักราช 2557
เนื้อหาภายในจะประกอบด้วย ความเป็นมาและความสำคัญของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ความหมายของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์องค์ประกอบของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์กระบวนการ (Process) ที่เป็นสาระสำคัญของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ยังจะได้อธิบายความหมายและเนื้อหาของประกาศกระทรวงฯ ในแต่ละข้อ ความหมายของคำนิยาม มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการบันทึกเสียงหรือทั้งเสียงและภาพของผู้ร่วม และการบันทึกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่เกิดจากระบบควบคุมการประชุม
ดาวน์โหลดคู่มือ
ที่มา : http://dmsic.moph.go.th/index/detail/8076
เอกสารเผยแพร่

หนังสือ 20th Anniversary NSC
แม้ว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศในด้านการพัฒนาขีดความสามารถและทักษะในการเขียนโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ให้ยั่งยืน จำเป็นต้องเตรียมสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และมีปริมาณมากพอ จากความจำเป็นดังกล่าว ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (SIPA) ได้ดำเนินโครงการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2537 ภายใต้ชื่อ "โครงการสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก" โดยในระยะแรกของโครงการเป็นการให้ทุนสนับสนุนเพื่อพัฒนาโครงการซอฟต์แวร์ในระดับนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งได้รับความสนใจมีผู้ส่งผลงานการพัฒนาซอฟต์แวร์เข้าร่วมประกวดจำนวนมากและเพิ่มขึ้นทุกปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 โครงการประกวดซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก ได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินโครงการโดยจัดให้มีเวทีการแข่งขันในระดับประเทศ และเปลี่ยนชื่อเป็น "การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (National Software Contest: NSC)"
คลิกเพื่อแสดงในรูปแบบ (Flip Book)
ดาวน์โหลดหนังสือในรูปแบบ (PDF)
เอกสารเผยแพร่

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2563
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2563 การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในยุโรป และมาตรการการจัดการจากคณะกรรมาธิการยุโรปและเครือข่ายความร่วมมือการวิจัยด้านโรคติดเชื้อระหว่างประเทศ (GloPID-R) การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (2019-nCoV) เริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2562 ในนครอู่ฮั่น ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณภาคกลางของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในลักษณะที่มีกลุ่มคนซึ่งมีอาการของโรคปอดอักเสบอย่างไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน โดยเริ่มพบผู้ป่วยโรค มีอาการไข้สูง ไอแห้ง และอ่อนเพลีย มาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจำนวนหลายราย ส่วนใหญ่มีความเชื่อมโยงไปถึงร้านแผงลอยในตลาดค้าอาหารทะเลหวาหนาน ซึ่งนอกจากอาหารทะเลแล้วยังเป็นตลาดค้าสัตว์ป่าที่ยังมีชีวิต อาทิ ค้างคาว งู และสัตว์อื่นๆ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้ป่วยทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคและไม่สามารถประเมินถึงอันตรายและความรุนแรงในการแพร่กระจายของไวรัสได้ โดยพบว่ามีการแพร่ระบาดมาจนถึงช่วงปีใหม่และช่วงเทศกาลตรุษจีน 2563 โดยเฉพาะในช่วงตรุษจีนที่ชาวจีนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนาไปยังเมืองอื่นๆ รวมถึงเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ทำให้มีการแพร่ระบาดในวงกว้างและรุนแรงมากขึ้น จากการทดสอบปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส (Polymerase chain reaction, PCR) ซึ่งเป็นการวินิจฉัยโดยเฉพาะสำหรับการติดเชื้อของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างกว้างขวางและพบผู้ติดเชื้อที่ยืนยันแล้วเป็นจำนวนมาก บางส่วนเป็นบุคลากรด้านการสาธารณสุข นอกจากนี้ยังพบการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดนี้ไปยังประเทศอื่นๆ ได้แก่ ประเทศไทย ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ไต้หวัน มาเลเซีย มาเก๊า ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี เกาหลีใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แคนาดา เวียดนาม กัมพูชา ฟินแลนด์ อินเดีย เนปาล ฟิลิปปินส์ และศรีลังกา ซึ่งล่าสุดพบว่าในสาธารณรัฐประชาชนจีนมีผู้ติดเชื้อจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่า 9 พันคนแล้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2563) ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าก่อกำเนิดมาจากสัตว์ชนิดใด เพราะมีข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยออกมาน้อยมาก แต่มีผลการทดสอบจากสารพันธุกรรมพบว่าสารพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีลักษณะคล้ายไวรัสโคโรนาที่อยู่ในกลุ่มค้างคาว อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด เพราะมีโอกาสเกิดจากค้างคาวแล้วติดต่อกันในสัตว์ตัวอื่นและพัฒนามาสู่คนได้ ดังเช่น โรคซาร์ส ซึ่งเดิมก่อกำเนิดจากค้างคาวมาติดต่ออีเห็นแล้วมาติดต่อสู่คนอีกทีหนึ่ง โดยมีลักษณะการติดต่อส่งกันมาเป็นทอดๆ ส่วนใหญ่มักเกิดกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ข้อสังเกตของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่พบว่ากรณีการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวเป็นหลัก ฉะนั้นอาจจะสันนิษฐานได้ว่า บุคคลที่มีโรคประจำตัวหรือผู้สูงอายุ จะมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อไวรัสชนิดนี้และมีโอกาสนำไปสู่การเสียชีวิตสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้เป็นโรคหัวใจ โรคปอด หรือ กลุ่มคนกินยากดภูมิคุ้มกันอยู่ซึ่งมีปัจจัยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายน้อยลง เมื่อติดเชื้อก็มีโอกาสเสียชีวิตสูงจากความรุนแรงของอาการได้ อีกประเด็นที่น่ากังวลคือ ผู้ป่วยบางคนที่ติดเชื้อเล็กน้อยแต่ยังไม่แสดงอาการป่วย สามารถแพร่กระจายเชื้อสู่บุคคลอื่นหรือในพื้นที่อื่น โดยเฉพาะการเดินทางระหว่างประเทศที่สะดวกและรวดเร็วด้วยสายการบิน อาจส่งผลให้การแพร่ระบาดเกิดได้ง่ายและรวดเร็วตามมาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หลายๆ ประเทศทั่วโลกรวมไปถึงสหภาพยุโรป จึงได้ออกมาตรการเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ดังนี้ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, WHO) เมื่อเดือนธันวาคม 2562 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับการแจ้งข้อมูลจากทางการจีนเกี่ยวกับการระบาดของโรคปอดอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่องค์การอนามัยโลกตัดสินใจไม่ประกาศให้การระบาดนี้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขซึ่งเป็นความกังวลระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern) เพราะมองว่าเป็นการระบาดปกติตามฤดูกาล แต่หลังจากพบว่ายอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นเรื่อยๆและแพร่ระบาดไปยังหลายประเทศมากขึ้น ทางองค์การอนามัยโลกได้ระบุว่า คณะกรรมการฉุกเฉินจะรีบทบทวนการตัดสินใจอย่างทันทีหากจำเป็น แม้ก่อนหน้านี้องค์การอนามัยโลกจะเตือนว่าอาจมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างขึ้นได้ก็ตาม และยังมีความกังวลว่าจะมีการแพร่กระจายของเชื้อมากขึ้นในช่วงตรุษจีนซึ่งเป็นฤดูการท่องเที่ยวของชาวจีนอีกด้วย โดยในรายงานสถานการณ์จากองค์การอนามัยโลกที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2563 ระบุว่าความเสี่ยงของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อยู่ในระดับ “สูงมาก” ในจีน “สูง” ในระดับภูมิภาค และ “สูง” ในระดับโลก แต่อย่างไรก็ตามองค์การอนามัยโลกชี้ว่าการแก้ไขการประเมินความเสี่ยงทั่วโลกสำหรับไวรัสดังกล่าว ไม่ได้หมายถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศแต่อย่างใด โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่ายังคงต้องการข้อมูลมากขึ้นและสถานการณ์ที่แน่ชัดมากกว่านี้ ก่อนที่จะประกาศให้การแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวเป็นภาวะฉุกเฉินในระดับโลก เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) เดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง เพื่อสนับสนุนการต่อต้านการแพร่ระบาดของไวรัสและหารือกับรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยองค์การอนามัยโลกต้องการที่จะทำความเข้าใจความคืบหน้าล่าสุด และเสริมสร้างความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในการรับมือกับโรคระบาดต่อไป รวมไปถึงพิจารณาทางเลือกของความเป็นไปได้ในการอพยพพลเมืองต่างชาติออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในสาธารณรัฐประชาชนจีน ในขณะนี้องค์การอนามัยโลกอยู่ระหว่างการจัดตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญ เป้าหมายหลัก คือ การเรียนรู้จากวิธีการดำเนินงานจากจีน เนื่องจากเมืองอู่ฮั่นเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกยังได้ปรับฐานข้อมูลเกี่ยวกับรายการอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์และยาที่จำเป็นสำหรับการรักษาผู้ป่วย (Disease Commodity Package) ซึ่งมีประโยชน์ต่อการรับมือกับการแพร่ระบาด โดยมาตรการที่องค์การอนามัยโลกผลักดันและปฏิบัติในตอนนี้มีดังนี้ 1. การแลกเปลี่ยนข้อมูล – เน้นเรียนรู้จากประเทศที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ เพื่อพยายามสร้างมาตรฐานของการรักษา สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อไวรัสให้ลึกซึ้งมากขึ้น อาทิ สัญญาณแจ้งเตือนและอาการผู้ป่วย เพื่อติดตามและคาดเดาพัฒนาการของการแพร่ระบาด 2. การแลกเปลี่ยนไวรัส – โดยจีนไม่ขัดข้องต่อการแบ่งปันข้อมูลลำดับทางพันธุกรรมของไวรัส และตัวอย่างเชื้อไวรัส โดยองค์การอนามัยโลกยืนยันว่าการดำเนินการของจีนมีความโปร่งใสและทางการอู่ฮั่นก็เปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยรายวัน 3. บทบาทของสื่อ – องค์การอนามัยโลกได้เน้นถึงความสำคัญของสื่อในการให้ข้อมูลอย่างถูกต้องและให้ความร่วมมือในการรายงานข่าวอย่างมีความรับผิดชอบไม่บิดเบือน เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ยังไม่มีวัคซีนและวิธีรักษาโรค 4. การจัดตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญ – โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกเป็นหลัก ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญชาวจีน ทั้งนี้ประเทศอื่นสามารถให้ความร่วมมือแบบทวิภาคีได้ 5. การอพยพพลเมืองกลับประเทศ – องค์การอนามัยโลกไม่แสดงความเห็นว่าเป็นแนวคิดที่ดีหรือไม่ หรือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสฯ แต่ได้เน้นว่าประเทศนั้นๆ ควรเตรียมการอย่างรอบคอบและรอบด้าน 6. การแก้ไขปัญหาขาดแคลนหน้ากาอนามัยและอุปกรณ์อื่น – องค์การอนามัยโลกกำลังทำงานร่วมกับเครือข่ายภาคเอกชน เพื่อขอรับความช่วยเหลือในการแก้ปัญหาดังกล่าว 7. ข้อแนะนำต่อประเทศที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ – แต่ละประเทศควรพยายามตรวจหากรณีผู้ป่วยติดเชื้ออย่างรวดเร็ว และให้การรักษา โดยต้องวิเคราะห์ตัวอย่างเชื้อในห้องวิจัยเพื่อรับการยืนยัน ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดจากมนุษย์สู่มนุษย์ 8. การให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน – องค์การอนามัยโลกได้หารือกับองค์กรพันธมิตรที่เกี่ยวข้องแล้วเพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือ 9. การตรวจหาเชื้อในพื้นที่ที่ยังไม่มีรายงานการติดเชื้อ – การที่ยังไม่มีการรายงานผู้ป่วยในทวีปอเมริกาใต้และแอฟริกาอาจสะท้อนความไม่โปร่งใสของการให้ข้อมูล ด้วยเหตุนี้องค์การอนามัยโลกอยู่ ระหว่างการทำงานร่วมกับประเทศแถบแอฟริกาเพื่อตรวจวินิจฉัยกรณีผู้ต้องสงสัย ข้อห่วงกังวลหลักขององค์การอนามัยโลก ได้แก่เรื่องขีดความสามารถในการตรวจหาเชื้อและรับมือกับเชื้อ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประเทศเพื่อนบ้านที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากเชื้อโรค แต่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมไว้ องค์การอนามัยโลกจึงเชิญชวนให้ประเทศเหล่านี้ขอรับความช่วยเหลือด้านการเงิน ล่าสุด องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศ ณ วันที่ 31 มกราคม 2563 ให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 “เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลก (global emergency)” หลังจากมีการแพร่กระจายไปยังต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมีรายงานพบผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้เดินทางไปที่จีน ได้แก่ เยอรมนี เวียดนาม สหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น และเป็นการติดต่อของเชื้อไวรัสจากคนสู่คน (human to human transmission) สหภาพยุโรป สำหรับประเทศในสหภาพยุโรปต่างเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นและภาคกลางของสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเข้มงวด ในการสกัดกั้นไม่ให้เชื้อไวรัสดังกล่าวแพร่กระจายในประเทศของตน โดยมีการประกาศให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปเมืองอู่ฮั่นทันที หลังจากมีการพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี นอกจากนี้สหภาพยุโรปและรัฐบาลของประเทศต่างๆ ในยุโรป เช่น สหราชอาณาจักร สเปน เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และเยอรมนี ต่างพิจารณาเตรียมแผนอพยพพลเมืองออกจากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แล้ว ความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในยุโรป ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งยุโรป (The European Centre for Disease Prevention and Control, ECDC) ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในยุโรปอย่างใกล้ชิดและทำการประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการประเมิน เนื่องด้วยการเข้าถึงและการแบ่งปันข้อมูลทางระบาดวิทยายังมีไม่เพียงพอ จากการประเมินความเสี่ยงของ ECDC พบว่า - ความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของพลเมืองชาวยุโรปที่อาศัยหรือเดินทางไปยังนครอู่ฮั่นอยู่ในระดับ “ปานกลาง” - ความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากต่างประเทศสู่ประเทศในสหภาพยุโรปอยู่ในระดับ “ปานกลาง” - ความเสี่ยงของการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากผู้ติดเชื้อไปยังบุคคลใกล้ชิดในสหภาพยุโรปอยู่ในระดับ “ต่ำ” มาตรการจัดการความเสี่ยงของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในยุโรป คณะกรรมธิการยุโรปด้านสุขภาพและความปลอดภัยทางอาหาร (Directorate-General for Health and Food Safety, DG SANTE) ได้ทำการประเมินเบื้องต้นต่อข้อมูลที่ได้รับจากแต่ละประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป โดยพบว่าสหภาพยุโรปมีการเตรียมความพร้อมในระดับสูงในการจัดการกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยมีการจัดการให้ทุกประเทศสมาชิกสามารถเข้าถึงบริการตรวจวินิจฉัยหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากห้องปฏิบัติการ เผยแพร่ข้อควรปฏิบัติให้แก่นักท่องเที่ยวและบุคลากรทางสาธารณสุข และร่างแผนระบบสุขภาพเพื่อบริหารจัดการกรณีการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยขณะนี้ยังไม่มีประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปที่เรียกขอความช่วยเหลือพิเศษทางด้านอุปกรณ์จากคณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ห้องปฏิบัติการในแต่ละประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปให้สามารถตรวจจับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ - เกณฑ์การคัดกรองทางระบาดวิทยา : - บุคคลใดก็ตามที่มีประวัติการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วง 14 วัน ก่อนเริ่มมีอาการป่วย - บุคคลใดก็ตามที่มีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่ได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการ ในช่วง 14 วัน ก่อนเริ่มมีอาการป่วย - เกณฑ์การคัดกรองทางคลินิก : - บุคคลใดก็ตามที่มีอาการทางคลินิกที่เหมือนได้จากการติดเชื้อทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลันและรุนแรงที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือหรือจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องด้วยผลพิสูจน์ทางคลินิกหรือจากการฉายรังสีว่ามีอาการของโรคปอดบวม - บุคคลใดก็ตามที่มีไข้หรือมีประวัติว่ามีไข้สูงกว่าหรือเท่ากับ 38 องศาเซลเซียส และพบการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน (มีการแสดงอาการอย่างฉับพลันของการติดเชื้อทางเดินหายใจอย่างน้อยอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่ การหายใจถี่ ไอ หรือ เจ็บคอ) โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งยุโรป (ECDC) แนะนำว่าหากพบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะต้องแจ้งในระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการตอบสนอง (Early Warning and Response System, EWRS) อย่างทันที เพื่อกระจายข่าวการพบและการกระจายที่มาของเชื้อ สาธารณรัฐฝรั่งเศส สาธารณรัฐฝรั่งเศสถือเป็นชาติแรกของยุโรปที่สั่งอพยพพลเมืองของตนออกจากสาธารณรัฐประชาชนจีนหลังจากที่พบผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ภายในประเทศ ซึ่งต่างมีประวัติเดินทางกลับมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศส ส่งเครื่องบินเที่ยวแรกเข้ารับพลเมืองออกจากเมืองอู่ฮั่น โดยเที่ยวบินแรกที่จะไปรับเฉพาะที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ อย่างไรก็ดีฝรั่งเศสได้จัดเตรียมสถานที่รองรับและกักกันโรคเพื่อเฝ้าสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน หลังการอพยพพลเมืองชุดนี้กลับมายังฝรั่งเศส สำหรับการจัดการกับการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในฝรั่งเศส สำนักงานสาธาณสุขของฝรั่งเศสได้เร่งกำลังตรวจสอบด้านระบาดวิทยา เพื่อประเมินว่าผู้ป่วยติดเชื้อได้สัมผัสกับผู้อื่นหรือไม่ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดต่อไป โดยสำนักงานสาธารณสุขของฝรั่งเศสกล่าวว่า การตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในฝรั่งเศสมีประสิทธิภาพและรู้ผลได้เร็ว จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝรั่งเศสสามารถตรวจพบผู้ติดเชื้อรายแรกในยุโรป สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นประเทศที่ 2 ในทวีปยุโรปถัดจากฝรั่งเศส ที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หัวหน้าสำนักงานความปลอดภัยสุขภาพและอาหาร รัฐบาวาเรียของเยอรมนี แถลงยืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเยอรมนี โดยเผยว่าชายคนนี้ไม่เคยไปสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ติดเชื้อจากเพื่อนร่วมงานชาวจีนที่มาทำงานในเยอรมนี โดยคณะแพทย์กำลังติดตามดูอาการของผู้ติดเชื้อเหล่านี้และได้แยกตัวออกจากผู้ป่วยคนอื่นๆ นอกจากนี้ทางรัฐบาลเยอรมนีได้ติดตามตรวจสอบร่างกายผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ว่าได้รับการแพร่กระจายเชื้อด้วยหรือไม่ ตามมาตรการเฝ้าระวัง ในขณะที่บริษัทที่ผู้ติดเชื้อทำงานอยู่ได้ประกาศปิดให้บริการ 2 สัปดาห์ เพื่อเป็นการกักบริเวณและให้มีการฆ่าเชื้อ และระงับการแลกเปลี่ยนบุคลากรกับสำนักงานในสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างไม่มีกำหนด ราชอาณาจักรเบลเยียม ถึงแม้ในเบลเยียมจะยังไม่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่มหาวิทยาลัย KU Leuven กำลังพัฒนาวัคซีนสำหรับรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย KU Leuven ได้อาศัยเทคโนโลยี passe-partout ในการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ โดยเริ่มแรกเทคโนโลยี passe-partout มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาวัคซีนสำหรับโรคไข้เหลือง แต่ทว่าสามารถนำไปใช้จัดการเชื้อโรคชนิดอื่นได้เช่นกัน ซึ่งในการทดสอบในห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย KU Leuven พบว่าเทคโนโลยีนี้สามารถใช้จัดการไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคพิษสุนัขบ้า อีโบลา และซิกาได้เช่นกัน โดยชณะนี้นักวิจัยกำลังสร้างแบบจำลองและคาดว่าจะสามารถทดสอบวัคซีนชนิดใหม่ในสัตว์ได้ภายในไม่กี่อีกสัปดาห์ข้างหน้า เครือข่ายวิจัย Global Research Collaboration for Infectious Disease Preparedness (GloPID-R) เครือข่ายวิจัย Global Research Collaboration for Infectious Disease Preparedness (GloPID-R) ซึ่งเป็นเครือข่ายความร่วมมือการวิจัยด้านโรคติดเชื้อระหว่างประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดของโรคติดเชื้อต่างๆ ที่ระบาดในโลก ได้ทำงานร่วมกับสมาชิกของเครือข่ายและองค์การอนามัยโลกเพื่อกำหนดหัวข้อการวิจัยที่สำคัญที่จะสนับสนุนให้ทุนโดยขณะนี้จะมุ่งเน้นการสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการวินิจฉัย การรักษา และการพัฒนาวัคซีน พร้อมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางสาธารณสุขต่อการแพร่ระบาดของเชื้อ เพื่อจำกัดอัตราการป่วยและเสียชีวิต ตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยเบื้องต้นทางสมาชิกของเครือข่าย GloPID-R ได้ระบุแผนปฏิบัติการสำคัญเพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดของเชื้อ 3 ประการดังนี้ - การส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างผู้เกี่ยวข้องทั่วโลก โดยส่งเสริมการสื่อสารและการปรึกษาหารือระหว่างองค์กรทั่วโลกถึงการใช้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดของเชื้อ - กำหนดหัวข้อหรือสาขาการวิจัยที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการจัดการกับเชื้อไวรัสเพื่อให้เกิดการลงทุนทางการวิจัยที่มีประสิทธิผลโดยจะมีการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญอิสระและจัดการประชุมระหว่างผู้แทนระดับสูงเพื่อกำหนดความเร่งด่วนของการวิจัย - จัดทำแพลตฟอร์มเพื่อกำหนดกระบวนการระเบียบวิธี และเครื่องมือมาตรฐานที่ชัดเจน เช่น กรอบกำกับดูแลในการประเมินทางคลินิกของวัคซีน วิธีการรักษา และวิธีการตรวจวินิจฉัยเพื่อให้หน่วยงานระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก ทุกหน่วยงาน ได้ดำเนินงานตามอย่างสอดคล้องกัน รวมถึงเป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลและตัวอย่างระหว่างสมาชิกทั่วโลกอีกด้วย ปัจจุบันประเทศไทยเป็นสมาชิกของเครือข่ายวิจัย GloPID-R โดยมีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นตัวแทนของประเทศไทย ซึ่งล่าสุดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนาห้องปฏิบัติการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข (ส่วนกลาง) และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ส่วนภูมิภาคเพื่อรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยห้องปฏิบัติการดังกล่าวจะให้บริการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างที่น่าสงสัยต่อการติดเชื้อที่เข้าเกณฑ์การคัดกรองของกรมควบคุมโรค ซึ่งสามารถตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสได้อย่างแม่นยำ มีความจำเพาะสูง เชื่อถือได้ และรู้ผลภายใน 3 ชั่วโมง หลังจากห้องปฏิบัติการได้รับตัวอย่าง โดยใช้การตรวจวิเคราะห์สารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสด้วยเทคนิค หากผลการตรวจเป็นลบ สามารถรายงานผลได้ทันที แต่หากผลการตรวจเป็นบวก จะดำเนินการตรวจยืนยันอีกครั้งด้วยการตรวจลำดับนิวคลิโอไทด์ (Nucleotide sequencing) โดยใช้เวลาในการตรวจวิเคราะห์ 24 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้การสรุปผลการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อไวรัสมีความชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการรักษา โดยห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีส่วนทำให้การทำงานของเครือข่ายวิจัย GloPID-R ในการตรวจหาเชื้อไวรัสมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ข้อมูลเพิ่มเติมของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายวิจัย GloPID-R สำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้ประสานงานกับเครือข่ายวิจัย GloPID-R มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องกับเครือข่ายวิจัย GloPID-R ตลอดจนได้รับคำแนะนำที่มีประโยชน์สำหรับนักวิจัยไทยที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการต่างๆ ในกรอบความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรม Horizon 2020 ของสหภาพยุโรป ภายหลังจากการเข้าร่วมประชุมหารือดังกล่าว สำนักงานฯ ได้เสนอเรื่องไปยังกระทรวงอุดมศึกษาฯ (กระทรวงวิทย์ฯ(เดิม)) และได้รับมอบหมายจากท่านปลัดกระทรวง ให้อัครราชทูตที่ปรีกษา (ฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ประจำกรุงบรัสเซลส์ เป็นผู้แทนไทยที่ประจำอยู่ในยุโรป ทำหน้าที่ประสานงาน (coordinator) และในส่วนของผู้แทนไทยที่ประจำอยู่ในประเทศไทย เสนอโดยกระทรวงสาธารณสุข อันได้แก่ นางสาวนภวรรณ เจนใจ จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นผู้ประสานงานเครือข่ายในประเทศไทย การเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ ทีมนักวิจัยจาก Johns Hopkins Center for Systems Science and Engineering (CSSE) ได้พัฒนาแผนที่ติดตามเรียลไทม์ (dashboard) สำหรับติดตามจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสทั่วโลก เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสอย่างใกล้ชิดและทันท่วงที โดยในแผนที่ติดตามเรียลไทม์ จะมีการแสดงจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด ระบุเมืองและภูมิภาคที่ผู้ป่วย ยิ่งพบมากในภูมิภาคใด จะยิ่งมีจุดบนแผนที่มากขึ้น และมีแผนภูมิช่วยแสดงผลให้เห็นว่ามีอัตราผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเท่าใด มีจำนวนผู้เสียชีวิตและจำนวนผู้รอดชีวิตหรือหายจากการติดเชื้อไวรัสนี้ ซึ่งข้อมูลต่างๆ นำมาจากรายงานขององค์กรสาธารณสุขระดับโลก เช่น WHO CDC NHC และ Dingxiangyuan เป็นต้น ข้อมูลได้ถูกรวบรวมและสรุปให้ดูง่ายและมีการอัพเดตข้อมูลแบบรายวัน นักวิจัยและผู้เกี่ยวข้องสามารถ download ติดตามได้ที่ https://gisanddata.maps.arcgis.com/apps/opsdashboard/index.html#/bda7594740fd40299423467b48e9ecf6 ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/20200225-newsletter-brussels-no01-jan63.pdf
นานาสาระน่ารู้

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 12 เดือน ธันวาคม 2562
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 12 เดือน ธันวาคม 2562 สหภาพยุโรปเปิดตัวแผนนโยบาย Green Deal เพื่อจัดการกับสภาวะโลกร้อนและสร้างบทบาทการเป็นผู้นำในเวทีโลกในด้านอุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีสะอาด นโยบาย Green Deal ซึ่งเป็นนโยบายการลดและต่อสู้กับสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป โดยมีจุดมุ่งหมายขับเคลื่อนยุโรปสู่สังคมไร้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี ค.ศ.2050 อีกทั้งยุโรปจะต้องเป็นผู้นำในเวทีโลกด้านอุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีสะอาด 10 ประเด็นสำคัญของแผนนโยบาย Green Deal 1.การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) สหภาพยุโรปได้กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งระเบียบวาระดังกล่าวจะถูกบรรจุอยู่ในกฎหมายว่าด้วยสภาพภูมิอากาศซึ่งจะถูกนำเสนอในเดือนมีนาคม ค.ศ.2020 ระเบียบวาระดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย โดยมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 40 เพิ่มเป็นร้อยละ 50-55 ภายในปี ค.ศ.2030 (โดยใช้ฐานของปี ค.ศ. 1990 มาวัด) แต่ทว่ายังจะต้องมีการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ของเป้าหมายอีกทีหนึ่ง 2.แผนนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนฉบับใหม่ (Circular Economy) แผนนโยบายฉบับใหม่นี้จะครอบคลุมประเด็นผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน โดยจะอธิบายถึงวิธีการผลิตที่จะลดการใช้วัสดุและทรัพยากร และการออกแบบเพื่อส่งเสริมการนำกลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิล เช่น กรณีของแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น เหล็ก ซีเมนต์ และสิ่งทอ โดยจะเตรียมการให้มีการผลิตวัสดุเหล่านี้ด้วยพลังงานสะอาด เช่น ไฮโดรเจน ภายในปีค.ศ.2030 3.การปรับปรุงอาคารบ้านเรือน (Building renovation) หนึ่งในโครงการสำคัญภายใต้แผนนโยบาย Green Deal นั่นคือการเพิ่มอัตราการปรับปรุงอาคาร โดยเพิ่มเป็นจำนวนอย่างน้อย 2 ถึง 3 เท่า จากปัจจุบันที่อยู่ที่ร้อยละ 1 4.สังคมไร้มลพิษ (Zero-pollution) แผนนโยบาย Green Deal ต้องการสร้างสังคมที่ไร้มลพิษ ไม่ว่าจะเป็นอากาศ ดิน และน้ำ ต้องปลอดจากสารมลพิษภายในปี ค.ศ. 2050 โดยแผนนโยบายใหม่นี้จะครอบคลุมถึงกลยุทธ์การจัดการสารเคมีเพื่อสร้างสังคมที่ปราศจากสารพิษ 5.ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ (Ecosystems & biodiversity) ภายใต้แผนกลยุทธ์ใหม่สหภาพยุโรปต้องการเป็นผู้นำในการพัฒนามาตรการเพื่อจัดการกับปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น มาตรการจัดการมลพิษในดินและน้ำ และแผนกลยุทธ์ป่าไม้ฉบับใหม่ที่จะมุ่งเน้นการเพิ่มอัตราการปลูกป่าทั้งในเขตเมืองและชนบท และกฎการใช้ฉลากเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีกระบวนการผลิตปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า 6.แผนกลยุทธ์จากฟาร์มถึงปลายส้อม (From Farm to Fork Strategy) แผนกลยุทธ์จากฟาร์มถึงปลายส้อมจะถูกเสนอแก่ที่ประชุมในปี ค.ศ. 2020 โดยมีจุดมุ่งหมายพัฒนาระบบเกษตรกรรมสีเขียวเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งจะมีการพิจารณาลดการใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี และยาต้านจุลชีพ อย่างมีนัยสำคัญ 7.ภาคขนส่ง (Transport) ปัจจุบันเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการขนส่งของสหภาพยุโรปอยู่ที่ 95gCO2/km ภายใน ค.ศ. 2021 แต่สหภาพยุโรปมีความมุ่งมั่นที่จะลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคส่วนนี้ให้เป็นศูนย์ในช่วงปี ค.ศ. 2030 โดยจะมีการกระตุ้นและส่งเสริมการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าผ่านเป้าหมายการติดตั้งสถานีจ่ายไฟจำนวน 1 ล้านสถานีทั่วยุโรปให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2025 นอกจากนี้จะมุ่งเน้นการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการบิน การเดินเรือ และ การขนส่งโดยยานยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าได้ 8.การเงิน (Money) สหภาพยุโรปเตรียมใช้เครื่องมือการเงิน Just transition Mechanism โดยจะระดมทุนจำนวน 1 แสนล้านยูโร เพื่อช่วยประเทศ ภูมิภาค และภาคธุรกิจ ที่มีความเสี่ยงสูงสุด ที่ยังต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นแหล่งพลังงานหลัก โดยงบประมาณ 1 แสนล้านยูโรนี้จะแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ กองทุน Just Transition เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม โดยจะดึงงบประมาณด้านนโยบายภูมิภาคของสหภาพยุโรปมาใช้ โครงการ InvestEU ซึ่งงบประมาณมาจากธนาคารเพื่อการลงทุนของยุโรป (The European Investment Bank, EIB) กองทุนธนาคารเพื่อการลงทุนของยุโรป โดยทุกๆ ยูโรที่ถูกใช้จ่ายจากกองทุน จะถูกสบทบด้วยเงิน 2 ถึง 3 ยูโร จากงบประมาณส่วนภูมิภาค 9.การวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม (R&D and innovation) ขอบข่ายโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปฉบับที่ 9 หรือ Horizon Europe ซึ่งมีงบประมาณ 1 แสนล้านยูโร ครอบคลุมช่วงปี ค.ศ. 2021-2027 จะส่งเสริมแผนนโยบาย Green Deal เช่นกัน โดยร้อยละ 35 ของทุนวิจัยจะนำไปส่งเสริมการวิจัยด้านเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม 10.ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ (External relations) สหภาพยุโรปมุ่งใช้มาตรการทางการฑูต ในการสนับสนุนแผนนโยบาย Green Deal ซึ่งหนึ่งในมาตรการ คือ ข้อเสนอการจัดเก็บภาษีคาร์บอน ณ ชายแดน ในขณะที่สหภาพยุโรปเพิ่มมาตรการต่างๆ ในการรักษาสิ่งแวดล้อม สหภาพยุโรปจึงอยากเห็นประเทศอื่นๆ ทั่วโลกแสดงเจตจำนงที่สอดคล้องกันและสหภาพยุโรปจะป้องกันเศรษฐกิจในภูมิภาคจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม อีกหนึ่งนโยบายการค้าที่สหภาพยุโรปนำมาใช้เพื่อส่งเสริมการปฏิรูปสีเขียวคือ การกำหนดให้คู่ภาคีที่จะเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรปต้องให้สัตยาบันและปฏิบัติตามความตกลงปารีสอย่างเคร่งครัด ข้อเสนอแนะต่อประเทศไทย จากแผนนโยบาย Green Deal หน่วยงานในไทยทั้งภาครัฐและเอกชนควรเตรียมความพร้อมและจัดเตรียมมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับแผนนโยบาย Green Deal โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มิฉะนั้นอาจจะทำให้ประเทศไทยเสียสิทธิประโยชน์ในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เช่นในกรณีการเสียภาษีคาร์บอน นอกจากนี้ประเทศไทยยังสามารถใช้ประโยชน์จากแผนนโยบาย Green Deal ในการร่างมาตรการและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ของไทย หรือเป็นช่องทางในการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยด้านพลังงานสะอาดในยุโรปได้อีกด้วย ผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล หรือ PISA โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ได้ประกาศผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากลประจำปี ค.ศ. 2018 ออกมาแล้ว ในระดับนานาชาติ พบว่า นักเรียนจากจีนในสี่มณฑล (ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เจียงซู และเจ้อเจียง) และสิงค์โปร์ มีคะแนนทั้งสามด้าน ได้แก่ ด้านการอ่าน ด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ สูงกว่าทุกประเทศ/เขตเศรษฐกิจ สำหรับประเทศที่มีคะแนนสูงสุดห้าอันดับแรกในด้านการอ่านซึ่งเป็นด้านที่เน้นในรอบการประเมินนี้ ได้แก่ จีนสี่มณฑล สิงคโปร์ มาเก๊า ฮ่องกง และเอสโตเนีย ส่วนนักเรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ยในด้านการอ่านมีคะแนนลดลง 16 คะแนน ส่วนด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มีคะแนนเพิ่มขึ้น 3 คะแนน และ 4 คะแนน ตามลำดับ ซึ่งในการทดสอบทางสถิติถือว่าด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับรอบการประเมินที่ผ่านมา การประเมิน PISA โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากลริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD) มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษาในการเตรียมความพร้อมให้ประชาชนมีศักยภาพหรือความสามารถพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยจะประเมินนักเรียนอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่สำเร็จการศึกษาภาคบังคับอย่างต่อเนื่องทุกๆ 3 ปี และเน้นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนเกี่ยวกับการใช้ความรู้และทักษะในชีวิตจริงมากกว่าการเรียนรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน หรือเรียกว่า ความฉลาดรู้ (Literacy) ได้แก่ ความฉลาดรู้ด้านการอ่าน (reading literacy) ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ (mathematical literacy) และความฉลาดรู้ด้านวิทยาศาสตร์ (scientific literacy) การประเมินนักเรียนจะวัดทั้ง 3 ด้าน ดังกล่าวไปพร้อมกัน แต่จะเน้นหนักในด้านใดด้านหนึ่งในแต่ละรอบการประเมินซึ่งความฉลาดรู้ทั้งสามด้านนี้ ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเป็นสิ่งที่ประชากรจำเป็นต้องมีเพื่อการพัฒนาและการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ การประเมิน PISA สำคัญอย่างไรในเวทีโลก สาเหตุที่เลือกนักเรียนในช่วงอายุ 15 ปี มาทำการประเมิน เพราะนักเรียนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สิ้นสุดการศึกษาภาคบังคับและจะต้องออกไปประกอบอาชีพในตลาดแรงงาน คุณภาพของนักเรียนในกลุ่มนี้จึงเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศในอนาคต เนื่องจากนานาชาติถือว่าการประเมิน PISA เป็นข้อสอบที่มีคุณภาพและมีนักเรียนจำนวนมากจากทั่วโลกเข้าร่วมทดสอบ ผลการทดสอบจึงเป็นดัชนีบ่งบอกคุณภาพทางการศึกษาที่น่าเชื่อถืออันหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากหน่วยงานจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันต่างๆ เช่น World Competitiveness Center (IMD) หรือ World Economic Forum (WEF) ล้วนใช้ผลทดสอบการประเมิน PISA เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านทรัพยากรของประเทศต่างๆ สำหรับประเทศไทย ในแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 ได้ตั้งเป้าหมายให้เด็กไทยมีคะแนนการประเมิน PISA อยู่ในระดับมาตรฐานสากลหรือระดับค่าเฉลี่ยของประเทศ OECD ให้ได้ การประเมิน PISA 2018 PISA 2018 มีการประเมินนักเรียนอายุ 15 ปี จำนวนมากกว่า 600,000 คน จาก 79 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจโดยประเทศที่เข้าร่วมการประเมินเป็นครั้งแรกใน PISA 2018 ได้แก่ เบลารุส บอสเนียและเฮร์เซโกวีนา บรูไนดารุสซาลาม โมร็อกโก ยูเครน ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย และมณฑลเจ้อเจียง(จีน) โดยการสอบครั้งก่อนในปี ค.ศ. 2015 มีจำนวนประเทศที่เข้าร่วม 72 ประเทศ (นักเรียน 510,000 คน) ในขณะที่การสอบครั้งแรกมีจำนวนประเทศที่เข้าร่วม 43 ประเทศ (นักเรียน 256,000 คน) สำหรับประเทศไทยนับเป็นประเทศในกลุ่มแรกๆ ที่เข้าร่วมการสอบ PISA ทุกรอบตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมา โดยมีสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ทำหน้าที่เป็นศูนย์แห่งชาติ ซึ่งดำเนินการจัดสอบครั้งล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา มีนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 8,633 คน จาก 290 โรงเรียนในทุกสังกัดการศึกษาเข้าร่วมการประเมินในรอบนี้ โดยนักเรียนได้ทำแบบทดสอบและแบบสอบถามทางคอมพิวเตอร์ผ่านแฟลชไดรฟ์ข้อสอบนอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลจากผู้บริหารโรงเรียนผ่านทางแบบสอบถามออนไลน์ด้วย การเปลี่ยนแปลงการประเมินด้านการอ่าน PISA 2018 จะประเมินการอ่านทั้งการใช้แหล่งข้อมูลเดียวและหลายแหล่งข้อมูล ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่มีในช้อสอบของ PISA เช่น แผ่นพับ ป้ายประกาศ การโพสต์ข้อความหลายๆ โพสต์บนกระดานสนทนา การเขียนบล็อกส่วนตัว การโต้ตอบทางอีเมล การสนทนาทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ บทความออนไลน์ บทความทางวิชาการ บทความจากหนังสือพิมพ์ เอกสารทางประวัติศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งการสอบด้วยคอมพิวเตอร์ทำให้สามารถใช้สื่อดิจิทัลได้หลายแบบและสามารถกดลิงค์ แท็บ หรือเมนูต่างๆ เพื่อดูข้อมูลบนเว็บไซต์ที่อยู่ในสถานการณ์ของข้อสอบที่สร้างขึ้น PISA จึงประเมินกระบวนการอ่านโดยเน้นที่ความสามารถในสามกระบวนการ ดังนี้ - ตำแหน่งข้อสนเทศในเนื้อเรื่อง (locate information) : เข้าถึงและค้นสาระข้อสนเทศที่อยู่ในเนื้อเรื่อง - มีความเข้าใจในเนื้อเรื่อง (understand) : แสดงถึงความเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของเนื้อเรื่อง และบูรณาการและลงข้อสรุปจากข้อสนเทศหลายๆ ส่วนที่อยู่ในเนื้อเรื่อง - ประเมินและสะท้อนความคิดเห็นต่อเนื้อเรื่อง (evaluate and reflect) : ประเมินคุณภาพและความน่าเชื่อถือของเนื้อเรื่องได้ , สะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาและรูปแบบของเรื่องที่ได้อ่านอย่างมีวิจารณญาณ, ตรวจสอบข้อมูลที่ขัดแย้งกันและหาวิธีจัดการข้อขัดแย้งนั้น ผลการประเมิน ทั้งนี้จากการประเมินของ PISA 2018 ที่เน้นในด้านทักษะการอ่าน พบว่าประเทศที่ได้คะแนน 10 อันดับแรกคือ จีน (เฉพาะในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เจียงซู และเจ้อเจียง) สิงคโปร์ มาเก๊า ฮ่องกง เอสโตเนีย แคนาดา ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ เกาหลีใต้ และโปแลนด์ ส่วนประเทศที่มีคะแนนรั้งท้ายด้านการอ่านคือฟิลิปปินส์ (มีคะแนนเฉลี่ยด้านการอ่านต่ำสุดอยู่ที่ 340 คะแนน) สาธารณรัฐโดมินิกัน โคโซโว เลบานอน โมร็อกโก อินโดนีเซีย ปานามา จอร์เจีย คาซัคสถาน บากู มาซิโดเนียเหนือ และไทย ในภูมิภาคอาเซียน มีเพียงสิงคโปร์เท่านั้นที่ทำคะแนนจากกการประเมิน PISA 2018 ได้เกินกว่าค่าคะแนนเฉลี่ย OECD ในขณะที่ประเทศไทยมีคะแนนสูงกว่าแค่ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ สำหรับผลการประเมินของประเทศไทย นักเรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ยในด้านการอ่าน 393 คะแนน (ค่าเฉลี่ย OECD 487 คะแนน) คณิตศาสตร์ 419 คะแนน (ค่าเฉลี่ย OECD 489 คะแนน) และวิทยาศาสตร์ 426 คะแนน (ค่าเฉลี่ย OECD 489 คะแนน) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ PISA 2015 พบว่า ด้านการอ่านมีคะแนนลดลง 16 คะแนน ส่วนด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มีคะแนนเพิ่มขึ้น 3 คะแนน และ 4 คะแนน ตามลำดับ ซึ่งในการทดสอบทางสถิติถือว่าด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับรอบการประเมินที่ผ่านมา โดยสรุปพบว่านักเรียนไทยมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ในทุกด้าน ทั้งด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ แม้รายงาน PISA 2015 จะพบว่า เด็กไทยใช้เวลาเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนถึง 55 ชั่วโมง สูงกว่าประเทศที่ได้คะแนนอันดับต้นๆ อย่างฟินแลนด์ (36 ชั่วโมง) หรือ เกาหลีใต้ (50 ชั่วโมง) ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนเวลาเรียนกับผลคะแนนการประเมิน PISA โดยเฉลี่ยนักเรียนมีเวลาทั้งหมดที่สามารถใช้ในการเรียนประมาณสัปดาห์ละ 80 ชั่วโมง นักเรียนในประเทศสมาชิก OECD รายงานว่าใช้เวลาเรียน 44 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (รวมเวลาทำการบ้าน เรียนเพิ่มเติม และเรียนพิเศษส่วนตัว) นั่นคือประมาณร้อยละ 55 ของเวลาที่นักเรียนมีทั้งหมด ในขณะที่นักเรียนบางประเทศ/เขตเศรษฐกิจ เช่น จีนสี่มณฑล กาตาร์ ตูนิเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และไทย ใช้เวลาเรียนอย่างน้อยร้อยละ 65 ของเวลาที่นักเรียนมีแต่บางประเทศ เช่น ฟินแลนด์ เยอรมนี สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และอุรุกวัย นักเรียนใช้เวลาเรียนน้อยกว่าครึ่งของเวลาที่นักเรียนมีทั้งหมด นักเรียนไทยใช้เวลาเรียนมากทั้งในเวลาเรียนปกติในโรงเรียนและนอกเวลาเรียนซึ่งเกือบจะมากกว่านักเรียนจากทุกประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ข้อมูลชี้ว่านักเรียนไทยใช้เวลามากว่าอีกหลายประเทศและให้เวลากับวิชาวิทยาศาสตร์มากกว่าวิชาอื่นๆ ทั้งในเวลาเรียนปกติและนอกเวลาเรียน อีกทั้งเวลารวมที่ใช้กับทุกวิชาทั้งในและนอกเวลาก็จัดอยู่ในกลุ่มระบบโรงเรียนที่ใช้เวลาเรียนมาก แต่ผลการประเมินชี้ว่านักเรียนไทยยังคงอยู่ห่างไกลจากค่าเฉลี่ย OECD ซึ่งทำให้อัตราส่วนระหว่างคะแนนต่อเวลาเรียนรวมมีค่าต่ำแสดงนัยถึงการใช้เวลาที่ยังไม่คุ้มค่าและชี้ถึงประสิทธิภาพของการจัดการของระบบโรงเรียนด้วย ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/20200225-newsletter-brussels-no12-dec62.pdf
นานาสาระน่ารู้

เติบแกร่ง แทงยอด: สท. คือใคร ตัวอย่างผลงานปี 2560
หนังสือ "เติบแกร่ง แทงยอด: สท. คือใคร ตัวอย่างผลงานปี 2560" นำเสนอผลงานส่วนหนึ่งจากการทำงานของ สท. ที่ได้นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรให้พร้อมที่จะเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
ดาวน์โหลดหนังสือ
เอกสารเผยแพร่

ทำไมใช้ OER
มีหลายเหตุผลที่ครูอาจต้องการใช้ OER ดังนี้1. ฟรีและถูกต้องตามกฎหมายที่จะใช้ ปรับปรุง และแบ่งปัน- ประหยัดเวลาและพลังงานโดยปรับหรือแก้ไขทรัพยากรซึ่งได้รับการสร้างแล้ว- ปรับทรัพยากรการศึกษาให้เป็นเนื้อหาที่จำเพาะสำหรับหลักสูตร- ขยายโอกาสสำหรับการเรียนรู้และการสอนสหสาขาวิชาโดยช่วยในการรวบรวมและแก้ไขหลายทรัพยากรการศึกษา- จำกัดความใหม่การเรียนรู้แบบดั้งเดิมโดยรวมหลายสื่อหรือการศึกษาใช้บทละคร- ไปเกินกว่าขอบเขตของการใช้หนังสือในการสอน2. เครือข่ายและร่วมมือกับผู้รู้เสมอกัน- เข้าถึงทรัพยากรการศึกษาซึ่งได้รับการทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น- บทวิจารณ์หรือบทความที่มีคำอธิบายประกอบและเนื้อหาดังนั้นครูคนอื่นมีความรู้ลึกซึ้งมากกว่าของทรัพยากรและคุณภาพอย่างเร็ว- ให้การเรียนรู้และสอนโครงการของทีมโดยใช้ระบบความร่วมมือ3. ลดค่าใช้จ่ายในการศึกษาและปรับปรุงการเข้าถึงรายละเอียด- ลดค่าใช้จ่ายของวัสดุในหลักสูตร โดยเฉพาะตำราเรียนดังนั้นนักเรียนเข้าถึงและไม่มีภาระทางการเงิน- ค้นหาและเข้าถึงรายละเอียดโดยทันทีในหัวข้อใดก็ได้ในหลายอุปกรณ์- ทำให้นักเรียนมีโอกาสเห็นเนื้อหาของหลักสูตรอย่างเปิดเผยก่อนการสมัครเข้าเรียน- เพิ่มการสำเร็จการศึกษาและอัตราการคงอยู่ที่มา: (April 12, 2019). Why Use OER?. Retrieved April 4, 2020, from https://guides.library.illinois.edu/oer
นานาสาระน่ารู้

การสร้างแบรนด์สำหรับ KM ภายในองค์กร
การส่งเสริม KM ของ APQC แสดงว่าการสร้างแบรนด์เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่งเพื่อสร้างความตระหนักของ KM ในคนทำงาน เมื่อสร้างแบรนด์ให้กับ KM จะทำให้สิ่งที่เชื่อมโยงกับแบรนด์สามารถจำได้โดยทันทีอย่างมองเห็น การสร้างแบรนด์ช่วย KM มีความสามารถในการมองเห็นในธุรกิจและเตือนพนักงานเกี่ยวกับรายละเอียด ความชำนาญ และความร่วมมือที่มีให้กับพนักงาน และแบรนด์ที่ได้รับการประดิษฐ์โดยใช้ฝีมือที่ดีสามารถทำให้เกิดความหมายในเชิงบวกคือกระตุ้นให้พนักงานให้และค้นหาความรู้จากการทำงานประจำ
1. การสร้างแบรนด์สำหรับ KM ที่น่าสนใจ ขั้นตอนแรกในการสร้างแบรนด์สำหรับ KM คือ เลือกคำที่ถูกต้องเพื่ออธิบายความรู้และ KM ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม ผู้ฟังเป้าหมาย จุดประสงค์สำหรับ KM และวัฒนธรรมองค์กร บางโปรแกรม KM ใช้คำศัพท์มาตรฐานของ KM เช่น knowledge management, communities of practice หรือ knowledge asset บริษัทอื่นอาจใช้คำศัพท์ที่ทั่วไปมากกว่านี้ เช่น knowledge sharing หรือ collaboration
ท้ายที่สุดแบรนด์ KM ควรจะสอดคล้องกับลักษณะทางสังคมและคุณค่าทั้งหมดของบริษัท สำหรับบางบริษัทการสร้างแบรนด์ที่สนุกสนานและตลกจะใช้ได้ดีกว่า แต่บางบริษัทต้องการวิธีการที่ไม่ไร้สาระซึ่งวาง KM เกี่ยวกับธุรกิจที่ยอมรับภายในและมุ่งจุดสนใจไปที่ผลลัพธ์ที่ต้องการ
บริษัท Consolidated Contractors Company หรือ CCC เป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างแบรนด์สำหรับ KM ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งที่เกี่ยวกับการก่อสร้างและวิศวกรรมที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง CCC เรียกโปรแกรม KM ว่า Fanous เป็นคำอารบิคและกรีกมีความหมายว่าโคมไฟ เหตุผลที่ใช้ Fanous คือ ทีม Km ต้องการหาคำที่ง่ายในการออกเสียงเกือบจะทุกภาษา จุดประสงค์เพื่อให้พนักงานเชื่อมต่อกับแบรนด์ Fanous โดยไม่คำนึงถึงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์หรือภาษาพื้นฐาน Fanous เปรียบ KM เหมือนโคมไฟที่นำทางพนักงานที่อยู่ในที่มืดเพราะว่าพนักงานต้องการเนื้อหาหรือความชำนาญ โลโก้ Fanous ใช้สีที่เป็นทางการของ CCC และจำได้ง่าย
อีกหนึ่งบริษัท คือ MSA เป็นบริษัทด้านความปลอดภัย ผู้ออกแบบและผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยทั่วโลก สร้างแบรนด์สำหรับ KM ที่เชื่อมโยงใกล้ชิดกับภารกิจของบริษัท
2. ทำให้แบรนด์ KM มีความน่าเชื่อถือ ขั้นตอนแรกในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ คือ ทำให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์และบริการ KM มีคุณภาพสูง ข้างล่างเป็นวิธีที่สามารถช่วยสื่อสารและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ KM
วางหน้าคนบน KM ใช้ผู้ชนะเลิศ KM หรือผู้ใช้ยอดเยี่ยมในธุรกิจเพื่อส่งเสริมโปรแกรมแก่เพื่อนและทำให้ทีม KM การปรากฏที่มองเห็นได้ผ่านเหตุการณ์สดและเสมือนจริง
แสดงให้เห็นว่าเนื้อหาน่าเชื่อถือ แสดง metadata ที่สำคัญ เช่น วันที่เผยแพร่, ผู้แต่ง, มีการ update เร็วๆ นี้อย่างไร และเนื้อหาได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญหรือไม่หรือเมื่อไร
รับฟังการตอบกลับ จัดให้มีหนทางสำหรับผู้ใช้ปลายทางเพื่อให้การตอบกลับต่อเครื่องมือ KM และเนื้อหา ขอบคุณต่อคำแนะนำและนำคำแนะนำไปปฏิบัติเมื่อเป็นไปได้
เชื่อมต่อไปยังคุณค่าของบริษัท บริษัทส่วนใหญ่มีบางเวอร์ชั่นของความน่าเชื่อถืออยู่ในคุณค่าและภารกิจของบริษัท ผูกแบรนด์ KM กับแนวคิดนี้เพื่อสนับสนุนความสำคัญของ KM ต่อธุรกิจ
3. ส่งเสริมแบรนด์ KM ให้กว้างขวาง มีหลายหนทางเพื่อส่งเสริมแบรนด์ KM ดังนี้
KM applications and sites สร้างลักษณะและความรู้สึกที่สอดคล้องกันสำหรับ KM applications and sites โดยรวมโลโก้ KM และสีเข้าด้วยกัน
KM newsletters and other communications เพิ่มโลโก้ KM และสีไปที่ email และการสื่อสารผ่านสื่อสังคมของบริษัท
KM swag สิ่งของที่ได้รับแบรนด์ KM เช่น เหยือกกาแฟ, power banks และสายคล้อง ไม่จำเป็นต้องแพง แต่จะช่วยถ้ากระตุ้นการสนทนา ทำให้แบรนด์กระจายตลอดองค์กร
Posters and video displays เป็นสิ่งเตือนความจำที่มองเห็นได้เกี่ยวกับ KM เมื่อพนักงานไม่อยู่ที่โต๊ะทำงานหรือกำลังเดินอยู่ในสำนักงาน
Webinars แบรนด์ KM webinars และ presentations ด้วยโลโก้และองค์ประกอบแบรนด์อื่นๆ
Communities of practice โลโก้ที่จำเพาะสำหรับแต่ละ community of practice ช่วยจำแนกความแตกต่างเนื้อหาของ community และสร้างความรู้สึกความเป็นเจ้าของท่ามกลางสมาชิกของ community
ที่มา: Lauren Trees and Mercy Harper (July 8, 2019). Building a brand for KM inside your organization. Retrieved April 2, 2020, from https://www.kmworld.com/Articles/Editorial/Features/Building-a-brand-for-KM-inside-your-organization-132774.aspx
การจัดการความรู้ (KM)

หนังสือสื่อความรู้ เทคโนโลยีพร้อมใช้ เพื่อเกษตรและชุมชน
สื่อความรู้ เทคโนโลยีพร้อมใช้ เพื่อเกษตรและชุมชน" รวบรวมสื่อความรู้เทคโนโลยีด้านการเกษตรที่ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ได้ถ่ายทอดแก่เกษตรกรและชุมชน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีด้านพันธุ์พืชและการผลิต เทคโนโลยีสารชีวภัณฑ์ เทคโนโลยีด้านสัตว์ เทคโนโลยีการจัดการดิน เทคโนโลยีการแปรรูปผลผลิต ทางการเกษตร และเทคโนโลีด้านอุปกรณ์ เครื่องจักร ซึ่งจัดทำในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ บทความ วิดีโอ และรายการสัมภาษณ์ เพื่อการเข้าถึงง่ายและปรับประยุกต์ใช้ในการทำเกษตรได้จริง นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเกษตรของประเทศ
ดาวน์โหลดหนังสือ
เอกสารเผยแพร่
สมุดปกขาว การศึกษาเชิงนโยบายการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ
จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และระบบนิเวศที่มีแนวโน้มของความเสื่อมโทรมลง ทำให้การรักษาและบริหารจัดการทรัพยากรและสภาพแวดล้อมได้รับความสนใจจากประเทศต่าง ๆ มากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย พลังงานนับได้ว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน และเป็นที่ทราบกันดีว่า แนวโน้มความต้องการใช้พลังงานเพื่อดำเนินชีวิตนั้นมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่แหล่งพลังงานเดิมมีแนวโน้มที่ลดลง ด้วยเหตุนี้ทั่วโลกจึงเริ่มค้นหาแหล่งพลังงานใหม่เข้ามาทดแทน เพื่อรองรับความต้องการและสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้แก่ประเทศของตน จำกแนวโน้มดังกล่าว จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อม และรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานที่กำลังเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชำติ (สวทช.) จึงได้ทำการจัดทำสมุดปกขาวการศึกษาเชิงนโยบายการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติขึ้น เพื่อศึกษาแนวโน้มและสถานการณ์ด้านพลังงานของโลก การวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานของหน่วยงานวิจัยในต่างประเทศ ความเชื่อมโยงของแผนงานด้านพลังงานต่าง ๆ ของไทย การวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานของหน่วยงานวิจัยในไทย รวมถึงแผนงานการวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานของ สวทช. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและศึกษาข้อมูลเพื่อนำไปใช้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบำยต่อทิศทาง การวิจัยและพัฒนาด้านพลังงาน อีกทั้งเพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติหรับข้อมูลที่นำมาใช้ในการศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายนั้น เป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสำร รายงาน และข้อมูลของหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของหน่วยงาน ซึ่งข้อมูลโดยสรุปของ สมุดปกขาว การศึกษาเชิงนโยบายการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ดาว์นโหลดเอกสารฉบับเต็ม
เอกสารเผยแพร่

5 Megatrends ปี 2020-2030 ที่มีความหมายต่อคุณธุรกิจและการเติบโตของนวัตกรรม
5 Megatrends ปี 2020-2030 ที่มีความหมายต่อคุณธุรกิจและการเติบโตของนวัตกรรม การเติบโตของนวัตกรรมสร้างความคาดหวังและความเครียดในสังคม การทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงจะสร้างอนาคตใหม่ ที่เราเรียกกันว่า “Megatrends” ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก McKinsey ได้กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงเปรียบเสมือนเพื่อน การวิเคราะห์ คาดการณ์อนาคตทางธุรกิจและการลงทุนในอนาคต จะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับภาคธุรกิจ ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน รวมถึงชีวิตการทำงาน Megatrend 1: การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางเศรษฐกิจ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางเศรษฐกิจ ประเทศกำลังพัฒนาจะมีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ สังคมและวิธีลงทุนอย่างมาก 1.เศรษฐกิจใหม่กำลังเติบโต คนรุ่นใหม่ในประเทศกำลังพัฒนาได้เปลี่ยนจากการเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการให้กับประเทศพัฒนา สู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการเพื่อบริโภคภายในประเทศของตนเอง ร้อยละ 80 ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และร้อยละ 85 ของการเจริญเติบโตของการบริโภคทั่วโลก คิดเป็นมากกว่าสองเท่าในปี 1990 2.จีนจะเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลก เมื่อสองศตวรรษที่ผ่านมา นโปเลียน โบนาปาร์ตได้กล่าวว่า “จีนเสมือนคนนอนหลับ แต่เมื่อตื่นขึ้น จีนจะขับเคลื่อนโลก” เพียง 15 ปีผ่านไป เศรษฐกิจของจีนมีขนาดเท่ากับหนึ่งในสิบของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ถ้าหากยังเติบโตตามคาดการณ์ไว้เศรษฐกิจจีนจะมีมูลค่ามากกว่าสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 2020 คาดการณ์ว่าจีนจะมี 200 เมืองที่มีประชากรหนึ่งล้านคนภายในปี 2025 เพื่อลดความแออัดในกรุงปักกิ่ง และดำเนินการสร้างเมืองใหม่ในชื่อ “สงอัน” ซึ่งห่างออกไป 100 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปักกิ่ง โดยเมืองใหม่นี้มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของแมนฮัตตันและคาดว่าจะเพิ่มเป็นสองเท่าของนิวยอร์คและสิงค์โปร์ 3.ข้อมูลประชากรทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลง ในปี 2016 ทั่วทั้งเอเชียมีประชากรประมาณ 4.4 พันล้านคน เท่ากับสี่เท่าในศตวรรษที่ 20 และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2050 จะมีประชากร 5 พันล้านคน ภูมิภาคเอเชียมีทรัพยากร ความหลากหลายทางนิเวศวิทยารองรับการเติบโต เป็นผลให้สามารถคาดหวังการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ต่อไป ผลกระทบ 1.มหาอำนาจเปลี่ยนจากตะวันตกเป็นตะวันออก เศรษฐกิจของจีนมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และยุโรป จีนกำลังมาแทนที่สหรัฐอเมริกา ในฐานะประเทศมหาอำนาจชั้นนำของโลก ดังนั้นวาระทางการเมือง การค้าโลก และอิทธิพลจะเปลี่ยนจากกรุงวอชิงตันในสหรัฐอเมริกามาเป็นกรุงปักกิ่งในจีน 2.ธุรกิจจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง จีนมีบริษัทเอกชนที่มีการประเมินมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และภายในสิ้นปี 2019 คาดว่าจะมีผู้ใช้ระบบสิทธิบัตรระดับสากลรายใหญ่ที่สุด ปัจจุบันจีนอยู่ในอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อปีที่แล้วธุรกิจหกล้านแห่งได้รับการจดทะเบียนในประเทศจีน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้าน ในปี 2013 โดยภาคธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุด ได้แก่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บันเทิง กีฬา และการเงิน ในขณะที่จำนวนบริษัทเหมืองแร่ ไฟฟ้าและก๊าซมีจำนวนลดลง 3.ความเป็นผู้นำมาจากตะวันออก มาจากตะวันออกมากกว่าตะวันตก สถาบันอเมริกันและความเป็นผู้นำองค์กรกำลังลดลง เทียบได้จากจำนวนซีอีโอในซิลิคิน วัลเลย์ (Silicon Valley) ของอินเดีย การเปิดการค้าเสรีของจีนหมายถึงโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษจะกลายเป็นอดีต Megatrend 2 ทรัพยากรขาดแคลนผลกระทบของสภาวะโลกร้อนและ อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อพืชและผลผลิต ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อชุมชนที่ยากจน ในขณะเดียวกันพื้นที่ชายฝั่งทะเลจะเกิดน้ำท่วมเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 1.ผลกระทบต่อทรัพยากรของโลก ประชากรกำลังขยายตัวและความเจริญเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว นำไปสู่ความต้องการพลังงาน น้ำและอาหารก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดของโลก องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ประมาณการว่าประชากรจะเกิน 9.1 พันล้านคน ภายในปี 2050 ด้วยหลักการนี้ ระบบการเกษตรของโลกจะไม่สามารถจัดหาอาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคน และองค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำจืดจะเกินร้อยละ 40 ในปี 2030 และบางเมือง เช่น เคปเทาวน์ (Cape Town) ประเทศแอฟริกาใต้ จะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ 2.การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นทำให้โลกร้อนขึ้น สภาวะโลกร้อนมีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 และยังคงดำเนินต่อไป สาเหตุหลักคือการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมไปถึงการที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ถูกปล่อยบนชั้นบรรยากาศ ทำให้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมและไม่มีสัญญาณว่าจะลดลง คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสององศาก่อนปี 2100 ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อทรัพยากรโลก เรื่องนี้ศึกษาโดย Pricewaterhouse Coopers (PwC) ได้คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในปี2036 ผลกระทบ 1.การผลิตมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการอาหารที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต อุตสาหกรรมการเกษตรต้องปรับตัวโดยใช้ทรัพยากรและปัจจัยการผลิตให้น้อยลง โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้สามารถเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น เทคโนโลยีช่วยตรวจจับเซ็นเซอร์และสเปรย์สามารถลดการใช้สารกำจัดวัชพืชได้ถึงร้อยละ 95 โดย McKinsey กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ร้อยละ 20-40 ที่ผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-15 ภายในปี 2025 2.การเปลี่ยนจากน้ำมันเป็นพลังงานสะอาด การใช้พลังงานที่ยั่งยืนมีความสำคัญมากกว่าการใช้พลังงานถ่านหิน แต่การเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำ 3.การลดลงของการปล่อยคาร์บอน ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายในปี 2040 จะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทน ขณะที่รถยนต์ไร้คนขับยังคงเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ รัฐบาลอังกฤษได้ตั้งเป้าหมายว่าจะมีรถยนต์ไร้คนขับคันแรกในปี 2021 กับบริษัทต่างๆ โดยการวางแผนของเดมเลอร์ (Daimler Motor Company) บริษัทผลิตรถยนต์ระดับหรูของสหราชอาณาจักร Megatrend 3 : ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ปัจจุบันคือยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเข้าสู่การปฏิวัติดิจิทัล Klaus Schwab ประธานกรรมการบริหารสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) กล่าวว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และการเรียนรู้ของเครื่องยนต์เป็นศูนย์กลางของ Megatrends ทั้งหมด 1.ก้าวของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมีผลกระทบกับอุตสาหกรรม มีแนวโน้มว่าคนจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร เนื่องจากเครื่องจักร หุ่นยนต์ และ AI สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์ 2.ข้อมูลคือแหล่งน้ำมันใหม่ ข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะคาดคิดได้ว่าจะมีประสิทธิภาพเพียงใด Jack Ma ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารอาลีบาบา (Alibaba) ได้เปรียบเทียบข้อมูลกับการค้นพบกระแสไฟฟ้า โดยกล่าวว่า “โลกกำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของข้อมูลภายในปี 2025” จำนวนข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นสิบเท่า 3.ระบบอัตโนมัติ ในระบบอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น งานบางอย่างจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร ร้อยละ 60 ของการประกอบอาชีพจะมีอย่างน้อยร้อยละ 30 ของงานถูกทดแทนด้วยเครื่องจักร แต่ทั้งนี้มนุษย์สามารถเรียนรู้และควบคุมระบบของเครื่องจักรได้ ผลกระทบ 1.IOT เชื่อมต่อกับการใช้ชีวิต ภายในปี 2020 โลกจะเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตมากขึ้น รถยนต์ เครื่องชงกาแฟ เครื่องทำความเย็น ความร้อนสามารถควบคุมได้โดยแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน Gartner ได้ประเมินว่าในปี 2014 จะมีการเชื่อมต่อ “สิ่ง” 7 พันล้านอินเทอร์เน็ต ภายในปี 2020 จะเพิ่มเป็น 26 พันล้าน 2.การปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพผ่านหุ่นยนต์และ AI หุ่นยนต์ AI จะถูกใช้งานมากขึ้นสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายลง ประชาชนจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และค่าขนส่งจะลดลง 3.การปรับปรุงด้านสาธารณสุข ประชากรจะมีอายุยืนมากขึ้น เกิดจากการนำเทคโนโลยีมาช่วยดูแลด้านสุขภาพ พัฒนากำจัดโรคในผู้ป่วย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องระยะยาวที่สาธารณสุขที่ต้องคิดกันต่อไป Megatrend 4 : เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในเอเชียมากกว่า 65 ประเทศซึ่งมีประชากรมากกว่าในสหรัฐอเมริกา ภายในปี 2042 จะมีมากกว่า 65 ประเทศในเอเชียจะมีประชากรมากกว่าในโซนยุโรป และอเมริกาเหนือ (ประชากร, เชื้อชาติ ระดับการศึกษาและด้านอื่นๆ ของประชากร) จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายและโอกาสสำหรับภาครัฐและภาคเอกชน Megatrend สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอื่นๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปตามภูมิภาคจะมีผลกระทบต่อท้องถิ่นและตลาดโลกและสังคม 1.ประชากรยังคงเพิ่มจำนวนมากขึ้น ตามที่องค์การสหประชาติได้คาดการณ์ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 พันล้านคนภายในปี 2030 กับการเติบโตของตลาด และภายในปี 2050 องค์การสหประชาชาติประมาณการว่าร้อยละ 80 ของประชากรโลกจะมีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปและอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา 2.ประชากรมีอายุยืน ร้อยละ 30 ของประชากรญี่ปุ่นมีอายุมากกว่า 60 ปี จีนมีประชากร 29 ล้านคน อายุกว่า 80 ปี คาดการณ์ว่าภายในปี 2050 จะมีประชากร 120 ล้านคน รายงานข้อมูลประชากรขององค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดกับอีก 55 ประเทศ การที่ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลครอบคลุมบริการด้านสุขภาพ รวมถึงบริการด้านอื่น ๆ หลายประเทศมีการบังคับใช้กฎหมายด้านสาธารณสุขเพื่อให้แน่ใจว่าผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม 3.จำนวนเด็กน้อยลง สังคมเปลี่ยนแปลงทำให้คนมีการศึกษาแต่งงานน้อยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลง สิ่งนี้ส่งผลต่อธุรกิจรวมถึงผลผลิตที่ลดลง การมีส่วนร่วมของแรงงานน้อยลง คนรุ่นใหม่จะมีภาระมากขึ้นอันเป็นผลจากความคาดหวังจากผู้สูงอายุ ผลกระทบ 1.ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ ในสหรัฐอเมริกาค่าใช้จ่ายในการดูแลด้านสุขภาพคิดเป็นร้อยละ 8 ของจีดีพีในแต่ละปี โดยนับตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงปี 2040 สหรัฐอเมริกาต้องใช้เงินประมาณ 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีเพื่อการดูแล จากการวิเคราะห์ของ World Economic Forum ชี้ให้เห็นว่าช่องว่างระหว่างการออมเพื่อการเกษียณใน 8 ประเทศใหญ่กำลังเติบโต 28 พันล้านเหรียญสหรัฐในทุกๆ 24 ชั่วโมงและจะสูงถึง 400 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2050 คิดเป็น 5 เท่าของเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน โดยจะมุ่งเน้นการออมหลังเกษียณและการหาวิธีเพิ่มรายได้หลังเกษียณอีกด้วย เป็นผลให้อาจมีความต้องการในการได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน ตลอดจนคำแนะนำเพิ่มมากขึ้น 2.หุ่นยนต์จะกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ เมื่อประชากรอายุยืนยาวมากขึ้น มีแนวโน้มจะใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความขาดแคลนแรงงาน หุ่นยนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น (หุ่นยนต์ไม่หลับ ไม่ป่วย แต่ต้องการทักษะมากขึ้น) เป็นผลให้เกิดความต้องการแรงงานที่มีทักษะสำคัญ อาทิ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล 3.ความต้องการของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนอุตสาหกรรมอาหาร ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการบริโภคมากขึ้น ใส่ใจในอาหารและผลิตภัณฑ์ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของอาหาร ตัวอย่างเช่น อาหารออร์แกนิกในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นร้อยละ 224 จากปี 2005 ถึงปี 2016 อาหารสดใหม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นที่ต้องการมากกว่าอาหารแปรรูป เห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของอะโวคาโดและผลเบอร์รี่ นอกจากนี้จากการที่ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นส่งผลให้มีการใช้บริการสั่งอาหารทางออนไลน์มากขึ้น Megatrend 5 : การกลายเป็นมหานครอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันประชากรมากกว่าครึ่งโลกอาศัยอยู่ในเขตเมือง และในปี 2030 ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5 พันล้านคน การขยายตัวของเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ในปี 1990 มีเพียง 10 เมืองในโลกที่มีประชากรเกิน 10 ล้านคนซึ่งเรียกว่า “มหานคร” วันนี้จำนวน “มหานคร” ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3 เท่า ส่วนใหญ่ประชากรจะเพิ่มขึ้นในเมืองและเมืองใหญ่ใกล้เมืองหลวง สิ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของประชากรเหล่านี้นำไปสู่โอกาสและความท้าทายสำหรับสังคม ความต้องการของประชากรเมืองในอนาคตจะแตกต่างกับในปัจจุบัน เนื่องจากในอนาคตประชาชนต้องการการเชื่อมต่อกับทุกสิ่ง และทุกอุปกรณ์ การเชื่อมต่อไร้สายจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในเมือง 1.การอพยพเข้าเมืองหลวง ประชากรอาศัยอยู่ในเมืองมากกว่าเขตชนบท และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในปี 1950 ประชากรของโลกร้อยละ 30 อาศัยอยู่ในเมือง และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 66 ภายในปี 2050 2.ความศิวิไลซ์ของเมืองหลวง ในสหรัฐอเมริกา พื้นที่ชนบทมีสัดส่วนแพทย์ 39.8 คน ต่อหนึ่งแสนคน เทียบกับแพทย์ในเขตเมืองมี 53.3 คน ต่อหนึ่งแสนคน การกระจายแพทย์ที่ไม่เท่าเทียมกันมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชากร ด้วยการดูแลสุขภาพที่ดีและรวดเร็วจึงเป็นแรงจูงใจให้ประชากรนิยมโยกย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในเขตเมือง ขณะเดียวกัน ในเขตเมืองมีค่าตอบแทนในการจ้างงานที่ดี มีการศึกษา การเข้าสังคม และวัฒนธรรมที่ดีกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นอีกแรงดึงดูด อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจเติบโตได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ในประเทศจีน รายได้ของประชากรในเมืองได้มากกว่าสองเท่าของชนบท ผลกระทบ 1.เมืองอัจฉริยะ เมืองต่างๆ ได้รับแรงสนับสนุนจากประชากรสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานและการบริการ การย้ายถิ่นฐานแสดงออกถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานและบริการใหม่ๆ โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและเครือข่ายต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการใช้ยานพาหนะของประชากรเพิ่มมากขึ้น 2.การดูแลสุขภาพและความปลอดภัย จากความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ระบบการดูแลสุขภาพต้องได้รับการพัฒนา เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากร โรงพยาบาลแบบดั้งเดิมจะต้องเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีทดแทน และเนื่องจากอัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองสูงกว่าชนบท รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังในระดับสูง การเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นหมายถึงทุกกิจกรรมจะต้องถูกบันทึกและตรวจสอบได้ 3.การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ในสภาพแวดล้อมของเมืองที่เปลี่ยนไป รถยนต์ โรงจอดรถ บ้านหลังใหญ่ ปัจจัยเหล่านี้จะมีความต้องการแตกต่างกันเมื่อต้องอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ ผลิตภัณฑ์ต้องมีขนาดเล็กลง ความต้องการพื้นที่และการจัดเก็บลดลง อาหารจะสั่งผ่านดิลิเวอรี่เพื่อความรวดเร็ว วัฒนธรรมหมู่บ้านหายไปการรู้จักเพื่อนบ้านน้อยลงกลายเป็นสังคมเมือง ทรัพยากรจะถูกใช้ร่วมกัน เกิดเป็นพฤติกรรมกลุ่มรูปแบบใหม่ Peter, Fisk. (2019, December) Retrieved from https://www.thegeniusworks.com/2019/12/mega-trends-with-mega-impacts-embracing-the-forces-of-change-to-seize-the-best-future-opportunities/
นานาสาระน่ารู้