ผลการค้นหา :

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 10 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม 2567
ข่าว
เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ พันธมิตรภาคอุตสาหกรรม เปิดตัว “ค้ำคูณ” ต้นแบบรถสามล้อไฟฟ้า ภายใต้ทุนสนับสนุนจาก บพข.
“เรื่องเล่าชาวชะนี” วรรณกรรมเล่มล่าสุดของ สวทช. ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่น ปี 67 ประเภทบันเทิงคดี โดย สพฐ.
อว. มอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติแด่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นและคนดีศรี อว. ประจำปี 2566
โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย จัดกิจกรรมเยาวชนประดิษฐ์หุ่นยนต์จากกระดาษแข็ง และเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีโลกเสมือนกับแชทบอทปัญญาประดิษฐ์
3 โครงการวิจัย สวทช. ทุนล้านช้าง-แม่โขง เปิดตัวผลงานสู่สาธารณะ
CAS และ NSTDA สัมมนาความสำเร็จของความร่วมมือด้านการวิจัย
สวทช. ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เชื่อมโยงการตลาด – การวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมสู่ความยั่งยืน
ชวนเยาวชนร่วมแข่งขัน ‘เขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ NASA’ ชิงแชมป์ระดับประเทศ
“แคดเมียม-ตะกั่ว-ปรอท-สารหนู” ตรวจได้ใน 1 นาที นาโนเทค สวทช. พัฒนาเซนเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนักในน้ำ-สมุนไพร
“ศุภมาส” มอบนโยบาย “บอร์ด อว. For EV” เร่งดำเนินการให้ทุกมหาวิทยาลัยเปลี่ยนมาใช้รถ EV
สวทช. จัดกิจกรรม “The Beauty of Solar Power” ปลูกฝังเยาวชนรักษ์โลก ผ่านเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกจากแสงอาทิตย์
“ต่อกล้าอาชีวะ” ปี 67 ปั้นนวัตกรสายอาชีวะ สู่ Young Smart IoT Technician ด้วย IIoT
Download เอกสารฉบับเต็ม (7.1 MB)
จดหมายข่าว สวทช.

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เดินหน้าต่อสัญญา 10 ปี ขยายฐานการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทย พร้อมส่งมอบเซลล์แบตเตอรี่ให้ สวทช. นำไปวิจัยด้านพลังงาน
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคชาวไทยและสานต่อแผนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ประกาศลงนามต่อสัญญาว่าจ้างกับ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด เป็นระยะเวลา 10 ปี ในฐานะพันธมิตรระยะยาวที่มีบทบาทในการประกอบรถยนต์และผลิตแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงขานรับนโยบายระดับโลกในการผลักดันแนวคิด Circular Economy ประเดิมด้วยการส่งมอบเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Cellblocks) ขนาด 2 MWh ซึ่งรวบรวมมาจากแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ใช้ทดสอบในกระบวนการผลิต ให้กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัยและสร้างแหล่งพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่
นอกจากนี้เซลล์แบตเตอรี่ดังกล่าว ยังถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรชาวไทยในด้านพลังงานซึ่งจะส่งผลดีให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต โดยได้รับเกียรติจากนางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมพิธีส่งมอบเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Cellblocks) พร้อมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามต่อสัญญาว่าจ้างการประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส - เบนซ์ และเยี่ยมชมโรงงาน
มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ย้อนกลับไปเมื่อ 120 ปีที่แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นรถยนต์แบรนด์แรกที่เข้ามาในประเทศไทย และเช่นเดียวกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ในวันนี้เราก็ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยการเป็นแบรนด์รถยนต์ลักชัวรี่แบรนด์แรกที่เริ่มผลิตแบตเตอรี่และประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในรุ่น EQS 500 4MATIC AMG Premium ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจของเรา และสำหรับก้าวต่อไปในการขยายกำลังการผลิตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ จึงได้ดำเนินการต่อสัญญาว่าจ้างบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด ให้เป็นผู้ประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย ต่อไปเป็นระยะเวลาอีก 10 ปี โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านการผลิตและการประกอบรถยนต์ที่มีมาตรฐานระดับโลกอย่างต่อเนื่อง”
ความร่วมมือของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย และ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2522 ซึ่งร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ของรถยนต์ลักชัวรี่ที่อยู่คู่กับคนไทยอย่างยาวนาน ทำให้ในปัจจุบันมีรถยนต์กว่า 13 รุ่น ที่ถูกผลิตขึ้นในโรงงานแห่งนี้ โดยมีการเฉลิมฉลองการประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ คันที่ 200,000 ไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นายรัฐพล วิริยะพันธุ์ ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด และ บริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) และเมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ในการเป็นผู้ดำเนินการประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการต่อไปเป็นระยะเวลาอีก 10 ปี โดยนอกจากการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตในทุก ๆ ด้าน และการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ มาปรับใช้ในการผลิตรถยนต์ในประเทศ เพื่อขยายไลน์การประกอบรถยนต์ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทางธนบุรีฯ ยังรองรับการผลิตแบตเตอรี่และการประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ผ่านโรงงานของบริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TESM) ที่มีการริเริ่มผลิตแบตเตอรี่และประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกอย่าง EQS 500 4MATIC AMG Premium พร้อมทั้งมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพโรงงานและศักยภาพของบุคลากรให้ลูกค้าทุกคนมั่นใจในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสร้างตำนานบทใหม่ให้กับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทยต่อไป”
ขณะเดียวกัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ก็ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการนำแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ใช้สำหรับการทดสอบแบตเตอรี่ในกระบวนการผลิตมาพัฒนาเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้เชื่อมต่อกับสายส่งไฟฟ้า จากวิสัยทัศน์และนโยบายของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในระดับโลก ที่ขับเคลื่อนแผนงานด้านความยั่งยืนอย่างจริงจังในทุกมิติ หนึ่งในนั้นคือการผลักดันระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้แนวคิด “Design for Circularity” ที่เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตในการเพิ่มสัดส่วนของการใช้วัสดุทดแทนที่มาจากกระบวนการรีไซเคิลชิ้นส่วนรถยนต์
โดยริเริ่มด้วยการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MoU) กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมส่งมอบเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Cellblocks) ขนาด 2 เมกะวัตต์ ให้กับ สวทช. ภายในเดือนกรกฎาคม 2567 เพื่อสนับสนุนการวิจัย พัฒนา และร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่สังคมไทย ทั้งยังยกระดับความสามารถของบุคลากรไทย และสนับสนุนการทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศให้มีมาตรฐานระดับโลก
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ กระทรวง อว. โดย สวทช. มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดโครงการวิจัยพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน หรือ ESS (Energy Storage System) จากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยได้ร่วมกับ บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อสร้างศูนย์ออกแบบและการทดสอบแหล่งเก็บกักพลังงานจากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าขึ้นในประเทศไทยเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน
โดย สวทช. มีความมุ่งมั่น และเป้าหมายในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้พลังงานอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) อีกทั้งความร่วมมือในครั้งนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนยานยนต์ระดับโลก ที่สามารถส่งเสริมระบบนิเวศที่เอื้อต่อการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยของยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ โดยโมดูลแบตเตอรี่ที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ส่งมอบให้ สวทช. นับเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อนักวิจัยของเรา และเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายด้านการวิจัยพัฒนาพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนต่อสังคมไทย ได้อย่างแน่นอน”
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ขอเชิญเข้าร่วมงานฟรี กับงาน “NSTDA Green Economy” โดย สวทช. องค์กรที่กำลังวางแผนเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ กำลังยกระดับองค์กรสู่ “Carbon Neutrality” และ “Net Zero Emissions”
📢 องค์กรที่กำลังวางแผนเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ กำลังยกระดับองค์กรสู่ "Carbon Neutrality" และ "Net Zero Emissions" องค์กรที่มองหาโซลูชั่นที่ช่วยลดพลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ควรพลาด! กับงาน “NSTDA Green Economy” โดย สวทช.
📌 วันที่ 19 มิ.ย. 67 นี้ เวลา 13.00 - 16.00 ณ งาน NEPCON 2024 ห้องประชุม MR212 ไบเทค บางนา (ที่นั่งมีจำนวนจำกัด)
------------
พบกับการบรรยายพิเศษ:
✅ Update กฎระเบียบและมาตรการสีเขียวที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตไทย
✅ แนวทางการกำหนด ESG/SDGs Strategy สำหรับองค์กร จากผู้เชี่ยวชาญการวางกลยุทธ์องค์กรสีเขียว
✅ แชร์ประสบการณ์การวางแผนและยกระดับองค์กรสู่เศรษฐกิจสีเขียวของ Lumentum Thailand
✅ เทคโนโลยีสีเขียวเพื่อกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน
✅ แนะนำเทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่อลดพลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จาก MTEC และ NECTEC
-------------
💥สิทธิพิเศษภายในงาน
- พบกับบูธโซลูชั่นสีเขียวของ สวทช. และบริการของ สวทช.
- รับคำปรึกษาเกี่ยวกับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กร (CFO)
- รับทุนสนับสนุนการนำ “ระบบรวบรวม วิเคราะห์ และคำนวณ CFO (Dcarb)” ไปใช้ในองค์กรของท่าน*
-------------
📍ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ QR Code ภายใน Poster
หรือลงทะเบียนได้ที่ลิงค์นี้ >> https://forms.gle/zM6NHjsLtpgC6v416
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจสัมพันธ์
BRC@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

ประกาศผลการตัดสิน การประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ประจำปี 2567
(วันที่ 6 มิถุนายน 2567) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศผลการตัดสินการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ประจำปี 2567 (Student Innovation Challenge Thailand 2024) ซึ่งมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญจาก Nanyang Technological University ประเทศสิงคโปร์ สภากาชาดไทย กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทีมวิจัยจากกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ และ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. ร่วมเป็น คณะกรรมการตัดสินการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา
ผลปรากฏว่า 10 ทีม ที่ได้รับคัดเลือกสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทการออกแบบ และ ประเภทเทคโนโลยี
โดยผลงานที่ได้รับการคัดเลือก ประเภทการออกแบบ 5 ทีม ได้แก่
1. ผลงาน Happy CP Gloves: Smiling Solutions for children with cerebral palsy จาก โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลเหรียญทอง
2. ผลงาน Braille's Film จาก โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ได้รับรางวัลเหรียญเงิน
3. ผลงาน BART LAB Intelligent Robotic Stair Climbing Wheelchair จาก มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง
4. ผลงาน STRAW SPLINT จาก โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ได้รับรางวัลชมเชย
5. ผลงาน Keeb Healthy จาก โรงเรียนราชินี ได้รับรางวัลชมเชย
และ ผลงานที่ได้รับการคัดเลือก ประเภทเทคโนโลยี 5 ทีม ได้แก่
1. ผลงาน ClearConverse: A Web Application for Enhanced Communication for People with Alaryngeal Speech จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้รับรางวัลเหรียญทอง
2. ผลงาน CAREmate Robot จาก โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ได้รับรางวัลเหรียญเงิน
3. ผลงาน Designing and developing a walking aid device for physical therapy จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง
4. ผลงาน ALL Wheelchair: Encouraging Physical Activity for Wheelchair Users through a Novel Motion-Controlled Gaming System จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับรางวัลชมเชย
5. ผลงาน Crossing Vision จาก โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ได้รับรางวัลชมเชย
ทั้งนี้ ผลงานที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง เหรียญเงิน และ เหรียญทองแดง ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (Global Student Innovation Challenge: gSIC) ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2567
สำหรับผลงานที่ได้รับรางวัลชมเชย จะได้สิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (gSIC) ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน
ทุกทีมที่ได้รับรางวัล จะเข้าร่วมพิธีมอบรางวัล และ ค่ายกิจกรรมเสริมทักษะและการอบรมการนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2567 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี เพื่อเตรียมตัวก่อนเป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (gSIC) ต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือพันธมิตร เฟ้นหา ‘สุดยอดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ’สู่เวที gSIC สาธารณรัฐประชาชนจีน
(วันที่ 5 มิถุนายน 2567) อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ จัดกิจกรรมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ (Student Innovation Challenge: SIC Thailand 2024) เพื่อคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยสู่การประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุของนักศึกษาระดับนานาชาติ (Global Student Innovation Challenge: gSIC 2024) ซึ่งจะจัดขึ้น ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้
สำหรับการจัดกิจกรรม SIC Thailand 2024 ในวันนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ประธานกลุ่มความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย (i-CREATe Asia) กล่าวเปิดงาน พร้อมกันนี้ ผู้เชี่ยวชาญจาก Nanyang Technological University ประเทศสิงคโปร์ สภากาชาดไทย กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทีมวิจัยจากกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ และ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. ร่วมเป็น คณะกรรมการตัดสินการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ
ทั้งนี้ สวทช. ได้ร่วมกับ กลุ่มความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย (Coalition on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology of Asia: CREATe Asia) กำหนดจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติเรื่องวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกครั้งที่ 17 (The 17th International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology: i-CREATe 2024) โดย University of Shanghai for Science and Technology (USST) เป็นเจ้าภาพจัดงาน ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลงานวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติด้านวิศวกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ในงานประชุมวิชาการฯ และกำหนดให้มีการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (gSIC) เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาได้คิดและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นนวัตกรรมช่วยเหลือคนพิการและผู้สูงอายุ โดย สวทช. เป็นผู้คัดเลือกสิ่งประดิษฐ์ของนักเรียน นิสิต นักศึกษาตัวแทนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประกวดดังกล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

นาโนเทค สวทช. พัฒนาสเปรย์และแชมพูสมุนไพรช่วยต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ผิวหนังสุนัขและแมว
หนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มสัตว์เลี้ยงขนยาวอย่างสุนัขและแมว คือ ‘โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา’ โดยเมื่อสุนัขและแมวติดโรคจะแสดงอาการได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ เช่น ขนร่วงเป็นวง มีผื่นแดง มีสะเก็ดหนอง ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถติดต่อไปยังเจ้าของที่มีพฤติกรรมการเลี้ยงแบบใกล้ชิดได้อีกด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการผลิตต้นแบบสเปรย์และแชมพูจากสมุนไพรไทยช่วยต้านการเจริญเติบของเชื้อราที่ผิวหนังสุนัขและแมว โดยผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบแล้วว่า ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราก่อโรคกลุ่มสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง
[caption id="attachment_56631" align="aligncenter" width="750"] คุณวลัยลักษณ์ ชนนิยม, คุณณัฎฐิกา แสงกฤช และคุณธนัชชา ปานมา (ซ้าย-ขวา) ทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.ณัฎฐิกา แสงกฤช หัวหน้าทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ทีมวิจัยได้เลือกสมุนไพรไทย 2 ชนิดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคมาใช้ประโยชน์ สมุนไพรชนิดแรก คือ ‘กากเมล็ดชาน้ำมัน’ ผลพลอยได้จากการผลิตน้ำมันเพื่อใช้ประกอบอาหาร ซึ่งทีมได้รับการอนุเคราะห์วัตถุดิบสำหรับทำวิจัยจากมูลนิธิชัยพัฒนา โดยในกากเมล็ดชาน้ำมันมีสารสำคัญ คือ ‘ซาโปนิน (saponin)’ ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อราก่อโรคผิวหนังชนิด Trichophyton rubrum และ Trichophyton mentagrophytes อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ส่วนสมุนไพรชนิดที่สองที่นำมาใช้ คือ ‘ทองพันชั่ง’ มีสารสำคัญเด่นคือ ‘ไรนาแคนทิน (rhinacanthin)’ หรือสารออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราก่อโรคผิวหนังทั้งในคนและสัตว์ อาทิ Trichophyton rubrum, Trichophyton mentagrophytes และ Microsporum gypseum
[caption id="attachment_56626" align="aligncenter" width="750"] ชาน้ำมัน[/caption]
[caption id="attachment_56625" align="aligncenter" width="750"] ทองพันชั่ง[/caption]
“ทั้งนี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ทีมวิจัยได้ร่วมกับ ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. คัดเลือกชนิดของสมุนไพร การทดสอบประสิทธิภาพของสารสำคัญ และการพัฒนากระบวนการสกัดให้ได้สารประสิทธิภาพสูงในปริมาณมาก ก่อนนำสารสำคัญที่ได้มาพัฒนากระบวนการปรับสภาพให้อยู่ในรูปนาโนอิมัลชัน (nanoemulsion) ซึ่งจากกระบวนการทั้งหมดนี้จะทำให้ได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติซึมผ่านผิวหนังที่มักมีการสะสมของเชื้อราก่อโรคได้ดี รวมถึงช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และสีของสมุนไพรที่อาจติดบนเส้นขนของสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย”
ต้นแบบนาโนอิมัลชันที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นผ่านการทดสอบแล้วว่า ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง ปัจจุบันทีมวิจัยนำสารที่พัฒนาขึ้นมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบแล้วสองชนิด ประกอบด้วย ‘สเปรย์’ สำหรับฉีดพ่น และ ‘แชมพู’ สำหรับอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยง
ดร.ณัฎฐิกา อธิบายถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์ทั้งสองว่า การใช้งานผลิตภัณฑ์สเปรย์ เจ้าของควรทำความสะอาดบริเวณรอยโรคด้วยน้ำเกลือ ซับให้แห้ง จากนั้นจึงพ่นสเปรย์ลงบริเวณรอยโรค 1-2 ครั้งต่อวัน ร่วมกับการรักษาทางยาและควรใช้ต่อเนื่องตามสัตวแพทย์แนะนำ ส่วนผลิตภัณฑ์แชมพูอาบน้ำสัตว์เลี้ยงหากใช้เพื่อทำความสะอาด ควรใช้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่หากใช้เพื่อบรรเทาอาการโรคผิวหนัง ควรใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ร่วมกับการรักษาทางยา ทั้งนี้กระบวนการประเมินอาการและรักษาสัตว์เลี้ยงทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์
“ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งหมดสำเร็จและพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ต้นแบบทั้งสองนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อสัตว์เลี้ยงด้านยับยั้งการติดโรคและลดการใช้ยาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงในระยะยาวเท่านั้น เพราะยังมีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสัตว์เลี้ยงให้แก่เจ้าของได้อีกด้วย เนื่องจากผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยยังคงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้มีราคาค่อนข้างสูง แต่ผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นใช้สารสำคัญจากสมุนไพรไทยเป็นหลัก และผ่านการพัฒนากระบวนการผลิตให้ผลิตได้ภายในประเทศ ทำให้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบทั้งสองผ่านการประเมินแล้วว่ามีราคาที่จับต้องได้” ดร.ณัฎฐิกา กล่าวทิ้งท้าย
ผลิตภัณฑ์ต้นแบบสเปรย์และแชมพูสมุนไพรช่วยเสริมการยับยั้งโรคเชื้อราที่ผิวหนังสุนัขและแมวเป็นตัวอย่างสองผลงานวิจัยเด่นที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดรับกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยง โดยคำนึงถึงความเป็นมิตรต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ผู้ดูแล และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัตถุดิบทางการเกษตรไทย เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนตามหลักคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7100
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

Ve-Sea นวัตกรรมอาหารทะเลจาก “โปรตีนพืช”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช. เปิดตัว “Ve-Sea” นวัตกรรมอาหารทะเลจากโปรตีนพืช ประกอบด้วย กุ้งจากโปรตีนพืช และผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นหมึก ลูกชิ้นกุ้ง จากโปรตีนพืช พัฒนาเนื้อสัมผัสด้วยเทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหาร ผสานกับองค์ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์การอาหาร จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงมากที่สุด ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่แพ้อาหารทะเล หรือแพ้กลูเตน และยังตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

แกะกล่องงานวิจัย : แอปพลิเคชัน ‘รู้ทัน’ แจ้งเตือนความเสี่ยงด้านสุขภาพ
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
เข้าหน้าฝนแล้ว ยุงลายเริ่มออกวางไข่ แพร่พันธุ์ และกลายเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาด #โรคไข้เลือดออกอย่างรวดเร็ว สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรขอแนะนำแอปพลิเคชัน ‘รู้ทัน’ แอปฯ สำหรับติดตามสถานการณ์ความเสี่ยงโรคไข้เลือดออก เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
แอปฯ รู้ทันไม่เพียงช่วยเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกที่มาในช่วงฤดูฝน แต่ยังมีข้อมูลสุขภาพด้านอื่น ๆ ทั้งการพยากรณ์อากาศ, ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5, ค่าดัชนีความร้อน (เฝ้าระวังและป้องกันการเป็นลมแดดหรือ heat stoke) และข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่คนไทยควรเฝ้าติดตามเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพตลอดทั้งปี เรียกว่าแจ้งเตือนทุกความเสี่ยง ทั้งโรคระบาด อากาศ ฝุ่น #ครบจบในแอปพลิเคชันเดียว
📌 2) ดีอย่างไร ?
แอปพลิเคชัน ‘รู้ทัน’ ไม่ได้ช่วย #ลดเสี่ยงเลี่ยงโรค ให้ได้เฉพาะผู้ที่ติดตั้งแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนเท่านั้น เพราะภายในแอปฯ ผู้ใช้งานยังสามารถเลือกดูความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทยได้ด้วย ดังนั้นแม้ญาติ พี่น้อง หรือคนที่ห่วงใยจะอยู่ห่างไกลออกไป ก็ช่วยเฝ้าระวังและส่งข้อมูลให้พวกเขารู้ทัน เตรียมป้องกัน และรับมืออย่างเหมาะสมได้ ทั้งนี้ข้อมูลที่นำเสนอภายในแอปพลิเคชันมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อาทิ กรมควบคุมโรค กรมควบคุมมลพิษ กรมอุตุนิยมวิทยา รวมทั้งมีการอัพเดคข้อมูลให้มีความทันสมัยจากแหล่งข้อมูลโดยตรงอยู่เสมอด้วย
นอกจากนี้ในด้านการใช้งาน แอปพลิเคชันยังออกแบบให้มีอินเตอร์เฟซ (interface) หรือหน้าตาของแอปพลิเคชันที่ใช้งาน #ง่าย และ #สะดวก เพื่อให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าถึงการใช้บริการ
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
การที่คนไทยป้องกันและเฝ้าระวังความเสี่ยงด้านสุขภาพได้ดี จะนำไปสู่การ #ลดการระบาดของโรค #ลดอาการป่วย และความสูญเสียด้านต่าง ๆ ที่อาจตามมา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศไทยในระยะยาว
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรพร้อมให้บริการเทคโนโลยีแล้ว ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ผ่านทั้ง App Store และ Play Store ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : แอปฯ “รู้ทัน” ชวนคนไทยรู้เท่าทัน “โรคไข้เลือดออก”
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

“ศุภมาส” ชื่นชมความสำเร็จของคณะทีมเยาวชนไทยที่คว้ารางวัลโครงงานวิทย์ฯ ระดับโลก ISEF 2024 พร้อมขอให้นำความสำเร็จไปเป็นแรงผลักดันเพื่อต่อยอดในการพัฒนา และสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ
(วันที่ 4 มิถุนายน2567) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล: ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ให้การต้อนรับคณะทีมเยาวชนไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์สำหรับเยาวชน ระดับโลก REGENERON ISEF 2024 และสามารถคว้ารางวัลสร้างความภาคภูมิใจให้ประเทศไทยได้สำเร็จ ในโอกาสเข้าพบพร้อมร่วมแสดงความยินดีและมอบโอวาทให้แก่เยาวชน โดยมี น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.อว. น.ส.สุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. ศ.ดร.ธณัฏฐ์คุณ มงคลอัศวรัตน์ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) นายสมปรารถนา สุขทวี รองผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และ น.ส.อารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมด้วย
น.ส.ศุภมาส ได้กล่าวแสดงความยินดีกับความสำเร็จของตัวแทนทีมเยาวชนไทย ได้แก่ ร.ร.กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพฯ ร.ร.ดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จ.เชียงราย ร.ร.ปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ร.ร. วิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี จ.ปทุมธานี ร.ร.กำเนิดวิทย์ จ.ระยอง ร.ร.ห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก จ.เชียงราย และ ร.ร.มงฟอร์ตวิทยาลัย แผนกมัธยม จ.เชียงใหม่ พร้อมชื่นชมเยาวชนที่นำความรู้ความสามารถไปแสดงบนเวทีระดับโลก ร่วมกับทีมเยาวชนจากทั่วโลกและสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ประเทศไทย ซึ่งผลงานของทีมเยาวชนไทยในครั้งนี้ ถือว่าเป็นความสำเร็จของเยาวชนและทุกหน่วยงานที่สนับสนุนเหล่าเยาวชนไปสู่เวทีแข่งขันระดับโลกในครั้งนี้ เพราะเยาวชนไทยสามารถพัฒนาผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ออกมาได้อย่างโดดเด่นจนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยสำเร็จ ด้วยการคว้า 13 รางวัลใหญ่ ประกอบด้วยรางวัล Grand Awards จำนวน 9 รางวัลใหญ่ และรางวัล Special Awards จำนวน 4 รางวัล ในหลากหลายสาขา อาทิ สาขาสัตวศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ สาขาพฤกษศาสตร์ สาขาหุ่นยนต์และเครื่องจักรกลปัญญาประดิษฐ์ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ปริวรรต และสาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม โดยตนขอให้เยาวชนทุกคนนำความสำเร็จครั้งนี้ไว้เป็นแรงผลักดันเพื่อต่อยอดในการพัฒนาและสร้างประโยชน์ในวงกว้างให้กับประเทศไทยต่อไปในอนาคต
ด้านตัวแทนทีมเยาวชน นายกรกฤต ต้นพงษ์พันธุ์ จาก ร.ร.กำเนิดวิทย์ ที่ได้รับรางวัลได้รับรางวัล Grand Award อันดับที่ 2 ในสาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ เจ้าของโครงงานการศึกษาผลของมุมยอดของรูปทรงสามเหลี่ยม ที่มีผลต่อการไหลแบบ Acoustic streaming ได้กล่าวว่า ดีใจและภูมิใจเป็นอย่างมาก ต้องขอขอบคุณ กระทรวง อว. สมาคมวิทยาศาสตร์ฯ และ อพวช.ที่ช่วยผลักดันและเตรียมความพร้อมในการแข่งขันให้พวกเราจนสามารถคว้ารางวัลมาได้สำเร็จ ซึ่งโครงงานนี้พวกเราศึกษาผลของมุมยอดรูปทรงของสามเหลี่ยมที่มีมุมยอดขนาดแตกต่างกันว่าจะมีผลต่อการไหลของน้ำอย่างไร โดยเราใช้การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์และการทดลองในห้องปฏิบัติการ และพบว่าจากการทดลองทั้ง 2 แบบเมื่อสามเหลี่ยมมีมุมยอดน้อยจะสั่นและทำให้เกิดการไหลของน้ำในทิศทางที่พุ่งออกจากสามเหลี่ยม ส่วนสามเหลี่ยมที่มุมใหญ่มาก ๆ จะทำให้น้ำไหลกลับมาที่สามเหลี่ยมแทน ซึ่งสิ่งนี้สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในการอธิบายปรากฏการณ์ของฟิสิกส์ต่าง ๆ อย่างที่ไม่เคยมีนักวิจัยทำมาก่อน โดยโครงงานฯ นี้ ในอนาคตจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการควบคุม Microrobots ในเลือดและร่างกายของคนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ด้าน น.ส.สิริปภา ปันทุราภรณ์ และน.ส.สิริอาภา ปันทุราภรณ์ ทีมเยาวชนจาก ร.ร.มงฟอร์ตวิทยาลัย แผนกมัธยม ที่ได้รับรางวัล Special Award อันดับที่ 2 จากหน่วยงาน : U.S. Agency for International Development กับโครงงานการพัฒนาแผ่นอนามัยออร์แกนิกจากเส้นใยพืชเคลือบสารสกัดมะขามป้อม กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นตัวแทนประเทศซึ่งพวกเราตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ที่สำคัญเราได้นำเสนอเรื่องปัญหาสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิงในด้านการเข้าถึงผ้าอนามัยของผู้หญิงที่ทุกคนพึงมีและการใช้ผ้าอนามัยที่ต้องมีคุณภาพ ถือว่าเป็นก้าวสำคัญแห่งความภาคภูมิใจที่เราได้พูดเรื่องนี้บนเวทีระดับโลก โดยการพัฒนาแผ่นอนามัยออร์แกนิกที่ทำจากเส้นใยพืชเคลือบสารสกัดหยาบจากมะขามป้อมครั้งนี้ จะส่งสริมการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชนตามเศรษฐกิจหมุนเวียนได้ สุดท้ายอยากขอบคุณคุณครูที่ปรึกษาที่คอยเป็นแรงสนับสนุนที่ดีในทุกด้าน และขอบคุณทางโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 26 (YSC 2024) โดย สวทช. และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ร่วมสนับสนุนพวกเราไปคว้าชัยในครั้งนี้
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. โชว์นวัตกรรมเกษตรสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทย ในงาน “มหัศจรรย์ข้าวไทย 2024”
วันที่ 31 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2567
สวทช. เข้าร่วมแสดงนิทรรศการในงานมหัศจรรย์ข้าวไทย 2024 ณ สามย่านมิตรทาวน์ จัดโดย ‘เทคโนโลยีชาวบ้าน’ เครือมติชน ร่วมกับ กรมการข้าว ภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่เรื่องราวความมหัศจรรย์ของข้าวแต่ละสายพันธุ์ ซึ่งมีความเชื่อมโยงผูกพันกับสังคมไทยทั้งด้านวัฒนธรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิตเกษตรกรมาอย่างยาวนาน รวมถึงเผยแพร่องค์ความรู้ด้านนวัตกรรมในการพัฒนาข้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยในงานนี้ สวทช. ได้นำผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไปจัดแสดง เช่น ผลงาน Rice Fit ระบบแนะนำพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมในการปลูกในพื้นที่และฤดูกาล ของเนคเทค ผลงานสายพันธุ์ข้าวทนแล้ง ทนน้ำท่วม ของไบโอเทค ผลงาน Wet&Dry การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง เพื่อให้ผลผลิตมากขึ้นถึง 30% ของเนคเทค LineBot โรคข้าว หาสาเหตุโรคข้าวด้วยไลน์ ของเนคเทค ผลงานชุดอุปกรณ์วัดขนาดพื้นที่ พร้อมระบบคำนวณค่าบริการเก็บเกี่ยว ของเอ็มเทค และผลงานหอมข้าว เครื่องตรวจวัดความหอมของข้าวแบบพกพา
ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของการจัดงานข้าวไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อให้คนเมืองและประชาชนที่สนใจจากทั่วสารทิศ ได้มาเรียนรู้และสัมผัสกับพันธุ์ข้าวไทย พร้อมทั้งนวัตกรรมงานวิจัยที่จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยต่อไป
พร้อมกันนี้ ในงาน “มหัศจรรย์ข้าวไทย 2024” ดร.มีชัย เซี่ยงหลิว นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมให้ความรู้ในหัวข้อ “พันธุ์ข้าวแห่งอนาคต ทนร้อน ทนแล้ง ทนโรค พัฒนาการเกษตรยั่งยืน” แก่ผู้เข้าร่วมงาน โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับสภาวะโลกรวน (Climate change) ที่ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เกิดปัญหาภัยแล้งน้ำท่วม การแพร่ระบาดของโรคแมลงศัตรูพืช ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าว เพื่อความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ ในช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา สวทช. โดยไบโอเทค และศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ใช้เทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวอย่างแม่นยำ (precision breeding) คัดเลือกข้าวพันธุ์ใหม่ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะโลกรวน มีผลผลิตสูง มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี และเหมาะสำหรับการทำนาวิถีใหม่เพื่อช่วยลดวิกฤตโลกร้อน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘Thai School Lunch’ แพลตฟอร์มจัดสำรับอาหารกลางวันให้นักเรียนไทย ถูกหลักโภชนาการ รายงานโปร่งใส ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
หนึ่งในมาตรการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้เด็กไทยที่มีมาตั้งแต่ปี 2530 คือ การจัดเตรียมอาหารกลางวันให้นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษารับประทานทุกวันที่มาโรงเรียน เพื่อให้พวกเขาได้รับสารอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตและการเรียนรู้ ซึ่งหากพิจารณาเพียงเฉพาะด้านพลังงาน การจัดเตรียมอาหารทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้วการจัดสำรับอาหารให้เด็กมีปัจจัยที่จะต้องพิจารณาหลายส่วน ทั้งคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมตามวัย สำรับอาหารที่ไม่จำเจ และการควบคุมรายจ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่ได้รับ โดยภารกิจเหล่านี้มักตกเป็นภาระหน้าที่เสริมของครูกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้พวกเขาอาจไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนี้มาก่อนเลยก็ตาม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนา ‘Thai School Lunch’ แพลตฟอร์มจัดสำรับอาหารกลางวันให้นักเรียนไทย โดยเปิดให้บริการแก่สถานศึกษาทั่วประเทศแล้วตั้งแต่ปี 2555 และพัฒนายกระดับแพลตฟอร์มต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
Thai School Lunch ระบบจัดสำรับอาหารคุณภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระครู
จุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบ Thai School Lunch มาจากนักวิจัย เนคเทค สวทช. และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เล็งเห็นว่าการจัดสำรับอาหารที่เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละช่วงวัย รวมทั้งการจัดทำอาหารให้นักเรียนจำนวนมากตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันคนเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก อีกทั้งยังเป็นภาระงานที่ค่อนข้างหนักสำหรับครู จึงได้บูรณาการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางออกแบบและพัฒนาระบบ Thai School Lunch แพลตฟอร์มออนไลน์ที่จะช่วยให้ครูจากทุกสถาบันการศึกษาภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดสำรับอาหารคุณภาพได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้แพลตฟอร์มได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2555 และให้บริการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้สังกัด ศธ. แต่มีความประสงค์ที่จะร่วมใช้งาน สามารถแจ้งความจำนงเพื่อลงทะเบียนเข้าใช้ระบบได้
[caption id="attachment_57155" align="aligncenter" width="750"] ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า Thai School Lunch เป็นระบบสำหรับช่วยคำนวณการจัดสำรับอาหาร ทั้งด้านคุณค่าโภชนาการที่เหมาะสม ปริมาณวัตถุดิบที่ต้องจัดซื้อ และค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ซึ่งเลือกคำนวณตามจำนวนนักเรียนที่ต้องดูแลและงบประมาณที่โรงเรียนได้รับได้ โดยครูเลือกจัดสำรับได้ 2 รูปแบบ รูปแบบแรกคือเลือกจากเมนูอาหารที่ระบบคำนวณข้อมูลด้านต่าง ๆ ไว้ให้แล้ว ส่วนรูปแบบที่สองคือครูเป็นผู้นำเข้าเมนูอาหารใหม่ด้วยตัวเอง จากนั้นระบบจะคำนวณข้อมูลต่าง ๆ ให้อัตโนมัติ ยกเว้นกรณีเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบ อาทิ วัตถุดิบท้องถิ่นที่ไม่ได้รับประทานอย่างแพร่หลาย ซึ่งหากเกิดกรณีนี้ขึ้นครูสามารถแจ้งความจำนงขอให้เก็บตัวอย่างวัตถุดิบไปวิเคราะห์ข้อมูลทางโภชนาการเพื่อนำข้อมูลเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมได้
“ทั้งนี้ข้อมูลสำรับอาหารที่ครูจัดให้เด็กรับประทานในแต่ละวันจะบันทึกไว้ทั้งหมดเพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดรวมถึงประชาชนทั่วไปตรวจสอบข้อมูลได้ผ่านแดชบอร์ด (dashboard) ของแพลตฟอร์ม โดยตั้งแต่ปีการศึกษา 2567 เป็นต้นไป ระบบจะไม่อนุญาตให้ครูบันทึกข้อมูลย้อนหลัง ดังนั้นข้อมูลของทุกโรงเรียนจะเป็นข้อมูลที่ตรงกับสำรับอาหารวันนั้นจริง ๆ”
นอกจากฟังก์ชันหลักที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ผลจากการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการให้บริการระบบต่อเนื่องมากว่า 11 ปี ทำให้ปัจจุบันแพลตฟอร์ม Thai School Lunch มีฐานข้อมูลรูปแบบสำรับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมและมีความเข้ากันได้ของรสชาติมากกว่า 1,000 สำรับ เพียงพอแก่การนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาระบบ AI จัดสำรับอาหารอัตโนมัติ เพื่อให้ครูทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น
ดร.สุปิยา อธิบายว่า ปัจจัยที่อยู่ภายใต้การคำนวณของ AI ประกอบด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ความหลากหลายของสำรับอาหาร และค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับงบประมาณ ดังนั้นต่อไปนี้ครูจะวางแผนจัดสำรับอาหารให้เด็กรับประทานล่วงหน้าได้ทั้งแบบรายวัน รายเดือน รายภาคการศึกษา หรือกระทั่งรายปีการศึกษา ที่สำคัญระบบผ่านการออกแบบให้ครูปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงเพื่อรองรับปัญหาวัตถุดิบมีราคาผันผวนได้ด้วย ดังนั้นการจัดสำรับอาหารให้เด็กนักเรียนรับประทานจึงไม่ใช่เรื่องยากและต้องใช้เวลามากอีกต่อไป
Thai School Lunch for BMA รายงานโปร่งใส ตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
นอกจากการให้บริการระบบ Thai School Lunch แล้ว ในปี 2563 หรือประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา ทีมวิจัยยังได้เปิดให้บริการระบบ Thai School Lunch for BMA เพิ่มเติม เพื่อให้บริการแก่โรงเรียน 437 แห่งภายใต้สังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เนื่องจาก กทม. ต้องการใช้งานฟังก์ชันเสริมเพิ่มเติมจากแพลตฟอร์มหลัก โดย 2 ฟังก์ชันนั้นประกอบด้วย การจัดสำรับอาหารเช้าให้แก่นักเรียนและการออกแบบให้การจัดทำรายงานและการตรวจสอบเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง
ดร.สุปิยา อธิบายว่า ด้วยโรงเรียนในสังกัด กทม. มีมาตรการจัดเตรียมอาหารเช้าให้นักเรียนซึ่งเป็นมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากมาตรการของโรงเรียนสังกัดอื่น ๆ ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกับ กทม. พัฒนาระบบเฉพาะ Thai School Lunch for BMA ขึ้น เพื่อให้ครูใช้แพลตฟอร์มนี้วางแผนจัดสำรับอาหารได้ทั้งมื้อเช้าและกลางวันครบจบในแพลตฟอร์มเดียว ส่วนอีกฟังก์ชันที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ การทำให้การรายงานผลและการตรวจสอบการดำเนินงานเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง โดยในปีการศึกษา 2567 หรือที่กำลังเริ่มเปิดภาคเรียน ณ ขณะนี้ กทม. ได้กำหนดมาตรการให้บริษัทที่ทำสัญญาจัดส่งวัตถุดิบให้แก่โรงเรียนภายใต้สังกัด กทม. ต้องใช้งานแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for Catering ซึ่งเชื่อมโยงกับ Thai School Lunch for BMA ในการทำงาน
“กลไกการทำงานของระบบ คือ เมื่อครูกำหนดสำรับอาหารของแต่ละวันผ่านแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for BMA เรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการจะสามารถคำนวณปริมาณวัตถุดิบที่ต้องจัดส่งในแต่ละวันและสร้างใบส่งของผ่านแพลตฟอร์ม Thai School Lunch for Catering ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งการจัดส่งวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารเช้าและกลางวันให้โรงเรียน ผู้ส่งมอบจะต้องรายงานปริมาณและวัตถุดิบอาหารสดที่จัดส่งพร้อมอัปโหลดภาพถ่ายเข้าสู่ระบบจัดเก็บข้อมูลของแพลตฟอร์ม เพื่อให้โรงเรียนกดตรวจรับทุกวัน และหน่วยงานที่กำกับดูแลเข้าติดตามข้อมูลการดำเนินงานของแต่ละโรงเรียน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาสั่งจ่ายเงินให้ผู้ประกอบการได้โดยสะดวก (สามารถสร้างใบส่งของและเอกสารตรวจรับจากระบบเพื่อใช้แนบฎีกาเบิกจ่ายได้) ทำให้ช่วยลดจำนวนเอกสารและเพิ่มความถูกต้องของกระบวนการตรวจรับอาหารปรุงสำเร็จของโรงเรียนได้เป็นอย่างดี ส่วนหน่วยงานที่ดูแลด้านการปราบปรามทุจริตก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสของแต่ละโรงเรียนได้เช่นกัน”
ปัจจุบัน ณ ปีการศึกษา 2567 มีโรงเรียนจากทั่วประเทศที่ลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบ Thai School Lunch และ Thai School Lunch for BMA รวมแล้วมากกว่า 37,600 โรงเรียน รวมจำนวนนักเรียนที่อยู่ในการดูแลมากกว่า 5 ล้านคน
“คณะผู้พัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแพลตฟอร์ม Thai School Lunch จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการขับเคลื่อนระบบต่อไปอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์ทั้งด้านการลดภาระงานของครูและบุคลากรจากสังกัดต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินงานร่วมกัน และที่สำคัญคือการมั่นใจได้ว่าเด็กไทยที่กำลังเติบโตไปเป็นอนาคตของชาติจะได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพจากโรงเรียนอยู่เสมอ ทั้งนี้หากในอนาคตแต่ละโรงเรียนมีการกำหนดสำรับอาหารล่วงหน้าเป็นรายภาคเรียนหรือปีการศึกษา ก็อาจนำไปสู่การส่งเสริมให้เกิดการทำสัญญารับซื้อสินค้าคุณภาพ อาทิ ผักปลอดสาร เนื้อสัตว์ไร้สารเร่งการเจริญเติบโตจากเกษตรกรไทยล่วงหน้าได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเด็กแล้ว ยังทำให้เกษตรกรรู้โจทย์และวางแผนการผลิตสินค้าได้อย่างชัดเจน ช่วยลดปัญหาการผลิตสินค้าที่ไม่เป็นที่ต้องการหรือมีผลผลิตมากล้นตลาด จนทำให้สินค้าราคาตกต่ำได้” ดร.สุปิยา กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าใช้งานระบบ Thai School Lunch ลงทะเบียนเข้าใช้งานได้ที่ www.thaischoollunch.in.th (ไม่มีค่าใช้จ่าย) และสำหรับผู้ที่สนใจติดตามสำรับอาหารของเด็กนักเรียนไทยในแต่ละวันเข้าดูแดชบอร์ดได้ที่เว็บไซต์เดียวกัน
หน่วยงานร่วมวิจัยหรือสนับสนุนการใช้งานแพลตฟอร์ม
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.)
กรุงเทพมหานคร
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

อว. นำคณะผู้บริหาร ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัด อว. นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรี อว. พร้อมคณะผู้บริหารภายใต้สังกัด อว. และ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
ข่าวประชาสัมพันธ์