ผลการค้นหา :
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ผนึกกำลัง Qianhai Ehub ร่วมผลักดันสตาร์ตอัป ไทย–จีน สู่ตลาดนวัตกรรมโลก
28 พฤศจิกายน 2568 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) ภายใต้การกำกับของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ กับ ฮับผู้ประกอบการและนวัตกรรมใหม่ของเฉียนไห่-เซินเจิ้น-ฮ่องกง (อีฮับ) (Qianhai Shenzhen–Hong Kong Youth Innovation and Entrepreneur Hub: Ehub) โดยมี นายปีเตอร์ ม็อก (Mr. Peter Mok) ผู้จัดการทั่วไปอีฮับ ร่วมลงนามภายในงาน “ลานประชาคมเฉียนไห่ของเขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า ปี 2568 (2025 ASEAN–CHINA GBA Economic Cooperation (Qianhai) Forum)” จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติเฉียนไห่ (Qianhai International Convention Center) เมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน
พิธีลงนามได้รับเกียรติจาก นายกาจฐิติ วิวัธวานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว คุณเหวิน ผิง รองผู้อำนวยการคณะกรรมการบริหารเขตการค้าเสรีนำร่องจีน (กวางตุ้ง) พื้นที่เฉียนไห่และเซอโข่ว ในฐานะรองอธิบดีสำนักงานความร่วมมืออุตสาหกรรมบริการสมัยใหม่เซินเจิ้น-ฮ่องกง ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม
ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสตาร์ตอัปและนวัตกรรมระหว่างไทยและจีน เปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับผู้ประกอบการเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศ พร้อมส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรด้านนวัตกรรม นักวิจัย และสตาร์ตอัป เพื่อร่วมกันยกระดับศักยภาพการแข่งขันและสร้างระบบนิเวศระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน
ดร.จุฬารัตน์ เปิดเผยว่า “อวท. และอีฮับเฉียนไห่ มีการทำงานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิดก่อนการลงนามในครั้งนี้ ซึ่งหนึ่งในผลลัพธ์ที่น่าภาคภูมิใจ คือ บริษัท นาโน โค๊ดติ้ง เทค จำกัด (Nano Coating Tech) สตาร์ตอัป สมาชิกของอุทยานฯ ซึ่งถือเป็น สตาร์ตอัปไทยรายแรกที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของอีฮับ นับเป็นก้าวสำคัญของการเปิดตลาดและสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊าของจีน
อีกทั้งการลงนาม MoU ครั้งนี้ยังเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของการประชุมประจำปี 2568 สมาคมอุทยานวิทยาศาสตร์เอเชียน (แอสป้า) (Asian Science Park Association (ASPA) Annual Conference 2025) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดที่กรุงเทพฯ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเปิดเวทีให้ผู้บริหารอุทยานวิทยาศาสตร์ทั่วเอเชียได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมระดับภูมิภาค ความร่วมมือกับเฉียนไห่จึงเป็นอีกก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง และจะช่วยผลักดันสตาร์ตอัปของทั้งสองประเทศให้เติบโต เป็นการขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ และร่วมกันสร้างเศรษฐกิจนวัตกรรมที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียได้อย่างเป็นรูปธรรม”
นายปีเตอร์ ม็อก กล่าวว่า “บันทึกความร่วมมือฉบับนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางนวัตกรรมระหว่างสองประเทศ โดยผสานจุดแข็งของอีฮับซึ่งตั้งอยู่ในตลาดเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้ง–ฮ่องกง–มาเก๊า กับความเชี่ยวชาญของ อวท. ในฐานะศูนย์กลางวิจัยและพัฒนาในภูมิภาค เราเชื่อว่าความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนสตาร์ตอัปและนวัตกรรมข้ามพรมแดนให้เติบโตอย่างมั่นคง”
ทั้งนี้ความร่วมมือดังกล่าว นับเป็นอีกก้าวสำคัญของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ในการขยายเครือข่ายพันธมิตรระดับนานาชาติ และตอกย้ำบทบาทของ สวทช. ในการเชื่อมโยงงานวิจัยและนวัตกรรมไทยสู่ตลาดโลก เพื่อผลักดันเศรษฐกิจฐานความรู้ของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ได้รับใบประกาศ จากองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก ในกิจกรรม “ขยะกำพร้าสัญจร ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ”
กิจกรรม “ขยะกำพร้าสัญจร ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย” คือกิจกรรมที่ส่งเสริมการคัดแยกขยะอย่างถูกต้องในประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และพื้นที่ใกล้เคียง โดยศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ได้จัดเตรียมสถานที่ภายในองค์กร และติดต่อบริษัทรับขยะกำพร้าเพื่อนำขยะไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel: RDF) นอกจากนั้นศูนย์ประชุมฯ ยังรับขยะรีไซเคิลเพื่อส่งมอบให้กับทีม Less Plastic TU จาก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อร่วมโครงการผลิตอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วยเบาหวาน โดยศูนย์ประชุมได้จัดทั้งหมด 5 ครั้ง รวบรวมขยะสำหรับ RDF ได้ 21,394 kg. และคัดแยกขยะรีไซเคิลได้รวมทั้งหมด 843 kg. ซึ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 4,204.09 kg CO2 eq
ครั้งที่ 1 วันที่ 9 มีนาคม 2567 “ขยะกำพร้าสัญจร ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ครั้งที่ 1” เป็นความร่วมมือระหว่าง ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. กับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) โดยแยกขยะเพื่อแปรรูปเป็น RDF ได้ 1,400 kg และ แยกขยะรีไซเคิลได้ 43.80 kg ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 180.01 kg CO2 eq
ครั้งที่ 2-5 เป็นความร่วมมือระหว่าง ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM)
วันที่ 11 ตุลาคม 2567 “ขยะกำพร้าสัญจร ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ครั้งที่ 2” แยกขยะรีไซเคิลลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 191 kg CO2 eq
วันที่ 21 ธันวาคม 2567 “ขยะกำพร้าสัญจร ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ครั้งที่ 3” แยกขยะรีไซเคิลลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 2,220 kg CO2 eq
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 “ขยะกำพร้าสัญจร ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ครั้งที่ 4” แยกขยะรีไซเคิลลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 1,007 kg CO2 eq
วันที่ 30 เมษายน 2568 “ขยะกำพร้าสัญจร ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ครั้งที่ 5” แยกขยะรีไซเคิลลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 605.02 kg CO2 eq
(และกิจกรรม “ชุบชีวิตขยะ...ด้วยมือวิเศษ” เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการ NSTDA Eco No Waste โดยรับบริจาคแก้วพลาสติก ห่วงฝากระป๋อง กล่องนม ณ สำนักงานกลางอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จัดกิจกรรมโดย ฝ่ายความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม สวทช. โดยเริ่มรวบรวมตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 67 -31 มี.ค. 68 ซึ่ง ได้ทำการส่งมอบกล่องเครื่องดื่ม น้ำหนัก 25 กิโลกรัม แก้วพลาสติกแข็ง น้ำหนัก 2 กิโลกรัม และห่วงกระป๋องอะลูมิเนียม น้ำหนัก 2.5 กิโลกรัม โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้รวมทั้งกิจกรรม 131.68 kg CO2 eq ซึ่งฝ่ายความปลอดภัยฯ ทำการส่งมอบให้กับกรมควบคุมมลพิษในวันที่ 11 เมษายน 2568)สวทช. ได้รับใบประกาศ จากองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก ในกิจกรรม “ขยะกำพร้าสัญจร ”
ขอบคุณจากใจจริง เราจะเปิดอีกครั้งเดือนหน้า....วันที่ 13 ธันวาคม นี้นะคะ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘โดโลไมต์’ วัสดุทางเลือกทดแทนปูนซีเมนต์ เพิ่มโอกาสลดโลกร้อน ฝ่าวิกฤต CBAM
อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่กระบวนการผลิตมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับต้นของโลก โดย World Economic Forum ได้รายงานไว้ในปี 2565 ว่า ‘อุตสาหกรรมนี้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6 ของปริมาณการปล่อยรวมจากกิจกรรมของมนุษย์ทั่วโลก' ด้วยเหตุนี้การพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยลดปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์รักษ์โลก โดยการนำวัสดุอื่นที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่ามาใช้เป็นส่วนผสมทดแทนปูนซีเมนต์ (cement replacement)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการนำผงแร่โดโลไมต์ (dolomite powder) ซึ่งเป็นวัสดุผลพลอยได้จากกระบวนแต่งแร่ มาเพิ่มมูลค่าด้วยกระบวนการทางเคมี เพื่อใช้เป็นส่วนผสมทดแทนปูนซีเมนต์ในการผลิตปูนมอร์ตาร์ (ปูนก่อหรือฉาบ) และผลิตภัณฑ์คอนกรีต โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และภาคเอกชนไทย
[caption id="attachment_77809" align="aligncenter" width="750"] ดร.พิทักษ์ เหล่ารัตนกุล หัวหน้าทีมวิจัยซีเมนต์และวัสดุคอมพอสิตเพื่อความยั่งยืน เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.พิทักษ์ เหล่ารัตนกุล หัวหน้าทีมวิจัยซีเมนต์และวัสดุคอมพอสิตเพื่อความยั่งยืน เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า ปกติการทำเหมืองหินแร่โดโลไมต์ ผู้ประกอบการจะนำแร่ต่าง ๆ ที่ได้มาบดให้มีขนาดตรงตามความต้องการของผู้รับซื้อ ผลจากการทำกิจกรรมดังกล่าวจะก่อให้เกิดวัสดุผลพลอยได้เป็นผงแร่โดโลไมต์ขนาดเล็กเกินกว่าจะจำหน่ายได้ปริมาณมาก ซึ่งแร่โดโลไมต์เป็นสารประกอบ CaMg(CO3)2 ที่นำมาผ่านกระบวนปรับแต่งโครงสร้างผลึกให้อยู่ในรูปของสารประกอบแคลเซียมซิลิเกตไฮเดรตซึ่งมีคุณลักษณะใกล้เคียงกับปูนซีเมนต์ได้ ทีมวิจัยจึงมีแนวคิดที่จะแปรรูปผงแร่เหล่านี้เป็นวัสดุทดแทนปูนซีเมนต์
[caption id="attachment_77808" align="aligncenter" width="750"] แร่โดโลไมต์ก่อนปรับสภาพ[/caption]
“เมื่อได้ผงแร่โดโลไมต์ซึ่งเป็นวัสดุผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมเหมืองแร่มาแล้ว ทีมวิจัยได้นำมาบดย่อยอีกครั้งเพื่อควบคุมขนาดอนุภาคให้มีขนาดตามเป้าหมาย ก่อนนำมาปรับสภาพพื้นผิวด้วยกระบวนการทางเคมีเพื่อเสริมสมบัติทางกลและทางกายภาพของวัสดุ รวมถึงสมบัติความเข้ากันของปฏิกิริยาทางเคมี จากนั้นจึงนำมาทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานด้วยการใช้ผลิตเป็นปูนมอร์ตาร์ โดยนำผงแร่โดโลไมต์ที่ปรับสภาพแล้วไปใช้เป็นส่วนผสมทดแทนในสูตรเพื่อลดปริมาณปูนซีเมนต์บางส่วน ผลจากการทดสอบความแข็งแรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรมพบว่า ผงแร่โดโลไมต์ที่ปรับสภาพแล้วใช้ทดแทนปูนซีเมนต์ได้ในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 25–40”
การนำผงแร่โดโลไมต์ซึ่งเป็นวัสดุผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมเหมืองแร่มาใช้เป็นวัสดุทดแทนปูนซีเมนต์จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การนำมาใช้เป็นวัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำยังเป็นการสร้างเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้แก่วัสดุด้วย
ดร.พิทักษ์ อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า โดยทั่วไปในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 0.7–0.9 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปูนซีเมนต์ 1 ตัน แต่การปรับสภาพผงแร่โดโลไมต์ที่ส่วนใหญ่มีขนาดอนุภาคเล็กหรือเป็นผงฝุ่นอยู่ก่อนแล้ว ให้มีสมบัติเหมาะกับการใช้ทดแทนปูนซีเมนต์นั้นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่ามาก ทำให้เมื่อนำไปใช้ทดแทนปูนซีเมนต์ในสัดส่วนร้อยละ 25–40 จะช่วยลดค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การนำผงแร่โดโลไมต์ตกเกรดที่ปกติเหมืองแร่กำจัดด้วยวิธีการฝังกลบมาใช้ให้เกิดประโยชน์ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ประเทศไทยให้ความสำคัญด้วย
“การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์รักษ์โลกไม่เพียงช่วยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่และวัสดุก่อสร้างไทยก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว แต่ยังช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพที่จะผลิตปูนซีเมนต์ที่ค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ต่ำได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังสหภาพยุโรปที่เริ่มใช้ ‘Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM)’ หรือ ‘มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน’ กับผู้ประกอบการที่นำเข้าสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงแล้วได้เป็นอย่างดี” ดร.พิทักษ์ กล่าวเสริมทิ้งท้าย
ปัจจุบันทีมวิจัยผลิตผงแร่โดโลไมต์สำหรับใช้เป็นวัสดุทดแทนปูนซีเมนต์ได้ในระดับนำร่องหรือ pilot scale แล้ว โดยงานวิจัยนี้มีสถานะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้ทีมวิจัยกำลังหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการปรับข้อกำหนดให้เจ้าของทรัพยากรเป็นผู้ดำเนินการแปรรูปผลิตภัณฑ์ด้วยตนเองได้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งวัตถุดิบ และช่วยลดต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ดร.พิทักษ์ เหล่ารัตนกุล อีเมล pitakl@mtec.or.th หรือเบอร์โทรศัพท์ 08 9742 2548
ผู้ให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา
- กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ให้การสนับสนุนทุนวิจัยในการดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตวัตถุดิบคุณภาพสูงจากแหล่งแร่ในประเทศเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมศักยภาพ
- บริษัทคอมพาวด์เคลย์ จำกัด ให้การสนับสนุนด้านการผลิตในระดับโรงประลอง
- บริษัทจระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ให้การสนับสนุนด้านการวิเคราะห์และทดสอบปูนมอร์ตาร์
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และภาพจาก Adobe Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
บริจาควันนี้… ได้ลดหย่อนภาษี 2 เท่า และร่วมสร้างอนาคตวิทยาศาสตร์ไทยไปด้วยกัน
ในโลกยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทแทบทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่สุขภาพ เกษตร อุตสาหกรรม ไปจนถึงการบริหารจัดการเมือง ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของประเทศจึงไม่ใช่ “ตัวเลือก” อีกต่อไป แต่กลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่อย่างแท้จริง ประเทศไทยจำเป็นต้องมีระบบสนับสนุนงานวิจัย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่แข็งแรง เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก ลดความเหลื่อมล้ำทางโอกาส และเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชนทุกระดับ
หนึ่งในองค์กรที่ทำหน้าที่นี้อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่องคือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) องค์กรที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมให้เกิดขึ้นจริงในสังคม พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมีศักยภาพมากขึ้นในทุกมิติ
สิ่งสำคัญคือ “คุณเอง” สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทันที ผ่านการ บริจาคเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของ สวทช. ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยต่อการพัฒนาประเทศแล้ว ยังได้รับ “สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่คุ้มค่า” จากมาตรการภาครัฐในรูปแบบของการลดหย่อนภาษี สูงสุดถึงสองเท่า เมื่อบริจาคตามเงื่อนไขที่กำหนด
และด้วยเหตุนี้ การบริจาคจึงไม่ใช่เพียง “การให้” แต่คือ “การลงทุนเพื่ออนาคตประเทศไทย” ที่ให้ผลตอบแทนทั้งกับผู้บริจาคและประเทศร่วมกันอย่างแท้จริง
เงินบริจาคของคุณ เปลี่ยนอนาคตประเทศได้จริง
เงินบริจาคทุกบาทที่เข้าสู่กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. จะถูกนำไปเสริมสร้างโครงสร้างด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศในหลากหลายมิติ ตั้งแต่งานวิจัยระดับห้องปฏิบัติการไปจนถึงการส่งต่อสู่ภาคอุตสาหกรรมและชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อเงินบริจาคถูกส่งต่อให้ถึงมือของนักวิจัยและโครงการต่าง ๆ จะเกิดผลกระทบที่ชัดเจน เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นชุดตรวจโรคต้นทุนต่ำ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ หรือระบบหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุในสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่ยุคผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ
ในด้านเกษตรกรรม เงินบริจาคมีส่วนผลักดัน “นวัตกรรมเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture)” ที่ช่วยให้เกษตรกรไทยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และเข้าถึงเทคโนโลยีที่เคยเป็นเรื่องไกลตัว เช่น เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพดิน ระบบรดน้ำอัจฉริยะ หรือเครื่องมือวิเคราะห์คุณภาพผลผลิตที่เคยมีเฉพาะในต่างประเทศ
ด้านการพัฒนาบุคลากร เงินบริจาคถูกใช้ในการสร้างโอกาสให้เยาวชนไทยได้เข้าร่วมกิจกรรม STEM ในพื้นที่ชนบท เปิดโลกให้เด็กไทยได้เข้าถึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่อาจกลายเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า
ผู้ประกอบการไทยเองก็ได้รับประโยชน์อย่างมากจากเงินบริจาค เพราะ สวทช. นำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นไปถ่ายทอดให้ SMEs และสตาร์ทอัพใช้จริง ไม่ว่าจะเป็นระบบ IoT ที่ช่วยโรงงานเพิ่มประสิทธิภาพ โซลูชันลดต้นทุนพลังงาน หรือแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยไทยอย่าง AI for Thai ซึ่งหลายคนคุ้นเคย
เงินบริจาคนี้ยังช่วยสร้าง “โครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ” เช่น ห้องปฏิบัติการทดสอบมาตรฐาน เครื่องมือวิเคราะห์ระดับสูง และศูนย์กลางข้อมูลชีวสารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนาเทคโนโลยีระดับประเทศ
ทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์จริงที่เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้นต่อไป โดยมี “การบริจาคของคุณ” เป็นหนึ่งในพลังสำคัญที่ช่วยให้โครงการต่าง ๆ เดินหน้าได้เร็วขึ้นและขยายผลได้กว้างขึ้น
สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด 2 เท่า ที่คุ้มค่า
มาตรการส่งเสริมการบริจาคให้แก่กองทุนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. ภายใต้เงื่อนไขของกรมสรรพากร กำหนดให้ผู้บริจาคสามารถนำยอดบริจาคไปหักลดหย่อนภาษีได้ถึง สองเท่า ซึ่งคือการ “ให้สิทธิพิเศษมากที่สุดรูปแบบหนึ่ง” ของประเทศ
บุคคลทั่วไปสามารถใช้ยอดบริจาคแบบสองเท่านี้หักลดหย่อนภาษีได้ทันทีผ่านระบบ e-Donation ที่เชื่อมกับกรมสรรพากรโดยตรง ทำให้ขั้นตอนเรียบง่าย โปร่งใส และตรวจสอบได้
ส่วนบริษัทหรือองค์กรนิติบุคคล สามารถนำยอดบริจาคไปบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้ถึง 200% โดยกฎหมายกำหนดว่าภาระภาษีที่สามารถลดลงนี้ต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วถือว่าเป็นมาตรการที่ช่วย “ลดภาระภาษีอย่างจับต้องได้มากที่สุด” และยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้าน ESG และ CSR ไปพร้อมกันช
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ หากบริษัทบริจาค 100,000 บาท บริษัทสามารถนำไปบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้สูงถึง 200,000 บาท ผลลัพธ์คือภาระภาษีลดลงจริง ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ
นี่คือการลงทุนที่ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย—บริษัทได้ประโยชน์ทางภาษีและภาพลักษณ์ ส่วนประเทศได้รับการสนับสนุนงานวิจัยที่จำเป็นต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ตัวอย่างผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการสนับสนุนงานวิจัยของ สวทช.
งานวิจัยและโครงการต่าง ๆ ที่ สวทช. ผลักดันมาตลอดหลายปีล้วนมี “ผลลัพธ์ที่จับต้องได้” และสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่ประชาชนในทุกภูมิภาคของประเทศ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยเพื่อพัฒนาข้าวไทยให้มีคุณภาพดีขึ้นและต้านทานโรค ซึ่งถูกถ่ายทอดสู่เกษตรกรจริงผ่านสื่อ สารคดี และการอบรมต่าง ๆ
โครงการอาหารแห่งอนาคต เช่น โปรตีนทางเลือกจากจุลินทรีย์ (Mycoprotein) ที่ตอบโจทย์สังคมยุคใหม่ การเร่งการเติบโตของธุรกิจอาหารด้วยนวัตกรรมในโครงการ Food Accelerate ที่สร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่จำนวนมาก
ด้านดิจิทัล อาทิ แพลตฟอร์ม AI for Thai ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทย ซึ่งช่วยนักพัฒนาและผู้ประกอบการจำนวนมากได้เข้าถึง AI โดยไม่ต้องลงทุนสูง
และในด้านสาธารณสุข สวทช. พัฒนาชุดตรวจภูมิคุ้มกัน COVID-19 แบบ ELISA ที่ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์มีเครื่องมือที่เชื่อถือได้และผลิตในประเทศเอง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกมากมายด้านอาหาร วัสดุ สมุนไพร และไบโอเทคโนโลยี ที่สร้างผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน
ทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์ของการสนับสนุนจากคนไทยทุกคน รวมถึงภาคธุรกิจที่มองเห็นว่าการลงทุนในวิทยาศาสตร์คือการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ประเทศในระยะยาว
บริจาควันนี้ ได้ประโยชน์สองต่อ ทั้งผู้บริจาคและประเทศไทย
การบริจาคเข้ากองทุนของ สวทช. คือโอกาสในการร่วมสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เพราะมันคือการช่วยให้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีของตัวเอง มีงานวิจัยที่ยกระดับมาตรฐานชีวิต และมีบุคลากรที่พร้อมแข่งขันกับโลก
ผู้บริจาคจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดสองเท่า ได้สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีของตนเองหรือองค์กร และได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการพัฒนาประเทศ
ขณะที่ประเทศไทยจะได้รับงานวิจัยที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ได้แรงขับเคลื่อนใหม่ ๆ จากนักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อไป และได้ระบบนวัตกรรมที่ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าอย่างมั่นคง
นี่คือมาตรการที่คุ้มค่าและเป็นการทำความดี ที่ไม่เพียงส่งผลในวันนี้ แต่จะส่งผลต่อไปในอีกหลายสิบปี
“หนึ่งการบริจาคของคุณ…คือหนึ่งก้าวสำคัญของอนาคตประเทศไทย"
ติดต่อสอบถาม
งานสนับสนุนการวิจัยพัฒนาภาคเอกชน (PSR) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
111 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่งอ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
🌐 เว็บไซต์: https://www.nstda.or.th/donation
📧 อีเมล: ipd-psr@nstda.or.th
📞 โทรศัพท์: 0-2564-7000 ต่อ 1308, 1335
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
สวทช. ผนึกกำลัง TH-RIN และเครือข่ายวิจัยเอเชียแปซิฟิก (APRI) หารือยกระดับมาตรฐานจริยธรรมวิจัยไทย ชูเกณฑ์สากลคัดกรองคุณภาพ สกัดภัย AI ปลอมแปลง
วันที่ 2 ธันวาคม 2568 - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ เครือข่ายจริยธรรมการวิจัยแห่งประเทศไทย (TH-RIN) และ เครือข่ายจริยธรรมการวิจัยแห่งเอเชียแปซิฟิก (APRI) จัดการประชุมโต๊ะกลมระดับนานาชาติ “Bridging Borders for Research Integrity: APRI & TH-RIN Collaboration Forum” ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สป.อว. (โยธี) โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนจากสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัยชั้นนำทั้งในและต่างประเทศกว่า 25 แห่ง เข้าร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และระดมความคิดเห็น เพื่อสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศในการยกระดับมาตรฐานจริยธรรมการวิจัยของไทย ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ในยุคดิจิทัล
ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ประธานคณะกรรมการเครือข่าย TH-RIN และที่ปรึกษาอาวุโส สวทช. กล่าวเปิดงานความว่า “ความเชื่อมั่น (Trust) คือ รากฐานสำคัญของระบบนิเวศการวิจัย ในปัจจุบันบริบทการวิจัยโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางจริยธรรมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีกลไกการกำกับดูแลที่เข้มแข็งและเป็นระบบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลก และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของนักวิจัยไทยในเวทีสากล”
รู้เท่าทัน “ธุรกิจรับจ้างทำวิจัย” และ “AI” ความท้าทายใหม่ของวงการวิชาการ
ศาสตราจารย์ ดร.ธีรยุทธ วิไลวัลย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายพิเศษหัวข้อ Paper Mills: A New Challenge for the Research and Academic Publishing นำเสนอข้อมูลสถานการณ์ปัญหาธุรกิจการซื้อขายผลงานวิจัย (Paper Mills) หรือกระบวนการผลิตงานวิจัยเชิงพาณิชย์ที่ขาดคุณภาพ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยพบว่าระบบการให้ผลตอบแทนทางการเงิน (Incentive) ที่มุ่งเน้นปริมาณการตีพิมพ์ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำผิดจริยธรรมได้ โดยในประเทศไทยได้มีการตรวจสอบความผิดปกติของนักวิจัยที่มีปริมาณงานตีพิมพ์สูงเกินจริง เพื่อรักษามาตรฐานทางวิชาการ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงผลกระทบของเทคโนโลยี Generative AI ที่มีความสามารถในการสร้างชุดข้อมูลภาพทางวิทยาศาสตร์เสมือนจริงได้อย่างแนบเนียน ซึ่งอาจถูกนำมาใช้สร้างผลการทดลองเท็จ ถือเป็นโจทย์ใหม่ที่หน่วยงานกำกับดูแลต้องเร่งพัฒนาเครื่องมือและมาตรการตรวจสอบให้เท่าทันเทคโนโลยี
เสนอปรับเปลี่ยนเกณฑ์ประเมิน มุ่งสู่ “คุณภาพเหนือปริมาณ”
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.วัชระ กสิณฤกษ์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้บรรยายในหัวข้อ Quantity Over Quality Trap สะท้อนมุมมองต่อวัฒนธรรมการตีพิมพ์ผลงาน โดยเสนอแนะให้หน่วยงานให้ทุนและสถาบันการศึกษา พิจารณาปรับเปลี่ยนเกณฑ์การประเมินนักวิจัย จากการเน้นจำนวน (Quantity) มาเป็นการพิจารณาที่คุณภาพ (Quality) และผลกระทบของงานวิจัยอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ในช่วงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมอภิปรายถึงแนวปฏิบัติสากล อาทิ การใช้ระบบ Portfolio หรือการคัดเลือกผลงานเด่น (Best Papers) จำนวนจำกัดมาใช้ประกอบการพิจารณาทุนหรือตำแหน่ง แทนการนับจำนวนชิ้นงานทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันและส่งเสริมให้เกิดงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง
TH-RIN เดินหน้าขับเคลื่อนกลไก “จากนโยบายสู่การปฏิบัติ”
ศาสตราจารย์ ดร.สุภา หารหนองบัว จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ดร.พนารัตน์ พนัสจุฑาบูลย์ จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้บรรยายถึงทิศทางและความก้าวหน้าของ TH-RIN โดยระบุว่า ประเทศไทยได้ยกระดับความตระหนักรู้ด้านจริยธรรมการวิจัยอย่างเป็นรูปธรรม โดย วช. ได้กำหนดให้การผ่านการอบรมด้านจริยธรรมการวิจัยเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของการขอรับทุนวิจัย
ซึ่งในปีที่ผ่านมามีนักวิจัยผ่านการรับรองแล้วกว่า 6,000 คน พร้อมกันนี้ TH-RIN กำลังเร่งสนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษาจัดตั้ง สำนักงานจริยธรรมการวิจัย (Office of Research Integrity - ORI) เพื่อเป็นกลไกหลักในการกำกับดูแล ให้คำปรึกษา และตรวจสอบภายในสถาบันด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม
ในช่วงท้าย ศาสตราจารย์ นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และกรรมการเครือข่าย APRI และ TH-RIN ได้กล่าวสรุปทิศทางความร่วมมือในอนาคต โดยเน้นย้ำว่า ความร่วมมือวิจัยระดับนานาชาติขับเคลื่อนด้วยความเชื่อใจ การที่ประเทศไทยมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานจริยธรรมการวิจัยให้เป็นที่ประจักษ์ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้นักวิจัยไทยได้รับความไว้วางใจและการยอมรับจากเครือข่ายวิจัยระดับโลก นำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการวิจัยร่วมที่ยั่งยืนระหว่าง TH-RIN และ APRI ต่อไป
จัดโดย ฝ่ายพัฒนาคุณภาพและจริยธรรมการวิจัย สวทช.
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
0 2564 7000 ต่อ 71834 คุณรัตนพรรณ / 71844 คุณณัฐพัชร์
e-mail: QRI@nstda.or.th
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
หลักสูตร การพัฒนาทักษะการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจอย่างสัมฤทธิ์ผล (Achievement Problem-Solving and Decision-Making Skills Development: APD)
หลักสูตรการพัฒนาทักษะการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจอย่างสัมฤทธิ์ผล
Achievement Problem-Solving and Decision-Making Skills Development (APD)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ร่วมกับ Career for the Future Academy
ขอเชิญผู้บริหาร หัวหน้างาน และบุคลากรที่ต้องการเสริมทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ
เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร APD
หลักสูตรนี้ออกแบบเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
สามารถระบุ “ปัญหาที่แท้จริง” ได้อย่างชัดเจน ตลอดจนตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิผล
นำไปสู่ผลลัพธ์ที่สำเร็จและยั่งยืนขององค์กร
เนื้อหาและประเด็นสำคัญ
การคิดวิเคราะห์เชิงระบบเพื่อค้นหาปัญหาที่แท้จริง
การแยกแยะระหว่าง “ปัญหา” และ “อาการของปัญหา”
เทคนิคการเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส
ขั้นตอนการใช้เครื่องมือแก้ปัญหาและการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
ฝึกปฏิบัติจริงผ่าน WORKSHOP เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้ทันที
วิทยากร:
ดร.วัลลภ ใหญ่ยิ่ง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์กร และการจัดการสิ่งแวดล้อม
กำหนดการอบรม:
วันที่ 30 มกราคม 2569
ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ
ค่าลงทะเบียน: 5,500 บาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 0 2644 8150 ต่อ 81901 (คุณปานทิพย์)📌 รายละเอียดเพิ่มเติม: https://www.career4future.com/apd
ปฏิทินกิจกรรม
ทีมนักวิจัย สวทช. ลงพื้นที่ให้ความรู้การตรวจประเมินยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รถไฮบริด และรถปลั๊กอินไฮบริด จากสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ภาคใต้
วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ วันที่ 1 ธันวาคม 2568 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ วิทยาลัยเทคนิคสงขลา และวิทยาลัยการอาชีพหลวงประธานราษฎร์นิกร จ.สงขลา จัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องการตรวจประเมินความปลอดภัยของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รถไฮบริด และรถปลั๊กอินไฮบริด ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมหรือการจมน้ำ ให้กับอาจารย์ผู้สอนและนักศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างทักษะและความรู้ด้านยานยนต์ไฟฟ้า สนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย รวมถึงลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่
โอกาสนี้ ทีมนักวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านยานยนต์ไฟฟ้าได้ร่วมกันจัดทำข้อมูลและบรรยายให้ความรู้ ประกอบด้วย ดร.บุรินทร์ เกิดทรัพย์ หัวหน้าทีมวิจัยมอเตอร์และการแปลงผันกำลังงาน กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (NECTEC) สวทช. ดร.มานพ มาสมทบ นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน กลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน (ENTEC) สวทช. นายสมเดช แสงสุรศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญวิจัย งานวิศวกรรมซอฟต์แวร์และทดสอบผลิตภัณฑ์ ฝ่ายสนับสนุนบริการและเทคโนโลยี (NECTEC) สวทช. นายภัทรกร รัตนวรรณ์ วิศวกรอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเทระเฮิรตซ์ กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ (NECTEC) สวทช. และนางสาวนันฑิการ มาสมทบ ผู้ช่วยปฏิบัติงานวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง กลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ (ENTEC) สวทช.
กิจกรรมให้ความรู้การตรวจประเมินยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รถไฮบริด และรถปลั๊กอินไฮบริด ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม อาจารย์และนักศึกษาที่เข้าร่วมรับฟังได้ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากเหตุการณ์จริง อาทิ การแนะนำให้เจ้าของยานยนต์ไฟฟ้าที่ประสบเหตุต้องแจ้งบริษัทประกันภัยทันที เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัยมาประเมินและพิจารณาการคุ้มครองตามสัญญาประกัน ความปลอดภัยในการบริหารจัดการยานยนต์ไฟฟ้าจากเหตุการณ์ยานยนต์ไฟฟ้าจมน้ำ นอกจากนี้ อาจารย์วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ที่บ้านพักและจักรยานยนต์ไฟฟ้าจมน้ำ ได้นำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีประกันภัย) มาให้วิทยากรใช้เป็นตัวอย่างเพื่อให้คำแนะนำในการดำเนินการ ช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานตระหนักถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระยะฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย เช่น การกำจัดซากชิ้นส่วนที่ถูกทิ้ง และการจัดการแบตเตอรี่จักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ต้องใช้ทักษะในการจัดเก็บ การนำไปทำลาย หรือนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในภายหลัง
*** หมายเหตุ
ก่อนดำเนินการใด ๆ กับยานยนต์ไฟฟ้าหลังจมน้ำ ให้เจ้าของยานยนต์แจ้งบริษัทประกันภัยทันที เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัยมาประเมินและพิจารณาการคุ้มครองตามสัญญาประกัน
ขั้นตอนการเคลื่อนย้ายยานยนต์ไฟฟ้าหลังเหตุการณ์น้ำท่วม
ขั้นตอนการตรวจเช็กยานยนต์ไฟฟ้าหลังเหตุการณ์น้ำท่วม (เฉพาะช่างผู้ชำนาญการเท่านั้น)
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จัดเต็มปฐมนิเทศเตรียมความพร้อมนักเรียนทุน อ.ว.
(วันที่ 27 พฤศจิกายน 2568) โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น นาดา ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จัดสัมมนาและปฐมนิเทศนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำปี 2568 (ทุนพัฒนาบุคลากรภาครัฐ) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2568 โดยมีนักเรียนทุน 51 คน แบ่งเป็นทุนต่างประเทศ 38 คน ทุนภายในประเทศ 13 คน โอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานเปิดงานพร้อมกล่าวต้อนรับ เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนทุนรัฐบาลได้อย่างรอบด้าน ทั้งการเตรียมพร้อมทักษะการศึกษาและการใช้ชีวิตในต่างประเทศให้เป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ โดยนักเรียนทุนจะได้รับทราบกฎระเบียบ ข้อบังคับ และสิทธิประโยชน์ ในการเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลจาก สำนักงาน ก.พ. และเจ้าหน้าที่งานทุนรัฐบาลของ กระทรวง อว. อย่างชัดเจนเพื่อให้สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องตลอดระยะเวลารับทุน
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การที่นักเรียนทุนผ่านการคัดเลือกจนได้รับทุนนี้ คือเครื่องยืนยันถึงศักยภาพและความตั้งใจจริงที่ทุกคนมีต่อการพัฒนาตนเองและประเทศชาติ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกในปัจจุบันหมุนเร็วกว่าที่เคย เทคโนโลยีอย่าง AI, Biotechnology หรือ Clean Energy ไม่ใช่แค่เรื่องสมมุติในภาพยนตร์อีกต่อไป แต่คือ "ความอยู่รอด" และ "โอกาส" ทางเศรษฐกิจของทุกประเทศ ประเทศไทยของเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เราต้องการเปลี่ยนผ่านจากประเทศที่ "รับจ้างผลิต" ไปสู่การเป็น "เจ้าของนวัตกรรม" อย่างเต็มตัว ทั้งนี้ข้อมูลจากรายงานการสำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูง (Thailand Talent Landscape 2025-2029) ของ สอวช. ได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังต้องการกำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างเร่งด่วน เพื่อมาผลักดัน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ที่เป็นอนาคตของชาติ อาทิ ด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม: มุ่งสู่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเต็มรูปแบบ และยกระดับ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและหุ่นยนต์ ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของคนไทย ด้านดิจิทัลและสร้างสรรค์: เร่งผลักดัน เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และรองรับธุรกรรมดิจิทัลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้านการเกษตร อาหาร และการแพทย์: ใช้จุดแข็งของประเทศในด้าน เกษตรเทคโนโลยีชีวภาพ, อาหารแห่งอนาคต, การแพทย์ครบวงจร และ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และ การเชื่อมโยงภูมิภาค: ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Hub ด้านการบินและโลจิสติกส์ของภูมิภาคให้สำเร็จ ซึ่งทุกโจทย์ที่ท้าทายเหล่านี้ต้องอาศัย "มันสมอง" และ "สองมือ" ของบุคลากรคุณภาพ เช่น นักเรียนทุนทุกท่าน ที่จะนำความรู้มาเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้ตามที่ยุทธศาสตร์ชาติได้วางไว้
ดร.พัชร์ลิตา กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ดีอยากให้นักเรียนทุนทุกท่านกล้าคิดนอกกรอบ โดยไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่ในเปเปอร์หรือในห้องแล็บเท่านั้น แต่ขอให้ "เปิดวิสัยทัศน์" มองโลกให้กว้างกว่าที่เคย เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง "เปิดใจ" เพื่อสร้างเครือข่าย (Networking) ทั้งกับเพื่อนใหม่ชาวต่างชาติ และเพื่อนนักเรียนไทยด้วยกัน เพราะทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration) จะสำคัญไม่แพ้ความรู้ทางวิชาการ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ควรตักตวงประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด สนุกกับการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน และเมื่อไหร่ที่เจอปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆ ขอให้นึกเสมอว่า สวทช. และ สำนักงาน ก.พ. คือ "บ้าน" และ "พี่เลี้ยง" ที่พร้อมสนับสนุนท่านตลอดเส้นทางนี้
“ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 2533 โครงการนี้ ได้สร้างบุคลากรคุณภาพคืนสู่สังคมไทยมาแล้วกว่า 4,100 คนแล้ว และนักเรียนทุนทุกท่านในวันนี้กำลังจะเป็นคลื่นลูกใหม่ ที่จะเข้ามาสานต่อและยกระดับประเทศไทยให้ก้าวไปไกลกว่าเดิม เพราะประเทศไทยได้ลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนทุน และรอคอยการกลับมาใช้ความสามารถและศักยภาพ มาตอบแทนและพัฒนาประเทศ ไม่ใช่แค่ในฐานะข้าราชการ แต่ในฐานะ "Change Agent" หรือผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่จะนำองค์ความรู้สากลกลับมาสร้างประโยชน์สุขให้แก่คนไทยทุกคน” ดร.พัชร์ลิตา กล่าวทิ้งท้าย
การจัดสัมมนาและปฐมนิเทศครั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางไปศึกษา สำนักงาน ก.พ.จึงมาให้ความรู้เกี่ยวกับระเบียบ กฎเกณฑ์ ข้อควรปฏิบัติ และค่าใช้จ่ายของการเป็นนักเรียนรัฐบาล และให้ความมั่นใจว่า ก.พ. จะช่วยดูแลและให้คำปรึกษาแก่นักเรียนทุนในระหว่างที่ศึกษาในต่างประเทศให้เป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งเรียนจบและกลับมาปฏิบัติงานเพื่อชดใช้ทุนต่อไป
นอกจากนี้ยังได้เปิดเวทีการแบ่งปันประสบการณ์ในการไปศึกษาต่อ การใช้ชีวิตในต่างประเทศ จากนักเรียนทุนรุ่นพี่ที่สำเร็จการศึกษาจากประเทศต่างๆ ประกอบด้วย รศ. ดร.ดารา ภูสง่า นักเรียนทุนรุ่นพี่จากสาธารณรัฐเยอรมนี ดร.ประนัดฎา พิมสี นักเรียนทุนรุ่นพี่จากสาธารณรัฐฝรั่งเศส ผศ. ดร.รอยต่อ เจริญสินโอฬาร นักเรียนทุนรุ่นพี่จากสหรัฐอเมริกา ดร.จิราภา บุติมาลย์ นักเรียนทุนรุ่นพี่จากสหราชอาณาจักร และ ดร.ธาตรี มามี นักเรียนทุนรุ่นพี่จากญี่ปุ่น รวมถึงการบอกเล่าประสบการณ์การทำวิจัยในต่างประเทศของดร.สุพิชฌาย์ จันทร์เรือง นักเรียนทุนรุ่นพี่ที่ศึกษาในประเทศไทย
การปฐมนิเทศในครั้งนี้ต้องการทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่นักเรียนทุนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นใจและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในต่างแดน ทุกประสบการณ์ที่ถูกถ่ายทอดจะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้นักเรียนทุนเหล่านี้สามารถก้าวสู่การศึกษาในระดับสากลได้อย่างราบรื่น และกลับมาเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อประเทศชาติต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
โครงการ “ส่งขยะกลับบ้าน” ร่วมกับ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. โรงเรียนสาธิตธรรมศาสตร์ และบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน)
โครงการ “ส่งขยะกลับบ้าน” ร่วมกับ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. โรงเรียนสาธิตธรรมศาสตร์ และบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน)
ชวนทุกคนมาร่วมภารกิจ ส่งขยะกลับบ้าน เพื่อร่วมสร้าง พลังงานสะอาด ให้โลกของเรา 🌍💚
📅 วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม 2568
🕘 เวลา 09.00 – 12.00 น.
📍 ลานจอดรถ สวทช. Convention Center ตึก 14 (อาคาร CC)
(อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช.)
✨ พิเศษ! สามารถ นำขยะมาดรอปล่วงหน้าได้ตั้งแต่
วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป จุดรับขยะ บริเวณ Dock ส่งของอาคาร CC ดรอปได้ตั้งแต่เวลา 9:00-17:00 น.
♻️ สามารถส่งขยะรีไซเคิลให้กับกลุ่ม Lessplastic.tu เป็นกลุ่มของนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สร้างโครงการจัดการขยะ โดยเก็บขวด PET เพื่อนำไปรองเท้าผู้ป่วยเบาหวานและ ผ้าคล้องแขน พยุงแขนและข้อศอก ใช้ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ได้นะคะ
ขยะที่คุณนำมาส่งจะไม่ถูกทิ้งเปล่า !!
รับทั้ง
👕 เสื้อผ้าเก่า
🧸 ตุ๊กตา
🧦 ถุงเท้าใช้แล้ว
🧴 พลาสติกที่รีไซเคิลไม่ได้
ทั้งหมดจะถูกนำไปแปรสภาพเป็น พลังงานสะอาด ช่วยลดมลพิษและก๊าซเรือนกระจก 🌿
📣 อย่าพลาด! “แยกที่บ้าน ฝากทิ้งที่เรา”
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการคืนชีวิตใหม่ให้ขยะ
เพราะทุกการทิ้งที่ถูกวิธี คือพลังเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้จริง
สอบถามเพิ่มเติม: 083-5407844
ปฏิทินกิจกรรม
นักวิจัย สวทช. คว้า 2 รางวัล NRCT AWARD ผลงานวิจัยและนวัตกรรมตอบโจทย์ประเทศ จาก วช.
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอแสดงความยินดีกับ 2 คณะนักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่มีความโดดเด่น และนำไปสู่การใช้ประโยชน์ จนได้รับรางวัลผลงานวิจัยและนวัตกรรมตอบโจทย์ประเทศ NRCT AWARD จาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) (National Research Council of Thailand: NRCT) โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้นในงาน NRCT FORUM 2025: วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ครบรอบ 66 ปี เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องประชุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อาคาร วช.1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. เป็นประธานในการมอบรางวัล โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช., ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการ BIOTEC และ ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รองผู้อำนวยการ BIOTEC ร่วมแสดงความยินดีและชื่นชมกับความสำเร็จของคณะนักวิจัยที่ได้สร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
คณะนักวิจัยที่ได้รับรางวัล NRCT AWARD ได้แก่
1. ดร.วรินธร สงคศิริ รองผู้อำนวยการ BIOTEC และคณะ ได้รับรางวัลจากผลงานเรื่อง “แพลตฟอร์มบูรณาการเศรษฐกิจหมุนเวียนอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังด้วยวิศวกรรมการผลิตและเทคโนโลยีไฮโดรไซโคลนประสิทธิภาพสูง”
2. ดร.พรรษมณฑ์ ริจิรวนิช หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์อุตสาหกรรมชีวภาพ BIOTEC และคณะ ได้รับรางวัลจากผลงานเรื่อง “ชุดตรวจเชื้อมาลาเรียโดยอาศัยการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมบนกระดาษ กรรมวิธีการผลิตชุดตรวจ และวิธีการตรวจวัดเชื้อมาลาเรียด้วยชุดตรวจดังกล่าว”
นอกจากนี้ยังมีผลงานที่นักวิจัย สวทช. ร่วมวิจัยและได้รับรางวัลในครั้งนี้ ได้แก่ ผลงานเรื่อง “นวัตกรรมบำบัดยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมเชื้อดื้อยา” ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พีรกานติ์ บรรเจิดกิจ จาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมี ดร.ณัฏฐพร พิมพะ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยา การดูดซับ และการคำนวณระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) ร่วมเป็นคณะวิจัย
รางวัลผลงานวิจัยและนวัตกรรมตอบโจทย์ประเทศ NRCT AWARD มอบให้โดย วช. เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติคุณนักวิจัยและนักประดิษฐ์คิดค้นที่ได้สร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในมิติต่าง ๆ หรือคิดค้น วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรมที่นำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที โดยงานวิจัยและนวัตกรรมก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว รวมถึงศิลปะและวัฒนธรรม และเป็นการสร้างการรับรู้สู่สาธารณะ ให้เห็นความสำคัญของการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ ซึ่งในปี 2568 มีผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้รับรางวัลจำนวน 36 ผลงาน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
อว. ปล่อยคาราวานช่วยน้ำท่วมสงขลา–ภาคใต้ เปิดศูนย์พักพิง ครัวกลาง หน่วยจิตอาสา และยกระดับศูนย์พักพิงเป็นโรงพยาบาลสนามดูแลประชาชน
“สุรศักดิ์” ปล่อยคาราวาน กระทรวง อว. ลำเลียงสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา และพื้นที่ภาคใต้ สั่ง อว. ส่วนหน้า ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวช่วยเหลือพี่น้องประชาชน–นักศึกษา เปิดครัวกลาง จัดหน่วยจิตอาสานักศึกษาและบุคลากรลงพื้นที่แจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม สิ่งของอุปโภคบริโภค ยารักษาโรค รวมถึงการยกระดับศูนย์พักพิงชั่วคราวเป็นโรงพยาบาลสนาม ให้บริการทางการแพทย์และพยาบาล
เมื่อวันที่ 29 พ.ย. นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานปล่อยรถนำสิ่งของบริจาคจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. สถาบันอุดมศึกษา และภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง อาหารพร้อมทาน น้ำดื่ม เสื้อผ้า ยารักษาโรค รวมทั้งสิ่งของสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น ทรายแมว เป็นต้น
มีผู้ร่วมงาน ได้แก่ พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวง อว. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. น.ส.วราภรณ์ รุ่งตระการณ์ รองปลัดกระทรวง อว. ดร.วันนี นนท์ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง อว. และคณะผู้บริหาร โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก บริเวณหน้าอาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว. (โยธี)
ในโอกาสเดียวกันนี้ สวทช. ได้ร่วมบริจาคสิ่งของ ประกอบด้วย ถุงยังชีพ 320 ชุด สิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และ น้ำยาฆ่าเชื้อ ENERclean นวัตกรรมจาก ENTEC จำนวน 50 ลิตร เพื่อนำไปทำความสะอาดบ้านเรือนและฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วมใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยส่งมอบให้กับศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม อว.
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวง อว. ได้ระดมสรรพกำลังจากหน่วยงานในสังกัด สถาบันอุดมศึกษา และภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อส่งต่อสิ่งของอุปโภคบริโภค และ อาหารสำเร็จรูปซึ่งเป็นนวัตกรรมจากผลงานวิจัยที่ อว. ให้ทุนสนับสนุน รวมถึงน้ำดื่ม ยา เวชภัณฑ์ และเครื่องใช้จำเป็น ส่งไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา พัทลุง สตูล นครศรีธรรมราช ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
รมว. อว. กล่าวอีกว่า ได้สั่งการให้ อว. ส่วนหน้า ที่มีสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่เป็นหน่วยหลัก เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน นักศึกษา และบุคลากรที่ได้รับผลกระทบ อาทิ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่–ปัตตานี มรภ.สงขลา ม.ทักษิณ ม.วลัยลักษณ์ มรภ.ยะลา และม.นราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อจัดตั้ง ศูนย์พักพิงชั่วคราว, เปิด ศูนย์ช่วยเหลือนักศึกษา, เปิด ครัวกลาง, เปิดรับบริจาคเงินและสิ่งของ, และจัด หน่วยจิตอาสานักศึกษา–บุคลากร ลงพื้นที่แจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม สิ่งของจำเป็น รวมถึง ยกระดับศูนย์พักพิงชั่วคราวเป็นโรงพยาบาลสนาม ให้บริการโดยทีมแพทย์ อาจารย์ นักศึกษาแพทย์–พยาบาล และจิตอาสา เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจผู้ประสบภัย
“กระทรวง อว. พร้อมให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบแก่พี่น้องประชาชนอย่างเต็มสรรพกำลัง หากผู้ใดประสงค์ร่วมสนับสนุน สามารถนำสิ่งของมาบริจาคได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์น้ำท่วม อว. เพื่อประชาชน อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว.” รมว. อว. กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
กระทรวง อว. เปิดจำหน่ายสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2568 ลุ้นรางวัลทองคำรวม 90 รางวัล นำรายได้บำรุงสภากาชาดไทย
กระทรวง อว. เปิดจำหน่ายสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2568 ลุ้นรางวัลทองคำรวม 90 รางวัล นำรายได้บำรุงสภากาชาดไทย
📌 รายละเอียดรางวัล (มูลค่ารวมกว่า 1.8 ล้านบาท)
รางวัลที่ 1 : ทองคำหนัก 5 บาท
รางวัลที่ 2-5 : ทองคำหนัก 2 บาท ถึง 1 สลึง
รางวัลเลขท้าย 3 ตัว : ทองคำหนักครึ่งสลึง (60 รางวัล)
💵 ราคาจำหน่าย: ฉบับละ 100 บาท 📲 ช่องทางการซื้อ: สแกน QR Code หรือติดต่อหน่วยงานในสังกัด อว. และสถาบันอุดมศึกษา 🗓 กำหนดออกรางวัล: วันที่ 21 ธันวาคม 2568 ณ สวนลุมพินี
ตรวจสอบผลรางวัลได้ที่ www.mhesi.go.th
ข่าว
ปฏิทินกิจกรรม


