หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
การศึกษาวัฏจักรชีวิตของการใช้พลังงานไปสู่ภาคขนส่ง และการคำนวณเปรียบเทียบรอยเท้าคาร์บอนในการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เชื้อเพลิงยานยนต์ไฟฟ้า และเชื้อเพลิงชีวภาพ
ประเทศไทยถูกจัดอันดับโดยดัชนีความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศโลก (Global Climnate Risk Index) ประจำปี พ.ศ. 2564 (Global Climate Risk Index 2021 ให้มีความเปราะบางและความเสี่ยงสูงจากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันดับ 9 จาก 180 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ รัฐบาลไทยโดยนายกรัฐมนตรีได้ให้คำมั่นต่อประชาคมโลกในการก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี ค.ศ. 2065 การลดการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจก (GHGs) เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงอาจเป็นภาระที่ประเทศจะมิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ภาคพลังงานไทย โดยภาคการขนส่งเป็นอีกหนึ่งสาขาที่มีสัดส่วนการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจก(GHGs) สูงถึงร้อยละ 18.81 ของปริมาณการปลดปล่อยฯรวมในปี ค.ศ. 2016 เป็นรองเพียงสาขาการผลิตพลังงาน (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2563) ดังนี้ ภาครัฐจึงกำหนดมาตรการสำคัญต่างๆ เพื่อลดการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกในภาคการขนส่งไทยดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) และมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV โดยกำหนดเป้าหมายสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ซึ่งหมายรวมถึงเชื้อเพลิงชีวภาพ ต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายที่ร้อยละ 30 ในปี พ.ศ. 2580 และกำหนดเป้าหมายให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าที่ไม่ปลดปล่อยมลพิษ (ZEV) ภายในปี พ.ศ. 2578 ทั้งนี้ เนื่องจากทั้งมาตรการการส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV ต่างเป็นเทคโนโลยีภาคการขนส่งทางถนนที่มีศักยภาพในการลดการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกภาคขนส่ง อย่างไรก็ตาม เชื้อเพลิงชีวภาพมีกระบวนการเพาะปลูกและการแปรรูป ขณะที่ยานยนต์ไฟฟ้าต้องการการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมจากแหล่งพลังงานต่างๆ ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม หรืออย่างน้อยก็แตกต่างจากกรณีเปรียบเทียบกับการใช้พลังงานของยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) ทั่วไป ดังนั้น การศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นใหม่หรือที่อาจเพิ่มขึ้นจากมาตรการเหล่านี้จึงมีความสำคัญ และสามารถวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบได้ด้วยการใช้การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) ภายใต้การศึกษานี้ อยู่บนพื้นฐานแนวคิด "การวิเคราะห์จากแหล่งกำเนิดสู่การขับเคลื่อน (Well-to-Wheel: WtW)" ซึ่งจำแนกการพิจารณาวัฏจักรชีวิตพลังงานเชื้อเพลิงภาคขนส่งออกเป็น 2 ส่วน คือ "การวิเคราะห์จากแหล่งกำเนิดสู่ถังเชื้อเพลิง (Well-to-Tank: WtT)" และ "การวิเคราะห์จากถังเชื้อเพลิงสู่การขับเคลื่อน (Tank to-Wheel: TtW)" ซึ่งสามารถวิเคราะห์การปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกได้ครอบคลุมตลอดวัฏจักรชีวิตเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคการขนส่ง โดยไม่รวมวัฏจักรชีวิตของยานยนต์ งานวิจัยนโยบายองค์กร ฝ่ายบริหารกลยุทธ์และนโยบายองค์กร Download รายงานการศึกษา  
เอกสารเผยแพร่
 
“UNAI” เทคโนโลยีระบุตำแหน่งภายในอาคาร เสริมแกร่งธุรกิจจัดงานอีเวนต์
  ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันทางการตลาดสูง “ข้อมูล” คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจผู้บริโภค ไม่เว้นแม้แต่ในธุรกิจการจัดงานอีเวนต์ ทั้งงานแสดงสินค้า นิทรรศการ และการประชุมนานาชาติ หรือเรียกว่าอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ซึ่งมีมูลค่านับแสนล้านบาทและกำลังเติบโตในประเทศไทย และล่าสุดทีมนักวิจัยไทยได้พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและเสริมศักยภาพธุรกิจไมซ์ของไทยให้ก้าวไกลระดับนานาชาติ เทคโนโลยีที่ว่านี้คือ ระบบระบุตำแหน่งภายในอาคาร หรือ “แพลตฟอร์มอยู่ไหน” (UNAI platform) ผลงานวิจัยพัฒนาของทีมวิจัยที่นำโดย ดร.ละออ โควาวิสารัช หัวหน้าทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจาก “อยู่ไหน 3 มิติ” แพลตฟอร์มสำหรับให้บริการข้อมูลตำแหน่งหรือข้อมูลเส้นทางการเคลื่อนที่ของคนหรือวัตถุสิ่งของภายในอาคารแบบออนไลน์ ดร.ละออ ให้ข้อมูลว่า เริ่มแรกทีมวิจัยได้พัฒนาระบบระบุตำแหน่งภายในอาคารขึ้นสำหรับใช้ติดตามหรือระบุตำแหน่งของพัสดุต่างๆ ภายในอาคารสำนักงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารงานพัสดุของสำนักงาน และปัจจุบันกำลังพัฒนาต่อยอดเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้จัดงานจะเก็บข้อมูลผู้เข้าชมงานทั้งในรูปแบบการลงทะเบียนหน้างาน หรือการสแกนคิวอาร์โคดด้วยโทรศัพท์มือถือ ซึ่งวิธีนี้ยังไม่สามารถบอกได้ถึงความหนาแน่นของผู้เข้าชมงานในบริเวณต่างๆ หรือแสดงให้เห็นว่าผู้เข้าชมงานให้ความสนใจบริเวณใดเป็นพิเศษ ทีมวิจัยจึงนำต้นแบบระบบ UNAI มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ ที่ประกอบด้วยธุรกิจการจัดประชุมสัมมนาองค์กร (Meetings) การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentives) การประชุมนานาชาติ (Conventions) และการจัดนิทรรศการหรืองานแสดงสินค้า (Exhibitions) ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้พัฒนาและทดสอบระบบ UNAI ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB และได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติมจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เพื่อพัฒนาฮาร์ดแวร์และปรับเทคนิคให้มีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้น     “ระบบ UNAI จัดอยู่ในกลุ่มของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตสรรพสิ่ง (Internet of Things) ประกอบด้วยอุปกรณ์ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ อุปกรณ์ส่งสัญญาณไร้สาย หรือ แท็ก (Tag) ทำหน้าที่เป็นป้ายระบุตำแหน่งโดยใช้เทคโนโลยีสมองกลฝังตัวขนาดเล็ก อุปกรณ์รับสัญญาณไร้สาย หรือ แองเคอร์ (Anchor) ซึ่งออกแบบให้มีแถวสายอากาศ (Antenna Array) มีระบบสื่อสารไร้สายมาตรฐานบลูทูทพลังงานต่ำ (Bluetooth Low Energy: BLE) และใช้เทคนิค AoA (Angle of Arrival) ในการหาตำแหน่งของแท็ก และส่วนสุดท้ายคือ ระบบสื่อสารสำหรับส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ซึ่งรองรับการใช้เครือข่ายทั้ง 3G/4G Cellular Network และ 5G การทำงานของระบบระบุตำแหน่ง แท็กจะส่งสัญญาณไปยังสายอากาศของแองเคอร์ 3 ตัวที่ใกล้ที่สุด  แองเคอร์แต่ละตัวจะคำนวณมุมตกกระทบของสัญญาณที่แท็กส่งมากับแถวสายอากาศ ซึ่งจะมีความต่างเฟสที่ได้รับในแต่ละสายอากาศ และส่งข้อมูลมุมเหล่านี้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ โดยเซิร์ฟเวอร์จะคำนวณหาตำแหน่งของแท็กได้อย่างแม่นยำและส่งข้อมูลตำแหน่งไปแสดงผลที่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน UNAI แบบเรียลไทม์”   [caption id="attachment_29184" align="aligncenter" width="750"] อุปกรณ์รับสัญญาณไร้สายหรือแองเคอร์ (Anchor) และอุปกรณ์ส่งสัญญาณไร้สายหรือแท็ก (Tag)[/caption]   [caption id="attachment_29187" align="aligncenter" width="750"] ภาพแสดงตำแหน่งแบบเรียลไทม์[/caption]   [caption id="attachment_29189" align="aligncenter" width="750"] ระบบ UNAI แสดงข้อมูลความหนาแน่นของผู้คนภายในงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ[/caption]   ดร.ละออ กล่าวว่า ระบบ UNAI จะช่วยให้ผู้จัดงานหรือผู้ประกอบการได้ทราบข้อมูลภาพรวมและข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ เช่น จำนวนผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่อยู่ที่ไหน ผู้เข้าชมงานสนใจกิจกรรมใดบ้าง นิทรรศการหรือสินค้าประเภทใดได้รับความสนใจมากที่สุด ฯลฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนาคุณภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้น หรือนำเสนอบริการเสริมนอกเหนือจากระบบอำนวยความสะดวกที่มีอยู่แล้ว เช่น เพิ่มระบบนำทางไปยังบูทที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดินหา ทำให้มีเวลาเลือกสินค้าหรือเจรจาธุรกิจได้มากขึ้น รวมถึงประยุกต์ใช้เพื่อค้นหาตำแหน่งของผู้เข้าร่วมที่เป็นเด็กหรือผู้สูงอายุที่อาจเกิดการพลัดหลงจากผู้ดูแล     การนำระบบระบุตำแหน่งในอาคาร UNAI ไปประยุกต์ใช้ในการจัดงานนิทรรศการและงานแสดงสินค้า นอกจากช่วยเพิ่มความสะดวกในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้จัดงานและสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ผู้เข้าชมงานแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำเทคโนโลยีไปเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้อุตสาหกรรมไมซ์ของไทยที่กำลังเติบโตให้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งและแข่งขันได้ในระดับโลก  
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ตอนที่ 21 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/0DNxazHYlpoเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติ และชาติดร.อัชฌา กอบวิทยา และคณะ ผลงานเรื่อง “เลนส์มิวอาย นวัตกรรมใหม่ของกล้องจุลทรรศน์แบบพกพา”ดร.อุมาพร เอื้อวิเศษวัฒนา ผลงานเรื่อง “Climate change adaptation strategy through application of biofloc technology for the improvement of productivity and environmental sustainability of white shrimp Litopenaeus vannamei production in South East Asia”ดร.แสงจันทร์ เสนาปิน ผลงานเรื่อง “Current and emerging infectious diseases in fish and shrimp: Emphasis on molecular characterization, pathogenesis and detection” และ “การศึกษาชีววิทยาโมเลกุลกุ้ง ด้วยเทคนิคยีสต์ทูไฮบริด”ดร.อรวรรณ ชัชวาลการพาณิชย์ และคณะ ผลงานเรื่อง “มะเขือเทศรับประทานผลสดลูกเล็กที่ต้านทานต่อโรคใบหงิกเหลือง”ดร.สุวดี ก้องพารากุล และคณะ ผลงานเรื่อง “แผ่นยางทำความสะอาดน้ำมันแบบใช้ซ้ำ”ศ.นพ.นพพร สิทธิสมบัติ ผลงานเรื่อง “การวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการสร้างวัคซีนลูกผสม 4 ชนิดเพื่อป้องกันไข้เลือดออก”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
ตอนที่ 20 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/hiUYhMQCym4เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติ และชาติ ดร.สาทินี ซื่อตรง ผลงานเรื่อง “ดำเนินงานวิจัยด้านการศึกษาความหลากหลายของชนิดพันธุ์ราทะเลที่พบในป่าชายเลนของประเทศไทย” และ “ความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการในระดับโมเลกุลของราทะเลกลุ่มโดทิดิโอไมซีส (Dothideomycetes)”ดร.สมพงษ์ ศรีมโนเสาวภาคย์ ผลงานเรื่อง “High Precision Sound Absorber”ดร.ศรชล โยธิยะ และคณะ ผลงานเรื่อง “Modified Coating Process for Septal Defect Closure Device” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มบางแบบสปัตเตอร์ริง”ดร.พัชรี ลาภสุริยกุล และคณะ ผลงานเรื่อง “ฝาจุกสำหรับภาชนะบรรจุของเหลว เพื่อช่วยป้องกันการสำลักในระหว่างริน (Dispensing Closure for Glug-Free Pouring)”ดร.พิทักษ์ เอี่ยมชัย และคณะ ผลงานเรื่อง “OnSpec VULCAN: เครื่องเคลือบฟิล์มบางสำหรับชิปขยายสัญญาณรามาน”ดร.วิรัลดา ภูตะคาม ผลงานเรื่อง “การศึกษากระบวนการตอบสนองของปะการังต่อการเพิ่มอุณหภูมิของน้ำทะเลและการประเมินความหลากหลายทางพันธุกรรมของปะการังในน่านน้ำไทยเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศใต้ท้องทะเลอย่างยั่งยืน” และ “การค้นหาและจีโนไทป์ เครื่องหมายโมเลกุลสนิปแบบทั่วทั้งจีโนมด้วยเทคโนโลยี genotyping-by-sequencing (GBS)”ดร.สุรภา เทียมจรัส ผลงานเรื่อง “ระบบเซนเซอร์อัจฉริยะสำหรับสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
ตอนที่ 19 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/amRyoQVHXt0เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติ และชาติดร.พรรณรำเพย นามพระจันทร์ ฟรานซ์ ผลงานเรื่อง “Making yeast-based, and measles-based vaccine candidates’ vaccine against Porcine Epidemic Diarrhea Virus (PEDV)”ดร.พรกมล อุ่นเรือน ผลงานเรื่อง “การพัฒนาและออกแบบกระบวนการทางชีวภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อผลิตพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน” และ “Development of biorefinery technology to mitigate effects of climate change and to promote bio-based economy and sustainability”ดร.นพพล คบหมู่ ผลงานเรื่อง “Insights from Population Genomics to the Evolution of Host Specificity in Insect Fungi (GenoSpec)”คุณปิยะดา สุวรรณดิษฐากุล และคณะ ผลงานเรื่อง “กระบวนการเตรียมของผสมยางธรรมชาติและซิลิกาด้วยเทคนิค in situ sol-gel”ดร.สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ และคณะ ผลงานเรื่อง “การพัฒนาระบบสารรักษาสภาพน้ำยางไร้แอมโมเนียสำหรับผลิตภัณฑ์จุกนมยาง”ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ ผลงานเรื่อง “ENZbleach : เอนไซม์ฟอกเยื่อกระดาษจากแบคทีเรียในลำไส้ปลวก”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
ศูนย์ SMC สวทช. “ตอบโจทย์การผลิตยุคใหม่ พัฒนาไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0”
  ปัจจุบันทั่วโลกต่างมุ่งยกระดับอุตสาหกรรมในประเทศสู่อุตสาหกรรม 4.0 หรือยุคที่เครื่องจักรแต่ละเครื่องสามารถสื่อสารถึงกันและกัน (Cyber-physical System) และสื่อสารกับมนุษย์ได้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบและสั่งการการทำงานของเครื่องจักรได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน ลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระบบ และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตอีกด้วย อย่างไรก็ตามการจะยกระดับภาพรวมอุตสาหกรรมของประเทศสู่ระดับ 4.0 ได้อย่างยั่งยืนจะต้องอาศัยความพร้อมจากหลายด้านทั้งผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แรงงานทักษะสูง และเงินทุน ดังนั้นแต่ละประเทศจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมอยู่เสมอ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ดำเนินการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) ภายใต้การดำเนินงานเมืองนวัตกรรมหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และระบบอัจฉริยะ (ARIPOLIS) เขตนวัตกรรมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของเนคเทคมาให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมไทยด้วยแนวคิด เข้าถึงง่าย ใช้งานได้จริง และมีราคาที่จับต้องได้ โดยการดำเนินงานของศูนย์ SMC ประกอบด้วย 5 ด้านหลัก คือ การประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมให้แก่ผู้ประกอบการ (Assess) การให้คำปรึกษาเรื่องการเลือกใช้เทคโนโลยี (Consult) การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรม (Implement) การให้บริการเครื่องมือทดสอบระบบ (Testbed) และการพัฒนากำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญ (Training) ทั้งนี้ในขณะที่พื้นที่ EECi กำลังดำเนินการก่อสร้างและคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในปี 2565 ศูนย์ SMC ได้นำร่องการให้บริการก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2563 ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี     ศูนย์ SMC ดูแลส่งเสริมผู้ประกอบการสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยความเข้าใจ แม้โลกจะก้าวสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 แต่ภาพรวมอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 และยากต่อการยกระดับ เนื่องด้วยปัญหาสำคัญ คือ ผู้ประกอบการไม่รู้ถึงปัญหาและสิ่งที่ควรพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขาดความรู้ความเข้าใจในการยกระดับอุตสาหกรรม รวมถึงเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนและการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ต่างๆ   [caption id="attachment_28842" align="aligncenter" width="750"] ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC)[/caption]   ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) กล่าวว่า SMC ตระหนักถึงปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ จึงมีเป้าหมายหลักที่จะช่วยดูแล ส่งเสริม และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการแบบครบวงจรหรือ One Stop Service เพื่อให้เกิดการดูแลที่ต่อเนื่องและเป็นการดูแลด้วยความเข้าอกเข้าใจ “3 ขั้นตอนหลักในการช่วยเหลือยกระดับอุตสาหกรรม คือ 1) ช่วยประเมินความพร้อมของสถานประกอบการ ทั้งด้านเทคโนโลยี ทรัพยากรมนุษย์ และการเงิน ผ่านตัวชี้วัดอุตสาหกรรม Thailand i4.0 Index[1] เพื่อช่วยแนะนำการแก้ปัญหาหรือยกระดับอุตสาหกรรมตามลำดับความสำคัญ 2) ให้ความรู้และให้คำปรึกษาเรื่องการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม รวมถึงช่วยแนะนำผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบและพัฒนาระบบ (System Integrator: SI) 3) ช่วยแนะนำแหล่งเงินทุนและสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมในการยกระดับอุตสาหกรรม ทั้งในรูปแบบการสนับสนุนเงินทุนและสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่างๆ”     ศูนย์ SMC พัฒนา Platform Solution หนุนเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมไทย โดยทั่วไปการยกระดับอุตสาหกรรมผู้ประกอบการหรือองค์กรจะดำเนินการว่าจ้าง SI หรือหน่วยงานวิจัยเพื่อช่วยเหลือเรื่องการพัฒนาระบบหรือเทคโนโลยีในรูปแบบ Custom Solution หรือการว่าจ้างเพื่อพัฒนางานของตนโดยเฉพาะ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะแก่ผู้ที่มีเงินทุนและความพร้อมสูง SMC ตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับอุตสาหกรรมแบบทั่วถึงทั้งประเทศ SMC จึงได้มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีแบบ Platform Solution หรือการออกแบบและพัฒนาระบบให้เหมาะกับการแก้ปัญหาพื้นฐานในโรงงานทั่วไปควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ที่มีโรงงานขนาดกลางและเล็ก สามารถเข้าถึงการยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมได้เช่นกัน และเหมาะแก่การขยายผลในระดับประเทศอย่างแท้จริง ดร.พนิตา อธิบายว่าที่ศูนย์ SMC มีการให้บริการทั้งรูปแบบ Custom Solution และ Platform Solution เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการและความพร้อมของผู้ประกอบการหรือองค์กรมากที่สุด ตัวอย่างงาน Custom Solution ที่นักวิจัยได้ให้บริการไปแล้ว เช่น การพัฒนาระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อนในต้นแบบเรือไฟฟ้าให้แก่บริษัทสกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด การพัฒนาหุ่นยนต์ตรวจสอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการพัฒนาระบบวิเคราะห์เสียงน้ำรั่วด้วยปัญญาประดิษฐ์และบริหารจัดการข้อมูลผ่านเครือข่ายระบบคลาวด์ให้แก่การประปานครหลวง “ส่วนทางด้าน Platform Solution ที่ศูนย์ SMC ได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรในการพัฒนา และได้นำร่องการให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทยแล้วคือ แพลตฟอร์ม IDA (Industrial IoT and Data Analytics Platform)[2] แพลตฟอร์มเพื่อส่งเสริมการใช้งานระบบ Industrial Internet of Things (IIoT) ในโรงงาน โดยเป็นการติดตั้งระบบ Internet of Things (IoT) ให้กับอุปกรณ์ที่มีการใช้งานทั่วไปในโรงงานส่วนใหญ่ เช่น หม้อต้ม เครื่องทำความเย็น และเครื่องอัดอากาศ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน (Energy Efficiency Monitoring) ผ่านแดชบอร์ดแบบเรียลไทม์จากทุกที่ทุกเวลา เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ วางแผนการทำงาน และพัฒนาให้ระบบภายในโรงงานมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเกิดการอนุรักษ์พลังงาน[3] ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่สนใจใช้งานแพลตฟอร์ม IDA ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการใช้งานระบบ IIoT เพราะศูนย์ SMC ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องไว้รองรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาทิ เทคโนโลยีการเชื่อมต่อการทำงานของเครื่องจักรด้วยระบบ IIoT (IIoT Connectivity and Interoperability) สำหรับใช้เชื่อมต่อเครื่องจักรที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบ PLC (Programmable Logic Controller) ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถเชื่อมต่อการทำงานของเครื่องจักรแบบดั้งเดิมได้ ผู้ประกอบการจึงไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ นอกจากนี้ยังมีระบบ IoT คลาวด์แพลตฟอร์ม NETPIE[4] ซึ่งให้บริการฟรีแก่ผู้ประกอบการไทยมาตั้งแต่ปี 2558 เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนเรื่องเซิฟเวอร์และผู้ดูแลระบบอีกด้วย   [caption id="attachment_28845" align="aligncenter" width="750"] ชุดสาธิตการเชื่อมต่อและการทำงานร่วมกันของเครื่องจักรด้วย IIoT[/caption]   อีกตัวอย่างเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาไว้รองรับ คือ ชุดทดสอบมอเตอร์และระบบส่งกำลัง (Motor and Transmission System) สำหรับใช้พยากรณ์สถานะของมอเตอร์ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบรับทราบการพยากรณ์ความเสียหายของเครื่องจักรล่วงหน้า และสามารถบำรุงรักษาเชิงรุกเพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อสายการผลิตได้” ดร.พนิตา เสริมว่า นอกจากการให้บริการเทคโนโลยี Platform Solution ปัจจุบันศูนย์ SMC ยังมีการบริการอบรมให้ความรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม 4.0 เช่น การใช้งานชุดระบบควบคุมอัตโนมัติและ IIoT ในงานอุตสาหกรรม และการนำระบบดิจิทัลลีนมาช่วยลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในสายการผลิต โดยทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้มีการจัดให้ความรู้ คำแนะนำ และมี Testbed ให้บริการแล้วที่ศูนย์การเรียนรู้ SMC อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย   [caption id="attachment_28844" align="aligncenter" width="750"] ชุดทดสอบมอเตอร์และระบบส่งกำลัง (Motor and Transmission System)[/caption]   [caption id="attachment_28843" align="aligncenter" width="750"] ชุดระบบควบคุมอัตโนมัติและ IIoT ในงานอุตสาหกรรม[/caption]     เตรียมพร้อมให้บริการอย่างเต็มรูปแบบที่ EECi - ARIPOLIS   นอกจากการพัฒนา Platform Solution ที่เกี่ยวกับระบบ IIoT เพื่อมุ่งพาอุตสาหกรรมไทยก้าวข้ามสู่ยุค 4.0 แล้ว ศูนย์ SMC ยังมุ่งมั่นพัฒนาอีกหลากหลาย Platform Solution ที่เกี่ยวกับระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อให้บริการส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบที่เมืองนวัตกรรม ARIPOLIS เขตนวัตกรรมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ดร.พนิตา อธิบายว่า เมื่อมีการเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบที่เมืองนวัตกรรม ARIPOLIS ศูนย์ SMC จะเปิดให้บริการในรูปแบบสมาชิก (Membership) แก่ผู้ประกอบการโรงงาน SI  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยี นักวิจัย อาจารย์ นักศึกษา และผู้ที่สนใจ เพื่อสร้างระบบนิเวศในการดำเนินงานยกระดับอุตสาหกรรมไทย     “ตัวอย่างเทคโนโลยีที่จะมีให้บริการเพิ่มเติมที่ EECi เช่น เทคโนโลยีคลังสินค้าสมัยใหม่ เทคโนโลยีระบุตำแหน่งในอาคาร เทคโนโลยีหุ่นยนต์ให้บริการ เทคโนโลยีการผลิตแบบ Mass Customization หรือการปรับให้เครื่องจักรมีความยืดหยุ่นสามารถผลิตสินค้าได้หลายชนิดในเครื่องจักรเดียว และเทคโนโลยีอัตโนมัติสำหรับเกษตรสมัยใหม่ ฯลฯ ส่วนตัวอย่างงานบริการที่จะมีการเปิดให้บริการเพิ่มเติมอย่างเต็มรูปแบบ เช่น Testbed สำหรับทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้า และระบบที่จำเป็นในยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับการมาของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และบริการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยไซเบอร์สำหรับระบบหรืออุปกรณ์ภายในโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ในอนาคตศูนย์ SMC ยังมีแนวคิดที่จะเชิญผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีเพื่อการใช้งานในอุตสาหกรรม (Vendor) มาจัดตั้ง Testbed ในพื้นที่ เพื่อให้สมาชิกที่สนใจได้ทดลองใช้งาน ทั้งเพื่อการศึกษาหาความรู้ และใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกสรรเทคโนโลยีไปใช้งานจริงที่โรงงาน”   สร้างคน สร้างงาน สร้างอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้า นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยีและการให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน อีกหนึ่งเป้าหมายหลักในการทำงานของศูนย์ SMC คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมรับการขยายการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยที่ปัจจุบันมีมากกว่า 140,000 โรงงาน ดร.พนิตา อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า ศูนย์ SMC มีความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญมาดำเนินกิจกรรมพัฒนากำลังคนคู่ขนานไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมอยู่เสมอ นับตั้งแต่เปิดให้บริการมา 1 ปี ศูนย์ SMC ได้ดำเนินงานจัดกิจกรรมให้ความรู้ (Training) แก่ SI ผู้ประกอบการ อาจารย์ และนักศึกษา มาแล้วหลายโครงการ รวมผู้เข้าร่วมอบรมมากกว่า 2,300 คน ตัวอย่างกิจกรรมที่มีการจัดงานไปแล้ว เช่น การอบรม “Industrial Automation Training Systems” ให้แก่บุคลากรในโรงงานอุตสาหกรรม การอบรม “การพัฒนาทักษะด้าน Industrial Internet of Things (IIoT) แบบเข้มข้น”​ ให้แก่บุคลากรอาชีวศึกษา และการอบรม “AI Innovation JumpStart” ให้แก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์และเทคโนโลยี     ดร.พนิตา ทิ้งท้ายว่า การเตรียมความพร้อมเรื่องการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในทุกสถานการณ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในมิติที่โรงงานมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี มิติของการพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศ และมิติของการทำอุตสาหกรรมในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมไทย ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ที่ : www.nectec.or.th/smc     รายละเอียดเพิ่มเติม [1] Thailand i4.0 Index คือ ดัชนีชี้วัดความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับประเทศไทย (รายละเอียดเพิ่มเติม : https://bit.ly/3HCzYg8) [2] ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม IDA (Industrial IoT and data analytics platform) ได้ที่ https://bit.ly/3EKqyx6 [3] การอนุรักษ์พลังงาน คือ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า เพื่อลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด [4] NETPIE คือระบบคลาวด์ (Cloud computing) สัญชาติไทยที่พัฒนาโดย NECTEC สวทช. ปัจจุบันได้ผ่านการยกระดับจากห้องวิจัยไปสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ (Spin-off) แล้วในนามบริษัทเน็กซ์พาย จำกัด (NEXPIE Co. Ltd.) ทั้งนี้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ให้การสนับสนุนการให้บริการระบบคลาวด์ NETPIE ฟรีตลอดชีพแก่นักเรียน นักศึกษา นักพัฒนา และภาคอุตสาหกรรมไทย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://netpie.io/   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
30 ปี สวทช.
 
BCG
 
THAILAND 4.0
 
ข่าว
 
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
บทความ
 
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 8 เดือน สิงหาคม 2564
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 8 เดือน สิงหาคม 2564 มาตรการและเครื่องมือที่ใช้เพื่อส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายและข้อกำหนดภายใต้ชุดร่างกฎหมาย “Fit for 55”           มาตรการภายใต้กฎระเบียบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (European Emission Trading System, EU ETS) ETS คืออะไร: กฎระเบียบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (European Emission Trading System, EU ETS) เป็นกลไกทางกฎหมายที่ตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในอุตสาหกรรมหลัก เช่น อุตสาหกรรมการผลิตพลังงาน โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานทำซีเมนต์ โรงถลุงเหล็ก โรงงานผลิตกระดาษ และอุตสาหกรรมการบิน ที่มีการใช้พลังงานและมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง จุดประสงค์: ผลักดันให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพทางพลังงาน เพิ่มการใช้เชื้อเพลิงและเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เช่น การลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการขนส่งทางถนนผ่านการลงทุนในยานพาหนะที่มีการปล่อยก๊าซฯ เป็นศูนย์การพัฒนาประสิทธิภาพทางพลังงานและการปรับปรุงอาคารบ้านเรือน การเปลี่ยนแปลงสำคัญของ ETS ภายใต้ชุดร่างกฎหมาย Fit for 55: - ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ภายใต้ ETS ให้ได้ร้อยละ 61 ภายในปี ค.ศ. 2030 คือต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้ ETS ทุกปีในอัตราร้อยละ 4.2 ต่อปี - ภาคการขนส่งทางถนน: จะมีการจัดตั้งระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ETS) แยกจากภาคการขนส่งทางถนน และอาคารบ้านเรือน - ภาคการขนส่งทางอากาศ: มีแนวโน้มจะลดโควตาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ในสาขาการบินลง และจะซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ในสาขานี้สู่ระบบประมูลซื้อ (Full auctioning of allowances) - ภาคการขนส่งทางทะเล: มีกำหนดโควตาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับเรือขนส่งสินค้าที่มีขนาดใหญ่กว่า 5,000 ตันที่ต้องการเข้าจอดเทียบท่าเรือในสหภาพยุโรป - กลไกการปรับค่าคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism, CBAM): สินค้า 5 ประเภทที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ได้แก่ ซีเมนต์ อะลูมิเนียม ปุ๋ย เหล็กและเหล็กล้า และไฟฟ้า - การนำ CBAM ไปใช้ในทางปฏิบัติ: ผู้นำเข้าสินค้าจะต้องลงทะเบียนเพื่อซื้อใบแสดงสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CBAM certificate) ซึ่งราคาจะถูกคำนวณจากราคาเฉลี่ยรายสัปดาห์ของการประมูลโควต้าการปล่อยคาร์บอนของ ETS หน่วยเป็น ยูโร/การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ตัน           กฎระเบียบว่าด้วยการกำหนดสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสมาชิก (Effort Sharing Regulation, ESR) ESR คืออะไร เป็นกฎระเบียบเพื่อกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การขนส่งทางถนน ระบบสร้างความร้อนให้แก่อาคาร เกษตรกรรม โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก และการจัดการขยะ ใช้หลักการคำนวณเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อมูลค่า GDP ของแต่ประเทศ แทนเป้าหมายใน Effort Sharing Decision ระบบ Bank and Borrow: จุดประสงค์: เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคส่วนที่ไม่ได้ครอบคลุมอยู่ในระบบ EU ETS (European Union Emission Trading System) การเปลี่ยนแปลงสำคัญของ ESR ภายใต้ชุดร่างกฎหมาย Fit for 55: - ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ภายใต้ ESR ให้ได้ร้อยละ 40 ภายในปี ค.ศ. 2030 - เนื่องจากการใช้ GDP เพียงอย่างเดียวเพื่อคำนวณเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาจจะก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง จึงเสนอให้มีการปรับเป้าหมายให้มีสัดส่วนประสิทธิภาพต่อต้นทุน (cost-effectiveness) ที่เหมาะสมขึ้นแต่ละประเทศสมาชิกฯ - การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคส่วนของการขนส่งทางถนนและอาคารบ้านเรือนจะถูกควบคุมภายใต้กฎระเบียบทั้ง ETS และ ESR เนื่องจากการลดการปล่อยก๊าซฯ ในสองภาคส่วนนี้ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรตามเป้าหมายที่กำหนดไว้           กฎระเบียบการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และป่าไม้ (land use, land-use change and forestry, LULUCF) LULUCF คืออะไร เป็นกฎระเบียบที่ควบคุมการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ และการทำการเกษตร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความยั่งยืนของระบบนิเวศน์และการใช้ทรัพยากรที่ดิน เช่น ควบคุมการถางป่า (indirect land use change) หรือนำพื้นที่ที่เคยใช้ปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น (direct land use change) มาใช้ปลูกพืชไบโอดีเซล (biodiesel crops) เพื่อส่งออก หรือนำไปผลิตเป็นพลังงาน รวมถึงการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ จุดประสงค์ ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มพื้นที่ในการดูดซับคาร์บอนเพื่อมุ่งพัฒนาสู่ภูมิภาคที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 การเปลี่ยนแปลงสำคัญของ LULUCF ภายใต้ชุดร่างกฎหมาย Fit for 55: - เสนอให้มีการกำหนดเป้าหมายในการดูดซับคาร์บอนที่ปล่อยจากการใช้ประโยชน์จากที่ดินและป่าไม้ จุดมุ่งหมายคือ การดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Sink ให้ได้อย่างต่ำ 310 ล้านตัน ภายในปี ค.ศ. 2030 - การใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ป่าไม้ และเกษตรกรรมจะต้องไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2035 - ระบบการเฝ้าติดตาม การรายงาน และการตรวจสอบปริมาณการปล่อยและการดูดซับคาร์บอนจากการใช้ประโยชน์ที่ดิน ป่าไม้ และเกษตรกรรม โดยใช้ข้อมูลทางภูมิศาสตร์และระบบรับส่งสัญญาณทางไกล เพื่อให้การติดตามบรรลุเป้าหมาย มีความเที่ยงตรงและแม่นยำมากขึ้น           มาตรการในภาคการขนส่ง - กฎระเบียบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเชื้อเพลิงทางเลือก (Alternative Fuels Infrastructure Regulation) โดยจะต้องติดตั้งสถานีชาร์จไฟและเติมเชื้อเพลิงให้แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในระยะทางทุก ๆ 60 กิโลเมตร พร้อมทั้งติดตั้งสถานีเติมก๊าซไฮโดรเจนแก่รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนในทุก ๆ 150 กิโลเมตรบนทางหลวงสายหลัก สำหรับการเดินทางระยะสั้นและระยะยาว - คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอให้มีการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกที่มีคาร์บอนต่ำเพิ่มมากขึ้นในภาคการขนส่งทางทะเลอีกทั้งเครื่องบินและเรือขนส่งจะต้องเข้าถึงแหล่งจ่ายไฟฟ้าที่สะอาดในท่าเรือและสนามบินหลักได้           มาตรการในการจัดตั้งกองทุนให้เงินอุดหนุน - การจัดตั้ง Social Climate Fund: กองทุนนี้ส่งเสริมมาตรการและการลงทุนในภาคส่วนของอาคารบ้านเรือนและการขนส่งซึ่งมีปริมาณการปล่อยเรือนกระจกที่สูง กลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มครัวเรือน วิสาหกิจขนาดเล็ก และผู้ใช้บริการขนส่ง - การจัดตั้ง Innovation Fund: กองทุนส่งเสริมนวัตกรรม หรือ Innovation Fund เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำให้แก่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม กลุ่มเป้าหมายคือ บริษัทและธุรกิจ เพื่อนำไปลงทุนด้านเทคโนโลยีสะอาด โดยเฉพาะด้านพลังงานหมุนเวียน แหล่งเก็บพลังงาน และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน พร้อมทั้งช่วยสร้างงานในตลาดเพิ่มมากขึ้น - การจัดตั้ง Modernisation Fund: เป็นกองทุนช่วยสนับสนุนประเทศที่มีรายได้ต่ำ เป้าหมายนำเงินไปช่วยเหลือลงทุนด้านการพัฒนาและการใช้พลังงานหมุนเวียน การพัฒนาประสิทธิภาพทางพลังงาน แหล่งกักเก็บพลังงาน ระบบพลังงาน และช่วยเหลือพื้นที่ที่ยังต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลให้สามารถเปลี่ยนผ่านมาใช้พลังงานสะอาดได้ โดย 10 ประเทศคือ บัลแกเรีย โครเอเชีย เช็ก เอสโตเนีย ฮังการี ลัตเวีย ลิทัวเนีย โปแลนด์ โรมาเนีย และสโลวาเกีย มาตรการอื่น ๆ จัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์แห่งยุโรปเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้คำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ และรายงานเกี่ยวกับมาตรการของอียู ทิศทางการสนับสนุนงานวิจัย จากร่างชุดกฎหมาย เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Green Deal สหภาพยุโรปจะส่งเสริมให้งบวิจัยแก่งานวิจัยและเทคโนโลยีที่จะช่วยบรรลุเป้าหมายภายใต้ชุดร่างกฎหมาย “Fit for 55” เช่น การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานไฮโดรเจน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สถานีชาร์จไฟอัจฉริยะ แบตเตอรีสำหรับกักเก็บพลังงาน และการรักษาและเพิ่มพูนความหลากหลายทางชีวภาพ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.thaiscience.eu/uploads/journal_20210917084720-pdf.pdf    
นานาสาระน่ารู้
 
ผลการจัดอันดับความสามารถทางนวัตกรรม ประจำปี 2564 โดย WIPO (Global Innovation Index 2021)
ในปี 2564 WIPO ได้จัดอันดับความสามารถทางนวัตกรรมของ 132 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ไว้ที่ https://www.wipo.int/global_innovation_index/en/2021/?gclid=EAIaIQobChMI6f6Mrq3l9AIVS5lmAh2Saw98EAAYASAAEgIih_D_BwE โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้ ตารางผลการจัดอันดับความสามารถทางนวัตกรรมของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2563-2564 โดย WIPO  ประเทศ  สวิตเซอร์แลนด์  สวีเดน สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ ไทย ปี 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 อันดับรวม 1 1 2 2 3 3 4 4 5 10 43 44 1. สถาบัน 13 13 9 11 12 9 15 16 28 29 64 65 1.1 สภาพแวดล้อมด้านการเมือง 3 2 8 10 19 16 21 25 18 24 54 51 1.2 สภาพแวดล้อมด้านการควบคุม 7 7 13 13 12 11 9 8 57 52 112 113 1.3 สภาพแวดล้อมด้านธุรกิจ 47 47 16 16 2 2 12 12 10 10 20 20 2. ทุนมนุษย์และการวิจัย 6 6 2 3 11 12 10 10 1 1 63 67 2.1 การศึกษา 24 31 4 6 41 45 28 35 22 28 86 87 2.2 อุดมศึกษา 21 18 25 28 45 45 18 15 13 16 57 58 2.3 การวิจัยและพัฒนา 3 4 5 6 2 2 9 9 1 1 47 46 3. โครงสร้างพื้นฐาน 2 3 3 2 23 24 10 6 12 14 61 67 3.1 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 15 21 22 13 9 9 2 1 1 2 60 79 3.2 โครงสร้างพื้นฐานทั่วไป 24 25 6 4 18 15 40 38 11 10 48 50 3.3 ความยั่งยืนด้านนิเวศวิทยา 2 2 17 15 55 59 14 14 50 49 68 67 4. ความซับซ้อนของตลาด 6 6 11 12 2 2 4 5 18 11 27 22 4.1 เครดิต 7 6 17 17 1 1 10 8 12 10 24 21 4.2 การลงทุน 10 7 16 21 9 13 5 5 65 42 64 31 4.3 การค้า การแข่งขัน และขนาดตลาด 46 27 24 30 18 1 3 4 16 12 19 25 5. ความซับซ้อนของธุรกิจ 4 2 1 1 2 5 21 19 7 7 36 36 5.1 คนทำงานที่มีความรู้ 5 4 3 3 4 5 14 16 1 2 51 51 5.2 การเชื่อมต่อนวัตกรรม 4 5 2 2 5 8 17 14 15 16 67 68 5.3 การดูดซับความรู้ 11 12 6 13 7 5 27 27 8 8 18 15 6. ผลผลิตของความรู้และเทคโนโลยี 1 1 2 2 3 3 10 9 8 11 40 44 6.1 การสร้างความรู้  1 1 2 2 3 3 8 6 7 7 47 54 6.2 ผลกระทบของความรู้ 2 5 14 19 1 3 19 10 23 27 44 32 6.3 การเผยแพร่ความรู้ 12 6 6 4 16 16 15 11 7 15 33 36 7. ผลผลิตจากการสร้างสรรค์ 2 2 5 7 12 11 4 5 8 14 55 52 7.1 ทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ 5 3 8 8 21 15 10 9 1 2 68 57 7.2 สินค้าและบริการสร้างสรรค์ 3 3 19 21 7 7 6 10 20 19 15 14 7.3 การสร้างสรรค์ออนไลน์ 4 5 7 6 21 18 10 10 37 37 84 73 สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 1 ในปีนี้เหมือนปีที่แล้ว รองลงมาคือ สวีเดน ซึ่งปีนี้มีอันดับเหมือนปีที่แล้ว ถัดมาเป็นสหรัฐอเมริกา มีอันดับเหมือนปีที่แล้ว สหราชอาณาจักรยังคงครองอันดับ 4 ไว้เหมือนปีที่แล้ว อันดับ 5 คือ เกาหลีใต้ มีอันดับเลื่อนขึ้นมาจากปีที่แล้ว 5 อันดับ ส่วนไทยได้อันดับ 43 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 44 ในปีที่แล้ว สำหรับไทยปีนี้ได้อันดับ 43 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 44 ในปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย เป็นหลัก จากทั้งหมด 7 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยทุนมนุษย์และการวิจัย เลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับ จากอันดับ 67 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 63 ในปีนี้ 2. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 6 อันดับ จากอันดับ 67 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 61 ในปีนี้ 3. ปัจจัยผลผลิตของความรู้และเทคโนโลยี เลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับ จากอันดับ 44 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 40 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยทุนมนุษย์และการวิจัย คือ ปัจจัยย่อยการศึกษาและปัจจัยย่อยอุดมศึกษา ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 87 และ 58 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 86 และ 57 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน คือ ปัจจัยย่อยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 19 อันดับ จากอันดับ 79 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 60 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมด ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยผลผลิตของความรู้และเทคโนโลยี คือ ปัจจัยย่อยการสร้างความรู้ ที่มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 7 อันดับ จากอันดับ 54 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 47 ในปีนี้ อันดับที่ได้ของทั้ง 7 ปัจจัยทั้งในปีนี้และปีที่แล้วของไทยจัดอยู่ในระดับค่อนไปในทางที่ดีจนถึงปานกลาง โดยมีปัจจัยความซับซ้อนของตลาดและปัจจัยความซับซ้อนของธุรกิจ มีอันดับค่อนไปในทางที่ดีทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ได้อันดับ 22 และ 36 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 27 และ 36 ตามลำดับ ปัจจัยย่อยที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างมากเนื่องจากมีอันดับไม่ดีและต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว คือ ปัจจัยย่อยสภาพแวดล้อมด้านการควบคุม ที่มีอันดับ 113 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 112 ตัวชี้วัดที่มีอันดับที่ไม่ดีต้องได้รับการพัฒนาอย่างมากทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ได้แก่ 1. ตัวชี้วัด Cost of redundancy dismissal มีอันดับ 123 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 124 อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยสภาพแวดล้อมด้านการควบคุม ปัจจัยสถาบัน ทำให้ตัวชี้วัด Cost of redundancy dismissal เป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดจากตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว 2. ตัวชี้วัด Pupil-teacher ratio, secondary มีอันดับ 109 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยการศึกษา ปัจจัยทุนมนุษย์และการวิจัย 3. ตัวชี้วัด ICT services imports, % total trade มีอันดับ 123 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 116 อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยการดูดซับความรู้ ปัจจัยความซับซ้อนของธุรกิจ ทำให้ตัวชี้วัด ICT services imports, % total trade เป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดจากตัวชี้วัดทั้งหมดในปีที่แล้ว 4. ตัวชี้วัด ICT services exports, % total trade มีอันดับ 117 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 118 อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยการเผยแพร่ความรู้ ปัจจัยผลผลิตของความรู้และเทคโนโลยี 5. ตัวชี้วัด Country-code TLDs/th pop. 15–69 มีอันดับ 100 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 102 อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยการสร้างสรรค์ออนไลน์ ปัจจัยผลผลิตจากการสร้างสรรค์ ส่วนตัวชี้วัดที่มีอันดับดีมากทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ได้แก่ 1. ตัวชี้วัด Ease of protecting minority investors มีอันดับ 3 ทั้งปีที่แล้วและปีนี้ อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยการลงทุน ปัจจัยความซับซ้อนของตลาด 2. ตัวชี้วัด GERD financed by business, % มีอันดับ 1 ทั้งปีที่แล้วและปีนี้ อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยคนทำงานที่มีความรู้ ปัจจัยความซับซ้อนของธุรกิจ ทำให้ตัวชี้วัด GERD financed by business, % เป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับดีที่สุดจากตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งปีที่แล้วและปีนี้ 3. ตัวชี้วัด Creative goods exports, % total trade มีอันดับ 1 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 8 อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยสินค้าและบริการสร้างสรรค์ ปัจจัยผลผลิตจากการสร้างสรรค์ คงเป็นข่าวดีสำหรับไทยที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมา 1 อันดับจากปีที่แล้ว แต่ยังต้องพัฒนาอีกหลายด้านเนื่องจากในปีนี้ได้อันดับ 43 ซึ่งเป็นอันดับค่อนไปทางระดับปานกลาง เพื่อในปีหน้าไทยจะมีอันดับรวมดีขึ้นกว่านี้มาก โดยเฉพาะด้าน Cost of redundancy dismissal ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว  
นานาสาระน่ารู้
 
ตอนที่ 18 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/eMrH9FEB74wเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติ และชาติดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง และคณะ ผลงานเรื่อง “การวัดปริมาณน้ำตาลบนอัลบูมินเพื่อติดตามภาวะเบาหวาน”ดร.โจนาลิซา แอล เซี่ยงหลิว ผลงานเรื่อง “The Community of Practices “Strengthening Rice Breeding Program using Genotyping Building Strategy and Improving Phenotyping Capacity for Biotic and Abiotic Stresses in the Mekong Region”ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ และคณะ ผลงานเรื่อง “เอนอีซ : เอนไซม์ดูโอสำหรับการลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกบนผ้าฝ้ายแบบขั้นตอนเดียว (ENZease: Duo-activity enzyme for one-step process biodesinzing and bioscouring of cotton fabrics)”, “เอนอีซ เอนไซม์อัจฉริยะเพื่อกระบวนการผลิตสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” และ “PTT Yeast Technology Platform”ดร.จิตติมา พิริยะพงศา และคณะ ผลงานเรื่อง “วิวัฒนาการทางพันธุกรรมของยีนโออาร์เอฟ 5 และยีนเอ็นเอสพี 2 ของเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอสในฝูงสุกรที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสพีอาร์อาร์เอสสายพันธุ์รุนแรง”ดร.ธริดาพร บัวเจริญ ผลงานเรื่อง “การค้นหาสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากเชื้อจุลินทรีย์ที่พบในประเทศไทย”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
Para Dough ของเล่นจากยางพาราไทย พร้อมตีตลาดส่งออกของเล่นโลก
  สำหรับใครที่กำลังมองหาของขวัญให้แก่เด็กๆ ในเทศกาลแสนพิเศษทั้งคริสมาสต์ ปีใหม่ รวมถึงวันเด็กที่กำลังใกล้เข้ามา ไม่ควรพลาด ‘Para Dough (พาราโด)’ ผลิตภัณฑ์ของเล่นยางสำหรับปั้น มีลักษณะคล้ายดินน้ำมัน แต่ปลอดภัย ไร้กลิ่น ปราศจากสารเคมีอันตราย ผลิตจาก ‘ยางพารา’ พืชเศรษฐกิจของไทย ผลงานวิจัย โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ปัจจุบันพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับอุตสาหกรรม หนุนตีตลาดของเล่นทางเลือกเพื่อสุขภาพระดับโลก   [caption id="attachment_28705" align="aligncenter" width="750"] คุณกรรณิกา หัตถะปะนิตย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง (IRM) เอ็มเทค[/caption]   คุณกรรณิกา หัตถะปะนิตย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง (IRM) เอ็มเทค อธิบายว่า Para Dough เป็นผลิตภัณฑ์ของเล่นแป้งปั้นหรือโด (Dough) ผลิตขึ้นจากยางพาราชนิดยางแท่งและยางแผ่น ซึ่งนำมาผ่านกระบวนการปรับลักษณะทางกายภาพให้มีสมบัติความหนืดที่เหมาะสม ก่อนนำมาผสานรวมเข้ากับสารจากธรรมชาติอื่นๆ อาทิ แป้งประกอบอาหาร น้ำมันพืช และสี     “Para Dough มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างกลูเตนจากแป้งสาลีและสารเคมีที่เป็นอันตราย ไม่มีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบ ไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด อีกทั้งยังสามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียก่อนและหลังการเล่นด้วยการฉีดพ่นแอลกอฮอล์แล้วนวดก้อนแป้งจนแอลกอฮอล์ระเหยโดยไม่ทำให้โดเสียสภาพ นอกจากนี้ Para dough ยังไม่มีกลิ่น ไม่แห้งแข็งและไม่ละลายเยิ้มเมื่อวางไว้ภายนอกบรรจุภัณฑ์อีกด้วย Para Dough สามารถเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้อย่างน้อย 2 ปี มีอายุการใช้งานหลังแกะบรรจุภัณฑ์อย่างน้อย 1 ปี หากไม่สัมผัสน้ำหรือความชื้น และภายหลังหมดอายุการใช้งานสามารถทิ้งผลิตภัณฑ์ลงในถังขยะเปียก เพราะย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่สร้างมลพิษแก่สิ่งแวดล้อม”   [caption id="attachment_28706" align="aligncenter" width="500"] ดร.ปณิธิ วิรุณห์พอจิต นักวิจัยกลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง (IRM) เอ็มเทค[/caption]   ดร.ปณิธิ วิรุณห์พอจิต นักวิจัยกลุ่มวิจัย IRM เอ็มเทค เสริมว่าผลิตภัณฑ์ Para Dough เหมาะแก่ผู้ที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป สามารถใช้เป็นของเล่นเสริมพัฒนาการเด็ก กระตุ้นให้เกิดการฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก (Fine motor) พัฒนาทักษะการทำงานประสานกันระหว่างตาและมือ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสมอง และทักษะความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังเหมาะแก่การใช้เป็นอุปกรณ์ในการทำกิจกรรมศิลปะบำบัด เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง รวมถึงช่วยบำบัดให้เกิดความผ่อนคลาย กล่าวได้ว่า Para Dough เป็นแป้งปั้นที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย   “ด้วยจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ ทำให้ Para Dough มีโอกาสเข้าถึงตลาดส่งออกหลักของไทย ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ของเล่นเสริมพัฒนาการ ที่มีความปลอดภัยสูง และได้มาตรฐานสากล โดยตามการรายงานของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการส่งออกผลิตภัณฑ์ของเล่นสูง ซึ่งเมื่อกลางปี 2564 ที่ผ่านมามีการคาดประมาณว่าในปี 2564 ไทยจะมีตัวเลขมูลค่าการส่งออกของเล่นรวมสูงถึง 220 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยังมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เนื่องจากการขยายตัวของตลาดออนไลน์[1] สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ ปัจจุบันเอ็มเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Para Dough ในระดับอุตสาหกรรม โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตมีราคาไม่สูง เนื่องจากใช้เครื่องจักรทั่วไปในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร รวมถึงใช้วัตถุดิบที่ผลิตและจำหน่ายทั่วไปในประเทศ นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพร้อมร่วมทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย เช่น การปรับระดับความแข็งและความคงรูปของผลิตภัณฑ์สำหรับการใช้ในงานประเภทอื่นๆ อาทิ การทำเป็นดินปั้นสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องประดับหรือของตกแต่งบ้าน การพัฒนา Para Dough มีส่วนช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางพาราไทยได้สูง 5-6 เท่า ถือเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับการผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น และเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเสริมการใช้ประโยชน์จากยางพาราไทย ส่งเสริมการยกระดับสินค้าการเกษตรไทยตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ปัจจุบัน สวทช. ได้นำร่องผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Para Dough ต้นแบบแล้วที่ศูนย์หนังสือ สวทช. ในราคา 99 บาท ปริมาณ 240 กรัม หรือสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ที่ http://nstdabookstore.lnwshop.com/p/214 นอกจากผลิตภัณฑ์​ Para Dough แล้ว นักวิจัยยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ Para Note และ Para Sand ซึ่งพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วเช่นกัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/news_post/para-plearn/   ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ที่ งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช. โทรศัพท์: 0 2564 6500 ต่อ 4782-4789 E-mail: BDD-IBL@mtec.or.th   รายละเอียดเพิ่มเติม [1]ตลาดที่ประเทศไทยส่งออกสินค้าประเภทของเล่นเป็นหลัก คือ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น รวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.30 ส่วนตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูง คือ เกาหลีใต้ร้อยละ 964.90 ฟิลิปปินส์ร้อยละ 105.89 และรัสเซียร้อยละ 73.22 โดยสินค้าที่มีการขยายตัวเพิ่มอย่างน่าสนใจ คือ ของเล่นที่มีล้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.58 และของเล่นประเภทอื่นๆ ร้อยละ 20.16 ซึ่งจุดแข็งที่ทำให้ของเล่นไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดสากลคือเป็นผลิตภัณฑ์ของเล่นที่มีความปลอดภัยสูง เป็นของเล่นเสริมพัฒนาการ ได้มาตรฐานสากล และมีคุณภาพของสินค้าที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ไดอารี่ สวทช. 2022
Download ไดอารี่ สวทช. 2022  Full 101 MB ,  Compress 48 MB Digital Planner  แบบที่ 1 (4.5 MB) ,  แบบที่ 2 (10.4 MB)    
เอกสารเผยแพร่
 
ตอนที่ 17 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/s831LgsQNM8เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติ และชาติดร.กุลฤดี แสงสีทอง ผลงานเรื่อง “Cassava starch-based hydrogel as a superdisintegrant in drug tablets”ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ ผลงานเรื่อง “ENZbleach : เอนไซม์ฟอกเยื่อกระดาษจากแบคทีเรียในลำไส้ปลวก”, เอนอีซ : เอนไซม์อัจฉริยะเพื่อกระบวนการผลิตสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ เอนอีช (ENZease): เอนไซม์อัจฉริยะทูอินวันสำหรับกระบวนการผลิตสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมดร.อนันต์ลดา โชติมงคล ผลงานเรื่อง “ระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อ COVID-19 (DDC-Care)”ดร.อัญชลี จันทร์แก้ว ผลงานเรื่อง “การพัฒนาและการออกแบบตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์เพื่อใช้ในปฏิกิริยาการเปลี่ยน 5-hydroxymethylfurfural (HMF) เป็นสารชีวเคมีมูลค่าสูง”ดร.วีระวัฒน์ แช่มปรีดา ผลงานเรื่อง “การพัฒนาและวิศวกรรมเอนไซม์และจุลินทรีย์จากฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่ออุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรีและเศรษฐกิจฐานชีวภาพ”ดร.ผุศนา หิรัญสิทธิ์ ผลงานเรื่อง “การประยุกต์ใช้การคำนวณด้วยระเบียบวิธี Solid-State DFT สำหรับออกแบบและพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาระดับนาโนและวัสดุโครงสร้างนาโนให้สามารถใช้เพื่อการพัฒนาด้านพลังงานทดแทนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”ดร.บรรพท ศิริเดชาดิลก ผลงานเรื่อง “การพัฒนาเทคนิคการสร้างไวรัส โดยไม่จำเป็นต้องดัดแปลงรหัสพันธุกรรมใด ๆ ตรงรอยต่อ (Seamless DNA Assembly)”ดร.จิตติมา พิริยะพงศา ผลงานเรื่อง “การใช้เทคนิคชีวสารสนเทศในการศึกษาบทบาทและกลไกใหม่ของไมโครอาร์เอ็นเอในการจับกับตำแหน่งเป้าหมายบนโปรโมเตอร์”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO