ผลการค้นหา :
PETE เปลปกป้อง – เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
PETE (พีท) เปลปกป้อง : เปลความดันลบ ที่เป็นตัวช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด ตั้งแต่จุดเคลื่อนย้ายไปจนถึงนำเข้าเครื่องเอกซเรย์และซีที สแกน ได้ทันที เพื่อประเมินความเสียหายปอดของผู้ติดเชื้อโควิด โดยไม่ต้องนำผู้ป่วยออกจากเปล ช่วยลดการแพร่เชื้อแบบเบ็ดเสร็จ
เปลปกป้อง PETE ใช้งานได้สะดวก สามารถพับเก็บ หิ้ว ลาก หรือสะพายหลังได้ ประหยัดพื้นที่ เหมาะกับการใช้งานบนรถพยาบาลร่วมกับเตียงพยาบาล มีความแข็งแรงรองรับน้ำหนักผู้ป่วยได้กว่า 250 กิโลกรัม
ส่งมอบ PETE (พีท) เปลปกป้องไปยังหน่วยผู้ใช้
กำหนดการส่งมอบพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 64 ให้แก่ 5 หน่วยงาน
หน่วยงานละ 1 ชุด ได้แก่
1. คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
2. โรงพยาบาลสนามเอราวัณ 2 ของโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ กทม.
3. มูลนิธิรวมน้ำใจ
4. โรงพยาบาลวิภาวดี กทม.
5. โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ จังหวัดนครราชสีมา
ผู้พัฒนา
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ
หัวหน้าทีมวิจัย การออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม
Download เอกสารประกอบ
ข้อมูลเพิ่มเติม
ผลงาน/นวัตกรรมรับมือโควิด-19
ผลงานวิจัยเด่น
BodiiRay S และ BodiiRay R
บอดีเรย์ เอส คือเครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลสำหรับถ่ายทรวงอก (Digital Chest Radiography) ที่วิจัยและพัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้ชื่อ บอดีเรย์ เอส เหมาะสำหรับเอกซเรย์อวัยวะภายในแบบสองมิติเพื่อใช้ในการคัดกรองและวินิจฉัยโรคในเบื้องต้นเน้นบริเวณปอดประกอบด้วย แหล่งกำเนิดเอกซเรย์ ฉากรับรังสีแบบดิจิทัล ซอฟต์แวร์บริหารจัดการและจัดเก็บภาพถ่ายเอกซเรย์ ซอฟต์แวร์สำหรับตั้งค่าและควบคุมการฉายเอกซเรย์ และซอฟต์แวร์ประมวลผลและแสดงภาพเอกซเรย์แบบดิจิทัล (RadiiView Software) โดยสามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดเก็บสื่อสารข้อมูลภาพทางการแพทย์ (PACS) ได้
จุดเด่นของ BodiiRay S
ระบบจัดท่าผู้ป่วยแบบขึ้นลงพร้อมกันทั้งเอกซเรย์และฉากรับรังสี
สามารถแสดงผลภาพเอกซเรย์ได้ทันที
ซอฟต์แวร์ใช้งานง่าย และสามารถปรับได้ตามความต้องการของผู้ใช้
ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับน้อยกว่าเครื่องเอกซเรย์แบบฟิล์ม
สามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดเก็บและสื่อสำรข้อมูลภาพทางการแพทย์ (PACS)
บอดีเรย์ อาร์ คือชุดแปลงเอกซเรย์ให้เป็นดิจิทัล (Digital Radiography Retrofit) ที่วิจัยและพัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้ชื่อบอดีเรย์ อาร์ ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงระบบเอกซเรย์แบบเก่าให้เป็นระบบเอกซเรย์ดิจิทัล โดยจะอัปเกรดเฉพาะส่วนรับรังสีและสร้างภาพให้เป็นระบบดิจิทัล แต่ยังคงใช้ประโยชน์จากส่วนฉายรังสีเอกซ์จากเครื่องเดิม ประกอบไปด้วย ฉากรับรังสีดิจิทัลแบบไร้สาย เครื่องคอมพิวเตอร์ และจอแสดงผลภาพ ส่วนซอฟต์แวร์สามารถบริหารจัดการข้อมูลผู้ป่วยและจัดเก็บภาพถ่ายเอกซเรย์ บันทึกการตั้งค่าการฉายรังสี ประมวลผลภาพและแสดงภาพเอกซเรย์แบบดิจิทัล (BodiiView Software) โดยสามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดเก็บสื่อสารข้อมูลภาพทางการแพทย์ (PACS) ได้
จุดเด่นของ BodiiRay R
สำหรับอัพเกรดระบบเอกซเรย์รุ่นเก่าให้เป็นเอกซเรย์ดิจิทัล
ปรับเปลี่ยนระบบให้เข้ากับการใช้งานของโรงพยาบาล
ซอฟต์แวร์ใช้งานง่าย รองรับการใช้งานที่หลากหลายและสามารถปรับได้ตามความต้องการของผู้ใช้
แสดงผลภาพเอกซเรย์ได้ทันที
ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับน้อยกว่าเครื่องเอกซเรย์แบบฟิล์ม
สามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดเก็บสื่อสารข้อมูลภาพทางการแพทย์ (PACS)
สรุปการติดตั้งและใช้งาน
เครื่อง BodiRay S
รพ. รามาธิบดี, กรุงเทพ
รพ. สนาม วัฒนาแฟคตอรี่โดย รพ.บ้านแพ้ว (องค์การมหาชน), สมุทรสาคร
รพ. สนาม ท่าทราย โดย รพ.สมุทรสาคร
รพ. สนาม วิทวอเตอร์ โดย รพ.บ้านแพ้ว (องค์การมหาชน), สมุทรสาคร
รพ. สมุทรสาคร
รพ. แม่สอด, ตาก
รพ. สนาม มหาวิทยาลัย การกีฬาแห่งชาติ โดย รพ. ชลบุรี
รพ. สนาม รพ.จิตเวชสงขลาราชนครินทร์ โดย รพ. สงขลา
รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์
เครื่อง BodiiRay R
รพ.บ้านแพ้ว (องค์การมหาชน), สมุทรสาคร
รพ. สนาม วัดช่องลม โดย รพ.บ้านแพ้ว (องค์การมหาชน), สมุทรสาคร
ผู้พัฒนา
ดร.อุดมชัย เตชะวิภู
ทีมวิจัยระบบสร้างภาพทางการแพทย์ (MIS)
ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED)
Download เอกสารประกอบ
ข้อมูลเพิ่มเติม BodiRay S
ข้อมูลเพิ่มเติม BodiRay R
ผลงาน/นวัตกรรมรับมือโควิด-19
ผลงานวิจัยเด่น
Nano COVID-19 Antigen Rapid test
คุณสมบัติ
ชุดตรวจแบบรวดเร็ว อาศัยหลักการไหลในแนวราบ และการจับกันแบบจำเพาะของแอนติบอดีต่อโปรตีนของเชื้อโคโรนาไวรัส โดยแอนติบอดีจะถูกติดสลากด้วยวัสดุนาโนตอบสนองชนิดพิเศษเพื่อให้สัญญาณ/เพิ่มสัญญาณ จนอ่านสัญญาณได้ภายใน 5-10 นาที
พันธมิตร
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้พัฒนา
1. ดร.ณัฐปภัสร วิริยะชัยพร
2. ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง
และ คณะ
Download เอกสารประกอบ
ผลงาน/นวัตกรรมรับมือโควิด-19
ผลงานวิจัยเด่น
EEC-Care แอปพลิเคชันเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
คุณสมบัติ
EEC-Care เป็นแอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อเฝ้าระวังการระบาดของ COVID-19 ในโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC
พนักงานโรงงานรายงานสถานะสุขภาพ (อุณหภูมิ,อาการ ฯลฯ) ทุกวันผ่าน EEC-Care ภายใต้การกำกับดูแลของ HR ของบริษัท และโรงพยาบาลเครือข่าย
HR ตอบสนองโดยเข้าไปดิดตามผู้ป่วยหรือผู้มีความเสี่ยง COVID-19 และประสานงานกับโรงพยาบาลเครื่อขายอย่างใกล้ชิด
ระดับความพร้อม
กำลังนำไปใช้งาน
วัตถุประสงค์
1.เพื่อจัดทำและพัฒนาโปรแกรม EEC Care : แอปพลิเคชันเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้ประชาชนและพนักงานโรงงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีขีดความสามารถในการใช้ Technology ในการดูแลและเฝ้าระวังสุขภาพตนเอง รวมทั้งเข้าถึงบริการที่จำเป็น
2.นำร่องการใช้งานโปรแกรม EEC Care ในพื้นที่นำร่อง ตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง
ความก้าวหน้า
กำลังนำไปใช้ในสถานประกอบการ 5 แห่ง ขยายการใช้งานอีก 100 แห่ง ในเขตพื้นที่อำเภอปลวกแดง
พันธมิตร
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) สนับสนุนงบประมาณ
โรงพยาบาลปลวกแดง
โรงพยาบาลระยอง
สวทช.
ผู้พัฒนา
1. ดร. กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์
2. ดร. ปรารถนา กู้เกียรติกูล
(A-MED/NSTDA)
Download เอกสารประกอบ
ผลงาน/นวัตกรรมรับมือโควิด-19
ผลงานวิจัยเด่น
AMED Telehealth ระบบบริการทางการแพทย์ทางไกล
คุณสมบัติแอปพลิเคชันรายงานสุขภาพประจำวันสำหรับผู้ที่กักตัวใน State Quarantine หรือ คนไข้ในโรงพยาบาลสนามทีมแพทย์และพยาบาลสามารถติดตามอาการ วินิจฉัยโรคทางไกลและสั่งการรักษา ของแต่ละผู้ป่วยทีมแพทย์และพยาบาลสามารถสื่อสารกับคนไข้ผ่านทางวิดีโอคอล (VDO Call) ระดับความพร้อมกำลังนำไปใช้งาน วัตถุประสงค์เพื่อจัดทำและพัฒนาโปรแกรม AMED Telehealth: แอปพลิเคชันรายงานสุขภาพประจำวันสำหรับผู้ที่กักตัวใน State Quarantine หรือ คนไข้ในโรงพยาบาลสนามและทีมแพทย์และพยาบาลสามารถติดตามคนไข้ได้อย่างใกล้ชิดนำร่องในสถานที่กักกันตนเองของรัฐ (State Quarantine) และโรงพยาบาลสนาม ความก้าวหน้ากำลังนำไปใช้ใน รพ สนาม 2 แห่ง พันธมิตรโรงพยาบาลสนาม ธรรมศาสตร์โรงพยาบาลสนามผู้สูงอายุ บางขนเทียนโรงพยาบาลสนามเชียงใหม่สำนักการแพทย์ กทม.สวทช. ผู้พัฒนา1. นายวัชรากร หนูทอง2. ดร. กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์(A-MED/NSTDA)Download เอกสารประกอบ
ผลงาน/นวัตกรรมรับมือโควิด-19
ผลงานวิจัยเด่น
4 รูปแบบวัคซีนตั้งรับไวรัส SARS-CoV-2 กลายพันธุ์
วัคซีนเข็มที่ 3 จะเป็นรูปแบบไหน! ถึงจะรับมือไวรัส SARS-CoV-2 กลายพันธุ์ได้ ล่าสุดมีบทสรุปจากผู้เชี่ยวชาญถึงแนวทางการพัฒนาวัคซีนที่บริษัทชั้นนำเตรียมนำมาใช้ต่อสู้กับไวรัสกลายพันธุ์
อ้างอิงข้อมูล : In-Depth: The four leading COVID booster shot strategies โดย 10news.com และห้องปฏิบัติการไวรัสและเซลล์เทคโนโลยี ไบโอเทค สวทช.
ความรู้สู้ covid-19
คาถา ‘5 แยก’ ในวันที่ต้อง ‘กักตัว’ อย่างถูกต้องปลอดภัย
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้มีกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงจำนวนไม่น้อยต้องกักตัวเองเพื่อสังเกตอาการ แล้ววิธีการกักตัวที่ถูกต้องมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร เพื่อให้กักตัวได้อย่างปลอดภัย หยุดยั้งการแพร่กระจายของโรค
ความรู้สู้ covid-19
นวัตกรรมแผ่นกรองอากาศต้านรา-แบคทีเรีย นาโนเทค สวทช. ตอบโจทย์มลภาวะทางอากาศ
For English-version news, please visit : Antibacterial and antifungal air filter with nanotechnology
นาโนเทค สวทช. ชูเทคโนโลยีการเคลือบนาโน สู่การประยุกต์เป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ตอบความต้องการใช้งานในสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างแผ่นกรองอากาศสำหรับรถยนต์ต้านเชื้อรา-แบคทีเรีย ผลงานจากโจทย์เอกชนอย่าง “เอเทค ฟิลเตรชั่น” ชูความพร้อมรับมือวิกฤตด้วยนวัตกรรมไทย เตรียมเปิดตลาดรับปี ’64
(more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผลงานวิจัยเด่น
แนวทางและกรอบการดำเนินงานในการประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) ของการไฟฟาส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
ที่มาความสำคัญ : การประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-efficiency, EE) เป็นแนวคิดที่ริเริ่มโดย สภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (World Business Council for Sustainable Development, WBCSD) ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มบริษัทชั้นนำระหว่างประเทศ และได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในการประชุมสุดยอดด้านสิ่งแวดล้อม (Earth Summit) เมื่อปี พ.ศ. 2535 ให้เป็นเครื่องมือการจัดการให้ภาคธุรกิจมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น มีนวัตกรรมมากขึ้นควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยคำว่า Eco-efficiency มาจากการรวมกันของคำว่า Ecology ที่แปลว่าระบบนิเวศ และ Economy ที่แปลว่าเศรษฐกิจ กับคำว่า Efficiency ที่แปลว่าประสิทธิภาพ เป้าหมายหลักสำคัญของ Eco-efficiency คือ การสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและการปกป้องรักษาระบบนิเวศไปพร้อมๆ กัน ด้วยวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรและลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับองค์กรและภาคธุรกิจทั้งการผลิตและการบริการ เพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นรัฐวิสาหกิจที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่จำเป็นและสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน หากปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือประชากรที่เพิ่มขึ้น นอกจากส่งผลให้มีการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแล้ว ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ดี ประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือระดับสากลที่เป็นที่ยอมรับ สามารถนำมาช่วยในการประเมินความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจขององค์กร โดยพิจารณาทั้งประเด็นด้านเศรษฐกิจและประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นที่ปรึกษาให้กับ กฟภ. ในการจัดทำแนวทางและกรอบการดำเนินงานในการประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ เพื่อให้ กฟภ. นำไปปฏิบัติเพื่อให้เข้าสู่มาตรฐานการปรับปรุงประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจขององค์กร
จุดเด่นของผลงาน/อธิบายรายละเอียดผลงาน : กฟภ. นำแนวทางและกรอบการดำเนินงานในการประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ ไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ ผ่านแผนปฏิบัติการระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2562-2564)
ผลงานวิจัยเด่น
หมวกแรงดันลบ Negative Pressure Helmet
หมวกแรงดันลบเป็นนวัตกรรมเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อจากกลุ่มเฝ้าระวัง ด้วยแนวคิด ประกอบง่าย ผลิตเร็ว ราคาถูกโดยประชาชนสามารถใช้พิมพ์เขียวในการดูแบบ เพื่อประกอบด้วยตัวเองได้โดยง่าย จึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการกระจายการใช้งานไปในวงกว้าง ลดการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคหมวกแรงดันลบ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ1.) ตัวหมวก ใช้การพับกระดาษแข็งหรือแผ่นพลาสติกให้ขึ้นรูปเป็นรูปทรงโดยไม่ต้องใช้กาว (ใช้หลักการพับแบบ Origami) ตัวหมวกที่พับเสร็จจะมีความดันอากาศต่ำกว่าภายนอกอย่างน้อย 2.5 Pa ด้วยการควบคุมอัตราการไหลเวียนของอากาศที่ผ่านเข้าช่องและรูต่างๆ2.) ระบบกำจัดเชื้อ ณ ขาออก ใช้การติดตั้งแผ่นกรอง HEPA เพื่อกำจัดละอองที่มีอนุภาคขนาดใหญ่กว่า 300 nm และใช้ UVC/Ozone ในการฆ่าเชื้อ โดยแผ่นกรองนี้ผ่านการออกแบบให้ไม่มีส่วนสัมผัสกับผู้ใช้ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด3.) วงจรประมวลผลและบริหารจัดการ มีเซนเซอร์ตรวจวัดความดันลำโพง และไฟบอกสถานะที่ผู้ใช้สามารถมองเห็นได้ง่าย มีแหล่งกักเก็บพลังงานในตัว สามารถชาร์จได้ผ่านพอร์ต USB โดยใช้ไฟฟ้ากระแสตรงศักย์ต่ำ จึงมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง นวัตกรรมนี้ตอบโจทย์ความต้องการที่เร่งด่วนในสถานการณ์วิกฤตด้วยปรัชญาการออกแบบที่คำนึงถึง Speed & Scale เป็นอันดับแรกทำให้หน่วยงานทางด้านสาธารณสุข หน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไป สามารถนำแบบและอุปกรณ์ไปผลิตหมวกแรงดันลบได้ด้วยตัวเอง นอกจากนั้นด้วยตัวระบบกำจัดเชื้อและระบบควบคุมการทำงานที่มีต้นทุนในการผลิตไม่สูงนัก และใช้อุปกรณ์ที่สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก แม้จะผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปเรียบร้อยแล้ว ก็ยังนำหมวกแรงดันลบไปใช้ประโยชน์ในการควบคุมโรคติดต่อจากสารคัดหลั่งอื่นๆ และต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ การนำผลงานไปใช้งาน ติดต่อ: ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ และทีมวิจัยห้องปฏิบัติการทีมวิจัยเข็มระดับนาโนกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโนศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติเบอร์โทรศัพท์: 02 564 7100E-mail: paisan@nanotec.or.th
ผลงาน/นวัตกรรมรับมือโควิด-19
ผลงานวิจัยเด่น
ผลงานพร้อมถ่ายทอดของ สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
ดร.ธีรวัฒน์ วิวัฒน์พาณิชย์ ผู้พัฒนา ‘มดลูกจำลอง’ ครั้งแรกของไทย
เรียบเรียง: วัชราภรณ์ สนทนา
เมื่อ ‘อวัยะจำลอง’ หรือ ออร์แกนอยด์ (organoids) กำลังถูกจับตาในฐานะเทคโนโลยีอันน่าอัศจรรย์ที่จะเป็นความหวังในการไขกลไกการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงการรักษาและการพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพให้แก่คนทั้งโลก สิ่งที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน คือนักวิจัยชาวไทยสามารถพัฒนา ‘มดลูกจำลอง’ อวัยวะจิ๋วที่มีความเสมือนจริงเป็นครั้งแรกของประเทศไทยได้สำเร็จ
ดร.ธีรวัฒน์ วิวัฒน์พาณิชย์ คือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอวัยวะจำลอง จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโบวดินคอลเลจ (Bowdoin College) เมืองบรันส์วิค และปริญญาโท-เอก ในมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสต์เทิร์น (Northwestern University) เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา ภายใต้ทุนของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปัจจุบันคือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) ก่อนจะกลับมาเป็นนักวิจัยในทีมวิจัยการออกแบบและวิศวกรรมชีวโมเลกุลขั้นแนวหน้า ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
เขาเริ่มลงมือพัฒนาลำไส้จำลองครั้งแรก เมื่อครั้งศึกษางานวิจัยเรื่องความผิดปกติของยีนที่มีผลกระทบต่อการได้ยินและระบบลำไส้ในหนูทดลอง ก่อนจะสานต่องานวิจัยถึงผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของหนูเพศเมียด้วยการสร้างมดลูกจำลองในเวลาต่อมา ขณะนี้เตรียมเดินหน้าสร้างรกจำลองเชื่อมต่อกับมดลูกจำลอง เพื่อศึกษายับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสซิกาจากแม่สู่ลูก ซึ่งเป็น 1 ใน 5 โครงการใน TDR Global Crowdfunding Challenge Contest ขององค์การอนามัยโลก (WHO) และเป็นก้าวสำคัญสู่การสร้างระบบอวัยวะหรือกายจำลองเพื่อศึกษาการเกิดโรคและทดสอบยา
ทำไมถึงสนใจศึกษาด้านการพัฒนาอวัยวะจำลอง
เทคโนโลยีนี้ถือเป็นความก้าวหน้าของการวิจัยทางชีววิทยาและทางการแพทย์ ที่จะเข้ามาช่วยปลดล็อคข้อจำกัดในการศึกษากลไกการเกิดโรคและทดสอบยาต่างๆ เพราะที่ผ่านมาจะเป็นการศึกษาในสัตว์ทดลอง ซึ่งกำลังมีปัญหาในเรื่องของหลักจริยธรรม ทำให้มีความพยายามนำเซลล์สัตว์หรือมนุษย์มาเพาะเลี้ยงให้ห้องปฏิบัติการ แต่ว่าที่ผ่านมายังเป็นการเลี้ยงเซลล์จำลองแบบ 2 มิติ คือเป็นการเลี้ยงเซลล์เป็นแผ่นบางๆ อยู่ที่ก้นจานเลี้ยงเชื้อ จากนั้นเซลล์เหล่านี้จะถูกนำมาศึกษาทดสอบ เช่น กลไกการโรคเป็นอย่างไร ยามีพิษหรือมีผลต่อเซลล์หรือไม่ แต่ระยะหลังนักวิจัยทั่วโลกเริ่มทบทวนว่า ร่างกายของคนเราแทบไม่มีอะไรที่เป็น 2 มิติเลย เพราะขนาดผิวหนังยังมีหลายชั้น ดังนั้นอาจจะมีระบบอื่นที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น จึงนำมาสู่การพัฒนาเซลล์ในรูปแบบ 3 มิติ หรืออวัยวะจำลองซึ่งมีความใกล้เคียงกับอวัยวะจริงในร่างกายมากขึ้น และเมื่อมีการนำใปใช้ศึกษาก็พบว่ามีการตอบสนองที่ดีมากขึ้น ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญอย่างมากในอนาคต
อวัยวะจำลองที่พัฒนาขึ้นส่วนใหญ่มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
อวัยวะจำลองที่พัฒนาขึ้นส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนเซลล์ที่มาจากการเพาะเลี้ยงแบบ 3 มิติจนมีลักษณะและคุณสมบัติเสมือนหรือคล้ายกับอวัยวะจริงในร่างกาย เป็นอวัยวะจิ๋วที่มีรูปร่างคล้ายลูกบอล มีขนาดเล็กๆ ไม่ถึงเซนติเมตร เกิดจากเซลล์ที่มาเกาะรวมกันในลักษณะ 3 มิติ หากเข้าไปดูระบบภายใน เราจะเห็นเซลล์มีการจัดเรียงตัวที่ซับซ้อนมากขึ้น และมีการเรียงตัวเป็นชั้นๆ คล้ายกับอวัยวะจริง เพียงแต่รูปร่างหน้าตาและขนาดจะไม่ได้เหมือนกับอวัยวะจริงๆ ที่จะนำไปใช้ปลูกถ่ายอวัยวะได้ แต่ก็หวังว่างานในครั้งนี้จะเป็นก้าวแรกในการพัฒนาอวัยวะจำลองสำหรับปลูกถ่ายอวัยวะในผู้ป่วยได้จริงในอนาคตข้างหน้า
จุดเริ่มต้นในการพัฒนามดลูกจำลอง
ในช่วงที่เรียนปริญญาโท-เอก ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการได้ยินในหนูทดลอง ทั้งนี้ปกติคนทั่วไป เวลาเราอายุมากขึ้น ประสาทหูจะแย่ลง เราอยากรู้ว่ามีสาเหตุจากอะไร จึงทดลองทำให้หนูมีการกลายพันธุ์ของยีนชนิดหนึ่งซึ่งทำให้หนูสูญเสียการได้ยินตั้งแต่อายุน้อย ปรากฏว่ายีนดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการได้ยินเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการทำงานของระบบลำไส้และระบบสืบพันธุ์ของหนูตัวเมียด้วย แต่เนื่องจากต้องศึกษาวิจัยแตกแขนงในหลายหัวข้อ จึงเลือกศึกษาเกี่ยวกับความผิดปกติของระบบการได้ยินและการทำงานของลำไส้ในหนูทดลองก่อน ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เราได้ลงมือพัฒนาลำไส้จำลองของหนูเป็นครั้งแรก ส่วนหูไม่ได้ทำอวัยวะจำลองเพราะสามารถผ่าตัดนำหูชั้นในของหนูออกมาวิจัยได้เลย กระทั่งเมื่อเรียนจบปริญญาเอก อาจารย์ที่ปรึกษาท่านหนึ่งมาชวนให้วิจัยพัฒนาด้านมดลูกต่อ ช่วงนั้นเลยพยายามนำองค์ความรู้และเทคนิคต่างๆ ที่มีมาใช้เพาะเลี้ยงเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก กระทั่งสร้างมดลูกจำลองแบบสามมิติในห้องปฏิบัติการได้สำเร็จ
ความยากและท้าทายในการพัฒนามดลูกจำลอง
ยากมากเลย (หัวเราะ) เพราะเป็นศาสตร์ที่ค่อนข้างใหม่ เพิ่งมีการพัฒนาในช่วง 10 ปีหลังมานี้ เทคนิคการพัฒนาอวัยวะจำลองช่วงแรกๆ จะยากพอสมควร เราต้องดูว่าจะใส่สารอาหารชนิดไหน ฮอร์โมนแบบไหน โปรตีนชนิดใด เพื่อให้เซลล์ตอบสนองและมีการมาเกาะรวมตัวกัน รวมทั้งมีการเรียงตัวให้เหมือนอวัยวะจริง เช่น มดลูกซึ่งเป็นอวัยวะที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน เราต้องพยายามดูว่าจะใส่ฮอร์โมนชนิดใด ปริมาณเท่าไหร่ และต้องพยายามหาเทคนิคใหม่ๆ เพื่อเลี้ยงเซลล์ให้เจริญเติบโตได้และมีอัตราการรอดสูง ซึ่งกว่าจะได้เซลล์มดลูกจำลองแบบ 3มิติ ที่มีความสมบูรณ์เสมือนจริงต้องใช้ระยะเวลานานเกือบปี พอนำมาย้อมสีเซลล์ โดยย้อมเซลล์ผิวของเยื่อบุโพรงมดลูกให้เป็นสีม่วง ย้อมเซลล์ชั้นเนื้อให้เป็นสีน้ำเงินได้ ภาพแรกที่เห็นเป็นมดลูกจำลองที่มีความสวยงามมาก แล้วก็เหมือนของจริงมาก เพราะว่าเราก็มีตัวอย่างชิ้นเนื้อจริงๆ มาเทียบด้วย
หลังจากประสบความสำเร็จในการสร้างมดลูกจำลองแล้ว วางเป้าหมายต่อไปไว้อย่างไร
ก้าวต่อไปเราพยายามสร้างอวัยวะจำลองขึ้นมาหลายๆ อวัยวะ แล้วพยายามนำอวัยวะจำลองเหล่านี้มาเชื่อมต่อกันเพื่อลอกเลียนการทำงานของระบบอวัยวะในร่างกายมนุษย์มากขึ้น เพราะร่างกายคนเราประกอบด้วยระบบอวัยวะต่างๆ ที่ทำงานร่วมกัน เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหาร ระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น เราจึงพยายามสร้างอวัยวะจำลองต่างๆ มาทำงานร่วมกันเป็นระบบอวัยวะ เพื่อดูกลไกการเกิดโรค การติดเชื้อ หรือกลไกการออกฤทธิ์ของยา เช่น การสร้างอวัยวะจำลองตับกับลำไส้มาไว้ด้วยกันเพื่อทดสอบยา เพราะยาจะผ่านลำไส้ก่อนถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดแล้วไปที่ตับ โดยขณะนี้มีแผนทำโครงการวิจัยสร้างอวัยวะจำลองรกเพื่อทำงานร่วมกับมดลูกเพื่อศึกษากลไกการติดเชื้อไวรัสซิกาจากแม่สู่ทารกในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จะมีการสร้างระบบอวัยวะจำลองด้วย
ทำไมถึงพุ่งเป้าไปที่เชื้อไวรัสซิกา
ทุกวันนี้หลายประเทศทั่วโลกยังประสบปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งยังไม่มียารักษา และไม่มีวัคซีนป้องกัน ในขณะที่การติดเชื้อไวรัสซิกาในผู้ใหญ่ที่แข็งแรงจะไม่มีอาการรุนแรง หรืออาจไม่แสดงอาการออกมาเลยก็ได้ แต่สำหรับหญิงมีครรภ์หากได้รับเชื้อไวรัสซิกาอาจเป็นอันตราย และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อทารกที่จะเสียชีวิตในครรภ์ เสียชีวิตขณะแรกเกิด หรือมีปัญหาพัฒนาการทางสมอง โดยร้อยละ 20 ของทารก หรือทารกกว่า 3,700 คน ที่รับเชื้อซิกาจากแม่มีปัญหาพัฒนาการทางสมอง สำหรับประเทศไทยแม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ได้สูงมาก แต่งานวิจัยพบว่า ไทยมีประวัติการแพร่เชื้อไวรัสซิกาอย่างน้อย 16 ปีมาแล้ว โดยผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายติดเชื้อ ตรวจพบเชื้อถึง 21 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญคือเชื้อไวรัสซิกามีลักษณะทางพันธุกรรมใกล้เคียงกับเชื้อไวรัสเด็งกี่ที่ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออก และมีพาหะนำโรคคือยุงลายเช่นเดียวกับโรคไข้เลือดออก จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตไวรัสซิกาอาจแพร่ระบาดคล้ายกับไข้เลือดออกที่เป็นปัญหาหลักในไทย อีกทั้งตอนนี้ไบโอเทค สวทช. อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยเชื้อไวรัสซิกา แต่ยังไม่มีการศึกษาเรื่องการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก เราเห็นช่องว่างตรงนี้ จึงคิดว่าเทคโนโลยีการสร้างอวัยวะจำลองจะเป็นเครื่องมือที่มาช่วยได้
โครงการวิจัยฯ ดำเนินไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว
ปัจจุบันโครงการวิจัยนี้ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 โครงการ จาก 121 ผู้สมัครจาก 37 ประเทศ ที่ชนะ TDR Global Crowdfunding Challenge Contest ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งจัดตั้งเพื่อให้การสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับโรคติดต่อในเขตร้อน โดยทางองค์การอนามัยโลกได้ให้การรับรอง 5 โครงการที่ได้รับคัดเลือกเพื่อจัดตั้ง Crowdfunding for Science หรือการระดมทุนเพื่องานวิจัย รวมไปถึงการฝึกอบรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งทางทีมวิจัยได้ตั้งเป้าหมายงบประมาณในการดำเนินงานวิจัยเบื้องต้นไว้ที่ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 260,000 บาท โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการสนับสนุนโครงการสามารถร่วมบริจาคเงินให้กับโครงการได้ที่http://www.experiment.com/noZika4Baby ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม จนถึง 30 พฤศจิกายน 2563 เงินที่ระดมทุนได้จะนำไปใช้ในการสร้างระบบอวัยวะจำลองมดลูกและรกจากตัวอย่างเนื้อเยื่อคนไข้อาสาสมัคร เพื่อศึกษากระบวนการติดเชื้อไวรัสซิก้าในมดลูก ทดสอบแอนติบอดี้ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อซิก้า และการส่งต่อเชื้อจากแม่สู่ทารกในครรภ์
ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการวิจัยและการพัฒนาอวัยวะจำลอง
การศึกษาวิจัยครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเตรียมพร้อมรับมือการระบาดของโรคซิก้าไวรัสในประเทศไทยแล้ว เราสามารถนำผลงานวิจัยไปช่วยผู้ป่วยในประเทศที่ประสบปัญหา รวมถึงต่อยอดไปสู่การป้องกันโรคต่างๆ ที่มีการส่งผ่านจากแม่ไปสู่ทารกในครรภ์ได้ด้วย แต่ที่สำคัญคือโครงการนี้จะเป็นฐานในการสร้างระบบอวัยวะจำลองในห้องปฏิบัติการที่มีคุณสมบัติคล้ายกับร่างกายคนจริงมากขึ้น รวมทั้งช่วยยกระดับการวิจัยพัฒนาระบบอวัยวะจำลองของประเทศไทย เพราะในวงการวิจัยยังไม่มีใครสามารถสร้างมดลูกและรกที่ทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์ได้
ดังนั้นเราจะเป็นเจ้าแรกที่สร้างระบบอวัยวะจำลองสามมิติแบบนี้ขึ้นมา หากประสบความสำเร็จจะเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยให้เราศึกษาค้นพบกลไกการเกิดโรคพันธุกรรมต่างๆ อาทิ เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ( Endometriosis ), ผลกระทบจากโรคเบาหวานต่อมะเร็งและเนื้องอกมดลูก และแม้กระทั่งการศึกษาความเสี่ยงการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น สามารถทดสอบและพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่สั้นลง ช่วยลดการใช้สัตว์ทดลอง และลดความเสี่ยงในขั้นตอนการทดสอบในมนุษย์ เพราะอวัยวะจำลองมีความเหมือนมนุษย์มากที่สุดแล้ว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


