ผลการค้นหา :

สตาร์ตอัป ReLIFE พัฒนากระจกตาชีวภาพ ความหวังเปลี่ยนกระจกตาไม่ต้องรอรับบริจาค
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 (ท้ายบทความ)
ปัจจุบันมีผู้พิการทางสายตาทั่วโลกกว่า 10 ล้านคน กำลังเผชิญกับความยากลำบาก อันเนื่องมาจากการสูญเสียการมองเห็นด้วยอาการบาดเจ็บของกระจกตา หนทางเดียวในการรักษาคือการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา โดยอาศัยกระจกตาบริจาคจากผู้เสียชีวิต ทว่าผู้โชคดีที่จะได้รับโอกาสในการกลับมามองเห็นมีเพียง 15% เท่านั้น
เพื่อคืนแสงสว่างจากความมืดมิดให้แก่ผู้พิการทางสายตาจากโรคกระจกตา ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ นักวิจัยทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ไบโอเทค สวทช. และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด (ReLIFe Co., Ltd.) หนึ่งใน NSTDA Startup ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนา “กระจกตาชีวภาพจากจากสเต็มเซลล์ (Stem Cell)” เพื่อใช้ทดแทนกระจกตาบริจาค และลดความเสี่ยงจากการใช้กระจกตาจากผู้อื่นหรือวัสดุเทียม
กระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์
จุดเริ่มต้นในการวิจัยและพัฒนากระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ยุคที่นักวิจัยเริ่มพัฒนาอวัยวะเทียมกันอย่างแพร่หลาย แต่มีนักวิจัยน้อยคนที่จะสนใจวิจัยและพัฒนากระจกตาเทียม เพราะเชื่อว่าเป็นอวัยวะที่รอรับบริจาคได้
[caption id="attachment_34126" align="aligncenter" width="550"] ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ นักวิจัยทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ไบโอเทค สวทช. และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด (ReLIFe Co., Ltd.)[/caption]
ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ อธิบายว่า ตั้งแต่เริ่มต้นทำวิจัยเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ‘กระจกตาเทียม’ ยังคงเป็นที่ต้องการของหลายประเทศทั่วโลก เพราะในหลักการแล้ว แม้กระจกตาจะเป็นอวัยวะที่สามารถรับบริจาคได้ มีผลข้างเคียงต่ำ แต่ในทางปฏิบัติ การรับบริจาคเป็นเรื่องยากสำหรับประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการแพทย์ไม่พร้อม เนื่องจากกระจกตามีอายุสั้น หากมีการจัดเก็บจากผู้เสียชีวิตล่าช้าหรือจัดเก็บด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสมจะทำให้กระจกตาเสื่อมสภาพทันที และด้วยสาเหตุนี้แม้ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศจะไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนกระจกตา แต่ก็ไม่สามารถบริจาคไปช่วยเหลือประเทศที่มีความต้องการได้
[caption id="attachment_34122" align="aligncenter" width="650"] กระจกตา[/caption]
การพัฒนา “กระจกตาชีวภาพ” ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของทีมวิจัย ที่ไม่เพียงเป็นความหวังสร้างชีวิตใหม่ให้แก่ผู้เฝ้ารอรับบริจาคกระจกตา แต่ยังเป็นโอกาสในการบุกเบิกสร้างสรรค์นวัตกรรมกระจกตาชีวภาพรายแรกของโลก
ดร.ข้าว อธิบายว่า ตามธรรมชาติกระจกตาของมนุษย์จะมีลักษณะเป็นเจลลีที่เหนียว แข็งแรง ทนทาน เนื่องจากต้องรับแรงดึงจากการกระพริบหรือกรอกตาตลอดเวลา ความแข็งแรงนี้มาจากโครงสร้างภายในที่มีลักษณะเป็นเส้นใยสานกันแน่นเป็นตาข่าย 300-500 ชั้น ในการออกแบบกระบวนการผลิตกระจกตาชีวภาพ ทีมวิจัยจึงพยายามเลียนแบบลักษณะและโครงสร้างภายในกระจกตาเพื่อให้มีลักษณะใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด
[caption id="attachment_34123" align="aligncenter" width="650"] Fiber-reinforced hydrogel[/caption]
[caption id="attachment_34124" align="aligncenter" width="650"] Fiber-reinforced hydrogel[/caption]
“ทีมวิจัยได้พัฒนากระจกตาให้มีลักษณะเป็นเจลลีเสริมแรงเส้นใย ‘Fiber-reinforced hydrogel’ ผ่านกระบวนการปั่นเส้นใยด้วยไฟฟ้าแรงสูง (Electrospinning) เพื่อนำเจลลี่ที่มีลักษณะเหมือนกับกระจกตาของมนุษย์มาใช้เป็นโครงเลี้ยงสเต็มเซลล์ สำหรับนำไปผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้แก่คนไข้ หลังจากทั้งโครงเลี้ยงเซลล์และ สเต็มเซลล์ เข้าไปยึดติดบนดวงตาของคนไข้แล้ว Stem cell จะค่อยๆ กินโครงเลี้ยงเซลล์เป็นอาหารจนหมด และเติบโตขึ้นมาใหม่เป็นเซลล์กระจกตาตามธรรมชาติที่ลักษณะเหมือนกับโครงเลี้ยงเซลล์ทุกประการ ทำให้มีความปลอดภัยไม่เกิดการต่อต้านจากร่างกาย”
การเปลี่ยนกระจกตาโดยใช้กระจกตาชีวภาพทำให้ผู้ป่วยได้ใช้กระจกตาที่ใสเหมือนกระจกตาของเด็กแรกเกิด แตกต่างจากกระจกตาที่รับบริจาคซึ่งมีความขุ่นมัวตามอายุการใช้งานของผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ทีมวิจัยยังออกแบบการผลิตให้ผลิตได้ทั้งแบบใช้งานทั่วไปและแบบจำเพาะกับลักษณะลูกตาของคนไข้ได้ เหตุผลเหล่านี้ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่แม้แต่คนไข้ในประเทศที่มีกระจกตาบริจาคเพียงพอก็ยังไม่อาจปฏิเสธความสนใจในการใช้งานผลิตภัณฑ์นี้ได้
ดร.ข้าว เสริมว่า การวิจัยและพัฒนากระจกตาชีวภาพนี้นอกจากจะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทีมวิจัยและผู้บริหารของไบโอเทค สวทช. แล้ว ยังได้รับการสนับสนุนด้านการเก็บเซลล์กระจกตา การทดสอบในสัตว์ รวมถึงการทดสอบในมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากอาจารย์และบุคลากรคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ปัจจุบันการทดสอบอยู่ในขั้นตอนทดสอบในสัตว์ทดลองโดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการทดลองในสัตว์ทดลองครั้งนี้จะประสบความสำเร็จด้วยดี และสามารถทดสอบในมนุษย์ได้ภายในปีหน้า
Spin off สู่ Start-up บริษัท ReLIFE
จากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็น CEO จากวิศวกรทางการแพทย์คนหนึ่งที่ฝันอยากสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้คนไข้ได้ใช้ประโยชน์จริง เพื่อทำให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาก้าวข้ามทุกอุปสรรคจนประสบความสำเร็จขึ้นแท่นสู่การเป็นสตาร์ตอัป ในฐานะ CEO ของบริษัทรีไลฟ์ จำกัด ในปัจจุบัน
ดร.ข้าว เล่าว่า เมื่อตัดสินใจ Spin off ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการ และ ดร.นตพร จันทร์วราสุทธิ์ รองผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. ต่างให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ท่านทั้งสองเป็นผู้นัดหมายการนำเสนองานต่อนักลงทุนให้ ซึ่งผลตอบรับก็เป็นที่น่ายินดียิ่ง เพราะ ‘ผลงานการวิจัย’ และ ‘ตัวตนของทีมวิจัย’ มีศักยภาพและแรงดึงดูดมากพอที่คุณรักชัย เร่งสมบูรณ์ ผู้ก่อตั้งและผู้นำทีมวิศวกรรมบริษัทฟรุตต้า ไบโอเมด จำกัด จะร่วมลงทุนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน โดยบริษัทรีไลฟ์ จำกัด ได้รับทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่ 100 ล้านบาท สำหรับใช้สร้างโรงงานผลิตกระจกตาเทียมชีวภาพ
“สิ่งที่ทำให้คุณรักชัยเชื่อว่าเรามีศักยภาพมากพอ คือ เราทำให้เขาเห็นว่าผลงานนี้มีโอกาสทางธุรกิจมากขนาดไหน เป็นผลงานที่เป็น Blue ocean อย่างแท้จริง อีกสิ่งที่เราได้นำเสนอควบคู่กันไปแบบทางอ้อม คือ ตัวตนของเรา เราแสดงให้เขาเห็นถึงทัศนคติ ความมุ่งมั่นตั้งใจ ทักษะความสามารถในการบริหารงาน การทำธุรกิจ และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ก้าวต่อไปของบริษัทหลังจากการทดลองในมนุษย์ซึ่งคาดว่าจะเกิดในอนาคตอันใกล้นี้หากประสบความสำเร็จ ก็จะมีการระดมทุนครั้งต่อไปทันที”
ปัจจุบันบริษัทรีไลฟ์ จำกัด เดินหน้าทำการวิจัย พัฒนา และทดสอบ แบบเต็มกำลังแล้ว “ผลงานนี้จะเปลี่ยนโลก มอบชีวิตใหม่ให้แก่คนหลักสิบล้านคน จากที่คนไข้ไทยเคยต้องรอ 3 ปี 5 ปี ผมสัญญาว่าจะทำให้ต้องรอไม่เกิน 1 เดือน จากที่คุณใช้ชีวิตยากลำบาก คุณจะต้องกลับมามองเห็นได้และใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม และผมสัญญาว่าผมจะทำให้คนไทยได้ใช้กระจกตาเทียมชีวภาพในราคาที่ถูกที่สุดครับ” ดร.ข้าว นักวิจัยไบโอเทค และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าประทับใจ
ผลงานกระจกตาชีวภาพจากบริษัทรีไลฟ์ จำกัด เป็นส่วนหนึ่งของผลงานจาก 9 บริษัทสตาร์ตอัปที่เปิดตัวในงานแถลงข่าว “สวทช. ขยายงานวิจัยสู่โมเดลธุรกิจใหม่ 9 ดีปเทคสตาร์ตอัป” เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ติดตามผลงานจากบริษัทอื่นๆ ได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/news_post/pr-nstda-startup-2022/
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 : ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในสัตว์ทดลอง
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์, ไบโอเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ราคาวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรที่สูงมีผลต่อนักศึกษาอย่างไร
The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการสำรวจระดับชาติในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2019 เพื่อตอบคำถามดังข้างต้น
ในการสำรวจได้ถามนักศึกษาเกือบ 4,000 คน จาก 83 สถาบัน สิ่งที่พบหลัก คือ
1. นักศึกษาไม่ซื้อตำราเรียนที่ได้รับมอบหมาย ถึงแม้กังวลว่าจะมีผลต่อเกรด
66 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมด ไม่ซื้อหรือเช่าวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรในบางเวลาของการเป็นนักศึกษาเพราะราคา และที่จำเพาะมากขึ้น 63 เปอร์เซ็นต์ไม่ซื้อตำราเรียน เปรียบเทียบกับการสำรวจในปี 2014 ซึ่งพบ 65 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาไม่ซื้อหนังสือ
2. นักศึกษาไม่ซื้อรหัสการเข้าถึง (access codes) และยอมทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่เสร็จ
17 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมด ไม่ซื้อรหัสการเข้าถึง ถึงแม้ว่าจะมีเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าอย่างชัดเจนกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ไม่ซื้อวัสดุชนิดอื่น แต่การไม่ซื้อรหัสการเข้าถึงมีผลโดยตรงต่อเกรด เพราะถ้าไม่มี password เพื่อเข้าถึงงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งต้องการรหัสการเข้าถึง นักศึกษาไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้
3. นักศึกษาไม่ซื้อวัสดุถึงแม้กังวลว่าจะมีผลต่อเกรดโดยตรง
เมื่อถามว่านักศึกษารู้สึกกังวลหรือไม่ว่าไม่ซื้อวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรจะมีผลในเชิงลบต่อเกรด 90 เปอร์เซ็นต์ตอบว่ารู้สึกกังวลสำหรับตำราเรียนและ 92 เปอร์เซ็นต์รู้สึกกังวลสำหรับรหัสการเข้าถึง
4. ราคาตำราเรียนมีผลต่อความสามารถของนักศึกษาที่จะตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานและการจบการศึกษาตรงเวลา
- 22 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดให้ความสำคัญกับรหัสการเข้าถึงมากกว่าวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรรูปแบบอื่น ๆ
- 19 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดตัดสินใจชั้นเรียนไหนที่จะเข้าเรียนขึ้นอยู่กับราคาของวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร
- 7 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดเลิกเรียนถ้าไม่สามารถจ่ายเพื่อวัสดุ
- 3 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดสอบตกเนื่องจากไม่สามารถจ่ายสำหรับวัสดุที่ใช้ในการเรียน
ผลของราคาวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรขยายไปยังนอกชั้นเรียน
- 25 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดต้องทำงานพิเศษเพื่อจ่ายสำหรับวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร
- 11 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดไม่ซื้ออาหารเนื่องจากราคาวัสดุ
- 9 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดไม่ได้จ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
5. นักศึกษาไม่ตระหนักในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการใช้โดยบริษัทเทคโนโลยีการศึกษา
ได้มีการถามนักศึกษาให้คะแนนความเข้าใจต่อสำนักพิมพ์และบริษัทเทคโนโลยีการศึกษาใช้ข้อมูลนักศึกษาจาก 1-10 โดย 10 คือเข้าใจดีมากและสามารถอธิบายแก่คนอื่น ๆ ผลคือนักศึกษาให้คะแนนด้วยค่าเฉลี่ยคือ 2 แสดงว่าไม่ค่อยเข้าใจว่ารายละเอียดของนักศึกษาถูกใช้โดยสำนักพิมพ์และบริษัทเทคโนโลยีการศึกษาอย่างไร
สรุปจากการสำรวจ
วัสดุที่ใช้ในหลักสูตรเป็นอุปสรรคทางการเงินต่อความสำเร็จของนักศึกษา ราคาที่สูงมีผลมากกว่าเกรดขยายไปถึงความสามารถของนักศึกษาในการตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐาน การแก้ปัญหาโดยการใช้ตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากเพื่อรับประกันในเรื่องการประหยัด
คำแนะนำจากการสำรวจ
- สภานิติบัญญัติและสำนักงานการศึกษา ควรให้ทุนสำหรับโปรแกรมตำราเรียนแบบเปิดและฟรี และจำกัดการใช้รหัสการเข้าถึงและวัสดุเพื่อการค้าอื่น ๆ ที่มีผลต่อความสามารถในการจ่าย ความเสมอภาค และการเข้าถึงของนักศึกษา
- สถาบันอุดมศึกษาและระบบ ควรสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทุน, การพัฒนาและยอมรับทางอาชีพ เพื่อทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้เชี่ยวชาญในการนำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้และส่งงานออกภายใต้การอนุญาตแบบเปิด
- คณะ ควรพิจารณานำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้และคิดทบทวนก่อนให้รหัสการเข้าถึง ควรพิจารณาเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลนักศึกษา เมื่อมอบหมายวัสดุทางดิจิทัลหรือเครื่องมือ
- นักศึกษา ควรแต่ละคนสนับสนุนตำราเรียนแบบเปิด
- หน่วยงานและรัฐบาลนักศึกษา สามารถสนับสนุนที่ระดับท้องถิ่นในเรื่องนโยบาย ซึ่งสนับสนุนการนำตำราเรียนแบบเปิดมาใช้และคุ้มครองข้อมูลดิจิทัลของนักศึกษา
ที่มา: Cailyn Nagle and Kaitlyn Vitez (June 2020). Fixing the Broken Textbook Market: Second Edition. U.S. PIRG Education Fund. Retrieved June 20, 2022, from https://uspirg.org/sites/pirg/files/reports/Fixing-the-Broken-Textbook-Market_June-2020_v2.pdf
นานาสาระน่ารู้

อนุรักษ์ ‘พันธุ์ฟักทองไข่เน่า’ พืชอัตลักษณ์เมืองน่าน
“ไข่เน่า คือ ชื่อฟักทองพันธุ์ท้องถิ่นที่คนน่านปลูกกันรุ่นต่อรุ่นนานกว่า 3 ช่วงอายุคน ชื่อ ‘ไข่เน่า’ มีที่มาจาก ‘สีเขียวขี้ม้าแลคล้ายไข่เน่า’ ของเนื้อฟักทอง แม้สีไม่สวยแต่อร่อยกินได้ไม่มีเบื่อ เพราะเนื้อทั้งเหนียว หนึบ และหวานมันกำลังดี” ...คำบอกเล่าของ ฑิฆัมพร กองสอน ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ที่กล่าวถึงลักษณะเด่นของฟักทองพันธุ์พื้นเมืองน่านที่ได้รับการอนุรักษ์ไม่ให้สูญหาย และกำลังจะเป็นผลผลิตสำคัญที่สร้างรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้แก่ชุมชน ในงานเสวนา “ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า ความยั่งยืนทางพันธุกรรมของชุมชน” ภายใต้การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. (NAC 2022)
[caption id="attachment_33967" align="aligncenter" width="600"] ฑิฆัมพร กองสอน ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน[/caption]
ฑิฆัมพร กองสอน เล่าย้อนว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ชาวตำบลบัวใหญ่ จังหวัดน่าน มีแผนฟื้นฟูป่าน่านที่ขึ้นชื่อว่าเขาหัวโล้นให้กลับมาเขียวขจีอีกครั้ง เพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำที่ปลอดภัยให้คนในประเทศ รวมถึงปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรจากเคมีสู่อินทรีย์ โดยมีโจทย์สำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ชาวบ้านจะต้องสร้างรายได้มากพอที่จะเลี้ยงปากท้อง สามารถชำระหนี้ธนาคาร และหากเป็นไปได้ควรมีรายได้ทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี เพื่อให้ทำเกษตรอินทรีย์ต่อไปได้อย่างยั่งยืน
โจทย์ใหญ่อันแสนท้าทายได้ผลักดันให้พวกเขาเริ่มหันมาทำเกษตรอินทรีย์ และยกระดับการทำงานไปสู่ระดับจังหวัด จนเกิดเป็น “เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์น่าน” ในปี 2559 ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจำนวน 39 วิสาหกิจ จาก 27 ตำบล ใน 12 อำเภอของจังหวัดน่าน โดยตั้งธงร่วมกันปลูก “ฟักทองอินทรีย์” ให้เป็นพืชเศรษฐกิจอัตลักษณ์จังหวัดน่าน ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด, องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล-ประเทศไทย (WWF ประเทศไทย) และหน่วยงานพันธมิตร
ฑิฆัมพร เล่าว่า พืชเศรษฐกิจของจังหวัดน่านที่ตอบโจทย์การสร้างรายได้มากที่สุดคือ ‘ฟักทอง’ เพราะคนน่านมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการปลูกฟักทองพันธุ์การค้าเป็นทุนเดิม โดยสายพันธุ์ที่เหมาะต่อการนำมายกระดับมากที่สุดคือ ‘พันธุ์ไข่เน่า’ เพราะเป็นพันธุ์ท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และคนน่านนิยมรับประทาน รวมถึงผู้ประกอบการอย่างบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ก็ยอมรับในเรื่องรสชาติ พร้อมรับจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต และยังพร้อมช่วยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ฟักทองไข่เน่าด้วย
เตรียมความพร้อมให้ ‘ไข่เน่า’
แม้ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าจะขึ้นชื่อเรื่องรสชาติว่าไม่สองเป็นรองพันธุ์ไหน ทำให้มีชัยเรื่องการตลาด แต่ปัญหาสำคัญคือฟักทองไข่เน่าพันธุ์แท้เริ่มสูญหายและกลายพันธุ์มากขึ้น การปลูกให้ได้ผลผลิตที่มีลักษณะและรสชาติที่คงที่จึงเริ่มทำได้ยาก ไม่ต่างจาก ‘การเสี่ยงดวง’ ดังนั้นสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. จึงได้เข้ามาทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อยกระดับการผลิตฟักทองพันธุ์ไข่เน่าให้มีคุณภาพดี ได้ผลผลิตที่สม่ำเสมอ
[caption id="attachment_33968" align="aligncenter" width="600"] ณัฐวุฒิ ดำริห์ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช.[/caption]
ณัฐวุฒิ ดำริห์ นักวิชาการจาก สท. ของ สวทช. เล่าว่า ฟักทองเป็นพืชผสมข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติ การปลูกให้ได้ผลผลิตคงที่ เกษตรกรต้องมีความรู้ความเข้าใจในการควบคุมการผลิตตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ โดย สท. ได้รับการประสานจากบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้เข้ามาช่วยเหลือในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ทีมจึงได้ร่วมกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ทำวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้การใช้เทคโนโลยีการคัดเลือกและเก็บเมล็ดพันธุ์ การปลูก บริหารจัดการแปลง และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการแก่เกษตรกรในจังหวัด
[caption id="attachment_33959" align="aligncenter" width="600"] ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า[/caption]
[caption id="attachment_33966" align="aligncenter" width="600"] ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า[/caption]
ผลผลิตที่ดีต้องเริ่มต้นมาจากสายพันธุ์ที่ดี รศ. ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี อาจารย์จากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ร่วมกับตัวแทนเกษตรกรจากวิสาหกิจชุมชนและผู้ที่เกี่ยวข้องรวมกว่า 50 คน คัดเลือกสายพันธุ์ฟักทองไข่เน่า โดยนำฟักทองพันธุ์ไข่เน่าที่มีลักษณะแตกต่างกันจำนวน 19 ผล มาผ่าดูลักษณะเนื้อ นึ่ง และชิม พร้อมลงคะแนนคัดเลือกฟักทองที่มีลักษณะและรสชาติตรงตามพันธุ์ที่สุดเพื่อใช้เป็นแม่พันธุ์สำหรับพัฒนาสายพันธุ์ต่อไป
[caption id="attachment_33969" align="aligncenter" width="450"] รศ. ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี อาจารย์จากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา[/caption]
รศ. ดร.จานุลักษณ์ เล่าว่า ปัจจุบันฟักทองพันธุ์ไข่เน่ามีความกลายพันธุ์สูง จึงต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะพันธุ์ที่แน่ชัดก่อนนำมาวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ แล้วดำเนินการถ่ายทอดกระบวนการผลิตเมล็ดพันธุ์ให้อาสาสมัครของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยถ่ายทอดตั้งแต่วิธีการผลิตเมล็ดพันธุ์ไปจนถึงการบริหารจัดการแปลงเพื่อให้มีผลผลิตตลอดทั้งปี ร่นระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวจาก 150 วัน เหลือ 85-90 วัน ปลูกได้ 3 ฤดูกาลต่อปี ให้ผลผลิตมากว่าพันธุ์อื่นๆ ที่ปลูกอยู่เดิมร้อยละ 20-40 ปัจจุบันมีการทดลองปลูกและเก็บเกี่ยวไปแล้วมากกว่า 4 รอบ
“การทำวิจัยลักษณะของฟักทองพันธุ์ไข่เน่าไม่เพียงสำคัญต่อการผลิตเมล็ดพันธุ์ทางการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อการจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น เพื่อสงวนสิทธิ์การปรับปรุงพันธุ์ ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย ผลิตและจำหน่าย รวมถึงการส่งออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสิทธิ์ขาดในการยกระดับกระบวนการพัฒนาผลผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เป็นสมบัติของคนในจังหวัดน่านเท่านั้นด้วย ผลของสิทธิ์ขาดนี้จะนำไปสู่การสร้างรายได้และการอนุรักษ์สายพันธุ์ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนขอยื่นจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่นแล้ว และจะมีการยื่นจดทะเบียนคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications: GI) ต่อไปในอนาคต” รศ. ดร.จานุลักษณ์ เสริม
‘ไข่เน่า’ ลงเขาเข้าห้างแล้ว
ทุกวันนี้ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าไม่ได้เป็นของดีที่หารับประทานได้เฉพาะในเมืองน่าน เพราะปัจจุบันมีการขนส่งฟักทองพันธุ์ไข่เน่าคุณภาพกว่า 2.5 ตันต่อไร่ จากเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนฯ มาจำหน่ายในตลาดและห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศแล้ว นอกจากนี้เกษตรกรยังได้นำงานวิจัยมาแปรรูปผลผลิตฟักทองที่ไม่ผ่านเกณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์อย่างครบวบงจร
ฑิฆัมพร เล่าว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนจังหวัดน่านเริ่มจัดส่งผลฟักทองสดไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่างท็อปซูเปอร์มาร์เก็ตและตลาดจริงใจแล้ว โดยผลผลิตที่ไม่ตรงตามมาตรฐานการจำหน่ายผลสด เช่น มีรูปทรงที่ไม่สวยงามหรือมีขนาดไม่ตรงตามกำหนดจะนำมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้กระบวนการแปรรูปจากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และได้รับการสนับสนุนงบประมาณการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการจัดตั้งโรงงานแปรรูปที่ได้มาตรฐานจากบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด
“เนื้อฟักทองจะนำไปแปรรูปเป็นฟักทองผง ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ และต่อยอดเป็นอาหารสำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย นอกจากนี้ยังมีข้าวเกรียบฟักทอง แยมฟักทอง เส้นขนมจีนฟักทอง และน้ำมันเมล็ดฟักทอง ส่วนเศษที่เหลือจากการแปรรูปเกษตรกรจะนำไปหมักด้วยหัวเชื้อจุลินทรีย์เป็นฟักทองหมักสำหรับผสมในอาหารไก่ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าอาหารบำรุง และช่วยให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรงออกไข่ครบทุกตัว”
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์แปรรูปจากฟักทองพันธุ์ไข่เน่าบางผลิตภัณฑ์ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว และจะนำเข้าจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่อไป ผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์แปรรูปจากฟักทองพันธุ์ไข่เน่าสามารถติดตามได้ที่ Facebook ‘มะน้ำแก้ว by แม่ฑิ ผลิตภัณฑ์แปรรูปฟักทองอินทรีย์’
“ผลจากการร่วมศึกษา วิจัย และพัฒนา เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำอย่างเข้มแข็ง เริ่มส่งผลให้เกษตรกรในเครือข่ายมีรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว และยังส่งผลให้พื้นที่ป่าต้นน้ำของจังหวัดน่านได้รับการเยียวยาฟื้นคืนสู่พื้นที่สีเขียวอีกครั้งด้วย” ฑิฆัมพร กล่าวทิ้งท้ายอย่างภูมิใจในฐานะผู้นำการยกระดับการทำเกษตรอินทรีย์และผู้แทนเกษตรกรเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนจังหวัดน่าน
จากความร่วมมืออย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วนนำมาซึ่งการอนุรักษ์และสร้างมูลเพิ่มให้ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าแบบครบวงจรอย่างยั่งยืน ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาใช้พัฒนาการทำเกษตรตั้งแต่ฐานรากให้เข้มแข็ง เป็น Impact Value Chain ที่เป็นต้นแบบการยกระดับการทำเกษตรแก่ชุมชนในภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทยได้
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ
โมเดลเศรษฐกิจ BCG คือ โมเดลเศรษฐกิจใหม่ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ เครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยในปี 2564-2570 โดยโมเดลนี้จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไปพร้อมกัน ผ่านการนำข้อได้เปรียบด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม มายกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม โดยในระยะแรกมุ่งเน้น 4 สาขายุทธศาสตร์ ได้แก่ เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ และการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจหลักของประเทศ มีสัดส่วนใน GDP ถึงร้อยละ 21 และเกี่ยวข้องกับอาชีพและการจ้างงานของคนในประเทศมากกว่า 16.5 ล้านคน ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงาน การกระจายรายได้สู่ประชาชนทั่วประเทศตั้งแต่ระดับฐานราก ลดความเหลื่อมล้ำ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างทั่วถึงบนฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืน https://www.youtube.com/watch?v=HKVrXRyPxikในการนี้เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ให้แก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป กระตุ้นให้เกิดการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไปประยุกต์ใช้ในการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยงานพันธมิตรจึงได้จัด “โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ” ขึ้น เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ที่มีความรู้ความสามารถในการผลิตสื่อได้ร่วมสร้างสรรค์คลิปวิดีโอความยาว 30-60 วินาที (ไม่จำกัดเทคนิคการผลิต) สำหรับสื่อสารประเด็นเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (ไม่จำกัดขอบเขตเนื้อหา) ในรูปแบบที่สร้างสรรค์ เข้าใจง่าย และน่าสนใจ เพื่อใช้ในการสื่อสารสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายต่อไป
ภาพรวมการแข่งขัน
นักเรียน นิสิต และนักศึกษา ระดับมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่าที่สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการพร้อมส่งแนวคิดเนื้อหาและรูปแบบของสื่อที่จะนำเสนอ และ Storyboard หรือคลิปดราฟต์งาน ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ก.ค. 2565 คลิกเพื่อดาวน์โหลดใบสมัคร
ในรอบแรกคณะกรรมการจะคัดเลือกทีมที่มีข้อเสนอน่าสนใจมากที่สุด 20 ทีม เพื่อสนับสนุนเงินทุนจำนวน 10,000 บาท สำหรับผลิตสื่อจริงความยาว 30-60 วินาที เพื่อใช้แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นภายในเดือนสิงหาคม โดยมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการผลิตสื่อสมัยใหม่ของประเทศเป็นผู้ตัดสินผลการแข่งขัน และจะมีการจัดการแข่งขัน Popular Vote เพื่อเปิดให้ประชาชนร่วมโหวตคะแนนให้กับสื่อที่โดนใจมากที่สุด
ผลงานที่ชนะจะมีการนำไปใช้เผยแพร่เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวโมเดลเศรษฐกิจ BCG แก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่
ชิงเงินรางวัลพร้อมโล่และประกาศนียบัตร
รางวัลชนะเลิศ50,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง30,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัลชมเชย (3 รางวัล)10,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัล Popular Vote15,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
กำหนดการการแข่งขัน15 มิ.ย. - 10 ก.ค.รับสมัครผู้เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมเปิดให้จัดส่งแนวคิดของสื่อที่จะผลิต (Concept paper) และ Storyboard หรือคลิปดราฟต์งาน ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ก.ค. 2565 คลิกเพื่อดาวน์โหลดใบสมัครนับถอยหลังปิดรับสมัคร
Days Hours Minutes Seconds
ปิดรับสมัคร
21 ก.ค.แจ้งผลการผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย พร้อมข้อเสนอแนะในการพัฒนาสื่อและมอบงบประมาณในการผลิตสื่อ 10,000 บาท
21 ก.ค. - 11 ส.ค.ผู้เข้าแข่งขันดำเนินการผลิตสื่อให้เสร็จสมบูรณ์แล้วจัดส่งผลงานภายในวันที่ 11 ส.ค. 2565นับถอยหลังการจัดส่งผลงานรอบชิงชนะเลิศ
Days Hours Minutes Seconds
หมดเขตจัดส่งผลงาน
15-18 ส.ค.จัดการแข่งขัน Popular Vote ผ่านทางFacebook: BCG in Thailandนับถอยหลังการแข่งขัน Popular Vote
Days Hours Minutes Seconds
หมดเวลาลงคะแนน
20 ส.ค.งานประกาศผลรางวัล ถ่ายทอดสดทาง Facebook: BCG in Thailandหมายเหตุ: กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
รายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งขันเงื่อนไขในการสมัครเข้าร่วมเป็นนักเรียน นิสิต หรือนักศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาถึงระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า สามารถสมัครได้ทั้งแบบบุคคลและทีม ไม่จำกัดจำนวนสมาชิกในทีม
ประเภทของสื่อที่จะส่งเข้าร่วมแข่งขันคลิปวิดีโอความยาว 30-60 วินาที เพื่อสร้างการรับรู้หรือความตระหนักถึงความสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไม่จำกัดเนื้อหาและเทคนิคการผลิตสื่อ (อาทิ Film Production, 2D&3D Animation, Motion Graphic)
สิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันจะต้องส่งเพื่อสมัครเข้าร่วมกิจกรรมเอกสารอธิบายแนวคิดของสื่อที่จะผลิต เนื้อหาที่จะถ่ายทอด และเทคนิคที่จะใช้ในการผลิตสื่อ (Concept paper) ความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 หรือ 600 คำ พร้อม Storyboard หรือคลิปดราฟต์งาน โดยจัดส่งพร้อมการสมัครเข้าร่วมกิจกรรม คลิกเพื่อดาวน์โหลดใบสมัคร
เกณฑ์การตัดสินสัดส่วนการให้คะแนน เนื้อหาร้อยละ 40 ความคิดสร้างสรรค์ร้อยละ 30เทคนิค ความสวยงาม ความละเอียดและประณีตร้อยละ 30
การสนับสนุนในการผลิตสื่อหลังจากผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายโครงการจะให้คำแนะนำในการพัฒนางานต่อ พร้อมสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนางาน 10,000 บาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด งวดแรก 5,000 บาท หลังจากผ่านเข้ารอบ และงวดที่สอง 5,000 บาท หลังจากจัดส่งงานเพื่อแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ
สิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย จะต้องจัดส่งให้กับโครงการคลิปผลงานความยาว 30-60 วินาที ความละเอียด Full HD (1,920x1,080 pixels) โดยจัดส่งงานในรูปแบบลิงก์ YouTube แบบ Unlisted และอัปโหลดไฟล์วิดีโอนามสกุล MP4 เข้า Cloud Storage เช่น Google Drive (จะต้องจัดส่งทั้ง 2 รูปแบบ ภายในวันที่ 11 ส.ค. 2565 และเปิดให้ดาวน์โหลดได้จนถึงวันที่ 23 ก.ย. 2565)ชื่อคลิปผลงาน พร้อมคำโปรยแนะนำคลิปความยาวไม่เกิน 200 คำคลิปนำเสนอผลงานงานผลงานสำหรับให้คณะกรรมการพิจารณา ความยาวไม่เกิน 3 นาที (1 คลิป)หากไม่จัดส่งผลงานตามข้อเสนอเพื่อรับทุนพัฒนาสื่อ และตามเงื่อนไขที่ระบุข้างต้นภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้เข้าแข่งขันจะต้องคืนเงินสนับสนุนให้แก่โครงการ
เงื่อนไขในการผลิตสื่อผลงานจะต้องไม่เคยได้รับรางวัลจากโครงการอื่น ไม่คัดลอกหรือใช้สื่อที่ติดลิขสิทธิ์ประกอบในผลงาน ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์การใช้งานโปรแกรม หากตรวจพบการกระทำที่ผิดกฎหมายผู้พัฒนาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นในทุกกรณี และผลการตัดสินจะถือเป็นโมฆะผลงานเป็นของผู้พัฒนา โดยอนุญาตให้ สวทช. และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เผยแพร่ผลงานและพัฒนาต่อยอดผลงานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ประกาศนียบัตรผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย จะได้รับประกาศนียบัตรในงานประกาศผลรางวัล(หรือภายหลังงานประกาศผลรางวัล)
การเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัลผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย จะต้องเข้าร่วมหรือส่งตัวแทนเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัล (หากไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑลสามารถเข้าร่วมทางออนไลน์ได้) หากไม่สามารถมาเข้าร่วมได้จะต้องแจ้งเหตุผลที่เหมาะสมแก่คณะทำงานล่วงหน้าก่อนการจัดงานอย่างน้อย 3 วัน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCGรายละเอียดเพิ่มเติม : โมเดลเศรษฐกิจ BCG โลโก้สำหรับใช้ประกอบในคลิปหรืองานนำเสนอ : คลิกเพื่อดาวน์โหลด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่E-mail: bcghappystory@nstda.or.thFacebook Inbox: BCG in Thailand
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

ผลงานวิจัย สวทช. สู่เชิงพาณิชย์ ปีงบประมาณ 2564
ผลงานวิจัย สวทช. สู่เชิงพาณิชย์ ปีงบประมาณ 2564
Download
เอกสารเผยแพร่

เพิ่มมูลค่า ‘ผ้าทอทุ่งกุลาร้องไห้’ ย้อมติดสีไว ให้กลิ่นหอมดอกลำดวน
ทุ่งกุลาร้องไห้ไม่เพียงขึ้นชื่อเรื่องข้าวหอมมะลิที่นุ่มหอมไม่เหมือนใคร แต่ทุ่งราบกว้างใหญ่แห่งนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องของผ้าทอที่มีความวิจิตรงดงาม มีลวดลายการทอผ้าที่แตกต่างหลากหลายตามภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าที่เข้มแข็งของผู้คนจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ อีกทั้งกรรมวิธีการย้อมสีธรรมชาติยังเป็นมีความเป็นอัตลักษณ์ ดังเช่น ‘ผ้าทอเบญจศรี’ ของจังหวัดศรีสะเกษอันเลื่องชื่อ ที่นำวัตถุดิบสำคัญของจังหวัด 5 ชนิด ได้แก่ ผลมะเกลือ ดินปลูกทุเรียนภูเขาไฟ ดินทุ่งกุลา ใบลำดวน เปลือกไม้มะดัน มาใช้ย้อมสีผ้าให้มีสีสันหลากหลาย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ กระทรวง อว. มุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ขนทัพนักวิจัยลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ภายใต้กิจกรรม สวทช. เสริมแกร่งภูมิภาค ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG “ขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” เพื่อนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าไปต่อยอดพัฒนาฐานทุนอันเป็นจุดแข็งของทุ่งกุลาร้องไห้ให้สามารถสร้างมูลค่า สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศษฐกิจ BCG ที่มุ่งให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีรายได้พ้นความยากจน
[caption id="attachment_32937" align="aligncenter" width="600"] ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)[/caption]
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ทุ่งกุลาร้องไห้เวลานี้ไม่ร้องไห้แล้ว แต่เป็นกุลาม่วนชื่น ซึ่งประชาชนมีความเข้มแข็งในการสร้างอาชีพในพื้นถิ่นของตนเองจากฐานทุนทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์มาช้านาน ประกอบกับกระทรวง อว. ได้นำงานวิจัยและนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ้าทอในพื้นที่ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเอนไซม์เอนอีซ (ENZease) สารชีวภาพที่ผลิตได้จากเชื้อจุลินทรีย์ทดแทนการใช้สารเคมี ที่ช่วยทำความสะอาดเส้นใย และเพิ่มประสิทธิภาพการติดสีธรรมชาติได้ดีขึ้น ทำให้ลดเวลาการย้อมสีและลดต้นทุนในการฟอกย้อมรวมทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังได้นำนาโนเทคโนโลยีเพิ่มสมบัติพิเศษให้ผ้าทอมีกลิ่นหอมของดอกลำดวน ดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ เพิ่มอัตลักษณ์ให้แก่ผ้าทอเบญจศรีของดีศรีสะเกษให้พิเศษเพิ่มขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อเย็บมือผ้าไหมลายลูกแก้ว ย้อมมะเกลืออบสมุนไพรบ้านเมืองหลวง อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งแหล่งผลิตผ้าไหมที่ได้รับการส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผ้าทอด้วยนวัตกรรม ผ้าไหมลายลูกแก้วแห่งนี้โดดเด่นด้วยผ้าทอที่ย้อมสีดำธรรมชาติด้วยมะเกลือที่มีความเงางาม แต่กว่าผ้าจะมีสีดำสนิทต้องใช้เวลามากกว่า 1-2 เดือน เพราะภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวอีสานใต้กว่าจะได้ผ้าทอสีดำขลับต้องย้อมซ้ำหลายครั้งและใช้เวลานาน
[caption id="attachment_32942" align="aligncenter" width="600"] นางฉลวย ชูศรีสัตยา ประธานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาหม่อนไหมผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง (ซ้าย)[/caption]
นางฉลวย ชูศรีสัตยา ประธานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาหม่อนไหมผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง กล่าวว่า แต่ก่อนใช้ระยะเวลายาวนานในการย้อมผ้า ก็คิดว่าทำอย่างไรจะลดเวลาในการย้อมผ้าได้บ้าง กระทั่งทางนักวิชาการและนักวิจัยจาก สวทช. ได้เข้ามาส่งเสริมการใช้ ‘เอนไซม์เอนอีซ’ ก็ถือว่าได้ผลดี ช่วยลดระยะเวลา ลดขั้นตอน ที่สำคัญผ้าที่ได้ยังติดสีสม่ำเสมอ สีผ้ามีความเข้ม และเงางาม เพิ่มโอกาสในการขายผ้าทอได้มากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ได้นวัตกรรมตัวใหม่มาเสริมกับภูมิปัญญา
“จากเดิมย้อมผ้าด้วยมะเกลือซึ่งให้สีดำกว่าจะย้อมผ้าได้สีดำสนิทต้องจุ่มผ้ากับมะเกลือแล้วก็เอาไปตาก ทำแบบนี้สลับไปเรื่อยๆ ใช้เวลากว่า 2 เดือน พอมาใช้เอนไซม์เอนอีซในการทำความสะอาดผ้าก่อนการย้อม ก็ช่วยให้การย้อมผ้าติดสีไวดีขึ้น จากต้องตากถึง 60 แดด 300 จุ่ม เหลือแค่ 30 แดด ประมาณ 1 เดือน”
เช่นเดียวกับ กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการถักทอผ้าไหมลายลูกแก้วและผ้าทอเบญจศรี ซึ่งผ้าทอแห่งนี้ไม่เพียงใช้เอนไซม์เอนอีซในการย้อมผ้า แต่ยังเตรียมนำนาโนเทคโนโลยีมาเพิ่มความนุ่มลื่น และกลิ่นหอมของดอกลำดวน ให้ผ้าทอด้วย
[caption id="attachment_32943" align="aligncenter" width="600"] สิทธิศักดิ์ ศรีแก้ว ประธานกลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง (กลาง)[/caption]
สิทธิศักดิ์ ศรีแก้ว ประธานกลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง กล่าวว่า กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้างเป็นทายาทหม่อนไหมรุ่นที่ 4 ผ้าทอที่ทำจะเป็นผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติจากวัตถุดิบในจังหวัดศรีสะเกษ เช่น ดอกลำดวน มะเกลือ ไม้มะดัน แต่ก่อนจะย้อมตามวิถีชาวบ้าน บางครั้งสีที่ได้ก็ไม่สม่ำเสมอ ใช้เวลานาน แต่กระทรวง อว. และ สวทช. ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนเอนไซม์เอนอีซ ทำให้ผ้าไหมติดสีดี ติดทน อีกทั้งไม่มีสารเคมีที่มาทำลายคุณภาพเส้นไหม ทำให้ผ้าไหมที่ได้มีความนุ่มเงา ถูกใจลูกค้ามาก
“นอกจากนั้นแล้วอัตลักษณ์ที่สำคัญ คือ ศรีสะเกษ เป็นเมืองดอกลำดวนบาน กระทรวง อว. ยังได้เข้ามาช่วยพัฒนาเรื่องกลิ่นหอมให้ผ้าทอ โดยใช้นาโนเทคโนโลยีมาเคลือบกลิ่นดอกลำดวนไว้บนผ้า ทำให้เวลาเราสวมใส่ เราสัมผัส หรือเวลาเดิน ผ้าจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลำดวนด้วย ถือเป็นอีกอรรถรสหนึ่งที่ช่วยเพิ่มมูลค่าผ้าทอเบญจศรีของดีศรีสะเกษได้ดียิ่งขึ้น”
[caption id="attachment_32945" align="aligncenter" width="600"] ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า การทำงานในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ตนอยากฝากนักวิจัย นักวิชาการและคณาจารย์ไว้กับเกษตรกรชาวบ้านในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ ให้มองพวกเขาเป็นลูกหลานแล้วทำงานด้วยกัน เพื่อนำสิ่งดีๆ เข้ามาในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ แล้วเปลี่ยนสิ่งที่ทำไม่ได้ ให้ทำได้ต่อไป
นับเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยผสมผสานภูมิปัญญา พัฒนาผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ ให้มีเสน่ห์และคงความเป็นอัตลักษณ์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

หนังสือ OpenOffice.org Impress
คู่มือการสร้างสื่อนำเสนอคุณภาพด้วย OpenOffice.org Impress ฉบับนี้จัดทำขึ้นมาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้โปรแกรมเปิดเผยรหัสต้นฉบับ หรือโอเพนซอร์สซอฟต์แวร์ อันเป็นโปรแกรมที่มีคุณค่าและความสำคัญอย่างมากในวงการ ไอซีทีของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ทุกๆองค์กร ทุกๆ คนมีส่วนร่วมในการใช้งานไอซีทีที่ปลอดภัย ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น ซึ่งสอดรับแนวทางการใช้ไอซีทีอย่างมีคุณธรรม เละจริยธรรมอย่างแท้จริง ถือเป็นก้าวสำคัญของการใช้คอมพิวเตอร์ของคนไทย เพราะเป็นการใช้ผลงานของคนไทยที่เป็นการต่อยอคจากโปรแกรมเปิดเผยรหัสค้นฉบับอันมีชื่อเสียงทั่วโลก
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดอ่านออนไลน์รูปแบบ e-Book Filp
เอกสารเผยแพร่

หนังสือหลักแนวปฏิบัติการจัดการจดหมายเหตุ
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2532 มีประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เรื่อง การแบ่งส่วนราชการ ในมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ข้อ 7 กำหนดให้มีหน่วยจดหมายเหตุมหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานของฝ่ายบริการสนเทศ เป็นส่วนราชการหนึ่งของสำนักบรรณสารสนเทศซึ่งทำหน้าที่เป็นห้องสมุดของมหาวิทยาลัย นับแต่นั้นมาได้เริ่มต้นดำเนินงานด้านจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยครอบคลุมทั้งงานด้านเทคนิคและบริการเผยแพร่สารสนเทศจดหมายเหตุ และมีพัฒนาการมาโดยลำดับ เป็นหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลเอกสารราชการของหน่วยงานในมหาวิทยาลัยที่สิ้นกระแสการใช้งานแล้วที่มีคุณค่าสะท้อนถึงประวัติความเป็นมา พัฒนาการและเรื่องราวสำคัญของมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดอ่านออนไลน์รูปแบบ e-Book Filp
เอกสารเผยแพร่

หนังสือคู่มือการใช้งาน OpenOffice.org
ความต้องการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดทำระบบงานสำนักงาน มีความจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน มีการเลือกใช้คอมพิวเตอร์ และซอฟด์แวร์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำงาน ให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของหน่วยงาน อย่างไรก็ตามการลงทุนเกี๋ยวกับคอมพิวเตอร์ และซอฟด์แวร์ นับเป็นภาระอย่างหนึ่งของหน่วยงาน เนื่องจากต้องลงทุนด้วยมูลค้ำสูง การลงทุนเกี่ยวกับไอทีในหน่วยงาน จึงต้องพิจารณาอย่างถี่อ้วน หลายๆ หน่วยงานเลี่ยงไม่ได้กับการลงทุนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เละฮาร์คแวร์ต่างๆ แด่ในปัจจุบันการลงทุนเกี่ยวกับซอฟต์แวร์บริหารจัดการงานสำนักงาน มีทางเลือกที่ดีขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนาซอฟต์วร์รหัสเปิด ซึ่งเปิดให้ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดอ่านออนไลน์รูปแบบ e-Book Filp
เอกสารเผยแพร่

หนังสือข้อกำหนดการพัฒนาสื่อดิจิทัลที่มีคุณภาพ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3
การจัดทำสื่อคิจิทัลที่ผ่านมามักจะเน้นการใช้งานโปรแกรมมากกว่าการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรฐานการสร้าง การแลกเปลี่ยนข้อมูล และ การเข้ากัน ได้เมื่อนำสื่อดิจิทัลไปใช้งาน ส่งผลให้เกิดปัญหาหลากหลายตามมาจำนวนมาก เสียทั้งงบประมาณ กำลังที่ต้องทำงานซ้ำช้อน รวมทั้งอาจจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลในอนาคดฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ตระหนักถึงความสำคัญของมาตรฐานสื่อดิจิทัล จึงได้นำประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง จากการวิจัย แปลงเป็นความรู้ในรูปแบบเอกสารเล่มนี้ เพื่อเป็นจุดตั้งต้นสำหรับทุกท่านทุกหน่วยงานได้ร่วมกันกำหนดแนวทาง แนวปฏิบัติ ข้อกำหนด หรือมาตรฐานการพัฒนา การใช้งานสื่อดิจิทัลภายในหน่วยงานของท่านต่อไป
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดอ่านออนไลน์รูปแบบ e-Book Filp
เอกสารเผยแพร่

หนังสือการพัฒนาคลังเอกสารดิจิทัลด้วย Drupal
เมื่อพูดถึงการพัฒนาคลังเอกสารดิจิทัลอย่าง IR หรือ Institutional Repositpry หลายๆ ที่ มักจะนึกถึงซอฟต์แวร์อย่าง DSpace และมีการเลือกใช้ DSpace มาใช้งานกันหลายหน่วย อย่างไรก็ดีประเด็นหนึ่งที่ผู้ใช้ DSpace มักจะไม่พูดถึงกันมากก็คือ ความยุ่งยาก ซับซ้อนในการติดตั้ง การปรับแต่งระบบให้ตรงกับความต้องการของหน่วยงานเป็นอะไรที่สุดยอดของความ "หิน" พอสมควร เนื่องจากหลากหลายสาเหตุ STKS จึงได้ศึกษาดูว่ามีซอฟต์แวร์ใดอีกบ้างที่น่าจะนำมาพัฒนา IR ได้ โดยมีความสามารถไม่แตกต่างจาก DSpace อันได้แก่ การลงรายการโดยผู้ใช้ มีระบบอนุมัติตามสิทธิ์ สนับสนุนการเชื่อมข้อมูลด้วย Protocol OAI-PMH
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดอ่านออนไลน์รูปแบบ e-Book Filp
เอกสารเผยแพร่

ตำราเรียนแบบเปิด (open textbook) สามารถช่วยแก้ปัญหาที่มีมูลค่าระดับพันล้านดอลลาร์
เพื่อจะลดค่าใช้จ่ายของนักศึกษาขณะนี้และในอนาคต ต้องแยกจากตลาดตำราเรียนแบบดั้งเดิมและส่งออกวัสดุการศึกษาผ่านรูปแบบทางเลือกใหม่
การศึกษาครั้งนี้วิเคราะห์ศักยภาพของตำราเรียนแบบเปิดและการอนุญาตแบบเปิดในการเป็นทางเลือกใหม่
อย่างย่อ ตำราเรียนแบบเปิดเป็นตำราเรียนที่ถูกเขียนโดยคณะ และถูกทบทวนโดยผู้มีความรู้ในสาขาวิชานั้น ๆ ถูกเผยแพร่ภายใต้การอนุญาตแบบเปิด หมายความว่าตำราเรียนแบบเปิดมีให้ฟรีออนไลน์ ดาวน์โหลดได้ฟรี และถ้าอยู่ในรูปสั่งพิมพ์ออกมามีค่าใช้จ่าย 10-40 ดอลลาร์ หรือประมาณค่าใช้จ่ายในการสั่งพิมพ์
การศึกษาครั้งนี้ได้ทบทวนข้อมูลที่รวบรวมได้จากโปรแกรมนำร่องของมหาวิทยาลัยที่แตกต่างกัน 5 โปรแกรม ซึ่งสนับสนุนคณะให้แทนที่ตำราเรียนแบบดั้งเดิมสำหรับหลักสูตรด้วยคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (Open Educational Resources, OER) และตำราเรียนแบบเปิด
สิ่งที่พบจากการศึกษา
จากการวิเคราะห์โปรแกรมนำร่องบ่งชี้ว่านักศึกษาประหยัด 128 ดอลลาร์ต่อหลักสูตร ด้วยตำราเรียนแบบดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยตำราเรียนแบบเปิด
โดยคาดการณ์การประหยัดของนักศึกษาเฉลี่ยและประยุกต์ใช้กับประชากรนักศึกษาที่ใหญ่กว่า สามารถทำนายว่าตำราเรียนแบบเปิดสามารถประหยัดมากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์แต่ละปี
นอกจากนี้ โดยเปรียบเทียบการลงทุนทั้งหมดและเงินที่ใช้ระหว่างโปรแกรมนำร่องกับการประหยัดทั้งหมดโดยนักศึกษา ซึ่งเป็นผลของโครงการ สามารถสรุปว่าการลงทุนในตำราเรียนแบบเปิดมีผลตอบแทนจากการลงทุนแบบ exponential ในการประหยัดของนักศึกษา
สรุปจากการศึกษา
ตำราเรียนแบบเปิดให้ผลประโยชน์ที่ชัดเจนกว่าตำราเรียนแบบดั้งเดิม
อย่างแรก ตำราเรียนแบบเปิดทำให้นักศึกษาประหยัดอย่างมาก ด้วยสามารถเข้าถึงฟรีออนไลน์ ดาวน์โหลดและพิมพ์ด้วยตนเองฟรี และรูปสั่งพิมพ์ออกมามีให้ที่ประมาณค่าใช้จ่ายในการสั่งพิมพ์ ตำราเรียนแบบเปิดสามารถทำให้นักศึกษาประหยัดพันล้านดอลลาร์แต่ละปี
อย่างที่สอง ตำราเรียนแบบเปิดให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ไม่น่าเชื่อ หลายโปรแกรมที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินประหยัดหนึ่งดอลลาร์สำหรับทุกดอลลาร์ที่ใช้ ผลตอบแทนจากการลงทุนของตำราเรียนแบบเปิดเป็นแบบ exponential
คำแนะนำจากการศึกษา
สถาบันและผู้ถือผลประโยชน์ร่วมทั้งหมดในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยควรให้ความสนใจมากขึ้นกับการแก้ปัญหาของราคาตำราเรียนที่สูง และให้อย่างมีประสิทธิภาพการฝึกอบรมและทรัพยากรที่คณะต้องการเพื่อเปลี่ยนชั้นเรียนให้ใช้ตำราเรียนแบบเปิด
ที่มา: Ethan Senack (February 2015). Open textbooks: The Billion-Dollar Solution. The Student PIRGs. Retrieved May 2, 2022, from https://studentpirgs.org/2015/02/24/open-textbooks-billion-dollar-solution/
นานาสาระน่ารู้