ผลการค้นหา :
ผลของการริเริ่ม OER (open educational resource) ต่อความตระหนักและการนำ OER มาใช้ของคณะ
ได้ให้ 4,339 คณะ และ 1,431 หัวหน้าภาคของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาตอบคำถามที่ใช้ในการสำรวจ สิ่งที่พบ คือ
1. คณะซึ่งรายงานว่ามีความตระหนักของการริเริ่ม OER ในสถาบันแสดงว่ามีระดับที่สูงกว่ามากของความตระหนัก OER กว่าคณะที่ไม่มีความตระหนักของการริเริ่ม OER
จากผู้ตอบว่ามีความตระหนักของการริเริ่ม OER 41% ตอบว่าตระหนัก OER มาก, 28% ตอบว่าตระหนัก และ 8% ตอบว่าค่อนข้างตระหนัก ในทางตรงข้าม คณะซึ่งไม่ตระหนักของการริเริ่ม OER ที่สถาบัน 10% ตอบว่าตระหนัก OER มาก, 17% ตอบว่าตระหนัก และ 13% ตอบว่าค่อนข้างตระหนัก
2. คณะซึ่งมีความตระหนักของการริเริ่ม OER เป็นไปได้มากกว่ามากที่จะเป็นผู้นำ OER ไปใช้ เป็นจริงทั้งคณะที่สอนหลักสูตรระดับเบื้องต้นและประชาชนทั่วไปของคณะ
คณะที่สอนหลักสูตรระดับเบื้องต้นที่มีความตระหนักของการริเริ่ม OER มี 43% นำ OER มาใช้ ในขณะที่คณะที่สอนหลักสูตรระดับเบื้องต้นที่ไม่ตระหนักของการริเริ่ม OER มี 15% นำ OER มาใช้ ส่วนประชาชนทั่วไปของคณะที่มีความตระหนักของการริเริ่ม OER มี 33% นำ OER มาใช้ ในขณะที่ประชาชนทั่วไปของคณะที่ไม่ตระหนักของการริเริ่ม OER มี 8% นำ OER มาใช้
3. คณะซึ่งไม่กำลังใช้วัสดุ OER ถูกถามเกี่ยวกับการใช้ OER ในอีก 3 ปีข้างหน้า
8% ของคณะ รายงานว่าจะกำลังใช้ OER ในอีก 3 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่ของผู้ตอบคำถาม (34%) บอกว่าอาจพิจารณานำ OER ไปใช้ 27% บอกว่าจะพิจารณาใช้ OER และ 11% ยังคงไม่สนใจในการนำ OER ไปใช้ ถัดมา 21% ของผู้ตอบคำถาม บอกว่าไม่มีความคิดเห็นหรือไม่รู้ว่าจะนำ OER ไปใช้หรือไม่
สรุป
การริเริ่ม OER ที่ระดับสูง (สถาบัน, ระบบ, รัฐ) มีผลต่อการนำ OER ไปใช้ มีการนำ OER ไปใช้เพิ่มขึ้น ด้วยคณะแสดงระดับที่เพิ่มขึ้นของความตระหนักของ OER ปีต่อปีเป็นเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ความตระหนักของ OER เช่น OER คืออะไร และประโยชน์และข้อเสียของ OER ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการขยายของการนำ OER ไปใช้ คณะจำนวนมากยังคงไม่ตระหนักหรือค่อนข้างตระหนัก OER
อย่างไรก็ตามเมื่อคณะมีความตระหนักของการริเริ่ม OER ที่สถาบัน มีการเพิ่มขึ้นของความตระหนัก OER และการนำ OER ไปใช้ทั้งในอนาคต โดยสรุปการริเริ่มที่นำคณะไปสู่คุณค่าของ OER คณะแสดงความโน้มเอียงที่จะใช้ OER เป็นทางเลือกใหม่แทนทรัพยากรเพื่อการค้าแบบดั้งเดิม
ที่มา: Tanya Spilovoy, Jeff Seaman and Nate Ralph (2020). The Impact of OER Initiatives on Faculty Selection of Classroom Materials. WCET and Bay View Analytics. Retrieved June 21, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/impactofoerinitiatives.pdf
นานาสาระน่ารู้
มีการใช้รหัสการเข้าถึง (access codes) ในชั้นเรียนของวิทยาลัยแพร่หลายมากน้อยแค่ไหน
The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการวิเคราะห์วัสดุที่ใช้ในหลักสูตรที่ได้รับมอบหมายจาก 99 หลักสูตรที่แตกต่างกันของ 10 สถาบันที่แตกต่างกัน เพื่อตอบคำถามข้างต้น สิ่งที่พบหลัก คือ
1. จากทุกสถาบันมีหลักสูตร 32% ต้องการรหัสการเข้าถึง
2. ราคาเฉลี่ยของรหัสการเข้าถึงที่ขายเดี่ยว คือ ไม่รวมกับตำราเรียนหรือวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรรูปแบบต่าง ๆ เท่ากับ 100.24 ดอลลาร์ ที่ร้านขายหนังสือของสถาบัน
3. ในร้านขายหนังสือ มีเพียง 28% ของรหัสการเข้าถึงอยู่ในรูปแบบไม่รวมกับวัสดุอื่น แม้แต่เมื่อได้มาโดยตรงจากสำนักพิมพ์ มีเพียง 56% ของรหัสการเข้าถึงที่ถูกต้องการทั้งหมดอยู่ในรูปแบบไม่รวมกับวัสดุอื่น
4. เมื่อซื้อรหัสการเข้าถึงจาก third party retailers ไม่ใช่สำนักพิมพ์ นักศึกษาประหยัดน้อยกว่า 4 ดอลลาร์ โดยเฉลี่ย และจ่าย 12.45 ดอลลาร์ มากกว่าโดยเฉลี่ยกว่าการซื้อโดยตรงจากร้านหนังสือของวิทยาเขต
สรุป
รหัสการเข้าถึงเป็นแนวโน้มที่น่าตกใจสำหรับนักศึกษา สำนักพิมพ์ตำราเรียนขนาดใหญ่ได้ประโยชน์จากวิกฤตของตลาดตำราเรียนเป็นเวลา 10 ปี การเพิ่มขึ้นของทางเลือกใหม่ทำให้ต้องพิจารณารูปแบบธุรกิจ แต่โต้ตอบด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งไม่ดีต่อนักศึกษากว่าตำราเรียนที่ถูกสั่งพิมพ์แบบดั้งเดิม
- โดยทำให้รหัสการเข้าถึงใช้ได้เพียงครั้งเดียวและเฉพาะสำหรับนักศึกษาแต่ละคน สำนักพิมพ์กำจัดความสามารถของนักศึกษาที่จะแบ่งปันกับเพื่อน หรือยืมจากห้องสมุดถ้าไม่มีเงินที่จะซื้อ
- โดยสร้างรหัสการเข้าถึงซึ่งรวมการบ้านและการทดสอบ สำนักพิมพ์ควบคุม 100% นักศึกษาให้ซื้อผลิตภัณฑ์และกำจัดความสามารถของนักศึกษาในการไม่เลือก
- โดยการเปลี่ยนไปเป็นวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรที่เป็นดิจิทัล สำนักพิมพ์มีความสามารถในการกำจัดการจัดหาให้ที่มากเกินไปซึ่งสามารถนำไปสู่ตลาดหนังสือใช้แล้ว
จากลักษณะเหล่านี้ สำนักพิมพ์ได้สร้างตลาดที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ, เป็นอิสระ ปราศจากการป้องกันสำหรับนักศึกษา
ที่มา: Senack et al. (September 2016). Access denied the new face of the textbook monopoly. The Student PIRGs. Retrieved June 21, 2022, from https://studentpirgs.org/2016/09/21/access-denied/
นานาสาระน่ารู้
กรอบการเรียนรู้ของ OECD ในปี 2030 (OECD Learning Framework 2030)
กรอบการเรียนรู้ถูกสร้างขึ้นโดยเกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วนเพื่อโครงการการศึกษาในปี 2030 ของ OECD (OECD Education 2030 project) เข็มทิศการเรียนรู้ (learning compass) ที่แสดงในรูป ทำให้เห็นคนวัยหนุ่มสาวสามารถนำทางชีวิตและโลกได้อย่างไร แนวคิดของ competency บอกว่ามากกว่าเพียงการได้มาของ knowledge และ skills เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของ knowledge, skills, attitudes และ values เพื่อตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อน
โครงการการศึกษาในปี 2030 ของ OECD ได้บ่งชี้ 3 ประเภทของ competencies (Transformative Competencies) ได้แก่ 1. Creating new value, 2. Reconciling tensions and dilemmas และ 3. Taking responsibility Transformative competencies เหล่านี้เป็นเรื่องซับซ้อน โดยแต่ละ competency เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันอย่างซับซ้อน
ดังนั้นกรอบการเรียนรู้ของ OECD ในปี 2030 สรุปแนวคิดที่ซับซ้อน คือ การเคลื่อนที่ของ knowledge, skills, attitudes และ values ผ่านกระบวนการของ reflection, anticipation และ action เพื่อพัฒนา competencies ที่เกี่ยวข้องกันที่จำเป็นสำหรับการมีส่วนร่วมกับโลก
เพื่อให้แน่ใจว่ากรอบการเรียนรู้สามารถปฏิบัติได้ ผู้ถือผลประโยชน์ร่วมในโครงการการศึกษาในปี 2030 ของ OECD ได้ทำงานร่วมกันเพื่อแปล transformative competencies และแนวคิดหลักอื่น ๆ เป็น constructs ที่จำเพาะชุดหนึ่ง (ตัวอย่างเช่น creativity, critical thinking, responsibility, resilience, collaboration) เพื่อว่าครูและผู้นำโรงเรียนสามารถรวมเข้าไปในหลักสูตรได้ดีกว่า
ที่มา: OECD (2018). The future of education and skills Education 2030. Retrieved July 8, 2022, from https://www.oecd.org/education/2030-project/contact/E2030%20Position%20Paper%20(05.04.2018).pdf
นานาสาระน่ารู้
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิด (open textbook)
ตำราเรียนแบบเปิดเป็นทางเลือกใหม่ของตำราเรียนแบบดั้งเดิม ซึ่งสามารถทำให้นักศึกษาประหยัดเงินและทำให้ประสบการณ์การศึกษาดีขึ้น
ตำราเรียนแบบเปิดถูกเขียนโดยคณะเหมือนตำราเรียนแบบดั้งเดิม ยกเว้นผู้แต่งเผยแพร่ภายใต้การอนุญาตแบบเปิด นอกจากนี้ตำราเรียนแบบเปิดมีให้ฟรีออนไลน์และเสียค่าใช้จ่ายไม่แพงเมื่อต้องการพิมพ์ออกมา สมาชิกของคณะแต่ละคนสามารถปรับตำราเรียนแบบเปิดเพื่อให้เหมาะสมกับชั้นเรียน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิด
1. ไม่มีหนทางที่ง่ายกว่าที่ทำให้นักศึกษาประหยัดเงินสำหรับตำราเรียนใช่ไหม
คำตอบ: หนังสือที่ใช้แล้ว, การเช่าหนังสือ และโปรแกรมอื่น ๆ สามารถช่วยได้ แต่ตำราเรียนแบบเปิดเป็นหนทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อประหยัดเงินสำหรับนักศึกษา
2. เชื่อได้อย่างไรว่าตำราเรียนแบบเปิดมีคุณภาพสูง
คำตอบ: ขณะนี้มีให้ตำราเรียนแบบเปิดที่มีคุณภาพสูงจำนวนมาก เขียนโดยผู้นำในสาขา, peer-reviewed และถูกออกแบบแบบมืออาชีพ นอกจากนี้นักศึกษาจำนวนมากพบว่า OER (open educational resource, ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด) มีประสิทธิภาพเหมือนหรือมากกว่าหนังสือแบบดั้งเดิม
3. ใครเขียนตำราเรียนแบบเปิด ได้รับการจ่ายอย่างไร
คำตอบ: มีหลายบริษัทตำราเรียนแบบเปิดซึ่งทำตามกระบวนการที่จำเพาะของการแต่ง แก้ไข และตีพิมพ์หนังสือ ในกรณีอื่น ๆ ผู้แต่งหรือทีมผู้แต่งได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิ, มหาวิทยาลัย หรือรัฐบาล
4. ตำราเรียนแบบเปิดเหมือน e-books ใช่ไหม
คำตอบ: ไม่ ทั้งสองเป็นดิจิทัลและสามารถถูกใช้บน laptops, tablets และ smartphones ถึงอย่างไรก็ตาม e-books ยังคงมีราคาค่อนข้างแพงและมีข้อเสียหลายอย่าง เช่น การเข้าถึงซึ่งหมดอายุและมีข้อจำกัดในการสั่งพิมพ์ ในทางตรงข้ามตำราเรียนแบบเปิดมีให้ฟรีออนไลน์ ไม่มีการหมดอายุ และไม่มีข้อจำกัดในการสั่งพิมพ์
5. เป็นเรื่องถูกกฎหมายในการแบ่งปันและดัดแปลงตำราเรียนแบบเปิดใช่ไหม
คำตอบ: การอนุญาตแบบเปิดส่วนใหญ่ยอมให้ผู้สอนดัดแปลงหรือแก้ไขเนื้อหาของหนังสือ ถึงแม้ผู้แต่งมีทางเลือกที่จะรักษาไว้สิทธิ์อื่น ๆ ที่แน่นอนสำหรับตัวเอง ในกรณีใดก็ตามผู้แต่งต้นฉบับควรจะอย่างน้อยที่สุดถูกอ้างอิงสำหรับผลงาน
6. สามารถได้รับหนังสือซึ่งกำลังใช้เป็นตำราเรียนแบบเปิดใช่ไหม
คำตอบ: ถ้าหนังสือที่กำลังใช้ถูกตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์หลัก คำตอบคือ น่าจะไม่ สำนักพิมพ์แบบดั้งเดิมขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะขายหนังสือเพื่อผลกำไรที่ดี
7. สามารถเขียนตำราเรียนแบบเปิดของตนเองถ้าต้องการใช่ไหม
คำตอบ: ใช่ มีหลายมูลนิธิ, รัฐ, บริษัท และสถาบันซึ่งจะจ่ายให้อาจารย์เพื่อเขียนตำราเรียนแบบเปิด อาจารย์สามารถแม้แต่ตีพิมพ์ด้วยตัวเองตำราเรียนแบบเปิดโดยปล่อยออกภายใต้การอนุญาตแบบเปิด
ที่มา: The Open Textbook Alliance. Open Textbooks Guide. Retrieved June 21, 2022, from https://studentpirgs.org/resources/open-textbooks-guide/
นานาสาระน่ารู้
วิธีสนับสนุนทำให้สามารถจ่ายได้สำหรับตำราเรียน
The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการศึกษาใน 40 วิทยาลัยที่ไม่แสวงหากำไรทั้งที่เป็นของรัฐและเอกชน และเป็น 2 ปีและ 4 ปี เพื่อระบุวิธีสนับสนุนทำให้สามารถจ่ายได้สำหรับตำราเรียน สิ่งที่พบหลัก คือ
1. เมื่อสำนักพิมพ์ผูกตำราเรียนเข้ากับรหัสการเข้าถึง ทำให้หมดโอกาสสำหรับนักศึกษาจ่ายน้อยลงด้วยตลาดหนังสือใช้แล้ว
จากการผูกตำราเรียนเข้ากับรหัสการเข้าถึงในตัวอย่างที่ศึกษา ทำให้ 45 เปอร์เซ็นต์หรือเกือบครึ่งหนึ่งไม่มีให้จากแหล่งอื่น ๆ ยกเว้นร้านหนังสือของวิทยาเขต ทำให้นักศึกษาไม่สามารถซื้อจากที่อื่นหมายความว่านักศึกษาต้องจ่ายราคาเต็มสำหรับวัสดุเหล่านี้ สำหรับชั้นเรียนที่ใช้วัสดุที่มีการผูกเข้าด้วยกัน นักศึกษาต้องจ่ายราคาเต็ม ในขณะที่สำหรับชั้นเรียนที่ใช้ตำราเรียนเพียงอย่างเดียว นักศึกษาสามารถลดค่าใช้จ่ายถึง 58 เปอร์เซ็นต์โดยการซื้อตำราเรียนที่ใช้แล้วออนไลน์
2. วิทยาลัยซึ่งลงทุนในทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (open educational resources, OER) ทำให้นักศึกษาประหยัดอย่างมาก
OER คือวัสดุที่ใช้ในการศึกษาซึ่งสามารถดาวน์โหลดหรือเข้าถึงได้ฟรีออนไลน์ และยังมีประโยชน์อื่น ๆ มากมายสำหรับนักศึกษาและอาจารย์ ตัวอย่างเช่น ใน Massachusetts การใช้ OER ของ Greenfield Community College ใน 3 จาก 6 หลักสูตรในการศึกษานี้ทำให้นักศึกษาใช้ 31 ดอลลาร์ต่อหลักสูตรเพื่อจ่ายสำหรับวัสดุ เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยระดับชาติที่ 153 ดอลลาร์ต่อหลักสูตร
3. การเปลี่ยน 10 ชั้นเรียนแนะนำเบื้องต้นในการศึกษานี้ไปเป็น OER จะทำให้นักศึกษาประหยัดเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในการจ่ายสำหรับวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร
คำแนะนำจากการศึกษา
- วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย
ควรจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับคณะเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนไปใช้ตำราเรียนแบบเปิด นอกจากนี้ควรรวบรวมผู้มีผลประโยชน์ร่วมในสภาความสามารถในการจ่ายได้สำหรับตำราเรียนเพื่ออภิปรายเกี่ยวกับการใช้ OER, ให้ทุนเพื่อสนับสนุนโปรแกรม OER หรือจ้างเจ้าหน้าที่ของห้องสมุดเพื่อขับเคลื่อนโปรแกรมซึ่งสร้างวัฒนธรรมในวิทยาเขตสนับสนุนการศึกษาแบบเปิด
- คณะ
ตรวจสอบตำราเรียนซึ่งเป็นของรัฐและคลัง OER ของสถาบัน เช่น the Open Textbook Library หรือ the OER Commons, ใช้เนื้อหาแบบเปิดหรือเป็น public domain ในซอฟต์แวร์การจัดการการเรียนรู้ของวิทยาลัยแทนที่รหัสหรือตำราเรียนที่มีราคาแพง และถามคณะอื่น ๆ ว่าจะแนะนำวัสดุแบบเปิดอะไร
- นักศึกษา
ปฏิบัติในระดับไหนเท่าที่สามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นประธานของรัฐบาลนักศึกษาเพื่อทำงานในการสนับสนุนให้มีตำราเรียนที่สามารถจ่ายได้มากขึ้น คุยกับอาจารย์เกี่ยวกับการทำให้เป็นแบบเปิด, ทำงานกับรัฐบาลนักศึกษาเพื่อให้มีการประชุมเพื่อแก้ปัญหาสำหรับโปรแกรมให้ทุน OER หรือทำให้สโมสรสนับสนุนตำราเรียนที่สามารถจ่ายได้
- ผู้จัดทำนโยบาย
ผลักดันเพื่อตำราเรียนฟรีนอกจากเพิ่มความช่วยเหลือนักศึกษา, ส่งเสริมกฎหมายซึ่งจะกระตุ้นการนำ OER มาใช้หรือสนับสนุนความโปร่งใสกับการกำหนดหลักสูตร และใช้ platform เพื่อทำให้เกิดความตระหนักเกี่ยวกับการแก้ปัญหาตลาดตำราเรียนที่วิกฤต ที่สำคัญที่สุดที่ระดับสหพันธรัฐ ผู้จัดทำนโยบายต้องทดสอบการปฏิบัติของการผูกเข้าด้วยกันและเพิ่มประสิทธิภาพประเด็นกฎหมายซึ่งทำให้นักศึกษาซื้อวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรในมากกว่าหนึ่งเหตุผล และเป็นหนึ่งหน่วยมากกว่าการผูกเข้าด้วยกัน นอกจากนี้นโยบายระดับสหพันธรัฐควรแก้ปัญหาการหมดอายุที่มีลักษณะจำกัดและลักษณะการใช้ครั้งเดียวของรหัสการเข้าถึงออนไลน์
ที่มา: Kaitlyn Vitez (January 25, 2018). Open 101 an action plan for affordable textbooks. The Student PIRGs. Retrieved June 21, 2022, from https://studentpirgs.org/2018/01/25/open-101-action-plan-affordable-textbooks/
นานาสาระน่ารู้
ข้อมูล Biomarker จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด
การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Medicine & Biopharmaceuticals ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการวินิจฉัย รักษาแบบแม่นยำ และการแพทย์ขั้นก้าวหน้า เพิ่มศักยภาพบริการและอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ และความมั่นคงด้านสาธารณสุข โดยเทคโนโลยีหนึ่งที่ใช้ในการดำเนินงาน คือ Biomarker
จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเทคโนโลยี Biomarker (คำค้น biomarker จากเขตข้อมูล Title, Abstract, Keyword ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 2 มิถุนายน 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี Biomarker เฉพาะของประเทศไทยจำนวน 2,623 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 848 รายการ รองลงมา คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 749 รายการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 308 รายการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 304 รายการ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 170 รายการ สำหรับ สวทช. อยู่อันดับที่ 6 จำนวน 118 รายการ นอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Biomarker ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel
Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)
ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel | www.mintel.com
ภาพที่ 2 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Biomarker : Health care, Beauty care, Personal care, Skincare, Vitamins & dietary supplement
nanomaterial-based heart attack sensor แบบสวมใส่ เพื่อตรวจสอบ biomarker สุขภาพหัวใจที่สำคัญและคาดการณ์อาการหัวใจวาย
อุปกรณ์วินิจฉัยโรค COVID-19 และโรคอื่นๆ จากตัวอย่างลมหายใจ 10 วินาที
AI app และเครื่องมือวินิจฉัยตนเองแบบออนไลน์สามารถกระตุ้นให้ผู้คนขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าและนอนไม่หลับผิดปกติ การตรวจจับตั้งแต่เนิ่นๆ จะเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ และยังสามารถช่วยหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุบนท้องถนนและข้อผิดพลาดของมนุษย์ในที่ทำงานได้อีกด้วย
การใช้เทคโนโลยี AI และเทคโนโลยีเสียง เพื่อทำความเข้าใจสภาพร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้นโดยใช้เสียงเป็น biomarker
Biomarker-based services ใช้การตรวจเลือดเพื่อประเมินความต้องการสารอาหารแบบเรียลไทม์มากขึ้น
อุปกรณ์สวมใส่ได้ที่ให้ข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับองค์ประกอบต่างๆ ของสุขภาพ เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมทางกายภาพและ biomarker ในเชิงลึก สำหรับการสามารถให้คำแนะนำส่วนบุคคล
app ที่ใช้สภาวะของจิต AI วิทยาศาสตร์ และพฤติกรรมมนุษย์ เชื่อมสัมพันธ์ร่างกายกายและใจ ข้อมูล AI และ GPS ช่วยให้สามารถจับ และ mining ข้อมูลได้ ข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมทางกายภาพและ biological markers ในเชิงลึก
ภาพที่ 3 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Biomarker
เซรั่มปกป้องการเปลี่ยนสีผิว เพิ่มความกระจ่างให้กับผิวที่สว่าง สีผิวสม่ำเสมอยิ่งขึ้น และลดรอยดำ
เจลลด 12 สัญญาณแห่งวัย ด้วยเทคโนโลยีออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มพลังงานให้ผิวและต่อสู้กับสัญญาณแห่งวัย
เซรั่มยับยั้ง biomarker รับผิดชอบต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม
น้ำมันปลาแซลมอนนอร์เวย์อ้างว่ามีประสิทธิภาพในการลด biomarkers ที่เลือกซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยสนับสนุนสอง markers ของกระดูกอ่อนและสุขภาพข้อต่อที่มี CRP ซึ่งเป็นเครื่องหมายสำคัญของการอักเสบและ CIIC ซึ่งเป็น biomarker ของสุขภาพกระดูกอ่อน
ภาพที่ 4 Biomarker Trendscape
ภาพที่ 4 แสดงภาพแนวโน้มเรื่อง Biomarker ในหลากหลายเรื่อง เช่น Technology และที่น่าสนใจคือสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับผู้คน ในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดี (Wellbeing) สอดคล้องกับรายงานวิเคราะห์เรื่อง แนวโน้มผู้บริโภคทั่วโลกปี 2030 ของ Mintel (2030 Global Consumer Trends : 7 core drivers of consumer behaviour that will shape global markets over the next 10 years) ที่ 1 ใน 7 เรื่องนั้น คือ Wellbeing
ภาพที่ 5 2030 Global Consumer Trends
ภาพที่ 5 รายงานเรื่อง 2030 Global Cosumer Trends จัดทำและวิเคราะห์ข้อมูลโดย Mintel
สารสนเทศวิเคราะห์
การสำรวจนักศึกษาเกี่ยวกับความสามารถในการจ่ายสำหรับตำราเรียนและการช่วยเหลือทางการเงิน
The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการสำรวจในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2015 โดยได้สอบถามนักศึกษาเกือบ 5,000 คน จาก 132 สถาบัน ใน 25 รัฐ สิ่งที่พบ คือ
1. จำนวนนักศึกษาที่สำคัญใช้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อซื้อตำราเรียนและวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร
การสำรวจได้ถามนักศึกษาว่าได้ใช้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อจ่ายสำหรับตำราเรียนหรือไม่ จากในคำถามนี้ ความช่วยเหลือทางการเงินคือ เงินทุน (grants), ทุนการศึกษา (scholarships) หรือเงินกู้ยืม (loans) ไม่รวมเงินที่ได้จากพ่อแม่หรือครอบครัว
29.7 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาตอบว่าใช้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อจ่ายสำหรับตำราเรียน ถ้าใช้กับผู้ลงทะเบียนเรียนระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา หมายความว่ามากกว่านักศึกษา 5.2 ล้านคนใช้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อซื้อตำราเรียน
2. นักศึกษาใช้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อจ่ายส่วนใหญ่สำหรับตำราเรียน
จากข้อ 1 รู้ว่า 29.7 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาตอบว่าใช้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อจ่ายสำหรับตำราเรียน เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะหาคำตอบว่านักศึกษาใช้ความช่วยเหลือทางการเงินมากน้อยแค่ไหน โดยถามนักศึกษาให้ตอบเป็นปริมาณการจ่ายสำหรับตำราเรียนของความช่วยเหลือทางการเงิน ทั้งในเรื่องเงินดอลลาร์ที่ใช้และเปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายสำหรับตำราเรียนทั้งหมดต่อภาคการศึกษา
สำหรับนักศึกษาซึ่งใช้ความช่วยเหลือทางการเงิน 70 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายของตำราเรียนทั้งหมดพึ่งความช่วยเหลือทางการเงินโดยเฉลี่ย และใช้ความช่วยเหลือทางการเงินโดยเฉลี่ยมากกว่า 300 ดอลลาร์ต่อภาคการศึกษา เพื่อซื้อตำราเรียน
3. ราคาตำราเรียนที่สูงมีผลต่อนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชน (community college)
เมื่อพิจารณาโดยชนิดของวิทยาลัย พบว่าเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่าของนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชนใช้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อซื้อตำราเรียน สำหรับนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชนที่ใช้ความช่วยเหลือทางการเงิน 65 เปอร์เซ็นต์ พูดว่าใช้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายตำราเรียนทั้งหมด เปรียบเทียบกับเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ ของโรงเรียน 4 ปี
และโดยเฉลี่ยนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชนที่ใช้ความช่วยเหลือทางการเงินใช้ 347 ดอลลาร์ของความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับจ่ายเพื่อตำราเรียน เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของ 290 ดอลลาร์ของโรงเรียนรัฐ 4 ปี
สรุปจากการสำราจ
ราคาตำราเรียนที่สูงต้องการผู้จัดทำนโยบายดำเนินการในทุกระดับเพื่อสนับสนุนทางเลือกใหม่แทนการตีพิมพ์ในระบบดั้งเดิม
มีการให้ความสนใจอย่างมากกับวัสดุที่ใช้ในการศึกษาที่ได้รับอนุญาตแบบเปิด โดยเฉพาะตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) เป็นทางเลือกของการตีพิมพ์แบบดั้งเดิม ในทางตรงข้ามโดยตรงกับสำนักพิมพ์แบบดั้งเดิม ซึ่งควบคุมอย่างเคร่งครัดทุกด้านของการเข้าถึงและการใช้ตำราเรียนและวัสดุ ตำราเรียนแบบเปิดมีให้ใช้ฟรีออนไลน์ ฟรีเพื่อการดาวน์โหลดและสามารถสั่งพิมพ์ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง
The Student PIRGs เคยมีรายงานแสดงว่าตำราเรียนแบบเปิดทำให้นักศึกษาประหยัดเงินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคทางสภาพแวดล้อมและนโยบายทำให้การพัฒนาและการนำไปใช้ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดเป็นไปอย่างช้า
คำแนะนำจากการสำรวจ
- สถาบัน
เหมาะสมมากสำหรับการเป็นเจ้าของในการแก้ปัญหาราคาตำราเรียนที่สูง โดยห้องสมุดและเจ้าหน้าที่สนับสนุน สถาบันมีโครงสร้างพื้นฐานที่จะจัดให้มีการฝึกอบรมและการพัฒนาทางอาชีพสำหรับคณะเกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิด และมีทรัพยากรที่จะสนับสนุนคณะที่สนใจในการพัฒนา การปรับใช้ หรือสร้างวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรที่ได้รับอนุญาตแบบเปิด
- คณะ ควร
1. สำรวจตำราเรียนแบบเปิดที่มีอยู่ผ่าน the Open Textbook Library (open.umn.edu/opentextbooks) หรือ OpenStax (openstaxcollege.org)
2. ทำให้เนื้อหาที่ได้รับอนุญาตแบบเปิดเข้าไปอยู่ในวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร
3. พิจารณาตีพิมพ์วัสดุที่ได้รับการพัฒนาภายใต้การอนุญาตแบบเปิด
4. เป็นผู้แต่งตำราเรียนแบบเปิด
5. สนับสนุนการพัฒนาทางอาชีพเกี่ยวกับวัสดุที่ได้รับอนุญาตแบบเปิดสำหรับเพื่อนร่วมงานถึงผู้บริหารวิทยาเขต
6. สนับสนุน OER (Open educational resource) แก่คณะอื่น ๆ และสนับสนุนคณะอื่น ๆ เพื่อใช้ OER ในหลักสูตร
- ผู้จัดทำนโยบายและผู้บัญญัติกฎหมาย
ผู้จัดทำนโยบายสนับสนุนผู้มีผลประโยชน์ร่วมในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในรัฐหรือเมืองเพื่อดำเนินการในเรื่องราคาตำราเรียนที่สูงและส่งออกโปรแกรมที่สนับสนุนการนำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้ นอกจากนี้ผู้จัดทำนโยบายยังสามารถสนับสนุนความพยายามที่จะสร้างตลาดที่สมดุลโดยลงทุนในการสนับสนุนเกี่ยวกับโปรแกรมเพื่อคณะหรือสถาบันซึ่งกำลังเปลี่ยนไปเป็นตำราเรียนแบบเปิด
- นักศึกษา ควร
1. เข้าร่วมหรือสร้างหน่วยงานที่สนับสนุนเพื่อการแก้ปัญหาความสามารถในการจ่ายเพื่อตำราเรียนแบบสมาร์ท
2. บอกให้ผู้นำรัฐบาลนักศึกษาทำให้ผู้บริหารวิทยาเขตเข้าไปมีส่วนในนโบายสนับสนุนตำราเรียนแบบเปิดและทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดในวิทยาเขต
3. พบกับอาจารย์เกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิดและทำให้อาจารย์รู้จักกับทรัพยากร เช่น the Open Textbook Library หรือ OpenStax
4. ทำให้บรรณารักษ์และเจ้าหน้าที่สนับสนุนเป็นแหล่งของผู้ชนะเลิศความรู้และการอนุญาตแบบเปิด
- สำนักพิมพ์ ควร
1. สนับสนุนการพัฒนาวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรที่ได้รับอนุญาตแบบเปิดและการใช้ซึ่งส่งออกตำราเรียนที่มีราคาไม่แพงหรือฟรีให้นักศึกษา
2. จัดการปัญหาของนักศึกษาเกี่ยวกับรหัสการเข้าถึงและข้อจำกัดการใช้ที่ไม่เหมาะสมอื่น ๆ
3. ร่วมมือกับผู้ให้บริการตำราเรียนแบบเปิดเพื่อให้มีวัสดุเสริมราคาไม่แพง
ที่มา: Ethan Senack and Robert Donoghue (February 2016). Covering the cost: why we can no longer afford to ignore high textbook prices. The Student PIRGs. Retrieved June 21, 2022, from https://studentpirgs.org/2016/02/03/covering-cost/
นานาสาระน่ารู้
สตาร์ตอัป ReLIFE พัฒนากระจกตาชีวภาพ ความหวังเปลี่ยนกระจกตาไม่ต้องรอรับบริจาค
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 (ท้ายบทความ)
ปัจจุบันมีผู้พิการทางสายตาทั่วโลกกว่า 10 ล้านคน กำลังเผชิญกับความยากลำบาก อันเนื่องมาจากการสูญเสียการมองเห็นด้วยอาการบาดเจ็บของกระจกตา หนทางเดียวในการรักษาคือการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา โดยอาศัยกระจกตาบริจาคจากผู้เสียชีวิต ทว่าผู้โชคดีที่จะได้รับโอกาสในการกลับมามองเห็นมีเพียง 15% เท่านั้น
เพื่อคืนแสงสว่างจากความมืดมิดให้แก่ผู้พิการทางสายตาจากโรคกระจกตา ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ นักวิจัยทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ไบโอเทค สวทช. และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด (ReLIFe Co., Ltd.) หนึ่งใน NSTDA Startup ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนา “กระจกตาชีวภาพจากจากสเต็มเซลล์ (Stem Cell)” เพื่อใช้ทดแทนกระจกตาบริจาค และลดความเสี่ยงจากการใช้กระจกตาจากผู้อื่นหรือวัสดุเทียม
กระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์
จุดเริ่มต้นในการวิจัยและพัฒนากระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ยุคที่นักวิจัยเริ่มพัฒนาอวัยวะเทียมกันอย่างแพร่หลาย แต่มีนักวิจัยน้อยคนที่จะสนใจวิจัยและพัฒนากระจกตาเทียม เพราะเชื่อว่าเป็นอวัยวะที่รอรับบริจาคได้
[caption id="attachment_34126" align="aligncenter" width="550"] ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ นักวิจัยทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ไบโอเทค สวทช. และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด (ReLIFe Co., Ltd.)[/caption]
ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ อธิบายว่า ตั้งแต่เริ่มต้นทำวิจัยเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ‘กระจกตาเทียม’ ยังคงเป็นที่ต้องการของหลายประเทศทั่วโลก เพราะในหลักการแล้ว แม้กระจกตาจะเป็นอวัยวะที่สามารถรับบริจาคได้ มีผลข้างเคียงต่ำ แต่ในทางปฏิบัติ การรับบริจาคเป็นเรื่องยากสำหรับประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการแพทย์ไม่พร้อม เนื่องจากกระจกตามีอายุสั้น หากมีการจัดเก็บจากผู้เสียชีวิตล่าช้าหรือจัดเก็บด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสมจะทำให้กระจกตาเสื่อมสภาพทันที และด้วยสาเหตุนี้แม้ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศจะไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนกระจกตา แต่ก็ไม่สามารถบริจาคไปช่วยเหลือประเทศที่มีความต้องการได้
[caption id="attachment_34122" align="aligncenter" width="650"] กระจกตา[/caption]
การพัฒนา “กระจกตาชีวภาพ” ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของทีมวิจัย ที่ไม่เพียงเป็นความหวังสร้างชีวิตใหม่ให้แก่ผู้เฝ้ารอรับบริจาคกระจกตา แต่ยังเป็นโอกาสในการบุกเบิกสร้างสรรค์นวัตกรรมกระจกตาชีวภาพรายแรกของโลก
ดร.ข้าว อธิบายว่า ตามธรรมชาติกระจกตาของมนุษย์จะมีลักษณะเป็นเจลลีที่เหนียว แข็งแรง ทนทาน เนื่องจากต้องรับแรงดึงจากการกระพริบหรือกรอกตาตลอดเวลา ความแข็งแรงนี้มาจากโครงสร้างภายในที่มีลักษณะเป็นเส้นใยสานกันแน่นเป็นตาข่าย 300-500 ชั้น ในการออกแบบกระบวนการผลิตกระจกตาชีวภาพ ทีมวิจัยจึงพยายามเลียนแบบลักษณะและโครงสร้างภายในกระจกตาเพื่อให้มีลักษณะใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด
[caption id="attachment_34123" align="aligncenter" width="650"] Fiber-reinforced hydrogel[/caption]
[caption id="attachment_34124" align="aligncenter" width="650"] Fiber-reinforced hydrogel[/caption]
“ทีมวิจัยได้พัฒนากระจกตาให้มีลักษณะเป็นเจลลีเสริมแรงเส้นใย ‘Fiber-reinforced hydrogel’ ผ่านกระบวนการปั่นเส้นใยด้วยไฟฟ้าแรงสูง (Electrospinning) เพื่อนำเจลลี่ที่มีลักษณะเหมือนกับกระจกตาของมนุษย์มาใช้เป็นโครงเลี้ยงสเต็มเซลล์ สำหรับนำไปผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้แก่คนไข้ หลังจากทั้งโครงเลี้ยงเซลล์และ สเต็มเซลล์ เข้าไปยึดติดบนดวงตาของคนไข้แล้ว Stem cell จะค่อยๆ กินโครงเลี้ยงเซลล์เป็นอาหารจนหมด และเติบโตขึ้นมาใหม่เป็นเซลล์กระจกตาตามธรรมชาติที่ลักษณะเหมือนกับโครงเลี้ยงเซลล์ทุกประการ ทำให้มีความปลอดภัยไม่เกิดการต่อต้านจากร่างกาย”
การเปลี่ยนกระจกตาโดยใช้กระจกตาชีวภาพทำให้ผู้ป่วยได้ใช้กระจกตาที่ใสเหมือนกระจกตาของเด็กแรกเกิด แตกต่างจากกระจกตาที่รับบริจาคซึ่งมีความขุ่นมัวตามอายุการใช้งานของผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ทีมวิจัยยังออกแบบการผลิตให้ผลิตได้ทั้งแบบใช้งานทั่วไปและแบบจำเพาะกับลักษณะลูกตาของคนไข้ได้ เหตุผลเหล่านี้ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่แม้แต่คนไข้ในประเทศที่มีกระจกตาบริจาคเพียงพอก็ยังไม่อาจปฏิเสธความสนใจในการใช้งานผลิตภัณฑ์นี้ได้
ดร.ข้าว เสริมว่า การวิจัยและพัฒนากระจกตาชีวภาพนี้นอกจากจะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทีมวิจัยและผู้บริหารของไบโอเทค สวทช. แล้ว ยังได้รับการสนับสนุนด้านการเก็บเซลล์กระจกตา การทดสอบในสัตว์ รวมถึงการทดสอบในมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากอาจารย์และบุคลากรคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ปัจจุบันการทดสอบอยู่ในขั้นตอนทดสอบในสัตว์ทดลองโดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการทดลองในสัตว์ทดลองครั้งนี้จะประสบความสำเร็จด้วยดี และสามารถทดสอบในมนุษย์ได้ภายในปีหน้า
Spin off สู่ Start-up บริษัท ReLIFE
จากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็น CEO จากวิศวกรทางการแพทย์คนหนึ่งที่ฝันอยากสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้คนไข้ได้ใช้ประโยชน์จริง เพื่อทำให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาก้าวข้ามทุกอุปสรรคจนประสบความสำเร็จขึ้นแท่นสู่การเป็นสตาร์ตอัป ในฐานะ CEO ของบริษัทรีไลฟ์ จำกัด ในปัจจุบัน
ดร.ข้าว เล่าว่า เมื่อตัดสินใจ Spin off ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการ และ ดร.นตพร จันทร์วราสุทธิ์ รองผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. ต่างให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ท่านทั้งสองเป็นผู้นัดหมายการนำเสนองานต่อนักลงทุนให้ ซึ่งผลตอบรับก็เป็นที่น่ายินดียิ่ง เพราะ ‘ผลงานการวิจัย’ และ ‘ตัวตนของทีมวิจัย’ มีศักยภาพและแรงดึงดูดมากพอที่คุณรักชัย เร่งสมบูรณ์ ผู้ก่อตั้งและผู้นำทีมวิศวกรรมบริษัทฟรุตต้า ไบโอเมด จำกัด จะร่วมลงทุนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน โดยบริษัทรีไลฟ์ จำกัด ได้รับทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่ 100 ล้านบาท สำหรับใช้สร้างโรงงานผลิตกระจกตาเทียมชีวภาพ
“สิ่งที่ทำให้คุณรักชัยเชื่อว่าเรามีศักยภาพมากพอ คือ เราทำให้เขาเห็นว่าผลงานนี้มีโอกาสทางธุรกิจมากขนาดไหน เป็นผลงานที่เป็น Blue ocean อย่างแท้จริง อีกสิ่งที่เราได้นำเสนอควบคู่กันไปแบบทางอ้อม คือ ตัวตนของเรา เราแสดงให้เขาเห็นถึงทัศนคติ ความมุ่งมั่นตั้งใจ ทักษะความสามารถในการบริหารงาน การทำธุรกิจ และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ก้าวต่อไปของบริษัทหลังจากการทดลองในมนุษย์ซึ่งคาดว่าจะเกิดในอนาคตอันใกล้นี้หากประสบความสำเร็จ ก็จะมีการระดมทุนครั้งต่อไปทันที”
ปัจจุบันบริษัทรีไลฟ์ จำกัด เดินหน้าทำการวิจัย พัฒนา และทดสอบ แบบเต็มกำลังแล้ว “ผลงานนี้จะเปลี่ยนโลก มอบชีวิตใหม่ให้แก่คนหลักสิบล้านคน จากที่คนไข้ไทยเคยต้องรอ 3 ปี 5 ปี ผมสัญญาว่าจะทำให้ต้องรอไม่เกิน 1 เดือน จากที่คุณใช้ชีวิตยากลำบาก คุณจะต้องกลับมามองเห็นได้และใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม และผมสัญญาว่าผมจะทำให้คนไทยได้ใช้กระจกตาเทียมชีวภาพในราคาที่ถูกที่สุดครับ” ดร.ข้าว นักวิจัยไบโอเทค และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าประทับใจ
ผลงานกระจกตาชีวภาพจากบริษัทรีไลฟ์ จำกัด เป็นส่วนหนึ่งของผลงานจาก 9 บริษัทสตาร์ตอัปที่เปิดตัวในงานแถลงข่าว “สวทช. ขยายงานวิจัยสู่โมเดลธุรกิจใหม่ 9 ดีปเทคสตาร์ตอัป” เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ติดตามผลงานจากบริษัทอื่นๆ ได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/news_post/pr-nstda-startup-2022/
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 : ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในสัตว์ทดลอง
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์, ไบโอเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ราคาวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรที่สูงมีผลต่อนักศึกษาอย่างไร
The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการสำรวจระดับชาติในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2019 เพื่อตอบคำถามดังข้างต้น
ในการสำรวจได้ถามนักศึกษาเกือบ 4,000 คน จาก 83 สถาบัน สิ่งที่พบหลัก คือ
1. นักศึกษาไม่ซื้อตำราเรียนที่ได้รับมอบหมาย ถึงแม้กังวลว่าจะมีผลต่อเกรด
66 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมด ไม่ซื้อหรือเช่าวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรในบางเวลาของการเป็นนักศึกษาเพราะราคา และที่จำเพาะมากขึ้น 63 เปอร์เซ็นต์ไม่ซื้อตำราเรียน เปรียบเทียบกับการสำรวจในปี 2014 ซึ่งพบ 65 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาไม่ซื้อหนังสือ
2. นักศึกษาไม่ซื้อรหัสการเข้าถึง (access codes) และยอมทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่เสร็จ
17 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมด ไม่ซื้อรหัสการเข้าถึง ถึงแม้ว่าจะมีเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าอย่างชัดเจนกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ไม่ซื้อวัสดุชนิดอื่น แต่การไม่ซื้อรหัสการเข้าถึงมีผลโดยตรงต่อเกรด เพราะถ้าไม่มี password เพื่อเข้าถึงงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งต้องการรหัสการเข้าถึง นักศึกษาไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้
3. นักศึกษาไม่ซื้อวัสดุถึงแม้กังวลว่าจะมีผลต่อเกรดโดยตรง
เมื่อถามว่านักศึกษารู้สึกกังวลหรือไม่ว่าไม่ซื้อวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรจะมีผลในเชิงลบต่อเกรด 90 เปอร์เซ็นต์ตอบว่ารู้สึกกังวลสำหรับตำราเรียนและ 92 เปอร์เซ็นต์รู้สึกกังวลสำหรับรหัสการเข้าถึง
4. ราคาตำราเรียนมีผลต่อความสามารถของนักศึกษาที่จะตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานและการจบการศึกษาตรงเวลา
- 22 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดให้ความสำคัญกับรหัสการเข้าถึงมากกว่าวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรรูปแบบอื่น ๆ
- 19 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดตัดสินใจชั้นเรียนไหนที่จะเข้าเรียนขึ้นอยู่กับราคาของวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร
- 7 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดเลิกเรียนถ้าไม่สามารถจ่ายเพื่อวัสดุ
- 3 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดสอบตกเนื่องจากไม่สามารถจ่ายสำหรับวัสดุที่ใช้ในการเรียน
ผลของราคาวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรขยายไปยังนอกชั้นเรียน
- 25 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดต้องทำงานพิเศษเพื่อจ่ายสำหรับวัสดุที่ใช้ในหลักสูตร
- 11 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดไม่ซื้ออาหารเนื่องจากราคาวัสดุ
- 9 เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจทั้งหมดไม่ได้จ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
5. นักศึกษาไม่ตระหนักในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการใช้โดยบริษัทเทคโนโลยีการศึกษา
ได้มีการถามนักศึกษาให้คะแนนความเข้าใจต่อสำนักพิมพ์และบริษัทเทคโนโลยีการศึกษาใช้ข้อมูลนักศึกษาจาก 1-10 โดย 10 คือเข้าใจดีมากและสามารถอธิบายแก่คนอื่น ๆ ผลคือนักศึกษาให้คะแนนด้วยค่าเฉลี่ยคือ 2 แสดงว่าไม่ค่อยเข้าใจว่ารายละเอียดของนักศึกษาถูกใช้โดยสำนักพิมพ์และบริษัทเทคโนโลยีการศึกษาอย่างไร
สรุปจากการสำรวจ
วัสดุที่ใช้ในหลักสูตรเป็นอุปสรรคทางการเงินต่อความสำเร็จของนักศึกษา ราคาที่สูงมีผลมากกว่าเกรดขยายไปถึงความสามารถของนักศึกษาในการตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐาน การแก้ปัญหาโดยการใช้ตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากเพื่อรับประกันในเรื่องการประหยัด
คำแนะนำจากการสำรวจ
- สภานิติบัญญัติและสำนักงานการศึกษา ควรให้ทุนสำหรับโปรแกรมตำราเรียนแบบเปิดและฟรี และจำกัดการใช้รหัสการเข้าถึงและวัสดุเพื่อการค้าอื่น ๆ ที่มีผลต่อความสามารถในการจ่าย ความเสมอภาค และการเข้าถึงของนักศึกษา
- สถาบันอุดมศึกษาและระบบ ควรสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทุน, การพัฒนาและยอมรับทางอาชีพ เพื่อทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้เชี่ยวชาญในการนำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้และส่งงานออกภายใต้การอนุญาตแบบเปิด
- คณะ ควรพิจารณานำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้และคิดทบทวนก่อนให้รหัสการเข้าถึง ควรพิจารณาเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลนักศึกษา เมื่อมอบหมายวัสดุทางดิจิทัลหรือเครื่องมือ
- นักศึกษา ควรแต่ละคนสนับสนุนตำราเรียนแบบเปิด
- หน่วยงานและรัฐบาลนักศึกษา สามารถสนับสนุนที่ระดับท้องถิ่นในเรื่องนโยบาย ซึ่งสนับสนุนการนำตำราเรียนแบบเปิดมาใช้และคุ้มครองข้อมูลดิจิทัลของนักศึกษา
ที่มา: Cailyn Nagle and Kaitlyn Vitez (June 2020). Fixing the Broken Textbook Market: Second Edition. U.S. PIRG Education Fund. Retrieved June 20, 2022, from https://uspirg.org/sites/pirg/files/reports/Fixing-the-Broken-Textbook-Market_June-2020_v2.pdf
นานาสาระน่ารู้
อนุรักษ์ ‘พันธุ์ฟักทองไข่เน่า’ พืชอัตลักษณ์เมืองน่าน
“ไข่เน่า คือ ชื่อฟักทองพันธุ์ท้องถิ่นที่คนน่านปลูกกันรุ่นต่อรุ่นนานกว่า 3 ช่วงอายุคน ชื่อ ‘ไข่เน่า’ มีที่มาจาก ‘สีเขียวขี้ม้าแลคล้ายไข่เน่า’ ของเนื้อฟักทอง แม้สีไม่สวยแต่อร่อยกินได้ไม่มีเบื่อ เพราะเนื้อทั้งเหนียว หนึบ และหวานมันกำลังดี” ...คำบอกเล่าของ ฑิฆัมพร กองสอน ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ที่กล่าวถึงลักษณะเด่นของฟักทองพันธุ์พื้นเมืองน่านที่ได้รับการอนุรักษ์ไม่ให้สูญหาย และกำลังจะเป็นผลผลิตสำคัญที่สร้างรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้แก่ชุมชน ในงานเสวนา “ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า ความยั่งยืนทางพันธุกรรมของชุมชน” ภายใต้การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. (NAC 2022)
[caption id="attachment_33967" align="aligncenter" width="600"] ฑิฆัมพร กองสอน ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน[/caption]
ฑิฆัมพร กองสอน เล่าย้อนว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ชาวตำบลบัวใหญ่ จังหวัดน่าน มีแผนฟื้นฟูป่าน่านที่ขึ้นชื่อว่าเขาหัวโล้นให้กลับมาเขียวขจีอีกครั้ง เพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำที่ปลอดภัยให้คนในประเทศ รวมถึงปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรจากเคมีสู่อินทรีย์ โดยมีโจทย์สำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ชาวบ้านจะต้องสร้างรายได้มากพอที่จะเลี้ยงปากท้อง สามารถชำระหนี้ธนาคาร และหากเป็นไปได้ควรมีรายได้ทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี เพื่อให้ทำเกษตรอินทรีย์ต่อไปได้อย่างยั่งยืน
โจทย์ใหญ่อันแสนท้าทายได้ผลักดันให้พวกเขาเริ่มหันมาทำเกษตรอินทรีย์ และยกระดับการทำงานไปสู่ระดับจังหวัด จนเกิดเป็น “เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์น่าน” ในปี 2559 ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจำนวน 39 วิสาหกิจ จาก 27 ตำบล ใน 12 อำเภอของจังหวัดน่าน โดยตั้งธงร่วมกันปลูก “ฟักทองอินทรีย์” ให้เป็นพืชเศรษฐกิจอัตลักษณ์จังหวัดน่าน ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด, องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล-ประเทศไทย (WWF ประเทศไทย) และหน่วยงานพันธมิตร
ฑิฆัมพร เล่าว่า พืชเศรษฐกิจของจังหวัดน่านที่ตอบโจทย์การสร้างรายได้มากที่สุดคือ ‘ฟักทอง’ เพราะคนน่านมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการปลูกฟักทองพันธุ์การค้าเป็นทุนเดิม โดยสายพันธุ์ที่เหมาะต่อการนำมายกระดับมากที่สุดคือ ‘พันธุ์ไข่เน่า’ เพราะเป็นพันธุ์ท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และคนน่านนิยมรับประทาน รวมถึงผู้ประกอบการอย่างบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ก็ยอมรับในเรื่องรสชาติ พร้อมรับจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต และยังพร้อมช่วยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ฟักทองไข่เน่าด้วย
เตรียมความพร้อมให้ ‘ไข่เน่า’
แม้ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าจะขึ้นชื่อเรื่องรสชาติว่าไม่สองเป็นรองพันธุ์ไหน ทำให้มีชัยเรื่องการตลาด แต่ปัญหาสำคัญคือฟักทองไข่เน่าพันธุ์แท้เริ่มสูญหายและกลายพันธุ์มากขึ้น การปลูกให้ได้ผลผลิตที่มีลักษณะและรสชาติที่คงที่จึงเริ่มทำได้ยาก ไม่ต่างจาก ‘การเสี่ยงดวง’ ดังนั้นสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. จึงได้เข้ามาทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อยกระดับการผลิตฟักทองพันธุ์ไข่เน่าให้มีคุณภาพดี ได้ผลผลิตที่สม่ำเสมอ
[caption id="attachment_33968" align="aligncenter" width="600"] ณัฐวุฒิ ดำริห์ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช.[/caption]
ณัฐวุฒิ ดำริห์ นักวิชาการจาก สท. ของ สวทช. เล่าว่า ฟักทองเป็นพืชผสมข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติ การปลูกให้ได้ผลผลิตคงที่ เกษตรกรต้องมีความรู้ความเข้าใจในการควบคุมการผลิตตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ โดย สท. ได้รับการประสานจากบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้เข้ามาช่วยเหลือในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ทีมจึงได้ร่วมกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ทำวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้การใช้เทคโนโลยีการคัดเลือกและเก็บเมล็ดพันธุ์ การปลูก บริหารจัดการแปลง และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการแก่เกษตรกรในจังหวัด
[caption id="attachment_33959" align="aligncenter" width="600"] ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า[/caption]
[caption id="attachment_33966" align="aligncenter" width="600"] ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า[/caption]
ผลผลิตที่ดีต้องเริ่มต้นมาจากสายพันธุ์ที่ดี รศ. ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี อาจารย์จากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ร่วมกับตัวแทนเกษตรกรจากวิสาหกิจชุมชนและผู้ที่เกี่ยวข้องรวมกว่า 50 คน คัดเลือกสายพันธุ์ฟักทองไข่เน่า โดยนำฟักทองพันธุ์ไข่เน่าที่มีลักษณะแตกต่างกันจำนวน 19 ผล มาผ่าดูลักษณะเนื้อ นึ่ง และชิม พร้อมลงคะแนนคัดเลือกฟักทองที่มีลักษณะและรสชาติตรงตามพันธุ์ที่สุดเพื่อใช้เป็นแม่พันธุ์สำหรับพัฒนาสายพันธุ์ต่อไป
[caption id="attachment_33969" align="aligncenter" width="450"] รศ. ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี อาจารย์จากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา[/caption]
รศ. ดร.จานุลักษณ์ เล่าว่า ปัจจุบันฟักทองพันธุ์ไข่เน่ามีความกลายพันธุ์สูง จึงต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะพันธุ์ที่แน่ชัดก่อนนำมาวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ แล้วดำเนินการถ่ายทอดกระบวนการผลิตเมล็ดพันธุ์ให้อาสาสมัครของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยถ่ายทอดตั้งแต่วิธีการผลิตเมล็ดพันธุ์ไปจนถึงการบริหารจัดการแปลงเพื่อให้มีผลผลิตตลอดทั้งปี ร่นระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวจาก 150 วัน เหลือ 85-90 วัน ปลูกได้ 3 ฤดูกาลต่อปี ให้ผลผลิตมากว่าพันธุ์อื่นๆ ที่ปลูกอยู่เดิมร้อยละ 20-40 ปัจจุบันมีการทดลองปลูกและเก็บเกี่ยวไปแล้วมากกว่า 4 รอบ
“การทำวิจัยลักษณะของฟักทองพันธุ์ไข่เน่าไม่เพียงสำคัญต่อการผลิตเมล็ดพันธุ์ทางการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อการจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น เพื่อสงวนสิทธิ์การปรับปรุงพันธุ์ ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย ผลิตและจำหน่าย รวมถึงการส่งออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสิทธิ์ขาดในการยกระดับกระบวนการพัฒนาผลผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เป็นสมบัติของคนในจังหวัดน่านเท่านั้นด้วย ผลของสิทธิ์ขาดนี้จะนำไปสู่การสร้างรายได้และการอนุรักษ์สายพันธุ์ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนขอยื่นจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่นแล้ว และจะมีการยื่นจดทะเบียนคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications: GI) ต่อไปในอนาคต” รศ. ดร.จานุลักษณ์ เสริม
‘ไข่เน่า’ ลงเขาเข้าห้างแล้ว
ทุกวันนี้ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าไม่ได้เป็นของดีที่หารับประทานได้เฉพาะในเมืองน่าน เพราะปัจจุบันมีการขนส่งฟักทองพันธุ์ไข่เน่าคุณภาพกว่า 2.5 ตันต่อไร่ จากเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนฯ มาจำหน่ายในตลาดและห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศแล้ว นอกจากนี้เกษตรกรยังได้นำงานวิจัยมาแปรรูปผลผลิตฟักทองที่ไม่ผ่านเกณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์อย่างครบวบงจร
ฑิฆัมพร เล่าว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนจังหวัดน่านเริ่มจัดส่งผลฟักทองสดไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่างท็อปซูเปอร์มาร์เก็ตและตลาดจริงใจแล้ว โดยผลผลิตที่ไม่ตรงตามมาตรฐานการจำหน่ายผลสด เช่น มีรูปทรงที่ไม่สวยงามหรือมีขนาดไม่ตรงตามกำหนดจะนำมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้กระบวนการแปรรูปจากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และได้รับการสนับสนุนงบประมาณการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการจัดตั้งโรงงานแปรรูปที่ได้มาตรฐานจากบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด
“เนื้อฟักทองจะนำไปแปรรูปเป็นฟักทองผง ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ และต่อยอดเป็นอาหารสำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย นอกจากนี้ยังมีข้าวเกรียบฟักทอง แยมฟักทอง เส้นขนมจีนฟักทอง และน้ำมันเมล็ดฟักทอง ส่วนเศษที่เหลือจากการแปรรูปเกษตรกรจะนำไปหมักด้วยหัวเชื้อจุลินทรีย์เป็นฟักทองหมักสำหรับผสมในอาหารไก่ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าอาหารบำรุง และช่วยให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรงออกไข่ครบทุกตัว”
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์แปรรูปจากฟักทองพันธุ์ไข่เน่าบางผลิตภัณฑ์ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว และจะนำเข้าจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่อไป ผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์แปรรูปจากฟักทองพันธุ์ไข่เน่าสามารถติดตามได้ที่ Facebook ‘มะน้ำแก้ว by แม่ฑิ ผลิตภัณฑ์แปรรูปฟักทองอินทรีย์’
“ผลจากการร่วมศึกษา วิจัย และพัฒนา เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำอย่างเข้มแข็ง เริ่มส่งผลให้เกษตรกรในเครือข่ายมีรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว และยังส่งผลให้พื้นที่ป่าต้นน้ำของจังหวัดน่านได้รับการเยียวยาฟื้นคืนสู่พื้นที่สีเขียวอีกครั้งด้วย” ฑิฆัมพร กล่าวทิ้งท้ายอย่างภูมิใจในฐานะผู้นำการยกระดับการทำเกษตรอินทรีย์และผู้แทนเกษตรกรเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนจังหวัดน่าน
จากความร่วมมืออย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วนนำมาซึ่งการอนุรักษ์และสร้างมูลเพิ่มให้ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าแบบครบวงจรอย่างยั่งยืน ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาใช้พัฒนาการทำเกษตรตั้งแต่ฐานรากให้เข้มแข็ง เป็น Impact Value Chain ที่เป็นต้นแบบการยกระดับการทำเกษตรแก่ชุมชนในภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทยได้
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ
โมเดลเศรษฐกิจ BCG คือ โมเดลเศรษฐกิจใหม่ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ เครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยในปี 2564-2570 โดยโมเดลนี้จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไปพร้อมกัน ผ่านการนำข้อได้เปรียบด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม มายกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม โดยในระยะแรกมุ่งเน้น 4 สาขายุทธศาสตร์ ได้แก่ เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ และการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจหลักของประเทศ มีสัดส่วนใน GDP ถึงร้อยละ 21 และเกี่ยวข้องกับอาชีพและการจ้างงานของคนในประเทศมากกว่า 16.5 ล้านคน ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงาน การกระจายรายได้สู่ประชาชนทั่วประเทศตั้งแต่ระดับฐานราก ลดความเหลื่อมล้ำ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างทั่วถึงบนฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืน https://www.youtube.com/watch?v=HKVrXRyPxikในการนี้เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ให้แก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป กระตุ้นให้เกิดการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไปประยุกต์ใช้ในการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยงานพันธมิตรจึงได้จัด “โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ” ขึ้น เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ที่มีความรู้ความสามารถในการผลิตสื่อได้ร่วมสร้างสรรค์คลิปวิดีโอความยาว 30-60 วินาที (ไม่จำกัดเทคนิคการผลิต) สำหรับสื่อสารประเด็นเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (ไม่จำกัดขอบเขตเนื้อหา) ในรูปแบบที่สร้างสรรค์ เข้าใจง่าย และน่าสนใจ เพื่อใช้ในการสื่อสารสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายต่อไป
ภาพรวมการแข่งขัน
นักเรียน นิสิต และนักศึกษา ระดับมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่าที่สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการพร้อมส่งแนวคิดเนื้อหาและรูปแบบของสื่อที่จะนำเสนอ และ Storyboard หรือคลิปดราฟต์งาน ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ก.ค. 2565 คลิกเพื่อดาวน์โหลดใบสมัคร
ในรอบแรกคณะกรรมการจะคัดเลือกทีมที่มีข้อเสนอน่าสนใจมากที่สุด 20 ทีม เพื่อสนับสนุนเงินทุนจำนวน 10,000 บาท สำหรับผลิตสื่อจริงความยาว 30-60 วินาที เพื่อใช้แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นภายในเดือนสิงหาคม โดยมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการผลิตสื่อสมัยใหม่ของประเทศเป็นผู้ตัดสินผลการแข่งขัน และจะมีการจัดการแข่งขัน Popular Vote เพื่อเปิดให้ประชาชนร่วมโหวตคะแนนให้กับสื่อที่โดนใจมากที่สุด
ผลงานที่ชนะจะมีการนำไปใช้เผยแพร่เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวโมเดลเศรษฐกิจ BCG แก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่
ชิงเงินรางวัลพร้อมโล่และประกาศนียบัตร
รางวัลชนะเลิศ50,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง30,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัลชมเชย (3 รางวัล)10,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัล Popular Vote15,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
กำหนดการการแข่งขัน15 มิ.ย. - 10 ก.ค.รับสมัครผู้เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมเปิดให้จัดส่งแนวคิดของสื่อที่จะผลิต (Concept paper) และ Storyboard หรือคลิปดราฟต์งาน ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ก.ค. 2565 คลิกเพื่อดาวน์โหลดใบสมัครนับถอยหลังปิดรับสมัคร
Days Hours Minutes Seconds
ปิดรับสมัคร
21 ก.ค.แจ้งผลการผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย พร้อมข้อเสนอแนะในการพัฒนาสื่อและมอบงบประมาณในการผลิตสื่อ 10,000 บาท
21 ก.ค. - 11 ส.ค.ผู้เข้าแข่งขันดำเนินการผลิตสื่อให้เสร็จสมบูรณ์แล้วจัดส่งผลงานภายในวันที่ 11 ส.ค. 2565นับถอยหลังการจัดส่งผลงานรอบชิงชนะเลิศ
Days Hours Minutes Seconds
หมดเขตจัดส่งผลงาน
15-18 ส.ค.จัดการแข่งขัน Popular Vote ผ่านทางFacebook: BCG in Thailandนับถอยหลังการแข่งขัน Popular Vote
Days Hours Minutes Seconds
หมดเวลาลงคะแนน
20 ส.ค.งานประกาศผลรางวัล ถ่ายทอดสดทาง Facebook: BCG in Thailandหมายเหตุ: กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
รายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งขันเงื่อนไขในการสมัครเข้าร่วมเป็นนักเรียน นิสิต หรือนักศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาถึงระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า สามารถสมัครได้ทั้งแบบบุคคลและทีม ไม่จำกัดจำนวนสมาชิกในทีม
ประเภทของสื่อที่จะส่งเข้าร่วมแข่งขันคลิปวิดีโอความยาว 30-60 วินาที เพื่อสร้างการรับรู้หรือความตระหนักถึงความสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไม่จำกัดเนื้อหาและเทคนิคการผลิตสื่อ (อาทิ Film Production, 2D&3D Animation, Motion Graphic)
สิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันจะต้องส่งเพื่อสมัครเข้าร่วมกิจกรรมเอกสารอธิบายแนวคิดของสื่อที่จะผลิต เนื้อหาที่จะถ่ายทอด และเทคนิคที่จะใช้ในการผลิตสื่อ (Concept paper) ความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 หรือ 600 คำ พร้อม Storyboard หรือคลิปดราฟต์งาน โดยจัดส่งพร้อมการสมัครเข้าร่วมกิจกรรม คลิกเพื่อดาวน์โหลดใบสมัคร
เกณฑ์การตัดสินสัดส่วนการให้คะแนน เนื้อหาร้อยละ 40 ความคิดสร้างสรรค์ร้อยละ 30เทคนิค ความสวยงาม ความละเอียดและประณีตร้อยละ 30
การสนับสนุนในการผลิตสื่อหลังจากผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายโครงการจะให้คำแนะนำในการพัฒนางานต่อ พร้อมสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนางาน 10,000 บาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด งวดแรก 5,000 บาท หลังจากผ่านเข้ารอบ และงวดที่สอง 5,000 บาท หลังจากจัดส่งงานเพื่อแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ
สิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย จะต้องจัดส่งให้กับโครงการคลิปผลงานความยาว 30-60 วินาที ความละเอียด Full HD (1,920x1,080 pixels) โดยจัดส่งงานในรูปแบบลิงก์ YouTube แบบ Unlisted และอัปโหลดไฟล์วิดีโอนามสกุล MP4 เข้า Cloud Storage เช่น Google Drive (จะต้องจัดส่งทั้ง 2 รูปแบบ ภายในวันที่ 11 ส.ค. 2565 และเปิดให้ดาวน์โหลดได้จนถึงวันที่ 23 ก.ย. 2565)ชื่อคลิปผลงาน พร้อมคำโปรยแนะนำคลิปความยาวไม่เกิน 200 คำคลิปนำเสนอผลงานงานผลงานสำหรับให้คณะกรรมการพิจารณา ความยาวไม่เกิน 3 นาที (1 คลิป)หากไม่จัดส่งผลงานตามข้อเสนอเพื่อรับทุนพัฒนาสื่อ และตามเงื่อนไขที่ระบุข้างต้นภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้เข้าแข่งขันจะต้องคืนเงินสนับสนุนให้แก่โครงการ
เงื่อนไขในการผลิตสื่อผลงานจะต้องไม่เคยได้รับรางวัลจากโครงการอื่น ไม่คัดลอกหรือใช้สื่อที่ติดลิขสิทธิ์ประกอบในผลงาน ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์การใช้งานโปรแกรม หากตรวจพบการกระทำที่ผิดกฎหมายผู้พัฒนาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นในทุกกรณี และผลการตัดสินจะถือเป็นโมฆะผลงานเป็นของผู้พัฒนา โดยอนุญาตให้ สวทช. และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เผยแพร่ผลงานและพัฒนาต่อยอดผลงานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ประกาศนียบัตรผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย จะได้รับประกาศนียบัตรในงานประกาศผลรางวัล(หรือภายหลังงานประกาศผลรางวัล)
การเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัลผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย จะต้องเข้าร่วมหรือส่งตัวแทนเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัล (หากไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑลสามารถเข้าร่วมทางออนไลน์ได้) หากไม่สามารถมาเข้าร่วมได้จะต้องแจ้งเหตุผลที่เหมาะสมแก่คณะทำงานล่วงหน้าก่อนการจัดงานอย่างน้อย 3 วัน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCGรายละเอียดเพิ่มเติม : โมเดลเศรษฐกิจ BCG โลโก้สำหรับใช้ประกอบในคลิปหรืองานนำเสนอ : คลิกเพื่อดาวน์โหลด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่E-mail: bcghappystory@nstda.or.thFacebook Inbox: BCG in Thailand
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัย สวทช. สู่เชิงพาณิชย์ ปีงบประมาณ 2564
ผลงานวิจัย สวทช. สู่เชิงพาณิชย์ ปีงบประมาณ 2564
Download
เอกสารเผยแพร่


