ผลการค้นหา :
Smart Agri Days 2025
🎉 เชิญร่วมงาน Smart Agri Days 2025 🌱
นวัตกรรมการเกษตรอัจฉริยะเพื่ออนาคต (www.nstda.or.th/agri2025)
🗓 วันที่ 28-29 สิงหาคม 2568
📍 ชั้น 2 ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช.
ติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
📝 ลงทะเบียนร่วมงานฟรี! คลิกเลย: https://shorturl.asia/hNV4E
🌟 ทำไมต้องมาร่วมงานนี้?
🎯ฟัง Keynote Speaker ชั้นนำ เปิดมุมมองใหม่ๆ
✅ The next generation plant factories with artificial lighting (PFAL): From ‘culture’ to ‘civilization’ technologies
โดย Prof. Toyoki Kozai มหาวิทยาลัยชิบะ ประเทศญี่ปุ่น
✅ Thailand AgriTech x Trust: ทางรอดเกษตรกรไทยยุคดิจิทัล
โดย คุณกำพล โชคสุนทสุทธิ์ นายกสมาคมส่งเสริมดิจิทัลเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม
✅ Future Trend & Technology of UAV in AgriTech
โดย ดร.บัญญัติ บุญญา นายกสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจอากาศยานบินต่ำ
📌 เสวนาที่น่าสนใจ
❇️ เปิดโมเดลธุรกิจโรงงานผลิตพืชสู่อนาคต (Plant Factory Blueprint)
❇️ พลังสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก (Thai Herbal Champions)
💡 Special Talk: เปิดโอกาสใหม่ทางธุรกิจ
▶ PRO-T Smart Wolffia Farming
▶TECO Smart Farming”
🤖 ชมนวัตกรรมหุ่นยนต์อัจฉริยะเพื่อการเกษตร “PhenoRobot” และ “Herbotron” พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย
🍽️ เวิร์กช็อปสร้างรายได้สุดพิเศษ เมนูอาหารทานเล่นและเครื่องดื่มจากพืชผักสมุนไพรพรีเมี่ยม
🛒ช็อปและสัมผัสผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ
🧠 รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยและพัฒนา
🤝สร้างเครือข่ายธุรกิจและเชื่อมโยงพันธมิตรครบวงจร
📌 แผนที่สถานที่จัดงาน: www.nstda.or.th/r/7A5H8
✉️ สอบถามเพิ่มเติม: smartagri@nstda.or.th
📞 โทร. 0 2564 7200 ต่อ 5394 (เบญญาภา)
📞 โทร. 0 2564 7170 ต่อ 71691 (อมรรัตน์)
ปฏิทินกิจกรรม
10 Technologies to Watch 2025: การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม (Post-Quantum Cryptography: PQC)
ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในยุคที่ทุกอย่างกำลังเคลื่อนเข้าสู่โลกดิจิทัล ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลกลายเป็นรากฐานสำคัญของทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และชีวิตประจำวันของเรา แต่เทคโนโลยีการเข้ารหัสที่เราใช้กันอยู่ เช่น RSA, ECC ที่เคยเชื่อถือได้ กำลังถูกท้าทายจากการมาถึงของคอมพิวเตอร์ควอนตัม
คอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ที่เร็วขึ้น แต่เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนกฎของการคำนวณ โดยใช้ "อัลกอริทึมของชอร์" (Shor’s Algorithm) ถอดรหัสข้อมูลที่เคยปลอดภัยได้ในเวลาอันสั้น และภัยคุกคามที่น่ากังวลที่สุดคือผู้ไม่หวังดีอาจดักเก็บข้อมูลที่เข้ารหัส แล้วรอถอดรหัสในอนาคต (Harvest Now, Decrypt Later: HNDL) เมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมพร้อมใช้งาน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อข้อมูลความมั่นคงของชาติ ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลส่วนบุคคล ฯลฯ
เทคโนโลยี "การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม" หรือ Post-Quantum Cryptography (PQC) จึงกลายมาเป็นเทคโนโลยีที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยมี สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIST) เป็นผู้กำหนดมาตรฐานอัลกอริทึม PQC ที่ป้องกันการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม โดยอาศัยอัลกอริทึมคณิตศาสตร์ที่แบ่งได้เป็น 3 ประเภท มีจุดแข็งจุดอ่อนต่างกัน อัลกอริทึมเหล่านี้มักใช้ขนาดกุญแจหรือลายเซ็นที่ใหญ่ขึ้น อุปกรณ์ที่มีทรัพยากรจำกัด เช่น IoT อาจต้องปรับตัวตาม
ตัวอย่างบริการแบบนี้ในตลาดโลก เช่น Amazon Web Services (AWS), IBM Quantum Safe, Google Cloud ที่ได้นำลายมือชื่อดิจิทัลที่ทนทานต่อควอนตัมมาใช้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา (ทั้ง Library และ SDK) ที่รวมอัลกอริทึม PQC สำเร็จรูปไว้ให้ใช้งานได้ทันที เช่น OpenSSL 3.5, WolfSSL, Open Quantum Safe Project
ในปี 2025 มูลค่าตลาดของ PQC อยู่ที่ 1,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าปี 2034 จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น อยู่ที่ 37.72% ระหว่างปี 2025–2034
ประเทศไทยมีความตื่นตัวในการรับมือกับด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในยุคควอนตัม ดังเห็นได้จากสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ได้ริเริ่มออก “คำแนะนำแนวทางการปฏิบัติการเตรียมความพร้อมสำหรับยุคควอนตัม (Guidelines for Post-Quantum Readiness)” เพื่อเป็นแนวทางให้องค์กรต่างๆ เตรียมรับมือ ส่วนสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ซึ่งมีการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับ PQC และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สวทช. ก็เริ่มงานการวิจัยและพัฒนาเพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยี PQC และพร้อมขยายความร่วมมือกับทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
การเปลี่ยนผ่านสู่ PQC ไม่ใช่แค่เรื่องการอัปเกรดเทคโนโลยี แต่อาจมีส่วนช่วยให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ เช่น บริการให้คำปรึกษาด้าน PQC การพัฒนานวัตกรรมซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ปลอดภัย และการสร้างบุคลากรทักษะสูง ฯลฯ
📌 อ่านข้อมูลฉบับเต็มและข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่: https://www.nstda.or.th/r/BtQWQ
📌 รับชมการบรรยายได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=8cAv6AEX55c
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
เวที Pitching Showcase ในงาน SME ต้องรอด 2025
ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอเชิญร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเวที “Pitching Showcase” ในงาน “SME ต้องรอด 2025” พบกับ 11 บริษัทดาวรุ่ง จากโครงการ Crossing the Chasm to High-Value SMEs (C-HV SMEs 2025) ที่จะมาโชว์ศักยภาพธุรกิจ นวัตกรรมล้ำสมัย และกลยุทธ์พลิกความท้าทายสู่โอกาสทางธุรกิจเทคโนโลยี!
🌟ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร...งานนี้มีคำตอบ!
✔️สำหรับผู้ประกอบการ SMEs: เรียนรู้กลยุทธ์และนวัตกรรมเพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ
✔️สำหรับนักลงทุน: ค้นพบโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ ๆ จากบริษัทที่มีศักยภาพสูง
✔️สำหรับทุกคนที่สนใจ: รับแรงบันดาลใจและเปิดมุมมองทางธุรกิจให้กว้างไกล
🌠ไฮไลท์กิจกรรม Pitching Showcase:
• เจาะลึกนวัตกรรมและกลยุทธ์ของ SMEs แถวหน้า
• เปิดโอกาสสร้างเครือข่ายกับคู่ค้าและพันธมิตร
• ค้นพบโอกาสทางธุรกิจและการเติบโต
• จุดประกายไอเดียใหม่ ยกระดับธุรกิจของคุณ
📣โอกาสสำคัญที่ไม่ควรพลาด! พบ 11 SMEs ดาวรุ่ง โชว์ไอเดียพลิกธุรกิจ สู่ High-Value ในงาน SME ต้องรอด!
🗓️ วัน: อาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม 2568
⏰ เวลา: 15.00 – 17.00 น.
📍 สถานที่: ห้องประชุมเสรี จินตนเสรี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
📌ลงทะเบียนเพื่อสำรองที่นั่งจำนวนจำกัด !
https://ai.multithai.com/online_register
ปฏิทินกิจกรรม
Young Researcher Camp ค่ายนักวิจัยรุ่นเยาว์
📢Young Researcher Camp ค่ายนักวิจัยรุ่นเยาว์🚀
🌟 ค่าย 2 วัน ที่จะพาน้อง ๆ ก้าวสู่โลกของนักวิจัย สร้างแรงบันดาลใจ และต่อยอดทักษะแห่งอนาคต!
📌 รับสมัครนักเรียน ระดับมัธยมต้น และมัธยมปลาย
🗓️ เปิดรับสมัคร 2 รุ่น
🔹 รุ่นที่ 1: 6–7 กันยายน 2568
🔹 รุ่นที่ 2: 5–6 ธันวาคม 2568
📍 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี (Thailand Science Park)
👨🔬 โดย ดร.กวิน การุณรัตนกุล
นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC)
สิ่งที่น้อง ๆ จะได้รับจากค่ายนี้
✅ ทักษะการตั้งคำถามอย่างมีเหตุผล
✅ การคิดเชิงตรรกะและการตรวจสอบข้อมูล
✅ ความคิดสร้างสรรค์และการสร้างนวัตกรรม
📜 ผู้เข้าร่วมจะได้รับประกาศนียบัตร
💡 ค่ายกิจกรรม ที่จะช่วยเตรียมความพร้อมให้เยาวชนสามารถก้าวเข้าสู่โลกอนาคต ด้วยทักษะด้านวิทยาศาสตร์ การคิดวิเคราะห์ และความคิดสร้างสรรค์
🧠 เพราะทักษะเหล่านี้ คือกุญแจสู่ความสำเร็จในทุกสายอาชีพ
✅ค่าใช้จ่ายในการอบรม 3,900 บาท พร้อมอาหารกลางวัน และอาหารว่าง ตลอดการอบรม
🎉🎊Promotion สุดคุ้ม!
จับคู่สมัคร 2 คน รับส่วนลดค่าสมัครคนละ 900 บาท เมื่อสมัครและชำระเงิน ภายในวันที่ 30 ส.ค. 2568 เท่านั้น
✍️ ลงทะเบียนสมัคร และดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://shorturl.at/967pq
📞 โทร 062-479-8008, 094-567-9199
🌏Line@ ID: @brainadventurecamp หรือ คลิก >>> http://line.me/ti/p/%40hzv1539q
ปฏิทินกิจกรรม
FOREFOOD COHORT #5 DEMO DAY พบกับอนาคตของ FoodTech ที่จะเปลี่ยนโลก!
📢FOREFOOD COHORT #5 DEMO DAY พบกับอนาคตของ FoodTech ที่จะเปลี่ยนโลก! 🚀
📝 ลงทะเบียนเลย! FOREFOOD COHORT #5 DEMO DAY พบกับอนาคตของ FoodTech ที่จะเปลี่ยนโลก! เมืองนวัตกรรมอาหาร (FoodInnopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ขอเชิญชวนนักลงทุน นักธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่สนใจกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมอาหาร (FoodTech Startup)
📅 วันที่: 23 กันยายน 2568
🕙เวลา: 10:00 - 19:00 น.
📍สถานที่: Singha Complex ชั้น 34 (ติด MRT เพชรบุรี)
👉https://goo.gl/maps/oeLnaJAs8KsuFk6F6
🚨 ไฮไลต์สุดพิเศษ 🎤 Keynote Sessions
🌟 "From Kitchen to Market: Scaling Food Innovation Beyond Borders"
🌟 "Ingredient Revolution: How Alternative Proteins are Reshaping Asia"
🌟 "The Art of Food Investment: What VCs Look for in FoodTech Startups"
🌟"Sustainability Meets Profitability: Building Green Food Businesses"
🌟"Consumer Behavior Evolution: Understanding the New Food Generation"
🚀 FoodTech Startup Pitching ชมการ Pitch จาก 16 ทีม FoodTech & AgriTech ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอาหาร
🤝 โอกาสในการ Networking
• Business Matching กับนักลงทุน และพันธมิตรธุรกิจ
• Product Showcase สัมผัสและทดลองผลิตภัณฑ์จริง
• Cocktail Reception & Dinner
🎯 เหมาะกับใคร?
✅ นักลงทุน - ค้นหาโอกาสการลงทุนใหม่
✅ ผู้ประกอบการ - แสวงหาพันธมิตรและไอเดีย
✅ นักวิจัย & นักพัฒนา - อัปเดตเทรนด์ล่าสุด
✅ บริษัทขนาดใหญ่ - หา Startup ร่วมงาน
✅ คนรักนวัตกรรม - สัมผัสอนาคตของอาหาร
💎 สิ่งที่คุณจะได้รับ
🔥 ความรู้ จากผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ
🔥 เครือข่าย ในวงการ FoodTech
🔥 โอกาส ในการร่วมงานและลงทุน
🔥 แรงบันดาลใจ จากนวัตกรรมอาหาร
🔥 อาหาร & เครื่องดื่ม ฟรีตลอดงาน
📝 ลงทะเบียนวันนี้!
🔗 สมัครที่: https://forms.gle/vQrgUgWF1A3e9yQ38
📧 สอบถาม: foodinnopolis.accelerator@gmail.com
☎️ โทร: 0947463822 (ศิญากาญจน์)
⚡ จำนวนที่นั่งจำกัด! เพียง 200 ที่เท่านั้น
#FOREFOODDemoDay #FoodTech #Innovation #NSTDA #FoodInnovation #FoodTech #Networking #Investment
ปฏิทินกิจกรรม
อบรมเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการพัฒนาสารสกัดและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและพืชท้องถิ่น”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) ร่วมกับเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ขอเชิญผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน และผู้สนใจ เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ “แนวทางการพัฒนาสารสกัดและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและพืชท้องถิ่น”
🗓 วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2568🕙 เวลา 10.00 – 15.30 น.📍 ณ สำนักงานใหญ่ EECi ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง
กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย
การบรรยายความรู้
การสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพร
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางด้วยนาโนเทคโนโลยี
ข้อควรรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
เวิร์กชอปสุดพิเศษ
การสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพร และการผสมสูตรตำรับผลิตภัณฑ์สเปรย์นวดผ่อนคลาย โดยทีมวิจัย NANOTEC
เสวนาแรงบันดาลใจ
หัวข้อ “วทน.ยกระดับชุมชนได้อย่างไร : จากความสำเร็จ สู่แรงบันดาลใจ” ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากชุมชนต้นแบบและนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ
นิทรรศการ Show Case
พบผลงานจากกลุ่มเกษตรและวิสาหกิจชุมชนในเขตพื้นที่ EECi เช่น กลุ่มผลิตไม้กฤษณา, วิสาหกิจชุมชนลฟุฟาลา, ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง และกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรบ้านตม
การอบรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรและพืชท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยผสานองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และนาโนเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานสู่เชิงพาณิชย์
📌 เข้าร่วมฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมรับความรู้และประสบการณ์ตรงจากนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. เปิดวิสัยทัศน์วาระ 2 “สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ขานรับนโยบาย กวทช. เดินหน้าเต็มกำลัง ปั้นนวัตกรรมยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
(วันที่ 25 สิงหาคม 2568) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สป.อว. (โยธี) - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศวิสัยทัศน์และทิศทางการดำเนินงานในวาระที่ 2 “สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” พร้อมรับมอบนโยบายสำคัญจาก นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และประธานกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) พร้อมกันนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้นำเสนอผลงานเด่นในวาระที่ 1 ที่พิสูจน์ศักยภาพในการสร้างผลกระทบยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนได้จริง และประกาศเดินหน้าเต็มกำลังด้วยวิสัยทัศน์ “สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” โดยมี นายวิเชียร สุขสร้อย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศาตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. คณะกรรมการ กวทช. คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สป.อว. (โยธี)
นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ในฐานะประธาน กวทช. กล่าวว่า “ในวันนี้คณะกรรมการ กวทช. ได้รับทราบผลการดำเนินงานในวาระที่ 1 ของ สวทช. และได้ให้ความเห็นชอบแผนงานและรายชื่อคณะผู้บริหาร สวทช. ในวาระที่ 2 ภายใต้การนำของผู้อำนวยการ สวทช.แล้ว ขอเน้นย้ำว่า สวทช. คือ ขุมพลังหลักของประเทศในการวิจัย พัฒนา ออกแบบ วิศวกรรม และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่การใช้ประโยชน์ โดยมีภารกิจสำคัญในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ พร้อมได้มอบนโยบายให้ สวทช. นำไปขับเคลื่อนใน 2 ด้านสำคัญ ได้แก่ (1) การพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตั้งแต่การยกระดับเกษตรกรรมสมัยใหม่ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสร้างอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำที่เพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) ไปจนถึงการพัฒนาเมืองน่าอยู่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI และ (2) การพัฒนากำลังคน โดยให้ สวทช. มุ่งพัฒนากำลังคนในทุกระดับ และเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนกรอบการพัฒนา AI แห่งชาติ
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นำทีมคณะผู้บริหาร สวทช. และคณะผู้บริหารศูนย์แห่งชาติขานรับนโยบาย กวทช. พร้อมแถลงผลการดำเนินงานในวาระที่ 1 ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก สวทช. สามารถรับใช้สังคมและสร้างผลกระทบในวงกว้างได้อย่างเป็นรูปธรรม สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการขับเคลื่อนการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้จริงเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)
ปฏิรูปบริการรัฐ ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยดิจิทัล
สวทช. ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเมืองและระบบสาธารณสุข ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง โดยมีผลงานเด่น คือ Traffy Fondue (ทราฟฟี่ ฟองดูว์) ซึ่งเป็นมากกว่าแอปพลิเคชันรับแจ้งปัญหา แต่เป็นระบบนิเวศการบริหารจัดการเมืองที่ใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน ปัจจุบันถูกนำไปใช้แล้วใน 29 จังหวัดทั่วประเทศ ครอบคลุมประชากรกว่า 30-37 ล้านคน และมีส่วนราชการร่วมใช้งานกว่า 19,228 หน่วยงาน เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนและสร้างความโปร่งใสในการทำงานของภาครัฐ แต่ยังถูกพัฒนาให้เป็นเครื่องมือสำคัญในภาวะวิกฤต เช่น การแจ้งรอยร้าวอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว การรายงานสถานการณ์และขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุทกภัย และการแจ้งเบาะแสต้นตอของฝุ่น PM2.5
ขณะเดียวกัน ในมิติสาธารณสุขที่ประเทศเผชิญกับความท้าทายจากความแออัดในโรงพยาบาล สวทช. ได้พัฒนาแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ดิจิทัล Digital Healthcare ที่มีผู้ได้รับประโยชน์แล้วกว่า 7.8 ล้านคน และมีหน่วยงานเข้าร่วมแล้ว 8,441 แห่ง โดยมี แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิ เป็นหัวใจสำคัญในการเชื่อมต่อประชาชนกับหน่วยบริการปฐมภูมิใกล้บ้าน ช่วยลดภาระของโรงพยาบาลขนาดใหญ่และสนับสนุนนโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ที่ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้ทันท่วงที พร้อมกันนี้ยังได้พัฒนาแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์สังคมสูงวัยอย่าง แพลตฟอร์มนิรันดร์ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่จะเป็นผู้ช่วยให้ผู้บริบาลสามารถติดตามและดูแลผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สร้างความมั่นคงด้านอาหาร ทรัพยากร และเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่คุกคามภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ สวทช. ได้ใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงในการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวแห่งอนาคต เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ทำให้ได้ข้าวพันธุ์ใหม่อย่าง ข้าวเจ้าพันธุ์ไบโอเทค 1 (A1) ที่มีความสามารถในการต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและยังให้ผลผลิตสูงถึง 800-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ข้าวเจ้าพันธุ์หอมชลสิทธิ์ 2 (S16) ที่ทนทานต่อน้ำท่วมฉับพลันและต้านทานโรคขอบใบแห้งและโรคไหม้ได้ดี นอกจากนี้ยังมีข้าวหอมสยาม ข้าวเจ้าหอมพันธุ์ไทยพัฒนาโดย ไบโอเทค สวทช. ที่โดดเด่นด้านกลิ่นหอม รสชาติอร่อย ต้านทานโรคไหม้ ให้ผลผลิตดี และเหมาะกับพื้นที่หลากหลาย เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ต้องการพันธุ์ข้าวคุณภาพสูง ทั้งเชิงพาณิชย์และเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร
ในด้านทรัพยากรพื้นฐาน สวทช. ได้จัดตั้งคลินิกคุณภาพน้ำ เพื่อจัดการกับวิกฤตน้ำอุปโภคบริโภคโดยตรง หลังพบข้อมูลน่ากังวลว่าน้ำประปาหมู่บ้านผ่านมาตรฐานน้ำดื่มได้เพียง 10% โดยได้พัฒนาเซนเซอร์ตรวจวัดสิ่งปนเปื้อนในน้ำ และเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพระบบผลิตน้ำประปาหมู่บ้าน และนำร่องใช้งานในพื้นที่จังหวัดลำปาง เชียงราย กำแพงเพชร พิษณุโลก กาฬสินธุ์ อุดรธานี และขอนแก่น ช่วยให้ 24,000 ครัวเรือนได้เข้าถึงน้ำสะอาดที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในเวทีโลก สวทช. ได้พัฒนาฐานข้อมูลและตัวชี้วัดเพื่อ Net Zero และเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อเป็นเครื่องมือให้แก่ภาครัฐและเอกชนกว่า 180 หน่วยงาน ในการมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ที่สำคัญฐานข้อมูลนี้ยังช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยให้พร้อมรับมือกับมาตรการทางการค้าที่เข้มงวด เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2569
นอกจากนี้ สวทช. ยังช่วยผู้ประกอบการไทย ยกระดับผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ด้วยแพลตฟอร์ม Food SERP แพลตฟอร์มส่วนผสมฟังก์ชัน อาหารและเวชสำอาง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักขับเคลื่อนประเทศ ได้แก่ มีการผลิตนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ 47 รายการ สร้างการลงทุน 318 ล้านบาท สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ 4,853 ล้านบาท มีมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า 13,000 ล้านบาท และยังพัฒนาแพลตฟอร์ม Industry 4.0 Platform สนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อเพิ่มคุณภาพการผลิต โดยสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 แบบ ครบวงจร ผลลัพธ์คือมีโรงงานอุตสาหกรรมใช้งาน Thailand i4.0 Check up 917 ราย มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี Smart Factory สู่สถานประกอบการ 117 แห่ง และพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ของไทยให้มีระดับความพร้อมมากถึง 9 กลุ่มอุตสาหกรรม
วิสัยทัศน์วาระที่ 2 สวทช. ชู สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานในวาระต่อไป ว่า สวทช. จะรับเอาโจทย์ประเทศจากผู้ที่มีปัญหาจริง และนักวิจัยรวมพลังทำจริง สวทช. จับมือกับกระทรวงต่าง ๆ ทำเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ ที่มีหน้าที่บริการประชาชนทำได้ดีขึ้น โดยเดินหน้าทำงาน ผ่านวิสัยทัศน์และทิศทางการดำเนินงานในวาระที่ 2 คือ “สวทช. เป็นขุมพลังหลักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน” ด้วย 4 กลยุทธ์ ได้แก่ (1) ขับเคลื่อนแผน S&T Implementation for Sustainable Thailand ร่วมกับพันธมิตรสำคัญเพื่อขยายผลสู่การใช้ประโยชน์งานวิจัยในสังคม (2) สร้างความเข้มแข็ง ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีที่สำคัญเพื่อตอบโจทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ (3) สร้างการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานของ สวทช. และพัฒนาบุคลากรด้าน วทน. และ (4) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและวัฒนธรรมการทำงานที่ไร้รอยต่อเพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นอันดับแรก
“ภายใต้กลยุทธ์เหล่านี้ สวทช. ในวาระที่ 2 เป้าหมายหลักเราต้องการให้งานวิจัยถึงผู้ใช้ประโยชน์จริง โดยใช้หลักการ “สร้าง-ปรับ-รักษา-ละทิ้ง” โดย สร้าง เป็นธงนำของการทำงานในการสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปรับ คือ ปรับเปลี่ยนจากสิ่งที่นักวิจัยอยากทำ เป็นการเอาปัญหาประเทศเป็นตัวตั้ง เพื่อระดมสรรพกำลังแก้ปัญหาให้เป็นรูปธรรม รักษา คือ การรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพและโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่ง ให้คงอยู่และเป็นที่พึ่งของสังคม และ ละทิ้ง คือ ละทิ้งความเชื่อที่ว่าความสำเร็จเท่ากับการตีพิมพ์หรือจดสิทธิบัตร” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าว
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เป้าหมายในการขับเคลื่อนขุมพลัง วทน. ทาง สวทช. พร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตร มุ่งเป้าทำผลงานวิจัยที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศ และเป็นภารกิจสำคัญในวาระต่อไปของ สวทช. อาทิ
ด้านการศึกษา สวทช. จับมือกระทรวงศึกษาธิการ ขับเคลื่อนการใช้ AI ยกระดับการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำด้านการเรียนรู้ ผ่านแพลตฟอร์ม LEAD Education ซึ่งเป็นเทคโนโลยีด้านการศึกษา (EdTech) ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการเรียนรู้โดยตรง โดยระบบจะใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคน ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้ครูสามารถเข้าไปช่วยเหลือและพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที รวมถึงแพลตฟอร์ม ‘KidBright μAI (คิดไบรท์ ไมโครเอไอ)’ ฝึกเขียนโค้ดและสร้างโมเดล AI เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ชีวิต
ด้านเกษตร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตและสร้างความมั่นคงทางอาหาร สวทช. จับมือทำงานร่วมกับหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเปลี่ยนเกษตรแบบดั้งเดิม สู่เกษตรสมัยใหม่ ผลักดันการใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการพัฒนาโรงเรือนอัจฉริยะขนาดใหญ่ (Plant Factory) สามารถผลิตพืชผักและสมุนไพรมูลค่าสูงได้ตลอดทั้งปี การพัฒนาชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังเพื่อบรรเทาปัญหา ผลผลิตในอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง เพื่อแก้ปัญหาโรคพืช รวมถึงการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชเพื่อความปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ สวทช. ได้ทำงานร่วมกับกรมปศุสัตว์เพื่อพัฒนาและขยายผลการพัฒนาวัคซีนสัตว์
ด้านการแพทย์และสาธารณสุข สวทช. พร้อมทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข นำเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา สู่ “การแพทย์แม่นยำ” ทั้งการสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลกลางการแพทย์ (Medical AI Data Platform) ของประเทศไทย เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการผลิต AI สำหรับการวินิจฉัยโรคจากภาพถ่ายทางการแพทย์ ซึ่งปัจจุบันได้รวบรวมภาพถ่ายทางการแพทย์แล้วกว่า 2.2 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคสำคัญ เช่น โรคทรวงอก มะเร็งเต้านม และโรคตา เพื่อให้นักวิจัยไทยสามารถพัฒนาเอไอช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนี้ยังขับเคลื่อนโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย (Genomics Thailand) เพื่อนำข้อมูลจีโนมมาพัฒนาการวินิจฉัยรักษาคนไทยที่แม่นยำ ประหยัดค่าใช้จ่าย และป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านอุตสาหกรรม สวทช. จับมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออุตสาหกรรม 4.0 เข้าสู่โรงงาน เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องมาตรฐานโรงงาน โดยพัฒนาแพลตฟอร์มเพิ่มคุณภาพการผลิต สนับสนุนผู้ประกอบการไทยยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบครบวงจร อีกทั้งผนึกกำลังผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนักวิจัย อุตสาหกรรม ภาคเอกชน นักนวัตกร ทำงานร่วมกันผ่านศูนย์นวัตกรรมเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน (SMC) ในการพัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการ โรงงานต่าง ๆ ได้ใช้ประโยชน์จากศูนย์ SMC ทั้งในรูปแบบการสาธิต การเรียนรู้และการทดลองปฏิบัติ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ พัฒนาสู่โรงงานอัจฉริยะ เป็นต้น
นอกจากนี้ สวทช. ยังจับมือกับกระทรวงมหาดไทย และภาครัฐที่ต้องการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ ได้ใช้ประโยชน์แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อบริหารจัดการภาครัฐด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี และ สวทช. ยังได้พัฒนาแอปพลิเคชัน ระบบสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการติดตามและเฝ้าระวัง สถานการณ์ทางธรรมชาติแบบเรียลไทม์ (TanPibut) หรือ ทันพิบัติ ให้กับหน่วยงานด้านเตือนภัยพิบัติของประเทศใช้ประโยชน์ได้ทันทีในยามที่ประเทศต้องเผชิญภัยธรรมชาติ
“ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างการสร้างระบบนิเวศวิจัยที่ยั่งยืนและใช้ประโยชน์ได้จริง โดย สวทช. มุ่งมั่นในการส่งมอบ ‘พิมพ์เขียว’ ระบบนิเวศวิจัยแบบใหม่ของประเทศ เพื่อสร้างชาติ พัฒนาประเทศ ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรวิจัยและทุกภาคส่วน เดินหน้าเพื่อสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และพัฒนาประเทศไทยไปด้วยกัน” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สกพอ. จับมือ ทีเส็บ พร้อมพันธมิตรภาครัฐ ร่วมเอกชนกว่า 100 หน่วยงาน เปิดงาน EEC EXPO 2025 เวทีขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สู่ศูนย์กลางลงทุนแห่งภูมิภาค
(วันที่ 25 สิงหาคม 2568) ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร: นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน "EEC EXPO 2025 - Opportunity for Prosperity" เวทีสำคัญของ EEC เปิดประตูการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) พร้อมด้วย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ รวมทั้งได้ผนึกกำลังภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการเงินกว่า 100 หน่วยงาน ร่วมแสดงศักยภาพเชื่อมโยงนักลงทุนไทยและต่างชาติ ผ่านกิจกรรมที่สำคัญภายในงาน เช่น เวทีเสวนาวิชาการในหัวข้อที่สำคัญ อาทิ Mega Project, Mega Impact เร่งเครื่องโครงสร้างพื้นฐานหลัก EEC ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย, การขับเคลื่อนอนาคต EEC ด้วยพลังงานสะอาดและการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการ จับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ที่พร้อมเชื่อมโยงนักลงทุน ผู้ซื้อ และผู้ประกอบการจากทั่วประเทศได้พบปะกับภาค ธุรกิจในพื้นที่ EEC เพื่อย้ำถึงบทบาทและผลักดันการขับเคลื่อนไทยสู่การเป็น "ศูนย์กลางการลงทุนระดับภูมิภาค"
โอกาสนี้ ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เป็นผู้แทนองค์กร เข้าร่วมในพิธีเปิดงาน พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการภายในงาน โดย สวทช. ได้ร่วมจัดนิทรรศการประกอบด้วยบูธจาก EECi และ ENTEC สวทช. ภายในงาน EEC EXPO 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 สิงหาคม 2569 ณ ภิรัช ฮอลล์ 1-3 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ. กล่าวว่าภารกิจหลักของ สกพอ. คือ การผลักดันให้พื้นที่ EEC ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งอนาคตของภูมิภาค โดยงาน EEC Expo ครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญเพื่อขับเคลื่อนภายใต้วิสัยทัศน์ "EEC 2030 Vision: Driving Thailand's Economic Future" มุ่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญภายในพื้นที่ EEC การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนคุณภาพจากทั่วโลก โดยเฉพาะ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง ทั้งยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแพทย์ครบวงจร การท่องเที่ยวคุณภาพสูง และอุตสาหกรรมดิจิทัลนอกจากนี้จะเดินหน้าบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงกับภาคการผลิตและบริการ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว งาน EEC EXPO 2025 จึงเป็นเวทีสำคัญที่ไม่เพียงนำเสนอความก้าวหน้าของโครงสร้างพื้นฐานและเมกะโปรเจกต์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างนักลงทุนไทยและต่างชาติ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน
ดร. ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า การใช้ไมซ์ (MICE) เป็นกลไกเชิงกลยุทธ์ ถือเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับพื้นที่สู่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ MICE Foresight: Secret of Area Development Success เรามุ่งผลักดันให้การจัดประชุม นิทรรศการ และกิจกรรมทางธุรกิจ กลายเป็นเครื่องมือสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้แก่พื้นที่ โดยเฉพาะใน EEC ซึ่งเป็นเขตยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ งาน EEC EXPO 2025 จึงเป็นตัวอย่างชัดเจนของการบูรณาการไมซ์เข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างเวทีพบปะ เจรจา และจับคู่ธุรกิจระดับนานาชาติ เปิดโอกาสให้นักลงทุนและผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก ตลอดจนมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่พร้อมอำนวยความสะดวก เราเชื่อมั่นว่างานนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และยกระดับมาตรฐานไมซ์ไทยสู่เวทีโลก
ทั้งนี้ "EEC EXPO 2025" งานแสดงศักยภาพเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) บนเวทีระดับนานาชาติ นำเสนอความก้าวหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และระบบสนับสนุนการลงทุนครบวงจร เปิดโอกาสเชื่อมโยงนักลงทุนไทยและต่างชาติ สู่ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต จัดแสดงนิทรรศการ เทคโนโลยี และโซลูชั่นจากภาครัฐ เอกชน และสตาร์ตอัปชั้นนำ พร้อมกิจกรรม Business Matching และสัมมนานโยบาย เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนอย่างยั่งยืน พร้อมเชื่อมโอกาสให้ทุกภาคส่วนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การลงทุนยุคใหม่ เปิดประตูสู่อนาคตที่มั่งคั่งและยั่งยืนไปด้วยกัน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
10 Technologies to Watch 2025: ปัญญาประดิษฐ์ที่รู้คิดและตัดสินใจได้เอง (Agentic AI)
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (artificial intelligence: AI) มีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนและอัจฉริยะมากขึ้นทุกวัน ปัญญาประดิษฐ์ในยุคแรก ๆ นั้นยังทำงานได้แค่ตามคำสั่ง ยุคต่อมาเป็น “เอไอแบบรู้สร้าง” หรือ เจเนเรทีฟเอไอ (generative ai) ที่สร้างเนื้อหา ข้อความ รูปภาพ ขึ้นมาใหม่ได้ แต่ยังต้องป้อนคำสั่งอยู่ แต่ AI ยุคหน้าจะรับจบงานเองได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งเพิ่มเติมอีกต่อไป
Agentic AI คือ ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองจากการใช้แมชีนเลิร์นนิง (Machine Learning) การประมวลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models: LLMs) สามารถใช้ตรรกะวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง จนวางแผนการดำเนินงาน พร้อมปฏิบัติงานมุ่งเป้าและตัดสินใจเองได้โดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุมอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานของตนเองเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วย
Agentic AI มีทิศทางไปสู่การสร้างระบบนิเวศของ AI ที่ซับซ้อนและทำงานร่วมกันได้มากขึ้น ผ่านระบบหลายตัวแทน (Multi-Agent Systems) หรือที่เรียกกันว่า AI Agent ซึ่งมีเอไอหลายตัวที่ทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน แต่สื่อสารและทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาด้วยกันได้อย่างราบรื่น ผ่านการควบคุมของ Agentic Conductor ที่ทำหน้าที่เสมือนสมองกลาง
ในแวดวงการเงินและการธนาคารใช้เทคโนโลยีนี้มาช่วยให้คำแนะนำการลงทุน ตัวอย่างเช่น บริษัท Finnomena ใช้ AI Agent คัดกรองอีเมลจากพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ ก่อนจะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อส่งต่อไปยังนักลงทุน และยังใช้เพื่อตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์อีกด้วย ขณะที่ประเทศจีนนำ AI Agent มาใช้จำลองบทบาทนักเรียนที่มีบุคลิก ลักษณะนิสัย และความสามารถที่แตกต่างกัน เพื่อฝึกสอนครู
สวทช. มีงานวิจัย Agentic AI ที่ใช้ช่วยเหลือคนพิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โดยประยุกต์ใช้สร้างคำบรรยายแทนเสียงแบบอัตโนมัติ ช่วยให้คนหูหนวกเข้าถึงข้อมูลที่เป็นเสียงพูดได้ด้วยการอ่านข้อความแทนการฟังเสียง มี Agentic Conductor เป็นสมองกลางที่ทำงานร่วมกับเครื่องมือหลากหลายที่เนคเทคพัฒนาขึ้น เช่น DocChat สำหรับถาม-ตอบจากเอกสาร, DocGen สำหรับร่างเนื้อหาอัตโนมัติ หรือ Pathumma LLM ที่เข้าใจภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง รวมถึงการเชื่อมต่อกับ AI services อื่น ๆ บนแพลตฟอร์ม AI for Thai เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจที่สุด ระบบนี้ยังเชื่อมต่อกับ AI agent ของหน่วยงานพันธมิตรภายนอกได้ ทั้งกับหน่วยงานวิจัยด้วยกัน หน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ และองค์กรรัฐ
📌 อ่านข้อมูลฉบับเต็มและข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่: https://www.nstda.or.th/r/BtQWQ
📌 รับชมการบรรยายได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=8cAv6AEX55c
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
สวทช. และมูลนิธิ SOS ขยายผล “ชุมชนรักษ์อาหาร” สู่ จ.นครสวรรค์ ยกระดับการจัดการอาหารส่วนเกินด้วยวิทยาศาสตร์และเครือข่ายจิตอาสา สร้างความมั่นคงทางอาหารและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
(19 สิงหาคม 2568) ณ จังหวัดนครสวรรค์ - ด้วยปัญหาขยะอาหารที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารของประชากรกลุ่มเปราะบาง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกับ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) และภาคีเครือข่าย ทั้งหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ดำเนินงานโครงการขยายผลแนวทางการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปริมาณขยะอาหารและเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งมีเป้าหมายในการขยายผลโครงการใน 8 จังหวัดทั่วประเทศในปี 2568 โดยจังหวัดนครสวรรค์เป็นหนึ่งในจังหวัดนำร่องที่สำคัญ ซึ่งการขับเคลื่อนโครงการอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่นครสวรรค์ เริ่มต้นด้วยการจัดการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) ร่วมกับเครือข่ายตัวกลางและผู้รับอาหาร โดยมีคุณสิริธร พวงสมบัติ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป เป็นผู้แทนสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครสวรรค์ กล่าวต้อนรับ โดยมีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จาก 15 อำเภอของ จ.นครสวรรค์ ผู้แทนจากโรงเรียน วัด และเครือข่ายจิตอาสาในพื้นที่เข้าร่วมหารืออย่างพร้อมเพรียงกว่า 70 คน เพื่อสร้างแนวทางการดำเนินงานที่ยั่งยืนและเชิญชวนเข้าร่วมโครงการ “ชุมชนรักษ์อาหาร” พร้อมกันนี้ยังเปิดเวทีรับสมัครอาสาสมัครรักษ์อาหารในพื้นที่กับมูลนิธิ SOS เพื่อขยายเครือข่ายตัวกลางให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดใน จ.นครสวรรค์ ด้วย
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า “โครงการขยายผลแนวทางการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปริมาณขยะอาหารและเพิ่มความมั่นคงอาหาร” มีความมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม การประชุมครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการร่วมกันสร้างระบบนิเวศการจัดการอาหารที่เข้มแข็งในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งในงานได้เชิญอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และเครือข่ายจิตอาสาในพื้นที่ เข้าร่วมหารือและเรียนรู้ขั้นตอนการเป็น “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการ Local food rescue (ชุมชนรักษ์อาหาร) เพราะเป็นตัวกลางผู้เชื่อมระหว่างผู้ให้อาหารและผู้รับอาหาร ฉะนั้น การมีเครือข่ายอาสาสมัครที่แข็งแกร่งจะช่วยให้การส่งต่ออาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมายที่สุด รวมถึงในงานยังมีตัวแทนอาสาสมัครผู้มีประสบการณ์มาร่วมแบ่งปันเรื่องราวและสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อมาช่วยกันแก้ปัญหาการเกิดขยะอาหารและการสูญเสียอาหารซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารของประชากรกลุ่มเปราะบางหรือผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่
ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส และหัวหน้าโครงการจาก สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ดำเนินโครงการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand's Food Bank) เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจรในการขยายผลและประยุกต์ใช้แนวทางบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน (Food surplus) ของประเทศไทยในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งอาหารส่วนเกินที่ยังคงคุณภาพดีจะถูกนำมาบริหารจัดการและส่งต่อให้กับกลุ่มคนเปราะบางหรือผู้ขาดแคลนในสังคม เช่น ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นการสร้างระบบที่เชื่อมโยงระหว่างผู้บริจาค เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และซูเปอร์มาร์เก็ต กับผู้รับ ได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง สวทช. ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่บริหารจัดการโครงการ แต่ใช้เทคโนโลยีและงานวิจัยจากศูนย์วิจัยแห่งชาติในสังกัด เพื่อสร้างระบบนิเวศการจัดการอาหารที่มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และยั่งยืนในระยะยาว ได้แก่ ไบโอเทค กับงานวิจัยเพื่อสร้างมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในการรักษาความปลอดภัยและสุขอนามัยของกระบวนการบริจาคอาหารส่วนเกิน เนคเทคกับการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการและจับคู่ (Matching) ระหว่างผู้ให้และผู้รับอาหาร และเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับบันทึกข้อมูลการบริจาคอาหาร รวมทั้งเอ็มเทคกับการศึกษาและจัดทำฐานข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ของอาหารที่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ซึ่งมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ
โอกาสนี้ คุณอุทัยวรรณ พึ่งทอง ประธานเครือข่ายศูนย์การดำรงชีวิตอิสระคนพิการ อ.ตาคลี และ คุณนพนันต์ ทับทิม ประธาน อพม. เขตเทศบาลนครสวรรค์ ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครรักษ์อาหารที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมเห็นภาพการทำงานจริงและเข้าใจถึงคุณค่าของการเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจนี้ รวมถึงคุณณัฐพล เกษมราษฎร์ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิ SOS ยังได้อธิบายขั้นตอนการเข้าร่วมเป็น “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การรับสมัคร การฝึกอบรม จนถึงการปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ โดยยึดหลักการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารที่ได้รับบริจาคมีคุณภาพดีและปลอดภัย
“การเลือกจังหวัดนครสวรรค์เป็นพื้นที่นำร่องมาจากศักยภาพด้านเครือข่ายที่เข้มแข็ง และความพร้อมของพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นเมืองศูนย์กลางทางภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งเหมาะสมในการเป็นต้นแบบสำหรับการทดลองและพัฒนาระบบต่าง ๆ โดยข้อมูลและบทเรียนที่ได้จากนครสวรรค์จะถูกนำไปเป็นโมเดล เพื่อปรับใช้และขยายผลไปยังอีกจังหวัดเป้าหมายที่เหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งการประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป” ดร.ปัทมาพร หัวหน้าโครงการ กล่าวปิดท้าย
พร้อมกันนี้ช่วงเวลาเดียวกัน ในโอกาสได้มาเปิดเวทีขยายผลยังจังหวัดนครสวรรค์ คณะผู้วิจัยจาก สวทช. และเครือข่ายมูลนิธิ SOS ได้เข้าร่วมมอบไก่ทอด 300 ชุดและขนมสาคูเปียกข้าวโพด 300 ชุด ภายใต้โครงการน้ำพระทัยพระราชทานส่วนภูมิภาคฯ ที่ทางจังหวัดจัดงานขึ้น ณ โรงเรียนนครสวรรค์ปัญญานุกูล ซึ่งอาหารดังกล่าวได้มาจากโครงการกอบกู้อาหารส่วนเกินในพื้นที่ จ.นครสวรรค์
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. โดย TECE จัดงานใหญ่ ‘Open Innovation for EV Battle’ รวมพลังทุกภาคส่วนช่วยผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยรอด-โตในยุค EV พลิกเกมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ สร้างโอกาสใหม่ด้วยนวัตกรรม
กรุงเทพฯ – 21 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมดุสิต ปริ้นเซส ศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) จัดงานสัมมนาครั้งสำคัญ "Open Innovation for EV Battle “ชิ้นส่วนยานยนต์ไทย…ต้องรอด” พลิกเกมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ สร้างโอกาสใหม่ด้วยนวัตกรรม Game-Changing Innovation for Thailand’s Auto Parts Industry เพื่อระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการผลักดันและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ท่ามกลางความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
ในโอกาสนี้ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) และผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช.กล่าวต้อนรับและเปิดงานฯ โดยกล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์’ ซึ่งเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศมาอย่างยาวนาน สวทช. จึงเล็งเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างเวทีกลางภายใต้แนวคิด ‘Open Innovation’ เพื่อเชื่อมโยงผู้ประกอบการเข้ากับเทคโนโลยี นวัตกรรม แหล่งทุน และเครือข่ายนักวิจัย เพื่อร่วมกันหาทางออกและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ”
คุณสุพจน์ สุขพิศาล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ในการแข่งขัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และรองเลขาธิการสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวถึงการปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ปัจจุบันตลาดรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว ผู้ประกอบการต่างเผชิญความท้าทาย ผลประกอบการลดลง และต้องรักษาสถานะเดิมไว้ เพื่อไม่ให้กระทบต่ออุตสาหกรรมนี้ ที่มีแรงงานกว่า 700,000 คนทั่วประเทศ ในด้านนโยบาย ประเทศไทยควรรักษาการเป็นฐานการผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Future ICE) พร้อมเร่งขยายตลาดส่งออกยานยนต์และอะไหล่ทดแทน ไปยังประเทศที่ยังใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งรวมถึงรถไฮบริด ในขณะเดียวกัน ต้องสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ภายใต้นโยบาย Zero Emission EV หรือ ZEV 30@30 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังต้องผลักดัน Parts Transformation ให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมอื่น เช่น ระบบราง เครื่องมือแพทย์ หรือเกษตรกรรม ซึ่งประเทศไทยยังขาดปัจจัยสำคัญ คือ การต้องแข่งขันด้านราคาด้วยการลดต้นทุนกว่า 30% และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตชิ้นส่วน ความพร้อมการด้านผลิตชิ้นส่วน อีกทั้งยังต้องการบุคลากรและผู้ประกอบการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic parts) ที่จะเป็นชิ้นส่วนสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างความพร้อมให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศ
ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนด้านแหล่งทุน พร้อมเปิดเวทีให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดใจ ซึ่งผู้บรรยายคาดหวังว่ากระบวนการนี้จะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “นวัตกรรม” (Innovation) และต่อยอดสู่การยกระดับขีดความสามารถของประเทศในอนาคต
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) และรองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช.กล่าวว่า “การเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานของผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจากจีน (OEM) ในประเทศไทย ก่อให้เกิดทั้งโอกาสและความท้าทายต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยยังเผชิญข้อจำกัดสำคัญหลายประการ ได้แก่ ขาดเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ต้นทุนการผลิตสูง และประสิทธิภาพการผลิตที่ยังไม่สามารถตอบโจทย์การแข่งขัน ดังนั้น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต การลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการยกระดับทักษะบุคลากร เพื่อให้สามารถแข่งขันและมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว ภายใต้ความท้าทายนี้ จึงได้มีการกำหนดแผนงานวิจัยและพัฒนาเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ผลิตไทย โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผ่านศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้า (TECE) ร่วมมือกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยในด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตชิ้นส่วน Common parts เดิมกับรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ให้สามารถแข่งขันด้านราคาได้ ให้สามารถผ่านการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ (Vendor List) ของผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจากจีนได้อย่างเร่งด่วน และยกระดับผู้ประกอบการเข้าสู่การผลิตชิ้นส่วนหลักของยานยนต์ไฟฟ้า เช่น Battery Management System (BMS), Drive Control Unit (DCU) และ Inverter การดำเนินการนี้ไม่เพียงช่วยสร้างความพร้อมของผู้ประกอบการไทยในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิตจีน แต่ยังเป็นการวางรากฐานเพื่อให้ประเทศไทยสามารถรักษาฐานการผลิตยานยนต์ในระดับโลก ควบคู่กับการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างยั่งยืน”
คุณตรีพล บุญยะมาน รองผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า จากผลการสำรวจความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จากผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทย พบว่าผู้ผลิตรถยนต์ 6 ราย มีความต้องการชิ้นส่วนในประเทศรวม 97 รายการ ซึ่งเกือบครึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในกลุ่ม ระบบยานยนต์สมัยใหม่ (Powertrain) โดยเฉพาะผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศกลุ่ม Electric Powertrain ซึ่งยังไม่เคยมีการผลิตมาก่อน เช่น กลุ่มEnergy Storage System และ Motor/Generator รวมถึงข้อกำหนดมาตรฐานเฉพาะของชิ้นส่วนในกลุ่ม Electric Powertrain ประกอบกับโอกาสจากภาครัฐ จากนโยบาย EV3.0/3.5 ซึ่งกระตุ้นตลาดและการผลิตให้เปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์สมัยใหม่มากขึ้น และปัจจุบันอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงการผลิตในประเทศ (Localization) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทยอยตั้งโรงงานผลิตและกำลังมองหาผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศมากขึ้น
โดยในครั้งนี้ สวทช. ได้รับเกียรติจากหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการลงทุนของผู้ประกอบการ ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปฐมทัศน์ จิระเดชะ ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มด้านระบบคมนาคม โลจิสติกส์ พลังงาน เคมี และวัสดุชีวภาพ และเศรษฐกิจหมุนเวียน, สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) โดย คุณพิชชารีย์ กีรติธากุล นักพัฒนานวัตกรรมอาวุโส ฝ่ายสนับสนุนการเงินนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ, โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) โดย ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมฯ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดย คุณยอดกมล สุธีรพจน์ นักวิชาการส่งเสริมการลงทุน ชำนาญการพิเศษ กองส่งเสริมการลงทุน 2
นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจากคุณวัชรา ลี้โกมลชัย : ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี แอล พี เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และคุณสุสยาม อนันตสายนนท์ ผู้อำนวยการกลุ่มขายและการตลาด บริษัท ไทยนามพลาสติกส์ จำกัด (มหาชน) มาแชร์ประสบการณ์ในเสวนา Success Cases: ตัวอย่างความสำเร็จ “การปรับตัวพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ในอุตสาหกรรมยานยนต์”
และในช่วงบ่าย ผู้ประกอบการกว่า 20 หน่วยงาน ได้เข้าร่วมกิจกรรม TechCare Hub “ตีโจทย์ให้แตก จัดทัพ บริษัท-นักวิจัย-แหล่งทุน ให้ถูก” ซึ่งเป็นการพูดคุยปัญหา (Pain points) หรือความต้องการยกระดับการแข่งขันของผู้ผลิตกับนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ได้แก่ วิศวกรรมยานยนต์ กระบวนการผลิต วัสดุศาสตร์ รวมถึงด้านระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ พร้อมทั้งได้รับคำปรึกษาจากแหล่งทุนวิจัย ผลลัพธ์ที่ได้จากกิจกรรม "Open Innovation for EV Battle” นี้ จะเกิดเป็นโครงการวิจัยที่จะเข้าไปขอการสนับสนุน และการลงทุนเครื่องจักรที่เหมาะสม พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากภาครัฐเพื่อเป็น “สปริงบอร์ด” ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และผู้ที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในสมรภูมิยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต
เกี่ยวกับ TECE
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (Thailand EV Center of Excellence: TECE) เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 ภายใต้การดำเนินงานของ สวทช. มีวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้า (EV Hub) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และบรรลุเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไร้มลพิษ 30% ภายในปี 2030 โดยดำเนินงานผ่าน 4 กลยุทธ์การขับเคลื่อนหลัก (Driving Strategies) ได้แก่:
EV-Innovation: ขับเคลื่อนงานวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (NQI)
EV-HRD: พัฒนากำลังคนในภาคอุตสาหกรรมโดยใช้ความเชี่ยวชาญของ สวทช. และพันธมิตร
EV-Connect: เชื่อมโยงกับหน่วยงานสนับสนุนเพื่อขยายผลและบ่มเพาะผู้ประกอบการ
EV-Transformation: ขยายผลการประยุกต์ใช้ สร้างแพลตฟอร์มส่งเสริมการใช้งาน และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในห่วงโซ่คุณค่า EV
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
10 Technologies to Watch 2025: หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ (Humanoid Robot)
หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ หรือ หุ่นยนต์ที่ออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ สามารถเดิน ยืน หยิบจับสิ่งของ และโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ กำลังกลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีล้ำสมัยที่น่าจับตามองที่สุดในยุคปัจจุบัน หุ่นยนต์เหล่านี้พัฒนาขึ้นจากการรวมศาสตร์หลากหลายแขนง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เซนเซอร์ขั้นสูง ระบบขับเคลื่อน วัสดุศาสตร์ จึงทำงานในสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานมากนัก
จุดเด่นหรือสิ่งที่ทำให้หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์น่าสนใจ คือ “ความอเนกประสงค์” ไม่ว่าจะเป็นการเดินสองขาเหมือนมนุษย์ หยิบจับสิ่งของอย่างแม่นยำ หรือแม้แต่การเรียนรู้และการเลียนแบบพฤติกรรมจากการฝึกฝนในโลกเสมือน เพื่อให้ทำงานได้ดีในโลกจริง หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ยังปรับตัวเข้ากับงานหลายรูปแบบในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่เป็นมิตร ทำให้การทำงานร่วมกับมนุษย์ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ปัจจุบันมีการนำหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ไปใช้ในงานหลากหลาย ตั้งแต่ในอุตสาหกรรมการผลิต ช่วยประกอบชิ้นส่วน ตรวจคุณภาพ ขนย้ายวัสดุ ใช้ในด้านโลจิสติกส์ บรรจุสินค้า จัดการสินค้าคงคลัง ใช้ในด้านการแพทย์และการดูแลผู้สูงอายุ โดยเป็นผู้ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ ดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ขนส่งยา ใช้งานในสภาพแวดล้อมอันตรายและภัยพิบัติ หรือแม้กระทั่งใช้ในด้านความบันเทิงและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ในปี ค.ศ. 2024 ตลาดหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ทั่วโลกมีมูลค่าราว 3,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าตลาดจะเติบโตจาก 5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2025 เป็น 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2029 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นอยู่ที่ร้อยละ 52.2
ตัวอย่างการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ เช่น หุ่นยนต์ Optimus ของบริษัท Tesla ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต, หุ่นยนต์ Digit ของบริษัท Agility Robotics ใช้ในคลังสินค้าและโลจิสติกส์, หุ่นยนต์ Atlas ของบริษัท Boston Dynamics ใช้ในสภาพแวดล้อมอันตรายและภัยพิบัติ
นอกจากนี้ยังมีหุ่นยนต์ Sophia ของบริษัท Hanson Robotics ใช้เพื่อความบันเทิงและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และหุ่นยนต์ Unitree G1 ของบริษัท Unitree Robotics เป็นฮิวแมนอยด์ที่เปรียบเหมือนเป็นร่างอวตารของ AI มีความยืดหยุ่นเหนือระดับคนทั่วไป และเคลื่อนไหวได้แบบไร้ขีดจำกัด
การเคลื่อนไหวที่ราบรื่นของหุ่นฮิวแมนอยด์พัฒนาขึ้นมากตั้งแต่เริ่มใช้ Servo Motors และ Harmonic Drive ในหุ่น Asimo ของฮอนด้า จนหันมาใช้ Hydraulic และ Electric Actuators ในปัจจุบัน
หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์กำลังเปลี่ยนแปลงโลกการทำงานและชีวิตประจำวันของเราอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือโอกาสในการยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนไทย หากเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรให้พร้อม เราสามารถเป็นผู้นำในยุคของหุ่นยนต์ได้จริง
📌 อ่านข้อมูลฉบับเต็มและข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่: https://www.nstda.or.th/r/BtQWQ
📌 รับชมการบรรยายได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=8cAv6AEX55c
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ


