หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.12 – วิเคราะห์เจาะลึก ‘COVID-19’ กับนักไวรัสวิทยาเมืองไทย
  วิเคราะห์เจาะลึก 'COVID-19' กับนักไวรัสวิทยาเมืองไทย โรคอุบัติใหม่เป็นปัญหาที่ส่งผลโดยตรงกับความปลอดภัยในชีวิตของมนุษยชาติ สร้างผลกระทบในวงกว้างทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งในช่วง 20-30 ปี มานี้ มีโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้นกว่า 30 โรค ส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อจากสัตว์สู่คน และพัฒนาตัวเองจนสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ อีกทั้งยังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเดินทางระหว่างประเทศซึ่งเป็นไปอย่างสะดวก ทำให้ยากต่อการเฝ้าระวังและควบคุมโรค  ล่าสุดคือ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ '2019-nCoV' ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนได้สร้างความตื่นตัวให้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก เฉพาะสถานการณ์ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขรายงานการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 สรุปมีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อที่รักษาตัวในโรงพยาบาล 17 ราย กลับบ้านแล้ว 8 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 25 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์) ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา วิเคราะห์เจาะลึก "COVID-19" กับนักไวรัสวิทยาเมืองไทย สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่กำลังลุกลามไปในหลายประเทศทั่วโลก ประกอบกับตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกที่พุ่งทะลุ 100,000 คน ไปแล้ว และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 3,000 คน ที่ให้หลายฝ่ายกังวลว่าการระบาดจะก้าวเข้าสู่ระดับการระบาดใหญ่ (Pandemic) หรือไม่ ขณะที่ประเทศไทยได้ประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 เพื่อยกระดับมาตรการเฝ้าระวังที่เข้มข้นมากขึ้น ทว่าท่ามกลางการระบาดที่ยังคงลุกลามอย่างรุนแรง ประชาชนจำนวนไม่น้อยยังไม่รู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับโรค COVID-19 อย่างแท้จริง   ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คือนักไวรัสวิทยาที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับไวรัสโคโรนามากกว่า 10 ปี ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบ Reverse Genetics ของไวรัสโคโรนาในสุกร และมีผู้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมาต่อยอดจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นผู้นำการวิจัยด้านไวรัสโคโรนาของประเทศไทย ผู้ซึ่งจะมาช่วยไขข้อข้องใจและอธิบายถึงองค์ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับโรค COVID-19 โรค COVID-19 เกิดจากอะไร?  โรค COVID-19 (Coronavirus Disease-2019) เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อว่า Virus SARS-CoV-2 (Severe Acute Respiratory Syndrome Coronavirus 2) ซึ่งแม้จะเป็นโรคอุบัติใหม่ในมนุษย์ แต่เชื่อว่าไวรัสโคโรนาชนิดนี้ น่าจะอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นมาก่อน ซึ่งน่าจะเป็น ค้างคาว แล้วมีการกระโดดข้ามมาสู่สัตว์ชนิดอื่นที่ยังไม่ทราบชนิดแน่นอน ก่อนจะมาสู่คนอีกที ซึ่งแต่ละการกระโดดข้ามสายพันธุ์ไวรัสจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น SARS-CoV-2 ที่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้รวดเร็ว ไวรัสโคโรนา มีสารพันธุกรรม หรือ จีโนม เป็น อาร์เอ็นเอขนาดยาวที่สุดในบรรดาไวรัสที่มีจีโนมเป็น อาร์เอ็นเอ (RNA virus) รูปทรงของไวรัสมีส่วนที่ยื่นออกมารอบๆ คล้ายมงกุฎ (crown) หรือรัศมีของดวงอาทิตย์ จึงเป็นที่มาของชื่อ Corona ที่แปลว่ามงกุฎหรือรัศมีในภาษาละติน ไวรัสโคโรนาพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เช่น สุกร สุนัข แมว อูฐ และ ค้างคาว และ สัตว์ปีก เช่น ไก่ นก ในธรรมชาติ เชื้อสามารถถ่ายทอดจากสัตว์ไปสู่สัตว์ได้ และบางกรณีก็สามารถถ่ายทอดจากสัตว์สู่คนได้เช่นกัน ซึ่งที่รู้จักคุ้นเคยกันดีคือไวรัส SARS-CoV จากค้างคาวมาสู่ชะมดและมาถึงคน หรือ ไวรัส MERS-CoV ที่มาจาค้างคาวมาสู่อูฐแล้วก็มาถึงคน  สำหรับ SARS-CoV-2 ข้อมูลการถ่ายทอดจากสัตว์สู่คนยังไม่ชัดเจน เบื้องต้นข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรม พบว่าไวรัส SARS-CoV-2 มีความใกล้เคียงกับรหัสพันธุกรรมที่แยกได้จากค้างคาวเกือกม้า ในเมืองยูนนาน ตั้งแต่ปี 2013 มากกว่า 95% แต่ไวรัสดังกล่าวอาจแพร่ไปสู่สัตว์ตัวกลางก่อนมาสู่คน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบชนิดแน่นอน ทำไมโรค COVID-19 ถึงรุนแรงจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต?  ความรุนแรงของโรค COVID-19 อาจเกิดจากคุณสมบัติของไวรัสเอง ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ไวรัสส่วนใหญ่ที่มาบรรพบุรุษมาจากค้างคาวมักก่อโรครุนแรงในมนุษย์ เช่น Ebola virus, SARS-CoV, MERS-CoV เนื่องจากค้างคาวมีภูมิต้านทานต่อไวรัสที่ดีมาก สามารถสร้างโปรตีนต้านไวรัสชนิดต่างๆ ปริมาณสูง ไวรัสที่อยู่รอดได้ในตัวค้างคาวมักเป็นกลุ่มที่มีความรุนแรงสูง เมื่อวันหนึ่งที่ไวรัสเหล่านี้หลุดจากค้างคาวมาติดในสัตว์ตัวกลางหรือมนุษย์ ซึ่งไม่มีภูมิต้านทานที่ดีเช่นค้างคาว หลายๆ ครั้งจะที่ให้ก่อโรคได้รุนแรง  แต่สำหรับ โรค COVID-19 ถือว่าเป็นโรคที่มีอัตราความรุนแรงน้อย เพราะมีอัตราผู้เสียชีวิตน้อยกว่า 2% เมื่อเทียบกับ SARS และ MERS ที่มีอัตราผู้เสียชีวิตถึง 10% และ 30% ตามลำดับ ทั้งนี้ผู้ที่เสียชีวิตจาก COVID-19 ส่วนใหญ่คือผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวซึ่งมีภูมิต้านทานต่ำ แต่สำหรับคนปกติที่แข็งแรง มีภูมิต้านทานดี อาจแค่ติดเชื้อ มีไข้ และหายเป็นปกติได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีมากกว่า 90% และที่น่าสนใจคือมีข้อมูลว่า COVID-19 ในเด็กพบได้น้อย และอาการไม่รุนแรง ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ SARS-CoV-2 แล้วมีอาการรุนแรง เกิดจากสาเหตุใด แต่ข้อมูลจากไวรัสโคโรนาชนิดอื่น เช่น SARS-CoV หรือ MERS-CoV บ่งชี้ว่า ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมักเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาแบบผิดเพี้ยน คือ สูงมากเกินความจำเป็น จนทำให้เข้าทำลายเนื้อเยื่อ และ อวัยวะ เช่น ปอด หรือ ไต ได้  เหตุใดโรค COVID-19 ถึงระบาดเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว? สาเหตุที่ COVID-19 ระบาดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากไวรัสชนิดนี่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ มีผลงานวิจัยหลายชิ้นออกมายืนยันว่า โปรตีน Spike (ส่วนที่ยื่นออกมาจากอนุภาคคล้ายหนาม) ของไวรัส SARS-CoV-2 มีความสามารถให้จับกับตัวรับ (receptor) ที่ชื่อ ACE2 (Angiotensin Converting Enzyme 2) ในร่างกายของคนได้แน่นมากกว่าไวรัสโคโรนาชนิดอื่น ที่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์เป้าหมายได้ดีและแพร่จากคนสู่คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการเปลี่ยนแปลงของโปรตีน Spike ที่ตำแหน่งอื่นอีก เช่น การเพิ่มกรดอะมิโนชนิดเป็นเบส 3) ตำแหน่งอยู่ติดกันทำให้ไวรัสถูกกระตุ้นให้ติดเชื้อโดยเอนไซม์ที่พบได้ในเซลล์มนุษย์ได้ดี และเพิ่มจำนวนได้ไว อีกปัจจัยสำคัญคือ โรค COVID-19 มีความรุนแรงของโรคน้อย มีระยะฟักตัวนาน ทำให้ผู้ติดเชื้อใช้ชีวิตเดินทางออกไปปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ได้มาก จึงเกิดการติดต่ออย่างรวดเร็ว ดังเช่นคุณป้าที่ประเทศเกาหลีใต้ ที่เดินทางไปทำกิจกรรมร่วมกับสมาชิกคนอื่นในโบสถ์ และสถานที่ต่างๆ จนกลายเป็น Superspreader ที่แพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ต่างจากโรคอีโบลาและซาร์สที่มีความรุนแรงของโรคสูง ผู้ป่วยมีอาการหนักและอยู่ในโรงพยาบาล โอกาสการแพร่ระบาดของเชื้อจึงมีน้อย จริงหรือไม่ที่ COVID-19 สามารถเผยแพร่เชื้อผ่านทางฝอยละอองในอากาศ?  หากอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ที่จะมีเชื้อปนเปื้อนในฝอยละอองขนิดเล็กในอากาศ แต่มีโอกาสน้อยที่จะทำให้ติดเชื้อ เนื่องจากเวลาที่เราจามจะมีฝอยละอองหลายขนาดใหญ่ 50-100 ไมครอน ที่ปล่อยออกมาหลังจากผู้ป่วยไอ หรือ จาม และตกสู่พื้นภายใน 15-20 นาที ไม่ไกลจากผู้ป่วยเกิน 2 เมตร และกลุ่มที่สอง คือ "ฝอยละอองขนาดเล็กมาก (Droplet nuclei)" ประมาณ 5 - 12 ไมครอน ที่ไม่ตกลงสู่พื้น แต่จะลอยอยู่ในอากาศไปได้ไกลเกิน 10 เมตร  สิ่งสำคัญคือแม้จะมีเชื้อไวรัสปนเปื้อนอยู่ในฝอยละอองขนาดเล็กได้ แต่ปริมาณเชื้อนั้นอาจไม่มากเพียงพอที่จะก่อโรคได้ ซึ่งขณะนี้ข่าวที่ออกมาเป็นเพียงค”แถลงการณ์เท่านั้น ยังไม่มีผลงานวิชาการที่ตีพิมพ์เป็นหลักฐานชัดเจน ด้านกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย และศูนย์ควบคุมป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมร‘ก“ (US-CDC) ยังยืนยันว่า COVID-19 แพร่เชื้อผ่านท“งฝอยละอองท’่เก‘ดจ“กก“รไอหรือจ“มของผู้ต‘ดเชื้อเท่านั้น  นอกจากการติดต่อผ่านทางเดินหายใจแล้ว วารสาร New England Journal of Medicine รายงานว่า มีการตรวจพบสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 ในอุจจาระ ซึ่งบ่งชี้ว่า เชื้อไวรัสอาจแพร่กระจายผ่านทางอุจจาระได้ เพราะผู้ป่วย COVID-19 มีอาการท้องเส’ยร่วมด้วย จึงถือเป็นอีกช่องทางการติดต่อของโรคที่ต้องระวัง ประเทศไทยจะมีการระบาดในระดับ 3 หรือไม่?  การระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยขณะนี้ อยู่ในระยะที่ 2 คือมีการติดเชื้อจากคนสู่คนภายในประเทศ ซึ่งแม้ว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขควบคุมโรคได้ดี แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการระบาดเข้าสู่ระยะที่ 3 คือมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในวงกว้างได้ ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้านี้ แต่ไม่อยากให้ตระหนกเกินไป เพราะอาจเป็นแค่การระบาดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่ไม่ได้ก่อโรครุนแรง  สำหรับแนวทางการเตรียมรับมือ ในโมเดลด้านระบาดวิทยาจะมี 3 ส่วน คือการป้องกัน แก้ไข และควบคุมไม่ให้เกิดซ้ำ การป้องกันต้องอาศัยการถอดบทเรียนที่ได้ผลดีจากประเทศจีนมาใช้ เช่น หากเกิดการระบาดรุนแรง ควรปิดเมืองหรือไม่ ส่วนการแก้ไขจะเป็นเรื่องการตรวจวินิจฉัยและการรักษา ณ ขณะนี้ หากประเทศจีนเปิดเผยข้อมูลว่าผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงและไม่รุนแรงแตกต่างกันอย่างไร ทีมวิจัยสามารถนำข้อมูลมาประกอบกับข้อมูลที่ศึกษาอยู่ และอธิบายได้ว่ายีนตัวไหนของไวรัสที่เกิดการกลายพันธุ์และทำให้เกิดโรครุนแรง เพื่อแจ้งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เฝ้าระวัง รวมถึงการพัฒนาชุดตรวจเพื่อช่วยให้แพทย์วินิจฉัยแยกเคสที่รุนแรงออกจากเคสที่ไม่รุนแรงได้รวดเร็ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และรับมือกับการบริหารจัดการในช่วงที่มีการระบาดเป็นวงกว้างได้ดีขึ้น สำหรับการควบคุมไม่ให้เกิดซ้ำ ณ ขณะนี้ยังไม่พบสัตว์ตัวกลางที้เป็นพาหะนาโรค จึงยากต่อการควบคุม ต่างจากโรคซาร์สที่มีการตรวจพบว่าติดเชื้อมาจากชะมด ทำให้มีการควบคุมการรับประทานชะมด การยกเลิกทำฟาร์มชะมดอย่างเด็ดขาด ทำให้สามารถควบคุมโรคซาร์ส  ได้อย่างดีและไม่เกิดการระบาดซ้ำจนถึงปัจจุบัน  แนวทางการรักษาโรค COVID-19 ในปัจจุบัน?  แนวทางการรักษาขณะนี้จะมีการให้ "ต้านไวรัส" ซึ่งล่าสุดประเทศจีนได้รับรองยาต้านไวรัส Favilavir ในการรักษา COVID-19 อย่างเป็นทางการตัวแรก ขณะที่ประเทศไทยทดลองใช้ยาต้านไวรัส HIV ชนิด Protease Inhibitors เพื่อช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Protease ที่จำเป็นต่อการเพิ่มไวรัสในร่างกาย ซึ่งไวรัส SARS-CoV-2 ก็มีกระบวนการคล้ายๆ กันอยู่ นอกจากนี้ยังมียาต้านไวรัสที่ชื่อ Remdesivir (RDV) ที่กำลังถูกจับตาอย่างมาก เพราะเป็นยาที่ออกแบบมาสำหรับไวรัสโคโรนาโดยเฉพาะ สามารถยับยั้งการสร้างสาย RNA ของไวรัสได้โดยตรง อยู่ระหว่างการทดสอบในคน พร้อมกันนี้ยังมีการใช้ ‘แอนตี้บอด’ ของผู้ป่วยที่เพิ่งหายจากการติดเชื้อมารักษาผู้ป่วยคนอื่น มีลักษณะเช่นเดียวกับเซรุ่มที่ฉีดตอนโดนงูกัด ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็มีข้อที่ต้องพึงระวังคือ ไวรัส SARS-CoV-2 อาจจะสามารถจับกับตัวรับหรือประตูเพื่อเข้าสู่ร่างก“ยได้ 2 ทาง ประตูบานแรกคือ ACE2 เมื่อผู้ป่วยได้รับแอนตี้บอดีในปริมาณที่มากพอจะช่วยบล็อกเชื้อไวรัสไม่ให้ผ่านประตูบานนี้ได้ แต่หากผู้ป่วยได้ปริมาณแอนตี้บอดีน้อยหรือคุณภาพไม่ดีพอ อาจเกิดการกระตุ้นให้แอนตี้บอดีจับกับเชื้อไวรัสแล้วพาเข้าสู่ประตูบานที่ 2 ที่มีชื่อว่า CD32A ซึ่งจะจับกับส่วนของแอนตี้บอดีที่ห้อมล้อมอนุภาคไวรัสนั้นไว้และนำไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ นั่นเท่ากับเป็นการเพิ่มช่องทางให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง ลักษณะเดียวกับผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกครั้งที่ 2 ที่มมีความรุนแรงมาก เพราะได้รับเชื้อเดงกี่ต่างสายพันธุ์จากครั้งแรก ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับคุณปอ-ทฤษฎี สหวงษ์ ดังนั้นการใช้แอนตี้บอดีในการรักษาในสถานการณ์เช่นนี้ต้องมีความระมัดระวัง  วิธีป้องกันโรค COVID-19? วิธีการป้องกันตนเองที่ดีที่สุดคือ ระวังการสัมผัสสารคัดหลั่งจากการไอ จาม ของผู้ติดเชื้อ แล้วนำมาสัมผัสบริเวณใบหน้า บริเวณตา จมูก ปาก เพราะเป็นช่องทางที่เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย หลีกเล’่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่มีคนแออัด รวมทั้งกินอาหารร้อน ใช้ช้อนกลาง และหมั่นล้างมือด้วยสบู่อย่างถูกวิธี หรือใช้แอลกอฮอล์เจลที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์มากกว่า 70% นอกจากนี่เมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จให้ปิดฝาชักโครกก่อนกดน้ำทุกครั้ง เพื่อลดการกระจายของเชื้อ และล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ  ในช่วงที่มีการระบาดในวงกว้าง การใส่หน้ากากอนามัยจะมีส่วนช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้ แต่ต้องเข้าใจการใช้หน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี ซึ่งสามารถหาข้อมูลได้ในสื่อที่ประชาสัมพันธ์จากหน่วยงานราชการ ส่วนยาที่ดีที่สุดในการรักษา COVID-19 คือ ภูมิคุ้มกันของเราเอง การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกาย สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย ซึ่งถ้าเราโชคร้ายรับเชื้อไวรัสเข้ามา ภูมิคุ้มกันที่เรามีอยู่อาจจะไม่ทำให้เราป่วย หรือ มีอาการไม่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาทั่วไป นอกจากนี้ต้องดูแลสภาพจิตใจไม่ให้เครียดเกินไป เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานลดลง สิ่งที่ต้องระวังคือการเสพข่าวที่มุ่งไปแต่จำนวนของผู้เสียชีวิตจนทำให้กลัว ทั้งที่อัตราผู้เสียชีวิตยังถือว่าน้อยหากเทียบกับโรคอื่นๆ ที่เกิดจากไวรัสชนิดเดียวกัน
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
บทความ
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.1 – สวทช. มจพ. และภาคเอกชน หนุนผู้ประกอบการไทย พัฒนาเทคโนโลยีการฉีดพลาสติก
  สวทช. มจพ. และภาคเอกชน หนุนผู้ประกอบการไทย พัฒนาเทคโนโลยีการฉีดพลาสติก    5 มีนาคม 2563: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ร่วมกับ วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และสมาคมการค้าไทย-ไต้หวัน พร้อมด้วยพันธมิตรภาคเอกชน จัดสัมมนาหัวข้อ “การฉีดพลาสติก 4.0 - ยกระดับการออกแบบแม่พิมพ์ฉีดสู่กระบวนการผลิตแบบอัจฉริยะ” แก่ผู้ประกอบการและผู้ที่ทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีการฉีดพลาสติก เตรียมความพร้อม SME ไทยกับการปรับตัวสู่อุตสาหกรรม 4.0 อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13067-20200310-nstda-itap
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.1 – จุฬาฯ จับมือ สวทช. ถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงสู่ SMEs ไทย สร้างศักยภาพในการแข่งขันภายใต้เศรษฐกิจฐานความรู้
  จุฬาฯ จับมือ สวทช. ถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงสู่ SMEs ไทย สร้างศักยภาพในการแข่งขันภายใต้เศรษฐกิจฐานความรู้    10 มีนาคม 2563 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานแถลงข่าวแสดงเจตนารมณ์ความร่วมมือ “การดำเนินงานเครือข่ายของโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม” (Innovation and Technology Assistance Program: ITAP) เพื่อเป็นการส่งเสริมการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) โดยมีศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานและบริหารจัดการ เน้นการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี ตั้งเป้าสนับสนุน SMEs ไม่น้อยกว่า 30 รายต่อปี อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13067-20200310-nstda-itap
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.1 – เอ็มเทค-สวทช. จับมือ ซีพี ออลล์ ปั้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก
  เอ็มเทค-สวทช. จับมือ ซีพี ออลล์ ปั้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก    11 มีนาคม 2563: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) โดยบริษัท ซีพี ฟู้ดแล็บ จำกัด หน่วยงานวิจัยอาหาร บริษัท ซีพีแรม จำกัด ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อยกระดับการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารที่ใส่ใจถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค พร้อมสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนนำผลงานทางวิชาการไปใช้ต่อยอดการประยุกต์ใช้บรรจุภัณฑ์อาหารในโรงงานอุตสาหกรรมอาหารได้ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทย ในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของภูมิภาคเอเชีย โดยความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมในเรื่องการวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับใส่อาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13070-20200311-nstda-mtec
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
นักวิจัยไทยพัฒนา “วิธีสกัด RNA – ชุดตรวจโควิด-19”
เรียบเรียง: วัชราภรณ์ สนทนา ทะลุ 19 ล้านรายแล้ว สำหรับตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั่วโลก ซึ่งยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่ายๆ ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีน ขณะที่ประเทศไทยแม้ตอนนี้จะยังคงสถิติไม่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศเป็นเวลากว่า 60 วัน ก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่า โควิด-19 จะไม่กลับมาระบาดระลอกสองอีก  สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมาและเตรียมพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเดินหน้าพัฒนาชุดตรวจโควิด-19 ปัจจัยสำคัญในการควบคุมการระบาด เพื่อป้อง กันปัญหาขาดแคลนชุดตรวจและน้ำยาซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ  ล่าสุด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนา "วิธีสกัดอาร์เอ็นเอ (RNA) ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) จากตัวอย่างแบบง่าย และ ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว" ได้สำเร็จ เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติในการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อก่อโรคโควิด-19 ในเชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยยังขาดคือความมั่นคงด้านสุขภาพ เนื่องจากที่ผ่านมายังต้องนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชุดตรวจ และยา ทำให้เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ ดังเช่น การระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์บางประเภท ซึ่งส่งผลกระทบต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติงานเชิงรุกได้อย่างรวดเร็ว "นับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 (จนถึงวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา) รัฐบาลจ่ายค่าชดเชยในการตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR เป็นจำนวนกว่า 420,000 ตัวอย่าง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,261 ล้านบาท ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ขณะเดียวกันในภาวะที่ทั่วโลกต่างต้องตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อจำนวนมาก  สารสกัดสารพันธุกรรมหรืออาร์เอ็นเอเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 มีไม่เพียงพอ จนกลายเป็นปัญหาคอขวดในการคัดกรองโรค ดังนั้นในอนาคตหากมีการระบาดระลอกสอง หรือมีความต้องการตรวจเชิงรุก การที่นักวิจัยไทยสามารถพัฒนาวิธีสกัดอาร์เอ็นเอและชุดตรวจโควิด-19 ที่ได้มาตรฐาน มีความแม่นยำได้เองในประเทศจะช่วยสนับสนุนการคัดกรองโรคโควิด-19 ได้มาก" ทั้งนี้ การตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 ด้วยการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 นั้น จะต้องมีการสกัดสารพันธุกรรม หรือ อาร์เอ็นเอของไวรัสจากสิ่งส่งตรวจของของกลุ่มเสียง ซึ่งที่ผ่านมายังมีข้อจำกัดคือต้องใช้น้ำยาสกัดสารพันธุกรรมที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่จากความร่วมมือของนักวิจัยไทยทำให้สามารถพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพมา "วิธีสกัดอาร์เอ็นเอ" ก่อโรคโควิด-19 ได้สำเร็จ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า วิธีสกัดอาร์เอ็นเอของเชื้อไวรัสจากตัวอย่างแบบง่าย พัฒนาขึ้นโดย ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (National Omics Center : NOC)  สวทช. นำโดย ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ เป็นวิธีการสกัดอาร์เอ็นเอด้วยเทคนิค Magnetic Bead ที่ทำได้ง่าย รวดเร็ว และจากการทดสอบการใช้งานร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีประสิทธิภาพในการสกัดอาร์เอ็นเอเทียบเท่าชุดสกัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ ที่สำคัญในการสกัดอาร์เอ็นเอยังใช้สารเคมีและอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายภายในประเทศ ทำให้ต้นทุนชุดตรวจราคาไม่แพง ช่วยลดต้นทุนในการตรวจและวินิจฉัยโรคได้มาก อีกทั้งวิธีการนี้ยังนำไปใช้สกัดอาร์เอ็นของไวรัสก่อโรคได้ทุกชนิดทั้งในมนุษย์ พืชและสัตว์ด้วย ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนจำนวน 2 บริษัท สนใจพร้อมรับถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว    เมื่อสกัดอาร์เอ็นเอของไวรัสได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจยืนยันเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ซึ่ง ไบโอเทค สวทช. นำโดย นางวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีว‘ศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนา "ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว (COVID-19 XO-AMP colorimetric detection kit)" เพื่อใช้คัดกรอง คัดแยกเฉพาะตัวอย่างที่น่าสงสัยก่อนนำไปตรวจโดยใช้วิธี RT-PCR ถือเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายของรัฐจากเดิมที่ต้องส่งตรวจทุกตัวอย่างด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งมีราคาแพง  ดร.วรรณพ กล่าวว่า ชุดตรวจเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการตรวจเชิงรุก เนื่องจากมีความจำเพาะ 100% ความไว 92% และมีความแม่นยำ 97% สามารถแสดงผลได้ภายใน 75 นาที ได้ผลเร็วกว่าวิธี RT-PCR ถึง 2 เท่า สามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า ตรวจง่ายในขั้นตอนเดียวโดยไม่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ โดยสังเกตได้จากสีของน้ำยา หากเปลี่ยนจากม่วงเป็นเหลืองแสดงว่ามีอาร์เอ็นเอของไวรัส SARS-CoV-2 อยู่ อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจมีราคาเพียง 10,000 บาท ถูกกว่าวิธี RT-PCR ถึง 100 เท่า นอกจากนั้นแล้วต้นทุนน้ำยาเทคนิคแลมป์ที่ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้นราคาต่ำกว่าน้ำยาที่ใช้กับ RT-PCR ถึง 3 เท่า และยังราคาถูกกว่าชุดตรวจแลมป์ที่นำเข้า 1.5 เท่า อย่างไรก็ดี การพัฒนาชุดตรวจนี้ได้รับความอนุเคราะห์ตัวอย่างสารพันธุกรรมจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของชุดตรวจ ปัจจุบันไบโอเทคได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเมินเทคโนโลยี โดยทาง อย. กำลังพิจารณาเกณฑ์มาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับเทคนิคแลมป์ โดยชุดตรวจนี้มีบริษัทเอกชนได้แสดงความสนใจที่จะขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วเช่นกัน ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า คณะเวชศาสตร์เขตร้อน คือสถาบันทางการแพทย์ที่มีทีมวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวินิจฉัย การรักษา และป้องกันโรค ที่มีห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านโรคเขตร้อน ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการเครือข่ายที่ผ่านการทดสอบความชำนาญทางห้องปฏิบัติการ สำหรับการตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วย สวทช. มีงานวิจัยหลายด้านที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งการตรวจวินิจฉัย และป้องกันโรคได้ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน และ สวทช. จึงได้ทางานร่วมกันอย่างเข้มข้นจนสามารถพัฒนาต่อ ยอดทั้ง 2 งานวิจัยให้เป็นผลิตภัณฑ์ใช้งานได้จริง "การที่ประเทศไทยสามารถพัฒนาและผลิตชุดสกัดอาร์เอ็นเอ และชุดตรวจเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว จะช่วยให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรับมือต่อการระบาดของโรคอุบัติใหม่ และถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถวงการวิจัยและสาธารณสุขไทยจากการเป็นผู้นำเข้าเทคโนโลยีสู่การเป็นผู้ผลิตเพื่อใช้เองและส่งออกไปต่างประเทศในอนาคต"
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ขอเชิญผู้ประกอบการใน จ.อุดรฯ และใกล้เคียง ร่วมสัมมนา 2 หลักสูตร พัฒนานวัตกรรมด้านเกษตร
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ขอเชิญผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรม และผู้สนใจในพื้นที่ จ.อุดรธานี และใกล้เคียงในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าร่วมสัมมนาฟรี 2 หลักสูตร ได้แก่ “หลักสูตรการยกระดับผักและผลไม้ไทยสู่มาตรฐานสากล” ในวันที่ 26 มีนาคม 2563 เพื่อทราบถึงมาตรฐาน ThaiGAP กับการสร้างโอกาสเข้าสู่ตลาดระดับบน สมัครได้ที่ https://forms.gle/uyaZEjEGkY6YETaL6 และ “หลักสูตรการพัฒนาเกษตรกรรมสู่ความยั่งยืนด้วยนวัตกรรม 4.0” ในวันที่ 27 มีนาคม 2563 เพื่อทราบถึงแนวทางพัฒนาเป็นเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farmer) ในเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อการเก็บรักษาและขนส่ง สมัครได้ที่ https://forms.gle/b4Segqji2Jo3ENij7 โดยทั้งสองหลักสูตรกำหนดจัดเวลา 08.30 - 16.00 น. ณ โรงแรมเซ็นทาราและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์อุดรธานี ด่วน! รับจำนวนจำกัด 50 ท่านต่อหลักสูตร เฉพาะผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนิติบุคคลเท่านั้น ภายใน 23 มีนาคม นี้ สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2564 7000 ต่อ 1300, 063 915 6656 (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เอ็มเทค-สวทช. จับมือ ซีพี ออลล์ ปั้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก
For English-version news, please visit : MTEC-NSTDA and CP All embark on innovative food packaging 11 มีนาคม 2563 ที่อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) โดยบริษัท ซีพี ฟู้ดแล็บ จำกัด หน่วยงานวิจัยอาหาร บริษัท ซีพีแรม จำกัด ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อยกระดับการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารที่ใส่ใจถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค พร้อมสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนนำผลงานทางวิชาการไปใช้ต่อยอดการประยุกต์ใช้บรรจุภัณฑ์อาหารในโรงงานอุตสาหกรรมอาหารได้ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทย ในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของภูมิภาคเอเชีย โดยมี นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะ ผู้อำนวยการ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ พร้อมกันนี้ยังมีทีมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติก กลุ่มวิจัยกระบวนการทางวัสดุและการผลิตอัตโนมัติ เอ็มเทค สวทช. ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสององค์กรร่วมเป็นสักขีพยาน โดยความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมในเรื่องการวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับใส่อาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
9 ข้อควรรู้ “โควิด-19” จากบทสรุป 25 ผู้เชี่ยวชาญ WHO
9 ข้อน่ารู้ จากบทสรุปของผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ 25 คน จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เข้าไปสืบสวนสถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศจีน และรายงานสรุปผลจนถึงวันที่ 19 ก.พ. 63 อ่านบทความฉบับเต็ม แปลโดย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/nstda-knowledge/13061-who-china-joint-mission การติดต่อ : 78-85% ติดต่อกันในครอบครัวจากละอองเสมหะ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล : ส่วนใหญ่ติดเชื้อจากที่บ้านหรือในช่วงแรกที่ยังไม่มีประกาศการระบาด อัตราการป่วย : 80% ผู้ป่วยอาการไม่หนัก การใช้เครื่องช่วยหายใจ : 5% ใช้เครื่องช่วยหายใจ 15% ใช้ออกซิเจนเข้มข้นสูง ระยะเวลาฟื้นตัว : ผู้ป่วยหนัก 3-6 สัปดาห์ ผู้ป่วยไม่มาก 2 สัปดาห์ การแสดงอาการ : คนส่วนใหญ่ที่ได้รับเชื้อจะมีอาการในที่สุด ช้าเร็วต่างกัน อาการคัดกรอง : อาการที่ไม่ใช่สัญญาณโรคของโควิด-19 คือ น้ำมูกไหล อัตราการเสียชีวิต : ผู้ป่วยโควิด-19 ที่จีนมีอัตราการเสียชีวิต 3.4% ปัจจัยการเสียชีวิต : ขึ้นกับ อายุ, สภาพร่างกายก่อนติดเชื้อ, เพศ และระบบสุขภาพที่รับมือโรค อ้างอิง: https://www.who.int/docs/default-source/coronaviruse/who-china-joint-mission-on-covid-19-final-report.pdf (16-24 February 2020) ข้อมูลเพิ่มเติม covid-19
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ จุฬาฯ ถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงสู่ SMEs ไทยสร้างศักยภาพในการแข่งขันภายใต้เศรษฐกิจฐานความรู้เดินหน้าโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่งเสริมการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เน้นการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี ตั้งเป้าสนับสนุน SMEs
For English-version news, please visit : NSTDA and Chulalongkorn University to promote technology utilization in SMEs 10 มีนาคม 2563 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานแถลงข่าวแสดงเจตนารมณ์ความร่วมมือ“การดำเนินงานเครือข่ายของโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม” (Innovation and Technology Assistance Program: ITAP) โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการส่งเสริมการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) โดยมีศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานและบริหารจัดการ (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดรับสมัครนักศึกษารับทุน 2 ประเภท (TGIST และ YSTP) ประจำปี ’63
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มุ่งมั่นเป็นหนึ่งในหน่วยงานสนับสนุนการผลิตบัณฑิตคุณภาพสู่สังคม ประกาศเปิดรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ขอรับทุนการศึกษาใน “โครงการสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Thailand Graduate Institute of Science and Technology: TGIST)” ประจำปี 2563 เพื่อการศึกษาวิทยานิพนธ์ภายใต้การดูแลให้คำปรึกษาของอาจารย์มหาวิทยาลัยร่วมกับนักวิจัยจากศูนย์แห่งชาติของ สวทช. ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ www.nstda.or.th/tgist/ ตั้งแต่วันนี้ - 31 มีนาคม 2563 และอีกทุนคือ ประกาศรับสมัครนักศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่กำลังจะขึ้นชั้นปีสุดท้าย เพื่อขอรับทุนการศึกษาวิจัยเพื่อปริญญานิพนธ์ ปี2563 ใน “โครงการสร้างปัญญาวิทย์ ผลิตนักเทคโน (Young Scientist and Technologist Programme: YSTP)” เพื่อโอกาสรับประสบการณ์เพิ่มเติม พร้อมแลกเปลี่ยนทัศนคติการเป็นนักวิจัยอาชีพ และพัฒนาขีดความสามารถของตนเอง ดูรายละเอียดการรับสมัครได้ที่ www.nstda.or.th/ystp/ ตั้งแต่ 1 - 31 พฤษภาคม 2563
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
SCI UPDATE: ‘อุปกรณ์ตัดสับปะรด’ เครื่องมือช่วยเกษตรกรตัดและเก็บสับปะรดในขั้นตอนเดียว
พอกันที ‘ตัดสับปะรดแล้วได้แผล’ สับปะรดเป็นหนึ่งในผลไม้ที่นิยมปลูกกันมากในภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี และกระบี่ ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรส่วนใหญ่ยังต้องประสบปัญหาขั้นตอนการเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่มีต้นทุนการจ้างแรงงานถึง 2 ขั้นตอน เพราะในการเก็บสับปะรด เกษตรกรต้องใช้มีดหรือตะขอพร้าตัดก้านของผลสับปะรด แล้วใช้แรงงานคนนำตะกร้อมาเดินเก็บใส่เข่งยกขึ้นรถอีกทอด ที่สำคัญหลายครั้งเมื่อเกษตรกรเข้าไร่ไปตัดผลสับปะรด มักได้บาดแผลจากการถูกหนามใบสับปะรดตำ ถูกมีดบาด และถูกสัตว์ที่ซ่อนตัวอยู่ในพงทำร้าย ทำให้การหาแรงงานภาคเกษตรในการเก็บสับปะรดค่อนข้างยาก (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เยี่ยมชมผลงานนักเรียน FabLab รร.เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ฉะเชิงเทรา ชี้โครงการฯ หนุนความรู้สะเต็มศึกษา ช่วยสร้างนวัตกรให้ประเทศ
For English-version news, please visit : Fabrication Lab: Creating the next generation of innovators สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับการสนับสนุนงบประมาณดำเนิน “โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย ด้วยการส่งเสริมให้มีพื้นที่เรียนรู้ “โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” ในสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ทั่วประเทศ ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมโครงงานสิ่งประดิษฐ์ของนักเรียนที่โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จ.ฉะเชิงเทรา นำโดย ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และคณะ เพื่อให้เห็นถึงทักษะความเป็นนวัตกรของเด็กและเยาวชนไทย ซึ่งมี 4 ผลงานโดดเด่นที่เดินสายกวาดรางวัลระดับประเทศมาแล้วภายใต้โครงการ FabLab ร่วมจัดแสดง ได้แก่ เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ำด้วยแสง เครื่องตรวจจับควันบุหรี่อัจฉริยะ เครื่องช่วยเหลือผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง และรถตัดหญ้าไฮเทค โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียน ครูผู้ดูแลห้องปฏิบัติการ FabLab ครูพี่เลี้ยงจากมหาวิทยาลัยบูรพา รวมถึงตัวแทนนักเรียนที่ได้รับรางวัลนำเสนอโครงงานสิ่งประดิษฐ์ (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์