ผลการค้นหา :

วารสารข่าวด้านการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2565
วารสารข่าวด้านการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์จากกรุงบรัสเซลส์
ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2565
ภาพรวมสถานะและความก้าวหน้าของประเทศสวีเดน ในด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
คณะกรรมาธิการยุโรปจะจัดทำ Innovation Scoreboard เพื่อเป็นตัวชี้วัดถึงผลลัพธ์และศักยภาพด้านนวัตกรรม (Innovation Performance) โดยการประเมินจากการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบของประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ ในยุโรป โดยประเมินจุดอ่อนและจุดแข็งของระบบนวัตกรรมของแต่ละประเทศ โดยในการจัดลำดับประเทศนวัตกรรมในยุโรป แบ่งเป็น 4 หมวด ได้แก่ ผู้นำนวัตกรรม (innovation leaders) ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับสูง (strong innovators) ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับกลาง (moderate innovators) และ ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมพอประมาณ (modest innovators) โดยสวีเดนได้ถูกจัดลำดับให้เป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านนวัตกรรมในสหภาพยุโรปติดต่อกันมาหลายปี
ซึ่งผลมาจากจุดแข็งเชิงนวัตกรรมในด้านทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและทักษะสูง มีค่าเฉลี่ยจำนวนนักศึกษาสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาเอก และชั้นอุดมศึกษา สูงเป็นอันดับต้นๆ นอกจากนี้ยังมีจุดแข็งเชิงนวัตกรรมด้านอื่น ๆ อาทิ
ระบบการวิจัยที่น่าดึงดูด: สร้างความร่วมมือด้านการวิจัยกับประเทศที่สาม นักวิจัยมีการติดต่อกับเครือข่ายระดับนานาชาติ และคุณภาพผลงานวิจัยอยู่ในระดับสูง
การพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม: โดยมีสัดส่วนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการพัฒนานวัตกรรมกระบวนการทางธุรกิจในระดับสูง และเป็นผู้นำการสร้างงานจากการพัฒนานวัตกรรม
ความร่วมมือและการเชื่อมโยงทางนวัตกรรม: โดยมีนวัตกรรมที่หลากหลาย เนื่องจากเข้าร่วมพัฒนากับบริษัทเอกชน หรือ องค์กรภาครัฐ ระบบวิจัยในประเทศยังขับเคลื่อนตอบโจทย์ต่อความต้องการของบริษัทเอกชนเพื่อส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ ซึ่งบริษัทเอกชนเข้ามาลงทุนร่วมในระบบวิจัยของภาครัฐ
ภาพรวมระบบนวัตกรรมของสวีเดน
สวีเดน ได้ปรับโครงสร้างประเทศจากสังคมเกษตรกรรมช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่อาศัยนวัตกรรมโดยเน้นจุดแข็ง 3 ด้าน ได้แก่ ภาคธุรกิจที่เข้มแข็ง (strong business sector) ภาควิชาการที่เป็นเลิศ (academic excellence) และการสนับสนุนการทำงานแบบรัฐนวัตกรรม (innovative public sector) จากการประเมินจุดแข็งเชิงนวัตกรรมของสวีเดนคือ คุณภาพของทรัพยากรมนุษย์
หน่วยงานที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมในสวีเดน แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่
1. หน่วยงานส่วนกลาง : เช่น National Innovation Council (NIC) หน่วยงานภาครัฐที่ประสานหน่วยงานกลางและหน่วยงานท้องถิ่นมาร่วมกันผลักดันนโยบายนวัตกรรมของรัฐ พร้อมดึงกระทรวงมาร่วมแก้ปัญหา ทุกกระทรวงจะมีงานด้านนวัตกรรมภารกิจต้องผลักดัน เพื่อต่อยอดนำงานวิจัยไปสู่นวัตกรรมที่จับต้องได้
2. หน่วยงานระดับท้องถิ่น: เป็นหน้าที่ของเทศบาลนคร (country) ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมระดับชุมชนและประชาคมสังคมท้องถิ่น การบริหารส่วนท้องถิ่นของสวีเดนจัดเก็บภาษีเพื่อใช้พัฒนาท้องถิ่นตนเอง จึงมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการ การส่งเสริมนวัตกรรมของเทศบาลนครจะเป็นความร่วมมือกับภาควิชาการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน
3. หน่วยงานด้านวิชาการและการศึกษา: สวีเดนส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจำนวน 13 แห่ง เพื่อกระตุ้นการนำงานวิจัยมาใช้ประโยชน์ทางการค้า มีการสร้างศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจเริ่มต้น (startups) ในมหาวิทยาลัย และตั้งบริษัทเพื่อการลงทุนของมหาวิทยาลัย ให้กับบริษัทที่ผ่านการบ่มเพาะและมีศักยภาพในการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อเพิ่มศักยภาพของภาควิชาการ
4. ภาคเอกชน: รัฐบาลสวีเดนยังจัดตั้งบริษัทที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น เช่น บริษัท Almi สนับสนุนด้านการเงิน ให้คำปรึกษาการทำธุรกิจ การรับทำงานวิจัยและพัฒนา และการให้เช่าพื้นที่ทำการทดลอง (testbed)
การอุดมศึกษาของสวีเดน
ประเทศสวีเดนมีระบบการศึกษาดีเป็นอันดับ 2 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ที่มีการลงทุนด้านการศึกษามากที่สุด
จากการจัดอันดับคณะและมหาวิทยาลัยในสวีเดนในปี ค.ศ. 2020 คณะและมหาวิทยาลัยยอดนิยม 10 อันดับแรกที่สมัครเรียนมากที่สุดมีดังนี้
1.คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสต๊อกโฮล์ม (Stockholm university)
2.คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala university)
3.คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยลุนด์ (Lund university)
4.คณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์ม (Stockholm university)
5.คณะแพทยศาสตร์ สถาบันเคาโรลินสกา (Karolinska Institutet)
6.คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala university)
7.คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์ม (Stockholm university)
8.คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก (Gothenberg university)
9.คณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala university)
10.คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยลินเชอปิง (Linköping university)
หน่วยงานด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่น่าสนใจในสวีเดน
สถาบันแคโรลินสกา (Karolinska Institute)
สถาบันแคโรลินสกา (Karolinska Institute) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองสต็อกโฮล์ม เป็นมหาวิทยาลัยทางการแพทย์และศัลยแพทย์อันดับหนึ่งในสวีเดน ทั้งเป็นมหาวิทยาลัยการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป สามารถผลิตบุคลากรทางการแพทย์ได้กว่าร้อยละ 30 มีงานวิจัยทางด้านการแพทย์กว่าร้อยละ 40 มีศิษย์เก่าจำนวนมากกว่า 30 รายได้รับรางวัลโนเบล
มหาวิทยาลัยลุนด์ (Lund University)
มหาวิทยาลัยลุนด์ (Lund University) เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในทวีปยุโรปและเป็นมหาวิทยาลัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศสแกนดิเนิวีย ตั้งอยู่ที่เมืองลุนด์ (Lund) ทางตอนใต้ของสวีเดน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1666 มีชื่อเสียงด้านการเรียนการสอนและด้านวิจัยเป็นเวลายาวนาน ถูกจัดอันดับอยู่ในมหาวิทยาลัยดีเด่น 100 ลำดับแรกของโลก สำหรับสาขาวิชาที่อยู่ในชั้นแนวหน้าของโลก ได้แก่ การศึกษาเพื่อการพัฒนา ภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม การพยาบาล การเงิน และนโยบายสังคม การบริหาร และกฎหมาย
มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala University)
มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala University) เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยระดับนานาชาติขนาดใหญ่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดของประเทศสวีเดน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1477 (ช่วงราวต้นกรุงศรีอยุธยาของไทย) ในเมืองอุปซอลาอยู่ทางเหนือของกรุงสต็อกโฮล์ม ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 100 มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของโลกด้านงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง
ราชวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งสวีเดน (KTH Royal Institute of Technology)
ราชวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งสวีเดน เป็นสถาบันด้านเทคโนโลยีมีความโดดเด่นสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ และเป็นมหาวิทยาลัยด้านเทคนิคที่ใหญ่ที่สุดของสวีเดน ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1827
มหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์ม (Stockholm University)
มหาวิทยาลัยสต็อกโฮล์มเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐตั้งอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เริ่มก่อตั้งเป็นวิทยาลัยปี ค.ศ. 1878 และได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยปี ค.ศ. 1960 และเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่อันดับที่ 4 ของประเทศสวีเดน
มหาวิทยาลัยเปิดสอนและทำวิจัยสองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ แบ่งการสอนเป็น 4 คณะ (คณะนิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะคณิตศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์) โดยคณะวิทยาศาสตร์เป็นคณะที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน มหาวิทยาลัยจัดอยู่ใน 100 ลำดับแรกชั้นนำของโลก
การทำงานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม ผ่านโครงการ Thailand Nordic countries innovation unit (TNIU)
เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2565 โดย ดร.เศรษฐพันธ์ กระจ่างวงษ์ ได้เข้าร่วมประชุมกับตัวแทนองค์กร Thailand Nordic countries innovation unit (TNIU)
Thailand Nordic countries innovation unit (TNIU) เป็นหน่วยงานจัดตั้งขึ้นโดยการประสานงานของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม รวบรวมนักศึกษาและนักวิชาชีพไทยใน 4 ประเทศ ได้แก่ สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก ทำงานร่วมกันเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมและการสร้างโครงการความร่วมมือด้าน อววน. ระหว่างประเทศไทยและ 4 ประเทศ โดยมีสวีเดนประสานงานหลักกับอีก 3 ประเทศ ภารกิจหลักของ TNIU มี 3 ประการ
เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากองค์กรในภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชนจาก 4 ประเทศ ไปสู่ประเทศไทย
ประสานการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างหน่วยงาน/บริษัทในไทยและใน 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก
ศึกษาหาโอกาสทางธุรกิจเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดของวิสาหกิจไทย ใน 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก
โดยสาขา/หัวข้อ ที่ให้ความสำคัญกับหน่วยงานในประเทศไทย ใน 4 รูปแบบดังนี้
การแบ่งปันและอัพเดทข้อมูลความก้าวหน้าที่สนใจด้าน อววน. ใน 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ให้แก่หน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. และประชาชนทั่วไปได้รับทราบ
การจับคู่ทางธุรกิจระหว่างหน่วยงาน/บริษัทในไทยและใน 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก
การจับคู่ระหว่างหน่วยงานด้านการวิจัย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในประเทศไทยและใน 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก เพื่อสร้างความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยร่วมกัน
การเสริมสร้างทุนปัญญาในระดับอุดมศึกษาผ่านการสร้างเครือข่ายนักเรียนไทยในแต่ละประเทศของกลุ่มนอร์ดิก เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการส่งเสริมการศึกษาต่อของนักเรียนไทย ในการทำโครงการความร่วมมือหรือถ่ายทอดองค์ความรู้กลับสู่ประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านโอกาสในการทำงานทั้งในไทยและในกลุ่มประเทศนอร์ดิก
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/20220915-newsletter-brussels-no01-jan65.pdf
นานาสาระน่ารู้

เดือนนี้คุณมีเลขเด็ดหรือยัง? Thungsong Hometown มี ‘สามตัวตรง’ จะให้
https://www.youtube.com/watch?v=yRNQpN2CsSo “เจ้าพระคุณ ขอ 3 ตัวเด็ดๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตลูกสักทีเถิด!!” ไอซ์กล่าวขอพรพร้อมใช้มือถูไปที่ต้นไม้ ทันใดนั้นภาพตัวอักษร 3 ตัว คือ B-C-G ปรากฏขึ้น “หะ มันคืออะไร?” เทพารักษ์ : “B คือ Bioeconomy, C คือ Circular Economy และ G คือ Green Economy เรียกสั้นๆ ว่า BCG 3 ตัวตรง มั่งคั่ง ยั่งยืน เราเป็นเทพารักษ์จะมาให้หวย มันไม่เมกเซนส์ ยูต้องเชนจ์ยัวมายด์เซต ต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งตัวเอง ใช้สิ่งที่มีใกล้ตัวให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญต้องดีต่อโลกด้วย”บทสนทนาระหว่างไอซ์หญิงสาวผู้มาขอเลขเด็ดกับเทพารักษ์ ส่วนหนึ่งของวิดีโอคลิปเรื่อง ‘สามตัวตรง’ ผลงานการสร้างสรรค์โดยทีม Thungsong Hometown ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศจากการแข่งขัน “โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ” ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยงานพันธมิตร โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิญชวนนักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามาร่วมกันผลิตวิดีโอคลิปความยาว 30-60 วินาที เพื่อสื่อสารประเด็นเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ สำหรับสื่อสารกับประชาชนทั่วไป วันนี้ทีม Thungsong Hometown จะมาบอกเล่าถึงความเป็นมาของการรวมกลุ่มและเบื้องหลังแนวคิดการผลิตวิดีโอคลิปที่นำมาสู่ความสำเร็จ
รู้จักกับ Thungsong Hometown
คำจำกัดความที่บอกความเป็น Thungsong Hometown ได้ดีที่สุด คือ ทีมโปรดักชันระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนทุ่งสง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่รวมตัวกันมาได้ไม่นาน แต่ผ่านประสบการณ์มาแล้วอย่างโชกโชน
ธนชาต ใจหล่อ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทุ่งสง หัวหน้าทีม Thungsong Hometown เล่าว่า ทีม Thungsong Hometown เป็นทีมโปรดักชันที่รวมตัวกันภายในโรงเรียน สมาชิกแต่ละคนต่างมีความชอบเรื่องการผลิตสื่อและการแสดง ที่ผ่านมาทีมมีประสบการณ์การแข่งขันในเวทีใหญ่มาแล้ว 5 ครั้ง มีผลงานเด่น เช่น เรื่อง ‘เรียนซ้ำ’ ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดหัวข้อความปลอดภัยในสถานศึกษา ที่จัดโดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช และเรื่อง ‘หอมเคย’ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากการแข่งขันในหัวข้อเยาวชนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์วัฒนธรรม ที่จัดโดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามการแข่งขันครั้งนี้เป็นโจทย์ยากสุดเท่าที่เคยเจอมา เพราะเราต้องสื่อสารเรื่องโมเดลเศรษฐกิจใหม่ให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายภายในเวลาไม่เกิน 1 นาที แต่ก็เป็นความท้าทายให้อยากลองเอาชนะดู“พอตัดสินใจลงแข่ง พวกเราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นข้อมูล คือ เรื่องนี้ต้องยากแน่ๆ เพราะเนื้อหาที่เผยแพร่ส่วนใหญ่มีรายละเอียดเยอะมาก แต่พอได้ลองศึกษา ทำความเข้าใจ และสรุปใจความสำคัญกันจริงๆ เรากลับพบว่าเรื่องนี้ไม่ได้ยากหรือไกลตัวอย่างที่คิด ทีมเราจึงคิดว่า น่าจะนำใจความสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาสื่อสารให้สั้น กระชับ และดึงดูดคนดูแบบหนังโฆษณาได้ ถ้าทำแบบนั้นผู้ชมน่าจะสนใจ ดูได้จนจบคลิปโดยไม่ปิดไปเสียก่อน”จุดเด่นของวิดีโอคลิปโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดย Thungsong Hometown พวกเขาไม่เพียงสังเคราะห์ข้อมูลที่อัดแน่นมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวที่เข้าใจง่ายได้ในเวลา 1 นาที แต่ยังสามารถร้อยรวมเนื้อหาเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตและความเชื่อของคนไทยได้อย่างแนบเนียน แถมยังดึงแก่นสำคัญของเรื่องมาปรับแต่งให้เป็นวลีเด็ดที่โดนใจและติดหูผู้ชมได้ทันทีธนชาต เล่าถึงการพัฒนางานต่อว่า ตอนนั้นทีมคิดว่าการที่จะทำให้คนดูหันมาสนใจเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจซึ่งดูไกลตัวน่าจะต้องหาสิ่งที่คนทั่วไปสนใจมาดึงดูด โชคดีตอนนนั้นเผอิญมีข่าวขูดต้นไม้ขอหวย เลยปิ๊งไอเดียกันว่าถ้าเปลี่ยนจากเทพารักษ์ให้หวยมาเป็นให้สามตัวตรงของโมเดลเศรษฐกิจ BCG แทน ก็น่าจะแปลกและหักมุมดี เราจึงให้เทพารักษ์เป็นผู้ชวนชาวบ้านเปลี่ยนความคิดจากการสรรหาวิธีรวยทางลัด มาเป็นการสร้างรายได้แบบยั่งยืนแทน (หัวเราะ)“นอกจากพล็อตเปิดเรื่องที่ทีมตั้งใจออกแบบไว้ดึงดูดคนดูแล้ว เรายังไปสืบค้นตัวอย่างการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไปใช้งานจริงจากสื่อต่างๆ และหากรณีศึกษาเพิ่มเติมจากในพื้นที่ เพื่อนำมาใช้สื่อสารให้คนดูเข้าใจเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น โดย 2 ตัวอย่างที่ได้นำเสนอจริงในคลิป คือ การนำวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีมากในภาคใต้อย่างยางพารามาแปรรูปเป็นของเล่นเด็กเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (นวัตกรรม Para Plearn โดยเอ็มเทค สวทช.) และการแปรรูปขยะให้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและครัวเรือน เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการทำลายสิ่งแวดล้อม (กรณีศึกษาจากเทศบาลเมืองทุ่งสง) ในตอนนั้นเราพยายามคิดวิธีนำเสนอที่จะทำให้ผู้ชมรับรู้และจดจำคีย์เวิร์ดได้มากที่สุด เมื่อพร้อมแล้วจึงมาเริ่มเขียนคอนเซปต์เปเปอร์และสตอรีบอร์ด สำหรับจัดส่งให้กับโครงการเพื่อสมัครเข้าแข่งขันในรอบแรก”
พรี โพร โพสต์ โหดสุดที่ขูดหวย
วันที่ 6 กรกฎาคม สองทุ่มครึ่ง ติ๊ง! เสียงอีเมลเด้งเข้าอินบ็อกซ์…หลังจากทีมงานคว้ามือถือมาเช็กอีเมลก็ได้แต่นั่งยิ้มกริ่มคุยกันว่า ‘เดือนนี้ได้ 3 ตัวตรงแล้วนะ’ (ชื่อผลงานของทีม) Thungsong Hometown เป็นทีมที่ 6 ที่ส่งผลงานเข้าแข่งขัน และต้องฝ่าฟันกับอีก 118 ทีมเพื่อเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ แต่แล้วพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ หัวหน้าทีมจากภาคใต้บอกกับทีมงานว่า ‘แม้จะไม่มั่นใจก็ต้องลุยให้สุดแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง’ธนชาต เล่าว่า ตอนที่รู้ว่าผ่านเข้ารอบดีใจมาก การติดต่อเข้ามาของทีมงานเป็นสัญญาณให้ทีมลุยงานต่อ ทั้งการออกแบบ วางแผนการถ่ายทำ และสำรวจสถานที่ ตอนนั้นเราเริ่มจากการตามหาต้นไม้ที่นางเอกจะไปขูดหวยขอพร จนได้พบกับต้นไม้ที่ทำให้รู้สึกได้ทันทีว่า ‘ใหญ่และหลอนดีนะ’ (หัวเราะ) ที่สวนสาธารณะในอำเภอทุ่งสง ส่วนอีกสถานที่ที่เราถูกใจในวิวธรรมชาติและเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากปิด คือบ้านคีรีวงซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปประมาณ 60 กิโลเมตร แม้ที่นั่นจะไกลแต่วิวก็สวยคุ้มค่ากับการเดินทางมาก
“การถ่ายทำฉากขูดหวย เราเลือกใช้เวลาหลังเลิกเรียนช่วง 4-6 โมงเย็น เพราะเป็นช่วงโพล้เพล้เข้ากับบรรยากาศของซีน แต่เอาเข้าจริงเวลา 2 ชั่วโมงถือว่าตึงเอาเรื่อง เพราะนอกจากจะต้องใช้เวลาเดินทางจากโรงเรียนไปยังสถานที่ถ่ายทำ เซตพร็อปปักเทียนเพิ่มบรรยากาศความหลอน แต่งองค์ทรงเครื่องให้นักแสดง และติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายทำให้เสร็จอย่างรวดเร็วแล้ว วันนั้นยังมีฝนตกลงมาพรำๆ ซ้ำเติมให้การทำงานยากขึ้นไปอีกด้วย อย่างไรก็ตามในวันนั้นทีมถ่ายได้สำเร็จตามแผน คัตทีก็ขำกลิ้งที นักแสดงหลักทั้ง 2 คน แสดงเก่งมาก ศึกษาบทกันมาดี ตีบทแตก และยังขยันช่วยกันคิดมุกและการแสดงสดเพื่อเสริมให้บทสนุกขึ้นอีกด้วย ในส่วนการถ่ายทำที่คีรีวงเป็นการถ่ายทำในวันหยุด ฉากนี้ถ่ายง่ายกว่ามาก เพราะบทไม่เยอะ การแสดงไม่มาก ยากแค่ต้องเดินทางไกล (หัวเราะ)”
ถ่ายทำจบ งานไม่จบ ยังเหลือส่วนโพสต์โปรดักชันที่ปิดจ็อบได้ไม่ง่าย เพราะเป้าหมายของทีม Thungsong Hometown คือ หนังโฆษณา ดังนั้นการตัดต่อต้องใส่ใจในรายละเอียดทั้งจังหวะจะโคน การเลือกโทนสีของภาพ การใช้เพลงประกอบ รวมถึงการขึ้นข้อความที่สวยงามลงตัวธนชาต เล่าว่า หลังถ่ายทำจบความยากมาตกอยู่กับทีมโพสต์ (หัวเราะ) ตอนนั้นทีมดูงานเพื่อหาไอเดียมาใช้ในการตัดต่อเพิ่มเติมกันเยอะมาก ภาพในคลิปที่ผู้ชมได้เห็นผ่านการย้อมสีเพื่อเสริมบรรยากาศมาเรียบร้อยแล้ว เพลงประกอบทั้งหมดผ่านการปรับแต่งขึ้นมาใหม่ การตัดต่อก็ผ่านการออกแบบจังหวะจะโคนเพื่อเสริมอารมณ์ให้ผู้ชมเข้าถึงอรรถรสมากยิ่งขึ้น นอกจากสมาชิกในทีมและครูที่ปรึกษาที่ได้เห็นผลงานของเราก่อนคณะกรรมการแล้ว ยังมีเพื่อนๆ มานั่งดูผลของเราตั้งแต่ยังตัดต่อไม่เสร็จดีด้วย พอเพื่อนๆ ดูแล้วสนุก เข้าใจในสิ่งที่ทีมตั้งใจสื่อสาร เราก็มีความมั่นใจในการส่งผลงานเข้ารอบชิงชนะเลิศมากยิ่งขึ้น
ประสบการณ์ครั้งนี้ เล่าซ้ำได้อีกหลายรอบ
‘BCG โมเดลเศรษฐกิจใหม่ ดีต่อใจ ดีต่อไทย ดีต่อโลก’ คือ วลีติดหูบทสรุปสุดท้ายของโฆษณาเรื่อง ‘สามตัวตรง’ ที่หลอน ตลก หักมุม ได้ความสนุกและความรู้กันแบบครบรส แม้การผลิตผลงานและการแข่งขันจะจบลงไปแล้วในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้จะอยู่กับพวกเขาไปยาวๆ เป็นแรงสนับสนุนในการพัฒนาสื่อคุณภาพให้ผู้ชมได้รับชมต่อไปในอนาคตธนชาต เล่าว่า การเข้าร่วมแข่งขันครั้งนี้ได้รับความรู้และประสบการณ์เยอะมาก สิ่งที่ได้ตั้งแต่แรกเลยคือความรู้เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่เพื่อคนไทย หากไม่ได้ร่วมโครงการนี้ก็คงยังไม่มีโอกาสได้ลองศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ด้านการทำโปรดักชันพวกเราก็ได้เรียนรู้อย่างมาก เพราะการทำสื่อโฆษณามีความยากที่แตกต่างจากการทำหนัง ทุกอย่างต้องสั้นกระชับแต่คนดูยังต้องได้อรรถรส รวมถึงได้รับสารที่เราตั้งใจจะถ่ายทอดครบถ้วนด้วย“เราหวังว่าผลงาน ‘สามตัวตรง’ จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ชมและหน่วยงานต่างๆ ในการนำไปใช้เผยแพร่ เพื่อให้พี่น้องคนไทยได้รู้จักกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG มากยิ่งขึ้น และหากมีโอกาสเราจะนำความรู้เรื่องนี้ไปสร้างการรับรู้ในสื่อต่างๆ ต่อไป ทีมของเรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย” ธนชาต กล่าวทิ้งท้าย
Thungsong Hometown
ธนชาต ใจหล่อ (เค) – หัวหน้าทีม ผู้ทำทุกอย่างตั้งแต่พรี-โพร-โพสต์โปรดักชัน นพดล ไกรนรา (แบงค์) – นักแสดง ผู้รับบทเทพารักษ์ เต็มที่กับทุกบทบาท สนุก ตลก ครบในคนเดียวพัทธ์ธีรา หมวดทอง (ไอซ์) – นักแสดง ผู้รับบทสาวขูดหวย นักแสดงสาวสวยที่ผสานบทบาทตัวละครเข้ากับความเป็นตัวเองได้อย่างลงตัวณัฐภูมิ ไม้เรียง (ทีน) – ทีมโพสต์โปรดักชัน กองหนุนการตัดต่อ ผู้ช่วยเสนอไอเดียให้งานปังยิ่งขึ้นเสฏฐวุฒิ สุขสง (เป้อ) – ช่างภาพผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีการถ่ายทำ อยากได้มุมไหนสั่งได้เลยถนอมพงศ์ ไชยพลฤทธิ์ (เล็ก) – ผู้ช่วยช่างภาพ ซัปพอร์ตอุปกรณ์แบบรู้ใจกันสุรเชษฐ์ บัวแก้ว (ครูต้น) – ที่ปรึกษาด้านการผลิต ทั้งงานพรี โพร โพสต์โปรดักชันสิรนุช บุญไทย (ครูก้อย) – ที่ปรึกษาด้านเทคนิคจรูญ ครุฑจ้อน (ครูออ) – ที่ปรึกษาด้านเทคนิควิรวัฒน์ พลประสิทธิ์ (ครูยุ้ย) – ผู้สนับสนุนการทำงานทุกที่ทุกเวลา
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

‘WATER FiT’ simple กล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก ตอบโจทย์ ‘เกษตรแบบ Unplug’
For English-version news, please visit : WATER FiT Simple: A battery-powered, Bluetooth-enabled irrigation controller
‘น้ำ’ ถือเป็นปัจจัยการผลิตในภาคการเกษตรที่มีความสำคัญมาก ซึ่งการให้น้ำอย่างเหมาะสมไม่เพียงทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ยังส่งผลต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิตที่ดีอีกด้วย ทั้งยังช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิตจากการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น ปัจจุบันศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก Water Fit Simple ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงาน ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เค สมาร์ท ไลฟ์ แอนด์ อินโนเวชั่น ผู้ให้บริการระบบงานเกษตรอัจฉริยะ (Agriculture System Integrator: ASI) เพื่อทำหน้าที่ส่งต่อเทคโนโลยีให้เกษตรกรใช้บริหารจัดการน้ำในแปลงปลูก เพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตของตนเองได้ไม่เว้นแม้บนดอยสูง
คุณนที มูลแก้ว เจ้าของ แอดสะเมิง ออร์แกนิกฟาร์ม อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ เล่าว่า กลุ่มสะเมิงออร์แกนิก เป็นกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ดอยสูง จุดมุ่งหมายแรกคือสร้างงานให้คนพื้นถิ่น มีอาชีพดูแลตัวเองได้ ไม่ทิ้งถิ่นฐาน และมีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการผลิตพืชผักสมุนไพรอินทรีย์ที่มีคุณภาพสร้างความมั่นคงทางอาหารให้คนในชุมชน สู่เป้าหมายการสร้างอาหารปลอดภัยกระจายให้ผู้คนในพื้นที่อื่นๆ กลุ่มฯ จึงพยายามขับเคลื่อนการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่อำเภอสะเมิงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพบข้อจำกัดมากมาย เช่น การบริหารทรัพยากรน้ำที่มีอย่างจำกัด การเดินทางเข้าไปบริหารจัดการในพื้นที่แปลงปลูก การขนส่งผลผลิตซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่บนดอยสูงมีสภาพเป็นพื้นที่ในหุบเขาหรือพื้นที่ตามเชิงเขาที่มีความลาดชัน อยู่ในท้องถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกลจากชุมชน รวมถึงกระแสไฟฟ้า/สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เข้าไม่ถึงพื้นที่แปลงปลูก
คุณนที เล่าอีกว่า “เราได้เข้าไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ สวทช.ภาคเหนือ ด้วยโจทย์ที่ต้องการบริหารจัดการน้ำในแปลงปลูก แต่มีข้อจำกัดสำคัญพื้นที่ห่างไกลชุมชน ไม่มีกระแสไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ต ทำให้เจ้าหน้าที่ สวทช. ภาคเหนือ ริเริ่มจัดฝึกอบรมและให้คำแนะนำการใช้เทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก Water fit Simple ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงาน และส่งผู้เชี่ยวชาญอิสระมาช่วยประเมินพื้นที่แปลงปลูกพบว่ามีความเหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยี WATER FiT จึงตัดสินใจนำร่องติดตั้งใช้งาน WATER FiT ในแปลงปลูกพืชผักสมุนไพรอินทรีย์”
ด้าน คุณกิตติศักดิ์ นามบุญ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เค สมาร์ท ไลฟ์ แอนด์ อินโนเวชั่น กล่าวว่า ตอนนี้เราได้รับอนุญาตใช้สิทธิจากผลงานวิจัย WATER FiT เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กล่องควบคุมการให้น้ำรุ่นพื้นฐาน (WATER FiT Simple) หลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระให้ฝ่าย สวทช. ภาคเหนือ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) และห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว (EST) หน่วยวิจัยระบบอัตโนมัติและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) จากการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญให้ สวทช. มากว่า 2 ปี พบว่าเทคโนโลยีนี้ มีคุณสมบัติและจุดเด่นมากมาย เหมาะกับเกษตรกรยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือที่เป็นดอยสูงหรือพื้นที่เกษตรที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ห่างไกลชุมชน ไม่มีไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตเข้าถึง ติดตั้งและใช้งานง่าย ผมจึงอยากจะผลิตและส่งต่องานวิจัยนี้ให้เกษตรกรที่อยากจะเริ่มต้นปรับตัว เข้ากับยุคเกษตร 4.0 ได้ใช้ประโยชน์เพื่อบริหารจัดการน้ำในการเพาะปลูกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางเข้าไปดูแลให้น้ำพื้นที่ปลูกอีกด้วย”
เทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก Water Fit Simple มีระบบใช้ควบคุมการให้น้ำแปลงปลูกแบบอัตโนมัติ ตั้งค่าเปิดปิดวาล์วน้ำหรือปั๊มน้ำตามเวลา โดยผู้ใช้งานตั้งค่าผ่านโทรศัพท์สมาร์ตโฟน คุณสมบัติและจุดเด่นของเทคโนโลยี
ไม่ใช้ไฟฟ้า ใช้เพียงถ่าน 9 โวลต์ 1 ก้อน เป็นแหล่งพลังงาน (โดยถ่านสามารถใช้งานได้สูงสุด 1 ปี)
ไม่ต้องใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ต กำหนดและปรับตั้งค่าได้ง่ายบนแอพพลิเคชันของโทรศัพท์สมาร์ตโฟน (ระบบแอนดรอยด์) ผ่านสัญญาณบลูทูท
ต่อควบคุมวาล์วน้ำได้สูงสุด 4 ตัว หรือควบคุมปั๊มน้ำ 1 เครื่องร่วมกับวาล์วน้ำได้สูงสุด 3 ตัว ทำงานอิสระจากกัน
กำหนดรูปแบบการให้น้ำได้ทั้งแบบให้น้ำทุกวัน วันเว้นวัน หรือบางวัน
กำหนดจำนวนครั้งและระยะเวลาให้น้ำได้หลายช่วงในแต่ละวัน เช่น ให้น้ำ 3 ครั้ง เวลา 8.00 น. ให้น้ำ 10 นาที เวลา 13.00 น. ให้น้ำ 8 นาที และเวลา 15.30 น. ให้น้ำ 5 นาที
รองรับเซนเซอร์วัดความชื้นดิน เซนเซอร์วัดปริมาณน้ำฝน เซนเซอร์วัดอุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์
คุณกิตติศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “สำหรับในส่วนของการติดตั้งยังทำได้ง่าย เพียงนำกล่อง WATER FiT Simple ไป ติดตั้งที่หน้าแปลงปลูกและเดินสายจากโซลินอยด์วาล์วไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดอุปกรณ์ จากนั้นทำการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน “Irrigation Valve” ด้วยบลูธูท เพียงเท่านี้ผู้ใช้ก็สามารถบริหารจัดการการให้น้ำและแปลงปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการสั่งการบนแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนได้ทันที”
สำหรับประสิทธิภาพการใช้งาน คุณนที เล่าว่า หลังจากนำเทคโนโลยี WATER FiT Simple มาใช้ในแปลงปลูกพืชผักสมุนไพรอินทรีย์ พบว่าพืชเจริญเติบโตไดี เก็บเกี่ยวผลลผลิตได้ปริมาณที่เพิ่มขึ้น คุณภาพดีขึ้นทั้งในเรื่องของกลิ่นสมุนไพรและการแตกใบสวยงาม ต่างจากเดิมที่แม้จะขับรถเข้าดูแลให้น้ำแปลงปลูกทุกวัน ก็ยังพบความเสียหาย ทั้งพืชตาย เหี่ยวเฉา ใบเหลือง ฯลฯ ทั้งนี้อาจจะเกิดช่วงเวลาการให้น้ำไม่เป็นเวลาหรือไม่สม่ำเสมอ บางทีติดธุระเข้าสวนไม่เป็นเวลาบ้าง รวมถึงให้น้ำในปริมาณที่ไม่เหมาะสมบางครั้งเผลอให้น้ำน้อยไปบ้างหรือมากเกินไปบ้าง ซึ่งผมดูแลสวนคนเดียวอาจะมีความผิดพลาดที่เกิดจาก Human Error ได้ นอกจากนี้การนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคุมบริหารจัดการการให้น้ำอย่างเหมาะสม ยังช่วยผมประหยัดเงินค่าน้ำมันในการเดินทางเข้าสวน มีเวลาเหลือไปหาตลาดเพื่อจัดจำหน่ายผลผลิตของกลุ่มฯ ได้เพิ่มอีกด้วย”
ปีที่ผ่านมา ทีม สวทช. ภาคเหนือ และผู้เชี่ยวชาญได้เข้ามาช่วยเก็บข้อมูลในเรื่องของต้นทุนการผลิตเปรียบเทียบก่อนและหลังใช้เทคโนโลยี พบว่าเดิมเกษตรกรมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันในการขับรถเดินทางขึ้นไปรดน้ำแปลงพืชผักสมุนไพรทุกวันสูงถึง 12,960 บาท/ปี แต่หลังจากติดตั้ง WATER FiT Simple ก็เดินทางขึ้นไปดูแปลงเฉลี่ยอาทิตย์ละครั้ง คิดเป็นค่าน้ำมัน 1,728 บาท/ปี ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางถึง 11,232 บาท/ปี นอกจากนี้ยังมีเวลาเหลือ ทำให้สามารถไปหาลูกค้าและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 5,000 บาท/เดือน หรือ 60,000 บาท/ปี นับเป็นเทคโนโลยีดีๆ ที่ไม่เพียงตอบโจทย์การใช้ในพื้นที่ห่างไกลและไฟฟ้าเข้าไม่ถึง แต่ยังช่วยให้เกษตรกรใช้ทรัพยากรคุ้มค่า เพิ่มปริมาณและคุณภาพผลผลิตได้เป็นอย่างดี”
สำหรับผู้สนใจเทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก WATER FiT Simple สามารถขอรับคำปรึกษาและติดต่อสอบถามได้ที่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เค สมาร์ท ไลฟ์ แอนด์ อินโนเวชั่น ซึ่งได้รับอนุญาตใช้สิทธิจากในผลงานวิจัยอย่างเป็นทางการ โทรศัพท์ 08 8252 6799 อีเมล KSmartLife2022@gmail.com
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

เมื่อ “เมฆกันชน” มาเยือนกรุงเทพ
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ในตอนเช้าวันนั้นหลายๆ คนที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คงแปลกใจกัน เพราะตื่นมาแล้วเห็นเมฆสีเข้มให้อารมณ์หม่นหนัก ครอบคลุมท้องฟ้าเป็นแนวกว้างสุดสายตา
ภาพโดยคุณ Maythavee Chantra
ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ ผู้อำนวยการฝ่ายเผยแพร่เทคโนโลยี ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติหรือ เอ็มเทค สวทช. และเป็นผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ชมรมคนรักมวลเมฆ” ที่มีสมาชิกกว่า 3 แสนคน ได้ให้ข้อมูลผ่านแฟนเพจว่า เมฆลักษณะดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า อาร์คัส (arcus) ซึ่งมีลักษณะเทียบได้กับ “กันชนหน้า” ของรถบรรทุกขนาดใหญ่
ชื่ออาร์คัสาจากภาษาละติน มีความหมายว่า “ส่วนโค้ง” บางคนก็เรียกว่าเป็น arch cloud (arch หรือ arc คือ ส่วนโค้งหรือช่องโค้ง) และ ดร.บัญชา เป็นผู้ตั้ง “ชื่อเล่น” เมฆดังกล่าวว่าเป็นคนแรกว่า “เมฆกันชน” โดยแนวโค้งของเมฆดังกล่าวอาจใช้ระบุทิศทางการเคลื่อนที่ของก้อนเมฆฝนฟ้าคะนองขนาดใหญ่ทั้งก้อนได้
ภาพโดยคุณ Nolyho H Wanderer
เมฆอาร์คัสเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหลายครั้งแล้ว สามารถอ่านรายละเอียดคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของการกำเนิดเมฆ และชมภาพเมฆดังกล่าวได้ในบทความของ ดร.บัญชา ตามลิงก์ต่อไปนี้
https://www.facebook.com/MatichonMIC/photos/a.590225254398696/5331657680255406/
อย่างไรก็ตาม การที่มีนักวิชาการบางคนระบุว่า เมฆอาร์คัสอาจแสดงให้เห็นถึงสภาวะอากาศแบบสุดขีด (extreme weather event) ที่เกิดจากภาวะโลกร้อน (global warming) หรือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) นั้น
ดร.บัญชา ระบุว่าน่าจะถือว่ายังเป็นเพียงสมมติฐาน (hypothesis) หรือข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเท่านั้น ยังและต้องรอการพิสูจน์เพิ่มเติมต่อไป
นานาสาระน่ารู้

ถอดบทเรียนองค์ความรู้ในการบริหารงานและการดำเนินโครงการวิจัยของผู้บริหารและบุคลากร สวทช.
เนื่องในโอกาสที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินงานมาจนครบ 30 ปี ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) ร่วมกับ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ (PRD) ในสายงานกลยุทธ์องค์กรของ สวทช. ดำเนินการถอดบทเรียนองค์ความรู้ในการบริหารงาน และการดำเนินโครงการวิจัยของ สวทช. เพื่อรวบรวมและเผยแพร่ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในคน ไม่ได้มีการบันทึกไว้ในสื่อใด ๆ (tacit knowledge) อันเป็นความรู้สำคัญขององค์กร เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ นำไปใช้ ต่อยอด และขยายผล ในการดำเนินงานให้เกิดผลที่ดีขึ้นสำหรับ สวทช. รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่สนใจ ในการพัฒนาคน กระบวนการ และองค์กร
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดเอกสารออนไลน์
30 ปี สวทช.
เอกสารเผยแพร่

แนวทางในการจัดทำคลังความรู้ของสถาบัน
หลายสถาบันขนาดใหญ่กำลังจัดทำคลังความรู้ เพื่อเป็นที่เก็บรวบรวมความรู้ที่เป็นผลงานของสถาบัน และเผยแพร่ความรู้นั้นแก่บุคลากรในสถาบันและบุคคลภายนอกสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ โดยข้างล่างได้แนะนำแนวทางในการจัดทำคลังความรู้ของสถาบัน
แนวทางเพื่อการปรับปรุงหรือจัดทำคลังความรู้ของสถาบัน
1. จัดให้มีนโยบายคลังความรู้ของสถาบัน
โดยการวิเคราะห์หลายกระบวนการเกี่ยวข้องในการทำหน้าที่ของคลังความรู้ของสถาบัน แล้วสร้างกฎสำหรับแต่ละกระบวนการ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการนำเข้าผลงานในคลัง การนำเสนอผลงานวิจัย และการจัดการข้อมูล ทำให้ทุกคนเห็นหน้าดังกล่าว รู้ว่าอะไรได้รับการอนุญาตและไม่อนุญาต
ดูตัวอย่างได้จากคลังความรู้ของมหาวิทยาลัย Kyoto ที่ชื่อ KURENAI ซึ่งผู้บริหารได้ระบุอย่างชัดเจนใครบ้างเหมาะสมที่จะนำเข้าผลงาน อะไรบ้างสามารถนำเข้าในคลัง และอื่น ๆ อีกมากมาย
2. ทำให้ขั้นตอนการนำเข้าผลงานในคลังเป็นเรื่องง่าย
คลังจะดำเนินการอย่างมั่นคง ต้องการการนำเข้าผลงานใหม่อย่างต่อเนื่องในคลัง หนึ่งวิธีที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นคือ ทำให้ขั้นตอนการนำเข้าผลงานในคลังเป็นเรื่องง่าย โดยค้นหาความยากที่นักศึกษาและคณะประสบในขณะนำเข้าผลงานในคลัง แล้วปรึกษาผู้จัดให้มีซอฟต์แวร์เพื่อทำให้ขั้นตอนการนำเข้าผลงานในคลังถูกปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ทำให้เว็บไซต์และผลงานสามารถเข้าถึงได้ด้วย search engines เช่น Google
4. ติดตามตัววัดที่สำคัญ (key metrics) เป็นประจำ
ติดตามตัววัดที่สำคัญ เช่น การดาวน์โหลด และการอ้างอิง (citations) มีประโยชน์ เช่น
1. ช่วยผู้บริหารรู้ว่าอะไรใช้ได้และใช้ไม่ได้
2. คณะและนักวิจัยจะถูกสนับสนุนให้นำเข้าผลงานในคลังมากขึ้นหรือปรับให้เหมาะสมเนื้อหาที่มีอยู่ในคลังเพราะรู้ว่าผลงานได้รับการสืบค้นเจอ
ตัวอย่างคลังที่มีชื่อว่า LUME ได้จัดทำข้อมูลแสดง เช่น การดาวน์โหลดต่อประเทศ, การเข้าชมต่อปี และการดาวน์โหลดต่อปี เผยแพร่ต่อสาธารณะ
5. ทำให้เป็นหลายภาษา
ถ้าต้องการผลงานของสถาบันเข้าถึงได้โดยผู้ใช้ทั่วโลก ต้องทำให้ user interface เป็นหลายภาษา ตัวอย่างเช่น หน้า portal ของห้องสมุดดิจิทัลของวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัย Sao Paolo มีให้ทั้งภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส, สเปน และอังกฤษ
แนวทางที่ยั่งยืนเพื่อเพิ่มเนื้อหาในคลัง
มีแนวทาง เช่น
1. จัดให้มีสถิติการใช้สำหรับเนื้อหาในคลัง เช่น จำนวนครั้งที่เนื้อหาฉบับเต็มถูกดาวน์โหลด
2. จัดให้มีบริการตรวจสอบสิทธิและการเสนอให้พิจารณา (submission) โดยจะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ห้องสมุด
3. จัดให้มีการดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติข้อมูลการอ้างอิง (citation) จากฐานข้อมูลการอ้างอิงมายังคลัง เช่น การโหลดการอ้างอิงบทความวิชาการจาก Web of Science มายังคลังบทความวิชาการ DSPACE
4. เชื่อมโยงคลังกับการประเมินคุณภาพงานวิจัย
5. เก็บเกี่ยวเนื้อหาฉบับเต็ม (full text harvesting) จากแหล่งที่สามารถเข้าถึงแบบเปิด
6. การนำเข้าเนื้อหาในคลังโดยตรงโดยสำนักพิมพ์ เช่น Nature Publishing Group (NPG) ให้บริการนำเข้าเนื้อหาต้นฉบับสู่คลัง (Manuscript Deposition Service) แก่ผู้แต่งที่ตีพิมพ์บทความวิจัยต้นฉบับในวารสารที่เผยแพร่โดย NPG
ที่มา:
1. Sucheth (October 11, 2021). Top Institutional Repositories Available for Open Access. Scispace. Retrieved May 10, 2022, from https://typeset.io/resources/top-institutional-repositories-available-for-open-access/
2. Confederation of Open Access Repositories (COAR, May 2012). Sustainable Best Practices for Populating Repositories. Retrieved May 10, 2022, from https://www.coar-repositories.org/files/Sustainiable-practices-preliminary-results_final.pdf
นานาสาระน่ารู้

ทรัพยากรการศึกษาของการศึกษาในมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา
รูปแบบของการกระจายและการเลือกวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรมีการเปลี่ยนแปลง หลังจาก 10 ปี ของการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของวิธีที่คณะค้นพบและนำตำราเรียนไปใช้ในหลักสูตร 5 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ
- มีการยอมรับ (แม้แต่ชอบ) มากขึ้นโดยคณะสำหรับวัสดุดิจิทัล คณะมากกว่าขณะนี้ชอบดิจิทัลมากกว่า print และคณะรายงานว่านักศึกษายอมรับเช่นเดียวกันวัสดุดิจิทัล
- คณะ, หัวหน้า, ผู้บริหาร และแม้แต่ระบบวิทยาลัยทั้งหมดกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับราคาของวัสดุสำหรับนักศึกษา
- ความเข้าใจของคณะว่านักศึกษาจำนวนมากกำลังศึกษาโดยไม่มีเนื้อหาที่ถูกต้องการ ถูกรายงานว่าเหตุผลที่สำคัญคือกังวลในเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ยังเพราะว่านักศึกษาไม่เชื่อว่าต้องการวัสดุ
- การแนะนำรูปแบบใหม่ของการตีพิมพ์และการกระจายโดยสำนักพิมพ์ทางการค้า สำคัญที่สุดคือ inclusive access ได้เปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางเลือกที่มีให้ของคณะ
การพัฒนาที่รวดเร็วของตลาดวัสดุที่ใช้ในหลักสูตรมีผลที่สำคัญต่ออนาคตของตำราเรียนแบบเปิด (open textbook) 5 ปีที่ผ่านมามีสัญญาณเชิงบวกสำหรับการเติบโตของตำราเรียนแบบเปิด คือ
- คณะที่นำ OER (open educational resources, ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด) มาใช้ บอกว่าคุณภาพของ OER เท่ากับทางเลือกทางการค้า
- ความตระหนักของการอนุญาตและ OER เพิ่มขึ้นทุกปี
- การริเริ่ม OER ที่ระดับสถาบันและระบบมีประสิทธิภาพโดยเพิ่มอัตราการนำ OER ไปใช้
นอกจากนี้มีสัญญาณเชิงลบเล็กน้อยสำหรับตำราเรียนแบบเปิด คือ
- คณะไม่คิดว่าต้องการ OER เพื่อใช้ 5Rs (Retain, Revise, Remix, Reuse และ Redistribute) คณะส่วนใหญ่กำลังใช้วัสดุทางการค้าเพื่อใช้ 5Rs
- การเพิ่มขึ้นของรายการทางเลือกการกระจายวัสดุทำให้เกิดความสับสนกับข้อความการเป็นแบบเปิด ทางเลือกหลายทางกำลังถูกนำเสนอในทางที่เหมือนกับ OER และแสดงข้อดีหลายข้อที่เหมือนกัน
- ในขณะที่ขณะนี้ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับคำว่า OER หลายคณะยังคงไม่คุ้นเคยกับการอนุญาตหรือวิธีใช้วัสดุเหล่านี้ และอัตราการเติบโตในปัจจุบันจะไม่เปลี่ยนเรื่องนี้เป็นเวลาหลายปี
ที่มา: Julia E. Seaman and Jeff Seaman (2020). Inflection Point: Educational Resources in U.S. Higher Education, 2019. Bay View Analytics. Retrieved July 18, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/2019inflectionpoint.pdf
นานาสาระน่ารู้

บทบาทของ OER (open educational resource, ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด) ต่อการศึกษาในมหาวิทยาลัย
Babson Survey Research Group ได้ทำการสำรวจใน 2,144 คณะของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา สิ่งที่พบหลัก คือ
- คณะไม่มีความตระหนัก OER มาก
ระหว่าง 2 ใน 3 และ 3 ใน 4 ของคณะทั้งหมดไม่มีความตระหนัก OER
- คณะเห็นคุณค่าแนวคิดของ OER
ไม่เหมือนเทคโนโลยีส่วนใหญ่ในการสอน OER ไม่ถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง เมื่อได้รับรู้แนวคิดของ OER คณะส่วนใหญ่บอกว่ายินดีที่จะลอง
- ความตระหนักของ OER ไม่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการนำ OER ไปใช้
คณะที่มากกว่ากำลังใช้ OER แต่ไม่มีความตระหนัก OER การตัดสินใจนำทรัพยากรมาใช้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย บ่อย ๆ ทำโดยไม่มีความตระหนักในการอนุญาตที่จำเพาะของวัสดุหรือสถานะ OER
- คณะตัดสินคุณภาพของ OER อย่างคร่าว ๆ เท่ากับทรัพยากรการศึกษาแบบดั้งเดิม
คณะส่วนใหญ่รายงานว่าไม่มีความตระหนัก OER อย่างเพียงพอที่จะตัดสินคุณภาพ จากคณะที่ให้ความคิดเห็น 3 ใน 4 จัด OER เหมือนหรือดีกว่าทรัพยากรแบบดั้งเดิม
- อุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการนำ OER ไปใช้กว้างขึ้นคือ การรับรู้ของคณะของเวลาและความพยายามที่ถูกต้องการเพื่อค้นหาและประเมิน
ผลการสำรวจแสดงว่า 38% ของคณะบอกว่าการค้นหา OER เป็นเรื่องยากหรือยากมาก
- คณะเป็นผู้ตัดสินใจหลักสำหรับการนำ OER ไปใช้
ผลการสำรวจก่อนหน้านี้กับเจ้าหน้าที่หัวหน้าการศึกษาแสดงว่าคณะเกือบจะเสมอ ๆ เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนำมาใช้และในบางสถานการณ์มีบทบาทที่สำคัญ คณะในการสำรวจครั้งนี้เป็นไปในทางเดียวกัน ยกเว้นในส่วนน้อยของสถาบัน 2 ปีและแสวงหาผลกำไร คณะบริหารเป็นผู้นำ
ที่มา: I. Elaine Allen and Jeff Seaman (October 2014). Opening the Curriculum: Open Educational Resources in U.S. Higher Education, 2014. Babson Survey Research Group. Retrieved July 18, 2022, from https://www.bayviewanalytics.com/reports/openingthecurriculum2014.pdf
นานาสาระน่ารู้

การศึกษาเพื่อสร้างเกณฑ์สำหรับตำราเรียนดิจิทัลและประเมินตำราเรียนดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ระหว่างฤดูร้อนของปี 2008 The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการศึกษากับ 504 นักศึกษา ใน Oregon และ Illinois และวิเคราะห์ราคา e-textbook ของ 50 ตำราเรียนที่ถูกมอบหมายทั่วไป เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวข้างต้น สิ่งที่พบหลัก คือ
1. ตำราเรียนดิจิทัลต้องมี 3 เกณฑ์ ได้แก่ สามารถจ่ายได้ (affordable), สามารถพิมพ์ได้ (printable) และสามารถเข้าถึงได้ (acessible)
อย่างแรก ตำราเรียนดิจิทัลต้องสามารถจ่ายได้มากกว่าหนังสือแบบดั้งเดิม
เพื่อแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูง ตำราเรียนดิจิทัลต้องเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหนังสือแบบดั้งเดิม หมายความว่าตำราเรียนดิจิทัลต้องมีราคาต่ำกว่าราคาสุทธิของการซื้อตำราเรียน
อย่างที่สอง ตำราเรียนดิจิทัลต้องง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่ายมากสำหรับการสั่งพิมพ์ออกมา
การสั่งพิมพ์ออกมาทำให้ตำราเรียนดิจิทัลมีประโยชน์สำหรับนักศึกษาที่มีสไตล์การอ่านและการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน นักศึกษาเหมือนมีความชอบทั่วไปสำหรับหนังสือที่ถูกสั่งพิมพ์ออกมามากกว่าคอมพิวเตอร์
อย่างที่สาม ตำราเรียนดิจิทัลต้องสามารถเข้าถึงได้
เมื่อนักศึกษาซื้อตำราเรียนดิจิทัล ควรสามารถเข้าถึงได้ออนไลน์, เก็บสำหรับใช้ offline และเก็บสำเนาสำหรับใช้ในอนาคต ถ้าน้อยกว่าเป็นไปตามนี้จะทำให้หนังสือดิจิทัลไม่มีประโยชน์สำหรับนักศึกษาจำนวนมาก
- 45% ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจบอกว่าการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ที่ถูกจำกัดจะทำให้อย่างน้อยค่อนข้างยากที่จะใช้ตำราเรียนดิจิทัล
- 71% บอกว่าเก็บอย่างน้อยหนึ่งตำราเรียนเพื่อใช้อ้างอิงในอนาคต
2. e-textbooks ไม่สามารถตอบเกณฑ์
E-textbooks มีราคาแพงเกินไป
การสั่งพิมพ์ออกมามีราคาแพงและยุ่งยาก
- การสั่งพิมพ์ออกมาถูกจำกัดไปที่ 10 หน้าต่อ session สำหรับแต่ละ e-textbooks ที่ถูกสำรวจ
- การซื้อและการสั่งพิมพ์ออกมาครึ่งหนึ่งของ e-textbook เป็นสามเท่าค่าใช้จ่ายในการซื้อ hard copy ที่ใช้แล้วและการขายกลับให้ร้านหนังสือ สำหรับหนังสือที่ถูกสำรวจ
E-textbooks ยากที่จะเข้าถึง
- นักศึกษาต้องเลือกระหว่างการใช้หนังสือออนไลน์หรือการใช้ offline ไม่สามารถทำทั้งสองได้
- ส่วนใหญ่ (75%) ของ e-textbooks ที่ถูกสำราจหมดอายุหลัง 180 วัน ดังนั้นนักศึกษาไม่สามารถเข้าถึงหนังสือในอนาคต
3. ตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) ตอบเกณฑ์ทุกข้อ
ตำราเรียนแบบเปิดเป็นตำราเรียนที่มีให้ใช้ฟรีอย่างดิจิทัลภายใต้การอนุญาตแบบเปิด ลักษณะหลักของการอนุญาตแบบเปิดคือยอมให้ผู้ใช้ทำสำเนาของตำราเรียนและแปลงเป็นรูปแบบต่าง ๆ ดังนั้นตำราเรียนแบบเปิดเป็นดิจิทัลแต่สามารถเป็นหลายรูปแบบ ในการศึกษาครั้งนี้พบว่าตำราเรียนแบบเปิดประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ e-textbooks ทำไม่ได้ โดยตำราเรียนแบบเปิดมีราคาไม่แพง, ง่ายที่จะสั่งพิมพ์ออกมา และสามารถเข้าถึงได้
ตำราเรียนแบบเปิดมีราคาไม่แพง
ตำราเรียนแบบเปิดมีให้ฟรีอย่างดิจิทัล และนักศึกษาสามารถซื้อรูปแบบอื่น ๆ โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อย
ตำราเรียนแบบเปิดง่ายที่จะสั่งพิมพ์ออกมา
นักศึกษาสามารถสั่งพิมพ์ตำราเรียนดิจิทัลเวลาไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้และในรูปแบบที่หลากหลาย
ตำราเรียนแบบเปิดสามารถเข้าถึงได้
นักศึกษาสามารถเข้าถึงตำราเรียนแบบเปิดเวลาไหนก็ได้จากคอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้โดยไม่มีการหมดอายุของหนังสือ
สรุปจากการศึกษา
ตำราเรียนดิจิทัลเป็นวิธีแก้ปัญหาที่สำคัญเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ต้องทำในหนทางที่ถูกต้อง การศึกษาครั้งนี้พบว่าตำราเรียนดิจิทัลต้องตอบ 3 เกณฑ์หลัก เพื่อมีศักยภาพสูงสุด ได้แก่ สามารถจ่ายได้ สามารถสั่งพิมพ์ได้ และสามารถเข้าถึงได้ มี 2 ชนิดหลักของตำราเรียนดิจิทัลขณะนี้ ได้แก่ e-textbooks และตำราเรียนแบบเปิด ซึ่งเป็นตัวอย่างของตำราเรียนดิจิทัลทำในหนทางที่ผิดและที่ถูกตามลำดับ
ที่มา: Nicole Allen (August 2008). Course correction how digital textbooks are off track and how to set them straight. The Student PIRGs. Retrieved July 18, 2022, from https://studentpirgs.org/2008/08/01/course-correction/
นานาสาระน่ารู้

การประเมินศักยภาพในระยะยาวของการเช่า, e-books, e-readers และตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) ในการแก้ปัญหาราคาตำราเรียนที่สูง
The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ทำการสำรวจใน 1,428 นักศึกษา จาก 10 วิทยาเขต และการวิเคราะห์ราคาตำราเรียนสำหรับ 10 วิชาทั่วไปของวิทยาลัย เพื่อประเมินศักยภาพในระยะยาวของการเช่า, e-books, e-readers และตำราเรียนแบบเปิด ในการแก้ปัญหาราคาตำราเรียนที่สูง สิ่งที่พบ คือ
1. การแก้ปัญหาความสามารถในการจ่ายได้ของตำราเรียนต้องตอบสนองความชอบที่หลากหลายของนักศึกษา
- นักศึกษาแยกออกระหว่าง print และ digital 75% ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจบอกว่า print เป็นรูปแบบที่ชอบ 25% เลือก digital
- การรวมกันของ print และ digital อาจดีที่สุดสำหรับนักศึกษาบางคน 47% ของนักศึกษาบอกว่าพอใจกับการใช้อย่างน้อยหนึ่งของรูปแบบตำราเรียนดิจิทัล
- เช่าหรือซื้อ นักศึกษาส่วนใหญ่จะเลือกทั้งสอง 93% ของนักศึกษาจะเช่าอย่างน้อยบางตำราเรียน แต่เพียง 34% จะเช่าทั้งหมด
2. ทางเลือกการลดค่าใช้จ่ายแบบดั้งเดิมมีศักยภาพที่จำกัดเพราะเพียงดึงดูดกลุ่มย่อยของนักศึกษา
ทั้งการเช่า, e-books และ e-readers เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการซื้อตำราเรียนที่ถูกสั่งพิมพ์ออกมา แต่การประหยัดถูกจำกัดเพราะทางเลือกทั้งสามไม่ดึงดูดนักศึกษาทั้งหมด
3. ตำราเรียนแบบเปิดสามารถลดค่าใช้จ่ายสำหรับนักศึกษาทั้งหมดและมีศักยภาพในระยะยาวอย่างยั่งยืน
ตำราเรียนแบบเปิดมีรูปแบบที่สามารถจ่ายได้ที่หลากหลายซึ่งตอบสนองความชอบทั้งหมด และดังนั้นทำให้นักศึกษาทั้งหมดประหยัด
สรุปจากการสำรวจ
การสำรวจครั้งนี้แสดงว่าการแก้ปัญหาความสามารถในการจ่ายได้ของตำราเรียนต้องทั้งลดค่าใช้จ่ายและตอบสนองความชอบที่หลากหลายของนักศึกษา
ผลที่มีศักยภาพของการเช่า, e-books และ e-readers จำกัดเพราะเพียงตอบสนองความชอบของกลุ่มย่อยของนักศึกษา ในขณะทางเลือกทั้งสามสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะสั้น ไม่สามารถเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว
ตำราเรียนแบบเปิดสามารถลดค่าใช้จ่ายอย่างยั่งยืนและสามารถตอบสนองนักศึกษาทั้งหมด ตำราเรียนแบบเปิดเป็นการแก้ปัญหาที่ครอบคลุม มีรูปแบบที่จ่ายได้และทางเลือกของการซื้อที่หลากหลาย ตำราเรียนแบบเปิดไปเหนือกว่าช่วยลดค่าใช้จ่าย โดยกระตุ้นสำนักพิมพ์เชื่อว่านักศึกษาเป็นผู้บริโภคและเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่าด้วยราคาที่สามารถจ่ายได้
ข้อแนะนำจากการสำรวจ
- สำนักพิมพ์ควรพัฒนารูปแบบใหม่ซึ่งสามารถผลิตหนังสือที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ทำให้นักศึกษาต้องจ่ายมากเกินไป
- คณะควรค้นหา, พิจารณา และนำมาใช้ตำราเรียนแบบเปิดและทางเลือกที่จ่ายได้อื่น ๆ
- วิทยาลัยและรัฐบาลควรลงทุนในการสร้างตำราเรียนแบบเปิดมากขึ้น
- นักศึกษาควรปฏิบัติต่อต้านค่าใช้จ่ายที่สูงโดยพูดเกี่ยวกับตำราเรียนแบบเปิดกับคณะ, วิทยาเขต และชุมชน
ที่มา: Nicole Allen (September 2010). A cover to cover solution how open textbooks are the path to textbook affordability. The Student PIRGs. Retrieved July 18, 2022, from https://studentpirgs.org/2010/09/30/cover-cover-solution-2/
นานาสาระน่ารู้

ข้อมูล Dengue จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด
การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Medicine & Biopharmaceuticals ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการวินิจฉัย รักษาแบบแม่นยำ และการแพทย์ขั้นก้าวหน้า เพิ่มศักยภาพบริการและอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ และความมั่นคงด้านสาธารณสุข โดย Dengue หรือ โรคไข้เลือดออก นับเป็น Emerging Infectious Diseases เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือโรคอุบัติใหม่/อุบัติซ้ำ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการวินิจฉัย ควบคุม ป้องกัน โรคติดเชื้อ การดื้อยาของเชื้อก่อโรค และการพัฒนา API ต้านไวรัส
จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเรื่อง Dengue (คำค้น dengue จากเขตข้อมูล Title, Abstract, Keyword ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 25 กรกฎาคม 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางด้านDengue เฉพาะของประเทศไทยจำนวน 2,230 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 1,080 รายการ รองลงมา คือ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (Armed Forces Research Institute of Medical Sciences, Thailand) จำนวน 314 รายการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 217 รายการ กระทรวงสาธารณสุข (Thailand Ministry of Public Health) จำนวน 183 รายการ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จำนวน 144 รายการ นอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Dengue ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel
Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)
ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel
www.mintel.com
ภาพที่ 2 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Health care, Pet control, Insect repellent, Food
1. เวียดนามและอินโดนีเซียกำลังมีส่วนร่วมในการทดสอบเพื่อเพาะพันธุ์แมลงต้านทานไข้เลือดออก แบคทีเรียที่ต้านทานโรคที่เรียกว่า Wolbachia ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติในการป้องกันยุงไม่ให้แพร่เชื้อไวรัส Dengue ถึงชีวิตสู่มนุษย์
2. บริษัท Sharp กับเครื่องฟอกอากาศที่สามารถดักจับยุงและทำความสะอาดอากาศภายในอาคารที่ปนเปื้อน ด้วยเทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์อิออนของ Sharp และกลไกการดักจับยุงที่ไม่เป็นพิษ เครื่องฟอกอากาศใช้แสงยูวีเพื่อดึงดูดยุงและการดูดอากาศเพื่อดักจับพวกมันบนแผ่นกาวที่แข็งแรง เครื่องฟอกอากาศ Sharp ใช้ไอออนลบในการทำความสะอาดและทำให้อากาศภายในอาคารสดชื่น ระบบนี้ติดตั้งแผ่นกรอง HEPA และอ้างว่าสามารถดักจับอนุภาคในอากาศได้ 99.97% เช่น ควัน ฝุ่น และละอองเกสรที่มีขนาดเล็กเพียง 0.03 ไมครอน
3. Moto Repellent อุปกรณ์พกพาน้ำหนักเบาที่เติมน้ำมันไล่ยุงปลอดสารพิษซึ่งติดด้วยแม่เหล็กกับท่อไอเสียของรถจักรยานยนต์ ด้วยอุปกรณ์นี้ ความร้อนจากไอเสียจะกระตุ้นน้ำมันและขับกลิ่นออกด้วยแรงดันไอเสีย เนื่องจากถนนลาดยางและช่องทางเดินรถเล็กๆ ในชุมชนแออัด การติดอุปกรณ์เข้ากับมอเตอร์ไซค์จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการกับปัญหายุง
4. App ติดตามโรคมาลาเรียที่เรียกว่า "Track the Bite" App เตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับการระบาดมาลาเรีย ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์แก่ผู้คน ส่งข้อความส่วนตัวตามสถานที่และให้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคหากอยู่ในพื้นที่ที่น่ากังวล ยังอนุญาตให้ผู้ใช้ส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายโซเชียลได้ด้วยคลิกเดียว
ภาพที่ 3 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Health care, Pet control, Insect repellent, Food
5. เนื่องจาก climate change แมลงที่เป็นอันตรายกำลังแพร่กระจายเร็วขึ้น ซึ่งสร้างตลาดใหม่และโอกาสทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ควบคุมสัตว์รบกวน การเพิ่มขึ้นของจำนวนสัตว์รบกวนและการใช้เวลากลางแจ้งที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันความต้องการผลิตภัณฑ์ควบคุมสัตว์รบกวน มีความสนใจเพิ่มขึ้นในพืชและสูตรที่ได้จากธรรมชาติในการควบคุมสัตว์รบกวน
6. การเพิ่มขึ้นของประชากรสัตว์รบกวนและเวลากลางแจ้งจะผลักดันความต้องการผลิตภัณฑ์ควบคุมสัตว์รบกวน
7. ปี 2020 คือปีแห่งนวัตกรรมในการควบคุม/ไล่สัตว์รบกวน การทำงานและความปลอดภัยเป็นตัวขับเคลื่อนประเภทการควบคุมสัตว์รบกวน แต่ก็ยังมีความสนใจเพิ่มขึ้นในพืชและสูตรที่ได้จากธรรมชาติ
8. กรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าวที่มีคุณสมบัติขับไล่เห็บ แมลงกัดต่อย ยุงและตัวเรือดได้ยาวนาน
9. แบรนด์แฟชั่นสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ในบราซิล ได้เปิดตัวเสื้อผ้าที่แต่งแต้มด้วยตะไคร้หอมเพื่อต่อสู้กับไวรัสซิกา
10. อาหารและเครื่องดื่มสำหรับอาการเจ็บป่วยและความวิตกกังวลของผู้คนเกี่ยวกับไวรัสซิกา
ภาพที่ 4 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Top categories
ภาพที่ 5 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Dengue : Top categories
สารสนเทศวิเคราะห์

ข้อมูล Advance Therapy จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด
การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Medicine & Biopharmaceuticals ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการวินิจฉัย รักษาแบบแม่นยำ และการแพทย์ขั้นก้าวหน้า เพิ่มศักยภาพบริการและอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ และความมั่นคงด้านสาธารณสุข โดยเทคโนโลยีหนึ่งที่ใช้ในการดำเนินงาน คือ Advance Therapy
จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเทคโนโลยี Advance Therapy (คำค้น advance therapy จากเขตข้อมูล Title, Abstract, Keyword ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 25 กรกฎาคม 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี Advance Therapy เฉพาะของประเทศไทยจำนวน 249 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 94 รายการ รองลงมา คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 54 รายการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 21 รายการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 14 รายการ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 9 รายการ สำหรับ สวทช. อยู่อันดับที่ 11 จำนวน 4 รายการ นอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Advance Therapy ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel
Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)
ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel
www.mintel.com
ภาพที่ 2 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Advanced Therapy : Health care, Beauty care, Food
1. สเต็มเซลล์สำหรับกระดูกสันหลัง - รัฐมนตรีสาธารณสุขของญี่ปุ่นคาดว่าจะอนุมัติการผลิตและจำหน่ายยารักษาโรคสเต็มเซลล์ของมนุษย์ เพื่อการฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
2. Start-up Ready3D และ Swiss Federal Institute of Technology ได้พิมพ์ตับอ่อนเพื่อทดสอบการรักษาโรคเบาหวาน
3. GlaxoSmithKline (แกล็กโซสมิธไคลน์ พีแอลซี หรือ GSK) บริษัทยาจากสหราชอาณาจักร เข้าลงทุนใน Harvard Stem Cell Institute $25 ล้าน โดยหวังว่าข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจะนำไปสู่การพัฒนายาใหม่
4. การพัฒนาการอุดฟันที่ช่วยให้ฟันสามารถรักษาตัวเองได้ โดยกระตุ้นสเต็มเซลล์กระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อฟัน
5. Start-up สิงคโปร์พบวิธีสร้างน้ำนมแม่จากสเต็มเซลล์
6. นักวิทยาศาสตร์ของ Tel Aviv และ Harvard University ได้สร้าง Organs-on-a-chip สำหรับการพัฒนายาเฉพาะบุคคล
ภาพที่ 3 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Advanced Therapy : Health care, Beauty care, Food
7. Mane Biotech ในประเทศเยอรมนีกำลังพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่เพื่อกระตุ้นสเต็มเซลล์ให้ปลูกผมและต่อสู้กับผมร่วง
8. LG Pra.L MediHair พัฒนาอุปกรณ์สวมใส่เพื่อกระตุ้นสเต็มเซลล์รากผมและสนับสนุนการเจริญเติบโตของเส้นผม
ยังช่วยให้หัวล้านช้าลงด้วย
9. โปรแกรมต่อต้านริ้วรอยของ Dior อ้างว่าสามารถป้องกันและแก้ไขริ้วรอยโดยกำหนดสเต็มเซลล์เป้าหมาย เนื่องจาก
สเต็มเซลล์เสื่อมสภาพตามกาลเวลา การปกป้องจึงสร้างเซลล์ใหม่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมฟื้นฟูและคงความอ่อนเยาว์ของผิวอย่างแท้จริง
10. Lowan Aging Care Stem Eyecream ซึ่งใช้การเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์จากมนุษย์เพื่อเติมความชุ่มชื้น
11. ขนมเนื้อแห้งที่ทำจากเนื้อที่เลี้ยงในห้องแล็บผ่านกระบวนการใหม่ที่ใช้สเต็มเซลล์จากวัว
สารสนเทศวิเคราะห์