หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
‘ปิกนิก เทเบิล’ เฟอร์นิเจอร์ไม้สักสุดคูล คิด-ออกแบบ ตามแนวคิด Circular Economy
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/picnic-table-furniture-with-circular-design.html   หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy คือ แนวคิดที่ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับการดูแลธรรมชาติและสังคมอย่างยั่งยืน ดังนั้นการออกแบบนวัตกรรมกรรมตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ถือเป็นแนวทางที่ช่วยทำให้ผู้ประกอบการและนักวิจัยได้นำความรู้ ทั้งศาสตร์เชิงกลด้านวิศวกรรมและศาสตร์การออกแบบดีไซน์มาร่วมกันสร้างสรรค์และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้ตั้งแต่ต้นทาง ที่สำคัญคือนำกลับมาใช้ซ้ำได้ยาวนาน ปิกนิก เทเบิล (Picnic Table) เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก คือตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้ประโยชน์จากวัสดุไม้สักอย่างคุ้มค่า ผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้เทคนิคทางวิศวกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มความมั่นคงแข็งแรงของเฟอร์นิเจอร์ โดยตัดขั้นตอนการใช้สารเคมีออกจากกระบวนการผลิต แถมยังส่งผลดีต่อการนำชิ้นส่วนของเฟอร์นิเจอร์กลับมาใช้งานได้ใหม่ เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ   [caption id="attachment_39075" align="aligncenter" width="700"] ดร.นุจรินทร์ รามัญกุล (ขวาสุด) และนายจิรชัย ตั้งกิจงามวงศ์ (คนที่ 2)[/caption]   ดร.นุจรินทร์ รามัญกุล ผู้เชี่ยวชาญวิจัยกลุ่มวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ได้รับการสนับสนุนจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ (Simulation) โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาแบบจำลองและออกแบบ เพื่อทดสอบความมั่นคงแข็งแรงของผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกทั้งเติมเต็มเรื่องข้อมูลของผลทดสอบที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมได้เห็นข้อมูลรอบด้านและสามารถคิดต่อได้ว่าจะเดินหน้าไปในทางไหน ที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมของตนเอง           นายจิรชัย ตั้งกิจงามวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท อุตสาหกรรมดีสวัสดิ์ จำกัด (DEESAWAT) กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ CE ทำให้บริษัทเริ่มกลับมาคิดการพัฒนาเฟอร์นิเจอร์ใหม่ โดยคำนึงถึงการออกแบบตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางการใช้งาน ไม่ใช่การออกแบบนำการผลิตตามรูปแบบเดิม เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นดีสวัสดิ์ ในฐานะผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้สัก ซึ่งเป็นทรัพยากรป่าไม้ที่สำคัญ ต้องคำนึงถึงการใช้ประโยชน์และรักษาคุณค่าของไม้สักไว้ให้ได้นานที่สุด และตอบสนองการใช้งานผู้บริโภคในปัจจุบัน     “ปิกนิก เทเบิล คือเฟอร์นิเจอร์ปิกนิกจากงานไม้สัก ที่มีการออกแบบตามหลักแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน จากเดิมที่เคยผลิตชิ้นงานเฟอร์นิเจอร์ โดยนำไม้สักมาแปรรูป ฝังเดือย ใส่กาวเกือบทุกชิ้นส่วน และต้องมีการไสเศษไม้ส่วนเกินออก เพื่อตกแต่งชิ้นส่วนให้เรียบสวยงาม ก่อนนำมาเข้าลิ่ม เข้าเดือย ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์ถูกกำหนดให้ใช้งานแบบตายตัว และบางส่วนถูกตัดทิ้งเป็นของเสีย ใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ  แต่ตอนนี้ดีสวัสดิ์ เปลี่ยนแนวคิดใหม่ มีการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางของผลิตภัณฑ์ เพื่อคงคุณค่าของเฟอร์นิเจอร์และวัสดุไม้สักให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด โดยทำในลักษณะของ Modular คือ การออกแบบชิ้นส่วนให้มีความใกล้เคียงกันที่สุด อาศัยการออกแบบเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากไม้สูงสุด ไม่ทำแบบเข้าลิ่ม เข้าเดือยแบบเดิม และเมื่อผู้ใช้ไม่คิดจะใช้เฟอร์นิเจอร์กลุ่มนี้แล้ว ไม้ทุกชิ้นส่วนที่เป็นส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ก็สามารถถอดออกและคืนกลับเป็นวัสดุตั้งต้นเพื่อไม่ให้เกิดขยะในอนาคต นี่คือหลักคิดใหม่สำหรับการออกแบบนวัตกรรมกรรมตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเป็นมิตรต่อเราและโลกด้วย” นายณัฐกร กีรติไพบูลย์ วิศวกรศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ฟอร์นิเจอร์ดั้งเดิมของดีสวัสดิ์มีการใช้การเข้าลิ่มกาวและสกรูในการยึดชิ้นส่วนต่างๆ ประกอบเข้าด้วยกัน ทีมวิจัยจึงใช้แนวคิดการออกแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาออกแบบชิ้นส่วนของเฟอร์นิเจอร์ให้มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน ขั้นตอนการประกอบจะใช้เพียงสกรูในการยึดติดชิ้นส่วนต่างๆ เท่านั้น เพื่อให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ตลอดเวลา “ทีมวิจัยเข้ามาช่วยพัฒนาการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้ใช้งานได้หลากหลาย สามารถถอดชิ้นส่วนกลับไปใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นได้ง่าย สำหรับนำไปประกอบเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ตามความต้องการ โดยคำนึงถึงความแข็งแรงของผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ ทั้งนี้มีการทดสอบความแข็งแรงและการรองรับน้ำหนัก ซึ่งผลทดสอบพบว่ามีความแตกต่างกับเฟอร์นิเจอร์แบบเดิมเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ได้มีผลเกิดความเสียหายต่อวัสดุ และโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ หรือ Simulation เพื่อจำลองการออกแบบและใช้งาน ลดการออกแบบที่เกินความจำเป็น หรือ Over Design ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดวัสดุ ลดทรัพยากร ลดต้นทุนและพลังงานในการผลิตได้อย่างมาก และยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มผู้ใช้งานด้วย   [caption id="attachment_39074" align="aligncenter" width="700"] ชิ้นส่วนสามารถถอดประกอบเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้[/caption]   ทั้งนี้ผลจากการปรับดีไซน์ของผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์แบบเดิม มาเป็นผลิตภัณฑ์ ‘ปิกนิก เทเบิล’ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยทำให้ลดปริมาณไม้สักในการผลิตได้ 10% ลดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิต 12% ลดการสูญเสียเศษไม้ 30% และลดต้นทุนการผลิตโดยรวมได้ถึง 20% ที่สำคัญไม่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต จึงเป็นมิตรแก่ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และยังสามารถนำวัสดุในผลิตภัณฑ์ไปหมุนเวียนใช้เป็นวัสดุตั้งต้นใหม่ได้ 100%” นายธีรวุธ ตันนุกิจ ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมวัตถุดิบและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง (กพร.) อธิบายเสริมว่า จากการที่ กพร. ทำเรื่องการส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลมานาน ทำให้พิสูจน์ได้ว่า การคิดใหม่ การออกแบบใหม่ (Rethink/Redesign) เพื่อคำนึงถึงการนำผลิตภัณฑ์ที่สิ้นอายุการใช้งาน หรือของเสียที่เกิดขึ้นกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อช่วยให้เกิดรูปแบบการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน และยังช่วยให้เกิดการนำวัสดุต่างๆ มาใช้ซ้ำได้ง่าย โดยเฉพาะในขั้นตอนของการนำมารีไซเคิล “เนื่องจากบางผลิตภัณฑ์ไม่มีการใช้สารเคมีอันตรายในวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ตั้งแต่แรก จึงช่วยลดต้นทุนในกระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาเป็นวัตถุดิบทดแทนให้กับภาคอุตสาหกรรมตามหลักกระบวนการเศรษฐกิจหมุนเวียนที่รัฐบาลขับเคลื่อนได้ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง 20 ปีที่ผ่านมามีการใช้สารเคมีอันตราย ต่อมาภายหลังมีระเบียบเรื่องการจำกัดการใช้สารอันตราย ทำให้ต้นทุนของการกระบวนการรีไซเคิลลดลง ขณะเดียวในกระบวนการออกแบบให้ชิ้นส่วนต่างๆ สามารถแยกชิ้นส่วนได้ง่ายขึ้น ทำให้การนำมาหมุนเวียนใช้ซ้ำมีความง่ายขึ้นตามไปด้วย” อย่างไรก็ตาม การนำเอาหลักการเศรฐกิจหมุนเวียนมาช่วยในการออกแบบทำให้วัสดุอยู่ในระบบได้นานขึ้น และง่ายต่อกระบวนการดึงไปเป็นวัตถุดิบทดแทนให้กับภาคอุตสาหกรรม นับเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันเป้าหมายทิศทางการพัฒนาประเทศเพื่อให้ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ รวมทั้งเป้าหมายของไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission หรือ Net Zero Carbon) ภายในปี ค.ศ. 2065 ต่อไป     เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2565
วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2565 อำนาจการควบคุมของ ‘สมอง’ รู้จักสมองของเรา สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนควบคุมความคิด ความจำ อารมณ์ สัมผัส การมองเห็น การหายใจ อุณหภูมิ ความหิว และทุกกระบวนการที่ควบคุมร่างกาย สมองมีน้ำหนักประมาณ 1.36 กิโลกรัม สมองไม่ใช่กล้ามเนื้อ แต่เต็มไปด้วยหลอดเลือดและเส้นประสาท รวมเซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เนื้อสมองแบ่งออกเป็น 2 ส่วน หรือ 2 สี คือ ส่วนที่เป็นสีเทา อยู่ส่วนนอกที่มีสีเข้มกว่า และส่วนที่เป็นสีขาว อยู่ด้านใน ส่วนที่เป็นสีเทานั้น ทำหน้าที่ควบคุมข้อมูลที่รับและส่งออก เนื่องจากมีเซลล์ของเซลล์ประสาทอยู่ ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ และการให้ความรู้สึก ส่วนที่เป็นสีขาว ซึ่งเป็นเส้นใยใช้ส่งสัญญานไปยังส่วนอื่นๆ ของสมองไขสันหลัง และร่างกาย รู้จักศัพท์ทางประสาท - นิวรอน (Neuron) หรือเซลล์ประสาท - แอกซอน (Axon) เป็นเส้นใยที่ใช้ส่งสัญญาณไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อแอกซอนรวมตัวกันเป็นมัดเรียกว่าเส้นประสาท - ไมอีลิน (Myelin) เยื่อหุ้มประสาทที่ช่วยให้การนำข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังเซลล์ประสาทอื่นรวดเร็วขึ้น - นิวโรแทรนสมิตเทอร์ (Neurotransmitter) สารสื่อประสาท เป็นสารเคมีที่เซลล์ประสาทผลิตขึ้น เพื่อนำสัญญาณจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์ประสาท โดยผ่านช่องว่างไซแนปซ์ - ไซแนปซ์ (Synapse) หรือช่องว่างระหว่างเซลล์ประสาทกับเซลล์กล้ามเนื้อ หรือเซลล์ประสาทกับเซลล์ประสาท สมองส่วนต่างๆ และหน้าที่ สมองมีการรับ-ส่งสัญญาณเคมีและไฟฟ้าทั่วร่างกาย โดยสัญญาณที่แตกต่างกัน กระบวนการแตกต่างกัน และสมองจะตีความแตกต่างกันออกไป กระบวนการที่เกิดขึ้นนี้ระบบประสาทส่วนกลางต้องอาศัยเซลล์ประสาทหลายพันล้านเซลล์ เพื่อให้ร่างกายมีการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นอาการเหนื่อย หรือรู้สึกเจ็บปวด ซึ่งข้อความบางอย่างถูกเก็บไว้ในสมอง ขณะที่ข้อความอื่นจะถูกส่งต่อผ่านกระดูกสันหลังและเครือข่ายเส้นประสาทของร่างกายไปแขนขา สมองคนเราแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ ซีรีบรัม (Cerebrum) ก้านสมอง (Brainstem) และซีรีเบลลัม (Cerebellum) ซีรีบรัม (Cerebrum)           ซีรีบรัม เป็นส่วนของสมองที่ใหญ่ที่สุด ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ประสาทสัมผัส การมองเห็น รวมถึงการเรียนรู้ การคิดและการให้เหตุผล การแก้ปัญหาและอารมณ์ ซีบรัม แบ่งย่อยได้ 4 ส่วน ได้แก่ - สมองส่วนหน้า (Frontal Lope) เป็นกลีบสมองที่ใหญ่ที่สุด อยู่ด้านหน้าศีรษะ โดย ทำงานเกี่ยวกับลักษณะบุคลิกภาพ การเคลื่อนไหว การตัดสินใจ การรู้กลิ่น และความสามารถในการพูด - สมองพาไรเอทัล (Parietal lope) อยู่บริเวณตรงกลางของสมอง ทำงานเกี่ยวกับการรับรู้ ความรู้สึกสัมผัส ความเจ็บปวด การรับรู้ภาพ เสียง และภาษา - สมองส่วนหลัง (Occipital lope) ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็น - สมองส่วนขมับ (Temporal lope) อยู่ด้านข้างของสมอง ทำงานเกี่ยวกับความจำระยะสั้น คำพูด เสียง และการรับรู้กลิ่นในระดับหนึ่ง ซีรีเบลลัม (Cerebellum) ซีรีเบลลัม หรือสมองน้อย มีขนาดราวกำปัน อยู่บริเวณด้านหลังศีรษะ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และความสมดุล จากการวิจัยพบว่า ซีรีเบลมีบทบาทสำคัญด้านความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมทางสังคมด้วย ก้านสมอง (Brainstem)           ก้านสมอง เชื่อมต่อซีรีบรัมกับไขสันหลัง ก้านสมองประกอบด้วย สมองส่วนกลาง พอนส์ (Pons) และไขกระดูก - สมองส่วนกลาง หรือ มีเซนเซฟาลอน (Mesencephalon)  มีหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน การเคลื่อนไหว และการตอบสนอง - พอนส์ (Pons) เป็นแหล่งกำเนิดของเส้นประสาทสมอง 4 ใน 12 เส้น ซึ่งช่วยให้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น การฉีกขาด การเคี้ยว การกะพริบตา การโฟกัสการมองเห็น การทรงตัว การได้ยิน และการแสดงออกทางสีหน้า - ไขกระดูก (Medulla) บริเวณด้านล่างของก้านสมอง เป็นที่ที่สมองไปบรรจบกับไขสันหลัง ไขกระดูกมีความสำคัญต่อการอยู่รอด หน้าที่ควบคุมกิจกรรมของร่างกาย จังหวะการเต้นของหัวใจ การหายใจ การไหลเวียนของเลือด และระดับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ สารเคมีที่สำคัญต่อสมอง สื่อประสาท (Neurotransmitters) และฮอร์โมน (Hormone) สารสื่อประสาท หรือนิวโรแทรนสมิตเทอร์ (Neurotransmitter) เป็นสารที่ช่วยให้เซลล์ประสาททั่วร่างกายสามารถสื่อสารกันได้ ทำให้สมองทำหน้าที่ต่างๆ ได้หลากหลายจากกระบวนการส่งผ่านสารสังเคราะห์ทางเคมีนี้ สารสื่อประสาทมีความสำคัญต่อชีวิต นับตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของพัฒนาการ รวมถึง การเติบโตของเซลล์ประสาท และการพัฒนาวงจรประสาท           ฮอร์โมน (Hormone) ผลิตจากระบบต่อมไร้ท่อ ได้แก่ ต่อมใต้สมอง ไพเนียลไทมัส ไทรอยด์ ต่อหมวกไต ตับอ่อน รวมถึง อัณฑะและรังไข่ ฮอร์โมนมีผลต่อกระบวนการต่างๆ มากมายในร่างกาย เช่น การเติบโตและพัฒนาการเมตาบอลิซึม อารมณ์ ตัวอย่างสารสื่อประสาทและฮอร์โมนที่สำคัญในภาพรวม           อะดรีนาลีน (Adrenaline) หลั่งโดยต่อมหมวกไตอยู่ด้านบนของไตแต่ละข้าง อะดรีนาลีนจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อ เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและทำให้รูม่านตาขยายมีปริมาณสูงในการตอบสนองต่อการเอาตัวรอด การต่อสู้ หรือหนี นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) เป็นสารสื่อประสาทและฮอร์โมน เชื่อมโยงกับความกลัว ความเครียด และกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว โดพามีน (Dopamine) สารแห่งความสุข เปรียบเสมือนสารเสพติดที่สมองต้องการปลดปล่อยเมื่อมีความรู้สึกพึงพอใจ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ จากกิจกรรมหรืออาหารที่ชอบ ไม่ใช่แค่สารเคมีเพื่อความสุขเท่านั้น แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ การตัดสินใจ การเคลื่อนไหว ความสนใจ ความจำในการทำงาน และการเรียนรู้ ออกซิโตซิน (Oxytocin) เป็นสารสื่อประสาทและฮอร์โมน ถูกปล่อยออกมาเมื่อคุณอยู่ใกล้บุคคลอื่น การสร้างความสัมพันธ์ บางครั้งออกซิโตซินถูกเรียกว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก กาบา (GABA: Gamma-Aminobutyric Acid) เป็นสารสื่อประสาทที่สกัดกั้นกระแสประสาทระหว่างเซลล์ในสมอง ช่วยให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และเกิดความสมดุลในสมอง แอซิติลโคลีน (Acetylcholine) เป็นสารสื่อประสาทหลัก มีหน้าที่เกี่ยวกับกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัว การเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสื่อประสาทนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการรับรู้และความจำ กลูตาเมต (Glutamate) เป็นสารสื่อประสาทที่มีมากที่สุดในระบบประสาทของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง เซลล์ประสาทใช้กลูตาเมตเพื่อส่งสัญญาณไปยังเซลล์อื่นๆ หากมีมากเกินไปอาจทำให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญา เอนเดอร์ฟิน (Endorphins) เสมือนยาแก้ปวดตามธรรมชาติของร่างกาย ตอบสนองต่อความเจ็บปวดหรือความเครียด ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ร่ายกายจะหลั่งสารเมื่อออกกำลังกาย เต้นรำ ร้องเพลง เซโรโทนิน (Serotonin) สารแห่งความสุขที่เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ที่ดี มีหน้าที่ควบคุมความสมดุลของอารมณ์ วงจรการนอนหลับ และการย่อยอาหาร เซโรโทนินเพิ่มขึ้นจากการออกกำลังและสัมผัสกับแสงแดด ความรู้สึก อำนาจจากการควบคุมของสมอง ตัวอย่างความรู้สึกที่เกิดจากการควบคุมของสมอง การหัวเราะ ยาขนานเอกช่วยให้สุขภาพดี รู้สึกเบิกบาน คนเราเริ่มหัวเราะตั้งแต่อายุ 3 เดือน หัวเราะก่อนที่จะมีการเรียนรู้ที่จะพูด การหัวเราะเป็นกลไกธรรมชาติ การหัวเราะ ยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ โดยคาดว่า เกิดจากการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่กำหนดการตอบสนองทางอารมณ์ การหัวเราะจะช่วยลดระดับคอร์ติซอล (Cortisol) เป็นฮอร์โมนความเครียดตัวหลักของร่างกายในกระแสเลือดลดลง แทนที่ด้วยสารเคมีในสมอง ได้แก่ โดปามีน ออกซิโทซิน และเอ็นดอร์ฟิน การหัวเราะช่วยให้การทำงานของภูมิคุ้มกันดีขึ้น สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น ความวิตกกังวลลดลง ความรู้สึกปลอดภัย และอารมณ์ดี ทำให้สมองปลอดโปร่ง มีความคิดสร้างสรรค์และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้าง การร้องไห้ เป็นปรากฎการณ์ที่มีลักษณะของมนุษย์ ตอนสนองตามธรรมชาติ ตั้งแต่โศกเศร้าถึงความสุขสุดขีด การร้องไห้เกิดจากการทำงานหลายส่วน ทั้งในซีรีบรัมที่รับรู้ถึงความโศกเศร้า ระบบต่อมไร้ท่อจะถูกกระตุ้นเพื่อปล่อยฮอร์โมนไปยังบริเวณดวงตา ซึ่งทำให้เกิดน้ำตา รวมถึงกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic nervous system: PN) การร้องไห้ส่งผลดีต่อสุขภาพเหมือนเป็นยาระบายปลดปล่อยความเครียด ความเจ็บปวดทางอารมณ์ และกระตุ้นการปล่อยสารเคมีในสมอง เช่น ออกซิโทซิน ความรัก เป็นสิ่งที่วัฒนธรรมบนโลกให้ความสำคัญ เห็นได้ชัดเจนจากคำสอนทางศาสนา นวนิยาย การ์ด บทเพลง รวมถึงวาเลนไทน์ หลายคนจะได้ยินคำพูดที่ว่า ความรักไม่มีเหตุผล เป็นความรู้สึกพิเศษที่มาจากใจ ไม่สามารถอธิบายได้ เป็นความรู้สึกที่มาจากจิตใจ มากกว่าการใช้สมองคิดไตร่ตรอง แต่ทางวิทยาศาสตร์ความรักเป็นกลไกเกิดขึ้นจากสมองโดยตรง เหมือนความรู้สึกอื่นๆ ที่สามารถอธิบายได้ด้วยปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย จากการศึกษาของทีมวิทยาศาสตร์โดย ดร. Helen Fisher นักมานุษยวิทยาชีวภาพ แบ่งความรักเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ความหลง/ความปรารถนา (Lust) ความรัก (Attraction) และความผูกพัน (Attachment)  ความรักทำให้โลกสดใสเป็นสีชมพู แต่ก็มีด้านมืดมาพร้อมกัน ความรักมักมาพร้อมกับความหึงหวง ความไร้เหตุผล การใช้กัญชาทางการแพทย์ การใช้กัญชาทางการแพทย์ในสหรัฐฯ           สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่อนุญาตให้ครอบครอง และใช้กัญชา สารสกัด CBD (ที่มี THC น้อยกว่า 0.3%) ได้ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ การใช้กัญชายังขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละรัฐ มี 37 รัฐ เขตอาณา 4 แห่ง และกรุงวอชิงตัน กำหนดให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อการรักษาบางโรคถูกต้องตามกฎหมาย เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) โรคเอดส์ โรคโครห์น โรคลมบ้าหมู ต้อหิน เส้นโลหิตตีบและกล้ามเนื้อกระตุก อาการปวดอย่างรุนแรงและเรื้อรัง อาการคลื่นไส้หรืออาเจียนรุนแรงจากการรักษามะเร็ง การพิจารณาการใช้การรักษาด้วยกัญชา ต้องมีคำแนะนำเป็นลายลักษณ์อักษรจากแพทย์ที่มีใบอนุญาตในรัฐที่สามารถใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย ผู้ป่วยต้องมีเงื่อนไขเข้าเกณฑ์สำหรับการใช้กัญชาทางการแพทย์ ถึงจะสามารถเข้ารับการรักษา หรือซื้อกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ได้           การศึกษาวิจัยด้านสมองในสหรัฐฯ           21st Century Cures Act 21st  Century Cures Act เป็นพระราชบัญญัติ ที่ได้ลงนามในกฎหมายในสมัยประธานาธิบดี โอบามา เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และนำเสนอนวัตกรรมและความก้าวหน้าใหม่ๆ แก่ผู้ป่วยที่ต้องการอย่างรวดเร็ว เพื่อศึกษา 4 โครงการนวัตกรรมขั้นสูง ได้แก่ - All of us Research Program (เดิมชื่อโครงการ PMI Cohort) โครงการสร้างฐานข้อมูล ที่สามารถให้ข้อมูลการศึกษาหลายพันเรื่องเกี่ยวกับภาวะสุขภาพ ปัจจัยเสี่ยงของโรคบางชนิด การพิจารณาว่าการรักษาแบบใดได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีภูมิหลังต่างกัน - Cancer Moonshot โครงการศึกษาเกี่ยวกับมะเร็ง ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน และการแชร์ข้อมูล ประธานาธิบดีไบเดน ได้กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการ ในการลดอัตราการเสียชีวิตของโรคมะเร็งลงอย่างน้อย 50% ในอีก 25 ปีข้างหน้า และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยรอดชีวิตจากมะเร็ง - Regenerative Medicine Innovation Project ที่จะสนับสนุนการวิจัยทางคลินิกร่วมกับองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากผู้ใหญ่เพื่อส่งเสริมด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู - Brain Ressearch through Advancing Innovative Neurotechnologies (BRAIN) Initiative เพื่อศึกษาระบบการทำงาน จัดเก็บ และดึงข้อมูลออกมาใช้ของสมอง ซึ่งจะช่วยให้วินิจฉัยและรักษาความผิดปกติทางระบบประสาทและจิตใจ   BRAIN Initiative สมองของคนเราประกอบด้วยเซลล์ประสาทเกือบ 100 พันล้านเซลล์ ที่มีการเชื่อมโยงกัน 100 ล้านล้านเครือข่ายนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์และความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้านการแพทย์ โรคที่เกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาทและจิตเวช ส่งผลกระทบต่อบุคคล ครอบครัว และสังคม ดังนั้น การช่วยเหลือผู้ป่วย สิ่งสำคัญคือ นักวิจัยต้องมีเครื่องมือและข้อมูลที่สมบูรณ์ เพื่อทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสมองและเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างไร Brain Research Through Advancing Innovation Neurotechnologies Initiative (BRAIN Initiative) เป็นโครงการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสมองของมนุษย์ใช้เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ จะเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างภาพไดนามิกของสมองที่แสดงให้เห็นว่าเซลล์แต่ละเซลล์มีปฏิสัมพันธ์ภายในวงจรประสาทที่ซับซ้อน แนวทางวิธีใหม่ในการรักษาโรค การป้องกันความผิดปกติของสมอง เข้าใจกระบวนการทำงานของสมอง ทั้งการบันทึกการประมวลผล ใช้ประโยชน์ และดึงข้อมูลจำนวนมหาศาลออกมาใช้   อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/ost-sci-review-feb2022.pdf            
คลังความรู้
 
นานาสาระน่ารู้
 
ประกาศคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เรื่อง นโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (พ.ศ. 2565 – 2570)
นโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2565-2570 ฉบับนี้ เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 มาตรา 9 (1) บัญญัติให้คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.)มีหน้าที่และอำนาจ เสนอนโยบายและแผนว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ส่งเสริม และสนับสนุนการดำเนินการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามมาตรา 42 และมาตรา 43 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบนโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์นี้ใช้เป็นแผนแม่บท ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย การพัฒนาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในภาพรวมที่ครอบคลุมในทุกมิติ และเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ มาตรา 9 (3) บัญญัติให้คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) มีหน้าที่และอำนาจ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เสนอต่อคณะรัฐมนตรี สำหรับเป็นแผนแม่บทในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยซเบอร์ในสถนการณ์ปกติและในสถานการณ์ ที่อาจจะเกิดหรือเกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยแผนดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนระดับชาติ และกรอบนโยบายและแผนแม่บทที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของสภาความมั่นคงแห่งชาติ   (more…)
เอกสารเผยแพร่
 
‘SunGuard PV’ นวัตกรรมกันสาดโซลาร์ผลิตไฟฟ้า
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/sunguard-pv-solar-awning.html   นับวันค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน โดยเฉพาะ ‘ไฟฟ้า’ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนเริ่มหันมาพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน ด้วยการติดตั้ง ‘แผงโซลาร์เซลล์’ ตามบ้านเรือนและสถานที่ต่างๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ด้วยข้อจำกัดของแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไปที่มีลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า น้ำหนักมาก และโค้งงอไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถติดตั้งในบางพื้นที่ อีกทั้งการติดตั้งยังจำเพาะกับหลังคาที่มีพื้นที่หลังคากว้าง เช่น หลังคาทรงจั่ว หลังคาทรงปั้นหยา และหลังคาทรงโมเดิร์น ไม่เหมาะใช้งานกับบ้านที่มีลักษณะหลังคารูปทรงแบบโค้ง หากแต่ว่าปัจจุบันจะเห็นได้ว่าหลังคาแบบโค้งนิยมนำมาใช้ทำหลังคากันสาดเป็นส่วนใหญ่ และเริ่มได้รับความนิยมในการออกแบบทำร้านอาหาร ร้านกาแฟ เพื่อให้มีมุมสถาปัตยกรรมแบบยุโรปและดูทันสมัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) พัฒนานวัตกรรม ‘ซันการ์ดพีวี (SunGuard PV) หรือ กันสาดโซลาร์’ แผงโซลาร์เซลล์แบบใหม่ ที่มีน้ำหนักเบา โค้งงอได้ เหมาะสำหรับใช้เป็นกันสาดและติดตั้งได้ทันที   [caption id="attachment_38854" align="aligncenter" width="700"] ว่าที่ร้อยตรี ดร.นพดล สิทธิพล นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ว่าที่ร้อยตรี ดร.นพดล สิทธิพล นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. เล่าถึงที่มางานวิจัยว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ประชาชนให้ความสนใจติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ Solar Rooftop เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในครัวเรือนมากขึ้น แต่ด้วยลักษณะของ Solar Roof ในปัจจุบันไม่ได้เอื้อต่อการติดตั้งกับหลังคาบางรูปแบบ ประกอบกับแผงมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยมากถึง 25-30 กิโลกรัมต่อแผง ขณะเดียวกันประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรทำให้ได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ปริมาณมาก และมีอากาศร้อน บ้านเรือนส่วนใหญ่ต่างติดตั้งกันสาดแทบทุกหลังคาเรือน แต่ด้วยลักษณะแผงโซลาร์เซลล์ที่มีอยู่นำมาประยุกต์ใช้ได้ยาก หากไม่นับเรื่องความสวยงามที่จะเกิดขึ้นกับตัวบ้านหรืออาคารก็ยังติดเรื่องน้ำหนักและปัญหาการติดตั้ง ทีมวิจัยเล็งเห็นว่าการพัฒนานวัตกรรมกันสาดโซลาร์เป็นโจทย์ที่น่าสนใจ ช่วยลดปัญหาข้อจำกัดการใช้งาน ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย และสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ภาคเอกชนด้วย “ทีมวิจัยมุ่งพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์แบบใหม่ที่มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย และมีความทันสมัยเข้ากับงานออกแบบสถาปัตยกรรม ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่มีความท้าทายพอสมควร เนื่องจากไม่ได้เป็นการใช้เพียงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องศิลปะและมุมมองด้านความสวยงามเมื่อนำไปติดตั้งใช้งาน อีกทั้งยังคิดครอบคลุมถึงการจัดการหลังแผงปลดจากการใช้งานแล้ว ซึ่งทีมวิจัยสามารถพัฒนานวัตกรรมตามแนวคิดที่ตั้งเป้าไว้ได้สำเร็จและยื่นจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว “สำหรับกระบวนการพัฒนานวัตกรรม ทีมวิจัยได้ทำการศึกษาตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบที่นำมาใช้ในองค์ประกอบหลัก 3 ส่วนของแผงโซลาร์เซลล์​  คือ กระจกด้านหน้า เซลล์แสงอาทิตย์ และแผ่นป้องกันที่อยู่ด้านหลังแผง (Back Sheet) ซึ่งทำจากวัสดุพอลิไวนิล ฟลูออไรด์ (Polyvinyl Fluoride: PVF หรือ ชื่อทางการค้า Tedlar) ในส่วนของกระจกทีมวิจัยเลือกใช้วัสดุพอลิเอทิลีน เทอเรปทาเลต (Polyethylene Terephthalate: PET) ที่นิยมใช้ทำขวดพลาสติก โดยใช้เกรดเพื่อผลิตแผงโซลาร์เซลล์โดยเฉพาะ เนื่องจาก PET มีลักษณะโปร่งแสงเทียบเท่ากระจกแต่มีน้ำหนักเบากว่า และสามารถปรับให้โค้งงอได้ ในขณะที่แผ่น PVF เลือกใช้วัสดุอะครีโลไนไตรล์-บิวทาไดอีน-สไตรีน เมทีเรียล (Acrylonitrile-Butadiene-Styrene Material: ABS) ทดแทน เพราะมีข้อดีคือน้ำหนักเบา มีความแข็งแรงและความเหนียว ช่วยเสริมแผงให้ทนแรงกระแทกและทนต่อสภาพอากาศ ที่สำคัญทีมวิจัยยังคำนึงถึงการผลิตแผงจึงได้คิดค้นเทคนิคการผลิตที่ไม่กระทบขั้นตอนการผลิตเดิมของแผงโซลาร์เซลล์​ทั่วไป เพื่อให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีไปใช้ได้ตามไลน์การผลิตที่มี”   [caption id="attachment_38857" align="aligncenter" width="700"] กันสาดโซลาร์[/caption]   ว่าที่ร้อยตรี ดร.นพดล เล่าว่า จุดเด่นของนวัตกรรมกันสาดโซลาร์ คือมีน้ำหนักต่อพื้นที่เบากว่าแผงโครงสร้างทั่วไปมากกว่า 50% โค้งงอได้ และยังคงความทนทานต่อสภาพแวดล้อม รับแรงกระแทกได้ดี สามารถเพิ่มเติมสีสันให้เข้ากับสถาปัตยกรรมอาคาร บ้านเรือน หรือร้านค้าได้ ที่สำคัญคือติดตั้งง่าย โดยตัดหรือเจาะได้โดยตรง โดยไม่ทำให้แผงโซลาร์เซลล์เสียหาย ยึดติดกับโครงสร้างผนังหรือหลังคาได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อซื้ออุปกรณ์เสริมหรือต่อเติมโครงสร้างเฉพาะ ซึ่งด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เอง ทำให้สามารถนำกันสาดโซลาร์ไปติดตั้งแทนกันสาดที่เป็นวัสดุพอลิคาร์บอเนตเดิมได้ทันที เพราะมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน และไม่ต้องปรับโครงสร้างกันสาดที่มีอยู่เดิม และเมื่อตัวกันสาดโซลาร์หมดอายุการใช้งานก็เปลี่ยนและติดตั้งใหม่ได้โดยง่าย ในขณะที่กันสาดโซลาร์ที่ปลดจากการใช้งานแล้วยังนำกลับมารีไซเคิลได้ เนื่องจากวัสดุ PET และ ABS เป็นกลุ่มพอลิเมอร์ประเภทเดียวกันที่รีไซเคิลได้ เท่ากับว่าลดขั้นตอนการถอดชิ้นส่วนเพื่อนำกลับไปใช้ซ้ำได้ง่ายขึ้น “ในด้านประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้า กันสาดโซลาร์มีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าต่ำกว่าแผงโซลาร์เซลล์แบบทั่วไปอยู่ที่ 8.5% โดยประมาณ เนื่องจากความโค้งและมุมรับแสงที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามแผงกันสาดโซลาร์มีข้อดีในส่วนอุณหภูมิใต้แผงที่ต่ำกว่าแผงแบบทั่วไป 3-5 องศาเซลเซียส ทำให้พื้นที่ใต้กันสาดมีอุณหภูมิที่เย็นกว่าการนำแผงแบบทั่วไปมาทำเป็นกันสาด”     ‘กันสาดโซลาร์’ ได้รับการจดสิทธิบัตรและมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยร่วมกันเพื่อพัฒนาต้นแบบให้ได้ตามมาตรฐาน International Electrotechnical Commission (IEC) ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ภายในปี 2566 ถือเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของทีมวิจัยที่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ ที่สนับสนุนการออกแบบ การปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่ช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว.
ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว. ถอดบทเรียนกองหนุน อว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19ที่มาของชื่อชุดหนังสือ เพราะเธอเป็นลมหายใจ บันทึกประวัติศาสตร์ อว. : ถอดบทเรียนกองหนุนอว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19 ทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ต้องการเน้นย้ำถึงคำว่า "เธอ" ในสองความหมายโดยความหมายแรกหมายถึงประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์โรคระบาด ทั้งที่เป็นผู้ป่วยโดยตรงและผู้ที่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมขณะที่ "เธอ" ในความหมายที่สองหมายถึงบุคลากรในสังกัดกระทรวง อว. ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ นักศึกษาแพทย์และพยาบาลนักวิจัยคณาจารย์ รวมถึงข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ ซึ่งได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ความรู้ และความเชี่ยวชาญตลอดกว่า 3ปีที่ผ่านมาในฐานะ 'กองหนุนช่วยชาติ'ที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะวิกฤติใหญ่ครั้งนี้มาได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคำว่า "เธอ" ในความหมายใดต่างมีความสำคัญและเปรียบเสมือน"ลมหายใจ" ที่ทำให้ภารกิจเร่งด่วนและสำคัญของกระทรวง อว. ครั้งนี้สำเร็จได้อย่างสวยงามชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจ ประกอบไปด้วยหนังสือ 11 เล่ม โดยแต่ละเล่มบอกเล่าถึงภารกิจของกระทรวง อว. ในช่วงวิกฤติโควิด-19 รวม 11 ภารกิจ ได้แก่โรงพยาบาลหลัก อว.ความหวังของผู้ป่วยโรงพยาบาลสนาม อว. กองหนุนขนาดยักษ์อว.กองกำลังสร้างภูมิคุ้มกัน โควิดU2T สร้างงาน สร้างรายได้พลิกโฉมการเรียนและสอนออนไลน์เยียวยานิสิตนักศึกษาผู้ประกอบการงานวิจัยเร่งด่วนตรงเป้าหน่วยสนับสนุน อว. (อว.พารอด)ข้อมูลวิชาการถูกต้อง รวดเร็ว ฉับไวอุปกรณ์เวชภัณฑ์ นวัตกรรมพร้อมใช้ไอทีและเอไอเพื่อการบริหารจัดการเนื้อหาแต่ละเล่มแบ่งเป็น 5 บทได้แก่บทที่ 1 รู้จัก อว. กล่าวถึงประวัติกระทรวงและภาพรวมของทั้ง 11 ภารกิจบทที่ 2 พวกเราชาวอว.ทำอะไรเพื่อคนไทยบ้างที่มา ขั้นตอน ผลการดำเนินงาน และเคล็ดลับความสำเร็จของแต่ละภารกิจ บทที่ 3 จากใจชาว อว. บทสัมภาษณ์และความประทับใจของผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานในแต่ละภารกิจบทที่ 4 บทเรียนจากเหตุการณ์ส่งผ่านสู่อนาคตถอดบทเรียนเชิงวิเคราะห์และข้อเสนอเพื่อการรับมือกับวิกฤติการณ์ในอนาคต และ บทที่ 5 ก้าวไปกับพวกเรา ชาว อว.รายชื่อของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้ง 11 ภารกิจชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจถือเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าและถอดบทเรียนการทำงานและความร่วมมือของชาว อว. เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวไทยให้สามารถก้าวผ่านความโหดร้ายของโรคระบาดครั้งนี้ที่กินเวลานานกว่า 3 ปี และยกระดับขีดความสามารถทางด้านอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทยไปพร้อม ๆ กันอีกทั้งยังมีความตั้งใจในการนำเสนอบทเรียนและข้อเสนอแนะในการทำงาน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย Open open open Open Open Open Open Open Open Open Open ชุดหนังสือเพราะเธอเป็นลมหายใจบันทึกประวัติศาสตร์ อว. ถอดบทเรียนกองหนุน อว. กองหนุนประเทศไทยในสถานการณ์โควิด-19ISBN: 978-616-584-091-0จัดทำโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว)75/47 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400โทร. 0 2333 3700เว็บไซต์ www.mhesigo.th
เอกสารเผยแพร่
 
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัล ประจำปี 2565 โดย IMD (2022 IMD World Digital Competitiveness Ranking)
ในปี 2565 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ 63 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ไว้ที่ https://www.imd.org/centers/world-competitiveness-center/rankings/world-digital-competitiveness/ โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้ ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2564-2565 โดย IMD                         ประเทศ เดนมาร์ก สหรัฐอเมริกา สวีเดน สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ ไทย                             ปี 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 อันดับรวม 1 4 2 1 3 3 4 5 5 6 40 38 1. ความรู้ 6 8 4 3 2 2 5 4 1 1 45 42 1.1 ความสามารถพิเศษ 5 5 14 13 6 7 3 2 2 3 37 39 1.2 การฝึกอบรมและการศึกษา 7 4 23 24 4 2 9 13 8 7 57 56 1.3 ความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 17 17 1 2 2 4 11 11 8 8 36 36 2. เทคโนโลยี 7 9 9 4 5 8 1 3 12 11 20 22 2.1 โครงสร้างการควบคุม 6 4 12 12 2 3 1 5 8 9 34 29 2.2 เงินทุน 14 13 2 1 7 5 11 14 12 12 20 19 2.3 โครงสร้างเทคโนโลยี 6 6 13 9 9 13 2 2 11 11 18 22 3. ความพร้อมในอนาคต 1 2 3 1 4 6 10 11 7 3 49 44 3.1 ทัศนคติที่ปรับตัวได้ 5 4 4 1 7 5 17 11 12 10 52 53 3.2 ความคล่องตัวทางธุรกิจ 1 7 4 1 10 13 9 12 7 4 41 34 3.3 การรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ 1 1 10 3 4 5 8 7 6 4 50 43 เดนมาร์กได้อันดับ 1 เลื่อนขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ถัดมาเป็นสวีเดน มีอันดับ 3 เหมือนปีที่แล้ว สิงคโปร์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ อันดับ 5 คือ สวิตเซอร์แลนด์ มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว ส่วนไทยได้อันดับ 40 ลดลงจากปีที่แล้ว 2 อันดับ เดนมาร์กได้อันดับ 1 ในปีนี้ เลื่อนขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยความรู้ เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ 2. ปัจจัยเทคโนโลยี เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ 3. ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้เกิดจากการยังคงรักษาอันดับ 5 และ 17 ไว้ได้ทั้งในปีนี้และปีที่แล้วของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษและปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ตามลำดับ และการเลื่อนอันดับลง 3 อันดับ จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา ตัวชี้วัดที่ทำเกิดการรักษาอันดับไว้ได้ทั้งปีนี้และปีที่แล้วของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ คือ ตัวชี้วัดการประเมินนักเรียนนานาชาติขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) วิชาคณิตศาสตร์ ที่ยังคงรักษาอันดับ 12 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว และตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ยังคงรักษาอันดับได้เหมือนปีแล้ว คือ ตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน และตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิง ที่ยังรักษาอันดับ 2 และ 32 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ตามลำดับ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของ 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา ตัวชี้วัดความสำเร็จของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และตัวชี้วัดผู้หญิงที่ได้รับปริญญา โดยเฉพาะตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา เลื่อนอันดับลง 3 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 7 ส่วนปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนขึ้น เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม และปัจจัยย่อยเงินทุน 2 และ 1 อันดับ จากอันดับ 4 และ 13 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 6 และ 14 ในปีนี้ ตามลำดับ และการยังคงรักษาอันดับ 6 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม เลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 17 อันดับ จากอันดับ 25 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 42 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุด การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยเงินทุนเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดทางสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ 4 อันดับ ในปีนี้มีอันดับ 54 ส่วนปีที่แล้วมีอันดับ 50 ทำให้ตัวชี้วัดหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดทางสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำสุดจากตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว การยังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงและขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดทั้งหมดซึ่งมี 6 ตัวชี้วัด โดยที่ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนลงเล็กน้อย ในขณะที่ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดความเร็วการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค มีอันดับเลื่อนขึ้นเล็กน้อย ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับขึ้น เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ 6 อันดับ จากอันดับ 7 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรค และตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 5 และถึง 7 อันดับ เป็นอันดับ 1 และ 6 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics เป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด สหรัฐอเมริกา ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 2 ในปีนี้ เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยทั้งหมด ได้แก่ 1. ปัจจัยความรู้ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 4 ในปีนี้ 2. ปัจจัยเทคโนโลยี เลื่อนอันดับลง 5 อันดับ เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ 3. ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับลง 2 อันดับ เป็นอันดับ 3 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ 1 อันดับ จากอันดับ 13 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 14 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ ของตัวชี้วัดทักษะทางด้านเทคโนโลยีหรือดิจิทัล ทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษเลื่อนอันดับลง ปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนลง เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นหลัก ที่เลื่อนอันดับลง 4 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 13 การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของ 5 ตัวชี้วัดจากทั้งหมด 6 ตัวชี้วัด ได้แก่ ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย ตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค โดยเฉพาะตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนลง 6, ถึง 15 และถึง 12 อันดับ เป็นอันดับ 21, 28 และ 35 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับลง เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหลัก ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 10 ตัวชี้วัดที่มีผลให้ปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีอันดับเลื่อนลง คือ ตัวชี้วัดการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน และตัวชี้วัดความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 และ 5 อันดับ จากอันดับ 11 และ 22 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 18 และ 27 ในปีนี้ ตามลำดับ สวีเดน มีอันดับ 3 เหมือนปีที่แล้ว เนื่องมาจากการยังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยความรู้ ส่วนปัจจัยที่เหลืออีก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยเทคโนโลยี และปัจจัยความพร้อมในอนาคต มีอันดับเลื่อนขึ้น 3 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 5 และ 4 ในปีนี้ ตามลำดับ การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยความรู้ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษและปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 1 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 6 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ และการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา 2 อันดับ จากอันดับ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 4 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษเลื่อนอันดับขึ้น ได้แก่ ตัวชี้วัดประสบการณ์ระหว่างประเทศ และตัวชี้วัดบุคลากรที่มีทักษะสูงเรื่องต่างประเทศ ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับเท่ากัน เป็นอันดับ 3 และ 17 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับขึ้นของตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน ตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิง ตัวชี้วัดผลิตผลทางการวิจัยและพัฒนาในรูปของสิ่งพิมพ์เผยแพร่ ตัวชี้วัดการจ้างงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และตัวชี้วัดการศึกษาวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับหุ่นยนต์ โดยเฉพาะตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 8 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์มีอันดับเลื่อนขึ้น การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดการฝึกหัดพนักงาน 4 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ สิงคโปร์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ เป็นผลจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยเทคโนโลยีและปัจจัยความพร้อมในอนาคต 2 และ 1 อันดับ เป็นอันดับ 1 และ 10 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 3 และ 11 ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่เหลืออีก 1 ปัจจัย คือ ปัจจัยความรู้มีอันดับลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 5 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยเทคโนโลยีมีอันดับดีขึ้น คือ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม และปัจจัยย่อยเงินทุน ที่มีอันดับดีขึ้น 4 และ 3 อันดับ จากอันดับ 5 และ 14 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 1 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุมเลื่อนอันดับขึ้นเนื่องจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นเป็นหลักของตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองถึง 18 อันดับ จากอันดับ 61 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 43 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยเงินทุนมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดการร่วมลงทุน ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความพร้อมในอนาคตเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ 3 อันดับ จากอันดับ 12 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรค ตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics และตัวชี้วัดการถ่ายทอดความรู้ โดยเฉพาะตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท และตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics มีอันดับเลื่อนขึ้น 3 อันดับเท่ากัน เป็นอันดับ 10 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ อันดับ 5 คือ สวิตเซอร์แลนด์ มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องจากการยังคงรักษาอันดับ 1 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยความรู้ และการเลื่อนอันดับลง 1 และ 4 อันดับ จากอันดับ 11 และ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 12 และ 7 ในปีนี้ ของปัจจัยเทคโนโลยีและปัจจัยความพร้อมในอนาคต ตามลำดับ การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยความรู้เป็นผลมาจากการยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ที่อันดับ 8 เหมือนปีที่แล้ว ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ยังคงรักษาอันดับไว้ได้ คือ ตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน ที่ยังคงรักษาอันดับ 4 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ปัจจัยเทคโนโลยีเลื่อนอันดับลงเนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม 1 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 8 ในปีนี้ และการยังคงรักษาอันดับ 12 และ 11 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยเงินทุนและปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุมเลื่อนอันดับขึ้นเกิดจากการเลื่อนอันดับขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดการเริ่มต้นธุรกิจ ตัวชี้วัดการบังคับใช้สัญญา และตัวชี้วัดการพัฒนาและโปรแกรมใช้งานของเทคโนโลยี การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยย่อยเงินทุนเกิดจากการยังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของตัวชี้วัดการให้ทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ตัวชี้วัดการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศ และตัวชี้วัดการร่วมลงทุน ที่อันดับ 9, 1 และ 11 ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยียังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นและลงของตัวชี้วัดทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 6 ตัวชี้วัด โดยที่ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดความเร็วการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนขึ้น 1, 2 และ 1 อันดับ เป็นอันดับ 7, 11 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะที่ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค มีอันดับเลื่อนลง 5, 4 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 11, 42 และ 33 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยความพร้อมในอนาคตมีอันดับเลื่อนลงเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปจจัยย่อยทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ และปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีอันดับเลื่อนลง 2, 3 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 12, 7 และ 6 ในปีนี้ ตามลำดับ ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้เลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน ที่เลื่อนอันดับลงถึง 22 จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 26 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุด ตัวชี้วัดที่มีผลทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจเลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics และตัวชี้วัดความกลัวของผู้ประกอบการต่อความล้มเหลว โดยเฉพาะตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท มีอันดับเลื่อนลง 3 อันดับ เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอันดับเลื่อนลง คือ ตัวชี้วัดความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 8 อันดับ เป็นอันดับ 15 ในปีนี้ ปีนี้ไทยได้อันดับ 40 ลดลงจากปีที่แล้ว 2 อันดับ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้และปัจจัยความพร้อมในอนาคต 3 และ 5 อันดับ จากอันดับ 42 และ 44 ในที่แล้ว เป็นอันดับ 45 และ 49 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่เหลือ คือ ปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับ จากอันดับ 22 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 20 ดังนั้นไทยยังคงต้องพัฒนาด้านความรู้และด้านความพร้อมในอนาคต เนื่องจากยังคงมีอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดีในปีนี้และมีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว และทั้งสองปัจจัยเป็นเหตุทำให้ไทยจัดอยู่ในอันดับ 40 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างมากซึ่งมีทั้งอันดับต่ำในปีนี้และปีที่แล้ว คือ 1. ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา อยู่ภายใต้ปัจจัยความรู้ ที่เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ จากอันดับ 56 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 57 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษามีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว 2. ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ อยู่ภายใต้ปัจจัยความพร้อมในอนาคต มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 53 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 52 ในปีนี้ ตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา คือ ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา และตัวชี้วัดจำนวนเฉลี่ยของนักศึกษาต่ออาจารย์ในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย มีอันดับ 59 และ 56 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 50 และ 55 ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษาเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีที่แล้ว ตัวชี้วัดที่สำคัญที่มีผลต่อปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ คือ ตัวชี้วัดการค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ต มีอันดับ 46 และ 58 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 50 และ 57 ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ตเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีนี้ ถึงแม้ปัจจัยเทคโนโลยีมีอันดับจัดอยู่ในระดับปานกลางทั้งปีนี้และปีที่แล้ว แต่มีตัวชี้วัดภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม ปัจจัยย่อยเงินทุน และปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีที่ต้องพัฒนาอย่างมาก คือ ตัวชี้วัดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม ตัวชี้วัดการให้ทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีและตัวชี้วัดการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุน และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ที่มีอันดับ 43, 40, 41 และ 44 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนตัวชี้วัดที่ได้รับการพัมนาขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมาก ได้แก่ 1. ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 9 อันดับ จากอันดับ 59 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 50 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา ปัจจัยความรู้ 2. ตัวชี้วัดการให้ทุนสิทธิบัตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 11 อันดับ จากอันดับ 42 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 31 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้ ในขณะที่ตัวชี้วัดที่มีอันดับดีมากในปีนี้ คือ ตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิงที่ยังคงครองอันดับดีที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว โดยได้อันดับ 6 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้ และตัวชี้วัดการลงทุนในโทรคมนาคม ที่มีอันดับ 7 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วมีอันดับ 10 อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุน ปัจจัยเทคโนโลยี สำหรับไทยยังคงต้องพัฒนาอีกหลายตัวชี้วัดดังได้กล่าวมาแล้ว เนื่องจากปีนี้มีอันดับ 40 ซึ่งเป็นอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะด้านการเป็นเจ้าของแท็บเล็ตและด้านความสามารถความปลอดภัยทางไซเบอร์ของรัฐบาล ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำสุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีนี้ อยู่ที่อันดับที่ 57 ในปีนี้ เพื่อให้ในปีหน้าไทยจะมีอันดับดีขึ้นมาก
นานาสาระน่ารู้
 
Sci News Flash: หนาวมาเยือนแล้ว ‘หนอนเจาะสมอฝ้าย’ ภัยกุหลาบก็มาด้วย
  หนอนเจาะสมอฝ้าย (Cotton bollworm) เป็นหนอนที่เจาะเข้าไปกัดกินภายในดอกกุหลาบ ทำให้ดอกได้รับความเสียหายหนักจนเกษตรกรไม่สามารถนำไปจำหน่ายได้ การระบาดของหนอนชนิดนี้มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูร้อน ไบโอเทค สวทช. ขอเสนอ ‘ชีวภัณฑ์ไวรัส NPV (Nuclear Polyhedrosis Virus: NPV)’ เป็นทางเลือกในการกำจัดแมลงศัตรูพืช โดย NPV เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในแมลง ไม่มีสารพิษตกค้างในพืช ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญช่วยลดสารเคมีและค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อีกด้วย จุดเด่นของไวรัสชนิดนี้ คือ มีความจำเพาะกับหนอน 3 ชนิด ได้แก่ หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก และหนอนเจาะสมอฝ้าย เมื่อหนอนกินไวรัสเข้าไป จะป่วย กินอาหารได้น้อยลง และตายใน 5-7 วัน ซึ่งด้วยกลไกตามธรรมชาตินี้จะทำให้แมลงศัตรูพืชไม่เกิดการดื้อยา แตกต่างจากการใช้สารเคมีที่มักพบการดื้อยา สำหรับวิธีการใช้งานทำได้ง่ายเพียงผสมน้ำและฉีดพ่นให้ทั่วใบและดอกเท่านั้น ปัจจุบัน ไบโอเทค สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด (06 4536 3549) และบริษัทบีไบโอ จำกัด (08 1806 1268) ผู้สนใจสามารถติดต่อบริษัทได้โดยตรง   รายละเอียดเพิ่มเติม : รู้จัก-รู้ใช้ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช อ้างอิงเรื่องการระบาดของหนอน : สำนักควบคุมพืชและวัสดุเกษตร   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
FOODe’ care นวัตกรรมน้ำยาล้างสารเคมีตกค้างและฆ่าเชื้อจุลชีพก่อโรคในอาหารสด
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/foode%E2%80%99-care-food-wash-disinfectant-for-removing-chemical-residues-and-pathogens.html   การจัดการสุขอนามัยถือเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เพราะทั่วโลกมีผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียจากการติดโรคในระบบทางเดินอาหาร อาทิ ‘โรคอหิวาตกโรค’ จากการติดเชื้อ Vibrio cholera ‘โรคไทฟอยด์’ จากการติดเชื้อ Salmonella typhosa และ ‘โรคอุจจาระร่วง’ จากการติดเชื้อ E. coli และ Listeria มากกว่า 1 ล้านราย โดยจากจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยในประเทศไทยมากถึง 120,000 ราย ซึ่งนอกจากเชื้อก่อโรคข้างต้นแล้ว ยังมีเชื้ออื่นๆ อีกมากมายที่สามารถปนเปื้อนไปกับอาหารสดในขั้นตอนการผลิตและขนส่งได้ ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะในช่วงที่โรคโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดหนักอย่างในปัจจุบัน ทั้งนี้นอกจากการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรคแล้ว การปนเปื้อนของสารเคมีกำจัดและควบคุมศัตรูพืชที่อาจตกค้างในพืชผักก็เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคควรพึงระวังเช่นกัน เพราะสารพิษกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ออร์กาโนคลอรีน คาร์บาเมต และไพรีทอยด์ สามารถส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ยับยั้งกระบวนการสร้างเอนไซม์และเมตาบอลิซึมในร่างกาย ทำให้ผู้บริโภคเจ็บป่วยและมีความร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นแล้วผู้บริโภคควรป้องกันตนเองโดยเลือกรับประทานอาหารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ รวมไปถึงการล้างอาหารสดให้สะอาดหรือปรุงให้สุกก่อนการบริโภค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) เปิดตัวเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างอาหารสดคุณภาพสูง “FOODe’ care” บนเวที Investment Pitching ภายในงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา   [caption id="attachment_38103" align="aligncenter" width="700"] ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล นักวิจัยกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ เอ็นเทค สวทช.[/caption]     ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล นักวิจัยกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ เอ็นเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้มาจากช่วงที่ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำยาฆ่าเชื้อจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทีมวิจัยจึงได้พัฒนานวัตกรรม ‘ENcase’ เครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยวิธีไฟฟ้าเคมี โดยการสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และได้ส่งมอบ ENcase เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่สถานพยาบาล 10 แห่ง ใน 4 จังหวัด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565     “หลังจากนั้นทีมวิจัยได้คิดต่อยอดนำ ‘กรดไฮโปคลอรัส (Hypochlorous acid: HOCl)’ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่ผลิตจากเครื่อง ENcase มาปรับสูตรความเข้มข้นให้เหมาะแก่การฆ่าเชื้อบนผิวสัมผัสอาหารสด อาทิ ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ เพื่อชำระล้างสารเคมีตกค้าง ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สปอร์ของแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา โดยได้เปิดตัวในชื่อผลิตภัณฑ์ FOODe’ care ผลิตภัณฑ์นี้จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ล้างอาหารสดประสิทธิภาพสูงที่ทำจากสารจากธรรมชาติ ซึ่งมีเพิ่มสูงขึ้นมากในปัจจุบัน เพราะการล้างผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ด้วยวิธีดั้งเดิม อย่างการล้างด้วยน้ำเปล่า ลดปริมาณสารเคมีตกค้างได้เพียงร้อยละ 25 (ระดับน้อย) ส่วนการล้างด้วยสารเคมีทั่วไปในครัวเรือน เช่น ผงฟู ด่างทับทิม หรือน้ำส้มสายชู แม้จะลดปริมาณสารตกค้างได้ดีขึ้นเป็นร้อยละ 40-67 (ระดับดี) แต่ก็อาจทำให้อาหารมีรสชาติและสีที่เปลี่ยนแปลงไปได้”     จุดแข็งของผลิตภัณฑ์ FOODe’ care 1) เป็นสารธรรมชาติที่ปราศจากแอลกอฮอล์และสารเคมีที่เป็นพิษ โดยมีกรดไฮโปคลอรัส (Hypochlolorous acid: HOCl) เป็นองค์ประกอบหลัก 2) มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดสารเคมีตกค้าง ฆ่าเชื้อจุลชีพก่อโรคสำคัญบนพื้นผิวได้มากกว่า 99.9% โดยไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างที่เป็นอันตรายภายหลังชะล้างด้วยน้ำสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3) ใช้กับผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ โดยไม่ทำให้เสียรสชาติและสารอาหารที่สำคัญ 4) ผลิตภัณฑ์ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานทดสอบ ASTM E1053-20 และ AOAC (955.14, 955.15, 955.17, 964.02) 5) กรดไฮโปคลอรัส (Hypochlolorous acid: HOCl) ได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยสำหรับฆ่าเชื้อในอาหารและพื้นผิวที่สัมผัสอาหาร จากหน่วยงาน U.S. Environmental Protection Agency (EPA) และ Food and Drug Administration (FDA) สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลี     แม้กรดไฮโปคลอรัสจะเป็นสารที่นำมาใช้ล้างทำความสะอาดอาหารสด โดยเฉพาะอาหารที่เสิร์ฟโดยไม่ผ่านความร้อน เช่น ปลาดิบ สลัด เป็นปกติอยู่แล้วในบางประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยผลิตภัณฑ์ชำระล้างสารเคมีตกค้างและฆ่าเชื้อจุลชีพก่อโรคในอาหารสดที่มีกรดไฮโปคลอรัสเป็นส่วนประกอบหลักยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากยังไม่มีผู้ผลิตภายในประเทศ ส่งผลให้ต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ผลิตภัณฑ์จึงมีราคาสูง อย่างไรก็ตามหลังจากนี้คนไทยจะเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้ง่ายขึ้น เมื่อทีมวิจัยเอ็นเทค สวทช. พร้อมแล้วที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต “ENcase” เครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อ และ “FOODe’ care” ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างสารเคมีตกค้างและฆ่าเชื้อจุลชีพก่อโรคในอาหารสด ให้แก่ผู้ประกอบการไทย ดร.สมศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นว่า เครื่อง ENcase ผลิต ‘กรดไฮโปคลอรัส’ ขึ้นจากสารตั้งต้นที่มีราคาถูก อย่างน้ำและเกลือได้มากถึง 50 ลิตรต่อชั่วโมง ผู้ประกอบการสามารถนำสารนี้มาเจือจางเพื่อล้างอาหารสดและทำความสะอาดพื้นผิวสถานที่ประกอบอาหารในระดับอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหารและลดต้นทุนในการผลิต ส่วนผลิตภัณฑ์ “FOODe’ care” ที่ผลิตจากเครื่อง ENcase จะเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงน้ำยาล้างอาหารสดคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้       “ตลาดของนวัตกรรมประเภทนี้มีโอกาสเติบโตสูงทั้งในรูปแบบ B2B (การค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน) และ B2C (การค้าระหว่างเจ้าของธุรกิจและผู้บริโภครายบุคคล) จากการวิจัยคาดว่าตลาดน้ำยาฆ่าเชื้อโรคประเภทนี้ในไทยมีโอกาสเติบโตไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2568” ดร.สมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือร่วมลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ติดต่อได้ที่ นางสาวปภาวี ลิขิตเดชาโรจน์ (ฝ่ายประสานพันธมิตร) โทร 0 2564 6500 ต่อ 4306 Email: papawee.lik@entec.or.th   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และวีรวรรณ เจริญทรัพย์ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
FleXARs นวัตกรรมฟิล์มป้องกันเพรียง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/flexars-antifouling-film.html   ปัญหาเพรียงทะเลเกาะบนพื้นผิวเรือเดินสมุทร เสาแท่นขุดเจาะน้ำมัน และโครงสร้างทางวิศวกรรมใต้ทะเลที่ทำจากเหล็กคาร์บอน ถือเป็นปัญหาสำคัญระดับโลกที่สร้างมูลค่าความเสียหายมากถึง 4.5 ล้านล้านบาทต่อปี ผู้ประกอบการต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลในการป้องกันและบำรุงรักษา อีกทั้งกระบวนการป้องกันที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังมีความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมสูงและเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำอีกด้วย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัว FleXARs (เฟล็กซาส์) นวัตกรรมฟิล์มป้องกันการเกาะของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิว ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับใช้ปกป้องพื้นผิวเรือเดินสมุทร เสาแท่นขุดเจาะน้ำมัน และสิ่งก่อสร้างในทะเล ในงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022)   [caption id="attachment_38593" align="aligncenter" width="700"] ดร.นิธิ อัตถิ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมพื้นผิววัสดุและอุปกรณ์ไมโครฟลูอิดิก (SMD-1) ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.นิธิ อัตถิ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมพื้นผิววัสดุและอุปกรณ์ไมโครฟลูอิดิก (SMD-1) ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) เนคเทค สวทช. เล่าถึงที่มาของการพัฒนาเทคโนโลยีว่า ปัจจุบันทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมทางทะเล ต้องเผชิญปัญหาใหญ่จากการเกาะของเพรียงทะเล ทั้งบนเรือเดินสมุทร เครื่องจักร และสิ่งก่อสร้างจำพวกคาร์บอนสตีล เพราะเมือกที่เพรียงปล่อยออกมาเพื่อยึดเกาะจะทำให้พื้นผิวของวัสดุเกิดตามดหรือรูขนาดเล็ก (Pinholes)  ทำให้เกิดการกัดกร่อนสูง นอกจากนี้การที่มีเพรียงมาเกาะปริมาณมาก จะส่งผลให้เรือเดินสมุทรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เกิดการต้านน้ำ ทำให้ต้องใช้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนมากกว่าปกติ เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ภาวะโลกร้อนอีกด้วย     ปัญหาเหล่านี้เป็นที่ตระหนักดีของผู้ประกอบการที่ทำอุตสาหกรรมทางทะเล อย่างไรก็ตามยังไม่มีเทคโนโลยีใดในปัจจุบันที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ครบ ทั้งด้านประสิทธิภาพในการป้องกัน ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และราคาที่จับต้องได้ ดร.นิธิ เล่าว่า เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยได้ร่วมกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (Industrial Technology Research Institute, ITRI) สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสถาบัน Fraunhofer สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมฟิล์ม FleXARs ที่มีคุณสมบัติน้ำและน้ำมันไม่เกาะอย่างยิ่งยวด (Superamphiphobic surface) เพื่อแก้ปัญหาการเกาะของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิววัสดุจากต้นน้ำ โดยการทำให้เมือกที่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กปล่อยออกมาไม่สามารถยึดเกาะบนพื้นผิววัสดุได้ เทคโนโลยีใหม่นี้สามารถใช้ทดแทนสีกันเพรียงที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของสัตว์น้ำขนาดเล็ก และมีความปลอดภัยมากกว่าการส่งนักประดาน้ำลงไปฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อลอกเพรียงทะเลออกจากพื้นผิว อีกทั้งยังไม่เป็นการรบกวนการสื่อสารของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกับการใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ในการไล่ตัวอ่อนของเพรียงทะเลออกจากพื้นผิววัสดุด้วย     ดร.นิธิ อธิบายว่า ในการพัฒนาฟิล์ม FleXARs ทีมวิจัยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก เพื่อให้วัสดุมีความทนทานสูง สามารถใช้งานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย และเหมาะแก่การผลิตเพื่อใช้งานในระดับอุตสาหกรรม การพัฒนาในส่วนแรก คือ การออกแบบลวดลายจุลภาคแบบทนทาน (Robust micro-structure) ขนาด 500 ไมโครเมตร ที่มีความแข็งแรงทนทานต่อการถูกสัมผัสและสามารถรับแรงกระทำจากภายนอกได้ โดยจะพิมพ์ลวดลายดังกล่าวบนวัสดุที่มีค่าพลังงานเชิงผิวต่ำ เช่น พอลิไดเมทิลไซลอกเซน(Polydimethylsiloxane: PDMS) ทำให้พื้นผิวของฟิล์ม FleXARs มีคุณสมบัติน้ำและน้ำมันไม่เกาะอย่างยิ่งยวด การพัฒนาในส่วนที่สองคือ การผลิตฟิล์ม FleXARs ให้มีขนาดใหญ่หน้ากว้าง 30 เซนติเมตร ยาวถึง 300 เมตรต่อม้วน ฟิล์มมีความบาง ใส และยืดหยุ่น เพื่อความสะดวกในการใช้งานกับพื้นผิวขนาดใหญ่ และส่วนที่สามคือการพัฒนาชั้นฟิล์มกาวด้านหลังเพื่อให้ติดแผ่นฟิล์ม FleXARs ลงบนผิววัสดุได้ง่าย ลดความยุ่งยากและเวลาในการติดตั้ง     “จากการทดสอบการใช้งานจริงเป็นเวลา 12 เดือนในทะเลประเทศญี่ปุ่นและอ่าวไทยพบว่า  ฟิล์ม FleXARs ปกป้องพื้นผิวคาร์บอนสตีลได้ดีกว่าการเคลือบผิวด้วยวัสดุเทฟลอนที่มีราคาสูง และจากการทดสอบแบบเร่งเวลาในสภาวะห้องทดลองด้วยกระบวนการกัดกร่อนด้วยเกลือ (Salt spray test) พบว่า FleXARs ใช้งานในทะเลได้นานถึง 15 ปีโดยไม่เสื่อมสภาพ (การใช้งานจริงอาจมีอายุสั้นกว่าเนื่องจากมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มาเกี่ยวข้อง) นอกจากนี้ยังมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าวิธีการกำจัดเพรียงที่นิยมใช้กันอยู่ ที่สำคัญ FleXARs มีราคาเพียง 1000 บาทต่อตารางเมตร ต่ำกว่าวัสดุที่มีการใช้งานทั่วไปในปัจจุบันซึ่งมีราคาตั้งแต่ 2000-6000 บาทต่อตารางเมตร ทำให้ FleXARs ได้เปรียบทั้งด้านราคาและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”     FleXARs ไม่ได้มีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมทางทะเลเท่านั้น เพราะด้วยคุณสมบัติน้ำและน้ำมันไม่เกาะอย่างยิ่งยวดทำให้ฟิล์มชนิดนี้มีคุณสมบัติป้องกันการเกาะของเชื้อก่อโรคอีกด้วย     ดร.นิธิ อธิบายว่า จุลชีพก่อโรคจำพวกแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา จำเป็นต้องอาศัยชั้นกาวหรือการสร้างไบโอฟิล์มในการยึดเกาะกับพื้นผิวเช่นเดียวกับเพรียงทะเลที่ปล่อยเมือกมายึดเกาะวัสดุ ดังนั้นแล้วการตัดปัจจัยเหล่านั้นออกตั้งแต่แรกจะช่วยลดการสะสมของเชื้อได้เป็นอย่างดี จากการทดสอบพบว่าพื้นผิวของ FleXARs ลดการสะสมของแบคทีเรียและการเกิดชั้นไบโอฟิล์มได้ดีกว่าเทฟลอนที่นิยมใช้เคลือบพื้นผิววัสดุทางการแพทย์ถึงร้อยละ 25 แผ่นฟิล์มชนิดนี้จึงเหมาะแก่การใช้งานกับอุปกรณ์การแพทย์ ใช้งานในสถานพยาบาล รวมถึงสถานที่ที่มีการสัมผัสร่วมสูง เช่น ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า สนามบิน โดยเฉพาะช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อก่อโรค     หากคุณคือผู้ที่สนใจลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) ทีมวิจัยพร้อมเปิดรับการลงทุนเพื่อก้าวสู่การเป็นสตาร์ตอัป โดยทีมวิจัยมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิต รวมถึงเครือข่ายโรงงานเฉพาะทางที่พร้อมให้บริการรับจ้างผลิต หรือ OEM (Original Equipment Manufacturer) ดร.นิธิ ทิ้งท้ายว่า ทีมวิจัยพร้อมเดินหน้าสู่การทำธุรกิจแบบ B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) โดยต้องการเงินลงทุน 20 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจสู่การผลิตและจัดจำหน่ายในช่วงปี พ.ศ. 2566-2567 โดยจากการวิจัยทางการตลาดพบว่า FleXARs มีโอกาสมีส่วนแบ่งในตลาดประเทศไทยสูงถึงร้อยละ 10 หรือคิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี ผู้ประกอบการที่สนใจร่วมลงทุนติดต่อได้ที่ nithi.atthi@nectec.or.th     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และภัทรกร กลิ่นหอม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
หน้าที่ของหมวกนิรภัย และการเลือกใช้หมวกนิรภัย
ทีมรณรงค์สวมหมวกนิรภัย นำความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของหมวกนิรภัย และการเลือกใช้หมวกนิรภัยมาฝากค่ะ เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะคะ
NSTDA Infographic
 
วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2565
วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2565 Metaverse คืออะไร? Metaverse มาจากคำว่า Meta กับ Verse รวมกันความหมายว่าเป็น “จักรวาลที่อยู่เหนือจินตนาการ” หรือศัพท์บัญญัติคำไทยว่า “จักรวาลนฤมิต” Metaverse เป็นอะไรก็ได้ที่เกิดจากเทคโนโลยีและช่วยเชื่อมต่อผู้คนให้สามารถสื่อสารและทำกิจกรรมกันได้ อย่างไรก็ตาม Metaverse ยังเป็นแนวคิดในอุดมคติ ภาพรวมของ Metaverse ใกล้เคียงกับเครือข่ายอินเทอรเน็ต (World Wide web) กลายเป็นรูปแบบ 3 มิติ มีการไหลเวียนการส่งต่อธุรกิจ ข้อมูล และเครือมือการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง และสามารถใช้งานพร้อมกันเหมือนการจำลองโลกทางกายภาพให้โลกคู่ขนานรูปแบบดิจิทัล Metaverse จะเกี่ยวข้องอะไรกับเทคโนโลยีบ้าง? Metaverse ไม่ใช่เพียงโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) ที่เปิดให้คนสื่อสารเพียงคนเดียวแต่ได้เชื่อมต่อผู้คนระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงไปสู่โลกดิจิทัล โดยอาศัยการใช้เทคโนโลยีหลายประเภท เพื่อทำกิจกรรมได้พร้อมกัน คำศัพท์ที่ปรากฏดังต่อไปนี้มีส่วนประกอบสร้าง  Metaverse ให้สมจริงและจับต้องได้มากขึ้น Assisted Reality เทคโนโลยีผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้สามารถดูหน้าจอและโต้ตอบกับหน้าจอโดยไม่ต้องใช้มือ (hands-free) ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้คือ แว่นตาอัจฉริยะ ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายให้ผู้ใช้สื่อสารและสั่งการผ่านเสียงก็จะได้ข้อมูลขึ้นสู่สายตาทันที Augmented Reality (AR) คือการนำโลกเสมือนเข้ามาผนวกกับโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งใช้ได้บนอุปกรณ์ทั่วไปเช่น มือถือ ไอแพด หรือแท็บเล็ต ผู้ใช้งานจะเห็นเป็นภาพสามมิติที่ลอยอยู่เหนือวัตถุหรือสภาพแวดล้อมในโลกจริง ในวงการธุรกิจเริ่มมีการใช้ AR เข้ามาผสานกับการขายสินค้าบ้าง ให้เห็นชัดๆ ว่าสินค้าที่เลือกดูเป็นอย่างไร แบบไม่ต้องไปเดินเลือกถึงหน้าร้าน เช่น IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ได้ทำแอปพลิเคชันเพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองนำรูปเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากเทคโนโลยี AR ไปทดลองวางในห้องตนเองได้ Meatspace คำที่ใช้เรียกโลกทางกายภาพหรือโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่เป็นส่วนใหญ่ Multiverse หรือ จักรวาลโลกคู่ขนานใช้เรียกแพลตฟอร์ม หรือ Community ในโลกดิจิทัลที่ทำงานอิสระจากกันและกัน เช่น Facebook, Minecraft, Instagram, Roblox, Fortnite, Discord โดยตามทฤษฎีแล้ว Metaverse สามารถถึง Multiverse เหล่านี้มาทำงานอยู่ในที่เดียวได้ NFT หรือ Non-Fungible Tokens เสมือนเครื่องยืนยันว่าใครสามารถครอบครอง ซื้อ หรือ ขาย และสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่ปรากฎอยู่ในโลกดิจิทัลเท่านั้น โดยมีเทคโนโลยีบล็อกเชนคอยกำกับความเป็นเจ้าของและป้องกันการขโมยตัวอย่าง NFT ได้แก่ ผลงานศิลปะ บัตรกีฬา ของสะสม โดย NFT สามารถซื้อขายได้โดยสกุลเงินดิจิทัล Cryptocurrency Virtual Reality หรือ ประสบการณ์เสมือนจริง เป็นการใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงผู้ใช้งานกับโลกดิจิทัล Metaverse มีประโยชน์อย่างไร?      Metaverse สามารถช่วยจำลองให้เราไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ ได้ โดยอาศัยการเชื่อมต่อผ่านรูปแบบต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต, อุปกรณ์, สมาร์ทโฟน, แอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ แม้ว้าช่วงแรก Metaverse นำมาใช้ในเกมออนไลน์ แต่ภายหลังเริ่มมีการเข้าไปลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ Metaverse 5G ยังพูดถึงอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยี 5G คือพื้นฐานสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเร็วของอินเทอร์เน็ต และการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูง กลายเป็นยุค “Internet of Things” นำไปสู่การพัฒนาและใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น  A.ด้านแพทย์ 1. เครือโรงพยาบาลสินแพทย์ผนึกกำลัง Meta Med และ Metaverse Thailand ปฏิรูปวงการแพทย์ โดยเปิดตัวศูนย์การแพทย์ทางเลือกใหม่แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าบนโลกดิจิทัล ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Move life beyond” ให้คำปรึกษาทางการแพทย์, ห้องแล็บ (Lab), Imagine Center, ร้านขายยา สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ป่วยตอบโจทย์ความสะดวกสบายที่ให้บริการด้านการแพทย์ครบวงจร เช่น การติดตามผู้ป่วย การบริหารจัดการ ทรัพยากรของโรงพยาบาล การจัดส่งยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยในช่วงแรกจะเปิด Telemedicine Plus ให้คำปรึกษาผ่าน Metaverse ในอนาคตคนไข้จะสามารถเข้ารักษาในสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด รวดเร็ว มีประสิทธิภาพสูงสุด 2. เทคโนโลยีนี้ยังนำมาใช้รักษาสภาวะป่วยทางจิตใจหลังกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงหรือ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ของกลุ่มทหารที่ผ่านศึกสงครามมาบำบัด มีการศึกษาพบว่า วิธีบำบัดลักษณะนี้ช่วยบรรเทาอาการ PTSD ได้อย่างมีประสิทธิผล B.ด้านวิศวกรรม วิศวกร นักออกแบบ และสถาปนิกที่ต้องการทำงานร่วมกันได้ประโยชน์จาก metaverse เทคโนโลยี Augmented และ Virtual Reality มีประโยชน์การเปลี่ยนผ่านจากการทำงานในสำนักงานแบบเดิม วิศวกรใช้ VR และ AR เพื่อติดต่อลูกค้า แสดงแบบจำลองระยะไกล และไม่ต้องเดินทาง และมีค่ามากกว่าการโทรด้วย Zoom C.ด้านอีคอมเมิร์ซ ห้างสรรพสินค้าต้องปรับตัวตามสถานการณ์ เร่งพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อดึงดูดผู้บริโภค บนแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือ Virtual Mall ในญี่ปุ่น ห้างสรรพสินค้าอิชิตันเปิดตัวในรูปแบบ “ห้างเสมือนจริง” จำลองจากห้างอิเซตันที่ชินจุกุ กรุงโตเกียว มีพนักงานให้บริการประจำร้านสามารถพิมพ์แชทคุยกับพนักงานได้ สิงคโปร์จัดทำโครงการ ‘IMM Virtual Mall’ ขึ้นบนระบบออนไลน์ของ Shopee เชื่อมกับร้านค้าในห้างสรรพสินค้า IMM ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายไม่ต้องออกไปเจอผู้คนในช่วงโควิด-19 ส่วนในไทย มีความร่วมมือกันของ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ซิตี้มอลล์ กรุ๊ป จำกัด (ดิ เอ็มโพเรียม) บริษัท ทวีไดเร็ค จำกัด (มหาชน) พัฒนาภาคการค้าปลีกเกิดแพลตฟอร์ม V-Avenue by AIS 5G ซึ่งถือเป็น Virtual Mall แห่งแรกของไทย โดยเชื่อมต่อโดยตรงกับมาเก็ตเพลสออนไลน์ให้สัมผัสการช้อปปิ้งที่แตกต่าง  D.ด้านการลงทุน ปัจจุบันมีการทำธุรกรรมบนโลกเสมือนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมใช้บริการแบบ non-face to face โดยผนวกแนวคิดการให้บริการทางการเงินบนโลกเสมือน (virtual financial services) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ขององค์กร เช่น บริษัท NH Investment & Securities ในเกาหลีจะเปิดตัว metaverse platform โดยมี virtual space เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้ทั้งร่วมสัมมนา หรือธุรกิจธนาคาร KB Kookmin Bank ได้สร้าง Virtual Financial Town เพื่อให้บริการผ่าน avatar และ VDO chat เสมือนไปธนาคารจริง Metaverse กับสินทรัพย์ดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจใน metaverse ในโลกเสมือน งานศิลปะ ตัวละคร avatar หรือ item เกมต่างๆ ซึ่งมีเทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ นอกจากนี้ คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลยังเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการใน metaverse ด้วย E.ด้านการท่องเที่ยว “Metaverse Seoul” เมืองเสมือนจริงแห่งแรกของโลก รัฐบาลทุ่มทุนสร้างกว่าร้อยล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘วิสัยทัศน์โซล 2030’ (Seoul Vision 2030) ภายใต้แนวคิด “Future Emotional City” จุดประสงค์คือการสร้างระบบนิเวศเสมือนจริง ด้านเศรษฐกิจ การลงทุน วัฒนธรรม การบริการพลเมือง การท่องเที่ยว ที่แตกต่างคือ คนในเมืองสามารถเข้าถึงบริการจากภาครัฐได้ง่ายขึ้น แสดงข้อคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐบาลได้โดยตรง นอกจากนี้ Metaverse Seoul เปิดมิติใหม่ทางด้านการท่องเที่ยวด้วยการบริการในรูปแบบ Virtual Tourist Zone ยกสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในกรุงโซล จัตุรัสควางฮวามุน (Gwanghwamun Square) พระราชวังถ็อกซูกุง (Deoksugung Palace) และแหล่งช็อปปิ้งใหญ่และเก่า ตลาดนัมแดมุน (Numdaemun Market) จะมีการเปิดตัวเป็นทางการในต้นปี 2566 โทษและผลกระทบของ Metaverse อย่างไรก็ตาม ‘โลกเสมือน’ หรือ ‘Metaverse’ ไม่ได้มีแต่ข้อดี แต่ยังให้โทษและสร้างผลกระทบหลายๆ ด้านด้วยเช่น 1.อาชญากรรมไซเบอร์ อาชญากรรมไซเบอร์เป็นปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับอินเทอร์เน็ตตั้งแต่มีมา แม้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ใช้เงินหลายล้านดอลลาร์ต่อสู้ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก metaverse เป็นแนวคิดใหม่ จึงยังไม่มีระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง ทำให้เสี่ยงต่อกิจกรรมผิดกฎหมายทุกประเภท เช่น การฉ้อโกง การฟอกเงิน การแสวงประโยชน์จากเด็ก สินค้าผิดกฎหมาย การค้าบริการ และการโจมตีทางไซเบอร์ ทั้งรัฐบาลยังไม่มีอำนาจมากพอที่จะต่อสู้และต่อต้านอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต 2. ปัญหาการเสพติด การเสพติดโลกเสมือน เนื่องจากดำดิ่งสู่โลกเสมือนจริง โดยผู้ใช้เด็กและวัยรุ่นเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุด โดยบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าสู่ metaverse จะก่อให้เกิดอันตรายต่อพัฒนาการ ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ชีวิตจริงยากต่อการแยกความแตกต่างระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกเสมือน เป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างสมดุลให้วัยรุ่นและผู้ใหญ่ให้มีเวลาเพียงพอ ในขณะที่พยายามป้องกันพฤติกรรมเสพติด 3. ปัญหาสุขภาพจิต การศึกษาทางจิตวิทยาระบุว่าการหมกมุ่นกับโลกดิจิทัลนี้และการแยกตัวออกจากโลกความเป็นจริงจะเพิ่มโอกาสการหย่าร้างจากความเป็นจริงอย่างถาวรและนำไปสู่อาการใกล้เคียงกับโรคจิตได้อาการซึมเศร้า เป็นความเสี่ยงสำหรับผู้เข้าร่วม metaverse และพบว่าดีกว่าชีวิตจริง ทำให้ความมั่นใจและความนับถือตนเองลดลงอาจทำให้ผู้ใช้เกิดภาวะซึมเศร้าขั้นรุนแรง 4. ปัญหาสุขภาพกาย สำนักข่าว BBC รายงานว่า ‘นักพัฒนาซอฟต์แวร์และจักษุแพทย์มีความกังวลต่อการใช้แว่น VR ระยะยาว อาจทำให้เกิดอาการตาล้า (Eye Strain) และพบว่า มีอาการปวดตา ระคายเคือง ตาแห้ง ปวดศีรษะ เวียนหัว คลื่นไส้ บางรายมีอาการคล้ายโรคบกพร่องทางการอ่าน (Dyslexia)’ นอกจากนี้ การท่องโลกเสมือนร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว ติดแว่น VR และเก้าอี้เป็นเวลานาน นำไปสู่โรคอ้วน ออฟฟิศซินโดรม และส่งผลกระทบร่างกายอีกนับไม่ถ้วน เปิดตัวอภิมหาโปรเจคระดับโลก Metaverse “Tranclucia”           ดร.ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) (T&B Media Global )  บริษัท Entertainment รายใหญ่ที่มีความรู้ ความชำนาญด้านการสร้างสรรค์ ล่าสุดได้นำบริษัทที่พัฒนาด้านเทคโนโลยีเข้าซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา (NASDAQ) ทุ่มสร้างอาณาจักรโลกเสมือน (Metaverse) “Translucia” ซึ่งเป็นโลกเสมือนสุดจินตนาการรายแรกของไทย โดย Metaverse Translucia จะเพิ่มมูลค่าให้กับสังคมและโลกธุรกิจ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง มาผสมผสานกับจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างประสบการณ์ในรูปแบบใหม่ อาชีพอนาคตไกลในยุค Metaverse 1.วิศวกรซอฟต์แวร์ AR/VR           งานด้าน Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) กำลังมาแรง บริษัทต้องการวิศวกรซอฟต์แวร์ที่มีทักษะ AR/VR เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการประมวลผล ซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันต่างๆ 2.ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ตำแหน่งนี้เป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างลูกค้าและองค์กร คอยดูแลรักษาฐานลูกค้า เพราะสินค้าและบริการเป็นปัจจัยสำคัญของธุรกิจ จึงเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องวิเคราะห์แนวโน้ม ประเมินสถานการณ์ จับกระแสเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภค ต้องรู้ว่าเทคโนโลยีไหนเหมาะที่จะมาใช้กับสินค้าและบริการขององค์กรมากที่สุด มีบริษัทที่เปิดรับเช่น Snap, Google และ Oculus 3.นักออกแบบเกม 3 มิติ แพลตฟอร์มที่ใช้สร้างวิดีโอเกม ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการสร้างเกมกำลังมุ่งสู่ศิลปินมากขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนนักเทคโนโลยี โดยนักออกแบบเกมใน metaverse จะต้องรับผิดชอบในการออกแบบ สร้างต้นแบบ และสร้างประสบการณ์การเล่นเกม 3 มิติที่ดึงดูดผู้เล่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้การเล่นเกมถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบัน เงินเดือนเฉลี่ยสำหรับนักออกแบบเกม 3 มิติในสหรัฐฯ คือ 78,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี   อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/ost-sci-review-jan2022.pdf      
คลังความรู้
 
นานาสาระน่ารู้
 
“Aqua-IoT” นวัตกรรมดูแลสัตว์น้ำเพื่อเกษตรกรไทย
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/aqua-iot-innovation-for-aquaculture-4-0.html   อุตสาหกรรมสัตว์น้ำเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศไทย อย่างไรก็ตามการที่อุตสาหกรรมนี้จะเติบโตอย่างยั่งยืนได้จำเป็นต้องอาศัยความเข้มแข็งในการผลิต ทั้งความเชี่ยวชาญของเกษตรกร รวมไปถึงการพัฒนายกระดับเทคโนโลยีการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำให้สอดรับกับยุคเกษตร 4.0 เพื่อให้ไทยพร้อมรับความท้าทายและโอกาสในการแข่งขันในระดับโลกมากยิ่งขึ้น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมยกระดับอุตสาหกรรมสัตว์น้ำไทยอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาระบบติดตามแจ้งเตือนสภาพบ่อเพาะเลี้ยงทั้งทางกายภาพ เคมี และชีวภาพด้วยเทคโนโลยี IoT หรือเรียกในที่นี้ว่า “Aqua IoT”   [caption id="attachment_38269" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศุภนิจ พรธีระภัทร นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT) เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.ศุภนิจ พรธีระภัทร นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT) เนคเทค สวทช. กล่าวว่า หลังจากเกิดปัญหาโรคระบาดในสัตว์น้ำครั้งใหญ่ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อเกษตรกรและภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในปี 2553 เนคเทคได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาร่วมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ผ่านโครงการพัฒนา ‘ระบบและเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับสัตว์น้ำ (GII)’ ซึ่งนักวิจัยได้พัฒนาอุปกรณ์เฝ้าระวังความเสี่ยงในการเพาะเลี้ยงต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และในปี 2563 ได้ขยายผลสู่ ‘โครงการยกระดับผู้ประกอบการสัตว์น้ำด้วยระบบตรวจสอบสภาพบ่อเพาะเลี้ยงทั้งกายภาพ เคมี และชีวภาพ ด้วยเทคโนโลยี IoT (Aqua-IoT) ในพื้นที่ภาคตะวันออก’ ซึ่งดำเนินงานเสร็จสิ้นแล้วเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา จุดแข็งสำคัญของเทคโนโลยี Aqua-IoT ที่เนคเทคและศูนย์วิจัยแห่งชาติภายใต้ สวทช. ร่วมกันพัฒนาขึ้น คือการรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์เฝ้าระวังความเสี่ยงในการเพาะเลี้ยง ทั้งจากสภาพน้ำ อากาศ รวมถึงสารเคมีและจุลินทรีย์ ไว้ในฐานข้อมูล (Dashboard) เดียว เพื่อให้เกษตรกรเห็นถึงความเชื่อมโยงของข้อมูล วิเคราะห์ผลง่าย และแก้ปัญหาได้ตรงจุดอย่างทันกาล ดร.ศุภนิจ อธิบายว่า ภายในชุดเทคโนโลยี Aqua-IoT ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลัก 4 อย่าง เทคโนโลยีแรกคือระบบตรวจวัดสภาพน้ำและอากาศ ระบบตรวจวัดสภาพน้ำจะตรวจวัดอุณหภูมิ ค่าความเป็นกรด-ด่าง และค่าออกซิเจนละลายในน้ำ ส่วนระบบตรวจวัดสภาพอากาศจะตรวจวัดทิศทางและความเร็วลม ปริมาณแสง และปริมาณน้ำฝน ซึ่งข้อมูลภาพรวมจากระบบนี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการคำนวณการเปิด-ปิดระบบตีน้ำและปริมาณอาหารที่เหมาะสม   [caption id="attachment_38264" align="aligncenter" width="700"] ระบบตรวจวัดสภาพน้ำและอากาศ[/caption]   “เทคโนโลยีที่สองคือระบบกล้องตรวจจุลชีวะขนาดเล็กในน้ำ สำหรับตรวจสอบการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำในวัยอนุบาลและปรสิต เทคโนโลยีที่สามคือระบบอ่านค่าสารเคมีแทนการดูด้วยตาสำหรับตรวจสอบคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยง ใช้แปลผลการตรวจจากชุดตรวจสารเคมี ได้แก่ ไนไตรต์ แอมโมเนีย คลอรีน ฟอสเฟต และค่ากรด-ด่าง เพื่อลดความผิดพลาดในการแปลผลด้วยวิธีปกติ ซึ่งใช้การเทียบสีที่ปรากฏบนชุดตรวจด้วยตาเปล่า เทคโนโลยีหลักสุดท้ายคือระบบตรวจรูปแบบของจุลินทรีย์ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ สำหรับตรวจสอบจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์และโทษ เพื่อนำข้อมูลไปปรับปริมาณจุลินทรีย์ในบ่อให้เหมาะสม โดยทีมวิจัยได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. นำชุดตรวจเชื้อก่อโรคทั้งในกุ้งและปลามาบูรณาการนำผลการตรวจเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลออนไลน์แบบอัตโนมัติด้วย เพื่อให้เกษตรกรตรวจสอบข้อมูลจากทุกอุปกรณ์และชุดตรวจได้ง่ายจากทุกที่ทุกเวลา ผ่านเว็บเบราว์เซอร์และระบบแจ้งเตือนทุกเช้า-เย็น ทางไลน์แชตบอต”   [caption id="attachment_38265" align="aligncenter" width="700"] ระบบกล้องตรวจจุลชีวะขนาดเล็กในน้ำ[/caption]   [caption id="attachment_38266" align="aligncenter" width="700"] ระบบอ่านค่าสารเคมีแทนการดูด้วยตาสำหรับตรวจสอบคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยง[/caption]   [caption id="attachment_38275" align="aligncenter" width="700"] ระบบตรวจรูปแบบของจุลินทรีย์ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ[/caption]   [caption id="attachment_38274" align="aligncenter" width="700"] ชุดตรวจโรคกุ้ง[/caption]   ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดชุดเทคโนโลยี Aqua-IoT ให้แก่บริษัทเอกชนเรียบร้อยแล้ว ค่าใช้จ่ายในการลงทุนระบบ Aqua-IoT อยู่ที่ประมาณ 200,000 บาทต่อบ่อ ซึ่งหากเทียบกับผลกำไรที่ได้จากการเพาะเลี้ยง การลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและอาหารสัตว์ รวมถึงการลดความเสี่ยงในการสูญเสียผลผลิตจากการติดเชื้อหรือความไม่สมดุลในระบบเพาะเลี้ยง ถือว่าคุ้มค่าสูง และคืนทุนได้ตั้งแต่รอบการผลิตแรก ดร.ศุภนิจ เสริมว่า นอกจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว ทีมวิจัยและผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยียังให้ความสำคัญเรื่องการขยายผลสู่การใช้งานจริง โดยในปี 2563 ได้ร่วมกันนำร่องถ่ายทอดองค์ความรู้ ตลอดจนสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการใช้ประโยชน์อุปกรณ์อย่างคุ้มค่า ให้แก่เกษตรกรในภาคตะวันออก ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานทีมงานได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยแนะนำการทำงาน และร่วมแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกษตรกรต้องเผชิญ เพื่อให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งมากพอที่จะยกระดับการทำเกษตรของตนเองได้อย่างยั่งยืน     การได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทำให้นักวิจัยได้ทราบถึงปัญหาและความต้องการของเกษตรกรมากยิ่งขึ้น ข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง ตัวอย่างเทคโนโลยีที่นักวิจัยกำลังพัฒนา เช่น เครื่องนับจำนวนลูกกุ้งแบบอัตโนมัติเพื่อควบคุมความหนาแน่นของกุ้งในบ่อเลี้ยง เครื่องยกยอเพื่อคำนวณปริมาณกุ้งในบ่อแบบอัตโนมัติสำหรับคำนวณปริมาณอาหารให้เหมาะสม ลดการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ และรักษาคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยง ดร.ศุภนิจ ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ทีมวิจัยอยากสื่อสารไปยังเกษตรกร คือ อยากให้ทุกคนกล้าใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการยกระดับการทำเกษตรของตน และกล้าที่จะคิดว่าปัจจุบันยังขาดเทคโนโลยีอะไรที่จะช่วยให้การทำการเกษตรของตนมีประสิทธิภาพขึ้นได้ เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรรายอื่นๆ ด้วย การที่เกษตรกรทุกคนเลี้ยงได้รอดทุกบ่อ ทุกฤดูการผลิต ถือเป็นความหวังสูงสุดในการนำพาประเทศไทยหวนคืนสู่การเป็นผู้ส่งออกสัตว์น้ำอันดับต้นของโลกอีกครั้ง นอกจากเสียงบอกเล่าด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีของนักวิจัย เกษตรกรผู้มีประสบการณ์การใช้งาน Aqua-IoT ได้สะท้อนถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้เอาไว้อย่างน่าประทับใจเช่นกัน   [caption id="attachment_38268" align="aligncenter" width="700"] คุณอุดร ส่งเสริม เจ้าของวศินฟาร์ม จังหวัดระยอง[/caption]   คุณอุดร ส่งเสริม เจ้าของวศินฟาร์ม จังหวัดระยอง เล่าว่า ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดที่สุดในการนำ Aqua-IoT มาใช้ในฟาร์มเลี้ยงกุ้งของตน คือ การประหยัดเวลาในการทำงาน ไม่ต้องคอยเฝ้าระวังที่หน้าบ่ออยู่ตลอดเหมือนแต่ก่อน แม้ตอนนี้จะเริ่มต้นลงทุนที่ 1 บ่อ แต่ข้อมูลจากบ่อหนึ่งก็สามารถนำไปปรับใช้กับบ่ออื่นๆ รวมถึงกับฟาร์มอื่นที่อยู่ในละแวกเดียวกันได้ โดยเฉพาะเรื่องอุณหภูมิของน้ำซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่าออกซิเจนละลายน้ำ ทำให้จากที่เคยต้องเปิดเครื่องตีน้ำเต็มกำลัง เหลือเปิดเฉพาะช่วงที่ค่าออกซิเจนลดลงเท่านั้น ทำให้ประหยัดค่าไฟลงได้มาก นอกจากนี้การที่เราทราบถึงค่าความผิดปกติของสารเคมีในน้ำหรือการระบาดของโรคอย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่ม จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยับยั้งความเสียหาย เพราะหากสัตว์น้ำตายยกบ่อ สิ่งที่เสียไปไม่ใช่แค่ต้นทุนที่ลงไป แต่ยังสูญเสียกำไร เวลา และโอกาสทางการตลาดอีกด้วย     Aqua-IoT เทคโนโลยีเพื่อเสริมความเข้มแข็งในการทำอุตสาหกรรมสัตว์น้ำให้แก่เกษตรกรไทย ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บทความ “Aqua-IoT” นวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อฟาร์มสัตว์น้ำ  
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น