หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
‘ถุงมือยางไนไตรล์’ ปราศจากสารก่ออาการแพ้ ใส่สบาย ใช้ได้หลากหลาย
  ถุงมือยางไนไตรล์ (nitrile gloves) เป็นถุงมือยางสังเคราะห์ที่มีการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทั่วโลกมีการใช้งานมากกว่า 2 แสนล้านชิ้นต่อปี เพราะถุงมือยางชนิดนี้มีคุณสมบัติเด่นที่เหนือกว่าถุงมือยางธรรมชาติในด้านการทนทานต่อน้ำมันและสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน อีกทั้งยังไม่มีโปรตีนที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อย่างไรก็ตามถุงมือยางไนไตรล์ยังคงมีจุดอ่อนอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือมีความแข็งกระด้างมากกว่าถุงมือยางธรรมชาติ ทำให้หากสวมใส่เป็นระยะเวลานานอาจเกิดความเมื่อยล้า เรื่องที่สองคืออาจพบปัญหาการแพ้สารเคมีบางชนิดที่ใช้ในการผลิต โดยเฉพาะสารตัวเร่งปฏิกิริยาซึ่งเป็นสารสำคัญที่ต้องใช้ในขั้นตอนการผลิต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ปราศจากกำมะถันและสารตัวเร่งปฏิกิริยา เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้โปรตีนจากยางธรรมชาติและแพ้สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในถุงมือยาง ถุงมือยางไนไตรล์ที่พัฒนาขึ้นนอกจากจะทนทานต่อน้ำมันและสารเคมีแล้ว ยังนุ่มและยืดหยุ่นสูงขึ้นกว่าเดิมจึงช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการสวมใส่เป็นเวลานานได้อย่างดี การพัฒนาถุงมือยางชนิดนี้มุ่งเป้าตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องการความสะอาดและปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ อาหาร เครื่องสำอาง อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ห้องปฏิบัติการ รวมถึงการใช้งานทั่วไป เช่น งานทำความสะอาด ทำสวน ซ่อมรถ   [caption id="attachment_62644" align="aligncenter" width="750"] ดร.พร้อมศักดิ์ สงวนธำมรงค์ นักวิจัยเอ็มเทค สวทช[/caption]           ดร.พร้อมศักดิ์ สงวนธำมรงค์ นักวิจัย ทีมวิจัยกระบวนการผลิตยางขั้นสูงและมาตรฐานยาง กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่างานวิจัยนี้ได้รับทุน Starting Venture 2022 จากบริษัทบีเอเอสเอฟ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของโลกจากประเทศเยอรมนี โดยงานวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ส่วนแรกได้แก่ การพัฒนาสูตรการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ที่ปราศจากสารก่ออาการแพ้ เช่น กำมะถัน สารตัวเร่งปฏิกิริยา แป้ง ซึ่งสารเคมีเหล่านี้เป็นสารเคมีที่จำเป็นต่อการผลิตถุงมือยางด้วยกรรมวิธีทั่วไป “ส่วนที่สองคือการหาสภาวะการผลิตที่เหมาะสม โดยศึกษาตัวแปรต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อกระบวนการจุ่มขึ้นรูปถุงมือยาง เพื่อให้ได้ถุงมือที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ส่วนสุดท้ายคือการขยายสเกลการผลิตจากระดับห้องปฏิบัติการสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยงานวิจัยในขั้นตอนนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแกรนด์โกลบอลโกลฟส์ จำกัด ในการทดลองนำสูตรและกระบวนการผลิตที่พัฒนาขึ้นไปใช้ผลิตต้นแบบถุงมือยางไนไตรล์ปราศจากกำมะถันและสารตัวเร่งปฏิกิริยา พร้อมดำเนินการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพแต่ละขั้นตอนการผลิตตามเกณฑ์กำหนดของโรงงาน จากการทดลองพบว่าต้นแบบถุงมือยางไนไตรล์ที่ผลิตได้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานถุงมือยางสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียวและถุงมือยางสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร”     นอกจากจุดเด่นด้านคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถุงมือยางไนไตรล์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้น นอกจากจะมีการลดปริมาณสารเคมีอันตรายลง ทีมวิจัยยังได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยปรับลดทั้งระยะเวลาที่ใช้บ่มน้ำยางและอุณหภูมิที่ใช้ในการอบถุงมือยาง ทำให้ประหยัดพลังงานและลดต้นทุนในการผลิตได้ด้วย ดร.พร้อมศักดิ์ เล่าทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ปราศจากกำมะถันและสารตัวเร่งปฏิกิริยาเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในช่วงเปิดรับผู้ประกอบการที่ต้องการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งคาดว่าถุงมือยางที่พัฒนาขึ้นจะวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ภายในปี พ.ศ. 2569   ทั้งนี้หากผู้ประกอบการท่านใดที่สนใจขอรับต้นแบบถุงมือยางไนไตรล์ไปทดลองใช้งาน หรือต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่คุณเนตรชนก ปิยะฤทธิพงศ์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทร. 0 2564 6500 ต่อ 4301 อีเมล netchanp@mtec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ไดอารี่ สวทช. 2025
Download ไดอารี่ สวทช. 2025 Diary (33.0 MB) Download NSTDA Timeline 2526 - 2567 Timeline (15.9 MB)    
เอกสารเผยแพร่
 
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ! นักวิจัยพัฒนา “Eco-Pest” สารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมกำจัดแมลงจากปาล์มน้ำมัน ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  นักวิจัย สวทช. มุ่งแก้ปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาด พัฒนา “Eco-Pest” สารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชจากกรดไขมันปาล์ม ออกฤทธิ์ได้ผลดีกับแมลงปากดูดจำพวกเพลี้ย ปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดสารเคมีตกค้าง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เตรียมความพร้อมประเทศไทยยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันมุ่งสู่อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีมูลค่าสูง จากปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันและความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของนานาประเทศ โดยส่งเสริมให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ความต้องการใช้ปาล์มน้ำมันเพื่อผลิตไบโอดีเซลลดลง และส่งผลให้เกิดปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงมุ่งวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากปาล์มน้ำมันในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีมูลค่าสูง หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาสารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   [caption id="attachment_61803" align="aligncenter" width="750"] ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. กล่าวว่าจากปัญหาภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการแพร่พันธุ์และระบาดของแมลงศัตรูพืชเป็นอย่างมาก เห็นได้จากตัวเลขการแพร่พันธุ์ของเพลี้ยกระโดดปัจจุบัน ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศเพิ่มขึ้นส่งผลให้ระยะเวลานับตั้งแต่ระยะไข่-โตเต็มวัย ลดลงเหลือเพียง 12 วัน แพร่พันธุ์ได้สูงถึง 5 รุ่น (ประมาณ 1,640 ล้านตัวต่อการทำนาหนึ่งรอบ ที่อุณหภูมิ 38 oC) เมื่อเทียบกับที่อุณหภูมิ 28 oC (ใช้ระยะเวลา 16 วัน แพร่พันธุ์ได้เพียง 3 รุ่น คิดเป็น 8.8 ล้านตัวต่อการทำนาหนึ่งรอบ) เกษตรกรจึงจำเป็นต้องพึ่งการใช้/นำเข้าสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชเพิ่มมากขึ้นทุกปี จาก 39,634 ตันของสารออกฤทธิ์ ในปี พ.ศ. 2545 เพิ่มขึ้นเป็น 140 ล้านตันของสารออกฤทธิ์ (คิดเป็นมูลค่ารวม 23,906 ล้านบาท) ภายในปี พ.ศ. 2566 ในส่วนนี้คิดเป็นมูลค่านำเข้าสารกำจัดแมลง 22,559 ตัน มูลค่า 5,740 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการฉีดพ่นกลุ่มสารเคมีสังเคราะห์แบบดั้งเดิมสำหรับกำจัดแมลงและศัตรูพืชมีเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นที่จะถึงศัตรูเป้าหมาย เนื่องจากปัญหาการยึดเกาะจึงถูกชะล้างจากฝนได้ง่าย เกิดการสะสมสารพิษตกค้างในห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาให้เกษตรกรและอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน โดยทีมวิจัยได้พัฒนา “อีโค-เพสต์” (Eco-Pest) ซึ่งเป็นสารควบคุมและกำจัดแมลงที่ผลิตจากกรดไขมันของปาล์มน้ำมัน   [caption id="attachment_61805" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยเอ็นเทค สวทช. พัฒนา “อีโค-เพสต์” (Eco-Pest) สารควบคุมและกำจัดแมลงที่ผลิตจากกรดไขมันของปาล์มน้ำมัน[/caption]   “เรานำน้ำมันปาล์มที่บริสุทธิ์มาผลิตสารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรสำหรับควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ปลอดภัย โดยสารเสริมประสิทธิภาพทางการเกษตรที่พัฒนาขึ้นสามารถควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืช โดยการเคลือบอุดกั้นทางเดินหายใจ และดูดน้ำออกจากตัวแมลง ซึ่งเป็นวิธีไม่เฉพาะเจาะจงกับกระบวนการทางชีวเคมีใด ๆ ในตัวแมลง ทำให้ Eco-Pest มีข้อดี คือ ปลอดภัยสำหรับสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่เป้าหมาย และสามารถใช้ในการจัดการแมลงที่ดื้อต่อสารเคมีแบบดั้งเดิมได้ โดย Eco-Pest สามารถควบคุมและกำจัดแมลงปากดูดได้เทียบเท่ากับสารเคมีประเภทปิโตรเลียมออยล์หรือไวต์ออยล์ (White oil) ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ภายใต้สภาวะโรงเรือนแปลงทดลอง โดยที่ Eco-pest ออกฤทธิ์กำจัดแมลงประเภทปากดูดได้มากกว่า 97% ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง อีกทั้งมีจุดเด่นเหนือกว่าปิโตรเลียมออยล์คือไม่ต้องผสมสารเคมีอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่เติมน้ำแล้วก็ฉีดพ่นได้เลย แต่หากเป็นปิโตรเลียมออยล์ จะต้องเติมอิมัลซิไฟเออร์ลงไปด้วย”   [caption id="attachment_61806" align="aligncenter" width="750"] รูปเปรียบเทียบการเปียกตัว (a) น้ำบนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู (b) Eco-Pest บนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู (c) Eco-Pest บนเพลี้ยอ่อนถั่วดำ[/caption]   จุดเด่นของ Eco-Pest คือใช้กำจัดแมลงและควบคุมการระบาดของแมลงศัตรูพืชประเภทปากดูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยกระโดด เพลี้ยไฟ เพลี้ยจักจั่น และแมลงหวี่ขาว (ซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชที่พบมากบนพืชผลเศรษฐกิจ เช่น ทุเรียน มะม่วง รวมถึงกล้วยไม้) ออกฤทธิ์กำจัดเพลี้ยแป้งมันได้สูงถึง 92% ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 24 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าสารเคมีกลุ่มไวต์ออยล์ที่กำจัดได้เพียง 35% โดย Eco-Pest ไม่มีความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity) ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารพิษตกค้าง ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ทั้งยังช่วยลดการนำเข้าสารเคมีและปิโตรเลียมออยล์ เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นเนื่องจากใช้วัตถุดิบจากพืชที่ปลูกในประเทศ และช่วยยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศ   [caption id="attachment_61807" align="aligncenter" width="750"] การวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันเป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและยังส่งผลดีต่อภาคการเกษตรของประเทศ[/caption]   ดร.ชัยยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าตอนนี้ผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับห้องปฏิบัติการ แต่การขยายขนาดการผลิตไปสู่ระดับเชิงพาณิชย์คาดว่าจะทำให้ต้นทุนลดลงอย่างมากและแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดได้ ซึ่งทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Eco-Pest ให้แก่ภาคเอกชน รวมถึงกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ร่วมวิจัยเพื่อพัฒนาสูตรใหม่ ๆ โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโอเลโอเคมี อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน และผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Eco-Pest เป็นนวัตกรรมที่จะช่วยเกษตรลดการพึ่งพาสารเคมีที่เป็นพิษ และลดการนำเข้าปิโตรเลียมออยล์ มีความปลอดภัยสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากผลิตจากสารธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอน Eco-Pest จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการควบคุมแมลงในระบบการเกษตรที่มุ่งเน้นความปลอดภัยและยั่งยืน ที่สำคัญคือช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตทางการเกษตรของประเทศและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทยในตลาดโลกได้อย่างสอดคล้องกับการพัฒนาตามแนวทางของโดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG economy model)   [caption id="attachment_61804" align="aligncenter" width="750"] ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง และ ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล พร้อมด้วยทีมวิจัยผู้พัฒนานวัตกรรม Eco-Pest ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช.[/caption]   นวัตกรรม Eco-Pest เป็นผลงานวิจัยและพัฒนาโดย ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง และทีมวิจัย (ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล ดร.สุภาพร วันสม กนกวรรณ ใหม่แก้ว กิติยาลักษณ์ ป้องโรคา พัลลภา บ่อกลม) ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ร่วมกับ ผศ.ดร. ประกาย ราชณุวงษ์ (ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ผู้สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อได้ที่ ดร.ชัยยุทธ แซ่กัง เอ็นเทค สวทช. โทร. 0 2564 6500 ต่อ 4714 หรืออีเมล chaiyuth.sae@entec.or.th     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่, วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพประกอบโดย สมชัย เมาไพร และเอ็นเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
หมดกังวลเรื่องสไลด์! ใช้ Presentations.AI สร้างพรีเซนต์แบบมืออาชีพ
Presentations.AI เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้สร้างพรีเซนเทชันที่ดูเป็นมืออาชีพได้ง่ายและรวดเร็ว โดยใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างสไลด์คุณภาพสูงโดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะด้านการออกแบบ จุดเด่นของแพลตฟอร์มนี้คือการจัดรูปแบบสไลด์อัตโนมัติ ปรับแต่งได้ตามสไตล์ที่ผู้ใช้ต้องการ และรองรับการแชร์และทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังสามารถติดตามผลการพรีเซนต์ได้ เพื่อดูว่าสไลด์ใดได้รับความสนใจมากที่สุด ซึ่งช่วยในการปรับปรุงพรีเซนเทชันในอนาคต (more…)
คลังความรู้
 
นานาสาระน่ารู้
 
“ไทยสุข” แอปฯ คู่ใจ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยให้มี “สุขภาพดี”
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) ได้กลายเป็นปัญหาสุขภาพอันดับหนึ่งของประชากรทั่วโลก โรคเหล่านี้มักเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารและวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานที่มักต้องทำงานเร่งรีบและแข่งกับเวลา ตัวอย่างโรค NCDs เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคไต ซึ่งล้วนเป็นภัยสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าโรค NCDs จะเป็นภัยที่น่ากลัว แต่เรายังสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “ไทยสุข (ThaiSook)” เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดความเสี่ยงการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยกิจกรรมการแข่งขันแบบออนไลน์ และระบบการโค้ชแบบไฮบริด ทำให้ผู้ใช้สามารถดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น “ไทยสุข” ช่วยให้การดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องสนุก เราจะเห็นได้ว่าโรค NCDs แทบทุกโรค ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการกินยา และต้องรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต อีกทั้งบางโรคยังมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก เช่น ผู้ป่วยโรคไตที่ต้องฟอกไตมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยถึง 200,000 บาทต่อคนต่อปี อย่างไรก็ตาม สาเหตุของโรคเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ และการรักษาให้หายขาดก็ยังมีความเป็นไปได้จากการค้นหาพฤติกรรมต้นเหตุ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น แต่วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคเหล่านี้ตั้งแต่แรก ซึ่งหลายคนมักล้มเหลวในการดูแลสุขภาพเพราะคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก น่าเบื่อ และขาดแรงจูงใจ แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเมื่อใช้แอปพลิเคชัน “ไทยสุข” [caption id="attachment_61406" align="aligncenter" width="800"] ดร.เดโช สุรางค์ศรีรัฐ[/caption] ดร.เดโช สุรางค์ศรีรัฐ นักวิจัยจากกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. และทีมวิจัยได้พัฒนาและออกแบบแอปพลิเคชัน ‘ไทยสุข’ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยมุ่งเน้นให้ความรู้ควบคู่กับการลงมือปฏิบัติ ให้ผู้ใช้สามารถติดตามและบันทึกพฤติกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน เช่น การออกกำลังกาย ปริมาณการรับประทานผักและผลไม้ ปริมาณน้ำดื่ม ระยะเวลาการนอนหลับ เป็นต้น พร้อมกับสามารถดูรายงานผลการใช้ชีวิตในแต่ละสัปดาห์ และคำแนะนำที่เหมาะสมกับเราโดยอ้างอิงจากข้อมูลสุขภาพที่เราบันทึกไว้เพื่อให้เราดูแลสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ แอปฯ ยังมีระบบการแข่งขันออนไลน์ที่เพิ่มความท้าทายในการดูแลสุขภาพ ทำให้กลายเป็นเรื่องสนุก ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มต่าง ๆ ภายในแอปฯ กับเพื่อนหรือกลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกันในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสร้างแรงจูงใจ และสนับสนุนซึ่งกันและกันในการดูแลสุขภาพ  ที่สำคัญ แอปฯ ไทยสุขยังมีระบบการโค้ชแบบไฮบริด ที่จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ ให้คำแนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ตรงจุด ติดตามความก้าวหน้า และรายงานความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายสุขภาพของเรา ทำให้ผู้ใช้เห็นพัฒนาการของตัวเอง และมีกำลังใจในการดูแลสุขภาพจนบรรลุเป้าหมายได้ ขั้นตอนง่าย ๆ เริ่มต้นใช้งานแอปฯ ไทยสุข แอปฯ ไทยสุขได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน ใคร ๆ ก็สามารถใช้ได้ แม้จะไม่เคยใช้งานแอปฯ สุขภาพมาก่อนก็ตาม นอกจากนี้ แอปฯ ยังมีฟีเจอร์หลากหลายที่ช่วยให้เข้าใจสุขภาพของตัวเองได้มากขึ้น ตั้งเป้าหมายและติดตามความก้าวหน้า ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการดูแลสุขภาพ พร้อมอัปเดตเคล็ดลับสุขภาพดี ๆ อยู่เสมอ ขั้นตอนแรกเริ่มจากการดาวน์โหลดแอปฯ ไทยสุขจาก App Store หรือ Google Play Store  ค้นหาคำว่า ไทยสุข หรือ ThaiSook จากนั้นลงทะเบียนเข้าใช้งานแอปฯ ไทยสุข ตามด้วยกรอกข้อมูลสุขภาพของเราในแต่ละวัน เช่น อาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย น้ำหนัก และการนอนหลับ เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว แอปฯ จะวิเคราะห์และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับเราโดยอ้างอิงจากข้อมูลสุขภาพที่เราบันทึกไว้ สำหรับผู้ที่สวมใส่สมาร์ตวอตช์ ไทยสุขจะมีระบบเชื่อมต่อเพื่อดึงข้อมูลอัตโนมัติได้จาก iOS Health, Google Fit, Garmin Connect และยังมี “ไทยสุขวอตช์” ซึ่งเป็นสมาร์ตวอตช์ที่ทีมวิจัยออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อกับแอปฯ ไทยสุขได้โดยตรงไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อให้โค้ชดึงข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ง่าย ในการพัฒนามุ่งเน้นราคาไม่แพง เพียง 1,000 บาท สามารถตรวจวัดข้อมูลสุขภาพ เช่น นับก้าวเดิน วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ข้อมูลการนอน หากคุณกำลังมองหาแอปฯ ที่จะช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายและสนุก “ไทยสุข” เป็นคำตอบที่ “ใช่” ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือเคยใช้แอปฯ ดูแลสุขภาพมาก่อน ลองดาวน์โหลดแอปฯ ไทยสุขมาใช้ แล้วคุณจะพบว่าการมีสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด โดยสามารถดาวน์โหลดแอปฯ Thaisook ได้ทั้งระบบ Android และ iOS สำหรับหน่วยงานที่สนใจใช้แอปฯ ไทยสุขเป็นเครื่องมือช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคลากรในองค์กร สามารถติดต่อได้ที่ Facebook: Thaisook ไทยสุข หรือ Line ID: @thaisook เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
แกะกล่องงานวิจัย : นวัตกรรมสารตัวเติม (filler) สารเคลือบกันน้ำบรรจุภัณฑ์กระดาษ ผลิตจากเปลือกหอยแมลงภู่
  📌 1) เกี่ยวกับอะไร ? 'หอยแมลงภู่’ เป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งด้านการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกสูง ถึงกระนั้น ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ ปริมาณมหาศาลที่เหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมเหล่านี้ กลับกำลังเป็นปัญหาขยะที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะยังขาดแนวทางการจัดการที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าแก่การลงทุน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัทรี-บอนดิ้ง จำกัด ดำเนินโครงการ ‘ต้นแบบผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงแปรรูปจากเปลือกหอยแมลงภู่เหลือทิ้ง’ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) หนึ่งในผลิตภัณฑ์ต้นแบบ คือ สารตัวเติม (filler) สำหรับเคลือบเพื่อเพิ่มคุณสมบัติกันน้ำให้แก่บรรจุภัณฑ์กระดาษชนิดผลิตจากวัสดุธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ เช่น สารจากเซลลูโลส (cellulose-based) ที่ปัจจุบันผู้ผลิตในประเทศไทยยังคงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยสารตัวเติมนี้ผลิตขึ้นจาก ‘สารแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3)’ ซึ่งเป็นสารประกอบของเปลือกหอยถึงร้อยละ 95   📌 2) ดีอย่างไร ? สารตัวเติมที่นักวิจัยพัฒนาขึ้นเป็นสารจากธรรมชาติ มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) มีความปลอดภัยในการใช้งาน และมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูง ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษกันน้ำสามารถใช้สารชนิดนี้เป็นสารตัวเติมสำหรับเคลือบกระดาษที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศได้มากกว่าร้อยละ ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี   📌 3) ตอบโจทย์อะไร ? การที่ผู้ประกอบการลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงโดยยังคงคุณภาพของสินค้าได้ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกลุ่ม EU ที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด นอกจากนี้การอัปไซคลิง (upcycling) เปลือกหอยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูง ยังช่วยลดปัญหาขยะและเพิ่มศักยภาพการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรประเภทนี้ให้คุ้มค่าอย่างยั่งยืน   📌 4) สถานะของเทคโนโลยี ? พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : เปลี่ยน ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ เป็น ‘สารเคลือบกระดาษ’ และ ‘สารดูดซับคราบน้ำมัน’ สร้างมูลค่าเพิ่ม เสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ตรวจสอบความปลอดภัยในการลงชื่อเข้าใช้ Google Account
การป้องกันความปลอดภัยใน Account ของ Google คุณสามารถทำได้โดยง่ายเพื่อป้องกันตนเองก่อนการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ บทความนี้จะขอเสนอแนะสิ่งที่คุณควรทำ ดังนี้ครับ เข้าสู่ Google Account ของคุณผ่าน Browser ที่ไว้ใจได้ โดยแนะนำให้ใช้เป็นเครื่องส่วนตัวของคุณเท่านั้น หรือจะใช้ผ่านมือถือของคุณเอง เข้าสู่เมนู ความปลอดภัย  ตรวจสอบว่า บัญชีของคุณได้รับการปกป้อง มีสัญลักษณ์สีเขียวหรือไม่ หากไม่ปรากฏ ให้ดำเนินการเปิดการเข้าถึงความปลอดภัยโดยเลือกในส่วนของ การเข้าถึง 2 ชั้น 2FA , การสร้างรหัสสำรอง , การยืนยันอีเมลกู้คืน ส่วนสำคัญที่สุด หากคุณใช้โปรแกรมเข้าถึงแบบสองชั้น คุณสามารถเลือกใช้เพื่อสร้างความปลอดภัยได้ทันที ภาพแสดงส่วนของการเข้าถึงและตรวจสอบความปลอดภัยของ account ของคุณผ่าน google account ส่วนของความปลอดภัย ภาพแสดงคำแนะนำตัวเลือกในการปกป้องการเข้าถึงระบบของคุณ     บทความนี้อาจไม่ได้แสดงในส่วนของการ setup หรือหน้าจอการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้คุณได้ดำเนินการตาม เนื่องด้วยมีความหลากหลายของหน้าจอในแต่ละช่วงเวลาที่เกิดขึ้นของการปรับแต่งระบบจาก google  จึงขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้ลองตรวจสอบและดำเนินการตามที่ google ได้แจ้งไว้ ซึ่งสามารถทำตามได้โดยง่าย และจำเป็นที่คุณต้องสนใจเพื่อปกป้องคุณจากการจารกรรมข้อมูลที่เกิดขึ้นได้ง่ายดายในยุคปัจจุบัน เพราะการป้องกันตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ครับ ขอให้คุณปลอดภัยในข้อมูลและหมั่นตรวจสอบความปลอดภัยอยู่เสมอครับ
นานาสาระน่ารู้
 
คำแนะนำเพื่อป้องกันตนเองจากการถูกดักจับข้อมูลผ่านเว็บไซต์หรือรหัสผ่าน
ปัจจุบันมิจฉาชีพมีการพัฒนาด้านการจารกรรมข้อมูลอย่างหลากหลายและทันสมัยกว่าเหยื่อมากครับ โดยเฉพาะการดักจับรหัสผ่านของเหยื่อที่มีอยู่ในทุก device วิธีป้องกันตนเองจากการถูกดับจับเว็บไซต์หรือรหัสผ่านที่ดีที่สุด มีคำแนะนำที่คุณสามารถทำตามได้ดังนี้ครับ ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรง: สร้างรหัสผ่านที่ยาวและซับซ้อน โดยใช้ตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ ไม่ใช้รหัสผ่านซ้ำ: ใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละบัญชี เปิดใช้การยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (2FA): ใช้วิธีการยืนยันตัวตนเพิ่มเติมนอกเหนือจากรหัสผ่าน อัปเดตซอฟต์แวร์เสมอ: ติดตั้งอัปเดตความปลอดภัยล่าสุดสำหรับระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่างๆ ระวังฟิชชิง: ตรวจสอบ URL ของเว็บไซต์และอย่าคลิกลิงก์ที่น่าสงสัย ใช้การเชื่อมต่อที่ปลอดภัย: หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะที่ไม่ปลอดภัย และใช้ VPN เมื่อจำเป็น ใช้โปรแกรมจัดการรหัสผ่าน: ช่วยสร้างและจัดเก็บรหัสผ่านที่ซับซ้อน ระมัดระวังในการแชร์ข้อมูลส่วนตัว: อย่าเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนทางออนไลน์โดยไม่จำเป็น ตรวจสอบการเข้าสู่ระบบอย่างสม่ำเสมอ: ตรวจสอบกิจกรรมบัญชีของคุณเพื่อสังเกตการเข้าถึงที่น่าสงสัย ใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์: ติดตั้งและอัปเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์ หากคุณต้องการป้องกันตัวเองด้วย software อย่าลืมหาโปรแกรมที่น่าเชื่อถือติดตัวไว้ เช่น โปรแกรมป้องกันไวรัส การเลือกใช้ Browser ที่เน้นความเป็นส่วนตัวหรือโหมดส่วนตัว ที่ป้องกันการเข้าถึงหรือจารกรรมข้อมูลได้ การยกเลิกการบันทึกข้อมูลรหัสผ่านบนโปรแกรมหรือ browser ต่าง ๆ ไม่ใช้โปรแกรมที่จำรหัสผ่านเพื่อป้องกันการจารกรรมที่คุณจะสูญเสียทุกอย่างในครั้งเดียว สุดท้ายนี้ ความระมัดระวังส่วนตัวของคุณจะเป็นปราการแรกที่จะป้องกันตัวคุณเองได้เสมอครับ อย่าลืมใช้สติในการใช้งานออนไลน์ในทุกช่องทาง และใส่ใจข้อมูลของคุณก่อนการแชร์ข้อมูลนะครับ ป้องกันไว้ดีกว่าการแก้ไขเสมอครับ  
นานาสาระน่ารู้
 
เทคโนโลยีการพิมพ์ 3D คืออะไร?
เทคโนโลยีการพิมพ์ 3D เป็นกระบวนการผลิตชิ้นงานหรือวัตถุโดยการเพิ่มวัสดุทีละชั้นเพื่อสร้างวัตถุที่มีรูปทรงสามมิติ โดยการพิมพ์ 3D สามารถสร้างวัตถุจากวัสดุต่าง ๆ เช่น พลาสติก, โลหะ, เรซิน, และวัสดุผสมอื่น ๆ ซึ่งกระบวนการนี้มีความยืดหยุ่นและช่วยให้สามารถผลิตชิ้นงานที่ซับซ้อนหรือชิ้นส่วนเฉพาะเจาะจงได้อย่างแม่นยำ ประเภทของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3D Fused Deposition Modeling (FDM) เป็นเทคโนโลยีการพิมพ์ 3D ที่แพร่หลายที่สุด โดยการหลอมเส้นพลาสติก ผ่านหัวฉีดแล้วเพิ่มวัสดุทีละชั้น กระบวนการนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นงานพลาสติกขนาดเล็กถึงกลาง Stereolithography (SLA) ใช้แสงเลเซอร์ทำให้เรซินเหลวเกิดการแข็งตัวเป็นรูปทรงทีละชั้น กระบวนการนี้ช่วยสร้างชิ้นงานที่มีความละเอียดสูงและมีพื้นผิวที่เรียบเนียน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง Selective Laser Sintering (SLS) ใช้เลเซอร์ในการหลอมรวมผงวัสดุ โดยการหลอมผงวัสดุให้กลายเป็นชั้นบาง ๆ กระบวนการนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อนและแข็งแรง Digital Light Processing (DLP) ใช้แสงฉายผ่านเลเยอร์ของเรซินเหลว ทำให้ชั้นของเรซินแข็งตัวพร้อมกัน เทคโนโลยีนี้มีความเร็วในการพิมพ์มากกว่า SLA และให้ผลลัพธ์ที่มีความละเอียดสูง Multi-Jet Fusion (MJF) ใช้การฉีดน้ำหมึกผสมกับผงพลาสติกและใช้ความร้อนในการหลอมวัสดุ กระบวนการนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นงานที่ต้องการความทนทานและการผลิตชิ้นงานปริมาณมาก สรุป เทคโนโลยีการพิมพ์ 3D เป็นการปลี่ยนแปลงวงการการผลิตและการออกแบบ เนื่องจากสามารถสร้างวัตถุที่ซับซ้อนและเฉพาะเจาะจงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในหลายอุตสาหกรรม  
นานาสาระน่ารู้
 
การป้องกันการโจมตี DDoS
การโจมตี DDoS คือการที่แฮกเกอร์ใช้เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ที่ถูกควบคุม เพื่อส่งคำขอจำนวนมากไปยังเซิร์ฟเวอร์หรือเครือข่ายของเป้าหมายพร้อมกัน ทำให้ระบบไม่สามารถตอบสนองต่อคำขอจริงจากผู้ใช้ได้ การโจมตีแบบ DDoS ทำให้เว็บไซต์หรือบริการออนไลน์หยุดทำงานหรือประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก วิธีป้องกันการโจมตี DDoS ใช้บริการ CDN (Content Delivery Network) CDN ช่วยกระจายปริมาณการใช้งานจากหลายเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก ทำให้สามารถรับมือกับการเพิ่มขึ้นของการรับส่งข้อมูลอย่างฉับพลัน ที่อาจเกิดจากการโจมตี DDoS กำหนดขีดจำกัดการเชื่อมต่อ (Rate Limiting) การตั้งค่าจำกัดจำนวนคำขอที่ระบบสามารถรับได้ในช่วงเวลาที่กำหนด จะช่วยลดโอกาสที่ระบบจะถูกโจมตีด้วยคำขอจำนวนมาก การใช้ Firewall และระบบป้องกันเครือข่าย ช่วยกรองการรับส่งข้อมูลที่ไม่เหมาะสมออกก่อนที่จะไปถึงเซิร์ฟเวอร์ ใช้บริการป้องกัน DDoS โดยเฉพาะ เช่น Cloudflare, Akamai, AWS Shield ซึ่งจะช่วยตรวจสอบและบล็อกการโจมตี DDoS ก่อนที่จะกระทบกับเซิร์ฟเวอร์ของคุณ การวิเคราะห์และตรวจจับการโจมตีล่วงหน้า เช่น SIEM หรือ NIDS จะช่วยตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติและดำเนินการป้องกันก่อนที่จะเกิดการโจมตีรุนแรง การสร้างเครือข่ายที่กระจายตัว จะทำให้การโจมตี DDoS กระจายไปยังหลายเซิร์ฟเวอร์และยากต่อการทำให้ระบบล่มทั้งหมด การเตรียมพร้อมและทดสอบแผนรับมือการโจมตีอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ทีมงานและระบบพร้อมที่จะรับมือกับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น สรุป การโจมตี DDoS สามารถสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับธุรกิจและบริการออนไลน์ การป้องกันด้วยวิธีการเชิงรุกจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี นอกจากนี้ การตรวจจับการโจมตีล่วงหน้าและการเตรียมความพร้อมรับมือยังเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันระบบให้ปลอดภัยจากการโจมตี DDoS
นานาสาระน่ารู้
 
VPN คืออะไร และทำไมถึงควรใช้ในการรักษาความปลอดภัย
VPN (Virtual Private Network) คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างการเชื่อมต่อแบบส่วนตัวและปลอดภัยผ่านเครือข่ายสาธารณะ เช่น อินเทอร์เน็ต โดยการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย ทำให้ข้อมูลที่ส่งไปมาระหว่างอุปกรณ์ของผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ของ VPN นั้นถูกซ่อนและไม่สามารถถูกดักจับหรือถูกมองเห็นได้ง่าย แหล่งที่มาภาพประกอบ: https://cdn.pixabay.com/photo/2019/09/11/05/48/shopping-online-4467847_1280.jpg ทำไมถึงควรใช้ VPN ในการรักษาความปลอดภัย? การป้องกันการดักจับข้อมูล เช่นการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะที่ไม่มีความปลอดภัย VPN จะช่วยเข้ารหัสข้อมูลทำให้แฮกเกอร์ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญของคุณได้ การรักษาความเป็นส่วนตัว VPN ช่วยซ่อนหมายเลข IP จริงของผู้ใช้ และแทนที่ด้วยหมายเลข IP ของเซิร์ฟเวอร์ VPN ทำให้ไม่สามารถติดตามกิจกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคุณได้โดยง่าย การหลีกเลี่ยงการถูกติดตาม VPN จะทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคุณถูกซ่อนและไม่สามารถใช้เพื่อการโฆษณาหรือเก็บข้อมูลการใช้งานได้ สรุป VPN เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในโลกออนไลน์ ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการดักจับข้อมูลจากแฮกเกอร์ แต่ยังปกป้องการใช้งานจากการติดตามและการควบคุม พร้อมทั้งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
นานาสาระน่ารู้
 
เทคโนโลยี AR และ VR การเปลี่ยนแปลงโลกเสมือนในด้านการศึกษาและความบันเทิง
เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) กำลังเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะด้านการศึกษาและความบันเทิง การใช้ AR และ VR ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้การเรียนรู้และความบันเทิงมีความน่าสนใจมากขึ้น แหล่งที่มาภาพประกอบ: https://cdn.pixabay.com/photo/2021/12/04/19/01/virtual-reality-6845814_1280.jpg การประยุกต์ใช้ AR และ VR ในการศึกษา การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบโต้ตอบ โดยสามารถสัมผัสและโต้ตอบกับวัตถุเสมือนจริงได้ เช่น การเดินทางสู่จักรวาล หรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การเรียนรู้ทางไกลที่มีประสิทธิภาพ สามารถเข้าร่วมในห้องเรียนเสมือนจริง โดยไม่ต้องออกจากบ้าน การพัฒนาทักษะการปฏิบัติ การฝึกฝนในสถานการณ์จำลอง การฝึกด้วย VR ช่วยลดความเสี่ยงในการปฏิบัติงานจริง การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้เครื่องมือที่สามารถสร้างและแก้ไขวัตถุสามมิติได้อย่างง่ายดาย เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์, การสร้างโมเดลทางสถาปัตยกรรม การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน ช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาได้ในวิธีที่เหมาะสมกับตนเอง การประยุกต์ใช้ AR และ VR ในความบันเทิง เกมที่มีความสมจริงสูง เกม VR ช่วยให้ผู้เล่นเข้าสู่โลกเสมือนจริงที่สามารถสัมผัสและมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครและวัตถุต่าง ๆ ได้ ส่วนเกม AR ผสมผสานองค์ประกอบเสมือนเข้ากับโลกจริง ภาพยนตร์และการแสดงสดในโลกเสมือน ช่วยให้ผู้ชมสามารถเข้าร่วมรู้สึกเหมือนอยู่ในฉากหรือสภาพแวดล้อมของภาพยนตร์ได้ การท่องเที่ยวเสมือนจริง ช่วยให้ผู้ใช้สามารถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องไปถึงได้จริง การจัดคอนเสิร์ตและงานอีเวนต์เสมือนจริง ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมงานได้จากที่บ้านในสภาพแวดล้อมที่สมจริง ประสบการณ์การชมกีฬาแบบ 360 องศา สรุป AR และ VR ได้เปลี่ยนแปลงทั้งโลกการศึกษาและความบันเทิงให้มีความล้ำหน้าและสมจริงมากขึ้น การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ทำให้เปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการเรียนรู้และสร้างสรรค์ความบันเทิง การผสมผสานระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนทำให้เทคโนโลยี AR และ VR กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา
นานาสาระน่ารู้