หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
VPN คืออะไร และทำไมถึงควรใช้ในการรักษาความปลอดภัย
VPN (Virtual Private Network) คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างการเชื่อมต่อแบบส่วนตัวและปลอดภัยผ่านเครือข่ายสาธารณะ เช่น อินเทอร์เน็ต โดยการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย ทำให้ข้อมูลที่ส่งไปมาระหว่างอุปกรณ์ของผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ของ VPN นั้นถูกซ่อนและไม่สามารถถูกดักจับหรือถูกมองเห็นได้ง่าย แหล่งที่มาภาพประกอบ: https://cdn.pixabay.com/photo/2019/09/11/05/48/shopping-online-4467847_1280.jpg ทำไมถึงควรใช้ VPN ในการรักษาความปลอดภัย? การป้องกันการดักจับข้อมูล เช่นการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะที่ไม่มีความปลอดภัย VPN จะช่วยเข้ารหัสข้อมูลทำให้แฮกเกอร์ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญของคุณได้ การรักษาความเป็นส่วนตัว VPN ช่วยซ่อนหมายเลข IP จริงของผู้ใช้ และแทนที่ด้วยหมายเลข IP ของเซิร์ฟเวอร์ VPN ทำให้ไม่สามารถติดตามกิจกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคุณได้โดยง่าย การหลีกเลี่ยงการถูกติดตาม VPN จะทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคุณถูกซ่อนและไม่สามารถใช้เพื่อการโฆษณาหรือเก็บข้อมูลการใช้งานได้ สรุป VPN เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในโลกออนไลน์ ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการดักจับข้อมูลจากแฮกเกอร์ แต่ยังปกป้องการใช้งานจากการติดตามและการควบคุม พร้อมทั้งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
นานาสาระน่ารู้
 
เทคโนโลยี AR และ VR การเปลี่ยนแปลงโลกเสมือนในด้านการศึกษาและความบันเทิง
เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) กำลังเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะด้านการศึกษาและความบันเทิง การใช้ AR และ VR ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้การเรียนรู้และความบันเทิงมีความน่าสนใจมากขึ้น แหล่งที่มาภาพประกอบ: https://cdn.pixabay.com/photo/2021/12/04/19/01/virtual-reality-6845814_1280.jpg การประยุกต์ใช้ AR และ VR ในการศึกษา การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบโต้ตอบ โดยสามารถสัมผัสและโต้ตอบกับวัตถุเสมือนจริงได้ เช่น การเดินทางสู่จักรวาล หรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การเรียนรู้ทางไกลที่มีประสิทธิภาพ สามารถเข้าร่วมในห้องเรียนเสมือนจริง โดยไม่ต้องออกจากบ้าน การพัฒนาทักษะการปฏิบัติ การฝึกฝนในสถานการณ์จำลอง การฝึกด้วย VR ช่วยลดความเสี่ยงในการปฏิบัติงานจริง การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้เครื่องมือที่สามารถสร้างและแก้ไขวัตถุสามมิติได้อย่างง่ายดาย เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์, การสร้างโมเดลทางสถาปัตยกรรม การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน ช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาได้ในวิธีที่เหมาะสมกับตนเอง การประยุกต์ใช้ AR และ VR ในความบันเทิง เกมที่มีความสมจริงสูง เกม VR ช่วยให้ผู้เล่นเข้าสู่โลกเสมือนจริงที่สามารถสัมผัสและมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครและวัตถุต่าง ๆ ได้ ส่วนเกม AR ผสมผสานองค์ประกอบเสมือนเข้ากับโลกจริง ภาพยนตร์และการแสดงสดในโลกเสมือน ช่วยให้ผู้ชมสามารถเข้าร่วมรู้สึกเหมือนอยู่ในฉากหรือสภาพแวดล้อมของภาพยนตร์ได้ การท่องเที่ยวเสมือนจริง ช่วยให้ผู้ใช้สามารถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องไปถึงได้จริง การจัดคอนเสิร์ตและงานอีเวนต์เสมือนจริง ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมงานได้จากที่บ้านในสภาพแวดล้อมที่สมจริง ประสบการณ์การชมกีฬาแบบ 360 องศา สรุป AR และ VR ได้เปลี่ยนแปลงทั้งโลกการศึกษาและความบันเทิงให้มีความล้ำหน้าและสมจริงมากขึ้น การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ทำให้เปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการเรียนรู้และสร้างสรรค์ความบันเทิง การผสมผสานระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนทำให้เทคโนโลยี AR และ VR กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา
นานาสาระน่ารู้
 
Big Data พื้นฐานและความสำคัญในโลกธุรกิจปัจจุบัน
Big Data คือชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีปริมาณมาก, ความหลากหลาย, และมีการไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ต้องใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่มีความซับซ้อน Big Data จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะสามารถช่วยธุรกิจในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่แม่นยำและคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสมบัติหลักของ Big Data Volume (ปริมาณ) Variety (ความหลากหลาย) Velocity (ความเร็ว) Veracity (ความเชื่อถือได้) Value (มูลค่า) ความสำคัญของ Big Data ในธุรกิจ การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ Big Data ช่วยให้ธุรกิจมีข้อมูลที่เพียงพอในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภค ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ตรงตามความต้องการของตลาด การพยากรณ์แนวโน้มตลาด Big Data ช่วยให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มของตลาดได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการซื้อสินค้า การเปลี่ยนแปลงของตลาด หรือการตอบสนองต่อแคมเปญการตลาด การเพิ่มประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลสามารถช่วยให้ธุรกิจระบุถึงปัญหาในกระบวนการต่าง ๆ และหาแนวทางในการปรับปรุงได้ การทำการตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม Big Data ช่วยในการวิเคราะห์ความชอบและพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละราย ทำให้ธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้ การตรวจจับการทุจริต Big Data สามารถช่วยตรวจจับการทุจริตหรือพฤติกรรมที่ผิดปกติได้ทันที สรุป Big Data เป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงสำหรับธุรกิจในยุคดิจิทัล ข้อมูลจำนวนมากที่ถูกเก็บรวบรวมและวิเคราะห์อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน, เพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างแม่นยำ การใช้ Big Data อย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
นานาสาระน่ารู้
 
Figma เครื่องมือออกแบบกราฟิกและ UX/UI
Figma เป็นเครื่องมือออกแบบกราฟิกและ UX/UI ที่ทำงานบนระบบคลาวด์ ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักออกแบบที่ต้องการสร้างและพัฒนาโปรเจ็กต์ร่วมกันแบบเรียลไทม์ Figma ทำให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติม วิธีการใช้งาน Figma สร้างบัญชีและเข้าสู่ระบบ ไปที่ เว็บไซต์ https://www.figma.com สร้างโปรเจ็กต์ใหม่ คลิกที่ปุ่ม "New File" เพื่อเริ่มสร้างโปรเจ็กต์ใหม่ ตั้งชื่อโปรเจ็กต์ของคุณ การใช้งานเครื่องมือออกแบบ Frame Tool: ใช้สำหรับสร้างกรอบหรือ layout ขนาดหน้าจอ Shape Tool: สร้างรูปร่างพื้นฐาน เช่น สี่เหลี่ยม, วงกลม และเส้นตรง Text Tool: ใช้สำหรับเพิ่มข้อความ สามารถเลือกฟอนต์, ขนาด และสไตล์ตามที่ต้องการ Pen Tool: ใช้ในการสร้างเส้นหรือวัตถุที่มีรูปทรงที่ซับซ้อนขึ้น สร้าง Components องค์ประกอบที่สามารถนำไปใช้ซ้ำได้ เช่น ปุ่ม (Buttons), ไอคอน (Icons) หรือฟอร์ม (Forms) เลือกวัตถุที่ต้องการ แล้วคลิกขวาและเลือก “Create Component” เชิญทีมเข้าร่วมโปรเจ็กต์ของคุณโดยคลิกที่ปุ่ม “Share” และใส่อีเมลของเพื่อนร่วมทีม หลังจากออกแบบหน้าต่าง ๆ เลือกที่ปุ่ม “Prototype” ด้านบนขวาของหน้าจอ จากนั้นลากลิงก์เชื่อมต่อระหว่างหน้าต่างต่าง ๆ จะทำให้สามารถกำหนดรูปแบบการโต้ตอบ เช่น คลิก หรือสไลด์ได แหล่งที่มาภาพประกอบ: https://cdn.sanity.io/images/599r6htc/regionalized/e0ee84e26cf69a808fd790e9a37c478536cfaa46-1560x1248.png?w=780&q=75&fit=max&auto=format&dpr=2 สรุป Figma เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายสำหรับการออกแบบ UX/UI ที่ช่วยให้คุณสามารถสร้างผลงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างโปรโตไทป์และทดสอบได้ทันที พร้อมทั้งการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และนักออกแบบมืออาชีพ
นานาสาระน่ารู้
 
Trello เครื่องมือจัดการงาน
Trello เป็นเครื่องมือจัดการงานที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยความยืดหยุ่นและใช้งานง่าย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการโปรเจกต์ส่วนตัวหรือทำงานร่วมกับทีมขนาดใหญ่ Trello สามารถจัดระเบียบงานและโปรเจกต์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ Board, List, และCard ที่ออกแบบมาเพื่อให้การทำงานเป็นเรื่องง่ายและเป็นระบบ แหล่งที่มาภาพประกอบ: https://images.ctfassets.net/rz1oowkt5gyp/4kCNudjaBYj90CGgG7Lict/cbafa67336b2007278f50d99ceabfb22/Boards_2x.png?w=1140&fm=webp วิธีการใช้งาน Trello สร้างบัญชีหรือเข้าสู่ระบบ ผ่านแอป Trello หรือเว็บไซต์ https://trello.com การสร้างบอร์ด (Board) คลิกที่ "Create new board" การสร้างลิสต์ (List) คลิกที่ "Add a list"่ ลิสต์ใช้ในการแบ่งขั้นตอนหรือสถานะของงาน เช่น "To Do", "In Progress", และ "Done" การสร้างการ์ด (Card) คลิกที่ "Add a card" การ์ดใช้ในการบันทึกงานที่ต้องทำ การเชิญสมาชิกในทีม หากต้องการทำงานร่วมกันในบอร์ดเดียวกัน ให้คลิกที่ "Invite" บนบอร์ดและเพิ่มอีเมลของสมาชิกในทีมที่คุณต้องการเชิญ การใช้ Power-Ups Trello เพื่อเพิ่มความสามารถให้กับบอร์ด เช่น การเชื่อมต่อกับ Google Drive, Calendar, หรือการใช้งาน Automations ไปที่ "Power-Ups" ในเมนูบอร์ดเพื่อเลือกและเปิดใช้งานฟีเจอร์เพิ่มเติม การกำหนดเวลาและการแจ้งเตือน เปิดการ์ดที่ต้องการกำหนดเวลาและคลิกที่ "Due Date" เพื่อเลือกวันที่และเวลาที่ต้องการ Trello จะส่งการแจ้งเตือน แหล่งที่มาภาพประกอบ: https://images.ctfassets.net/rz1oowkt5gyp/4yCPKb9ElbAJQvSs4dOS6E/aa634af54361ceb0477a7cfa89cb0685/Features-UI-Views.png?w=1060&fm=webp สรุป Trello เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการจัดการงานและโปรเจกต์ด้วยความยืดหยุ่นและใช้งานง่าย แต่หากโปรเจกต์ของคุณมีความซับซ้อนมาก อาจจำเป็นต้องพิจารณาเครื่องมือเพิ่มเติมหรือเวอร์ชันพรีเมียมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
นานาสาระน่ารู้
 
แนะนำโมเดลสำหรับการจัดกลุ่มลูกค้า
  การจัดกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation) เป็นหนึ่งในเทคนิคในการทำการตลาด จัดกลุ่มลูกค้าตามลักษณะหรือพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม สำหรับการจัดกลุ่มลูกค้าโดยใช้ AI และ Machine Learning นั้น มีโมเดลที่นิยมใช้หลายแบบ แหล่งที่มาภาพประกอบ: https://cdn.pixabay.com/photo/2020/08/09/14/25/business-5475661_1280.jpg โมเดลที่นิยมใช้มี ดังนี้ K-Means Clustering: เป็นวิธีการจัดกลุ่มที่ใช้บ่อยที่สุด โดยจะทำการแบ่งข้อมูลลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ข้อมูลในแต่ละกลุ่มจะมีความคล้ายคลึงกันสูงสุดและแตกต่างจากกลุ่มอื่น ๆ Hierarchical Clustering: เป็นการจัดกลุ่มแบบลำดับชั้น โดยการสร้างโครงสร้างต้นไม้ (Dendrogram) ที่แสดงการจัดกลุ่มจากระดับย่อยไปยังระดับสูงสุด สามารถเลือกระดับการจัดกลุ่มได้ตามต้องการ DBSCAN (Density-Based Spatial Clustering of Applications with Noise): เป็นการจัดกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องระบุจำนวนกลุ่มล่วงหน้า สามารถจัดกลุ่มข้อมูลที่มีความไม่สม่ำเสมอหรือมีรูปทรงที่ซับซ้อนได้ Gaussian Mixture Models (GMM): เป็นวิธีการจัดกลุ่มที่อิงตามการแจกแจงแบบปกติ (Gaussian Distribution) โดยข้อมูลแต่ละจุดจะมีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตามการแจกแจง Self-Organizing Maps (SOM): เป็นโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) ใช้ในการจัดกลุ่มข้อมูลแบบไม่ต้องสอน (Unsupervised Learning) Latent Dirichlet Allocation (LDA): เป็นโมเดลการจัดกลุ่มแบบที่ใช้ในข้อมูลข้อความ แต่สามารถประยุกต์ใช้ในการจัดกลุ่มลูกค้าได้ โดยการระบุ หัวข้อ หรือ เทรนด์ ที่ลูกค้าต่าง ๆ สนใจ สรุป การจัดกลุ่มลูกค้าเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำการตลาด เพื่อให้สามารถพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น มีโมเดลหลายแบบที่ใช้ในการจัดกลุ่มลูกค้า แต่ละโมเดลมีความเหมาะสมกับลักษณะข้อมูลที่ต่างกัน การเลือกใช้โมเดลใดขึ้นอยู่กับลักษณะข้อมูลและความต้องการของการวิเคราะห์
นานาสาระน่ารู้
 
ทำความรู้จัก Spam (สแปม) และการป้องกัน
Spam เป็นอีกหนึ่งภัยคุกคามทาง Cyber ที่มาในรูปแบบข้อความที่ไม่พึงประสงค์ ส่งผ่านทางช่องทางต่าง ๆ มักจะเป็นข้อความโฆษณา, การเสนอขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ, หรือการหลอกลวง ประเภทของ Spam มีดังนี้ อีเมล: Spam ส่งผ่านทางอีเมล อีเมล Spam สามารถมีลิงก์ที่อาจนำไปสู่เว็บไซต์ที่อันตรายหรือมีการแอบอ้างเป็นองค์กรที่เชื่อถือได้ SMS: ข้อความ Spam ที่ส่งผ่านทาง SMS โดยมักจะเป็นข้อความที่เสนอขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือข้อความที่มีลิงก์เพื่อหลอกให้ผู้รับคลิก แอปพลิเคชันแชท: Spam ที่ถูกส่งผ่านทางแอปพลิเคชันแชท เช่น WhatsApp หรือ Facebook Messenger ซึ่งมักจะเป็นข้อความที่ไม่พึงประสงค์หรือโฆษณาที่ไม่เกี่ยวข้อง วิธีป้องกัน Spam ใช้ฟิลเตอร์ Spam โปรแกรมอีเมลส่วนใหญ่มีฟิลเตอร์ Spam ที่สามารถช่วยกรองและป้องกันได้ หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่ไม่รู้จัก ตรวจสอบชื่ออีเมล ผู้ส่ง Spam จะใช้ชื่ออีเมลที่ดูเหมือนเป็นของจริงหรือเหมือนกับที่คุณรู้จัก 5.รายงานสแปมให้กับผู้ให้บริการจะช่วยในการป้องกันและลดปริมาณสแปม สรุป Spam คือ ข้อความที่ไม่พึงประสงค์ที่ถูกส่งไปยังผู้ใช้จำนวนมาก ซึ่งมักสร้างความรำคาญและอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย การป้องกันสามารถทำได้โดยการใช้ฟิลเตอร์สแปม, หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนบุคคล, และไม่คลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบที่ไม่รู้จัก การรายงานสแปมสามารถช่วยลดปริมาณและผลกระทบของสแปมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นานาสาระน่ารู้
 
ทำความรู้จัก Malware (มัลแวร์) และการป้องกัน
Malware ย่อมาจากคำว่า "Malicious Software" หมายถึงโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำลาย ก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต Malware สามารถแฝงตัวมาในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เช่น Virus (ไวรัส): แพร่กระจายผ่านไฟล์หรือโปรแกรมที่ดูเหมือนปลอดภัย เมื่อลงมือทำงานจะทำลายข้อมูลหรือทำให้ระบบทำงานผิดปกติ Worm (เวิร์ม): แพร่กระจายตัวเองผ่านเครือข่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาไฟล์ ทำให้ระบบช้าลงหรือหยุดทำงาน Trojan (โทรจัน): แฝงตัวมาในรูปของโปรแกรมที่ดูเปลอดภัย แต่เมื่อถูกติดตั้งหรือเปิดใช้งาน จะทำงานในลักษณะที่เป็นอันตราย เช่น เปิดช่องทางให้ hacker ขโมยข้อมูลสำคัญ Adware (แอดแวร์): แสดงโฆษณาบนเครื่องของผู้ใช้ บางครั้งติดตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาต และติดตามพฤติกรรมเพื่อแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจ Spyware (สปายแวร์): สอดแนมและรวบรวมข้อมูลจากเครื่องของผู้ใช้โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว เช่น การกดแป้นพิมพ์และการเข้าชมเว็บไซต์ วิธีป้องกัน Malware ติดตั้งและอัปเดตโปรแกรมแอนตี้ไวรัส หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่ไม่รู้จัก ใช้ไฟร์วอลล์ (Firewall) เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์ สรุป Malware เป็นภัยคุกคามที่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ได้อย่างร้ายแรง การป้องกัน Malware ไม่เพียงแต่ต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสม แต่ยังต้องมีการปฏิบัติตามแนวทางป้องกันที่รัดกุม การรู้จักและเข้าใจวิธีการป้องกัน จะช่วยให้ระบบคอมพิวเตอร์ของคุณปลอดภัยจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
นานาสาระน่ารู้
 
ทำความรู้จัก Phishing (ฟิชชิง) และการป้องกัน
Phishing เป็นอีกหนึ่งเทคนิคการโจมตีทาง Cyber ที่ใช้การหลอกลวงเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน หรือข้อมูลทางการเงิน โดยการปลอมแปลงเป็นบุคคลหรือองค์กรที่เชื่อถือได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อหลอกให้เหยื่อให้ข้อมูล ประเภทของ Phishing มีดังนี้ Email Phishing: มีลักษณะเหมือนกับอีเมลจากองค์กรที่เชื่อถือได้ เช่น ธนาคาร ซึ่งมักจะขอให้ผู้รับคลิกลิงก์หรือให้ข้อมูลส่วนบุคคล Spear Phishing: มุ่งเป้าไปที่บุคคลหรือองค์กรเฉพาะ โดยใช้ข้อมูลส่วนตัวที่รวบรวมได้มาเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของการหลอกลวง Smishing (SMS Phishing): ดำเนินการผ่านข้อความ SMS จะมีลิงก์ให้ทำบางสิ่ง เช่น คลิกที่ลิงก์หรือโทรกลับหมายเลขที่ให้มา Vishing (Voice Phishing): ใช้การโทรศัพท์เพื่อหลอกลวง โดยอาจแสร้งเป็นเจ้าหน้าที่จากองค์กรหรือหน่วยงานเพื่อขอข้อมูลส่วนบุคคล วิธีป้องกัน Phishing ตรวจสอบที่อยู่ URL ก่อนคลิกลิงก์ในอีเมลหรือข้อความ SMS ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รหัสผ่านหรือหมายเลขบัตรเครดิต ใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน ติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ ควรตรวจสอบก่อนที่จะทำการตอบกลับหรือคลิกลิงก์ สรุป Phishing คือ การหลอกลวงทางไซเบอร์ที่มุ่งหวังขโมยข้อมูลส่วนบุคคล โดยการปลอมแปลงเป็นองค์กรหรือบุคคลที่เชื่อถือได้ สามารถป้องกันได้โดยการตรวจสอบ URL, ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล, ใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน, ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์, และระมัดระวังข้อความที่ไม่คาดคิด
นานาสาระน่ารู้
 
แกะกล่องงานวิจัย : แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา ยืดหยุ่นสูง เย็นสบาย
  📌 1) เกี่ยวกับอะไร ? การพัฒนากระบวนการขึ้นรูปแผ่นเจลยางพารารูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติกระจายแรงได้ดี และมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง โดยการผลิตแผ่นเจลรูปแบบนี้จะใช้ลำอิเล็กตรอนซึ่งเป็นเทคโนโลยีสะอาดในการวัลคาไนเซชัน (vulcanization) หรือทำให้เกิดปฏิกิริยาเชื่อมขวางระหว่างสายโซ่ยาง เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแรงและทนทานโดยไม่ต้องใช้สารเคมีในการวัลคาไนเซชันเหมือนกระบวนการผลิตทั่วไป การผลิตด้วยวิธีใหม่นี้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องสารเคมีตกค้าง (สารบางชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง) กลิ่นไม่พึงประสงค์ และการก่อให้เกิดการระคายเคืองจากการสัมผัสผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์จากยางพาราเป็นที่ยอมรับในตลาดสุขภาพและการแพทย์มากยิ่งขึ้น และเป็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ยางพาราไทย   📌 2) ดีอย่างไร ? จุดเด่นของผลิตภัณฑ์แผ่นเจลรองนั่งที่นักวิจัยไทยออกแบบและพัฒนากระบวนการผลิต คือ มีความสามารถในการกระจายแรงสูง ลดแรงกดทับได้มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้ช่วยลดอาการปวดเมื่อยบริเวณก้นกบและหลังส่วนล่างจากการนั่งเป็นเวลานานได้ดี มีคุณลักษณะเด่นที่ทำให้ผู้นั่งรู้สึกเย็นสบายแม้จะผ่านการนั่งทับไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังไร้กลิ่นสารเคมีและไร้สารก่อมะเร็ง   📌 3) ตอบโจทย์อะไร ? ช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางพาราของประเทศไทย รวมถึงช่วยเปิดตลาดและฐานลูกค้าใหม่โดยเฉพาะสุขภาพและการแพทย์   📌 4) สถานะของเทคโนโลยี ? พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต   รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ‘แผ่นเจลรองนั่งจากยางพารา’ ยืดหยุ่นสูง เย็นสบาย ไร้กลิ่นสารเคมี ไร้สารก่อมะเร็ง     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
Stellarium Opensource Software สำหรับผู้ที่สนใจดาราศาสตร์
Stellarium เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจดาราศาสตร์ช่วยให้สามารถสำรวจและทำความเข้าใจจักรวาลได้อย่างง่ายดาย โดยมีการแสดงผลเป็นภาพเสมือนจริงของท้องฟ้าตามตำแหน่งและเวลาที่กำหนด ผู้ใช้งานสามารถเห็นดวงดาว ดาวเคราะห์ กลุ่มดาว และวัตถุท้องฟ้าอื่น ๆ ได้ตามมุมมองที่แตกต่างกัน เช่น จากโลกหรือจากดาวเคราะห์อื่น ๆ  ซอฟต์แวร์นี้เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสำหรับการเรียนรู้ดาราศาสตร์ การสังเกตท้องฟ้า รวมถึงใช้ในการวางแผนการดูดาวจริง   สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ stellarium.org รองรับหลายระบบปฏิบัติการ เช่น Windows, macOS, Linux และยังมีแอปพลิเคชันสำหรับสมาร์ทโฟน เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา Stellarium จะแสดงท้องฟ้าตามตำแหน่งและเวลาปัจจุบันของผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าตำแหน่ง (เช่น ประเทศ เมือง หรือพิกัด GPS) เพื่อแสดงท้องฟ้าที่เห็นจากพื้นที่นั้น ๆ ได้ รวมทั้งยังสามารภใช้งานบนเว็บไซต์ https://stellarium-web.org ความสามารถของระบบ ประกอบด้วย ซูมเข้า/ออก เพื่อดูรายละเอียดของวัตถุท้องฟ้าได้ชัดเจนขึ้น ค้นหาดาวหรือวัตถุท้องฟ้า โดยพิมพ์ชื่อดาวหรือวัตถุที่ต้องการค้นหาในแถบค้นหา เปลี่ยนเวลา สามารถเลื่อนเวลาไปข้างหน้าหรือย้อนกลับได้ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งดาวและวัตถุต่าง ๆ เปิด-ปิดชื่อกลุ่มดาวและเส้นเชื่อมกลุ่มดาว เพื่อดูตำแหน่งและรูปร่างของกลุ่มดาวได้ชัดเจน   ตัวอย่างวิธีการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ: การดูท้องฟ้าในคืนนี้จากที่ตั้งของผู้ใช้งาน เปิด Stellarium แล้วตั้งตำแหน่งให้เป็น "กรุงเทพฯ" โดยใช้แผงการตั้งค่าตำแหน่ง (Location Window) Stellarium จะแสดงท้องฟ้าตามเวลาปัจจุบัน คุณสามารถซูมเข้าไปดูดวงดาว ดาวเคราะห์ และกลุ่มดาวที่อยู่ในท้องฟ้าในขณะนั้น การค้นหาดาวเคราะห์หรือวัตถุท้องฟ้า ใช้แถบค้นหา (Search window) พิมพ์คำว่า “Perseus” หรือ การดูฝนดาวตก โดย Stellarium จะซูมเข้าไปที่ดาว Perseus  ทันที และแสดงให้คุณเห็นทิศทางที่ฝนดาวตกจะปรากฏ และกลุ่มดาวเพอร์เซอุส (Perseus) ที่เป็นตำแหน่งเริ่มต้นของฝนดาวตกนั้น แสดงตำแหน่งของมันบนท้องฟ้าตามเวลาปัจจุบัน ทำให้สามารถติดตามการเคลื่อนที่ของดาวได้ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน การเรียนรู้เรื่องกลุ่มดาว สามารถเลือกเปิดแผนภาพการเชื่อมกลุ่มดาวเพื่อเห็นภาพได้ชัดเจน
นานาสาระน่ารู้
 
Google Flood Hub
Google Flood Hub เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดย Google เพื่อคาดการณ์และแจ้งเตือนเหตุการณ์น้ำท่วมล่วงหน้า โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลหลายประเภท เช่น สภาพอากาศ ภูมิประเทศ และข้อมูลประวัติการเกิดน้ำท่วม เพื่อทำนายระดับน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง ช่วยในการเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วมล่วงหน้าได้ดีขึ้น เทคนิคที่ใช้ใน Google Flood Hub: Machine Learning (ML): Google Flood Hub ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อสร้างโมเดลการทำนายน้ำท่วม โดยโมเดลนี้จะเรียนรู้จากข้อมูลในอดีต เช่น ปริมาณฝน ระดับน้ำในแม่น้ำ และลักษณะภูมิประเทศ เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ของน้ำท่วมในอนาคต Hydrological Modeling: โมเดลที่ใช้ในการจำลองการไหลของน้ำในแม่น้ำและภูมิประเทศ เพื่อทำนายระดับน้ำท่วมในสถานการณ์ต่าง ๆ Satellite Imagery & Remote Sensing: ใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมและเทคโนโลยีตรวจจับระยะไกลเพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของน้ำและพื้นที่ รวมถึงการตรวจจับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่บางส่วน AI for Social Good: Flood Hub เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ AI for Social Good ของ Google ซึ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อแก้ปัญหาทางสังคม โดย Flood Hub เน้นไปที่การช่วยชีวิตและลดความเสียหายจากภัยพิบัติน้ำท่วม Google Flood Hub อัปเดตข้อมูลการคาดการณ์น้ำท่วมเป็นรายวัน โดยข้อมูลคาดการณ์นี้สามารถทำนายได้ล่วงหน้าถึง 7 วัน จากเดิมที่เคยให้ข้อมูลล่วงหน้าได้เพียง 48 ชั่วโมง  โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น การพยากรณ์อากาศและภาพถ่ายดาวเทียม  การผสมผสานเทคโนโลยี ช่วยให้ Google Flood Hub สามารถให้การพยากรณ์ที่แม่นยำและเป็นประโยชน์ในการเตรียมการรับมือน้ำท่วม ตัวอย่างการใช้งาน Google Flood Hub  แสดงระดับน้ำท่วมในประเทศไทย  
นานาสาระน่ารู้