ผลการค้นหา :
สวทช. พร้อม อภ. และ ปตท. ร่วมมือผนึกกำลังต่อยอดการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบทางยา ส่งเสริมความมั่นคงด้านสุขภาพให้คนไทย
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อม นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา “กระบวนการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Active Pharmaceutical Ingredients; API) และ ศึกษาความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ และ/หรือการสร้างความมั่นคงทางยาให้แก่ประเทศไทย” ณ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่.
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. เป็นหน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศไทยอย่างยั่งยืน ซึ่ง สวทช. มีองค์ความรู้ บุคลากร ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีทางด้านเคมีสังเคราะห์ที่จะช่วยหนุนเสริมองค์การเภสัชกรรมในการผลิตสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม ได้เองภายในประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านอุตสาหกรรมยาแบบครบวงจร และส่งเสริมงานด้านสาธารณสุขของประเทศ สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ตั้งเป้าสร้างศักยภาพการผลิตยาในประเทศ เพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทยในอนาคต
ดังนั้นจะเห็นได้จากที่ผ่านมา นักวิจัย สวทช. ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม วิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ สาหรับต้านโรค COVID-19 ขึ้นเองภายในประเทศ นับว่าเป็นอีกหนึ่งความสาเร็จที่ตอบโจทย์วงการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ทาให้ไม่ต้องพึ่งพาการนาเข้ายาฟาวิพิราเวียร์จากต่างประเทศ ช่วยยกระดับขีดความสามารถทางด้านการผลิตยาของประเทศ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งเป็นฐานในการสร้างอุตสาหกรรม API ของประเทศ
ความร่วมมือในครั้งนี้ สวทช. พร้อมที่จะสนับสนุนนักวิจัยที่มีองค์ความรู้ และความสามารถในการวิจัย พัฒนา และปรับปรุงกระบวนการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมในระดับห้องปฏิบัติการ เพื่อถ่ายทอดให้กับองค์การเภสัชกรรมต่อยอดไปสู่ระดับโรงงานต้นแบบ และพร้อมสนับสนุนข้อมูลให้แก่ ปตท. เพื่อใช้ในการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ เพื่อผลิตสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API) ในระดับอุตสาหกรรมต่อไป”
นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่าอุตสาหกรรมยาในประเทศไทย ยังต้องพึ่งพาการนาเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศกว่า 95% และจากการระบาดของโรค COVID-19 ทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบยาสาหรับรักษาโรค COVID-19 และวัตถุดิบยาจาเป็นอื่นๆ เนื่องจากประเทศหลัก ๆ ที่ผลิตวัตถุดิบยา อย่างเช่น จีน และ อินเดีย ต่างก็มีปัญหาทั้งในเรื่องการขนส่งวัตถุดิบข้ามประเทศและอีกทั้งยังต้องสารองวัตถุดิบยารักษาโรค COVID-19 และวัตถุดิบยาจาเป็นไว้ใช้ในประเทศตัวเอง ซึ่งการที่ประเทศไทยมีการผลิตวัตถุดิบทางยาขึ้นสาหรับใช้เองจะเป็นการสร้างความมั่นคง และการพึ่งพาตนเองด้านยาของประเทศได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นการสร้าง Ecosystem ในการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบที่เป็นตัวยาใหม่ (NCE, New Chemical Entities) ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยยังไม่เคยทาได้
ความร่วมมือนี้ องค์การเภสัชกรรมซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านเภสัชกรรมทั้งวัตถุดิบและยาสาเร็จรูป จะทาหน้าที่นาเทคโนโลยีการสังเคราะห์วัตถุดิบที่ทาง สวทช. ได้พัฒนาจนสาเร็จในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว มาพัฒนาต่อยอดกระบวนการสังเคราะห์ในระดับกึ่งอุตสาหกรรมเพื่อสร้างต้นแบบกระบวนการสังเคราะห์ที่พร้อมสาหรับการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ซึ่ง ปตท. สวทช. และ อภ. จะร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ต่อไป
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมกำรผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-curve) ที่มีความจาเป็นต่อการขับเคลื่อนประเทศไทย ไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในด้านการพัฒนาสุขภาพและการแพทย์ของประเทศ มุ่งเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งตนเอง ด้วยการวิจัย พัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการผลิต โดยองค์กรหรือบริษัทเอกชนไทย เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นฐานการผลิตเพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทย
โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีความสามารถในการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Feasibility Study) ที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ แบบครบวงจร ตั้งแต่ระดับต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อาทิ ยาที่ช่วยรักษาโรค COVID-19 รวมถึง API ของ ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) และ ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) API เป็นสารตั้งต้นสาหรับการผลิตยา ซึ่งเป็นยาที่มีความจำเป็นต้องใช้เร่งด่วนของประเทศ ความร่วมมือในครั้งนี้ ก่อเกิดประโยชน์มากมาย ลดนำเข้ายาจากต่างประเทศ ที่สำคัญจะช่วยเสริมความมั่นคงในอุตสาหกรรมยาทางสาธารณสุขของประเทศ มั่นคงต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
เมืองนวัตกรรมอาหาร – มก. เปิดตัว “ฟู้ดอินโนโพลิส แอด เกษตรศาสตร์”พร้อมให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการ ยกระดับผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เพื่อการแข่งขันในตลาดโลก
8 เมษายน 2564 อาคารศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ 60 พรรษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้จัดงานเปิดตัวเมืองนวัตกรรมอาหารอาหารส่วนขยาย ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือ FoodInnopolis @ Kasetsart เป็นปฐมฤกษ์ โดยมี รศ.ดร.สุตเขตต์ นาคะเสถียร เป็นประธานในพิธีเปิด
พร้อมด้วย รศ. ดร. อนุวัตร แจ้งชัด คณบดีคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะหัวหน้าโครงการเมืองนวัตกรรมอาหารส่วนขยาย ม.เกษตรศาสตร์ ดร.อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ ผู้อำนวยการเมืองนวัตกรรมอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมเปิดงาน และมีผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร เครือข่ายเมืองนวัตกรรมอาหาร คณะกรรมการบริหารโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณาจารย์ และนักวิจัย เข้าร่วมงาน
ดร.อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ ผู้อำนวยการเมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช. เปิดเผยว่า เมืองนวัตกรรมอาหารส่วนขยาย ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือ ฟู้ดอินโนโปลิส แอด เกษตรศาสตร์ (FoodInnopolis @ Kasetsart) เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขยายพื้นที่ดำเนินการเมืองนวัตกรรมอาหารไปยังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562) โดยเป็นโครงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานหลักในด้านอาหาร 5 หน่วยงาน ของมหาวิทยาลัยฯ ได้แก่ คณะอุตสาหกรรมเกษตร คณะประมง คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร (IFRPD) และ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร (KAPI) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือและพัฒนาผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ในรูปแบบศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop service) เชื่อมโยงความเชี่ยวชาญของนักวิจัยจากหน่วยงานต่างๆของมหาวิทยาลัยฯ และหน่วยงานพันธมิตร เพื่อพัฒนาและยกระดับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร รวมถึงพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
“อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญมากสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 รายได้ของประเทศจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอื่นๆ หายไป แต่อุตสาหกรรมอาหารยังคงมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการสนับสนุนให้เกิดเมืองนวัตกรรมอาหารขึ้นตามภูมิภาคอื่นๆ เพราะอุตสาหกรรมอาหารกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการอาหารและผู้สนใจสามารถเข้าถึงนวัตกรรมได้ง่ายขึ้น”
รศ.ดร.สุตเขตต์ นาคะเสถียร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและสร้างสรรค์ ประธานในพิธีเปิดเมืองนวัตกรรมอาหารส่วนขยาย ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมภาคเกษตรและอาหารช่วยหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจของประเทศมายาวนาน จากสภาวะการแข่งขันของตลาดโลกในปัจจุบัน แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคจะตอบรับสินค้านวัตกรรมมากกว่าสินค้าในรูปแบบเดิม ไม่เว้นแม้แต่สินค้าและผลิตภัณฑ์ภาคเกษตรและอาหาร ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัวและพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การเปิดตัวเมืองนวัตกรรมอาหารส่วนขยาย ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในวันนี้ จึงเป็นก้าวที่สำคัญ โดยผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหน่วยงานพันธมิตร จะให้บริการช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งในด้านการให้บริการเครื่องมืออุปกรณ์สำหรับการวิเคราะห์ทดสอบและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร พื้นที่ทดลองการผลิต โรงงานต้นแบบแปรรูปอาหารกึ่งอุตสาหกรรม พื้นที่สำหรับภาคเอกชนเพื่อการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงองค์ความรู้ ผลงานวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตรและอาหารของคณาจารย์ นักวิจัย ตลอดจนทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะในการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์และเครื่องจักร จะถูกถ่ายทอดและต่อยอดให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ในรูปแบบของ ศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop service) ซึ่งนับว่าเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
รศ. ดร. อนุวัตร แจ้งชัด คณบดีคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะหัวหน้าโครงการเมืองนวัตกรรมอาหารส่วนขยาย ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (FoodInnopolis @ Kasetsart) กล่าวว่า ที่ผ่านได้จัดกิจกรรมฝึกอบรมให้ความรู้และเทคนิคเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านต่างๆ แก่ผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง โดยพันธกิจหลักคือการให้บริการอย่างครบวงจรแบบเบ็ดเสร็จ (One-StopService) และสร้างระบบนิเวศวิจัยและพัฒนาเพื่อส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการนวัตกรรมอาหารที่มีความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งพัฒนากำลังคนและการให้บริการภาคเอกชนที่มีศักยภาพ โดยการให้บริการของเมืองนวัตกรรมอาหารส่วนขยาย ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะเน้นในด้านเทคโนโลยีกระบวนการแปรรูปอาหารแบบใหม่ ส่วนผสมอาหารเชิงฟังก์ชันและอาหารฟังก์ชัน และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารอย่างยั่งยืน
โดยใช้ทรัพยากรพื้นฐานของมหาวิทยาลัยฯ และการบูรณาการความร่วมมือจากนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของมหาวิทยาลัยฯ เครือข่ายเมืองนวัตกรรมอาหารในประเทศและนานาชาติ นอกจากนี้ยังให้บริการวิเคราะห์ทดสอบอาหารและความปลอดภัยอาหารด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและเครื่องมือที่ทันสมัย พร้อมกับส่งเสริมความเข้มแข็งทางด้านธุรกิจ แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การวิเคราะห์ตลาด การเชื่อมโยงกับแหล่งทุน การให้คำปรึกษาด้านสิทธิบัตรและการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหาร เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์
นาโนเทค สวทช. ตอบโจทย์ BCG ส่ง ‘นวัตกรรมปุ๋ยคีเลต’ ลงสวนทุเรียน จังหวัดระยอง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) นำโดย ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการนาโนเทค พร้อมด้วย ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง นักวิจัยเจ้าของงานวิจัย “สารคีเลตจุลธาตุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่พืช” พร้อมนายวัชรินทร์ อินทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทค ซายน์ จำกัด เอกชนผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี พาคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ ณ สวนแพสุขชื่น จังหวัดระยอง เพื่อดูผลการใช้ “ปุ๋ยคีเลต” ผลิตภัณฑ์ที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีในทุเรียน พืชเศรษฐกิจสำคัญของระยอง ตอบนโยบาย BCG ด้านเกษตรและอาหาร
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า นาโนเทคมีพันธกิจหลักในการดำเนินการวิจัยและพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีสู่ความเป็นเลิศ ซึ่งเราได้ให้ความสำคัญในการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ผลงานวิจัยที่มีศักยภาพไปสู่กลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงพาณิชย์และสังคม สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา จะเป็นการขยับต่อยอดสู่นวัตกรรมที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ของประเทศสู่ความยั่งยืน ใน 3 ด้านที่นาโนเทคเกี่ยวข้อง ได้แก่ เกษตรและอาหาร การแพทย์และสุขภาพ วัสดุและพลังงาน
“โมเดลเศรษฐกิจใหม่อย่าง BCG จะช่วยต่อยอดจุดแข็งของประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยอาศัยกลไกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพิ่มมูลค่าผลผลิตต่างๆ ช่วยให้เกษตรกร ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ เป็นการใช้ วทน. เพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต โดยใช้ปริมาณปุ๋ยน้อย ใช้ต้นทุนที่ถูกลง ทำให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น ดังเช่นงานวิจัยสารคีเลตจุลธาตุอาหาร ที่มีภาคเอกชนรับถ่ายทอดเทคโนโลยี และต่อยอดสู่ปุ๋ยคีเลตที่ส่งตรงถึงผู้ใช้ และตอบความต้องการของเกษตรกร โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจอย่างทุเรียน” ดร.วรรณีกล่าว
ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยคีเลต เป็นการต่อยอดงานวิจัย “สารคีเลตจุลธาตุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่พืช” ซึ่ง ดร.คมสันต์ สุทธิสินทอง ทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. เจ้าของผลงานอธิบายว่า เกษตรกรจำเป็นต้องเติมจุลธาตุอาหารให้พืชมีความสมบูรณ์ แต่มักมีปัญหาการสูญเสียและไม่ค่อยได้ประสิทธิภาพ เนื่องจากธาตุอาหารกลุ่มนี้จะตกตะกอนได้ง่าย ทำให้พืชไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ทีมวิจัยจึงพัฒนา “สารคีเลตจุลธาตุอาหาร” ที่เตรียมจากกรดอะมิโนซึ่งเป็นหน่วยย่อยขององค์ประกอบประเภทโปรตีนของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ผ่านกระบวนการห่อหุ้มจุลธาตุอาหารในรูปแบบสารเชิงซ้อน ให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ดี พร้อมพัฒนาให้สามารถห่อหุ้มจุลธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถในการยึดเกาะใบด้วยโมเลกุลขนาดใหญ่สลายตัวได้ตามธรรมชาติ จึงสามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรต่อไร่ได้ 20% ลดการใช้ปุ๋ยลง 50%
“ปุ๋ยคีเลตจุลธาตุอาหารพืชที่พัฒนาโดยทีมวิจัยนาโนเทคซึ่งมีองค์ประกอบเป็นสารอินทรีย์นี้ เหมาะสำหรับพืชไร้ดินและพืชทั่วไป (ฉีดพ่นทางใบ) ช่วยแก้ปัญหาการตกตะกอน และการสูญเสียธาตุอาหารเสริมทางดิน โดยเมื่อฉีดพ่นสารคีเลตซึ่งมีคุณสมบัติช่วยพาธาตุอาหารเข้าสู่พืชได้ง่ายขึ้นแล้ว พืชจะสามารถนำธาตุอาหารไปใช้ประโยชน์ได้เร็วขึ้น เพิ่มอัตราการเจริญเติบโตของพืช, เพิ่มการดูดซึมธาตุอาหารทางปากใบ, เพิ่มกรดอะมิโนให้แก่พืช นอกจากนี้ ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดอันตรายจากการใช้สารสังเคราะห์ และลดค่าใช้จ่ายของปุ๋ยเคมีที่เกินความจำเป็น” ดร.คมสันต์กล่าว
นายวัชรินทร์ อินทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทค ซายน์ จำกัด เอกชนที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้แบรนด์ “นาโนส” กล่าวว่า เนื่องจากในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์ปุ๋ยรอง-เสริม ประเภทเหลวอยู่มากมาย แต่ไม่ได้มีความแตกต่างหรือมีจุดเด่นที่จะทำให้บริษัทฯ สามารถนำไปทำตลาดได้ บริษัทฯ จึงต้องการสินค้าที่มีจุดเด่นหรือมีนวัตกรรม และต้องไม่เหมือนใคร ซึ่งผลิตภัณฑ์ปุ๋ยคีเลตจุลธาตุอาหารตอบโจทย์ในด้านนวัตกรรมใหม่ ซึ่งใช้เทคโนโลยีการห่อหุ้มระดับโมเลกุล รวมถึงความปลอดภัยมากขึ้นต่อตัวผู้ใช้ และสิ่งแวดล้อม เนื่องจากองค์ประกอบที่เลือกใช้มีจากธรรมชาติ มีกรดอะมิโนที่จะเสริมความแข็งแรงให้กับพืช และใช้ในปริมาณที่น้อยกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ พร้อมทั้งสามารถผลิตให้มีหลากหลายของสูตร ทำให้ทำการตลาดและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น
“กลุ่มเป้าหมายสำคัญคือ เกษตรกรทั้งรุ่นใหม่ หรือรุ่นเดิมในประเทศไทย และประเทศกลุ่ม CLMV ที่ต้องการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ เน้นสวนผลไม้เศรษฐกิจในภาคตะวันออก ภาคใต้และภาคเหนือ ได้แก่ ทุเรียน และส้ม เพื่อทำการตลาดให้แบรนด์มีความแข็งแรง จากนั้นจึงขยายตลาดไปสู่พืชประเภทอื่นๆ” นายวัชรินทร์กล่าว พร้อมชี้ว่า การตอบรับดีมาก เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด รวมถึงบริษัทมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว การนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไปนำเสนอจึงทำได้โดยง่าย ที่สำคัญคือ มุ่งเน้นการตลาดผสานกับการให้ความรู้กับเกษตรกรเจ้าของสวนอีกด้วย
แม้จะอยู่ในช่วงโควิด-19 กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทค ซายน์ จำกัด เผยว่า ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปี 2564 หลังจากพ้นช่วงโควิด-19 ไปแล้ว คาดว่า ยอดขายน่าจะโตได้ถึง 5 ล้านบาทต่อปี สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ และตั้งเป้าเพิ่มขึ้นเป็น 8-10 ล้านบาทในปี 2565 จากการขยายตลาดไปสู่พืชกลุ่มข้าว ลำไย และมันสำปะหลัง ซึ่งล้วนแต่เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ รวมถึงการเปิดตลาดประเทศในกลุ่ม CLMV ได้ ก็จะทำให้ยอดขายโตได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอนาคต บริษัทฯ อาจจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีปุ๋ยธาตุหลัก ร่วมกับปุ๋ยคีเลตจุลธาตุอาหาร เพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งานของเกษตรกรมากขึ้น
นายสมศักดิ์ แพสุขชื่น เจ้าของสวนทุเรียน “แพสุขชื่น” เกษตรกรผู้ใช้นวัตกรรมปุ๋ยคีเลต กล่าวว่า ตนเองมีสวนทุเรียนกระจายอยู่ใน 3 พื้นที่ ซึ่งหนึ่งในนั้น มีปัญหาน้ำกร่อย ทำให้ต้นทุเรียนไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร แม้จะลองใช้ปุ๋ย ธาตุอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมทุกอย่างที่มี ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จนกระทั่งเจอผลิตภัณฑ์ปุ๋ยคีเลตนี้ ก็ตัดสินใจลอง
“จากการทดลองใช้ เราเห็นความแตกต่างได้ในระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งต้นทุเรียนมีการเติบโตที่ดีขึ้น ใบสีเขียวสด เป็นพุ่มสวย จึงเริ่มขยายมาสู่สวนอีก 2 แห่ง ที่กำลังจะเริ่มติดลูก โดยทั้ง 2 แห่งนี้ ไม่ได้มีปัญหาใด แต่เมื่อใช้ปุ๋ยคีเลตเป็นจุลธาตุอาหารเพียงอย่างเดียว ก็พบว่า ทุเรียนให้ผลผลิตที่มากขึ้น ผลมีขนาดใหญ่ ทำให้เราสามารถทำตลาดระดับสูงหรือตลาดส่งออกได้ ที่สำคัญ ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านปุ๋ยและอาหารเสริมได้ราว 30%” เจ้าของสวนแพสุขชื่นกล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เสิร์ฟบุฟเฟต์ความรู้ จาก ‘นักวิทย์รุ่นใหม่’ สู่น้องวัยทีน
เมื่อเร็วๆ นี้ โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย ร่วมกับโครงการ Global Young Scientists Summit โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดกิจกรรมออนไลน์พูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ในกิจกรรมเยาวชน "Fun Science Buffet: Talk with outstanding young scientists" สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ซึ่งมีเยาวชนและผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมทาง Zoom Webinar กว่า 290 คน เพื่อรับฟังความรู้จากวิทยากรที่มีประสบการณ์มากความสามารถในแต่ละด้าน มาให้ความรู้ตามความสนใจของเยาวชนอย่างเป็นกันเอง โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้งานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2564 หรือ NAC2021 เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวเด็กๆ ได้อิ่มกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่หลากหลายเหมือนทานบุฟเฟต์ที่มีให้เลือกมากมาย โดยเชิญผู้แทนนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโครงการ Global Young Scientists Summit จำนวน 7 คน มาบรรยายในงานNAC2021 ประกอบด้วยหัวข้อการบรรยายที่น่าสนใจ ได้แก่ กำเนิดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และมหันตภัยคุกคามชาวโลก จาก ดร.ภคพฤฒ คุ้มวัน นักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. พี่อยากบอกกินอย่างไรให้สุขภาพดี จาก ดร. สิรภัทร แต่สุวรรณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจาะลึกการทำงานสมอง & อารมณ์และความรู้: มหัศจรรย์ความเชื่อมโยง จาก ดร. นายแพทย์นิธิ อัศวภาณุมาศ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ทำไมบริษัทระดับโลกต้องลงมาเล่นเลโก้มากขึ้น หรือการเรียนรู้จากเกมจะเป็นกระแสใหม่ในโลก จาก ดร.ขจรวุฒิ อุ่นใจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)
นอกจากนั้นแล้วยังมีหัวข้อ คณิตพิชิตจักรวาล จาก ดร. ศุภณัฐ ชัยดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Alien: where to find them? : ตามหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก จาก ดร. เพชระ ภัทรกิจวานิช มหาวิทยาลัยมหิดล และ สนุกกับนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล จาก ดร. ศุภชัย อาวิพันธุ์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ซึ่งตลอดกิจกรรมน้องๆ เยาวชนได้ส่งคำถามเข้ามาแลกเปลี่ยนกับรุ่นพี่นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่และนักวิจัยกันอย่างเต็มที่
@วัยทีน รู้ทันป้องกันโควิด-19
เริ่มจากความรู้ใกล้ตัวที่สุดของมวลมนุษยชาติในตอนนี้ คือสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นปีเศษๆ ทั่วทั้งโลกให้ความสนใจศึกษาและป้องกันตัวเองจากโรคดังกล่าว ซึ่งนักวิจัยและวิชาการของไทยก็มีความรู้เรื่องนี้ไม่แพ้ชาติอื่นๆ เช่นกัน โดยความรู้ในเรื่องโควิด-19 ครั้งนี้ น้องเยาวชนให้ความสนใจและได้รับจาก ดร.ภคพฤฒ คุ้มวัน หรือ พี่เป้ นักวิจัยจากศูนย์ไบโอเทค สวทช. มาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับโควิด 19 โดยทำความเข้าใจง่ายๆ ทำให้รู้การดำรงของไวรัสโคโรนา ที่เปรียบเทียบง่ายๆ กับการทำอาหารพวกพิซซ่าว่าจะเลือกเมนูหน้าอะไร ก็เหมือนกับที่ไวรัสจะมีสารพันธุกรรมอาร์เอ็นเอคอยสั่งการว่าให้สร้างโปรตีนแบบใด และกลไกไวรัสตัวร้ายไปทำลายปอดเสียหาย ทั้งนี้การเรียนรู้จากสถานการณ์ดังกล่าวควรนำไปสู่การปฏิบัติจริงที่เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะเป็น การเฝ้าระวัง การป้องกันตนเองและสังคมไม่ให้ติดโรค
@ฉลาดเลือก-กินเพื่อสุขภาพแข็งแรง
เมื่อรู้ถึงการป้องกันตัวเองกับโรคระบาดแล้ว สิ่งที่ต้องทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน คือ การเลือกกินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดย ดร.สิรภัทร แต่สุวรรณ หรือ พี่เฟย์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความรู้เรื่องการกินอย่างไรให้แข็งแรง เช่น เคล็ดลับการเปลี่ยนสัดส่วนและวัตถุดิบของอาหาร เพิ่มสัดส่วนของผักในเมนูอาหารให้มากขึ้นกว่าเดิม เลือกใส่ผลไม้ในตู้เย็นแทนขนมอื่นๆ ขนมปังเลือกขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขัดสี เลือกโปรตีนที่หลากหลาย เช่น ไก่ หมู อาหารทะเลสลับกันไปในแต่ละสัปดาห์ และเลือกเนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อสด แทนเนื้อแปรรูปเพราะจะมีโซเดียมมากกว่าปกติ ทำให้น้องๆ สบายใจในการกินมากขึ้น อีกทั้งยังมีความรู้ที่จะเลือกบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพโดยต้องหมั่นออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย
@เข้าใจสมอง เพื่อดูแลตนเองได้ดีขึ้น
กินอาหารเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว มาทำความรู้จักกับกลไกของสมองมนุษย์ เรื่อง เมนูการสำรวจการทำงานของอวัยวะที่สำคัญมากคือ “สมอง” โดย ดร.นายแพทย์นิธิ อัศวภาณุมาศ จาก สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ หรือ พี่ต้น จากมหาวิทยาลัยมหิดล ที่มาฉายภาพให้เห็นกลไกการทำงานของสมอง ที่สั่งการสัมพันธ์กับ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส ซึ่งสมองแปรผลผ่านการรับรู้ทั้ง 5 ส่วน ทำให้เราเห็นแผนที่แต่ละส่วนในการทำงานของสมองที่แตกต่างกัน เช่น การกินขนมปังโฮลวีทร้านหนึ่งแล้วเกิดความรู้สึกที่ไม่อร่อย ก็จะรู้จำส่วนที่ลิ้นสัมผัสแล้วรู้สึกไม่อร่อย ซึ่งเป็นหน้าที่การทำงานของสมองในภาพรวม ซึ่งสมองมีหน้าที่สื่อสารส่งสัญญาณคุยกันระหว่างเซลล์ที่เรียกว่า ไซแนปส์ (Synapse) ความเข้าใจเกี่ยวกับความจำและการประมวลผลต่างๆ ของสมองที่จะทำให้เราเข้าใจการทำงานและการตอบสนองของสมอง ซึ่งจะช่วยให้เราดูแลตนเองได้ดีขึ้นด้วย
@ Serious play ส่งต่อความรู้ สู่การทำงาน
เกมถือเป็นเทรนด์สมัยใหม่ที่รวมการเล่น กับ ทำงานได้อย่างกลมกลืน ที่เรียกว่า Serious play โดย ดร.ขจรวุฒิ อุ่นใจ หรือ พี่โอ๋ จาก มจธ. ที่เล่าให้ฟังแนวคิดพลิกบรรยากาศจากการทำงานและการประชุมระดมสมองแสนน่าเบื่อ มาเป็นช่วยกันคิดแก้ปัญหาอย่างสนุกและสร้างสรรค์ อย่างเช่นบริษัทเลโก้ ให้พัฒนาจากการงานทำของเล่นขยายมาเป็นสื่อและเครื่องมือในการทำงานและแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพได้
@สนุกวิทย์ฯ-คณิตฯ และดาราศาสตร์
จากเรื่องร่างกายและการพัฒนาการเรียนรู้แล้ว ไปสู่ศาสตร์น่าสนใจต่างๆ เรื่อง คณิตพิชิตจักรวาล โดย ดร.ศุภณัฐ ชัยดี หรือ พี่ณัฐ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ทำให้รู้สึกว่า คณิตศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา การสื่อสารเรื่องจำนวนและปริมาณ วิถีชีวิต ประเพณี สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือการระบาดโควิด 19 ที่นำคณิตศาสตร์มาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์และคาดการณ์สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตได้แม่นยำมากขึ้น
จากเมนูอาหารสมอง มาที่เรื่องชวนตื่นเต้นกับการสำรวจเอเลี่ยน ตามหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกกันแบบนักวิทยาศาสตร์ โดย ดร.เพชระ ภัทรกิจวานิช หรือ พี่เพชร จากมหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีเทคนิคการตามหาอย่างเป็นขั้นตอน เช่น น้ำเป็นปัจจัยสำคัญของสิ่งมีชีวิต ให้ดูว่าดาวดวงไหนที่มีระยะทางที่เหมาะสมที่มีน้ำอยู่ในสภาพของเหลวที่ผิวดาวได้ หรือการเช็กเรื่องสัญญาณหรือหลักฐานบางอย่างที่อาจมีสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนั้น เช่น มีออกซิเจน มีคลอโรฟิลด์และการสังเกตว่า มีสิ่งก่อสร้างหรือสัญญาณใดๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจเป็นมนุษย์ต่างดาวจากที่อื่น เป็นต้น
ปิดท้ายบุฟเฟต์ความรู้ โดย ดร.ศุภชัย อาวิพันธุ์ หรือ พี่ฟลุ๊ค จากสถาบันดาราศาสตร์ ที่นำเกมสนุกๆ ที่ให้น้องๆ ได้เห็นรู้จักกับนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงต่างๆ ที่ทำให้เห็น อัจฉริยะบุคคลของโลก ที่สร้างสรรค์และคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์พื้นฐานยุคเก่า อย่างนิวตัน แมรีคูรี ไอนสไตน์ มาจนยุคปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกิดประโยชน์กับสังคมและเศรษฐกิจ เช่น พลังงานทางเลือก โซลาร์เซลล์ อินเทอร์เนต เป็นต้น
ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวทิ้งท้ายว่า กิจกรรมนี้ทาง สวทช. ต้องขอขอบคุณพี่ๆ วิทยากรนักวิทย์รุ่นใหม่ ที่เสียสละนำองค์ความรู้มาถ่ายทอดให้กับน้องๆ เยาวชนแบบจัดหนักจัดเต็มตามชื่อธีม Fun Science Buffet ทำให้น้องๆ เยาวชน ได้รับความรู้หลากหลายเสมือนกับการรับประทานบุฟเฟต์ความรู้ ทั้งเรื่องโควิด-19 การรู้จักการทำงานสมอง รวมไปถึงศาสตร์ต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ ซึ่งการส่งต่อความรู้แบบนี้จะมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้จากพี่สู่น้องในโอกาสต่อไป สำหรับน้องๆ ที่สนใจสามารถชมคลิปการบรรยายและกิจกรรมย้อนหลังได้ที่ http://nstdachannel.tv/20210330-fun-science-buffet/
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไบโอเทคและพันธมิตรต่างชาติได้รับทุนวิจัยกว่า 51 ล้านบาท
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เข้าร่วมโครงการ Joining forces to exploit the mycobiota of Asia, Africa and Europe for beneficial metabolites and potential biocontrol agents, using -OMICS techniques หรือ MYCOBIOMICS ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือกับสถาบันวิจัยชั้นนำต่าง ๆ จากยุโรปและแอฟริกา 8 แห่งจาก 7 ประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก The European Commission ภายใต้กรอบความร่วมมือ Horizon 2020-MSCA-RISE เป็นจำนวน 1,375,400 ยูโร หรือกว่า 51 ล้านบาท
ดร. เจนนิเฟอร์ เหลืองสะอาด หัวหน้าทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า โครงการ MYCOBIOMICS เป็นโครงการที่นำโดย Prof. Marc Stadler จากสถาบัน Helmholtz Center for Infection Research (HZI) ประเทศเยอรมนี โดยมีเป้าหมายหลักในการนำองค์ความรู้ด้านเห็ดราวิทยา (mycology) ทั้งในเชิงพื้นฐาน (basic research) และเชิงประยุกต์ (applied research) มาค้นหาสารเมแทบอไลต์ทุติยภูมิ (secondary metabolite) ที่มีประโยชน์เพื่อพัฒนาเป็นยาปฏิชีวนะใช้ในทางการแพทย์ และสารชีวภัณฑ์ในการควบคุมโรคพืชโดยชีววิธีการเกษตร ผ่านกิจกรรมการร่วมวิจัย การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการแลกเปลี่ยนบุคลากร โดยโครงการนี้เป็นโครงการต่อยอดจากโครงการ “Golden mycological triangle-joining forces to exploit mycological biodiversity for novel anti-infectives and other beneficial metabolites (GoMyTri) ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยภายใต้กรอบความร่วมมือเดียวกันเมื่อปี 2557
ที่ผ่านมาโครงการ GoMyTri ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยชั้นแนวหน้าจากประเทศเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และประเทศไทย ผ่านผลงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติจำนวนหลายฉบับ อีกทั้งโครงการนี้ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ที่สำคัญระหว่างนักวิจัยรุ่นใหม่ จากความสำเร็จดังกล่าว แต่สำหรับในโครงการ MYCOBIOMICS นี้จะมีการขยายความร่วมมือไปยังสถาบันวิจัยอื่นๆ อีกรวม 8 สถาบัน จาก 7 ประเทศ ได้แก่ ไบโอเทค สวทช. จากไทย Helmholtz Center for Infection Research (HZI) จากเยอรมนี Institute of Microbiology, Czech Academy of Sciences (CAS) จากสาธารณรัฐเช็ก Westerdijk Fungal Biodiversity Institute จากเนเธอร์แลนด์ Egerton University จากเคนยา Forestry and Agricultural Biotechnology Institute (FABI) จากแอฟริกาใต้ AIT Austrian Institute of Technology และ University of Natural Resources and Life Sciences (BOKU) จากออสเตรีย
ดร. เจนนิเฟอร์ กล่าวต่อไปว่า โครงการ MYCOBIOMICS นี้มีระยะเวลาการดำเนินการวิจัยรวมทั้งสิ้นเป็นเวลา 4 ปี โดยมุ่งเน้นการนำวิทยาการด้านโอมิกส์มาใช้ในการศึกษานิเวศวิทยา และความหลากหลายของเชื้อรา รวมถึงการนำเชื้อราไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นผู้ผลิตสารต้านจุลินทรีย์ก่อโรคชนิดใหม่ ๆ นอกจากนี้โครงการยังมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเชื้อราในสกุล Fusarium และ Trichoderma ซึ่งมีความสำคัญในด้านการเกษตรอีกด้วย ในท้ายที่สุดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ถูกส่งต่อและแลกเปลี่ยนระหว่างสถาบันวิจัยตลอดทั้งโครงการจะเป็นช่องทางให้นักวิจัยได้ค้นคว้าและศึกษาหาหนทางเพื่อต่อสู้กับจุลินทรีย์ก่อโรค ที่ส่งผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพและการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมลงนาม “ภาคีความร่วมมืออวกาศไทย” กับหน่วยงานภายใต้ อว. พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอวกาศไทย
(5 เมษายน 2564) ห้องกมลทิพย์ โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเป็น 1 ใน 12 หน่วยงานที่เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนานวัตกรรม เกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศไทย โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นประธานในพิธีและร่วมเป็นสักขีพยาน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร รวมถึงยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงในประเทศ สู่การสร้าง“ดาวเทียมวิจัยวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทย”
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า เทคโนโลยีอวกาศโดยเฉพาะดาวเทียม เป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์กันมายาวนาน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เช่น ด้านการติดต่อสื่อสาร หรือการถ่ายทอดสดต่าง ๆ ซึ่งในอนาคตอันใกล้ยังมีเรื่องของ internet of things ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนจากเทคโนโลยีเสาสัญญาณ มาเป็นการส่งสัญญาณจากดาวเทียมที่กว้างไกลและครอบคลุมกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ซื้อจากต่างประเทศ และมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ดังนั้นประเทศไทยควรจะต้องพึ่งพาตนเองได้ในเรื่องเทคโนโลยีอวกาศอย่างยั่งยืน ซึ่งเทคโนโลยีอวกาศ เช่น ดาวเทียมที่เป็น earth observation หรือยานอวกาศที่จะส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์ ล้วนเป็นเรื่องที่มีความยาก ท้าทาย และผิดพลาดไม่ได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และความร่วมมือจากหลายฝ่าย ที่จะนำองค์ความรู้ ความสามารถและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่มาร่วมกันทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นความร่วมมือกันที่ช่วยพัฒนากำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศน์สำหรับพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอวกาศของประเทศให้เกิดขึ้นและยืนหยัดต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานเลขานุการภาคี ความร่วมมืออวกาศไทย กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกรรุ่นใหม่ ได้ร่วมกันสร้างและพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็กโดยใช้องค์ความรู้ภายในประเทศ เรียนรู้ ลงมือทำโดยตรง ทดสอบและควบคุมการใช้งานโดยฝีมือคนไทย รวมถึงออกแบบ และสร้างอุปกรณ์ Payload เพื่อใช้งานด้านต่าง ๆ เช่น กล้องถ่ายภาพที่มีความสามารถในการถ่ายภาพในหลายความยาวคลื่น ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับด้านการเกษตร การใช้พื้นที่ของประชากร และบรรยากาศได้ ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว เป็นโจทย์ที่ท้าทายการยกระดับองค์ความรู้ของประเทศที่สำคัญ โดยทั้ง 12 หน่วยงานที่ร่วมลงนาม จะมีบทบาทสนับสนุนการทำงานของภาคีฯ ภายใต้กรอบการดำเนินงาน 5 ด้าน ได้แก่ 1.งานวิศวกรรม 2.งานแอปพลิเคชั่น 3.งานวิจัยและพัฒนา 4.งานสนับสนุนการศึกษา และ 5.งานสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม โดยใช้โครงสร้างพื้นฐาน ห้องปฏิบัติการ ความเชี่ยวชาญ และกำลังคนที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่
สวทช. ซึ่งเป็น 1 ใน 12 หน่วยงานที่ร่วมลงนามโดย ดร.กมล เอื้อชินกุล นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ทั้งนี้ สวทช. มีศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ที่มีความสามารถในการพัฒนาส่วนประกอบของระบบย่อยต่าง ๆ ที่จะนำไปใช้ในดาวเทียม หรือยานอวกาศได้ โดย สวทช. ได้พัฒนาอุปกรณ์ต้นแบบ ระบบตรวจวัดอนุภาคพลังงานสูงจากรังสีคอสมิก ซึ่งเป็นอนุภาคพลังงานสูงที่มีแหล่งกำเนิดมาจากนอกโลก เช่น ดวงอาทิตย์ การระเบิดของชูเปอร์โนวา และหลุมดำ ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการรบกวนการสื่อสารทางดาวเทียม โดยอุปกรณ์ระบบตรวจวัดอนุภาคฯ ดังกล่าวจะถูกติดตั้งในดาวเทียม เพื่อวัดอนุภาคต่าง ๆ ซึ่งภายในระบบวัดจะมีเซนเซอร์ที่เป็น Silicon Radiation Detector เข้าไปประกอบเพื่อหาตำแหน่งของอนุภาคและระบุพลังงานที่ตรวจวัดว่าเป็นพลังงานชนิดใด ซึ่งจะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาสัญญาณล่ม หรือการถูกรบกวนทางสัญญาณได้
สำหรับ 12 หน่วยงานที่ร่วมลงนาม ได้แก่
1.สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)
2. สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
3. สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)
4. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
5. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
6. สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
7. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
8. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
9. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
10. มหาวิทยาลัยมหิดล
11. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
12. สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จับมือพันธมิตรร่วมทุน “บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด”ต่อยอดงานวิจัยการแพทย์ขั้นสูงเพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่เกี่ยวกับเลือดด้วยเทคโนโลยีเซลล์และยีนบำบัด เป็นรายแรกของประเทศไทย
For English-version news, please visit : NSTDA makes a joint investment in an immunotherapy startup
5 เมษายน 2564 โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กลุ่มพันธมิตรนักลงทุนและนักวิจัยจัดงานแถลงข่าว การร่วมลงทุนใน บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัดในการรักษาผู้ป่วย โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Chimeric antigen receptor(CAR) T-cell ที่ได้มีการยื่นจดสิทธิบัตรแล้ว
เพื่อนำไปใช้รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวต่อไปในอนาคตและเป็นรายแรกของประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจากนายอนุทิน ชาญวีระกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวแสดงความยินดีผ่านวิดีทัศน์ พร้อมกันนี้ภายในงานยังมีการเสวนาพิเศษ ให้ความรู้หัวข้อ “บทบาทของโรงเรียนแพทย์ กับการพัฒนานวัตกรรมเซลล์และยีนบำบัด สำหรับรักษาโรคมะเร็ง”
ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า สวทช. เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ผลงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่การสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ผ่านกลไกการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อยกระดับผู้ประกอบการและนักลงทุน ร่วมกับเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อเชื่อมโยงให้ภาคเอกชนเข้าถึงผลงานวิจัยที่พร้อมต่อยอดเป็นธุรกิจเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ การร่วมลงทุนก็เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศ โดยที่ผ่านมา สวทช. ผลักดันและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีผ่านการร่วมจัดตั้งธุรกิจเทคโนโลยี และการร่วมลงทุนในบริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด ในครั้งนี้ถือว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญในการนำผลงานวิจัยและพัฒนามาใช้ประโยชน์ พร้อมส่งเสริมการพัฒนากำลังคนด้านการแพทย์ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาโดยใช้จุดแข็งของประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาประเทศตามแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
“การร่วมทุนจัดตั้งบริษัทฯ เป็นผลมาจากการที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โดย ศ.นพ. สุรเดช หงส์อิง และคณะ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาและกุมารเวช ได้ศึกษาค้นคว้าการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องการความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคธาลัสสิเมีย โดยได้ขอรับทุนวิจัยจากหลายแหล่งทุน เช่น สวทช. และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) เป็นต้น เพื่อทำการศึกษาค้นคว้าต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดผลสำเร็จในการคิดค้นการรักษาด้วยเซลล์และยีนบำบัดในผู้ป่วยธาลัสซีเมียและมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งจากความสำเร็จในการศึกษาค้นคว้านี้ จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง สวทช. กลุ่มนักวิจัยและนักลงทุน เพื่อนำผลงานวิจัยไปขยายผลเชิงพาณิชย์”
รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า การร่วมทุนของ สวทช. ในครั้งนี้มีจุดประสงค์ให้เกิดการนำผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยในอันดับแรกจะผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัด (CAR T-cell) สำหรับการรักษาโรคมะเร็งที่เกี่ยวกับเลือดเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย ซึ่งการตั้งบริษัทเพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัดนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีใหม่นี้มาใช้อย่างแพร่หลายในประเทศ ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียในการรักษาด้วยเซลล์และยีนบำบัด
นายสมโภชน์ อาหุนัย ในฐานะนักลงทุนในบริษัท เจเนพูติก ไบโอ กล่าวว่า การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ เป็นสิ่งที่สำคัญและมีความหมายอย่างยิ่งต่อประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ที่เราต้องเผชิญกับโรคภัยที่มีความรุนแรง และยากที่จะรับมือขึ้นเรื่อยๆ มีการพัฒนาศาสตร์ต่างๆ มาใช้บำบัดรักษาโรคร้ายต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง โรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์จำนวนมาก แม้ว่าส่วนตัวจะอยู่ในสายธุรกิจด้านพลังงานสะอาดมาโดยตลอด แต่ก็มีความสนใจในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่างๆ ในหลากหลายด้าน เพราะนั่นคือเครื่องมือที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีทางการแพทย์ ก็เป็นอีกหนึ่งด้านที่ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และเชื่อมั่นว่า โครงการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีการแพทย์ จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพให้กับมนุษยชาติต่อไปในระยะยาวได้
“ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ในการเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยให้ก้าวหน้า เพิ่มขีดความสามารถและความพร้อมของฐานการผลิต รวมถึงการต่อยอดงานวิจัยจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเซลล์และยีนบำบัด ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งในการนำมาใช้บำบัดรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์ และนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการแพทย์ เพื่อผลักดันประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูง ทำให้การแพทย์เฉพาะบุคคลเป็นที่ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับ ช่วยเพิ่มโอกาสและทางเลือกการดูแลรักษาสุขภาพของคนไทยโดยคนไทยได้ต่อไปในอนาคต”
ด้าน นายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการตัดสินใจร่วมลงทุนในครั้งนี้ว่าบริษัทไทยฟู้ดส์ พิจารณาแล้วว่าจะช่วยส่งเสริมให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งที่มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากในปัจจุบันได้มากขึ้น และคนไทยทุกคนสามารถใช้ยาใหม่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาต่างประเทศ
“ปัจจุบันกลุ่มบริษัทไทยฟู้ดส์มีผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานการส่งออกในระดับสากล ในด้านคุณภาพและ ปลอดภัย กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ และยังคงเน้นการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น งานวิจัย Plant Base Meat และ Cell Meat ที่ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัยชั้นนำเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร เสริมสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้บริโภค”
ด้าน ดร.นเรศ ดำรงชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด กล่าวถึงที่มาของการร่วมทุนครั้งนี้ว่า ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความสามารถและความทุ่มเทของนักวิจัยไทยเป็นหลัก ประกอบด้วยการเข้ามาสนับสนุนของโรงเรียนแพทย์และสถาบันวิจัย ตลอดจนแหล่งทุนและหน่วยบริหารจัดการเทคโนโลยีของรัฐตั้งแต่ต้น และล่าสุดเพิ่งได้รับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ
“เจเนพูติก ไบโอ เพิ่งจะเริ่มก่อตั้ง เป็นไบโอเทค สตาร์ทอัพของไทย เราต้องการตอบโจทย์คนไข้โรคมะเร็งที่ใช้ยาทั่วไปไม่ได้ผลหรือโรคย้อนกลับมาใหม่ก่อน จากนั้นจึงรักษาโรคพันธุกรรมที่ไม่มีวิธีรักษาให้หายถาวร เซลล์และยีนบำบัดเป็นทางเลือกใหม่ของพวกเขา เราเน้นความร่วมมือกับโรงเรียนแพทย์และสถาบันวิจัยของไทยทุกแห่ง โดยจะเป็นผู้รับดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยในห้องทดลองสู่การผลิตที่ได้คุณภาพมาตรฐานสากล ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยในระดับคลินิก แล้วขึ้นทะเบียนกับ อย. เป็นยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นผลิตภัณฑ์การแพทย์เฉพาะบุคคล
เราคาดว่าจะสามารถเข้าสู่การทดลองในคนได้ในปีหน้า โดยจะใช้คนไข้ประมาณ 20 คน และผลิตภัณฑ์จะขึ้นทะเบียนเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยได้อย่างเป็นทางการในอีกราว 3-4 ปีจากนี้ ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ความสำเร็จของเราจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากการตัดสินใจร่วมทุนในวันนี้
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ผนึก บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนาขีดความสามารถ แล็บวิเคราะห์ทดสอบมาตรฐาน รองรับความต้องการของผู้ประกอบการภาครัฐ-เอกชน
(วันที่ 2 เมษายน 2564) ณ อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 (INC 2) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC: NSTDA Characterization and Testing Service Center) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการพัฒนาขีดความสามารถด้านการวิเคราะห์ทดสอบทางห้องปฏิบัติการ สำหรับรองรับงานวิจัยขั้นสูงและความต้องการของหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้สามารถเพิ่มศักยภาพการพัฒนางานวิจัยและงานวิเคราะห์ทดสอบของทั้งประเทศให้ครอบคลุมและทั่วถึงยิ่งขึ้น
ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้เป็นการร่วมกันทำงานของหน่วยงานพันธมิตรที่มีหน้าที่พันธกิจเกี่ยวกับการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ โดย สวทช. มีศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและส่งเสริมงานบริการวิเคราะห์ทดสอบ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ควบคุมระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยให้บริการวิเคราะห์ทดสอบสนับสนุนกลุ่มงานอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ สร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพ (National Quality Infrastructure) โดยเป็นผู้ให้บริการวิเคราะห์ทดสอบตามวิธีมาตรฐานสากล ทำให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการกำหนดมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า สนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาสินค้ามูลค่าสูงให้กับทั้งภาครัฐและเอกชน โดยให้บริการในรูปแบบ One Stop Service โดยทำงานร่วมกับเครือข่ายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หรือ TSEN ที่มีหน่วยงานอยู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยความร่วมมือกับ Central Lab Thai จะเป็นการสร้างเครือข่ายการวิเคราะห์ทดสอบที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ผลักดันให้เกิดพันธมิตรในการเป็น Testing Hub ในระดับ Asean
“ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) เป็นศูนย์เครื่องมือกลางของ สวทช. สนับสนุนงานวิจัยและให้บริการวิเคราะห์ทดสอบและพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ทดสอบด้วยเทคนิคต่าง ๆ ร่วมกัน (Share use) เป็น Testing Solution Provider เพื่อลดภาระการลงทุนซ้ำซ้อนของเครื่องมือ สวทช. และประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ในการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบตามวิธีมาตรฐานต่าง ๆ สนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้ามูลค่าสูง เพื่อเป็นศูนย์กลางการดำเนินงานในการพัฒนาและส่งเสริมงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งมีการควบคุมระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ISO/IEC17025”
NCTC ได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบด้านกัญชา กัญชง สารสกัดและผลิตภัณฑ์กัญชา กัญชง (Cannabis Analytical Testing Center) หรือ CATC ในการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบอย่างครบวงจรเกี่ยวกับกัญชา กัญชง สารสกัดและผลิตภัณฑ์กัญชา กัญชง ทั้งในเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณและตรวจสอบความปลอดภัย เช่น การหาปริมาณโลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ตัวทำละลายตกค้าง สารพิษจากเชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อน รวมถึงการหาปริมาณกลุ่มสารแคนนาบินอยด์ (Cannabinoids) ให้ได้ค่ามาตรฐาน ทำให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์และกำหนดราคาสินค้าได้ตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งดำเนินงานภายใต้ระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการ ISO/IEC17025 มาตรฐานสากล สนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาสินค้ามูลค่าสูงให้กับทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญที่ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล”
ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. กล่าวต่อว่า “NCTC และ Central Lab Thai เป็นหน่วยงานรัฐบาลและเป็นห้องปฏิบัติการที่มีศักยภาพการวิเคราะห์ทดสอบระดับประเทศ ซึ่งความร่วมมือในการทำงานร่วมกันในครั้งนี้นั้น จะเป็นการผนึกกำลังในการเพิ่มศักยภาพการพัฒนาด้านการวิเคราะห์ทดสอบของทั้งประเทศให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อการสนับสนุนการวิจัย การวิเคราะห์ทดสอบ และการบริการ ให้มีมาตรฐานสากลตามนโยบายรัฐบาล การทำงานอย่างบูรณาการร่วมกันทางด้านการวิเคราะห์ทดสอบ จะเป็นการเพิ่มความมั่นใจกับผลการวิเคราะห์ทดสอบ และทำให้วิธีการวิเคราะห์ทดสอบเป็นไปตามหลักมาตรฐานห้องปฏิบัติการ ช่วยสร้างเครือข่ายการวิเคราะห์ทดสอบให้ครอบคลุมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจและฐานความรู้ของประเทศต่อไป”
นายชาคริต เทียบเธียรรัตน์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย)ฯ เป็นหน่วยงานที่สามารถให้บริการด้านการตรวจวิเคราะห์มาตรฐานสินค้าให้กับกลุ่มผู้ส่งออก กลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจการเกษตร SMEs OTOP วิสาหกิจชุมชน เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลเต็มรูปแบบ โดยมีพันธกิจหลักในการสนับสนุนผู้ประกอบการส่งออก มีสาขาให้บริการครอบคลุมทุกภูมิภาค สาขาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East–west Economic Corridor) ได้แก่ (1) สาขาเชียงใหม่ ครอบคลุมการให้บริการภาคเหนือ เขตชายแดนเชียงแสน เชียงของ แม่สอด (2) สาขาขอนแก่น ครอบคลุมการให้บริการภาคตะวันออก จังหวัดขอนแก่น (จุดตัดเส้นทางผ่านลาว เวียดนามและจีน) (3) สาขาฉะเชิงเทรา ครอบคลุมการให้บริการภาคตะวันออก ท่าเรือ Eastern Seaboard (4) สาขากรุงเทพ ครอบคลุมการให้บริการภาคกลาง การส่งออกทางท่าเรือคลองเตย สนามบินสุวรรณภูมิ (5) สาขาสมุทรสาคร ครอบคลุมการให้บริการภาคตะวันตก ชุมชนซีฟูด ทวาย มะริด (6) สาขาสงขลา ครอบคลุมการให้บริการภาคใต้ รวมถึงสตูล ท่าเรือปากบารา ท่าเรือสงขลา ท่าเรือภูเก็ต สนามบินภูเก็ต
นับเป็นโอกาสที่ดี ที่ บริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย)ฯ ได้ลงนามความร่วมมือกับศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) เพื่อร่วมกันทำงานให้บริการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างรวมไปถึงการพัฒนาเทคนิคการวิเคราะห์ตัวอย่าง โดยเฉพาะการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างพวกกัญชากัญชง และสมุนไพรต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้หน่วยงานภาครัฐเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย ดังนั้นการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ จึงถือเป็นความร่วมมือเพื่อสร้างขีดความสามารถในการให้บริการแก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชน และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ร่วมพัฒนาหลักสูตรกับนักวิทยาศาสตร์ นำความเชี่ยวชาญตอบสนองความต้องการอุตสาหกรรมหลักของประเทศ
(31 มี.ค. 64) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ วิทยาเขตอีอีซี จ.ชลบุรี ดำเนินโครงการความร่วมมือส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จัดกิจกรรมปฐมนิเทศและแนะนำหลักสูตรโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom โดยได้รับเกียรติจาก คุณไพฑูรย์ จารุสาร ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม
กิจกรรมปฐมนิเทศและแนะนำหลักสูตรโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จัดขึ้นเพื่อชี้แจงภาพรวมโครงการฯ แนะนำการออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ โดยเน้นทักษะด้าน STEAM และแนะนำหลักสูตรที่พัฒนาโดย สวทช. อาทิ หลักสูตร “อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร” “อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่” “อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ” “อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ” นำโดย คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. และคณะนักวิชาการ กิจกรรมดังกล่าวมีครูโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เข้าร่วมจำนวน 200 คน จากโรงเรียนในพื้นที่ EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) รวม 79 โรงเรียน
คุณฤทัย จงสฤษดิ์
ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช.
ในช่วงท้ายรับฟังแนวคิด “การเชื่อมโยงหลักสูตรสถานศึกษาสู่ภาคอุตสาหกรรม” โดย พล.อ.อ.อภิสิทธิ์ จุลโมกข์ ผู้ช่วยอธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ วิทยาเขตอีอีซี
แผนงานต่อไป สวทช. จะดำเนินการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ EEC ในแต่ละหลักสูตรอุตสาหกรรม และนำไปขยายผลสู่การจัดทำรายวิชาเพิ่มเติมในโรงเรียนเพื่อประโยชน์ในการเรียนการสอนต่อไป.
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผลจะเป็นอย่างไร? ปลูกโหระพาในอวกาศเทียบกับบนพื้นโลกผลจะเป็นอย่างไร?
นักบินอวกาศญี่ปุ่นทดลองปลูกโหระพาในสถานีอวกาศนานาชาติครบ 30 วัน พร้อมส่งต้นโหระพากลับสู่พื้นโลก เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ผลการเจริญเติบโต และใช้เปรียบเทียบกับต้นโหระพาที่นักเรียนไทยปลูกบนพื้นโลก ภายใต้โครงการ Asian Herb in Space (AHiS) หวังสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กไทยสนใจวิทยาศาสตร์อวกาศ
[caption id="attachment_17430" align="aligncenter" width="1000"] ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]
เปิดเผยถึงความคืบหน้า โครงการ Asian Herb in Space (AHiS) ว่า โครงการ AHiS เกิดจากความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. กับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า เข้าร่วมการทดลองปลูกโหระพาบนพื้นโลก ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนได้ศึกษาและวิจัยการปลูกพืชบนอวกาศสำหรับใช้ในการดำรงชีวิตและต่อยอดการวิจัยสู่การปลูกพืชบนดาวเคราะห์ดวงอื่น เพื่อรองรับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นอกโลกในอนาคต ทั้งนี้ภายหลังจากการปิดรับสมัคร (เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564) มีนักเรียนสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนมากถึง 312 ทีม จาก 133 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยในแต่ละทีมจะมีสมาชิก 3 คน และอาจารย์ที่ปรึกษา 1 ท่าน
ดร.ณรงค์ กล่าวว่า ในส่วนของการทดลองปลูกโหระพาบนอวกาศ นายโซอิจิ โนกุจิ (Soichi Noguchi) นักบินอวกาศญี่ปุ่นของแจ็กซา ได้เริ่มทำการทดลองปลูกโหระพาในห้องทดลองคิโบะ (Kibo Module) บนสถานีอวกาศนานาชาติ ตั้งแต่วันแรก คือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จากนั้นจะให้น้ำทุกๆ 10 วัน จนสิ้นสุดการทดลองครบ 30 วัน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ภายหลังเสร็จภารกิจนักบินอวกาศญี่ปุ่นได้ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนการทดลองโครงการ Asian Herb in Space และได้ส่งต้นโหระพาที่ทดลองปลูกบนสถานีอวกาศกลับมายังพื้นโลก โดยเก็บในอุณหภูมิติดลบ 80 องศาเซลเซียส เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ผลการเจริญเติบโตต่อไป
[caption id="attachment_17382" align="aligncenter" width="1000"] นายโซอิจิ โนกุจิ (Soichi Noguchi) นักบินอวกาศญี่ปุ่นของแจ็กซา[/caption]
สำหรับโครงการ AHiS ได้เปิดโอกาสให้นักเรียนทดลองปลูกโหระพาบนพื้นโลก เป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อเปรียบเทียบกับการปลูกโหระพาบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยใช้เมล็ดพันธุ์ชนิดเดียวกัน และปลูกในสภาพแวดล้อมเดียวกัน แตกต่างกันในเรื่องของแรงโน้มถ่วงเพื่อเรียนรู้ว่า สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างไร และนำผลการทดลองที่ได้มาสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนในด้านสะเต็มศึกษา (STEM Education) สร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นการเรียนรู้ผ่านการทำโครงงานวิทยาศาสตร์อวกาศ โดยในโครงการ AHiS นี้ ยังมีความพิเศษคือในระหว่างที่นักบินอวกาศญี่ปุ่นทดลองปลูกโหระพาบนอวกาศ จะส่งภาพถ่ายและคลิปวิดีโอมาให้นักเรียนไทยได้ดูการเจริญเติบโตของต้นโหระพาอวกาศเป็นประจำทุกวันทางทวิตเตอร์ https://twitter.com/Astro_Soichi ซึ่งสร้างความใกล้ชิดและทำให้เด็กๆ ได้รับแรงบันดาลใจในอาชีพนักบินอวกาศ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในการทดลองไปพร้อมๆ กัน
“การเจริญเติบโตของโหระพาบนสถานีอวกาศนานาชาติสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพราะการงอกจากเมล็ดสู่การตั้งลำต้นและแตกใบเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม้จะอยู่ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำนอกโลก โดยภายหลังจากที่นักบินอวกาศญี่ปุ่นได้เริ่มเพาะเมล็ดโหระพาเพียง 3 วัน เราก็ได้เห็นภาพถ่ายจากการทดลองบนอวกาศที่แสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตของต้นโหระพาบนสถานีิอวกาศ ทั้งนี้หลังจากครบกำหนด 30 วัน นักบินอวกาศญี่ปุ่นได้นำต้นโหระพาออกมาจากกล่องปลูกเพื่อวัดขนาดของลำต้น ใบและราก เพื่อบันทึกผลการทดลอง อย่างไรก็ดีสาเหตุที่เลือกโหระพาเพราะเป็นพืชที่เติบโตง่ายและสังเกตการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้ง่าย และยังเป็นพืชที่ปลูกได้ในหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย”
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ AHiS ได้ส่งเมล็ดพันธุ์โหระพาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโหระพาพันธุ์เดียวกับที่ส่งไปทดลองปลูกในสถานีอวกาศนานาชาติ ให้แก่นักเรียนผู้เข้าร่วมโครงการ ทีมละ 40 เมล็ด ซึ่งนักเรียนจะต้องทำการทดลองปลูกตามคู่มือของแจ็กซา เป็นระยะเวลา 30 วัน โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองประกอบด้วย กล่องพลาสติกสำหรับปลูกพืช, ก้อนวัสดุปลูกพืช, ซีลระบายอากาศ และปุ๋ยชนิดผง 2 ชนิด โดยในการทดลองปลูกโหระพาของนักเรียนจะต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในช่วง 21-25 องศาเซลเซียส ความชื้นในห้องประมาณ 40-60% และเปิดหลอดไฟแสงสีขาวด้านบนกล่องปลูกตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสภาะแวดล้อมที่เหมือนการทดลองปลูกโหระพาบนสถานีอวกาศนานาชาติ นอกจากนั้นแล้วนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการทุกทีมจะได้รับข้อมูลผลการทดลองปลูกโหระพาบนสถานีอวกาศนานาชาติ เพื่อใช้ในศึกษาผลการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำบนสถานีอวกาศนานาชาติเปรียบเทียบกับการทดลองปลูกของตนเองบนพื้นโลก
“ไม่เพียงการปลูกตามคู่มือของแจ็กซา นักเรียนยังต้องออกแบบการทดลองปลูกโหระพาด้วยแปรอิสระ เพื่อให้ได้ผลการทดลองที่แตกต่าง ซึ่งเป็นการฝึกฝนทักษะกระบวนการคิดและวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ทั้งนี้เมื่อนักเรียนทดลองปลูกโหระพาครบ 30 วันแล้ว จะสรุปผลการทดลองทั้งหมดส่งเป็นรายงานมายังโครงการ AHiS โดยอ้างอิงจากรายละเอียดของการบันทึกข้อมูลตามคู่มือการทดลองของแจ็กซาต่อไป”
[caption id="attachment_17383" align="aligncenter" width="1000"] โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา[/caption]
นายชนะชล จันทร์โชติ หรือ น้องมอส นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา เยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการ Asian Herb in Space (AHiS) กล่าวว่า ด้วยต้นทุนเดิมที่มีความสนใจเรื่องการตั้งถิ่นฐานใหม่บนดาวอังคารของอีลอน มัสก์ ซึ่งมีปัจจัยสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องคือการผลิตอาหารในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ทำให้สนใจอยากเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการศึกษาเรื่องนี้ กระทั่งได้ทราบข่าวโครงการ AHiS จึงสนใจสมัครพร้อมกับเพื่อน
“ผมเริ่มติดตามการปลูกโหระพาบนสถานีอวกาศนานาชาติร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษาตั้งแต่วันแรกที่นักบินอวกาศลงมือปลูก เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปตามสมมติฐานหรือไม่ นอกจากนี้ในแต่ละสัปดาห์ทุกกลุ่มที่โรงเรียนยังได้รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดการทดลองร่วมกันด้วย ทั้งนี้ภายในกลุ่มเลือกทดลองในหัวข้อการศึกษาผลกระทบของคลื่นความถี่เสียงต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยใช้คลื่นเสียงเข้ามาเป็นปัจจัยเสริมเร่งการเจริญเติบโตของต้นโหระพาในห้องทดลองที่มีการควบคุมสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี ควบคู่ไปกับการปลูกตามข้อกำหนดของโครงการ เพื่อศึกษาความแตกต่างที่เกิดขึ้น พวกเราเชื่อว่าการได้ทดลองปลูกด้วยสภาวะที่ไม่เหมือนปกติ จะทำให้การเรียนรู้ก้าวไปข้างหน้า และนั่นอาจทำให้ได้พบสมมติฐานใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเรื่องนี้ต่อไป”
ส่วน นายศุภกร กาตาสาย หรือ น้องโจ้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยาซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกัน กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ปลูกโหระพาได้ 12 วันแล้ว ซึ่งสาเหตุของการใช้เสียงกระตุ้นนั้น เป็นสมมุติฐานของกลุ่มที่เคยศึกษาข้อมูลพบว่า เสียงมีผลต่อการกระตุ้นปากใบของพืช ในการดูดซึม การพ่นปุ๋ยและรับสารอาหารได้ดีขึ้น จึงนำมาทดลองใช้เสียงที่คลื่นความถี่เดียว 1,000 เฮิรตซ์ (hertz) ในช่วงเช้าของทุกวันประมาณ 30 นาที ซึ่งพบว่าการปลูกโหระพาที่ใช้คลื่นเสียงสามารถตอบสนองต่อเสียงและเจริญเติบโตได้ดี อย่างไรก็ดีผลที่ได้เป็นเพียงการทดลองเบื้องต้นอาจจะต้องมีการทำซ้ำเพื่อพิสูจน์สมมุติฐานต่อไป ทั้งนี้ประสบการณ์ดังกล่าวถือเป็นการเรียนรู้จากการลงมือทำ ซึ่งแตกต่างจากการเรียนในห้องเรียนและการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เคยเรียนรู้ ทั้งนี้ส่วนตัวคิดว่าเรื่องอวกาศควรจะเป็นเรื่องที่ทุกคนจับต้องได้ เพราะเป็นความก้าวหน้าและความน่าสนใจของมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะเด็กๆ และเยาวชน ซึ่งในอนาคตน่าจะทำงานด้านนี้มากขึ้น”
ด้าน นางสาวจิณห์วรา บุญนาค หรือ น้องโตเกียว นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวว่า ในกลุ่มได้ทดลอง การใช้สารพาโคลบิวทราโซลเพื่อศึกษาการเจริญเติบโตของต้นโหระพา โดยสารพาโคลบิวทราโซลคือสารยับยั้งความสูงของต้นโหระพา ทั้งนี้เริ่มปลูกโหระพาเข้าสู่วันที่ 10 แล้ว พบโหระพามีการงอกของเมล็ดออกมา 15 เมล็ด จากการปลูก 16 เมล็ด โดยเป็นลักษณะต้นกล้าแตกใบอ่อนเล็กน้อย
“ขั้นต่อไปเราเตรียมทดลองใช้สารยับยั้งความสูงแบบน้ำผสมกับปุ๋ยน้ำ โดยใช้ 200 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร โดยรดน้ำปกติครั้งละ 50 มิลลิลิตร ในกล่องปลูก อย่างไรก็ตามจะมีการให้สารยับยั้งความสูงทุกๆ 10 วัน โดยตั้งสมมติฐานว่าหลังเสร็จสิ้นการทดลองครบ 30 วัน ต้นโหระพาจะลดขนาดความสูงลง แต่ยังคงได้ผลผลิตไม่ต่างจากเดิม ซึ่งจะเป็นแนวทางในการปลูกพืชในอวกาศ เพื่อช่วยประหยัดพื้นที่ในอนาคต”
ขณะที่ นายจักรภพ ขัติศรี หรือ น้องเนม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวว่า ในกลุ่มสนใจศึกษาในหัวข้อ ภาวะเครียดจากการเขย่าที่มีผลต่อการเติบโตของโหระพา ซึ่งการเขย่ากล่องปลูกต้นโหระพาด้วยเครื่องเขย่าความเร็ว 130 รอบต่อนาที เป็นเวลา 30 นาที จะทำให้เกิดสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ซึ่งกลุ่มฯ ได้มีการทดลองปลูกแล้ว 11 วัน ผลที่ได้มีความใกล้เคียงกับการปลูกบนสถานีอวกาศนานาชาติของนักบินอวกาศญี่ปุ่นค่อนข้างมาก นอกจากนั้นแล้วในกลุ่มยังได้เรียนรู้ว่าพืชมีฮอร์โมนชื่อว่าออกซิน (Auxin) เป็นฮอร์โมนพืชที่สร้างขึ้นจากกลุ่มเซลล์เนื้อเยื่อบริเวณยอดใบอ่อน มีผลต่อการแบ่งเซลล์และการขยายเซลล์ของพืชที่ทำให้พืชเจริญเติบโตสูงขึ้น จึงมีการตั้งสมมติฐานต่อไปว่า หากพืชอยู่ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำเป็นเวลานานขึ้นอาจจะส่งผลทำให้พืชมีการเจริญเติบโตมากกว่าการปลูกแบบปกติ ซึ่งตรงกับการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมที่พบว่าการปลูกพืชในอวกาศแบบสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำนั้นจะทำให้เกิดชีวมวลในต้นพืช ซึ่งเป็นผลมาจากการที่พืชได้รับอาหารเหลวและธาตุอาหารที่ดีขึ้นนั่นเอง
นายภวัต เพียรงาม หรือ น้องปุน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวเสริมว่า โครงการ AHiS นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเราเยาวชนไทยได้รับประสบการณ์ความรู้ครั้งนี้ เพราะน้อยคนที่จะได้เรียนรู้จากการทดลองจริงเปรียบเทียบกับนักบินอวกาศ เนื่องจากเรื่องอวกาศใช้ต้นทุนสูงที่จะได้ศึกษาร่วมกับนักบินอวกาศแบบนี้ จึงเป็นผลดีต่อตนเองและเพื่อนๆ ที่ได้ศึกษาในเรื่องนี้ ที่สำคัญเรื่องอวกาศเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนสนใจอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่จะนำไปต่อยอดได้ในอนาคต
ผู้สนใจศึกษาและลุ้นผลการทดลองปลูกโหระพาบนพื้นโลกไปกับน้องๆ นักเรียนไทย เปรียบเทียบกับการปลูกบนสถานีอวกาศนานาชาติ สามารถเยี่ยมชมการทดลองโครงการ AHiS ผ่านทาง Facebook เพจ NSTDA SPACE Education ที่ https://www.facebook.com/NSTDASpaceEducation
[caption id="attachment_17384" align="aligncenter" width="1000"] โรงเรียนกำเนิดวิทย์[/caption]
[caption id="attachment_17385" align="aligncenter" width="1000"] โรงเรียนอุตรดิตถ์[/caption]
[caption id="attachment_17386" align="aligncenter" width="1000"] โรงเรียนกบินทร์วิทยา[/caption]
[caption id="attachment_17389" align="aligncenter" width="1000"] ภาพบรรยากาศการทดลอง[/caption]
[caption id="attachment_17387" align="aligncenter" width="1000"] ภาพบรรยากาศการทดลอง[/caption]
[caption id="attachment_17388" align="aligncenter" width="1000"] ภาพบรรยากาศการทดลอง[/caption]
[caption id="attachment_17390" align="aligncenter" width="1000"] ภาพบรรยากาศการทดลอง[/caption]
//////////////
ผู้เรียบเรียง: นายอาทิตย์ ลมูลปลั่ง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. และ น.ส.วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
ผู้ประสานงานโครงการ: นายปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
ภาพ: โครงการ Asian Herb in Space (AHiS)
กราฟิก: นางสาวฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าว 30 ปี สวทช.
บทความ
TESTA เปิดเวทีเสวนาด้านพลังงาน สร้างพัฒนาการด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และระบบกักเก็บพลังงานประเทศ
For English-version news, please visit : TESTA hosts a forum on electric vehicle and energy storage technology
(30 มี.ค. 64) เมืองทองธานี : สมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) ร่วมกับ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) และ UN Environment Programme จัดงานสัมมนาในงาน มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 โดยมี ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล นายกสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยในช่วงเช้าจัดเวทีเสวนาภาคภาษาอังกฤษ ในหัวข้อ "Workshop on Mainstreaming Electric Mobility in Thailand: Baseline and Alternative Energy Solution" เพื่อสนับสนุนการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยได้รับเกียรติจาก Mr.Bert Fabian จาก UN Enironment Programme (UNEP) นายกรณ์ ปัญญาเครือ นักวิชาการมาตรฐาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) นายศุภศิลป์ ฉัตรมณีเวช หัวหน้าแผนกวิเคราะห์การใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย นายรวี บุญสินสุข ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นางสาวอาวีมาศ สิริแสงทักษิณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด และ ดร.พีรวัฒน์ สายสิริรัตน์ จากศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ร่วมเป็นวิทยากร
และจัดสัมมนาช่วงบ่ายในหัวข้อ “เส้นทางแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า: พัฒนาการสู่อนาคต และการจัดการสิ้นอายุขัย” โดยมี รศ.ดร.นงลักษณ์ มีทอง อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ รศ.ดร.สุธา ขาวเธียร ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากรพร้อมทั้งเปิดเวทีเสวนาในช่วงท้ายในหัวข้อ “เส้นทางแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าออกจากรถแล้วไปไหนต่อ?” โดยมี Mr.Li Yongchuan Product Engineering Director บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด คุณพิพัฒน์ เอี่ยมสุธนกุล ผู้จัดการอาวุโส บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รศ.ดร.สุธา ขาวเธียร ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.พูนศักดิ์ จันทร์จำปี กรรมการ บริษัท เวสท์ แมเนจเม้นท์ สยาม จำกัด และคุณกุลชา ธนะขว้าง ผู้อำนวยการส่วนของเสียอันตราย กรมควบคุมมลพิษ ร่วมเสวนาในครั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ รวมถึงผลักดันและสร้างพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงานให้กับประเทศในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์
“อุตุน้อย” สถานีตรวจวัดสภาพอากาศเพื่อการเรียนรู้
นักวิจัยเนคเทค สวทช. พัฒนา สถานีตรวจวัดสภาพอากาศ อุตุน้อย นำไปติดตั้งให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ นอกจากมีเป้าหมายเพื่อเก็บและรวบรวมข้อมูลสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่แล้ว "อุตุน้อย" จะเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และภูมิศาสตร์สำหรับนักเรียน
ปัจจุบันสถานีตรวจวัดสภาพอากาศ "อุตุน้อย" กระจายติดตั้งทั่วประเทศแล้วมากกว่า 400 สถานี โดยทีมนักวิจัยคาดหวังว่าหากมีจำนวนสถานี "อุตุน้อย" เพิ่มมากขึ้น ข้อมูลของสภาพอากาศก็จะมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นตามจำนวนสถานี ซึ่งในอนาคตทีมนักวิจัยมีแผนพัฒนาต่อยอดให้ "อุตุน้อย" สามารถวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูลสภาพอากาศเพื่อการพยากรณ์ จะเป็นประโยชน์ให้กับชุมชนในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ต้องอาศัยข้อมูลการพยากรณ์สภาพอากาศที่ละเอียดและแม่นยำเพื่อผลผลิตทางการเกษตร.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์


