หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ZpecSen เติมเต็มการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เชิงแสงให้กับนักเรียน
นักวิจัยเนคเทค สวทช. พัฒนา #ZpecSen อุปกรณ์ตรวจวัดแสงและสเปกตรัม เน้นพกพา ใช้งานง่าย เปิดระดมทุนผลิตเป็นสื่อการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์เชิงแสง หวังเติมเต็มการเรียนรู้และจินตนาการให้กับนักเรียนทั่วประเทศ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
เอ็มเทค สวทช. ส่งมอบ ‘พีท เปลปกป้อง’ ‘เปลความดันลบ’ สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์สู้โควิด-19 ระลอกใหม่ ช่วยผู้ป่วยโควิดเอกซเรย์-สแกนปอด โดยไม่ต้องออกจากเปล ลดการแพร่เชื้อแบบเบ็ดเสร็จ
ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช. ได้สร้างนวัตกรรมเปลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 หรือ ‘PETE (พีท) เปลปกป้อง’ ออกแบบส่วนแคปซูลไร้โลหะ แข็งแรง ปลอดภัย ช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด สามารถนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนปอด ขณะอยู่บนเปล เพื่อคัดกรองอาการในสถานพยาบาล หรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลด้วยรถพยาบาล (29 เมษายน 2564) ที่โถงชั้น1 อาคารสำนักงาน สวทช. (โยธี) ถนนพระรามที่ 6 กทม. : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดยนางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม และทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้ส่งมอบ PETE (พีท) เปลปกป้อง : เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมจำนวน 5 ชุด ให้แก่โรงพยาบาลและหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ต่อสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมย่อยของอุตสาหกรรมการแพทย์ ในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) เพื่อตอบโจทย์การผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติและการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ในอาเซียน ซึ่งต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นกลไกในการยกระดับความสามารถ ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ของประเทศ ซึ่งการปะยุกต์ใช้เทคโนโลยี ต้องไม่มีความซับซ้อนมากนัก แต่มีความปลอดภัยสูง ซึ่ง สวทช. มีเป้าหมายที่จะใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปต่อยอดและขยายผลไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งยังมีการวางรากฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศให้มีความเข้มแข็ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมทางด้านสุขภาพและการแพทย์ ตามเป้าหมายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบาย BCG Economy Model ที่มุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความยั่งยืนทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงความยั่งยืนภาคอุตสาหกรรมด้วย โดยที่ผ่านมา สวทช. ได้เร่งพัฒนาผลงานวิจัยและนวัตกรรม สำหรับรองรับการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งมีการส่งมอบผลงานมากกว่า 20 ผลงาน ครอบคลุมทั้งด้านการป้องกัน การลดการแพร่กระจายและฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งการตรวจคัดกรองและการตรวจวินิจฉัยโรคเบื้องต้น ให้กับหน่วยงานที่มีความเสี่ยงและมีความต้องการใช้อุปกรณ์ อีกทั้งหลายผลงานที่มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีการผลิตได้ถูกนำไปต่อยอดและเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกันกับ ‘เปลความดันลบ’ ซึ่งเป็นอีกนวัตกรรมที่ สวทช. โดยเอ็มเทคสามารถพัฒนาและผลิตได้เองในประเทศจะเป็นอีก 1 นวัตกรรมที่ช่วยสนับสนุนและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ในการระบาดระลอกใหม่นี้รวมถึงสถานการณ์วิกฤตที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ในอนาคต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่าวันนี้ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. ได้ส่งมอบ PETE (พีท) เปลปกป้อง : เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมจำนวน 5 ชุด ได้แก่ 1. คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช 2. โรงพยาบาลสนามเอราวัณ 2 ของโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ กทม. 3. มูลนิธิรวมน้ำใจ (คลองเตย) กทม. 4. โรงพยาบาลวิภาวดี กทม. 5. โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อใช้ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยรถพยาบาลจนถึงการนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์ปอดและเครื่องซีที สแกน (CT scan) โดยไม่ต้องนำผู้ป่วยออกจากเปลความดันลบ ช่วยลดการแพร่เชื้อโรคบนอุปกรณ์ทางการแพทย์และสถานพยาบาล ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ‘เปลความดันลบ’ คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรคระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยที่ผ่านมาเปลความดันลบทั่วไปในท้องตลาดยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่หลายประการและมีราคาที่สูง ล่าสุดทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้คิดค้น “PETE เปลปกป้อง (Patient Isolation and Transportation Chamber)” อุปกรณ์สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจ ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วย (Chamber) มีลักษณะเป็นแคปซูลพลาสติกใสขนาดพอดีตัวคน และระบบสร้างความดันลบ (Negative pressure unit) เพื่อควบคุมการไหลเวียนอากาศภายในเปล เมื่อพาผู้ป่วยขึ้นนอนบนเปลและรูดซิปปิดเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะเปิดระบบปรับค่าความดันอัตโนมัติเพื่อให้อากาศจากภายนอกไหลเวียนเข้าสู่ตัวเปล ทำให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวก เมื่ออากาศไหลผ่านผู้ป่วยอาจมีเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมาจากการหายใจ อากาศเหล่านั้นจะถูกดูดผ่านแผ่นกรองอากาศ (HEPA Filter) เพื่อกรองเชื้อโรค และทำการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV-C ก่อนปล่อยออกสู่ภายนอก ทำให้มั่นใจได้ว่าอากาศเหล่านั้นปลอดเชื้อ นอกจากระบบฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพแล้ว ทีมวิจัยยังพัฒนาตัวเปลให้มีช่องสำหรับร้อยสายเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือเข้าไปยังผู้ป่วย และมีถุงมือสำหรับทำหัตถการ 6 จุดรอบเปล เพื่ออำนวยความสะดวกในการรักษาให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ดร.ศราวุธ กล่าวว่า นอกจากนั้นแล้ว PETE เปลปกป้อง ยังช่วยทลายข้อจำกัดการใช้งานของเปลความดันลบเดิมที่มีทั่วไปในท้องตลาด ส่วนแรกคือระบบ ‘Smart controller’ ทำหน้าที่ควบคุมความดันภายในเปลจึงสามารถใช้งานได้ทั้งบนภาคพื้นและบนอากาศ สามารถตรวจสอบการรั่วไหลของอากาศสู่ภายนอก (Pressure alarm) และแจ้งเตือนการเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศ (Filter reminder) เมื่อถึงกำหนด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของผู้ป่วยและการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อที่ซึ่งได้ทำการทดสอบตามมาตรฐานสากลแล้ว ส่วนที่สองคือ ‘สามารถนำเปลเข้าเครื่องเอกซเรย์และเครื่องซีที สแกน ได้’ เนื่องจากไม่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ จึงไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากเปลความดันลบเหมือนกับอุปกรณ์อื่น ช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังเครื่องมือต่างๆ และระบบปรับอากาศภายในโรงพยาบาล และลดภาระในการทำความสะอาด ส่วนสุดท้ายคือ ‘ตัวเปลสามารถพับเก็บลงกระเป๋าและมีน้ำหนักเบา’ ทำให้พกพาได้สะดวกและติดตั้งง่ายเหมาะกับการใช้งานในรถพยาบาล ดังนั้นหากนำ PETE เปลปกป้อง มาใช้ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากที่พัก เจ้าหน้าที่จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อได้เป็นอย่างดี ช่วยลดความเสี่ยงให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และผู้ใช้บริการสถานพยาบาลได้โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาด หัวหน้าทีมวิจัยฯ กล่าวต่อว่า PETE เปลปกป้อง ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้น ได้รับการให้คำปรึกษาจากพันธมิตรซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ผศ.นพ.อนุแสง จิตสมเกษม รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช โดยให้ความสำคัญในมุมของผู้ใช้งานที่ต้องทำความสะอาดเปลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทีมวิจัยได้ประยุกต์ใช้ปืนพ่นนาโนบรรจุน้ำยาฆ่าเชื้อเบนไซออน ที่พัฒนาโดยนาโนเทค สวทช. สามารถทำความสะอาดได้ภายใน 10 นาทีและทำงานต่อได้ทันที อีกทั้งยังได้ความเชี่ยวชาญจากอาจารย์กนกลักษณ์ ดูการณ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาแพทเทิร์นอุตสาหกรรมและการออกแบบเสื้อผ้าสำเร็จรูป (PATTERN IT) ช่วยออกแบบการตัดเย็บและขึ้นรูปนวัตกรรมเปลปกป้องให้มีความแข็งแรงปลอดภัย นับเป็นผลงานการวิจัยไทยที่ผ่านการทดสอบคุณภาพ ISO 14644 และอยู่ในขั้นตอนการทำมาตรฐานความปลอดภัยทางไฟฟ้า IEC 60601-1 ซึ่งยืนยันถึงมาตรฐานความปลอดภัย โดยล่าสุดบริษัท สุพรีร่า อินโนเวชั่น จำกัด เป็นผู้รับอนุญาตให้สิทธิใช้ประโยชน์และรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเตรียมผลิตและจำหน่ายต่อไป ด้าน ผศ.นพ.อนุแสง จิตสมเกษม รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ซึ่งเป็น1 ใน 5 โรงพยาบาลที่รับมอบเปลความดันลบ กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 นั้น มีความสำคัญที่การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิดไปในแต่ละจุดอย่างมาก ซึ่งการมีเปลความดันลบจะทำให้การฆ่าเชื้อลดลงไปได้มาก ทั้งยังช่วยลดเวลา ลดจำนวนคนที่ต้องใช้ในสถานการณ์การแพร่ระบาด ที่สำคัญคือช่วยระวังเรื่องความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยโรคโควิด ซึ่งมีอยู่ค่อนข้างจำกัดและทำงานอย่างหนัก อย่างไรก็ดีในช่วง 1ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าหน้ากากอนามัยเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้ไม่เกิดการแพร่เชื้อโควิด-19 ดังนั้นตอนนี้เราต้องบอกเลยว่าเปลความดันลบ ที่ เอ็มเทค สวทช. ทำได้ถือเป็นนวัตกรรมที่จะเป็นแรงผลักดันทำให้ผู้ผลิต และผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีแรงผลักดันในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้เองในประเทศ “การระบาดของโรคโควิด-19 ช่วงที่ผ่านมาเราเจ็บปวดกับการที่เราไม่สามารถซื้อหน้ากากอนามัยจากต่างประเทศมาใช้ได้ เฉกเช่นเดียวกับเปลความดันลบ ในวันที่เกิดโควิดครั้งแรกมูลค่าเปลความดันลบ สูงไปถึง 6.5 - 7 แสนบาท ทั้งๆ ที่ต้นทุนอยู่ที่แสนกว่าบาท ดังนั้นประเทศเราต้องเปลี่ยนแนวคิดว่า เราต้องช่วยเหลือประเทศตัวเองให้ได้ก่อน ซึ่งนี่คือความมั่นคงทางการแพทย์แบบหนึ่ง”   //////////////////////////////// ขั้นตอนการใช้งาน PETE เปลปกป้อง : เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย   ภาพรวมการขนย้ายผู้ป่วยด้วย PETE (พีท) เปลปกป้อง : เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย   Download video ที่เกี่ยวข้อง PETE (พีท) เปลปกป้อง คลิกที่นี่
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. พัฒนา PETE เปลปกป้อง เปลความดันลบสู้ภัยโควิด
สวทช.พัฒนา เปลความดันลบ เพิ่มประสิทธิภาพลดความเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อขณะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อ ส่งมอบต้นแบบให้บุคลากรทางการแพทย์นำไปใช้รับมือวิกฤติ โควิด19  เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังรับมือและต่อสู้กับการระบาดโรคโควิด-19 สวทช.จึงส่งมอบเปลความดันลบในชื่อ PETE เปลปกป้อง ที่ถูกพัฒนาเป็นต้นแบบโดยทีมนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. เบื้องต้นมอบให้กับ 5 หน่วยงานเป็นโรงพยาบาลและมูลนิธิ ซึ่งเป็นหน้าด่านสำคัญในการรับมือโรค และมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องนำไปใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่มีจำนวนมากในเวลานี้ "PETE เปลปกป้อง" ถูกพัฒนาให้ใช้งานง่ายและสะดวกสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่สงสัยติดเชื้อโควิด-19 หรือโรคติดเชื้ออื่นๆ มีคุณสมบัติพิเศษคือโครงสร้างไม่มีวัสดุโลหะ และมีขนาดที่เหมาะสม ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่อยู่ในเปลเข้าเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Scan เพื่อวินิจฉัยโรคได้ทันที โดยที่ ไม่ต้องนำผู้ป่วยออกจากเปลขณะเอกซเรย์ ช่วยลดความเสี่ยงแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ปลอดภัยทั้งตัวผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งนี้การพัฒนา PETE เปลปกป้องแม้ยังเป็นต้นแบบ แต่ในอนาคตหากถูกนำไปสู่การผลิตภายในประเทศได้ในวงกว้าง จะช่วยลดต้นทุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้อย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันเปลความดันลบที่มีคุณสมบัติดังกล่าวยังต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศในราคาที่สูง.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
การเปิดโอกาสในการมีส่วนร่วม
การมีส่วนร่วมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก ปี 2568 สรุปงานวันเก็บเกี่ยวถั่วเขียว KUML และเปิดตัวศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน: ถั่วเขียว KUML จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยีวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 เวลา 08.30 – 14.30 น.ณ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชุมชนอำเภอเมืองจันทร์ ตำบลเมืองจันทร์ อำเภอเมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษประเด็นการมีส่วนร่วม: ถั่วเขียว KUML จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี     วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2568 สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กลุ่มส่งเสริมพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และสำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ จัดงานวันเก็บเกี่ยวถั่วเขียว KUML และเปิดตัวศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน : ถั่วเขียว KUML จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี ณ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชุมชนอำเภอเมืองจันทร์ ตำบลเมืองจันทร์ อำเภอเมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเป็นการเผยแพร่งานวิจัยและเทคโนโลยีของ สวทช. ให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์จริง สร้างกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวพันธุ์ KUML ที่มีองค์ความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียว KUML เพื่อการผลิตเมล็ดพันธุ์ (Seed) เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวคุณภาพดี ในการขยายผลในพื้นที่อื่นๆ และสามารถการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ตามหลักวิชาการให้เป็นที่รู้จักของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนรวมถึงเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียว และเกิดการสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร โดยมี นายอนุพงษ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานกล่าวเปิดงานวันเก็บเกี่ยวถั่วเขียว KUML และเปิดตัวศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน : ถั่วเขียว KUML จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี นายสุชาติ กลิ่นทองหลาง เกษตรจังหวัดศรีสะเกษ เป็นผู้กล่าวรายงาน ศ.ดร.พีระศักดิ์ ศรีนิเวศน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สวก. นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ที่ปรึกษาประจำสำนักงาน สวก. นางสาวภาวดี ใจเอื้อ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการใช้ประโยชน์ สวก. นายวีรศักดิ์ บุญเชิญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ว่าที่ร้อยตรีนัฐชัย แย้มพิกุลสกุล ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว กรมส่งเสริมการเกษตร นางสาวกัลยารัตน์ รัตนะจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางสาวณิฏฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รองศาสตราจารย์ประกิจ สมท่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์กนกวรรณ เที่ยงธรรม จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน นางสาวขวัญญรัตน์ จงเสรีจิตต์ และนายไพรจิตร จงเสรีจิตต์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิริบูรณ์จงเจริญไพศาล และบริษัทเอสซีพีฟู้ดส์(ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับซื้อถั่วเขียว KUML ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ     ทั้งนี้มีเกษตรกรและผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมรวมทั้งหมด 392 คน โดยแบ่งเป็น เกษตรกร 288 คน เกษตรกรแกนนำ 7 คน นักเรียน 9 คน นักศึกษา 4 คน เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ 75 คน เจ้าหน้าที่ภาคเอกชน 2 คน และเจ้าหน้าที่จาก สวทช. 7 คน      จังหวัดศรีสะเกษได้เล็งเห็นความสำคัญและได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลโดยกำหนดกรอบแนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง ผ่าน 1+10 วาระขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดบนเส้นทางการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยกำหนดเป็นวาระสำคัญเกี่ยวข้องกับภาคการเกษตรเพื่อยกระดับสินค้าเกษตร โดยจังหวัดศรีสะเกษขับเคลื่อนงานร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตั้งแต่ปี 2564 การปลูกถั่วเขียว KUML เป็นพืชหลังนาเป็นหนึ่งในเป้าหมายการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้และภาพของจังหวัดศรีสะเกษ ด้วยกลไกตลาดนำการผลิตเนื่องจากตลาดยังมีความต้องการถั่วเขียวพันธุ์ KUML จำนวนมาก นอกจากนี้การปลูกพืชหลังนายังช่วยปรับปรุงบำรุงดินเพิ่มผลผลิตข้าว สร้างประโยชน์ทางอ้อมอีกทางหนึ่ง สร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งสอดคล้องกับกรอบแนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนของจังหวัดศรีสะเกษที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง การที่จะผลิตถั่วเขียวให้มีประสิทธิภาพที่ดีนั้นจำเป็นต้องมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง เหมาะสม  มีกระบวนการผลิตที่ชัดเจน มีเมล็ดพันธุ์ตั้งต้นที่ดี พื้นที่เหมาะสม มีผู้ติดตามให้คำแนะนำและคำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ที่ผ่านมา สวทช.และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับจังหวัดศรีสะเกษ โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษได้ถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีการผลิตพืชหลังนาแบบครบวงจรให้กับเกษตรกรและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานระดับจังหวัด ระดับอำเภอ เกษตรกรแกนนำ เพื่อจะเป็นพี่เลี้ยงในพื้นที่ ติดตามและให้คำแนะนำแก่เกษตรกรที่จะปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา มุ่งเน้นให้เกษตรกรมีองค์ความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียวพันธุ์ KUML เป็นพืชหลังนาได้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เกิดการสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ลดการเผาฟางข้าว ตอซัง และวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรในพื้นที่ ส่งผลให้ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตรสามารถลดภาวะโลกร้อนได้     โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. ได้วางแผนการขยายผลถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML โดยร่วมกับภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน ทำงานร่วมกับนางสาววัลภา ปันต๊ะ ตำแหน่งผู้อำนวยการ กลุ่มส่งเสริมพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว  สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่เป้าหมาย โดยใช้กลไก “ตลาดนำการผลิต” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายผลความรู้และเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ (seed) ถั่วเขียว KUML เช่น มาตรฐานการเพาะปลูก และการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์  ตามหลักวิชาการให้เป็นที่รู้จักของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียว ส่งเสริมให้เกษตรกรนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการปลูกถั่วเขียวเพื่อทำเมล็ดพันธุ์ (seed) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการเรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวในระดับชุมชน ดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชน บริษัท กิตติทัต จำกัด และบริษัท เอสซีพีฟู๊ดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด เครือข่ายรับซื้อของ บริษัท กิตติทัต จำกัด ในจังหวัดศรีสะเกษซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันและยกระดับกลุ่มเกษตรกรในการบริหารจัดการ กำหนดมาตรฐานและราคาถั่วเขียว KUML รับซื้อผลผลิตถั่วเขียวปลอดภัยในจังหวัดศรีสะเกษ โดยปริมาณความต้องการผลผลิตถั่วเขียวเพื่อแปรรูปเป็นถั่วกะเทาะซีกปีละ 4,000 ตัน ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML จะดำเนินงานร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัด หรือกรมส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่โดยมีการพัฒนาต้นแบบเกษตรกร แปลงเรียนรู้ และพื้นที่ต้นแบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวในระดับชุมชน มุ่งหวังการสร้างกลุ่มผู้ผลิตถั่วเขียวเข้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีผลผลิตสูง (grain) ตรงกับความต้องการของตลาดเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินงาน     ภายในงานมีพิธีมอบป้ายศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน : ถั่วเขียว KUML ให้กับเกษตรจำนวน 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชุมชนอำเภอเมืองจันทร์ ตำบลเมืองจันทร์ อำเภอเมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษ มีสมาชิกปลูกถั่วเขียว KUML เป็นพืชหลังนาจำนวน 40 คน เป็นสมาชิกเก่าจำนวน 30 คน และสมาชิกใหม่จำนวน 10 คน ในปี พ.ศ.2566/2567 ที่ผ่านมากลุ่มได้รับการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML4 จำนวน 300 กิโลกรัม ไรโซเบียม 60 ถุง จาก สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มมีการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์กลุ่มโดยใช้กลไกการยืม-คืนเมล็ดพันธุ์ ยืม 10 กิโลกรัม คืน 15 กิโลกรัม ทำให้ในปี พ.ศ.2567 มีเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML4 ของกลุ่มประมาณ 700 กิโลกรัม ขายผลผลิตได้ในราคา 40 บาทต่อกิโลกรัม และในปี 2567/2568 กลุ่มมีความประสงค์จะยกระดับเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML ระดับชุมชน และกลุ่มได้รับการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML8 จำนวน 200 กิโลกรัม ไรโซเบียม 40 ถุง และได้เข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร “เทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวและการผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน : ถั่วเขียวพันธุ์ KUML” จาก สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมศรีลำดวน ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ และ 2. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชชุมชนตำบลน้ำเกลี้ยง ตำบลน้ำเกลี้ยง อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ มีสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด 30 คน พื้นที่ทำการเกษตรของกลุ่มรวมทั้งหมดประมาณ 101 ไร่ เป็นพื้นที่สำหรับผลิตเมล็ดพันธุ์ทั้งหมด มีสมาชิก 25 คน ได้รับรองมาตรฐาน (Good Agricultural Practices: GAP) ปัจจุบันกลุ่มมีการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มทั้งหมด 3 กิจกรรม ได้แก่ 1) การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 2) การผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วลิสงพันธุ์ไทนาน 9 และการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML8 (อยู่ระหว่างดำเนินการถอนพันธุ์ปน) และปัจจุบันกลุ่มมีเครื่องทำความสะอาดเมล็ดข้าวซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นตะแกรงสำหรับถั่วเขียวได้ อัตราการทำงาน 300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ซึ่งในการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML8 กลุ่มมีแผนการดำเนินงานโดยจะแพ็คแบบสูญญากาศขายราคา 45 บาทต่อกิโลกรัม ในการขายถั่วเขียวของกลุ่มทุกๆ 1 กิโลกรัม (ราคา 45 บาท) จะหักเข้ากลุ่มเพื่อการบริหารจัดการจำนวน 5 บาท โดยการจะเป็นการจำหน่ายโดยกลุ่ม ในปี พ.ศ.2566/2567 ที่ผ่านมากลุ่มได้ทดลองปลูกถั่วเขียวพันธุ์ KUML8 เป็นพืชหลังนาครั้งแรกโดยใช้งบประมาณส่วนตัวในการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML8 จาก หจก.ศิริบูรณ์จงเจริญไพศาล ได้ผลผลิตเฉลี่ย 120-150 กิโลกรัมต่อไร่ จากการปลูกในปีแรกทำให้กลุ่มมีสต๊อกเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML8 จำนวน 300 กิโลกรัม และสมาชิกในกลุ่มเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เองในฤดูกาลถัดไปรวมประมาณ 200 กิโลกรัม และในปี 2567/2568 กลุ่มได้รับการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML8 จำนวน 200 กิโลกรัม ไรโซเบียม 40 ถุง และได้เข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร “เทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวและการผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน : ถั่วเขียวพันธุ์ KUML” จาก สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมศรีลำดวน ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ โดยกลุ่มมีความประสงค์จะบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์กลุ่มโดยใช้กลไกการยืม-คืนเมล็ดพันธุ์ ยืม 5 กิโลกรัม คืน 7 กิโลกรัม     นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการ เสวนากว่าจะเป็น “ศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน: ถั่วเขียว KUMLจากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี” กลุ่มที่ 1 หัวข้องานวิจัยสู่แปลงผลิต โดยนางสาวกัลยารัตน์ รัตนะจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), รศ.ดร.ประกิจ สมท่า และ ผศ.ดร.กนกวรรณ เที่ยงธรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน กลุ่มที่ 2 หัวข้อการทำงานบูรณาการกับกรมส่งเสริมการเกษตร โดย นายวีรศักดิ์ บุญเชิญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และนายสุชาติ กลิ่นทองหลาง เกษตรจังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มที่ 3 หัวข้อ The Trainer โดย นายยอดเพชร เจือจันทร์ เกษตรอำเภอเมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และนายฐิตินัย เสนาสุ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรอำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มที่ 4 หัวข้อตลาดนำการผลิต โดย นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), นายไพจิตร จงเสรีจิตต์ และนางขวัญญรัตน์ จงเสรีจิตต์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิริบูรณ์จงเจริญไพศาล และบริษัทเอสซีพีฟู้ดส์(ไทยแลนด์) จำกัด และกลุ่มที่ 5 หัวข้อการถ่ายทอดเทคโนโลยีและผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี โดย นายถนัด ขันติวงษ์ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชุมชนอำเภอเมืองจันทร์, นายนิยมสุขจันทร์ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชุมชนอำเภอเมืองจันทร์, นางสมจิตร ยศศิริ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชชุมชนตำบลน้ำเกลี้ยง, นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินรายการโดย นางสาวปิยพร เศรษฐศิริไพบูลย์ นักวิชาการ ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กิจกรรมการตามรอยการผลิตเมล็ดพันธุ์ (seed) ถั่วเขียว KUML โดยใช้โมเดลกลไกตลาดนำการผลิต เป็นการนำชมกระบวนการผลิตและเครื่องมือเครื่องจักรทางการเกษตรที่ใช้ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML ของกลุ่ม ได้แก่ เครื่องอัดฟาง รถแทรกเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ โดรนสำหรับฉีดพ่นปุ๋ย ฮอร์โมน สารป้องกันกำจัดโรคและแมลง เครื่องกระเทาะเมล็ด เครื่องแพ็คสูญญากาศ และเครื่องเย็บกระสอบ รวมถึงกระบวนการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการของกลุ่ม อีกทั้งยังมีนิทรรศการให้ความรู้ถั่วเขียว KUML และการแปรรูปถั่วเขียวอย่างง่ายจาก สวทช. โดยเป็นการทำขนมลืมกลืนซึ่งมีส่วนผสมของแป้งถั่วเขียว ผสมน้ำลอยดอกไม้และน้ำตาลนำไปกวนจนใสแล้วหยอดหน้าด้วยกะทิ ตลอดจนนิทรรศการจากหน่วยงานในพื้นที่ เช่น การรณรงค์หยุดเผาจากสำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ สารชีวภัณฑ์จากกลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ กรมพัฒนาที่ดิน บริษัทสยามคูโบต้า จังหวัดศรีสะเกษ และตลาดเกษตรกรซึ่งเป็นการนำผลผลิตของกลุ่มมาจำหน่ายภายในงาน จากนั้นเป็นการลงแปลงปลูกถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML และลงแขกเก็บเมล็ดพันธุ์ KUML ด้วยมือ นอกจากนี้ภายในงานยังมีการร่วมสนุกจับสลากแจกของรางวัลสำหรับผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ โดยได้รับการสนับสนุนของรางวัลจากหน่วยงาน เช่น กระสอบสองชั้นเพื่อใช้เก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML จาก สวทช. สารชีวภัณฑ์ ได้แก่ เชื้อราบิวเวอเรีย เชื้อราเมตาไรเซียม และเชื้อราไตรโคเดอร์ม่า จากกลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ เสื้อและหมวกจากบริษัทสยามคูโบต้า จังหวัดศรีสะเกษ เป็นต้นข้อมูลผู้มีส่วนร่วมหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในโครงการ เป็นการทำงานแบบบูรณาการร่วมกับ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กลุ่มส่งเสริมพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรอำเภอที่เข้าร่วมโครงการ สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ และภาคเอกชนที่รับซื้อผลผลิต คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิริบูรณ์จงเจริญไพศาล / บริษัท เอสซีพีฟู๊ดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด พื้นที่ดำเนินงานและกลุ่มเป้าหมายหน่วยงานความร่วมมือในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ1) ศูนย์เมล็ดพันธุ์พืชชุมชนตำบลน้ำเกลี้ยง อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ2) กลุ่มข้าวอินทรีย์ตำบลโพนค้อ อำเภอเมือง ศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ3) กลุ่มแปลงใหญ่หอมแดง ตำบลแคน อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ4) กลุ่มแปลงใหญ่ข้าวบ้านฮ่อง ตำบลปะอาว อำเภออุทุมพรพิสุย จังหวัดศรีสะเกษ5) กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียวบ้านโคกกลาง ตำบลอีหล่ำ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ6) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ข้าวหมู่ที่ 2 บ้านแสนแก้ว ตำบลสวาย อำเภอปรางค์กู่ จังหวัด ศรีสะเกษ7) กลุ่มผู้ปลูกถั่วเขียวตำบลเมืองจันทร์ อำเภอ เมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษ8) กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียวบ้านดู่ตะวันออก ตำบลขุนหาญ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ9) กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียวบ้านกุดนาแก้วใต้ ตำบลภูฝ้าย อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ- ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน- บริษัท กิตติทัต จำกัด และเครือข่ายล้งรับซื้อในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิริบูรณ์จงเจริญไพศาล / บริษัท เอสซีพีฟู๊ดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด- สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ- สำนักงานเกษตรอำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ- สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษ- สำนักงานเกษตรอำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ- สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ- สำนักงานเกษตรอำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ- สำนักงานเกษตรอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ- สำนักงานเกษตรอำเภอขุญหาญ จังหวัดศรีสะเกษชื่อหน่วยงานหัวข้อความร่วมมือภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน-  สนับสนุนองค์ความรู้-  เป็นแหล่งรวบรวมและเก็บรักษาถั่วเขียวพันธุ์ KUMLบริษัท กิตติทัต จำกัด- กำหนดมาตรฐานการรับซื้อ- ตรวจประเมินผลผลิต- รับซื้อ เพื่อไปแปรูปเป็นถั่วซีกบริษัท เอสซีพีฟู๊ดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด เครือข่ายรับซื้อของ บริษัท กิตติทัต จำกัด ในจังหวัด  ศรีสะเกษ- กำหนดมาตรฐานการรับซื้อ- ตรวจประเมินผลผลิต- รับซื้อ เพื่อส่งให้ บริษัท กิตติทัต จำกัดกลุ่มส่งเสริมพืชน้ำมันและพืชตระกูลถั่ว สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร-   สนับสนุนให้เกิดการขยายผลการผลิตถั่วเขียวเป็นพืชหลังนาในอนาคตเพื่อเป็นรายได้เสริมให้เกษตรกรในพื้นที่โดยเชื่อมโยงกับตลาดเพื่อสร้างรายได้และอาชีพที่ยั่งยืนให้แก่เกษตรกร ผ่านกลไกการทำงานโดยการผลักดันเชิงนโยบายและเชื่อโยงการทำงานกับหน่วยงานรัฐในพื้นที่สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ จังหวัด ศรีสะเกษ และสำนักงานเกษตรอำเภอที่เกี่ยวข้อง- ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้โมเดลตลาดนำการผลิต- สนับสนุนให้เกิดการขยายผลการผลิตถั่วเขียวเป็นพืชหลังนาในอนาคตเพื่อเป็นรายได้เสริมให้เกษตรกรในพื้นที่โดยเชื่อมโยงกับตลาดเพื่อสร้างรายได้และอาชีพที่ยั่งยืนให้แก่เกษตรกร- สนับสนุนสถานที่จัดอบรม และบุคลากรร่วมดำเนินการบางส่วน-  เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตรร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร Train the Trainerผู้มีส่วนร่วมในโครงการในวันกิจกรรมในการเปิดรับฟังความคิดเห็นในทั้งนี้มีเกษตรกรและผู้ที่สนใจงานวันเก็บเกี่ยวถั่วเขียว KUML และเปิดตัวศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน เข้าร่วมกิจกรรมรวมทั้งหมด 392 คน โดยแบ่งเป็น เกษตรกร 288 คน เกษตรกรแกนนำ 7 คน นักเรียน 9 คน นักศึกษา 4 คน เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ 75 คน เจ้าหน้าที่ภาคเอกชน 2 คน และเจ้าหน้าที่จาก สวทช. 7 คน      ผลจากการมีส่วนร่วมทั้งในการร่วมโครงการและการเสวนา พบว่า เกษตรกรสามารถนำความรู้ที่ได้จากการทำโครงการไปใช้ในการปลูกถั่วเขียวเพื่อผลิตถั่วเขียว (grain) ที่มีคุณภาพและปริมาณตามที่ตลาดต้องการ และสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ (seed) ไว้ใช้เองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการออกแบบการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์ (seed) ในแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกันตามสมาชิกของกลุ่มนั้นๆ ทำให้มีความเหมาะสมหรือปรับปรุงได้ในกลุ่มย่อย โดยมีความเห็นการบริหารจัดการในแต่ละกลุ่ม และมีการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการเรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวในระดับชุมชน และสามารถวางแผนการผลิตถั่วเขียวของกลุ่มในฤดูกาลถัดไปได้     นำผลการมีส่วนร่วมปรับปรุงพัฒนาการดำเนินงาน คือ นำผลการดำเนินโครงการและการเสวนาในการดำเนินการในปีงประมาณ พ.ศ. 2568 นี้ มาปรับปรุงและวางแผนการขยายผลแบบบูรณาการเรื่องถั่วเขียว KUML และแผนการจัดการถ่ายทอดเทคโนโลยีของ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานรัฐ และเอกชนในพื้นที่ในฤดูกาลถัดไป โดยมีกลไกการขยายผลการดำเนินการผ่านสำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานเกษตรอำเภอภาพบรรยากาศกิจกรรมภายในงานบรรยากาศการลงทะเบียนนายอนุพงษ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568นายสุชาติ กลิ่นทองหลาง เกษตรจังหวัดศรีสะเกษกล่าวรายงานบรรยากาศพิธีมอบของที่ระลึกพิธีมอบป้ายศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน: ถั่วเขียว KUML ให้กับกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชุมชนอำเภอเมืองจันทร์ ตำบลเมืองจันทร์ อำเภอเมืองจันทร์จังหวัดศรีสะเกษพิธีมอบป้ายศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน: ถั่วเขียว KUML ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชชุมชนตำบลน้ำเกลี้ยง ตำบลน้ำเกลี้ยง อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษภาพหมู่ผู้เข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568กิจกรรมการตามรอยการผลิตเมล็ดพันธุ์ (seed) ถั่วเขียว KUML นำชมกระบวนการผลิตถั่วเขียว KUML ของกลุ่มรวมถึงเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUMLกิจกรรมการตามรอยการผลิตเมล็ดพันธุ์ (seed) ถั่วเขียว KUML นำชมกระบวนการผลิตถั่วเขียว KUML ของกลุ่มรวมถึงเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUMLกิจกรรมการตามรอยการผลิตเมล็ดพันธุ์ (seed) ถั่วเขียว KUML นำชมกระบวนการผลิตถั่วเขียว KUML ของกลุ่มรวมถึงเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUMLกิจกรรมการตามรอยการผลิตเมล็ดพันธุ์ (seed) ถั่วเขียว KUML นำชมนิทรรศการถั่วเขียว KUML และเทคโนโลยีของ สวทช.บรรยากาศการลงแปลงปลูกถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML และลงแขกเก็บเมล็ดพันธุ์ KUML ด้วยมือบรรยากาศการลงแปลงปลูกถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML และลงแขกเก็บเมล็ดพันธุ์ KUML ด้วยมือกิจกรรมเสวนากว่าจะเป็น “ศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน: ถั่วเขียว KUML จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี” หัวข้องานวิจัยสู่แปลงผลิตกิจกรรมเสวนากว่าจะเป็น “ศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน: ถั่วเขียว KUML จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี” หัวข้อการทำงานบูรณาการกับกรมส่งเสริมการเกษตรกิจกรรมเสวนากว่าจะเป็น “ศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน: ถั่วเขียว KUML จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี” หัวข้อ The Trainerกิจกรรมเสวนากว่าจะเป็น “ศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน: ถั่วเขียว KUML จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี” หัวข้อตลาดนำการผลิตกิจกรรมเสวนากว่าจะเป็น “ศูนย์เรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ระดับชุมชน: ถั่วเขียว KUML จากงานวิจัยสู่แปลงผลิตด้วยความรู้และเทคโนโลยี” หัวข้อการถ่ายทอดเทคโนโลยี และผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี ปี 2567 กิจกรรมวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ประจำปี 2567 และการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่าง เกษตรกร หน่วยงานภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และ สวทช. ในหัวข้อ“การบูรณาการความร่วมมือ ตลาดนำนวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ในการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.00 – 16.30 น.ณ แปลงเกษตรกรนายรังสรรค์ อยู่สุข บ้านคำฮี หมู่ 10 ตำบลนาคาย อำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานีมันสำปะหลังอินทรีย์เป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกหนึ่งที่เกษตรกรในจังหวัดอุบลราชธานี เริ่มให้ความนิยมปลูกเพื่อสร้างรายได้ โดยจังหวัดอุบลราชธานีมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์ประมาณ 4,673.50 ไร่ ผลผลิต 16,357 ตัว/ปี บริษัท อุบลไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) เป็นโรงงานรับซื้อมันสำปะหลังอินทรีย์และแปรรูปมันสำปะหลังอินทรีย์ ในจังหวัดอุบลราชธานี ต้องการหัวมันสดอินทรีย์ ปริมาณ 100,000 ตัน/ปี โดยมีราคารับซื้อสูงกว่ามันสำปะหลังเคมี 0.50 สตางค์/กิโลกรัมสวทช. สวก. ได้ดำเนินงานร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดอุบลราชธานีและบริษัท อุบลไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) จัดทำแปลงต้นแบบการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดินในการปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์ ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดยโสธร และจังหวัดอำนาจเจริญ ผลการดำเนินงานพบว่าแปลงต้นแบบการปรับใช้เทคโนโลยีมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น และกำไรมากขึ้น โดยแปลงต้นแบบของนายรังสรรค์ อยู่สุข อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี ได้ผลผลิตมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น 2 ตันต่อไร่ ได้กำไรเพิ่มขึ้นถึง 5,000 บาท ต่อไร่ ดังนั้น คณะทำงานจึงได้จัดงานเสวนาแลกเปลี่ยนการปรับใช้เทคโนโลยีขึ้น เพื่อให้เกษตรกรสนใจ ได้เข้าเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีในแปลงตัวอย่าง ผ่านฐานการเรียนรู้ 6 ฐานการเรียนรู้ ได้แก่ 1) ฐานการตรวจวิเคราะห์ดิน และผลการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ตามค่าวิเคราะห์ดินในการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ โดย สวทช. 2) ฐานการป้องกันศัตรูพืชการป้องกันกำจัดศัตรูพืช โดยกลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดอุบลราชธานี 3) ฐานสถานการณ์ และการเฝ้าระวัง โรคใบด่างมันสำปะหลังและพันธุ์สะอาด โดยศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี และยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ 4) ฐานการบริหารจัดการแปลงมันสำปะหลังอินทรีย์ และการขอรับรองมาตรฐาน Organic Thailand โดยสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4 อุบลราชธานี กรมวิชาการเกษตร 5) ฐานการสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงการตลาดมันสำปะหลังอินทรีย์ โดยบริษัท อุบลไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) 6) ฐานเทคโนโลยีนวัตกรรมการเกษตร โดยบริษัท ศรีเมืองยนต์ 1991 จำกัด และบริษัทรวมสินไทยแทรกเตอร์ จำกัดโดยมีเกษตรกรได้เข้าร่วมกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนการใช้เทคโนโลยีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดิน ของจังหวัดอุบลราชธานี อำเภอละ 40 ราย รวมทั้งสิ้น 249 คน ประกอบด้วย1. อำเภอตาลสุม 2. อำเภอศรีเมืองใหม่ 3. อำเภอตระการพืชผล 4. อำเภอดอนมดแดง 5. อำเภอสว่างวีระวงศ์ 6. อำเภอพิบูลมังสาหารผลจากการเข้าร่วมเสวนา พบว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมเสวนาได้ให้ความสนใจในการปรับใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดินเนื่องจากเห็นผลที่ชัดเจน คุ้มค่าการลงทุน จึงได้นำผลการเข้าร่วมเสวนามาขยายผลในการตรวจวิเคราะห์ดินพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังของเกษตรกรในปี 2567 นี้ ซึ่งจะดำเนินงานผ่านทางสำนักงานเกษตรจังหวัด และจะดำเนินการตรวจวิเคราะห์ดินให้เกษตรกรที่สนใจภายในเดือนเมษายนและพฤกษาคม 2567 ก่อนเริ่มต้นฤดูการปลูกมันสำปะหลังนอกจากนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมการเสวนาได้ให้ข้อเสนอแนะถึงความต้องการให้หน่วยงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีในการจัดการวัชพืชในการปลูกในระบบอินทรีย์ เนื่องจากการจำกัดวัชพืชในระบบอินทรีย์นั้น ใช้ต้นทุนและแรงงานมาก ซึ่งเป็นอีกปัญหาสำคัญในการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ ภาพกิจกรรมการเสวนา “การบูรณาการความร่วมมือ ตลาดนำนวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ในการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ ภาพกิจกรรมวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ประจำปี 2567 ภาพกิจกรรมวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ประจำปี 2567 บูทจากหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้ความรู้กับเกษตรกร ปี 2566 โครงการยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้านพืชสมุนไพรสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ “การยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม: ด้านพืช สมุนไพร”ร่วมกับ 3 จังหวัดในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดมหาสารคามโดยโครงการได้มีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาดำเนินการและยกระดับการปลูกพืชสมุนไพรนำร่อง ได้แก่ ขิง ไพล ฟ้าทะลายโจร พร้อมทั้งเชื่อมโยงโดยได้รับความร่วมมือจากทาง บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) และบริษัท กุยลิ้มฮึ้ง จำกัด ในการรับซื้อผลผลิตคุณภาพเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และเปิดช่องทางการตลาดใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจชุมชนและฐานรากให้ยั่งยืนโดยใช้ฐานทรัพยากรในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์อ่านข้อมูลโครงการฯ ต่อได้ที่นี้ ปี 2565 ENTEC สวทช. ร่วมกับหน่วยงานรัฐและเอกชน จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็น การวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า‘เอนก’ ขนทัพนักวิจัย สวทช. มหาวิทยาลัย จับมือภาคเอกชน ปูพรมพัฒนาคุณภาพชีวิต 5 จังหวัด พื้นที่ ‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCGเอนก เร่งเครื่อง BCG พลิกฟื้นทุ่งกุลาร้องไห้ด้วย วทน.สวทช. เปิดเวทีเสริมแกร่งผู้ประกอบการอาหาร ร่วมแบ่งปันแนวคิดพัฒนาธุรกิจยุค Covid-19 ในงาน Next step networking & sharing Food Accelerate 2021สวทช. เดินหน้านำ BCG สู่ภูมิภาค “ยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” ด้วย “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม”ไบโอเทค สวทช. พัฒนาพันธุ์ข้าวเจ้านาปี “หอมสยาม” ข้าวหอม ผลผลิตสูง คุณภาพดี ต้านทานโรคไหม้ หวังส่งออกตลาดต่างประเทศเปิดนวัตกรรมอัจฉริยะโดดเด่นบนเวที AI Innovation JumpStart Batch3สวทช.พร้อมผลักดันต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ ปี 2564 นาโนเทค สวทช. จับมือหอการค้าจังหวัดระยอง ดัน ‘นวัตกรรมฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว’ สร้างความเชื่อมั่นยุคโควิด-19สวทช. ร่วมลงนาม “ภาคีความร่วมมืออวกาศไทย” กับหน่วยงานภายใต้ อว. พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอวกาศไทยกระทรวง อว. สวทช. เปิดแล็บเทสต์มาตรฐาน ‘กัญชา-กัญชง’ ‘เพ ลา เพลิน’ จ.บุรีรัมย์ ประเดิมส่งทดสอบ ‘สารสำคัญ’ คัดเกรด-เพิ่มมูลค่าสวทช.-ม.เกษตรศาสตร์-ชุมชนบ้านดอนหวาย เปิด “ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML” แหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพแห่งแรก พร้อมส่งต่อแปลงปลูกทั่วไทยสท.-ม.แม่โจ้ ร่วมกับภาคเอกชน หนุนอาชีพให้ “ผู้พิการ” สร้าง “โรงเรือนไม้ไผ่ปลูกพืชต้นทุนต่ำ” ขยายเครือข่ายผู้ผลิตผักอินทรีย์คุณภาพHandySenseภาครัฐ-เอกชนผนึกกำลัง คิดค้น “หินเบา” รักษาสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน ปี 2565 การจัดทำแบบสำรวจวัดระดับความผูกพันบุคลากรที่มีต่อองค์กร NSTDA Employee Engagement การร่วมแสดงความคิดเห็นในแบบสำรวจ Employee Engagement Survey และแบบประเมิน ITA ประจำปี 2565การร่วมแสดงความคิดเห็นในแบบสำรวจการประเมินโครงการคุณธรรมและความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ (ITA)ประชาสัมพันธ์ การประชุมโต๊ะกลม “เครือข่ายพันธมิตร ภารกิจ Research Integrity ปี 2564 ประชาพิจารณ์ (ร่าง) แนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางชีวภาพการประชุมโต๊ะกลม “การเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านมาตรฐานและจริยธรรมการวิจัย”NSTDA Employee Engagement Survey 2021ขอความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม ข้อเสนอแนะ แนวทาง ความคิดเห็นร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
ข่าว
 
(29 เม.ย 64) เชิญรับชม Facebook Live “พิธีมอบ PETE (พีท) เปลปกป้อง – เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย”
กำหนดการถ่ายทอดสด พิธีมอบ PETE (พีท) เปลปกป้อง – เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2564 เวลา 10.30 – 11.30 น. Facebook: NSTDA-สวทช.(คลิก) 10.30-10.40 น.           พิธีกรกล่าวต้อนรับและชม VTR 10.45-10.50 น.            คุณกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าว “สวทช. กับแนวทางการวิจัยพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ในอนาคตและการรับมือโควิด-19” 10.50-11.10 น.           เสวนาบนเวที “การรับมือและการให้บริการผู้ป่วยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยเปลแรงดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย” โดย                                    -  ผศ.นพ.อนุแสง จิตสมเกษม รองคณบดี คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช                                   -  ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ นักวิจัย หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช. 11.10-11.20 น.           นำเสนอและสาธิตการใช้งานเบื้องต้น PETE (พีท) เปลปกป้อง – เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย  โดย                                    คุณพรพิพัฒน์ อยู่สา ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช. 11.20-11.30 น.           พิธีมอบ PETE (พีท) เปลปกป้อง – เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย จำนวน 5 ชุดให้กับ 1. คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช 2. มูลนิธิรวมน้ำใจ 3. โรงพยาบาลวิภาวดี 4. โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ จังหวัดนครราชสีมา 5. รพ. สนาม เอราวัณ 2  
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ส่งมอบหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี ให้ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ เพื่อใช้ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่
ณ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ : นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยทีมวิจัยศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. นำนวัตกรรมเครื่องกำจัดเชื้อโรคด้วยวิธีการฉายแสงยูวีซี (Girm Zaber UV-C Sterilizer) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสก่อโรคโควิด-19 จำนวน 2 เครื่อง ประกอบด้วย 1.หุ่นยนต์ GIRM ZABER ROBOT ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี และ 2. GIRM ZABER STATION มอบแก่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ สำหรับใช้งาน ณ หอผู้ป่วยวิกฤตเมฆสวรรค์ ชั้น 3 อาคารกิตติวัฒนา ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยมีผศ.นพอมรพล กันเลิศ นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยกรรม พร้อมด้วย พญ.ฆริกานต์ อักษรชาติ และพญ. อรรจนา  เตชะกำพุช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เป็นผู้แทนรับมอบ ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา สวทช. ได้ส่งมอบเครื่องกำจัดเชื้อโรคด้วยวิธีการฉายแสงยูวีซี แก่สถานพยาบาลและหน่วยงานต่างๆ แล้วจำนวน 6 เครื่อง เพื่อใช้ฆ่าเชื้อโรคในโรงพยาบาลหรือสถานที่เสี่ยงต่างๆ โดยเครื่องกำจัดเชื้อโรคด้วยวิธีการฉายแสงยูวีซีทำงานโดยใช้รังสีอัลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นอยู่ในย่านความถี่ 254 นาโนเมตร มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สามารถกำจัดเชื้อโรคได้ทั้งบนพื้นผิวเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงไวรัสในฝอยละอองในอากาศ ช่วยลดการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ ลดสารตกค้าง รวมถึงความเสี่ยงของผู้ปฏิบัติงาน ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อจากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผ่านการทดสอบมาตรฐาน Lighting (มอก. 1955/EN55015) จากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญผู้ประกอบการโรงแรม หรือธุรกิจโฮมสเตย์ อบรมออนไลน์ “ฟรี” ” Digital Marketing for Hotel ” 4 หลักสูตรการตลาดดิจิตอล สร้างยอดปัง
สวทช. ขอเชิญผู้ประกอบการโรงแรม หรือธุรกิจโฮมสเตย์ อบรมออนไลน์ “ฟรี” " Digital Marketing for Hotel " 4 หลักสูตรการตลาดดิจิตอล สร้างยอดปัง! โดยวิทยากรสอนสนุก : อาจารย์ สรยุทธ อังคณานุกิจ Line Certified Coach 2021 27 เมษายน 2564 เวลา 13.00-16.00 น. สร้าง Content โรงแรมอย่างไรให้ปัง! 28 เมษายน 2564 เวลา 13.00-16.00 น. สร้างตัวตนโรงแรมบนโลกออนไลน์โดย ใช้ Facebook & Youtube 13 พฤษภาคม 2564 เวลา 09.00-12.00น. การใช้ Chat Commerce กับลูกค้าโรงแรม ( Line OA/ Line myshop) 14 พฤษภาคม 2564 เวลา 09.00-12.00น. รู้จัก E-Sale Page กลุทธ์การผสาน Social Media และ E-Commerce อย่ารอช้า...รับจำนวนจำกัด สมัครด่วนเลยที่ https://forms.gle/qT2NKiuwPEpyfjrr5
ปฏิทินกิจกรรม
 
“แบตเตอรี่สังกะสีไอออน” นวัตกรรมแบตเตอรี่ปลอดภัย
  นับวันแบตเตอรี่จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เพราะนอกจากจะนำไปใช้งานเป็นระบบกักเก็บพลังงานในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์พกพา ยังเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาหุ่นยนต์และยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ทว่าแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แม้จะมีน้ำหนักเบาและความจุไฟฟ้าสูง ก็ยังมีข้อเสียเรื่องความปลอดภัย เพราะแบตเตอรี่ชนิดนี้สามารถติดไฟและระเบิดได้ตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีส่วนผสมของโลหะหนักที่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม พัฒนา “แบตเตอรี่สังกะสีไอออน” แบตเตอรี่ทางเลือกใหม่ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม [caption id="attachment_18415" align="aligncenter" width="1000"] แบตเตอรี่ชนิดลิเทียม[/caption]   “แบตเตอรี่ชนิดลิเทียม” ระเบิดได้ เสี่ยงขาดแคลน ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าถึงที่มางานวิจัยว่า ทุกวันนี้แบตเตอรี่ที่นิยมใช้เชิงพาณิชย์คือแบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออน เพราะเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการกักเก็บพลังงานสูงที่สุดเมื่อเทียบต่อน้ำหนักของแบตเตอรี่ เหมาะต่อการใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องเคลื่อนย้ายพกพาได้สะดวก แต่ยังมีข้อจำกัดคือ ปัญหาด้านความปลอดภัย เนื่องจากการผลิตแบตเตอรี่ชนิดนี้ใช้อิเล็กโทรไลต์อินทรีย์ซึ่งเป็นพิษและไวไฟ สามารถระเบิดได้ นอกจากนี้แบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออนยังมีส่วนผสมของโลหะหนัก หากมีการใช้จำนวนมากและกำจัดไม่ถูกต้อง ย่อมมีโอกาสเกิดการรั่วไหลของสารพิษออกสู่สิ่งแวดล้อมได้ “ไม่เพียงปัญหาด้านความปลอดภัย การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบลิเทียมในประเทศไทยยังต้องอาศัยการพึ่งพาต่างประเทศเป็นหลัก เพราะประเทศไทยไม่มีแหล่งผลิตแร่ลิเทียม ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ขณะเดียวกันทรัพยากรแร่ลิเทียมยังเป็นแร่หายาก หากมีความต้องการใช้ในปริมาณมากเพื่อสร้างระบบกักเก็บไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน รวมถึงการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า อาจจะทำให้เกิดภาวะขาดแคลน และเกิดการขัดแย้งแย่งชิงทรัพยากรในอนาคต”   [caption id="attachment_18407" align="aligncenter" width="1000"] ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช.[/caption]   [caption id="attachment_18408" align="aligncenter" width="1000"] แบตเตอรี่สังกะสีไอออน (ขวา)[/caption]   [caption id="attachment_18410" align="aligncenter" width="1000"] แบตเตอรี่สังกะสีไอออน[/caption]   “แบตเตอรี่สังกะสีไอออน” ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ นักวิจัยศูนย์ NSD สวทช. เล่าถึงแบตเตอรี่สังกะสีไอออนที่ทีมวิจัยร่วมกันพัฒนาว่า ได้นำเทคโนโลยีกราฟีนเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บประจุของแบตเตอรี่ ซึ่งแบตเตอรี่สังกะสีไอออนมีค่าการเก็บประจุสูงถึง 200-220 mAh/g และมีค่าความหนาแน่นพลังงานอยู่ในช่วง 200-250 Wh/kg ให้ค่าแรงดันได้ 1.2–1.4 โวลต์ สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 2,000 รอบ มีประสิทธิภาพด้านความหนาแน่นพลังงานสูงกว่าแบตเตอรี่ตะกั่วกรด และสามารถเทียบเคียงกับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนบางชนิดได้ “แบตเตอรี่สังกะสีไอออนยังมีจุดเด่นในหลายด้าน เช่น ด้านราคา ด้านความปลอดภัย และด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากวัตถุดิบสังกะสีมีราคาถูกและมีปริมาณมากในธรรมชาติ แบตเตอรี่สังกะสีไอออนมีความปลอดภัยสูง ไม่ติดไฟ ไม่ระเบิดแม้ถูกเจาะ ที่สำคัญไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถนำมารีไซเคิลได้ ทั้งยังให้สมรรถนะที่ดี สำหรับแนวทางการนำไปใช้งาน เช่น ระบบกักเก็บพลังงานแบบอยู่กับที่ แบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าในบ้านพักอาศัย สถานีวิทยุสื่อสารทหาร รถไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้า หรือสถานที่ที่ต้องการความปลอดภัยสูง อาทิ แท่นขุดเจาะน้ำมัน”   [caption id="attachment_18412" align="aligncenter" width="1000"] ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ นักวิจัยศูนย์ NSD สวทช. (ซ้าย)[/caption]   “แบตเตอรี่สังกะสี” อุตสาหกรรมใหม่ สร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ประเทศ ด้วยศักยภาพของแบตเตอรี่สังกะสีไอออนทั้งประสิทธิภาพ ราคา และความปลอดภัย ทำให้มีการตั้งเป้าพัฒนาสู่ “แบตเตอรี่สมรรถนะสูง” นับเป็นโอกาสและความท้าทายในการสร้าง “อุตสาหกรรมใหม่” ให้แก่ประเทศ ดร.ศิวรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แบตเตอรี่สังกะสีไอออนที่ศูนย์ NSD วิจัยพัฒนาขึ้นมา มีประสิทธิภาพที่ไม่ได้ด้อยกว่าแบตเตอรี่แบบลิเทียมที่ใช้กันอยู่ปัจจุบัน อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญประเทศไทยมีแหล่งสำรองแร่สังกะสี จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ทางด้านการผลิตแบตเตอรี่สังกะสีแบบปลอดภัยได้เองในประเทศ ซึ่งประโยชน์ที่เกิดขึ้นนอกจากจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมของประเทศด้วย “ขณะนี้ สวทช. ได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม จัดตั้งและดำเนินการศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมแบตเตอรี่ล้ำสมัย ที่ผลิตจากวัตถุดิบภายในประเทศเพื่อความมั่นคง เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการวิจัย และเป็นศูนย์กลางในเครือข่ายงานวิจัยนวัตกรรมแบตเตอรี่ ที่ผลิตจากวัตถุดิบภายในประเทศ อีกทั้งยังมีการจัดทำ “โครงการศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนจัดตั้งโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่สังกะสีไอออนในประเทศไทย” โดยได้รับการสนับสนุนทุนการวิจัยจากแหล่งทุน กฟผ.-สวทช. เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาและผลักดันเทคโนโลยีแบตเตอรี่สังกะสีให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยมีแผนจัดสร้างโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่สังกะสีไอออนที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi (Eastern Economic Corridor of Innovation) ซึ่งตั้งอยู่ในวังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง ในอนาคตอันใกล้นี้” ความสำเร็จในการวิจัยพัฒนา “แบตเตอรี่สังกะสีไอออน” ของนักวิจัยไทย ไม่เพียงสร้างแบตเตอรี่ทางเลือกใหม่ที่ใช้ได้อย่างปลอดภัย แต่ยังเป็นความหวังในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะสร้างทั้งรายได้ ความมั่นคงทางพลังงาน รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศ   ผู้เรียบเรียง: นางสาววัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภาพ: ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) กราฟิก: นางสาวฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
บทความ
 
อว.ไม่หวั่นโควิด – 19 พร้อมเดินหน้าโครงการ U2T ต่อ “เอนก” ปรับการทำงานใหม่ให้ทำงานเป็น “จิตอาสา” ช่วยงานโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อว.แถลงข่าว “3 เดือน U2T ความสำเร็จและก้าวต่อไป” ว่า โครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ หรือ U2T เริ่มต้นเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ตนยินดีที่จะได้มาสรุปความสำเร็จในเบื้องต้นของงานซึ่งเป็นเวลาเดียวที่มีการระบาดของโควิด – 19 รอบ 3 อว.จะดำเนินโครงการ U2T ต่อไป ไม่หยุด ไม่ชะงัก เพราะโครงการ U2T เกิดจากโควิด – 19 อยู่แล้ว รัฐบาลต้องจ้างงานเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น โครงการทำให้ตำบลต่างๆ มีความเข้มแข็ง มีรากแก้วหยั่งลงไปในดินได้ ความสำเร็จประการแรก คือ อว.ทำให้เกิดการจ้างเกือบ 6 หมื่นคนซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จที่สุดในเวลาไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ต่อมาทำให้เกิดเงินหมุนเวียนภายในประเทศได้ถึงเดือนละกว่า 700 ล้านบาท เกือบ 3 เดือนที่ผ่านมาตนลงพื้นที่ไปติดตามการจ้างงานเหนือสุดที่ จ.ลำปาง ภาคอีสานที่สุดที่ จ.บึงกาฬ และภาคใต้สุดที่ จ.นราธิวาส ได้พูดคุยกับชาวบ้าน พวกเขาดีใจมาก ที่หมู่บ้านกลับมาคึกคัก ในตำบลมีคนเดินมาจับจ่ายใช้สอย นักเศรษฐศาสตร์ ของ อว.คำนวณว่าไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของเงินเดือนที่ผู้จ้างงานได้รับ ตกอยู่ใน 3 พันตำบลนั่นเอง รมว.อว.กล่าวต่อมา ประการต่อมาการจ้างงานทำให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ได้รับการจ้างงานกับชุมชนเกือบ 1 หมื่นโครงการ เฉลี่ยตำบลละ 30 โครงการ มีหลายโครงการที่น่าสนใจ เช่น การนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีมาจัดทำทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ใน 12 วัดในชุมชนวอแก้ว จ.ลำปาง ซึ่งทำให้คนในชุมชนกลับมาอนุรักษ์รักษามรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนตนเองเพื่อยกระดับเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชน หรือ การอบรมชาวบ้านทำ สปาสมุนไพรในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ในชุมชนภูเขาทอง จ.นราธิวาส เพื่อรองรับการท่องเที่ยวหรือการนำเทคโนโลยีด้าน IoT ไปใช้ในด้านการเกษตร เปลี่ยนแปลงเกษตรดั้งเดิมให้เป็น Smart Farming รวมถึงการทำเกษตรปลอดภัยในอีกหลายๆ ตำบล ที่บึงกาฬ เอาศิลปะโบราณเกี่ยวกับพญานาค ครูขาบ สุทธิพงษ์ สุริยะ ได้นำเด็กมาฝึกทำพิพิธภัณฑ์มีชีวิต ทำศิลปะพญานาคแต่ปรับให้เป็นสมัยใหม่ มี มรภ.อุดรธานี มาช่วยพัฒนา มีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดามาช่วยด้วย เป็นต้น ที่สำคัญ ผู้ได้รับการจ้างซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา บัณฑิตสามารถทำงานร่วมกับผู้ใหญ่ได้อย่างกลมกลืน กลมเกลียว เป็นการสนธิกำลังกัน ศ.ดร.เอนก กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ผู้ได้รับการจ้างงานได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลพื้นฐานตำบล เพื่อสำรวจปัญหาและประเมินศักยภาพตำบล ได้ถึง 97 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ได้รู้ว่ามีตำบล 31 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือ และมี 66 เปอร์เซ็นต์ที่พึ่งพาตัวเองได้หรือก้าวไปสู่ความยั่งยืนได้ จากนี้ไปผู้ได้รับการจ้างงานจะเก็บข้อมูลความหลากหลายของสังคมและความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพื่อนำข้อมูลมาสนับสนุนโครงการ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ของรัฐบาล นอกจากผู้ได้รับการจ้างงานจะทำงานกับชุมชนแล้ว ยังต้องเรียนไปด้วย เพื่อเพิ่มทักษะการเงิน ดิจิทัล ภาษาอังกฤษ และทักษะทางสังคม “ที่ผมพูดมา อาจจะมีคำถามว่าคุยโวหรือเปล่า ขอตอบว่าโครงการที่จะสำเร็จจริงหรือไม่ ดูไม่ยาก คือ ดูว่ามีคนสนใจเข้ามาร่วมกับเราหรือไม่ โครงการ U2T ถ้าไม่สำเร็จคงจะไม่มีภาคเอกชนมากมายเข้ามาร่วม เช่น เซ็นทรัลกรุ๊ป ให้ใช้พื้นที่ที่หาดใหญ่สำหรับ U2T และในอนาคตจะให้ใช้พื้นที่อีก 40 แห่งทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ แจ้งว่ากลุ่มซีพี จะสนับสนุนจะให้นำสินค้าเกษตรที่ชุมชนในโครงการ U2T มาจัดจำหน่ายในเครือ ยังมีเบทาโกร มิตรผล ธนาคารออมสิน รวมทั้งกูเกิ้ลที่ให้ใช้แอคเคาน์ฟรีถึง 1 แสนแอคเคาน์ด้วย ที่สำคัญเอกชนอยากจะให้เราเพิ่มพื้นที่ตำบลให้ครบทั่วประเทศ ซึ่งวันนี้ผมได้ทำหนังสือถึงเลขาธิการสภาพัฒน์เพื่อขอขยายโครงการ U2T อีก กว่า 4 พันตำบลแล้ว” ศ.ดร.เอนก กล่าวและว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าเราจะเอาเด็กในโครงการ U2T มาแข่งขันในโครงการ U2T Hackathon เพื่อให้เด็กช่วยกันคิดหาแนวทางการพัฒนาตำบลของตัวเองให้ดีที่สุดและจะเพิ่มการแข่งขันอี – สปอร์ตเข้าไปด้วย และทำเรื่อง Foresight หรือการคาดการณ์เพื่อสร้างอนาคตด้วย ตนคิดว่าเด็กรุ่นนี้โชคดีมาก ที่ได้เรียนรู้สิ่งที่พิเศษและวิเศษมากๆ “ที่สำคัญ อว.จะปรับการทำงานของโครงการ U2T ไปเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยโรงพยาบาลสนามเพื่อสู้ภัยโควิด – 19 ไปด้วย เราจะไม่หยุด ไม่ท้อ ไม่ถอย ไม่สะดุดเพราะโควิด – 19 เพราะ U2T นั้น เกิดมาจากโควิด เราจะทำไปจนถึงเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลเตรียมเปิดประเทศ” ศ.ดร.เอนก กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
การจัดส่งหนังสือราชการให้ สวทช. ในช่วงสถานการณ์ COVID-19
สวทช. ปรับวิธีการทำงานแบบ Work from Home เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ถึงวันที่ 15 กันยายน 2564 หน่วยงานสามารถจัดส่งหนังสือราชการผ่านช่องทาง ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ที่ saraban@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. รับโล่ประกาศเกียรติคุณองค์กรที่ให้การสนับสนุนภารกิจผู้สูงอายุดีเด่น
เมื่อเร็วๆนี้ ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์: นางสาววันทนีย์ พันธชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับโล่ประกาศเกียรติคุณแก่องค์กร/สถานประกอบการที่ให้การสนับสนุนภารกิจกรมกิจการผู้สูงอายุดีเด่น ภายในงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “พลังผู้สูงวัย รวมใจลูกหลาน นำไทยพ้นภัยโควิด-19” ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ประธานเปิดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2564 กล่าวว่า กระทรวง พม. ได้กำหนดจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2564 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ครอบครัว ชุมชน สังคม ตระหนักรู้ถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ และแสดงความรัก ความผูกพันต่อผู้สูงอายุแบบ New Normal เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุในสังคมไทยต่อไป พร้อมพิธีมอบรางวัลผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2564 ให้กับ “นายแพทย์เฉก ธนะสิริ” โดยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ  พิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่องค์กร/สถานประกอบการที่ให้การสนับสนุนภารกิจกรมกิจการผู้สูงอายุดีเด่น 3 แห่ง ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สมาคมสว่างนครลำปางธรรมสถาน และมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม และพิธีมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการประกวดภาพถ่ายและคลิปวิดีโอ ทั้งนี้ ภายในงานยังได้มีการจัดแสดงผลงานต่างๆ แบ่งเป็น 3 โซน ประกอบด้วย โซน “การดูแลผู้สูงอายุในสถานการณ์โควิด 19” เช่น การนำเสนอองค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และการรับมือสถานการณ์โควิด 19 ของศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ  โซน KM “สิทธิ สวัสดิการ และนวัตกรรมด้านผู้สูงอายุ” การนำเสนอนวัตกรรมจากหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ เครื่อง Kiosk ตรวจสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ เครื่องตรวจสุขภาพแบบพกพา (Portable checkup) และอุปกรณ์ติดตามการเคลื่อนไหวป้องกันการล้ม จาก สวทช.หุ่นยนต์ Mobile Type หุ่นยนต์น้องไข่มุก จาก วช. การรับมือสถานการณ์โควิด 19 ตลอดจนสิทธิและสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ และโซน KM“องค์ความรู้ที่ใช้ในการปฏิบัติงานของหน่วยงาน” ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ ทั้ง 12 แห่งทั่วประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นาโนเทค สวทช. จับมือหอการค้าจังหวัดระยอง ดัน ‘นวัตกรรมฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว’ สร้างความเชื่อมั่นยุคโควิด-19
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) นำโดย ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทค เปิดเวทีพูดคุยเกี่ยวกับ “นวัตกรรมซิงก์ไอออนฆ่าเชื้อโรค: ตัวช่วยสร้างความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว” โดยมี นางสาวธนิชญา ชินศิรประภา รองประธานหอการค้าจังหวัดระยอง นายสุดชาย สิงห์มโน ตัวแทนจากห้างแสงทองซุปเปอร์เซนเตอร์ พร้อมด้วยนายธนากร ตั้งเมธากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิซิล กรุ๊ป จำกัด และดร.วรายุธ สะโจมแสง นักวิจัยนาโนเทค ร่วมพูดคุยถึงสถานการณ์และประสบการณ์การใช้นวัตกรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนในจังหวัดระยอง ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า งานวิจัยที่ใช้แก่นความรู้เรื่องของนาโนเทคโนโลยีในการพัฒนานวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์เรื่องของสุขภาพการแพทย์ ภายใต้เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ของประเทศ ซึ่งศาสตร์นาโนเทคโนโลยีเป็นการมองลึกลงไปในระดับโมเลกุล ระดับนาโนเมตร เป็นศาสตร์เล็กที่ไม่เล็ก เพราะสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ซึ่งมีประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย อาทิ งานด้านสมุนไพรไทยที่ตอบแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทยฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 โดยนาโนเทคใช้เทคโนโลยีการกักเก็บ/ห่อหุ้มสารสกัดหรือสารออกฤทธิ์ที่ก่อให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม สามารถนำส่งไปยังจุดหมายปลายทางที่สามารถดูดซึมได้ดี อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากน้ำมันเมล็ดงาม้อน “มหาวิกฤตโควิด-19 เป็นความท้าทาย ไม่เฉพาะของเรา แต่ทั้งโลก นาโนเทคเอง พยายามทุ่มเททำงานเพื่อตอบโจทย์โควิด-19 ดังเช่น เบนไซออน ที่มาจากการพัฒนาเทคโนโลยีนาโนคีเลตจากซิงค์ไอออน ที่มาจากอาหารเสริมสัตว์ โดยที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค รวมถึงงานวิจัยอื่น ๆ อีกมาก” ดร.วรรณีกล่าว ด้าน นางสาวธนิชญา ชินศิรประภา รองประธานหอการค้าจังหวัดระยอง เผยว่า จังหวัดระยองเป็นจังหวัดที่ใกล้กรุงเทพฯ โอกาสที่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมาเที่ยวง่ายและสะดวก ดังนั้น ระยองจึงเป็นจุดหมายปลายทางที่เข้าถึงง่ายทั้งวันหยุดระยะสั้น ระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทั้งทะเล สวนผลไม้ หรือแหล่งเกษตรเพื่อการท่องเที่ยว ดังนั้น สิ่งที่น่าสนใจของระยองจึงมีจุดเด่นเป็นแหล่งธรรมชาติ ทั้งทะเล ภูเขา และเกษตร ไม่ใช่แค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น นอกจากด้านการท่องเที่ยว รองประธานหอการค้าจังหวัดระยองกล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมก็เป็นอีกส่วนที่ทำให้มีคนเดินทางมาที่ระยอง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เดินทางมาเพื่อดูงาน “สถานการณ์ของระยองก่อนโควิด-19 ในปี 2562 การท่องเที่ยวของระยองดีมาก มีนักท่องเที่ยวสูงถึง 3 ล้านคนโดยกว่าครึ่งหรือ 1.6 ล้านอยู่ที่เกาะเสม็ด แต่เมื่อเกิดโควิด นักท่องเที่ยวเหลืออยู่เพียง 20% ที่เกาะเสม็ด แต่ในตัวเมือง เหลือไม่ถึง 10% ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2563 คนในภาคธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ต่างพยายามรักษามาตรฐานของพื้นที่ของตนให้พร้อม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวไทย ทดแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงเป็นการตอบรับนโยบายของรัฐบาลและประเทศอีกด้วย” นางสาวธนิชญากล่าว พร้อมชี้ว่า จุดนี้ กำลังเป็นระลอกที่ 3 ของทั้งประเทศ แต่สำหรับระยอง นับเป็นระลอก 4 เราเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แทบจะเดือนเว้นเดือน ดังนั้น หอการค้าจังหวัดระยองได้ร่วมกับภาครัฐจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงประชาชนในพื้นที่ให้มีความมั่นใจ กล้าที่จะใช้จ่าย นายสุดชาย สิงห์มโน ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ห้างแสงทองซูเปอร์เซ็นเตอร์ กล่าวว่า การค้าปลีก เป็นชีวิตประจำวันของคนเรา ด้วยระยองมีคนท้องถิ่นราว 7 แสนคน มีคนที่มาทำงานอีกราว 8 แสนคน ดังนั้น เมื่อโควิดมา นักท่องเที่ยวหาย กลุ่มผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้า ก็กระทบ รวมมาถึงค้าปลีก ที่โดนผลกระทบเช่นกัน เพราะเมื่อคนมีรายได้น้อย กำลังซื้อก็น้อยลง แต่ก็ยังมี เพราะแม้เมื่อนักท่องเที่ยวหายไป เรายังคงมีกลุ่มคนที่อยู่ในระยอง “เรามีโอกาสได้รู้จักกับทีม สวทช. และได้นำผลงานวิจัยมาช่วยภาคธุรกิจของจังหวัดระยอง ผ่านทางหอการค้าจังหวัดระยอง โดยหนึ่งในนั้นก็มีเบนไซออน ซึ่งก็ได้นำไปทดลองใช้ฉีดพ่น เช็ดทำความสะอาด ซึ่งแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่เขาใช้กันปกติ โดยไม่มีกลิ่นกวนใจ ก็น่าสนใจ และต่อยอดนำผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเบนไซออนไปวางจำหน่ายในห้าง รวมถึงมีการฉีดพ่นที่เทศบาล รวมถึงส่วนของห้องประชุมต่าง ๆ ของหอการค้าอีกด้วย” นายธนากร ตั้งเมธากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิซิล กรุ๊ป จำกัด ผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผลิตภัณฑ์เบนไซออน กล่าวว่า บริษัทมีการร่วมมือกับนาโนเทค และดร.วรายุทธ สะโจมแสง เจ้าของงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ และมองเห็นโอกาส ด้วยมีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นพิษ เมื่อย่อยสลายแล้วสามารถเป็นปุ๋ย/อาหารสัตว์ได้ จึงต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์เบนไซออน ที่สามารถตอบโจทย์ของของโรคระบาด โดยมีการนำไปใช้ในหลายพื้นที่ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน เทศบาล ฯลฯ ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ สามารถตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย และประสิทธิภาพ ที่มีผลการทดสอบที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ขณะเดียวกัน เมื่อพูดถึงประเด็นของ “นวัตกรรม” ที่จะเป็นตัวช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ ดร.วรรณีมองว่า ความเชื่อมั่นในสภาวะวิกฤตต้องเกิดจากความร่วมมือและความเชื่อมั่นของผู้วิจัยพัฒนา ที่ทำงานและพร้อมจะหยิบจับเอามาใช้ตอบโจทย์ในภาวะวิกฤตต่าง ๆ “การนำนวัตกรรมไปใช้ จำเป็นต้องมีคนที่เชื่อเหมือนกันและนำงานวิจัยไปสู่ผู้ใช้ รับถ่ายทอดเทคโนโลยี ไปสู่เชิงพาณิชย์ ให้โอกาสนวัตกรรมที่คนไทยพัฒนาขึ้นเองไปใช้ และต้องการการสื่อสารให้คนรู้จักและเข้าใจ สิ่งสำคัญคือ ความรวดเร็วในการทำงานให้ทันสถานการณ์” นอกจากนี้ ดร.วรรณีย้ำว่า การวิเคราะห์ทดสอบ/มาตรฐาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนวัตกรรมไทย อย่างโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure หรือ NQI) ที่เป็นอีก 1 ทัพใหญ่ที่เราต้องสร้างเพื่อให้เกิดมาตรฐานที่สามารถอ้างอิงผลและประสิทธิภาพให้กับนวัตกรรมไทย สำหรับผู้ใช้ทั้งในประเทศ และโอกาสในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ รองประธานหอการค้าจังหวัดระยอง มองว่า การนำนวัตกรรมมาใช้ในวิกฤต ถือว่า สำคัญมาก ระยองไม่มีเพียงนักท่องเที่ยว แต่มีคนที่มาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก การสร้างความมั่นใจให้บุคคลต่าง ๆ ที่ครอบคลุมทั้งการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมเป็นสิ่งจำเป็น “คนไทยจำนวนมากมองว่า โควิด-19 เป็นสิ่งที่น่ากลัวและพยายามวิ่งหนี แต่เราไม่ได้มองว่า เราจะอยู่กับมันอย่างปลอดภัย เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อธุรกิจไม่เพียงแค่การท่องเที่ยว แต่เป็นทั้งซัพพลายเชน ทุกคนต้องรู้ว่า วิกฤตมาแล้วเราจะอยู่กับมันอย่างไร สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ภาคธุรกิจ ผู้มาประชุมสัมมนา การนำนวัตกรรมมาใช้สร้างความเชื่อมั่นจะมีผลที่ดีต่อภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว” นางสาวธนิชญากล่าว พร้อมย้ำว่า ภูมิใจที่ไทยมี สวทช. ที่มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมให้คนไทย ด้านผู้ประกอบการที่เป็นผู้ใช้นวัตกรรมเบนไซออนเพื่อฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่ธุรกิจ สร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอย่างห้างแสงทองซุปเปอร์เซ็นเตอร์ นายสุดชายมองว่า สิ่งสำคัญคือ การเข้าถึงนวัตกรรมไทย ซึ่งหากตัวเองไม่รู้จัก สวทช. และไปเจอผลิตภัณฑ์แบบนี้ จะเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ได้อย่างไร จะติดต่อใคร จะใช้งานอย่างไร ดังนั้นจึงมองว่า ภาครัฐควรมีการรวบรวมข้อมูลที่ผู้ประกอบการหรือประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูล โดยที่มีมาตรฐาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่าง ๆ กล้าที่จะออกมาใช้ชีวิต จับจ่ายใช้สอยตามปกติ “วิกฤตโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนเปลี่ยนไป ช้อปปิ้งออนไลน์เพิ่มมากขึ้น แต่คนยังอยากที่จะออกมาเลือก ออกมาหยิบจับซื้อของ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ต้องการข้อมูลมาสนับสนุน ดังนั้น หากมีหน่วยงานภาครัฐที่นำนวัตกรรมมานำเสนอ มีการสนับสนุนเป็นองค์รวม จะสร้างความเชื่อมั่น และเปิดโอกาสให้เข้าถึงนวัตกรรมไทยได้อย่างกว้างขวางขึ้น สามารถเดินหน้ากันได้ทั้งองคาพยพ” ที่สำคัญ คุณสุดชายย้ำว่า ที่มาของนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญ แต่ผลลัพธ์หรือผลการทดสอบ ทดลองใช้ที่หากนำเสนอ ก็จะยิ่งสร้างความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เอื้อให้เกิดการสื่อสารออกไปในวงกว้าง สร้างความเข้าใจ ให้คนกล้าที่จะลองใช้ของใหม่ได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกัน โปรโมชั่นและการตลาดที่ตอบความต้องการของผู้บริโภคก็จะสร้างความคุ้นชินให้ผู้บริโภค มั่นใจ นำไปสู่ความพร้อมที่จะอยู่กับโควิดอย่างปลอดภัย” ผู้บริหารของห้างแสงทองซุปเปอร์เซ็นเตอร์กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์