หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
พัฒนาโปรตีนถั่วเขียวสู่เครื่องดื่มโปรตีนสูงเสริมแคลเซียม “M-Pro Jelly Drink”
For English-version news, please visit : M-Pro Jelly Drink: Plant-based protein drink   นักวิจัยเอ็มเทคพัฒนาเครื่องดื่มโปรตีนสูงจากโปรตีนถั่วเขียว รับเทรนด์การบริโภคยุคใหม่ เน้นใส่ใจสุขภาพควบคู่รักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งมุ่งใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบที่มีในประเทศ ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าให้ของเหลือจากอุตสาหกรรม ตอบโจทย์แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจบีซีจี   [caption id="attachment_20532" align="aligncenter" width="1000"] M-Pro Jelly Drink[/caption]   เครื่องดื่มโปรตีนสูงจากถั่วเขียวที่ว่านี้มีชื่อว่า M-Pro Jelly Drink เป็นเครื่องดื่มชนิดเจลที่มีโปรตีนสูงและมีการเสริมแคลเซียมเข้าไปด้วย วิจัยและพัฒนาโดย ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)   [caption id="attachment_20533" align="aligncenter" width="1000"] ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ศิริกาญจน์ กล่าวว่า ถั่วเขียวเป็นพืชที่มีโปรตีนสูงและปลูกมากในประเทศไทย ขณะที่ในอุตสาหกรรมวุ้นเส้นมีผลพลอยได้เป็นกากถั่วเขียวหรือโปรตีนถั่วเขียวเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์โดยไม่ได้ทำให้มีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด จึงคิดว่าหากสามารถนำโปรตีนถั่วเขียวมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เครื่องดื่มโปรตีนสูง ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่กากถั่วเขียวที่เหลือจากการผลิตวุ้นเส้นได้ “ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโปรตีนทั่วไปที่เรารู้จัก เช่น เวย์โปรตีน นม เป็นโปรตีนที่มาจากสัตว์ แต่เทรนด์การบริโภคสมัยใหม่ต้องการความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้บริโภคจึงหันมาสนใจโปรตีนจากพืชซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกมากขึ้น แต่เครื่องดื่มโปรตีนทางเลือกส่วนใหญ่มีปริมาณโปรตีนค่อนข้างต่ำ ซึ่งการพัฒนาโปรตีนจากพืชให้มีคุณภาพหรือมีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับโปรตีนจากสัตว์ที่มีแคลเซียมสูง การใช้โนว์ฮาวแบบเก่าไม่สามารถทำได้ เราจึงต้องมีการปรับกรรมวิธีในการผลิต และมีการเพิ่มสารปรับเนื้อสัมผัสเข้าไปเพื่อช่วยคงสภาพของโปรตีนไม่ให้เกิดการตกตะกอนหรือเกิดการแยกชั้น ทำให้เครื่องดื่มมีลักษณะที่น่ารับประทาน และมีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม”   [caption id="attachment_20535" align="aligncenter" width="1000"] M-Pro Jelly Drink[/caption]   นักวิจัยได้นำโปรตีนถั่วเขียวมาผ่านกระบวนการผลิตเพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดโครงสร้างโปรตีนตามต้องการ ร่วมกับการใช้ไฮโดรคอลลอยด์ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อช่วยในการพยุงโครงสร้าง และช่วยในการกระจายตัวของโปรตีนให้คงสภาพได้ดีภายหลังการให้ความร้อนระดับพาสเจอไรซ์ ทำให้ได้เครื่องดื่มโปรตีนสูงชนิดเจลจากโปรตีนพืชที่มีลักษณะปรากฏเป็นเนื้อเดียวกัน และมีเนื้อสัมผัสที่เทียบเคียงได้กับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชนิดเจลทางการค้าที่ไม่มีโปรตีนหรือมีโปรตีนในปริมาณที่ต่ำกว่า โดยผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บรักษานาน 2 สัปดาห์ในตู้เย็น และกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาให้สามารถเก็บไว้ได้นานขึ้นโดยไม่ต้องแช่เย็น ทั้งนี้ เครื่องดื่ม M-Pro Jelly Drink มีปริมาณโปรตีนสูงมากกว่าร้อยละ 20 ของปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI) หรือร้อยละ 6 โดยน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ และมีการเสริมแคลเซียมกว่าร้อยละ 10 ของปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI)   [caption id="attachment_20536" align="aligncenter" width="1000"] M-Pro Jelly Drink[/caption]   “ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม M-Pro Jelly Drink นี้เป็นเครื่องดื่มโปรตีนทางเลือกที่เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการเสริมโปรตีนให้แก่ร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่สามารถดื่มนมวัวได้และผู้ที่แพ้น้ำตาลแลคโตสในนมวัว รวมถึงกลุ่มนักกีฬาและคนที่ออกกำลังกายที่ดื่มเวย์เป็นหลักอยู่แล้ว และอยากจะเปลี่ยนมาดื่มผลิตภัณฑ์รักษ์โลกหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาจากสัตว์ เครื่องดื่มโปรตีนถั่วเขียวนี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง” นักวิจัยให้ข้อมูล แนวโน้มอาหารในอนาคตจะมาจากพืชมากขึ้น (Plant Based Food) เพราะเป็นแหล่งอาหารที่ยั่งยืนกว่าอาหารที่มาจากสัตว์ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้บริโภค ผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเครื่องดื่ม M-Pro Jelly Drink หรือสนใจพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากโปรตีนพืชในรูปแบบต่างๆ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เอ็มเทค สวทช. เรียบเรียงโดย นางสาววีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ ภาพถ่ายโดย นายชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กราฟิกโดย นางสาวภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
กรมสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานเงิน-สิ่งของให้ รพ.สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ
วันที่ 1 มิถุนายน 2564  ณ โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ ให้ รศ.ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา เป็นผู้แทนพระองค์ มอบเงินพระราชทานจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 100,000 บาท เพื่อเป็นค่าอาหารสำหรับคนพิการที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ นอกจากนี้ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา สมาคมนักเรียนเก่าโรงเรียนจิตรลดา และสถานประกอบการในเครือข่ายสถาบัน ได้มอบสิ่งของ ได้แก่ น้ำดื่มและข้าวกล่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งกำลังใจให้คนพิการ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยพิการที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 และปฏิบัติงานโรงพยาบาลสนามฯ โดยมี นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมด้วย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. และคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัด พก. ร่วมรับคณะผู้แทนพระองค์  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ รักษาผู้ป่วยโควิด-19
เปิดแล้ว! โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม , กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดรับผู้พิการที่ติดเชื้อ โควิด19 เริ่ม 1 มิ.ย. เป็นวันแรก
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
กมธ.การพัฒนาสังคมฯ วุฒิสภา ตรวจเยี่ยม รพ.สนามบ้านวิทย์ฯ เพื่อคนพิการที่ติดเชื้อโควิด-19 พร้อมเปิดบริการ 1 มิ.ย.นี้
วันนี้ (31 พ.ค. 64) ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา นำโดย นายมณเฑียร บุญตัน ประธานคณะอนุกรรมาธิการ พร้อมด้วยอนุกรรมาธิการ ประกอบด้วย นายสว่าง ศรีสม นางอาทิชา นราวรวัชร นางสาวเครือวัลย์ เที่ยงธรรม และนางสาวพิมพ์ปญา อติสิราวัชร์ ลงพื้นที่โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประทศไทย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมี ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และนางสาววันทนีย์ พันธชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) ในฐานะอนุกรรมาธิการ ให้การต้อนรับ สำหรับโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ มีความพร้อมในการเปิดให้บริการในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 โดยคนพิการกลุ่มเป้าหมายคือ คนพิการทางกายที่อายุต่ำกว่า 65 ปี ที่ช่วยเหลือตนเองได้และไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย ได้แก่ พิการทางการเห็น ทางการได้ยิน และทางกายหรือการเคลื่อนไหว ที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้โดยใช้อุปกรณ์ เครื่องช่วยความพิการที่มีอยู่ ทั้งนี้การดูแลครอบคลุมถึงสมาชิกครอบครัวคนพิการและผู้ดูแล ที่มีผลตรวจพบเชื้อโดยวิธี PCR ณ สถานพยาบาลทั่วไป โดยใช้พื้นที่ชั้น 5 - 10 ของบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรสามารถรองรับได้ 224 เตียง โดยกรมการแพทย์ โดยสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟู ฯ ได้เตรียมความพร้อมบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล และทีมสหวิชาชีพ ที่มีประสบการณ์ในการดูแลคนพิการ เพื่อให้การดูแลคนพิการและผู้ดูแล ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านอุปกรณ์ในการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เหมาะสมกับความพิการ รวมทั้งสามารถติดตามถ่ายภาพเอกซเรย์ปอดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่พักรักษาตัว โดยกระบวนการรับข้อมูลผู้ป่วยคนพิการจะมีการประสานงานรับเรื่องจากทั้งสายด่วนคนพิการ และสายด่วน 1668 ทั้งนี้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้การสนับสนุนพื้นที่ อาคาร รวมถึงบุคลากรร่วมดำเนินการแล้วยังนำเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัย มีความเหมาะสมกับคนพิการประเภทต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลรักษาในโรงพยาบาลสนาม เช่น รถเข็นส่งของบังคับระยะไกล เปลความดันลบ เคลื่อนย้ายผู้ป่วย เครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี เครื่องช่วยสื่อสารสำหรับผู้พิการทางการได้ยิน เป็นต้น นอกจากนี้ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้เตรียมความพร้อมด้านสวัสดิการสังคม เช่น เครื่องอุปโภค บริโภค เครื่องใช้ส่วนตัวฯลฯ สำหรับคนพิการระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาลสนาม และได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดบุคลากรที่ผ่านการอบรมเกี่ยวกับการรับ-ส่ง คนพิการที่ติดโควิด-19 มาร่วมปฏิบัติงานด้วย ทั้งนี้สามารถประสานแจ้งข้อมูลเบื้องต้นได้ที่สายด่วน 1668 สายด่วนศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 และสายด่วนคนพิการ 1479 เพื่อประสานส่งต่อคนพิการ ครอบครัว และผู้ดูแลเพื่อเข้ารับบริการ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
30th Anniversary Story of NSTDA: พัฒนาเศรษฐกิจชาติ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้แก่ภาคการผลิตยางพารา ด้วยการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม
  “ยางพารา” ไม่เพียงเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีผลต่อวิถีชีวิตของคนใต้เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันหล่อเลี้ยงชีวิตเกษตรกรเกือบทั้งประเทศ เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางพารามากถึง 64 จังหวัด เกี่ยวข้องกับชีวิตเกษตรกรชาวสวนยางมากกว่า 1 ล้านครัวเรือน ทว่าที่ผ่านมา ภาคการผลิตยางพาราทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ยังเผชิญกับปัญหาหลายด้าน ทั้งต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง สัดส่วนการใช้ยางในประเทศยังมีน้อย ต้องพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลัก และแม้ประเทศไทยจะเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก แต่ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกวัตถุดิบแปรรูปขั้นต้น ซึ่งมีมูลค่าไม่สูงนัก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จับมือกับเครือข่ายนวัตกรรมยางพารา และหน่วยงานพันธมิตร เดินหน้าวิจัยและพัฒนา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคการผลิตยางพาราตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เร่งสร้างนวัตกรรมส่งเสริมภาคการผลิตยางพารา ครอบคลุมตั้งแต่การรักษาสภาพน้ำยางไปจนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้แก่ประเทศ   อุตสาหกรรมยางต้นน้ำ ช่วยเกษตรกรลดใช้สารเคมีผลิตน้ำยางสด การผลิตยางต้นน้ำ เอ็มเทค สวทช. มุ่งช่วยเกษตรกรลดการใช้สารเคมีในการผลิตน้ำยางสด โดยที่ผ่านมาน้ำยางสดที่กรีดจากต้นยางมีอายุการเก็บก่อนนำไปเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเพียง 4-6 ชั่วโมง หลังจากนั้นน้ำยางสดจะเริ่มเสื่อมสภาพ หรือที่เรียกว่า “ยางบูด” เกษตรกรผู้ผลิตน้ำยางสดจึงมักเติมแอมโมเนียหรือโซเดียมซัลไฟต์ (ยากันกรอก) เพื่อยืดอายุน้ำยางสด แต่ปัญหาที่พบคือ แอมโมเนียมีกลิ่นฉุน ระเหยง่าย และเป็นพิษต่อเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม ขณะที่เมื่อใช้โซเดียมซัลไฟต์ มักจะทำให้เกิดฟองอากาศในยางแผ่น กลายเป็นยางแผ่นคุณภาพต่ำ ขายไม่ได้ราคา   [caption id="attachment_20408" align="aligncenter" width="1000"] น้ำยางสด[/caption]   [caption id="attachment_20404" align="aligncenter" width="1000"] สารบีเทพ (BeThEPS)[/caption]   ทีมนักวิจัยน้ำยางและวัสดุยาง กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยี “สารบีเทพ (BeThEPS)” ซึ่งสามารถใช้ทดแทนแอมโมเนีย มีประสิทธิภาพยืดอายุน้ำยางสดได้นาน 1-3 วัน ช่วยเกษตรกรลดความถี่ในการส่งน้ำยาง ลดต้นทุน น้ำยางสดที่ได้มีคุณภาพดี ทำให้แผ่นยางจับตัวรีดง่าย เกิดลายดอกชัดเจน เพิ่มปริมาณยางแผ่นรมควันคุณภาพดี ลดปริมาณยางตกเกรด ที่สำคัญคือไม่มีกลิ่นฉุน ปลอดภัยต่อสุขภาพเกษตรกรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อการจัดทำมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) รวมถึงแนวคิด Sustainable Natural Rubber Initiatives (SNR-i) ที่อาจเป็นข้อกีดกันทางการค้าในอนาคต ปัจจุบันมีการนำสารบีเทพไปใช้ในสวนยางพาราแล้วมากกว่า 3,700 ไร่   [caption id="attachment_20409" align="aligncenter" width="1000"] ยางแผ่นจากน้ำยางสดที่ใช้สารบีเทพ[/caption]   อุตสาหกรรมกลางน้ำ ช่วยผู้ประกอบการลดสูญเสียเนื้อยางผลิตน้ำยางข้น อุตสาหกรรมกลางน้ำ เอ็มเทค สวทช. ช่วยผู้ประกอบการไทยลดการสูญเสียเนื้อยางในการผลิตน้ำยางข้นให้เป็นศูนย์ หรือ Zero Rubber Waste  ด้วย “นวัตกรรม Grass” ช่วยดึงเนื้อยางจากของเหลือทิ้งให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ และทำให้มีรายได้เพิ่ม ประกอบด้วย Grass 0 ใช้ทดแทนกรดซัลฟิวริก สามารถรวบรวมเนื้อยางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ขึ้นกับอายุของน้ำยาง แหล่งที่มาของน้ำยาง และปริมาณแอมโมเนียที่อยู่ในน้ำยาง และยังช่วยให้น้ำทิ้งมีสภาพเป็นกลาง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถัดมาคือ Grass 1 สารจับตัวน้ำยางสกิมประสิทธิภาพสูง สามารถรวบรวมน้ำยางสกิมได้มากกว่าร้อยละ 90 โดยน้ำหนัก ใช้ได้ทั้งน้ำยางสกิมใหม่และน้ำยางสกิมที่ได้จากน้ำยางสดเก่าเก็บ ทำให้ผลิตยางสกิมคุณภาพสูงได้มากขึ้น นอกจากนี้น้ำทิ้งไม่เป็นกรด และไม่มีซัลเฟตปนเปื้อน   [caption id="attachment_20410" align="aligncenter" width="1000"] นวัตกรรม Grass[/caption]   สำหรับ Grass 2  เป็นสารจับตัวน้ำล้างเครื่องปั่นน้ำยางประสิทธิภาพสูง จับตัวน้ำล้างเครื่องปั่นน้ำยางได้อย่างสมบูรณ์และรวดเร็ว ทำให้ได้เนื้อยางคุณภาพดี และสุดท้าย Grass 3 เทคโนโลยีการแยกเนื้อยางออกจากตะกอนน้ำยางหรือขี้แป้ง เพื่อนำยางกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งสามารถแยกสารอนินทรีย์เพื่อใช้ทำปุ๋ยหรือเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเซรามิก ปัจจุบันมีบริษัทรับถ่ายทอดเทคโนโลยี Grass แล้ว 5 บริษัท สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม มากกว่า 5,000 ล้านบาท   [caption id="attachment_20412" align="aligncenter" width="1000"] เนื้อยางที่แยกออกจากตะกอนน้ำยางหรือขี้แป้งเพื่อนำยางกลับมาใช้ใหม่[/caption]   นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาน้ำยางข้นเกรดพิเศษ เช่น นวัตกรรมพาราฟิต (ParaFit) น้ำยางพาราข้นแอมโมเนียต่ำสำหรับการผลิตหมอนและที่นอนยางพารา และการพัฒนาสูตรน้ำยางข้นแอมโมเนียต่ำมาก สำหรับผลิตภัณฑ์แอสฟัลต์ซีเมนต์เพื่อทำถนน ซึ่งนำไปใช้ทำถนนลาดยางแล้วระยะทาง 4,610 กิโลเมตร ใน 73 จังหวัด คิดเป็นมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมมากกว่า 4,000 ล้านบาท   อุตสาหกรรมปลายน้ำช่วยผู้ประกอบการพัฒนาสูตรยางคอมพาวด์ อุตสาหกรรมปลายน้ำ เอ็มเทค สวทช. ช่วยผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐ คิดค้นพัฒนา “สูตรยางคอมพาวด์” สำหรับแปรรูปผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งนี้มีผู้ขอใช้บริการแล้วมากกว่า 50 บริษัท ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น ทีมนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ พัฒนา ยางล้อตันประหยัดพลังงาน ซึ่งมีความทนทาน ประหยัดพลังงานมากถึง 60% ยางล้อตันมีอายุการใช้งานของดอกยางสูงกว่ายางล้อตันแบบเดิมประมาณ 2 เท่า ใช้พลังงานในการขับเคลื่อนน้อยลง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนยางและค่าเชื้อเพลิงในการใช้งานรถฟอร์กลิฟต์ได้ถึง 60,000 บาทต่อคันต่อปี   [caption id="attachment_20413" align="aligncenter" width="1000"] ยางล้อตันประหยัดพลังงาน[/caption]   [caption id="attachment_20414" align="aligncenter" width="1000"] ยางล้อตันประหยัดพลังงาน[/caption]   ที่สำคัญยังมีงานวิจัยที่เตรียมพร้อมส่งมอบอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีผลิตยางก้อนถ้วยไร้กลิ่นเหม็น ผลิตภัณฑ์ยางเพื่อการเล่นและการเรียนรู้ รวมถึงถุงมือยางโปรตีนต่ำมากเพื่อลดอาการแพ้ นวัตกรรมที่เป็นความหวังเพิ่มมูลค่าการส่งออกถุงมือยางของประเทศไทย เพราะปัจจุบันแม้จะส่งออกเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ยังมีมูลค่าในการส่งออกน้อยกว่ามาเลเซียมาก   [caption id="attachment_20420" align="aligncenter" width="1000"] ยางก้อนถ้วยไร้กลิ่นเหม็น[/caption]   [caption id="attachment_20429" align="aligncenter" width="1000"] ผลิตภัณฑ์ยางเพื่อการเล่นและการเรียนรู้ "Para Plearn"[/caption]   [caption id="attachment_20415" align="aligncenter" width="1000"] ถุงมือยางโปรตีนต่ำมากเพื่อลดอาการแพ้[/caption]   [caption id="attachment_20418" align="aligncenter" width="1000"] ถุงมือยางโปรตีนต่ำมากเพื่อลดอาการแพ้[/caption]   ขณะเดียวกันยังมีงานวิจัยยางพาราร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น เอ็มเทค ร่วมกับเครือข่ายนวัตกรรมยางพารา และคณะกรรมการมาตรฐานการช่วยชีวิต พัฒนา “หุ่นฝึกช่วยชีวิตจากยางพารา” ชุดอุปกรณ์แสดงข้อมูลขณะฝึกและเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติแบบสาธิต (AED Training) และยังได้ร่วมกับเครือข่ายนวัตกรรมยางพารา จัดทำ “เอกสารการผลิตยางก้อนถ้วยคุณภาพดี” เผยแพร่ให้แก่เกษตรกรอีกด้วย   จัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยาง เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เอ็มเทค สวทช. ยังเร่งผลักดันการพัฒนา “มาตรฐานผลิตภัณฑ์ยาง” โดยจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในระดับประเทศแล้ว 31 ฉบับ และระดับสากล ISO 2 ฉบับ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ยกระดับผลิตภัณฑ์ยางพาราไทยให้แข่งขันได้ในเวทีโลก เช่น การกำหนดมาตรฐานยางล้อตันสำหรับรถฟอร์กลิฟต์ มอก. 2668-2558 การกำหนดมาตรฐาน ISO เส้นด้ายยาง (ISO 20058:2017 General purpose rubber thread – Specification, ISO 2321:2017 Rubber thread – Methods of test) ซึ่งประเทศไทยส่งออกเส้นด้ายยางเป็นอันดับ 1 ของโลก ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างความสำเร็จของการวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมด้านยางพารา ที่เอ็มเทค สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร ได้มุ่งมั่นดำเนินการมากว่า 30 ปี เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีแก่เกษตรกรไทย ตอบโจทย์เป้าหมายยุทธศาสตร์ยางพารา 20 ปี และการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ที่มุ่งให้คนไทยอยู่ดีกินดี บนฐานทรัพยากรที่ยั่งยืน   
ข่าว
 
บทความ
 
สวทช. นำ 11 งานวิจัยใช้จริง รพ. สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ช่วยป้องกัน โควิด-19 พร้อมเปิดบริการ 1 มิ.ย. นี้
ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิริธร :  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำ 11 นวัตกรรมป้องกันไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ใช้ที่โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ซึ่งบูรณาการการทำงาน 3 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ทั้งนี้สามารถดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/20210527-Introducing-11-innovation.docx https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/20210527-Introducing-11-innovation.pdf    
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เสริมแกร่งเยาวชนรุ่นใหม่ สร้างการเรียนรู้ พร้อมรับมือโควิด-19
เมื่อเร็วๆนี้ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดกิจกรรมออนไลน์พูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ใน "Fun Science Buffet ตอน เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโควิด-19 และการป้องกัน”ทาง Zoom Webinar เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังระบาดทั่วโลก รวมถึงแบ่งปันประสบการณ์ในการรับมือไวรัสโคโรนาจากวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญพร้อมประสบการณ์ตรงในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ นางฤทัย จงสฤษดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวว่า  Fun Science Buffet เป็นโครงการที่รวม 4 โครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ 1.DESY Summer Student Program 2.โครงการไปประชุมกับนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลที่ประเทศเยอรมัน 3.โครงการ Global Young Scientists Summit (GYSS) 4.โครงการมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทย ซึ่งทั้ง 4 โครงการจะดูแล บ่มเพาะนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ระดับประถมจนถึงนักวิทยาศาสตร์วิชาชีพรุ่นใหม่ที่อายุไม่เกิน 35 ปี โดยครั้งนี้จัดในหัวข้อ “เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโควิด-19 และการป้องกัน” ซึ่งมีนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีความรู้มาร่วมแบ่งปันความรู้ เพื่อให้เยาวชนไทยรู้และเข้าใจเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจสู่การเป็นนักวิทยาศาสตร์ ยังเป็นการติดอาวุธให้เยาวชนสามารถดูแลตัวเองและรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาได้อีกด้วย โดยได้รับเกียรติจากวิทยากร 6 ท่านที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาให้ความรู้ในหัวข้อที่หลากหลาย อาทิ @ทำความรู้จักไวรัสวายร้าย เริ่มต้นจากการทำความรู้จักกับรูปร่างหน้าตา รวมถึงองค์ประกอบของไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งสามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้เป็น 4 กลุ่ม คือ อัลฟ่า เบต้า แกมม่า และเดลต้า ช่องทางการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส และอาการเมื่อร่างกายได้รับเชื้อ เช่น ไอ หายใจติดขัด มีไข้หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ อาเจียนท้องร่วง รวมถึงการสูญเสียสัมผัสรับรสหรือดมกลิ่น นอกจากนี้ยังให้ความรู้เรื่องจุดกำเนิดของการระบาดแรกเริ่มจากประเทศจีนสู่ประเทศไทย การติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในสัตว์เลี้ยงทั้งต่างประเทศและในประเทศ โดยวิทยากรจากวิทยาลัยการแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์  ดร.นายสัตวแพทย์สุทัศน์ แสงชูวงศ์ @การทำงานของไวรัสโคโรนา เป็นการเจาะลึกถึงกระบวนการทำงานของไวรัสโคโรน่าที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 โดย ดร.ภคพฤฒ คุ้มวัน จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ที่สอนให้น้องๆรู้จักพันธุกรรมของไวรัสก่อนจึงจะพัฒนาชุดตรวจซึ่งมีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็น 1.Rapid antigen (Ag) test ที่ใช้ตรวจโปรตีนของไวรัสในร่างกาย 2.Rapid IgM/IgG test เป็นชุดตรวจที่ใช้สำหรับตรวจแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกันที่สร้างแล้วหลังติดเชื้อ 1-2 สัปดาห์ 3.PCR & NAAT คือการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส และให้ความรู้เรื่องเทคนิคแลมป์ที่พัฒนาจากเทคนิค RT PCR จนเกิดเป็นชุดตรวจ COXY-AMP ที่สามารถตรวจวัดได้รวดเร็ว แม่นยำและสามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า @การป้องกันตนเองจากโควิด-19 เป็นการแชร์ประสบการณ์จากคุณหมอที่ดูแลคนไข้โควิด-19 ในช่วง peak of covid-19 ที่ระบาดในประเทศสหรัฐอเมริกา โดย พญ.ธมลวรรณ สุรเกียรติชานุกูล จาก University of  Virginia (UVA) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มาเล่าถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งการแบ่งปันประสบการณ์การดูแลตนเอง เช่น การใส่หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม การล้างมือด้วยสบู่และน้ำเปล่า รวมถึงการฉีกวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน @รู้จักใช้อุปกรณ์ป้องกันปลอดภัยจากโควิด-19           หนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระบาดหนักคือการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันตัวทางการแพทย์ ในหัวข้อนี้บรรยายโดย ดร.ขจรวุฒิ อุ่นใจ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจองเกล้าธนบุรี ที่ได้ช่วยให้น้องๆ รู้จักอุปกรณ์ป้องกันตัวทางการแพทย์ เช่น หน้ากาก N95 ที่มีหลายประเภท ซึ่งบางประเภทที่ไม่เหมาะกับทางการแพทย์ เพราะไม่สามารถทนต่อการซึมซับของเหลวได้ รวมถึงความแตกต่างของชุด PPE ทั้ง 3 แบบ ได้แก่ 1.Standard PPE 2.Full PPE 3.Enhanced PPE `ที่มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของการป้องกันเชื้อและวัสดุที่ช่วยในการสะท้อนน้ำ ที่ป้องกันละอองฝอยเบื้องต้นได้ นอกจากนี้ยังเล่าถึงประสบการณ์ในการสร้างห้องแรงดันลบเพื่อฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉินที่อุปกรณ์ขาดแคลนอย่างหนักจนต้องนำอุปกรณ์เดิมมาใช้งาน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรครวมถึงการคงประสิทธิภาพในการป้องกันของตัวอุปกรณ์ @เรื่องน่ารู้ของยารักษาโควิด-19           เมื่อเกิดโรคสิ่งที่ช่วยให้หายจากโรค คือ ยา ในหัวข้อนี้วิทยากร ดร.กังสะ อัมพรดนัย จาก University of Liverpool สหราชอาณาจักร ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของยา ความหมาย และกระบวนการผลิตยารักษาโรคตั้งแต่แรกเริ่ม จนถึงท้ายสุดที่ตัวยาออกสู่คนไข้ รวมถึงกระบวนการในการสังเคราะห์ยาที่ใช้ในการรักษาโรคที่เกิดจากไวรัสโคโรนา ซึ่งปัจจุบันเจาะกลุ่มยาที่ใช้เพื่อวิจัยและพัฒนาต่อได้ประมาณ 7 ชนิด ได้แก่  1.Chloroquine ที่ใช้รักษาโรคมาลาเรีย 2.Remdesivir 3.Favipiravir 4.Molnupiravir 5.Lopinavir/Ratonavir ซึ่งกลุ่มยาที่ใช้กับไวรัส 6.Bamlanivimab/Etesevimab 7.Casirivimab/Imdevimab ซึ่งทั้งสองชนิดเป็นยาในกลุ่มแอนติบอดี้ โดยได้ให้ความรู้ถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละประเภท รวมถึงอธิบายทำงานของยาดังกล่าวในการยับยั้งเชื้อไวรัสอีกด้วย @รู้จักวัคซีนและกลไกการทำงานของวัคซีนพิชิตโรค           วัคซีนถือเป็นอีก 1 สิ่งที่ช่วยรับมือกับการระบาดได้ ซึ่งในหัวข้อนี้ ดร.ทวีศักดิ์ เชี่ยวชาญศิลป์ จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ความรู้ในเรื่องกระบวนการพัฒนาวัคซีนสำหรับโควิด-19รวมถึงกระบวนการในการสร้างภูมิคุ้มกันของวัคซีน พร้อมยกตัวอย่างประเภทของวัคซีน เช่น Inactivated vaccines หรือวัคซีนเชื้อตาย ที่นำไวรัสมาทำให้เสียสภาพหรือเสียความสามารถในการติดเชื้อ ที่มีข้อดีความเสถียร ตัวอย่างวัคซีนประเภทนี้ได้แก่ Sinovac และ Sinopharm จากประเทศจีน หรือประเภท Subunit vaccines (peptide) เป็นวัคซีนที่จำลองเฉพาะส่วนของโปรตีนของไวรัส ซึ่งมีข้อดีคือ ทำง่ายและมีความเสถียร เช่น Novavax ที่ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา และสุดท้ายคือ Non-replicating viral vector vaccines หรือการใช้ไวรัสเวคเตอร์ที่ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ด้วยตัวเอง ให้นำพาสารพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 เข้าสู่ร่างกายเพื่อสร้างภูมิคุ้นกัน ซึ่งมีข้อดีคือสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีมาก เช่น Sputnik V จากประเทศรัสเซีย รวมถึง AstraZeneca และ Johnson & Johnson ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอบคุณนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่มาจุดประกายและให้ความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำเข้าใจเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาและกระบวนการต่างๆ อีกทั้งยังช่วยให้เห็นว่าความรู้วิทยาศาสตร์อยู่รอบตัว และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ รวมถึงเรื่องของงานวิจัยซึ่งก็เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่ง เช่น การผลิตยา การพัฒนาวัสดุที่ใช้ป้องกันต่างๆ ที่มีคุณภาพได้นั้นล้วนมีส่วนประกอบที่มาจากงานวิจัยทั้งสิ้น จึงอยากฝากเยาวชนรุ่นใหม่ให้สนใจในจุดนี้ โดยอาจจะเริ่มต้นจากการทำโครงงานได้เช่นกัน และหากต้องการความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ในหัวข้ออื่นๆ สามารถติดตามโครงการดีๆแบบนี้ได้ที่ facebook page : Sciencecamp หรือทางเว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/sciencecamp/th/   ///////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดกิจกรรม“STEM in action: 5 Important Industries for developing EEC-STEM curriculum” หวังช่วยเพิ่มศักยภาพครูในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  โดย ฝ่ายวิชาการหลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ได้จัดกิจกรรมออนไลน์พัฒนาศักยภาพครูในกิจกรรม“STEM in action: 5 Important Industries for developing EEC-STEM curriculum” ผ่านโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก  ซึ่งมีครูผู้สอน บุคลากรทางการศึกษาและผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมทาง Zoom Webinar กว่า 160 คน เพื่อเข้ารับฟังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หลากสาขา ทั้งนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักวิชาการ ผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศมาให้ความรู้ สาระสำคัญเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่น่าสนใจของประเทศเชื่อมโยงต่อยอดกิจกรรมเพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนตามแนวทางสะเต็มศึกษา ทั้งนี้ กิจกรรมประกอบไปด้วยหัวข้อการบรรยายที่น่าสนใจ 6 หัวข้อ ได้แก่ แนวทางการออกแบบการจัดการเรียนรู้ STEM Education and Industry 4.0 โดย นางฤทัย จงสฤษดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ได้กล่าวถึง สถานการณ์โลกและกระแสความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีในปัจจุบันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนด้วยการศึกษาซึ่งเป็นดังกุญแจสู่อนาคต ครูผู้สอนจึงมีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ ฝึกฝนทักษะที่จำเป็นและสร้างแรงบันดาลใจผ่านการออกแบบการจัดการเรียนรู้และเทคนิคการจัดกิจกรรมที่สร้างประสบการณ์ให้เด็กได้ลงมือทำ ได้คิดสร้างสรรค์ ค้นพบความรู้ด้วยตนเอง ตัวอย่างแนวทางการจัดกิจกรรมตามแนวทางสะเต็มศึกษา ได้แก่ กิจกรรมรถพลังงานลม กิจกรรมยานยนต์ล้อเดียว ด้าน อาจารย์ธนัชชา ชูพจน์เจริญ อาจารย์พิเศษ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  นักพัฒนาซอฟท์แวร์หุ่นยนต์ ที่ Mathworks, Natick, MA, USA และCEO บริษัทโคเอ็กซ์ซิส โรโบติกส์ จำกัด ได้บรรยายถึงหัวข้อ กฎเหล็กหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติกับสิ่งประดิษฐ์พลิกโลก  ว่าด้วยการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มขีดจำกัดการพัฒนานวัตกรรมของประเทศ แนวคิดพลิกโลกด้วยหุ่นยนต์และนวัตกรรมหุ่นยนต์ที่เริ่มมีบทบาทในการพัฒนาสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมการบริการรวมถึงอุตสาหกรรมบันเทิง สำหรับแนวทางในการจัดกิจกรรมหุ่นยนต์ในโรงเรียนต้องใช้ความรู้พื้นฐานเชิงบูรณาการ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ด้านฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ รวมทั้งทักษะกระบวนการทำงานในการพัฒนาหุ่นยนต์ เช่น teamwork โดยหัวใจหลักของกิจกรรมที่ทำให้สามารถดำเนินการสำเร็จได้ในโรงเรียน คือ นักเรียนได้ทำงานเป็นทีม มีครูผู้สอนทำให้เห็นเป็นตัวอย่างก่อน ต่อด้วย ดร.ปิติวุฒญ์ ธีรกิตติกุล อาจารย์ประจำสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และในฐานะนักเรียนทุน JSTP, สวทช. รุ่นที่ 1 กับการบรรยายถึงอนาคตของยานยนต์ ในหัวข้อ กล้า..หรือไม่กล้า...เมื่อยานยนต์ไร้คนขับ กล่าวว่า โลกของยานยนต์ในอนาคตที่มีแนวโน้มในการนำยานยนต์ไร้คนขับมาใช้งานมากขึ้น หลายคนเชื่อว่าจะเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนอนาคตและเปลี่ยนชีวิตของผู้คน แนวทางในการศึกษาพัฒนาต่อไปในอนาคตที่ต้องคำนึงถึงด้านจริยธรรมและความปลอดภัย เยาวชนจึงควรเรียนรู้ที่จะคิดวิเคราะห์และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์เป็นการเตรียมตัวรับเทคโนโลยีแห่งอนาคตนี้ สำหรับวิทยากรท่านต่อไป ดร.ยุวเรศ มลิลา ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. ในหัวข้อ มหัศจรรย์ของไข่สู่นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต ซึ่งได้เล่าถึงการพัฒนานวัตกรรมจากไข่มีจุดเริ่มจากการแก้ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดและความต้องการเพิ่มมูลค่าด้วยการนำไข่ไก่มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบง่าย ๆ เช่น ไข่ต้มพร้อมรับประทานที่หาซื้อได้ง่ายในร้านสะดวกซื้อ ต่อยอดสู่การพัฒนาเป็นไข่พาสเจอร์ไรส์รูปแบบต่างๆ ที่ต้องพัฒนากระบวนการพาสเจอร์ไรส์ให้ไข่ยังคงมีคุณสมบัติเชิงหน้าที่ได้ เช่น ไข่ขาวยังคงคุณสมบัติการเกิดโฟมเมื่อนำมาทำเบเกอรี่ และนวัตกรรมไข่ในอนาคตที่มีการนำวัตถุดิบอื่น เช่น พืชมาพัฒนาให้มีคุณสมบัติเหมือนไข่ เพื่อให้คนที่รับประทานมังสวิรัติสามารถทานได้ ซึ่งเป็นตัวอย่างแนวทางการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหารที่ครูสามารถนำไปจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ และในด้านการเกษตรสมัยใหม่ที่พลาดไม่ได้ ในหัวข้อ สมาร์ทฟาร์มเปลี่ยนโลกสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน บรรยายโดย นายยงยุทธ เลารุจิราลัย เจ้าของ The FIGnature Garden จ. ชลบุรี Young Smart Farmer ผู้เชี่ยวชาญด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปลูกมะเดื่อฝรั่ง ได้เล่าถึงมะเดื่อฝรั่ง (FIG) เป็นผลไม้ที่อร่อย มีประโยชน์สูง ดีต่อสุขภาพและราคาสูง (ขี้นกับคุณภาพของผลผลิต) แต่ทั้งนี้การควบคุมคุณภาพ รสชาติของผลผลิตอาจจะไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับฤดูกาล เช่น ฤดูฝน ผลจะไม่หวาน จึงมีการนำเทคโนโลยีด้านการเกษตรเข้ามาใช้ในการปลูกในระบบโรงเรือน ติดตั้งหลอดไฟ LED เพื่อให้ได้แสงที่เหมาะสม ควบคุมการเปิด-ปิด ปากใบของต้นฟิก และมีการติดตั้งเซนเซอร์ต่างๆ เช่น เซนเซอร์วัดความชื้นสัมพัทธ์ เพื่อควบคุมให้มีความชื้นเหมาะสม หากมีความชื้นในอากาศสูงระบบก็จะจ่ายน้ำน้อย แต่หากมีความชื้นต่ำก็จะจ่ายน้ำเพิ่มขึ้น ช่วยประหยัดทรัพยากรน้ำ และเทคโนโลยี IOT ใช้ควบคุมระบบการให้น้ำและปุ๋ยทางช่วยให้ได้ในปริมาณที่เหมาะสม เป็นการลดต้นทุน ลดการใช้แรงงานคน และยังเพิ่มความแม่นยำในการผลิต และสุดท้าย ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด ทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. กับการบรรยายในหัวข้อ เสกมายากลเคมีและชีวเคมีสู่ผลิตภัณฑ์ชั้นยอด ได้เล่าให้ฟังถึงชีวภัณฑ์เพื่อเทคโนโลยีเวชสำอางและเทคโนโลยีเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน พร้อมนำเสนอแนวทางการพัฒนางานวิจัยผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่เริ่มจากการสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทย แล้วใช้เทคโนโลยีระดับนาโนสร้างฟิล์มห่อหุ้มอนุภาคของสารสำคัญมาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น ช่วยกักเก็บสารสำคัญให้มีความคงตัว ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ของสารสกัด โดยเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นการวิจัยหาสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างสารที่มีคุณสมบัติเป็นน้ำและน้ำมัน การเลือกใช้สารลดแรงตึงผิวมาช่วยให้น้ำกับน้ำมันสามารถก่อตัวเป็นฟิล์มได้ ซึ่งเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ในชั้นเรียนได้ สำหรับท่านใดที่สนใจเข้ารับชมการบรรยายพิเศษในครั้งนี้ สามารถรับชมคลิปวีดีโอการบรรยายย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/sciencecamp.fanpage
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘จุรินทร์’ ลงพื้นที่ตรวจ รพ. สนามบ้านวิทย์ฯ’ 224 เตียง รองรับผู้ป่วยพิการติด โควิด-19 พร้อมเปิดบริการ 1 มิ.ย. นี้
For English-version news, please visit : NSTDA converts Sirindhorn Science Home to a COVID-19 field hospital for people with disabilities วันนี้ (26 พ.ค. 64)  นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม เพื่อเตรียมความพร้อมการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เพื่อคนพิการ ซึ่งบูรณาการการทำงาน 3 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในการบริหารจัดการเพื่อให้บริการผู้ป่วยพิการที่อายุระหว่าง 15-65 ปี ที่ได้รับเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ทั้งนี้จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเจ้าของพื้นที่ และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมลงพื้นที่ ณ อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี นายจุรินทร์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมในทุกมิติ ทั้งนี้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีความรุนแรงและมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และพบว่าปัจจุบันการป่วยจากการติดเชื้อ COVID-19 ในกลุ่มคนพิการ แม้จะมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับประชากรกลุ่มอื่นๆ แต่ยังคงปรากฏอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อจากคนในครอบครัวที่เป็นผู้ดูแล คนพิการ รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการดำเนินชีวิตของคนพิการเองที่จะต้องอาศัยการสัมผัสพื้นผิววัตถุและบุคคลอื่นๆ ทั้งนี้ โรงพยาบาลสนามแห่งนี้จะให้การดูแลทั้งคนพิการและครอบครัว ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกและลดการสัมผัสระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการกับผู้ป่วย COVID-19 โดยมีภารกิจสำคัญที่หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเตรียมรองรับการดำเนินการอย่างเข้มแข็ง ดังนี้ 1) ด้านอาคารสถานที่และการจัดสภาพแวดล้อม และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ สนับสนุนโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวง อว. ซึ่งได้นำ 11 นวัตกรรมและระบบเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ป่วยระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาลสนามฯ อาทิ รถเข็นบังคับระยะไกลส่งของให้ผู้ป่วย COVID-19 ทั้งจาก สวทช. และกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อและฆ่าเชื้อ ระบบ TTRS (เครื่องช่วยสื่อสารสำหรับคนหูหนวก) เปลปกป้อง (เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแรงดันลบ) เป็นต้น 2) ด้านการแพทย์ อุปกรณ์การตรวจรักษา/เวชภัณฑ์ และหลักสูตรการอบรมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย COVID-19 สนับสนุนโดย สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินภารกิจหลักในการรักษาอาการป่วยบนฐานของการเชื่อมประสานระบบเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับความต้องการของคนพิการ 3) ภารกิจด้านสวัสดิการสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ และสิ่งของอุปโภคบริโภค สนับสนุนโดย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวง พม. ทำหน้าที่ในการประสาน ส่งต่อ และให้ความช่วยเหลือด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการในระหว่างที่คนพิการและครอบครัวพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสนาม รวมถึงวางแผนการให้ความช่วยเหลือและติดตามภายหลังคนพิการและครอบครัวหายจากอาการป่วยและปลอดเชื้อ COVID-19 เดินทางกลับสู่ครอบครัวและชุมชน“ผมเชื่อมั่นว่าพลังการขับเคลื่อนในครั้งนี้ จะสร้างระบบการให้บริการของโรงพยาบาลสนามที่สามารถตอบโจทย์ได้ตรงตามความต้องการและสามารถอำนวยความสะดวกให้คนพิการและครอบครัว ในการดำรงชีวิตในระหว่างพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสนามได้อย่างเหมาะสม ทั้งอาคารสถานที่และระบบเทคโนโลยี รวมถึงระบบอุปกรณ์ทางการแพทย์และการดูแลของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่จะหมุนเวียนกันมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ โดยจะพร้อมเปิดให้บริการในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่มุ่งมั่นสืบสานพันธกิจร่วมกัน และนำสู่การขยายผลต้นแบบโรงพยาบาลสนามที่เหมาะสำหรับทุกคนขยายไปสู่ทั่วประเทศต่อไป” ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า กระทรวง อว.สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขสถานการณ์โรคโควิด-19 ด้วยการดำเนินงานแบบบูรณาการงานของ อว. โดยใช้องค์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวิจัยและพัฒนา ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ ยา และวัคซีนโดยได้พัฒนาวัคซีนป้องกันCOVID-19 สำเร็จ 3 ชนิด ด้วยเทคโนโลยีระดับเดียวกับนานาประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการทดสอบในอาสาสมัครเป็นกระบวนการทดสอบในขั้นสุดท้าย คาดว่าปลายปีจะเข้าสู่กระบวนการผลิตเพื่อจำหน่าย และแจกจ่ายในประเทศพร้อมทั้งส่งออกไปยังต่างประเทศ นอกจากนี้ สวทช. โดยนักวิจัยไบโอเทคยังได้สังเคราะห์สารตั้งต้นยา ‘ฟาวิพิราเวียร์’ สำเร็จ ทดแทนวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ เหล่านี้ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของความก้าวหน้าในการพัฒนางานวิจัยของคนไทยเพื่อใช้ผลิตเป็นยาต้านโรคโควิด-19 รวมถึงได้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และทุกภูมิภาค และการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการในครั้งนี้ ถือเป็นการบูรณาการทั้ง 3 กระทรวง ถือเป็นโรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการแห่งแรกและเป็นอีกก้าวสำคัญของการทำงานที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย“กระทรวง อว. ให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำของคนพิการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีงานวิจัยในหลายด้านที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนพิการ ทำให้มีความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งนี้แต่ละหน่วยงานร่วมกันบูรณาการกันในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการ ที่ติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย โดยใช้ชื่อว่า “โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ” ใช้พื้นที่บริเวณห้องพักชั้น 5 ถึงชั้น 10 ของอาคาร สามารถรองรับผู้ป่วยได้จำนวน 224 เตียง ซึ่งนอกจากความพร้อมด้านสถานที่แล้ว สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร ยังได้นำ 11 ผลงานนวัตกรรมที่ใช้ได้จริงมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อลดการแพร่กระจายและฆ่าเชื้อในพื้นที่โรงพยาบาลสนามฯ ขณะเดียวกันยังช่วยอำนวยความสะดวกแก่คนพิการและครอบครัวด้วยเช่นกัน” อนึ่งเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ในขณะนั้น) โดย สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อ “บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร” (Sirindhorn Science Home: SSH) เพื่อดำเนินโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร (Permanent Science Camp) เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ฝึกทักษะและพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเด็กและเยาวชนผู้มีความสนใจและมีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อว. ยังได้ใช้บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ให้แก่ผู้มีความบกพร่องทางด้านร่างกายมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์นโยบายลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมในสังคมไทยด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่ทวีความรุนแรงและขยายวงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อประชากรไทยในหลายกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนพิการที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสและติดเชื้อ อีกทั้งยัง ขาดโอกาสในการเข้าถึงระบบดูแลสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันมีรายงานคนพิการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่ไม่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสนามทั่วไป หรือ Hospitel บางแห่งได้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อความพิการเฉพาะด้านนั้นๆ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามสำหรับคนพิการแห่งนี้ เป็นการบูรณาการงานร่วมกันเพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง“กระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุน ทีมผู้ดูแลรักษา อันประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล ทีมสหวิชาชีพและเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติงาน ที่เตรียมการวางระบบการดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยเพื่อใช้ในการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเหมาะสมกับความพิการ และสามารถติดตามถ่ายภาพเอกซเรย์ปอดอย่างต่อเนื่องเพื่อเฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาที่พักรักษาตัว รวมทั้งเตรียมแผนการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลกรณีฉุกเฉิน โดยจัดเตรียมรถพยาบาลรองรับภารกิจตลอด 24 ชั่วโมง โดยกระบวนการรับข้อมูลผู้ป่วยคนพิการจะมีการประสานงานรับเรื่องจากทั้งสายด่วนคนพิการ และสายด่วน 1668 เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สุดท้ายนี้ในนามกระทรวงสาธารณสุขขอขอบพระคุณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ ที่ให้ความร่วมมือในการดูแลคนพิการในครั้งนี้” นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ตระหนักและ มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยได้ร่วมกับองค์กรด้านคนพิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการเชื่อมโยงการให้ความช่วยคนพิการและครอบครัวที่เจ็บป่วยและได้รับผลกระทบในสถานการณ์ COVID-19 โดยได้ตั้งคณะทำงานช่วยเหลือคนพิการ ภายใต้ชื่อ ‘ทีมเรามีเรา’ ประกอบด้วย นักสังคมสงเคราะห์ นักพัฒนาสังคม ตลอดจนผู้ปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือคนพิการ เพื่อรับแจ้งเหตุ/เฝ้าระวัง ประสานส่งต่อ ดำเนินการและติดตามการให้ความช่วยเหลือคนพิการที่ติดเชื้อ COVID-19 ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยการประสานหาสถานที่รักษาพยาบาลตามอาการติดตามอาการและให้คำแนะนำปรึกษาในระหว่างรอเข้ารับการรักษาพยาบาล ให้คำแนะนำ เสริมกำลังใจ จัดส่งเครื่องอุปโภคบริโภคทางไปรษณีย์ วางแผนการติดตามและให้ความช่วยเหลือหลังจากได้รับการรักษาอาการป่วยเรียบร้อยแล้ว ผ่านการให้บริการศูนย์ช่วยเหลือสังคมสายด่วน 1300 และ สายด่วนคนพิการ 1479 รวมถึงแอปพลิเคชัน TTRS กรณีคนพิการทางการได้ยินและสื่อความหมาย เพื่อให้คนพิการได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมปราศจากการเลือกปฏิบัติอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ได้ประสาน ติดตามและให้กำลังใจคนพิการและครอบครัวกว่า 500 ราย พบว่าส่วนใหญ่ มีรายได้ไม่เพียงพอ มีปัญหาการว่างงาน ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ขาดรายได้ และมีความวิตกกังวลจาก COVID-19 รวมถึงผู้ดูแลคนพิการที่ประสบปัญหาเรื่องภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลคนพิการ ซึ่งการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการบูรณาการการให้ความช่วยเหลือคนพิการและครอบครัวที่ติดเชื้อ COVID-19 ได้อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้กระทรวง พม. ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ร่วมกันจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ที่มีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่อย่างครบครัน โดยมุ่งหวังให้เป็นโครงการต้นแบบ (Prototype project) ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของคนพิการในการเข้าถึงบริการและใช้ประโยชน์ในพื้นที่เพื่อรักษาอาการป่วยในกลุ่มคนพิการที่ติดเชื้อ COVID-19 แต่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ให้มีความปลอดภัยที่สุด ขอร่วมเป็นกำลังใจในการก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน     เอกสารแนะนำ 11 นวัตกรรม
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
BearconCAM” กล้องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ ตัวช่วยคัดกรองผู้เสี่ยงโควิด-19 ทุกสถานการณ์
เมื่อหนึ่งในอาการที่ต้องเฝ้าระวังของโควิด-19 คือ อุณหภูมิร่างกายสูง 37.5 จากการคัดกรองด้วยเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ ดังนั้นประสิทธิภาพและความแม่นยำของเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ จึงเป็นปัจจัยหลักที่ต้องให้ความสำคัญในการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงติดโรคโควิด-19 ล่าสุดหนึ่งในผู้ประกอบการด้าน IoT platform เปิดตัวนวัตกรรม “BearconCAM” กล้องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะแบบไร้สัมผัส ใช้เพื่อคัดกรองโรคโควิด-19 ที่สามารถขยายกลุ่มสู่งานอีเว้นท์ระดับจังหวัด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี หรือ SUCCESS โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อสร้างรากฐานให้ผู้บริหารกิจการ ผู้ประกอบการธุรกิจ เจ้าของธุรกิจเทคโนโลยี และ กลุ่มสตาร์ทอัพ (Startup) ให้สามารถเติบโตและขยายฐานลูกค้าได้อย่างมั่นคง ด้วยกระบวนการเรียนรู้ การบ่มเพาะ และหนุนเสริมกลไกการสนับสนุนต่างๆ นายภลลกร พิมพ์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แบร์คอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของการพัฒนานวัตกรรม “BearconCAM” กล้องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะแบบไร้สัมผัส เนื่องจากพบว่าเครื่องวัดอุณหภูมิโดยทั่วไปที่ใช้สำหรับคัดกรองในสถานที่ต่างๆ เดิมทีจะต้องใช้ทรัพยากรบุคคลเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิ ทำให้มีความล่าช้า รวมถึงผู้คัดกรองอาจมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อจากผู้ป่วยได้ง่าย และไม่มีการเก็บประวัติใบหน้าและอุณหภูมิ ที่สำคัญคือไม่สามารถนำไปใช้งานกลางแจ้งหรือบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงได้ จึงเป็นที่มาของการพัฒนานวัตกรรม “BearconCAM” ซึ่งเป็นกล้องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะแบบไร้สัมผัส ที่สามารถตรวจวัดอุณหภูมิผ่านข้อมือโดยไม่สัมผัสอุปกรณ์มีระบบตรวจจับการใส่หน้ากากอนามัยพร้อมเสียงเตือน รวมถึงมีการเก็บประวัติใบหน้าอุณหภูมิ เวลาที่ตรวจวัดและพิกัดบริเวณที่ทำการตรวจวัดเพื่อนำข้อมูลไปใช้ภายหลังได้ “ จุดเด่นของ BearconCAM  นอกจากสามารถวัดอุณหภูมิได้แบบไม่ต้องสัมผัสอุปกรณ์แล้ว ยังสามารถตรวจวัดได้อย่างแม่นยำ โดยคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.3 องศาเซลเซียส (°C)  สามารถตรวจวัดได้ 20-30 คน/นาที ตัวเครื่องประกอบด้วยเลนส์คู่ ซึ่งช่วยป้องกันการปลอมแปลงใบหน้า เช่น การนำภาพถ่ายมาสแกนแทนใบหน้าจริง อีกทั้งยังสามารถใช้งานทั้งในอาคาร และกลางแจ้งได้ เนื่องจากมีระบบ sensor 2 ตัว ได้แก่ TOF (time of flight) Sensor สำหรับตรวจจับระยะห่างวัตถุ เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำในระยะที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งช่วยให้ตัวเครื่องสามารถแยกได้ระหว่างอุณหภูมิร่างกายกับอุณหภูมิอากาศ และ Temperature Sensor สำหรับตรวจวัดอุณหภูมิที่ข้อมือและส่งผลไปยังระบบประมวลผล โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บบนระบบ Cloud Server ซึ่งหน่วยงานสามารถมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ได้ที่หน้า dashboard รวมถึงการเรียกดูข้อมูลย้อนหลังได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการนำไปงานจริงแล้วที่งานตรุษจีนประจำจังหวัดนครสวรรค์ที่ผ่านมา รวมถึงงานใหญ่ประจำปีอย่างงาน “ยอสวย ไหว้สา พระญามังราย ครบรอบ 725 ปีจังหวัดเชียงใหม่” ซึ่งขณะนี้ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ได้ทำการขอซื้อเพื่อนำมาติดตั้งที่สนามกีฬาของเทศบาล และได้ทำการส่งมอบเรียบร้อยแล้ว รวมถึงเทศบาลจังหวัดนครสวรรค์ด้วยเช่นกัน ” นายภลลกร กล่าว นายภลลกร กล่าวด้วยว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากการได้รับการบ่มเพาะและการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจจากโครงการ SUCCESS  ซึ่งเดิมทีทางบริษัทตั้งเป้าหมายไว้เป็นกลุ่มของโรงเรียนในสังกัดของภาครัฐ อย่าง อบต. หรือเทศบาล ซึ่งก่อนเข้าร่วมโครงการยังไม่สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งได้เพราะการทำงานกับภาครัฐจะต้องมีกระบวนการและขั้นตอนที่ค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการ SUCCESS `จึงได้รับคำแนะนำ ทำให้สามารถแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ และเกิดการต่อยอดความคิดสู่การขยายกลุ่มเป้าหมายจากโรงเรียนสู่หน่วยงานท้องถิ่นอื่นๆ ที่อยู่ในการดูแลกำกับของ อบต.และเทศบาล นอกจากนี้ โครงการ SUCCESS ยังสนับสนุนในเรื่องของการออกบูธและการประชาสัมพันธ์ ซึ่งช่วยทำให้นวัตกรรมเป็นที่รู้จักและมีพื้นที่สื่อมากขึ้นอีกด้วย นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. กล่าวว่า โครงการ SUCCESS เป็นโครงการที่จะช่วยสร้างรากฐานให้ผู้ประกอบการด้าน ธุรกิจดิจิตัล ซอฟต์แวร์ และไอซีทีทุกประเภท รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจนาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ และอื่นๆ ให้สามารถเติบโต และขยายฐานลูกค้าได้อย่างมั่นคง ด้วยกระบวนการเรียนรู้ การบ่มเพาะ และกลไกการสนับสนุนต่างๆ  เช่น การวินิจฉัยธุรกิจเพื่อประเมินถึงความเป็นไปได้และการเติบโตของธุรกิจ การอบรมหรือเวิร์กชอปที่มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการและ Startup ได้มีทักษะทั้งในด้านธุรกิจและการบริหารองค์กร การพบที่ปรึกษาด้านต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ แบบ 1 ต่อ 1 ที่ช่วยเตรียมความพร้อมในการพบนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการตลาด การคิดวิเคราะต้นทุนราคาขายหรือการจัดโปรโมชั่น รวมถึงการสนับสนุนและส่งเสริมการสร้างรายได้ สร้างพื้นที่ประชาสัมพันธ์ ขยายฐานลูกค้า สร้างพันธมิตรภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนต่างๆ และพาออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปีนี้ ผู้ประกอบการสร้างรายได้รวมกว่า 750 ล้านบาท มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มกว่า 147 ล้านบาทและมีการจ้างงานเพิ่มกว่า 190 ราย หรือนับเป็นมูลค่ากว่า 49 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2564 โครงการ SUCCESS 2021 ร่วมมือกับภาคเอกชนชั้นนำ เพื่อให้ผู้ประกอบการเทคโนโลยี และ Startup ได้รับโอกาสจับคู่ธุรกิจเพื่อต่อยอดเทคโนโลยีร่วมกับภาคเอกชนชั้นนำ และหน่วยงานวิจัยระดับแนวหน้า โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี หรือ SUCCESS 2021 (รุ่นที่ 19) ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ที่โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 81493, 081 9131828 อีเมล seksun.sungsook@nstda.or.th หรือติดตามข่าวสารการเปิดรับสมัครโครงการและกิจกรรมต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ www.nstda.or.th/bic/ และเฟซบุ๊กเพจ www.facebook.com/NstdaBIC/  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เยาวชนไทยเจ๋ง คว้า 6 รางวัล บนเวทีประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโลก
For English-version news, please visit : Thai students win awards at Regeneron ISEF 2021 22 พฤษภาคม 2564 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมแสดงความยินดีกับทีมเยาวชนไทยคว้า 6 รางวัลจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก Virtual Regeneron International Science and Engineering Fair (Regeneron ISEF 2021) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-21 พฤษภาคม 2564 โดยมีนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์กว่า 1,834 คน จาก 64 ประเทศ รวมถึง 49 มลรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก “Virtual Regeneron International Science and Engineering Fair (Regeneron ISEF 2021)” ถือเป็นเวทีประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในระดับโลก เพื่อเป็นการพัฒนา ส่งเสริมและสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กและเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้นำองค์ความรู้และประสบการณ์มาสร้างสรรค์เป็นผลงานผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเผยแพร่สู่สาธารณชน โดยคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กและเยาวชนก้าวสู่การเป็นนักวิจัยสร้างสรรค์ผลงานต่อไป “ในนามของ สวทช. ขอแสดงความยินดีกับทีมเยาวชนไทยที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอีกครั้งกับการคว้า 6 รางวัลจากการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจ ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นต่อไปมีใจรักและสนใจวิชาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์ และในอนาคตจะเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวต่อไป” ดร.ณรงค์ กล่าว รางวัลที่ทีมเยาวชนไทยได้รับในปีนี้รวม 6 รางวัล แบ่งเป็นรางวัล Grand Awards 4 รางวัล และรางวัลพิเศษ Special Awards อีก 2 รางวัล ได้แก่ รางวัล Grand Awards อันดับ 1 สาขา Computational Biology and Bioinformatics ได้แก่ “โครงงานการประยุกต์ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อทำนายฤทธิ์ทางชีวภาพของลิแกนด์ในกระบวนการค้นหายามุ่งเป้าของโรคมะเร็งปอด สำหรับโมเลกุลเป้าหมาย EGFR”  พัฒนาโดยนายณัฐกันต์ แสงนิล และนายภูริ วิรการินทร์ อาจารย์ที่ปรึกษา นายบัณฑิต บุญยฤทธิ์ และนายธนศานต์ นิลสุ จากโรงเรียนกำเนิดวิทย์ (จากโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ Young Scientist Competition: YSC 2021) รางวัล Grand Awards อันดับ 2 สาขา Chemistry ได้แก่ “โครงงานการพัฒนาเครื่องมือตรวจสอบไอออนโลหะหนักชนิดกระดาษ” พัฒนาโดย นายกิจการ นำสว่างรุ่งเรือง นายดวิษ บุญยกิจโณทัย และนายธิติ เถลิงบุญสิริ อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.สุรนันท์ อนันตชัยศิลป์ จากโรงเรียนกำเนิดวิทย์ (จากโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ Young Scientist Competition: YSC 2021) รางวัล Grand Awards อันดับ 4 สาขา Animal Sciences  ได้แก่ “โครงงานการพัฒนาการเพาะเลี้ยงด้วงเต่าต้นแบบสู่การควบคุมแมลงศัตรูพืช” พัฒนาโดยนางสาววรินยุพา งานเจริญวงศ์ ด.ญ. นัยน์ปพร กำหอม และ ด.ช. ธนกร ศิลาพันธุ์ อาจารย์ที่ปรึกษา นายอัครวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (มอดินแดง) (จากสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ) รางวัล Grand Awards อันดับ 4 สาขา Biomedical and Health Sciences ได้แก่ “โครงงาน “นวัตกรรมชุดทดสอบเหงื่อสามฟังก์ชันเพื่อการวิเคราะห์ระดับไมโครของปริมาณแคลเซียม ฟอสเฟต เเละค่ากรดเบส สู่การประเมินภาวะเสี่ยงโรคกระดูกพรุน” พัฒนาโดยนายพัฒฒ์ พฤฒิวิลัย นายกฤษฏิ์ กสิกพันธุ์ และนายกรวีร์ ลีลาอดิศร อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.เกียรติภูมิ รอดพันธ์ จากโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (จากโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ Young Scientist Competition: YSC 2021) รางวัลพิเศษ Special Awards อันดับ 1 สาขา Life Science จาก Sigma Xi, The Scientific Research Honor Society  สำหรับโครงงานที่มีความยอดเยี่ยมในการทำงานวิจัยสหสาขาวิทยาการ (the best demonstration of interdisciplinary research) จากการนำเสนอผลงานในหัวข้อ โครงงาน “นวัตกรรมชุดทดสอบเหงื่อสามฟังก์ชันเพื่อการวิเคราะห์ระดับไมโครของปริมาณแคลเซียมฟอสเฟต เเละค่ากรดเบส สู่การประเมินภาวะเสี่ยงโรคกระดูกพรุน” โดยนายพัฒฒ์ พฤฒิวิลัย นายกฤษฏิ์ กสิกพันธุ์ และนายกรวีร์ ลีลาอดิศร อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.เกียรติภูมิ รอดพันธ์  โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (จากโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ Young Scientist Competition: YSC 2021) รางวัลพิเศษ Special Awards อันดับ 3 จาก The American Chemical Society (ACS) จากการนำเสนอผลงานสาขาเคมี ในหัวข้อ “รงควัตถุดัดแปรคลอโรฟิลล์จากสารสกัดของวัชพืชเพื่อเป็นสีย้อมไวแสงอินทรีย์สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดสีย้อมไวแสง:การศึกษาขั้นต้นในเชิงการดัดแปรโครงสร้าง” โดย นายสพล ไม้สนธิ์ นายเสฏนันท์ ทรวงบูรณกุล และ นายศุภวิชญ์ พรหมโคตร จาก โรงเรียนกำเนิดวิทย์  (จากสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ) ในปีนี้ประเทศไทยได้ส่งโครงงานจากเยาวชนไทยเข้าร่วมแข่งขันรวม 16 ทีม โดยการสนับสนุนของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นาโนเทค สวทช. ส่งมอบหน้ากากอนามัย n-Breeze ให้โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.วรล อินทะสันตา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน นำหน้ากากอนามัย n-Breeze จำนวน 3,500 ชิ้น โดยแบ่งออกเป็น หน้ากากอนามัย n-Breeze M02 จำนวน 1,000 ชิ้น และหน้ากากอนามัย n-Breeze M03 จำนวน 2,500 ชิ้น ให้แก่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน โดยมี ผศ.นพ.วีระพงษ์ ภูมิรัตนประพิณ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และ รศ.ดร.พรสวรรค์ เหลืองวุฒิวงษ์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยาและอิมมิวโนโลยี เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารราชนครินทร์ โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน
ข่าวประชาสัมพันธ์