หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ทีมวิจัย สวทช. -พันธมิตร คิดวิธีสกัดสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19จากตัวอย่างแบบง่าย สำเร็จ! ราคาถูกกว่านำเข้า 2 เท่า เตรียมผลิตขายครั้งแรกในไทยพร้อมส่งมอบ ‘ชุดสกัดอาร์เอ็นเอ’ ให้บุคลากรทางการแพทย์
(2 พฤศจิกายน 2564) ที่โถงอาคารสำนักงาน สวทช. (โยธี) ถนนพระรามที่ 6 กทม. : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รอง ผอ.สวทช. ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผอ.ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. และทีมวิจัย รศ.ดร.พรสวรรค์ เหลืองวุฒิวงษ์ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล และ ดร.พิไลลักษณ์ อัคคไพบูลย์ โอกาดะ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมแถลงข่าวในพิธีมอบ “ชุดสกัดอาร์เอ็นเอของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019” โดยมีศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานมอบชุดสกัดอาร์เอ็นเอของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้แก่ นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมจำนวน 82,000 ชุด มูลค่า 8.2 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ในสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา กระทรวง อว. เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ด้วยการระดมสรรพกำลังจากหน่วยงานวิจัย และสถาบันอุดมศึกษาทั้งหมด ที่เป็นแหล่งรวมบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถและความเชี่ยวชาญมาคิดค้น วิจัย และพัฒนานวัตกรรม กระทั่งนำไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของทีมแพทย์ด่านหน้าได้เป็นอย่างดี โดยกระทรวงสาธารณสุขเป็นด่านหน้า ขณะที่กระทรวง อว. เป็นกองหนุน ได้ให้การสนับสนุนด้านวิชาการ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม รวมทั้งสถานที่ฉีดวัคซีนตามมหาวิทยาลัยเกือบครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งใหญ่ครั้งนี้ การป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 กระทรวง อว. มีการดำเนินการแก้ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า ตลอดจนการสร้างผลประโยชน์ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวให้แก่ประเทศ โดยในระยะสั้นมีโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศหรือเรียกสั้นๆ ว่า U2T ที่เกิดขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการว่างงานจากวิกฤตโควิด-19 เป็นการจ้างงานของรัฐบาลที่ทำได้อย่างรวดเร็วที่สุด ทำให้คน 60,000 คน ที่เป็นลูกหลานของชาวบ้านมีงานทำกระจายไป 3 พันตำบลทั่วประเทศ และเป็นครั้งแรกที่ให้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศกว่า 76 แห่ง ลงสู่ตำบลเพื่อทำงานร่วมกับชุมชน ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในชุมชนหลายร้อยล้านบาท และกำลังเข้าสู่โครงการ U2T ในระยะที่ 2 ซึ่งจะเป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นและต่อยอดจากระยะที่ 1 ประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ 1.การฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 2.การดูแลเศรษฐกิจชุมชนแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามบริบทของชุมชน และ 3.การจ้างงานบุคลากรที่มีความรู้ มุ่งเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เป็นประเด็นสำคัญ จะมีการปฏิบัติงาน 7,435 ตำบลทั่วประเทศ จ้างงาน 150,000 คน นอกจากนี้ กระทรวง อว. ยังโทรศัพท์ไปให้กำลังใจและคำปรึกษาแก่ผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาแบบ Home Isolation ในยามที่โรงพยาบาลสนามไม่เพียงพอ ซึ่งตระหนักว่าผู้ป่วย Home Isolation ต้องการกำลังใจมาก อีกทั้งกระทรวง อว. ยังได้ส่งยาสมุนไพร และอุปกรณ์ของใช้ที่จำเป็น ที่เรียกว่า “อว. พารอด” โดยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ช่วยบริจาคสิ่งของ เกิดเป็นพลังขับเคลื่อนทางสังคม สถานการณ์ในวันนี้เริ่มคลี่คลาย มีการเปิดประเทศเป็นวันที่ 2 แล้ว เพื่อที่จะให้ทุกส่วนขับเคลื่อนต่อไปได้ กระทรวง อว. ยังพัฒนายา วัคซีน และเทคโนโลยีต่างๆ ต่อไป เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรค ขณะเดียวกันก็พัฒนาประเทศตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ที่เป็นวาระของชาติ ซึ่งครอบคลุมเรื่องการพัฒนายา วัคซีน และเครื่องมือแพทย์ด้วย เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการตอบโจทย์เศรษฐกิจบีซีจีทั้งสิ้น และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไปจะเป็นส่วนสำคัญของการประชุม APEC “สำหรับในวันนี้ ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง สำหรับความสำเร็จล่าสุดของผลงานวิจัยชุดสกัดอาร์เอ็นเอ ของศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. ที่ผมเป็นประธาน กวทช. อยู่ ภูมิใจกับ สวทช. ที่พัฒนาชุดสกัดอาร์เอ็นที่ได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพเทียบเท่าชุดสกัดอาร์เอ็นเอที่นำเข้าจากต่างประเทศ แต่ราคาถูกกว่ามาก และมีการส่งมอบให้แก่ 3 หน่วยงาน คือ กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมราชทัณฑ์ ที่จะได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ผมขอขอบคุณทีมวิจัยและผู้อยู่เบื้องหลังทุกท่าน ถ้าไม่มีทีมวิจัย และไม่มีผู้สนับสนุน เราก็มาไม่ถึงวันนี้ เราทำงานด้วยความลำบาก เปลี่ยนแปลง แก้ไข วิจัยไป พัฒนาไป ยกระดับไป จนในที่สุดก็สำเร็จ ซึ่งไม่ใช่แค่วิจัยและพัฒนานวัตกรรมสำเร็จเท่านั้น แต่ยังสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่การผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายได้ด้วย” ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีเป้าหมายที่จะใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปต่อยอดและขยายผลไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมทางด้านสุขภาพและการแพทย์ ตามเป้าหมายของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบาย BCG Economy Model ในสาขายุทธศาสตร์ สุขภาพและการแพทย์ ซึ่งที่ผ่านมา สวทช. ได้เร่งพัฒนาผลงานวิจัยและนวัตกรรม สำหรับรองรับการระบาดของโรคโควิด-19 มีการส่งมอบผลงานมากกว่า 20 ผลงาน ครอบคลุมทั้งด้านการป้องกัน การลดการแพร่กระจายและฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งการตรวจคัดกรองและการตรวจวินิจฉัยโรคเบื้องต้นให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยมีหลายผลงานที่พร้อมทางด้านเทคโนโลยีการผลิตจนสามารถนำไปต่อยอดและเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศ “สวทช. รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ส่งมอบชุดสกัด RNA (Viral RNA Extraction Kit) ของศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัด สวทช. ที่ได้รับเงินกู้ฉุกเฉินภายใต้ “พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563” เพื่อดำเนินการพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัยชุดสกัด RNA ให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วเหมาะสมกับการใช้งานจริง รวมถึงการขยายผลในการผลิตเพื่อส่งมอบให้หน่วยงานที่ใช้ประโยชน์โดยตรง อาทิ กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมราชทัณฑ์ รวมจำนวน 82,000 ชุด (มูลค่าแปดล้านบาทเศษ) ได้นำไปใช้สกัดอาร์เอ็นเอ ก่อนส่งตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยใช้ตัวอย่างจากสารคัดหลั่ง หรือ swab ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคนิค Real-time RT-PCR ในราคาที่ถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศอย่างน้อย 2 เท่า (ราคานำเข้าอยู่ที่ 120-200 บาท) ซึ่งการวิจัยและพัฒนานี้ถือเป็นจุดแข็งของประเทศที่จะช่วยสนับสนุนความมั่นคงด้านสุขภาพ ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการนำเข้าชุดสกัด ช่วยให้ประเทศมีความพร้อมในการรับมือต่อการระบาดของโรคอุบัติใหม่ และยังเป็นส่วนสำคัญของการวิจัยพัฒนาเพื่อ ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลใช้เป็นนโยบายสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ” ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. กล่าวเสริมว่า ตลอดการระบาดของ โควิด-19 ตั้งแต่ระลอกแรกเมื่อปีที่ผ่านมา ทีมนักวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คิดค้นและพัฒนา “วิธีสกัดอาร์เอ็นเอ (RNA) ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) จากตัวอย่างแบบง่าย” ขึ้น โดยใช้อนุภาคแม่เหล็ก (Magnetic bead) จับกับสารพันธุกรรมอาร์เอ็นเอของไวรัส ซึ่งอาร์เอ็นเอของเชื้อไวรัสที่สกัดได้มีความบริสุทธิ์สูง สามารถนำไปตรวจวิเคราะห์ด้วยวิธี RT-PCR ทั้งนี้วิธีในการสกัดสารพันธุกรรม ที่คิดค้นมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1.การทำให้เซลล์แตกตัวแล้วปล่อยสารพันธุกรรมออกมา 2.การเข้าจับสารพันธุกรรมและทำความสะอาดสารพันธุกรรม และ 3.การละลายสารพันธุกรรมบริสุทธิ์นั้นออกมาจากตัวจับ และทำความสะอาดสารพันธุกรรมที่อยู่ในตัวอย่าง ซึ่งสามารถทำการสกัดได้เร็ว ราคาถูก ที่สำคัญยังปรับวิธีให้ใช้ได้กับเครื่องสกัดอัตโนมัติที่มีอยู่ในท้องตลาดได้ค่อนข้างง่าย ทั้งนี้วิธีสกัดอาร์เอ็นเอดังกล่าว ยังสามารถนำไปใช้ในการสกัดสารพันธุกรรม ในสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้ ไม่จำกัดเพียงไวรัสก่อโรคโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงไวรัสก่อโรคในพืช สัตว์และมนุษย์ “วิธีการสกัดที่พัฒนาขึ้น ถือเป็นวิธีที่ง่ายสามารถใช้งานกับสารเคมีและอุปกรณ์ที่มีอยู่ในห้องปฏิบัติการด้านพันธุกรรม ซึ่งทีมนักวิจัยฯ ได้มีการนำไปทดสอบใช้งานจริงกับตัวอย่างตรวจของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว พบว่าให้ผลไม่แตกต่างจากการใช้ชุดสกัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัท After Lab และ Bioentist เป็นผู้รับอนุญาตให้สิทธิใช้ประโยชน์เพื่อเตรียมผลิตและจำหน่ายทางการค้าครั้งแรกในไทย ทั้งนี้ภายใต้โครงการดังกล่าว ทีมวิจัย สวทช. ได้ร่วมกับบริษัท After Lab ในการปรับวิธีให้สามารถใช้ได้กับเครื่องสกัดแบบอัตโนมัติ และมีทีมของ รศ. ดร.พรสวรรค์ เหลืองวุฒิวงษ์ จากคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล และทีมของ ดร.พิไลลักษณ์ อัคคไพบูลย์ โอกาดะ จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมในโครงการเพื่อทำการทดสอบการใช้งานในตัวอย่างจริง ซึ่งได้รับการสนับสนุนการใช้เครื่องสกัดสารพันธุกรรมแบบอัตโนมัติ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจากบริษัท After Lab”
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เอเปคน่ารู้ APEC 2022 THAILAND
ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปี 2565 โดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทย ร่วมดำเนินการหาคำตอบ...เอเปคคืออะไร เกี่ยวข้องกับคนไทยอย่างไร? ได้จากวีดีทัศน์ "เอเปคน่ารู้" #APEC2022THAILAND https://www.youtube.com/watch?v=JxBrgF_Hwq8
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 7 ประจำเดือนตุลาคม 2564
ข่าว นาโนเทค สวทช. พัฒนา nSPHERE หมวกแรงดันบวก-ลบ ตอบโจทย์วิกฤตโควิด-19 คพ. ผนึก สวทช. ใช้ ‘ซูเปอร์คอมพิวเตอร์’คาดการณ์ฝุ่น PM 2.5 รู้ล่วงหน้า 3 วัน 3 กระทรวง เผยปัจจัยสู่ความสำเร็จ ‘โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ’ เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ วช. ส่งมอบ‘เปลความดันลบ’ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด ช่วยบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มอีก 7 โรงพยาบาล สวทช. จัดปฐมนิเทศนักศึกษาทุนโครงการ TGIST ปีการศึกษา 2564 ในรูปแบบออนไลน์ พร้อมประกาศรางวัลนักศึกษาทุนผู้มีผลงานวิชาการดีเด่น (Outstanding Awards) ประจำปี 2564 โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ส่งผู้ป่วย 3 รายสุดท้ายกลับบ้าน ก่อนปิด 30 ก.ย.นี้ สวทช. ร่วมกับบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาฯ ร่วมลงนามการเชื่อมโยงฐานข้อมูลโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์และโปรแกรม CopyCatch สวทช.-สพฐ.-สถ. ผนึกพลังบูรณาการข้อมูลภาวะโภชนาการนักเรียนทั่วประเทศพัฒนา Big Data นำเทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสุขภาวะที่ดีของเด็กไทย   บทความ สวทช. หนุนวิจัยใช้ประโยชน์ ‘ต้นคลุ้ม’ ให้คุ้มค่า เสริมจุดเด่น ‘ถาดพลาสติกชีวภาพ’    Download เอกสารฉบับเต็ม (16.9MB)
จดหมายข่าว สวทช.
 
ThaiSC บริการ Supercomputer ผลักดันวิจัยเชิงลึก หนุนแก้ปัญหาวิกฤตประเทศ
  ปัจจุบันโลกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาล องค์กรชั้นนำทั่วโลกต่างใช้เทคโนโลยีคำนวณในการวิเคราะห์ข้อมูลและจำลองแบบเพื่อการวิจัยและพัฒนางานที่มีความท้าทายสูง เพื่อทลายขีดจำกัดของกรอบงานเดิม ในบางกรณีสามารถลดเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก 6 เดือนเหลือเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีองค์กรเพียงส่วนน้อยที่สามารถวิจัยโดยใช้แบบจำลองที่แม่นยำสมจริง หรือนำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องด้วยระบบ Supercomputer ที่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วด้วยเทคนิคการประมวลผลสมรรถนะสูง (High Performance Computing: HPC) มีราคาเครื่องสูงตั้งแต่หลักสิบล้านไปจนถึงหลักหมื่นล้านบาท อีกทั้งต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการดูแลรักษาระบบ จึงเป็นการยากแก่การลงทุนเพื่อใช้งานในเฉพาะองค์กร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว และได้รับภารกิจในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศ (National S&T Infrastructure: NSTI) จึงได้จัดตั้ง “ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC)” ขึ้นในปี 2562 ภายในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำหรับให้บริการทรัพยากรเพื่อการทำงานด้าน HPC แก่ภาครัฐและเอกชน มุ่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ   [caption id="attachment_27281" align="aligncenter" width="1001"] ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ หัวหน้าทีมวิจัยศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สวทช.[/caption]   ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ หัวหน้าทีมวิจัยศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สวทช. กล่าวว่า ThaiSC ได้ดำเนินงานให้บริการในเฟสแรกตั้งแต่ปี 2562 โดยให้บริการ Supercomputer ที่มี CPU 4,320 Cores, GPU NVIDIA V100 28 ยูนิต, High performance storage ขนาด 700 TB แก่บุคลากร สวทช. และนำร่องหน่วยงานภายนอกแล้วบางส่วน ที่ผ่านมามีผู้ใช้งานประมาณ 250-300 คนต่อปี ให้บริการไปแล้ว 55 ล้านชั่วโมงคำนวณ (Core-hour) เทียบเท่ากับการใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปประมาณ 680 ปี ในปี 2565 ThaiSC จะเปิดให้บริการเฟสที่สองแก่ภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ โดยระบบ Supercomputer ที่ให้บริการจะมีประสิทธิภาพเทียบเท่าระบบชั้นนำของโลก เป็นเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการใช้พลังงานได้เป็นอย่างมากอีกด้วย “นอกจากการให้บริการทรัพยากรคอมพิวเตอร์แล้ว ThaiSC ยังมีทีมนักวิจัยและวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี HPC (HPC Application Specialist) ที่สามารถให้คำแนะนำเรื่องการใช้งานเทคโนโลยี HPC แก่ผู้ใช้บริการใน 4 ด้านหลัก คือ การคำนวณหรือประมวลผลทางด้านชีวสารสนเทศ (Bioinformatics), วิศวกรรม, เคมี-ฟิสิกส์ และ AI (Artificial Intelligence) ขั้นสูง”   [caption id="attachment_27284" align="aligncenter" width="1001"] Supercomputer[/caption]   [caption id="attachment_27286" align="aligncenter" width="1001"] Supercomputer[/caption]   [caption id="attachment_27285" align="aligncenter" width="1001"] Supercomputer[/caption]   [caption id="attachment_27282" align="aligncenter" width="1001"] หน้าจอแสดงการทำงานของเครื่อง Supercomputer[/caption]   [caption id="attachment_27283" align="aligncenter" width="1001"] หน้าจอแสดงการทำงานของเครื่อง Supercomputer[/caption]   ThaiSC ขับเคลื่อนตอบโจทย์การวิจัย 5 ด้าน ดร.มนัสชัย อธิบายว่าจากข้อมูลการให้บริการในเฟสแรก ทำให้เห็นถึงแนวโน้มความต้องการใช้งานเทคโนโลยี HPC ของประเทศไทยใน 5 ด้านหลัก 1. ชีวสารสนเทศและการแพทย์ ที่ต้องจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมปริมาณมหาศาลของคน พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ต่อยอดในงานวิจัยหรือการพัฒนา อาทิ การพัฒนาระบบการแพทย์แม่นยำ และการยกระดับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เพื่อตอบสนองการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติในปัจจุบัน 2. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ที่ต้องใช้ระบบ HPC ในขั้นตอนการสอน (Training) AI โมเดลที่มีความซับซ้อนและแม่นยำสูง โดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการพัฒนา ก้าวข้ามการพัฒนาโมเดลขนาดเล็กสู่เทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้ขั้นสูงที่มีประสิทธิภาพ เช่น Digital twin, Smart city, AI ด้านการแพทย์     “ด้านที่ 3. อุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวกับวัสดุศาสตร์ เคมีภัณฑ์ และสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งจะมีการทำแบบจำลองในระดับอะตอมเพื่อคาดการณ์ลักษณะทางเคมีและชีวภาพ เช่น การพัฒนายา วัคซีน อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ แบตเตอรี่ และการพัฒนาวัสดุล้ำยุคต่างๆ 4. การทำแบบจำลอง (Simulation) ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อจำลองการทำงานหรือทดสอบประสิทธิภาพของระบบและผลิตภัณฑ์ เช่น การทดสอบประสิทธิภาพของยานยนต์ในด้านความเร็วและความปลอดภัย เพื่อลดการลงทุนสร้างต้นแบบเทคโนโลยี ช่วยลดระยะเวลาในการทดสอบ และสุดท้ายคือ 5. การใช้ประโยชน์เพื่อสังคม เช่น การคำนวณคาดการณ์สภาพอากาศ การจำลองภัยพิบัติ หรือคาดการณ์ระดับค่ามลพิษของประเทศ เพื่อแจ้งให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า และสามารถรับมือกับเหตุการณ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”       ThaiSC แก้ปัญหาเร่งด่วนระดับชาติ อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญในการให้บริการของ ThaiSC คือ การสนับสนุนการแก้ปัญหาระดับประเทศ ด้วยเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ปัญหาขนาดใหญ่ที่ต้องการการประมวลผลด้วยความรวดเร็วและแม่นยำสูง เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที ดร.มนัสชัย กล่าวว่า ตัวอย่างสำคัญ เช่น ในช่วงภาวะวิกฤติโรคโควิด-19 ระบาดในไทย ThaiSC ได้ให้การสนับสนุนการทำวิจัยแก่หน่วยงานวิจัยต่างๆ เพื่อรับมือกับปัญหา อาทิ การสนับสนุนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการดำเนินโครงการคัดสรรสารออกฤทธิ์ต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ด้วยเทคนิคทางเคมีคำนวณขั้นสูง เพื่อใช้ Supercomputer ในการคัดกรองสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในยารักษาโรคที่มีการใช้งานอยู่เดิม ว่าสามารถนำมาใช้ในการยับยั้งการทำงานของไวรัส SARS-CoV-2 หรือไวรัสก่อโรคโควิด-19 ได้หรือไม่ เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการผลิตยา (ขณะนั้นยังไม่มียารักษาโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ) และได้ให้บริการแก่กลุ่มวิจัย COVID-19 Network Investigations (CONI) ในการใช้ Supercomputer เพื่อการดำเนินโครงการถอดรหัสจีโนมไวรัสสายพันธุ์ SARS-CoV-2 ที่ระบาดในประเทศไทย โดยใช้ Supercomputer ในการประมวลผลยืนยันสายพันธุ์ไวรัส SARS-CoV-2 ลดเวลาในการคำนวณจาก 1 สัปดาห์ เหลือเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้สามารถส่งมอบข้อมูลสายพันธุ์ไวรัส SARS-CoV-2 ที่กำลังระบาดให้แก่หน่วยงานทางการแพทย์ สำหรับนำไปใช้ในการวางแผนรับมือการระบาดของโรคได้ทันการณ์     “ล่าสุด ThaiSC ยังได้ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษในการดำเนินโครงการระบบการคาดการณ์สถานการณ์มลพิษทางอากาศ เพื่อใช้ Supercomputer ในการคาดการณ์ปริมาณ PM2.5 ซึ่งสามารถประมวลผลได้เร็วขึ้นถึง 15 เท่า จากเดิมใช้เวลาคำนวณ 11.5 ชั่วโมง/วัน ลดลงเหลือเพียง 45 นาที/วัน ทำให้กรมควบคุมมลพิษสามารถคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ 9 จังหวัดในภาคเหนือของประเทศ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ได้ล่วงหน้าถึง 3 วัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนรับมือได้ทันต่อสถานการณ์” ดร.มนัสชัย ทิ้งท้ายว่า นอกจากการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานแก่คนไทยแล้ว ปัจจุบัน ThaiSC ยังเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างนานาชาติกับประเทศไทยในการสร้างความร่วมมือและเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้าน Supercomputer ของโลก เช่น การร่วมกับตัวแทนจากชาติในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN HPC Taskforce) เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน HPC ในระดับภูมิภาค หรือการพัฒนาบุคลากร HPC ในภูมิภาคร่วมกับสหภาพยุโรป (EU) ผ่านกิจกรรม EU-ASEAN HPC School ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีในด้านการยกระดับการทำวิจัยและพัฒนาของอาเซียนแล้ว ยังก่อให้เกิดความร่วมมือในการทำวิจัย การพัฒนากำลังคนด้าน HPC ของประเทศ และการแบ่งปันข้อมูลการทำวิจัยระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในอนาคตอีกด้วย ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สวทช. มีแผนจะเปิดให้บริการแก่ผู้ใช้งานทั่วประเทศในปี 2565 ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอใช้บริการได้ที่ https://thaisc.io/ หรืออีเมล thaisc@nstda.or.th ศูนย์ ThaiSC มีความคาดหวังว่าจะได้สนับสนุนการก้าวข้ามขีดจำกัดการทำงานของคนไทย และมีส่วนในการช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยสู่ระดับสากล     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ฝ่ายประชาสัมพันธ์​ สวทช. , ThaiSc สวทช. และ shutterstock
30 ปี สวทช.
 
BCG
 
ข่าว
 
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
บทความ
 
เยาวชนไทยเจ๋ง! คว้าแชมป์เอเชียการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ของ NASA
เยาวชนตัวแทนประเทศไทย ‘ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ’จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศระดับเอเชีย เอาชนะเยาวชนคู่แข่งจาก 8 ประเทศ โดยสามารถทำคะแนนเป็นอันดับ 1 จากการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ของ NASA บนสถานีอวกาศนานาชาติ ในโครงการคิโบะ โรบอต โปรแกรมมิ่ง ชาเลนจ์ ครั้งที่ 2 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ได้สนับสนุนเยาวชนทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี โดยสมาชิกในทีม 3 คน ประกอบด้วย นายธฤต วิทย์วรสกุล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (หัวหน้าทีม) นายกรปภพ สิทธิฤทธิ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และเด็กชายเสฎฐพันธ์ เหล่าอารีย์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นทีมชนะเลิศจากการแข่งขัน โครงการ The 2nd  Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์ประเทศไทย เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์เอเชียผ่านทางออนไลน์ โดยในวันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564 เวลา 11.00 น. ที่ผ่านมา องค์กรสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA ได้จัดการแข่งขันโครงการ The 2nd  Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์เอเชียทางออนไลน์ ถ่ายทอดสดจากศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนักบินอวกาศญี่ปุ่นทำหน้าที่ควบคุมการแข่งขันอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ เพื่อค้นหาสุดยอดทีมเยาวชนจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ทำคะแนนได้สูงที่สุดในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ให้ปฏิบัติภารกิจซ่อมแซมสถานีอวกาศ โดยมีตัวแทนเยาวชนจาก 9 ประเทศ เข้าร่วมการแข่งขัน ได้แก่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ จากประเทศไทย สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ Best Achievement Onboard Award มาครองได้สำเร็จ ถือเป็นการแสดงความสามารถในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษา JAVA ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ที่อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติให้เคลื่อนที่ไปอ่าน QR Code และยิงแสงเลเซอร์เข้าเป้าหมายทำคะแนนได้สูงสุดของการแข่งขัน ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวแสดงความยินดีกับทีมอินเดนเทชัน เออเรอ (Indentation Error) และขอบคุณน้อง ๆ ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีระดับภูมิภาคเอเชีย จากความตั้งใจของน้องๆ เมื่อได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทย ทาง สวทช. ได้ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำในการเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย ได้ช่วยประสานงานกับทาง JAXA ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเตรียมตัวและการฝึกซ้อมสำหรับการแข่งขัน ซึ่งจากความสำเร็จของน้อง ๆ ในครั้งนี้ สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องทั้งสามคนจะได้เรียนรู้ ได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่า และมีโอกาสที่ดี ได้แบ่งปัน ต่อยอด และถ่ายทอดให้กับเพื่อน ๆ และน้อง ๆ เยาวชนไทยรุ่นต่อไป และเชื่อมั่นว่าน้องทั้งสามคนจะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประเทศไทย ด้าน นายธฤต วิทย์วรสกุล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ตัวแทนทีม Indentation Error กล่าวถึงความรู้สึกหลังทราบผลการแข่งขันว่า "รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก เพราะรู้สึกประหม่าไปเหมือนกัน เมื่อเห็นผลการรันโปรแกรมของทีมอื่นๆ ที่ออกมาดี สามารถควบคุมให้หุ่นยนต์ Astrobee เคลื่อนที่ไปอ่าน QR code และยิงเลเซอร์ไปยังเป้าหมายได้ ผมคิดว่าที่ทีมเราสามารถชนะเลิศได้เพราะสามารถบังคับหุ่นยนต์ Astrobee ให้เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าทำให้คะแนนออกมาดี ผมต้องขอขอบคุณ JAXA  ที่จัดการแข่งขันนี้ขึ้นมา และขอบคุณ สวทช. ที่จัดการแข่งขันในประเทศไทยพร้อมทั้งสนับสนุนทีมเราเป็นอย่างดีในการมาร่วมแข่งขันรอบชิงแชมป์เอเชีย ทีมเราได้เรียนรู้หลายเรื่องในการเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ที่ใช้งานบนสถานีอวกาศนานาชาติ และต้องขอขอบคุณทุกๆ คนที่มีส่วนผลักดันให้การแข่งขันครั้งนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ ทั้งนี้ ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาครอง ด้วยคะแนน 28.86 pt (A Class) ส่วนทีมอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม Enigma Systems จากบังคลาเทศ คะแนน 19.16 pt (A Class) และทีมอันดับที่ 3 ได้แก่ ทีม GeminiPYTW จากไต้หวัน (C Class) สามารถรับชมการแข่งขันย้อนหลังได้ทาง YouTube ของ JAXA ที่ลิงก์ https://youtu.be/eDXf1ISUBmA ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวความเคลื่อนไหวโครงการกิจกรรมวิทยาศาสตร์อวกาศสำหรับเยาวชน ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/jaxa-thailand  และแฟนเพจ NSTDA SPACE Education
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รับสมัคร นักวิจัย ผู้ประกอบการที่มีผลงานวิจัยพร้อมออกสู่เชิงพาณิชย์ เข้าร่วมโครงการ Leaders in Innovation Fellowships (LIF) Programme 2022
รับสมัคร นักวิจัย ผู้ประกอบการ ที่มีผลงานวิจัยพร้อมออกสู่เชิงพาณิชย์ เข้าร่วมโครงการ Leaders in Innovation Fellowships (LIF) Programme 2022 โครงการความร่วมมือระหว่าง สอวช. บพข. สกสว. และ สวทช. ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก The Royal Academy of Engineering (RAEng) ประเทศอังกฤษ . ผู้ผ่านการคัดเลือกจะได้รับ - สิทธิในการเข้าอบรม Introduction to Research Commercialisation ณ ประเทศไทย - การนำเสนอแผนธุรกิจนวัตกรรม (Pitching) เพื่อคัดเลือกให้เข้าอบรมตามโปรแกรมของ RAEng - การอบรมตามโปรแกรมของ RAEng ประเทศอังกฤษ - การสร้างเครือข่ายนักวิจัย ผู้ประกอบการ นักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ . สนใจดูรายละเอียดและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/news_post/lif-programme-2022/ รับสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ - 29 ต.ค. 64
ปฏิทินกิจกรรม
 
รับสมัครข้อเสนอโครงการเร่งการนำผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์สู่บัญชีนวัตกรรมไทย: ด้านสิ่งแวดล้อม
โครงการเร่งการนำผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์สู่บัญชีนวัตกรรมไทย : ด้านสิ่งแวดล้อม (Research and Invention for Thai Innovation List Gap Fund)ประจำปีงบประมาณ 2564 หรือโครงการ RGF5 ⏰⏰ปิดรับข้อเสนอโครงการ วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 นี้ ⏰⏰!!! ตามที่ สวทช. ได้รับการสนับสนุนทุนอุดหนุนเพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม ประจำปี 2564 จาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เรื่อง โครงการเร่งการนำผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์สู่บัญชีนวัตกรรมไทย : ด้านสิ่งแวดล้อม ขอเรียนเชิญนักวิจัยที่มีความร่วมมือกับผู้ประกอบการภาคเอกชน ซึ่งมีความสนใจขอรับการถ่ายทอดงานวิจัย หรือ ทรัพย์สินทางปัญญา ของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยของรัฐ ในช่วงการวิจัยต่อยอดผลงานที่มีต้นแบบระดับภาคสนาม (Field Prototype) หรือมีความพร้อมสำหรับการขยายผลไปสู่ผลิตภัณฑ์/บริการในระดับอุตสาหกรรม ร่วมส่งข้อเสนอโครงการ เพื่อรับทุนสนับสนุนสูงสุด 2 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นกลุ่ม BCG (Bio /Circular /green) 1.โครงการที่เกี่ยวข้องกับการต้านภัยแล้ง 2.โครงการด้านสิ่งแวดล้อม เริ่มรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ก่อนเวลา 17.00 น. สอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 02-564-7000 ต่อ 71687, 71386, 71389 หรือ Email: rgf@nstda.or.th อ่านเอกสารเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.nstda.or.th/home/services_post/research-gap-fund-2021/
ปฏิทินกิจกรรม
 
เปิดนวัตกรรมอัจฉริยะโดดเด่นบนเวที AI Innovation JumpStart Batch3สวทช.พร้อมผลักดันต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับกิจกรรม “AI Innovation JumpStart Batch3: Pitching Online” เวทีที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และระบบอัจฉริยะ รวมไปถึงบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี เข้ามานำเสนอผลงานนวัตกรรมเพื่อเตรียมต่อยอดนำไปใช้จริงในเชิงอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 มีทีมนักพัฒนา 22 ทีมที่ผ่านการคัดเลือกและเข้ามานำเสนอผลงาน 22 นวัตกรรมในรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (Software Park Thailand: SWP) เปิดเผยว่า การนำเสนอผลงานต้นแบบนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ในโครงการ AI Innovation JumpStart นี้เพื่อส่งเสริมการสร้างต้นแบบนวัตกรรมโดยใช้เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด มีผู้ใช้งานจริง และสามารถขยายผลได้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบาย Thailand 4.0 พร้อมกับการพัฒนาบุคลากรทักษะสูงให้มีความรู้ความสามารถในการสร้างต้นแบบนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ตอบโจทย์และสามารถเติบโตไปเป็นธุรกิจได้ในอนาคต สำหรับทีมนักพัฒนานวัตกรรมทั้ง 22 ทีมที่ผ่านการคัดเลือกนั้น มีผลงานนวัตกรรมโดดเด่นและน่าสนใจ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มนวัตกรรม ประกอบด้วย เทคโนโลยีด้านการเกษตร, เทคโนโลยีด้านการตลาดและส่งเสริมการขาย , เทคโนโลยีงานอุตสาหกรรมและระบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีการแพทย์ โดยทุกทีมได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสชาติ (สวทช.) ทีมละ 100,000 บาท เพื่อนำไปต่อยอดพัฒนานวัตกรรมต่อไป การนำเสนอผลงานนวัตกรรมในกิจกรรมครั้งนี้ ยังมีการมอบรางวัล Popular Vote จำนวน 3 รางวัล ๆ ละ 5,000 บาท แบ่งเป็น 2 ผลงานที่ได้รับรางวัลจากคะแนนโหวตสูงสุดจากผู้รับชมใน Zoom Meeting ได้แก่ เครื่องคัดมะม่วงคุณภาพด้วย AI จากทีม I-Mango และระบบควบคุมการปลูกผักอัตโนมัติด้วยปัญญาประดิษฐ์สำหรับโรงเรือนปิด จากทีม ThaiHand AI และอีก 1 ผลงานที่ได้รับรางวัล Popular Vote จากที่มีจำนวนผู้เข้าไปกด Like ผลงานมากที่สุดในเฟสบุ๊ค SWP JumpStart ได้แก่ หุ่นยนต์ผู้ช่วยอัจฉริยะ ของทีม EasyKids Robotics โดย ทีม I-Mango จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ได้นำเสนอผลงานการพัฒนา “เครื่องคัดมะม่วงคุณภาพด้วย AI” ตอบโจทย์เกษตรกรชาวสวนมะม่วงที่มักประสบปัญหาการคัดเกรดมะม่วงซึ่งส่วนใหญ่ยังใช้คนคัดแยกและไม่ได้มาตรฐานการตัดเกรดมะม่วง ทำให้เกษตรกรสูญเสียโอกาสและรายได้จากการคัดเกรดมะม่วงที่ผิดพลาด โดยทีมได้นำเทคโนโลยีการประมวลภาพ (Image Processing) มาประยุกต์เข้ากับซอฟต์แวร์ AI พัฒนาเป็นเครื่องที่มีลักษณะสายพานสามารถคัดแยกมะม่วงได้ตามเกรด A , B และ C โดยให้ AI เรียนรู้และจดจำจากการวัดขนาดผล และดูลักษณะของผิวผลของมะม่วงที่แตกต่างกันปัจจุบันเครื่องคัดมะม่วงคุณภาพด้วย AI ยังเป็นต้นแบบอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบจดจำหรืออัลกอลิทึมให้มีความแม่นยำและมีความรวดเร็วในการคัดแยก เพื่อให้เป็นมาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั้งเกษตรกรผู้ขายและผู้รับซื้อ ทีมนักพัฒนาจากบริษัท ThaiHand A.I. นำเสนอผลงานการพัฒนา “ระบบควบคุมการปลูกผักอัตโนมัติด้วยปัญญาประดิษฐ์สำหรับโรงเรือนปิด” โดยนำ AI มาประยุกต์เข้ากับระบบการควบคุมสภาวะการปลูกพืชในโรงเรือน สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและควบคุมสภาวะต่าง ๆ ในโรงเรือนให้เหมาะสำหรับพืชแต่ละชนิดได้อัตโนมัติทั้งอุณหภูมิ ความชื้น สภาพแสง จุดเด่นของระบบคือ เป็นการใช้ AI เข้ามาช่วยควบคุมแตกต่างจากระบบทั่วไปที่ยังใช้การตั้งเวลา นอกจากนี้ทีมยังได้พัฒนาหุ่นยนต์สำหรับตรวจสอบการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งแตกต่างจากระบบทั่วไปที่ยังใช้คนเข้าไปตรวจสอบ และที่สำคัญข้อมูลสภาวะที่เหมาะสมกับปลูกผักแต่ละชนิด จะถูกส่งไปเก็บในระบบ Cloud เป็นฐานข้อมูลใน Web Server เกษตรกรรายอื่น ๆ สามารถเข้าไปดูได้ว่าสภาวะโรงเรือนปัจจุบันเหมาะสำหรับปลูกพืชชนิดใดได้บ้าง โดยทีมมีความเชื่อมั่นว่าระบบนี้จะช่วยให้เกษตรกรเพิ่มผลิตได้ 30% และลดแรงงานได้ถึง 50% และทีมนักพัฒนาจากบริษัท EasyKids Robotics นำเสนอผลงาน “หุ่นยนต์ผู้ช่วยอัจฉริยะ” เป็นหุ่นยนต์ที่มีหน้าจอสามารถแสดงสีหน้าต่าง ๆ พร้อมกับมีเสียงสามารถพูดทักทายโต้ตอบได้ เหมาะสำหรับนำไปใช้ในงานบริการหรือห้างร้าน ๆ ต่างที่มีลูกค้ามาใช้บริการ โดยภายในหุ่นยนต์มีระบบ Face Detection ตรวจจับและจดจำใบหน้าบุคคล สามารถพูดทักทาย โต้ตอบ และให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ได้ รวมถึงยังมีระบบการลงทะเบียน รองรับระบบการชำระเงินรูปแบบต่าง ๆ และมีระบบการจัดคิวและเรียกคิวลูกค้า เปรียบเสมือนเป็นพนักงานต้อนรับ ช่วยให้ลดขั้นตอนการใช้บริการและเพิ่มความรวดเร็วของลูกค้า ปัจจุบันมีคลินิคทันตกรรมบางแห่งนำหุ่นยนต์ผู้ช่วยอัจฉริยะไปทดลองใช้จริงแล้ว ซึ่งใช้ได้ผลดีกับเด็ก ๆ ที่มารอใช้บริการทำฟัน โดยทีมพัฒนาตั้งเป้านำไปใช้ในกลุ่มร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ต่อไป ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีและชื่นชมในความพยายาม และความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้เข้าร่วมโครงการที่พัฒนาเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ เพื่อยกระดับปรับเปลี่ยนความสามารถของผลิตภัณฑ์และบริการ ให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบัน เป็นไปตามแนวโน้มความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สร้างนวัตกรรมใหม่ที่จะมีมูลค่าสูงในอุตสาหกรรมอนาคต นอกจากนี้ยังมีอีกหลายผลงานนวัตกรรมโดดเด่นที่ผ่านการคัดเลือกจากเวที “AI Innovation JumpStart Batch3: Pitching Online” เช่น ระบบการปลูกมะเขือเทศอัจฉริยะ , นวัตกรรมตรวจสอบคุณภาพทุเรียน , AI tools สำหรับงานขายของแบรนด์ , หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อประสิทธิภาพสูง , ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีการเทรดในตลาดทุน , อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วยอัตโนมัติ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลนวัตกรรมได้ที่ https://swpark.or.th/index.php/booklet-jumpstar-3/
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เทคโนโลยีการผลิต “Cider vinegar” เครื่องดื่มสุขภาพจากผลไม้ไทย
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 11 มิถุนายน 2567 (ท้ายบทความ)   “Cider vinegar” หรือ “น้ำส้มสายชูหมัก” เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพราะกรดแอซีติก (Acetic acid) ซึ่งเป็นสารสำคัญในเครื่องดื่มประเภทนี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยอาหารและควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ดี ส่งผลให้ตลาดของผลิตภัณฑ์ Cider vinegar มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการคาดการณ์ว่าในปี 2570 ผลิตภัณฑ์ Cider vinegar ในตลาดโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในประเทศไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดนี้น้อย เพราะแม้จะมีผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมากที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบได้ แต่ผู้ประกอบการไทยยังขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสม จึงยากแก่การผลิตสินค้าในระดับอุตสาหกรรม ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar แบบขั้นตอนเดียว สำหรับวัตถุดิบการเกษตรของไทย โดยเป็นกระบวนการผลิตแบบง่ายและต้นทุนต่ำ ช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) สามารถเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีแปรรูปสินค้าการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้   [caption id="attachment_27165" align="aligncenter" width="450"] นายยุทธนา กิ่งชา นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช.[/caption]   [caption id="attachment_27164" align="aligncenter" width="700"] ทีมวิจัยจากไบโอเทค สวทช.[/caption]   นายยุทธนา กิ่งชา นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า จุดเริ่มต้นการทำวิจัยนี้มาจากความต้องการของบริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด ผู้ผลิตมังคุดที่ต้องการแก้ปัญหามังคุดล้นตลาดด้วยการนำมาแปรรูปเป็น Cider vinegar เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยบริษัทฯ พยายามพัฒนากระบวนการหมักกว่า 7 ปี แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดองค์ความรู้ในกระบวนการหมักที่เหมาะสม ขณะเดียวกันเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar จากต่างประเทศก็มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องยากต่อการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งนี้ไบโอเทค สวทช. มีองค์ความรู้เรื่องจุลินทรีย์และมีคลังจุลินทรีย์ที่พบในประเทศไทยจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสสำคัญที่นำมาสู่การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar จากมังคุดในระดับอุตสาหกรรมร่วมกัน “โจทย์ใหญ่ในการพัฒนาคือต้องเป็นเทคโนโลยีที่ง่ายและต้นทุนไม่สูง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar แบบขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นกระบวนการหมักแบบช้า (Slow process) ที่ทำให้ได้ Cider vinegar ที่มีกลิ่นรสเฉพาะของวัตถุดิบโดยไม่ต้องปรุงแต่งด้วยสารเติมแต่งภายหลังการหมัก โดยได้พัฒนาเทคโนโลยีใน 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือการพัฒนาหัวเชื้อจุลินทรีย์สูตรผสมที่สามารถผลิตเอทานอลและกรดแอซีติกจากการหมักได้พร้อมๆ กัน ซึ่งกระบวนการเดิมต้องหมักถึง 2 ขั้นตอน คือหมักให้เกิดเอทานอลก่อนแล้วนำมาหมักต่อให้ได้กรดแอซีติกภายหลัง     ส่วนที่สองคือการพัฒนาสภาวะที่เหมาะสมและง่ายสำหรับการหมัก เพื่อให้ได้ผลผลิตน้ำส้มสายชูหมักที่มีคุณภาพและปลอดภัย ทั้งยังสามารถลดระยะเวลาการหมักจาก 6 เดือน เหลือเพียง 3 เดือน โดยส่วนของระบบของการหมักมีการออกแบบแยกเป็นยูนิต 1 ยูนิตของการหมักประกอบด้วยถังหมักพลาสติกชนิด food grade ขนาด 100 ลิตร จำนวน 4 ถัง ซึ่งสามารถผลิต cider vinegar ได้ประมาณ 280 ลิตร จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง ผู้ผลิตสามารถปรับเพิ่มหรือลดจำนวนถังหมักและระบบการให้อากาศเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิตที่ต้องการได้ ไม่จำเป็นต้องหมักครบทุกถัง หรือหากต้องการเพิ่มปริมาณการผลิตก็ทำได้ง่าย เพียงทำการเพิ่มจำนวนยูนิตของการหมักเท่านั้น นอกจากนี้กระบวนการเตรียมหัวเชื้อจุลินทรีย์และอุปกรณ์การผลิตยังมีราคาถูกและใช้งานง่าย ไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเพื่อควบคุมการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกกว่าเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศมาก ที่สำคัญคือ Cider vinegar จากมังคุดที่ผลิตได้ยังมีคุณภาพดีทั้งกลิ่นและรสชาติมีคุณภาพสม่ำเสมอตามมาตรฐาน สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้แก่มังคุดมากกว่า 50 เท่า”   [caption id="attachment_27159" align="aligncenter" width="640"] Cider vinegar จากมังคุดออร์แกนิกแบบพร้อมดื่ม แบรนด์ Sukina Drink[/caption]   ปัจจุบันบริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด ได้ร่วมทุนกับบริษัทเอสคิวไอ กรุ๊ป จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์ “Cider Vinegar จากมังคุดออร์แกนิกแบบพร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ Sukina Drink” วางจำหน่ายในตลาดแล้ว ความพิเศษของผลิตภัณฑ์นอกจากสรรพคุณหลักของกรดแอซีติกที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว มังคุดยังมีสารสำคัญ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านการอักเสบ และสารอื่นๆ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ อีกด้วย นายยุทธนา เล่าว่า เทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบขั้นตอนเดียวสามารถประยุกต์ใช้ในการผลิต Cider vinegar ครอบคลุมวัตถุดิบการเกษตรของไทยได้หลากหลาย เพียงเกษตรกรหรือผู้ประกอบการมีวัตถุดิบที่มีจุดเด่นที่คุ้มค่าต่อการลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์   [caption id="attachment_27158" align="aligncenter" width="640"] Cider vinegar จากสัปปะรด แบรนด์ SINAR[/caption]   “ปัจจุบันไบโอเทคได้ขยายผลการใช้งานเทคโนโลยีสู่การผลิต Cider vinegar จากสัปปะรด ให้แก่บริษัทซินอา บริว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำส้มสายชูกลั่นที่ต้องการขยายตลาดสู่สินค้าเพื่อสุขภาพ โดยมีการจำหน่ายสินค้าแล้วใน “แบรนด์ SINAR (ซินอา)” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Cider vinegar สูตรไม่ปรุงแต่งรสและปราศจากน้ำตาล จึงเหมาะสำหรับนำไปทำเครื่องดื่มและอาหารเพื่อสุขภาพ มีสรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดคอเลสเตอรอล เหมาะแก่ผู้บริโภคอาหารแบบคีโตเจนิค (Ketogenic diet) และผู้ดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ในอนาคตไบโอเทคยังมีแผนพัฒนาต่อยอดไปสู่ผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ อาทิ กระเทียมดำ ผลเชอร์รีกาแฟ และอ้อย ฯลฯ เนื่องจากตลาด Cider vinegar มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในไทย เอเชียแปซิฟิก รวมถึงตลาดโลก” เทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบขั้นตอนเดียวที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยไทย นับเป็นโอกาสสำคัญของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในการยกระดับ เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม     อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 11 มิถุนายน 2567 (ท้ายบทความ)   ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายแล้ว 3 ผลิตภัณฑ์ คือ cider vinegar จากมังคุด (บริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด) สับปะรด (บริษัทซินอา บริว จำกัด) และกระเทียมดำ (บริษัทนพดาซุปเปอร์ฟู้ดส์ จำกัด) และมีอีก 2 ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเอกชนอีก 2 เจ้าอยู่ระหว่างเตรียมการผลิต คือ cider vinegar จากอ้อย และลำใย   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ไบโอเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ขอเชิญร่วมงานประชุมนานาชาติ Food Innopolis International Symposium 2021
กลับมาอีกครั้งกับงานประชุมนานาชาติ Food Innopolis International Symposium 2021 งานสัมมนานวัตกรรมอาหารระดับนานาชาติประจำปีครั้งที่ 4 โดยในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Driving a Sustainable Future Through Bio-Circular-Green Economy การพัฒนาประเทศไทยสู่ Bio-Circular-Green Economy หรือ "โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" จำเป็นต้องเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เช่น ความเสื่อมโทรมของทรัพยากร ขยะล้นเมือง ภาวะโลกร้อน ตลอดจนคุณภาพชีวิตของประชากร โดย "อาหาร" เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการก้าวสู่ Bio-Circular-Green Economy โดย Food Innopolis สวทช. และ TMA ในวันที่ 9 - 10 พฤศจิกายน 2564 (งานสัมมนาออนไลน์ - บรรยายภาษาอังกฤษ พร้อมระบบแปลภาษา) ราคาบัตร (สำหรับเข้างาน 2 วัน) --- TMA-Member 1,800 บาท / Non-Member * 2,400 บาท --- บัตรกลุ่ม 5 ใบ ราคาพิเศษ: ติดต่อ TMA ลงทะเบียนได้ทาง link: www.fiisthailand.com/register/ รายละเอียดกำหนดการและข้อมูลเพิ่มเติมที่ : www.fiisthailand.com
ปฏิทินกิจกรรม
 
ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 แบบ SELF TEST จากนาโนเทค สวทช. ผ่านการประเมินเทคโนโลยีจาก อย.
หลังประสบความสำเร็จในการพัฒนาชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 แบบ Professional Use สำหรับผู้ใช้ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข นักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ต่อยอดสู่ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ด้วยตนเอง หรือแบบ SELF TEST ด้วยเทคนิค LFA ซึ่งผ่านการประเมินเทคโนโลยีจาก อย. เรียบร้อยแล้ว หวังเป็นทางเลือกช่วยคัดกรองผู้ติดเชื้อ เพื่อลดภาระงานบุคลากรทางการแพทย์ ส่งไม้ต่อเอกชน ขยายกำลังการผลิต รองรับความต้องการของตลาด ดร.ภญ.ณัฐปภัสร วิริยะชัยพร ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 (NANO Covid-19 Antigen Rapid Test) ทั้งแบบ Professional Use และแบบ SELF TEST นั้น เป็นชุดตรวจเชื้อโควิด-19 แบบรวดเร็วชนิดการตรวจหาแอนติเจน (เทคนิค LFA) หรือ NANO Covid-19 Antigen Rapid Test ที่อาศัยหลักการไหลในแนวราบ และการจับกันแบบจำเพาะของโมเลกุลที่มีความจำเพาะต่อโปรตีนของเชื้อโคโรนาไวรัส โดยโมเลกุลดังกล่าวจะถูกติดสลากด้วยวัสดุนาโนตอบสนองชนิดพิเศษ ร่วมกับการพัฒนาและปรับสภาพองค์ประกอบต่างๆในชุดตรวจเพื่อให้สัญญาณ/เพิ่มสัญญาณ จนอ่านสัญญาณได้ภายใน 15 นาที “หลังจากเราพัฒนาชุดตรวจฯ แบบ Professional Use เสร็จแล้ว สถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ก็เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นโยบายจากภาครัฐที่เน้นเรื่องความสำคัญในการขยายการเข้าถึงชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ของประชาชนให้มากขึ้น จึงมีการอนุมัติให้สามารถใช้ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ด้วยตนเอง หรือหลายคนเรียกว่า ชุดตรวจฯ แบบ Home Use หรือ Self-Test ซึ่งทางนาโนเทคเองก็มองเห็นความสำคัญ ช่วยเปลี่ยนผ่านงานวิจัย ต่อยอดมาเป็นชุดตรวจแบบ SELF TEST” ดร.ภญ.ณัฐปภัสรเผย นักวิจัยนาโนเทคชี้ว่า ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 (NANO Covid-19 Antigen Rapid Test) ทั้งแบบ Professional Use และแบบ SELF TEST ที่พัฒนาขึ้นนั้น ใช้หลักการตรวจหาแอนติเจนแบบรวดเร็ว (เทคนิค LFA) เหมือนกัน แต่ความแตกต่างคือ แบบ Professional Use ที่ผู้ทำการตรวจคัดกรองจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ และก้านเก็บตัวอย่างจะพิเศษกว่า ทั้งในแง่ของความยาว และความยืดหยุ่น เพื่อให้เก็บตัวอย่างได้ในตำแหน่งที่ลึก ในขณะที่แบบ SELF TEST จะเป็นประชาชนทั่วไป ก้านเก็บตัวอย่างจะแข็งและสั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บระหว่างใช้งานของผู้ใช้ที่ไม่คุ้นชิน นอกจากนี้ ยังแตกต่างในด้านการแปลผล ที่แบบ Professional Use ซึ่งทำในสถานพยาบาล ซึ่งจะมีเครื่องไม้เครื่องมือ และอุปกรณ์ในระดับห้องปฏิบัติการรองรับในการวิเคราะห์และแปลผล ในขณะที่แบบ SELF TEST จะแปลผลจากชุดตรวจโดยผู้ใช้งานโดยตรง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 แบบ Professional Use หรือแบบ SELF TEST ดร.ภญ.ณัฐปภัสรย้ำว่า หากผลการทดสอบเป็นบวกด้วยวิธี Antigen Rapid Test นี้ ต้องได้รับการตรวจยืนยันด้วยวิธีอนูวิทยาหรือ RT-PCR เพื่อยืนยันอีกครั้ง ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 (NANO Covid-19 Antigen Rapid Test) แบบ SELF TEST นั้น ผู้ใช้งานสามารถทำการตรวจหาเชื้อได้เองที่บ้านด้วยการใช้ก้านเก็บตัวอย่างสอดเข้าไปในโพรงจมูก (ลึก 1.5-2.5 เซนติเมตร) โดยหมุนก้านเก็บตัวอย่างเพื่อป้ายให้ทั่วโพรงจมูกไปทางซ้าย 5 รอบ และทางขวา 5 รอบ จากนั้น ทำซ้ำกับโพรงจมูกอีกข้าง นำก้านเก็บตัวอย่างมาจุ่มในหลอดน้ำยาชุดตรวจ 1 นาทีโดยบีบปลายก้านเก็บตัวอย่าง แล้วดึงก้านเก็บตัวอย่างออก ปิดหลอดบรรจุน้ำยาชุดตรวจไว้อีก 1 นาที จากนั้น เตรียมการทดสอบโดยนำตลับชุดตรวจวางบนพื้นที่ราบเสมอกันและสะอาด บีบหลอดบรรจุน้ำยาชุดตรวจที่ผสมตัวอย่าง 5 หยดลงบนช่องหยดตัวอย่างของชุดตรวจแล้วรอ 15 นาทีเพื่ออ่านผล “ความท้าทายของนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ที่เราพัฒนาขึ้นนั้น มองว่า เป็นการทำความเข้าใจในการใช้งาน เพราะลักษณะของชุดตรวจทั้งแบบ Professional Use และแบบ SELF TEST เหมือนกันแทบทุกอย่าง รวมไปถึงชุดตรวจต่างๆ ในท้องตลาด ซึ่งผู้ใช้ต้องอ่านขั้นตอนการใช้โดยละเอียด เพราะแต่ละรายอาจจะมีรายละเอียดและวิธีการที่แตกต่างกัน ผู้ใช้ต้องเข้าใจหลักการ เทคนิค และการศึกษาคู่มือการใช้ให้เข้าใจ รวมถึงคุณภาพในการเก็บ ตย. ซึ่งมีผลต่อผลการตรวจด้วย” ดร.ภญ.ณัฐปภัสรกล่าว พร้อมชี้ว่า การให้ความรู้กับผู้ใช้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ซึ่งทางนาโนเทคได้เตรียมเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์และสื่อประกอบการใช้งานซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จาก QR Code นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ต้องมีความเหมาะสม โดยจะมีขนาดเล็กลง จากเดิม 1 แพคมี 10 ชุด ก็จะเป็น 1 แพค 1 ชุด ปัจจุบัน ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 (NANO Covid-19 Antigen Rapid Test) ทั้งแบบ Professional Use และแบบ SELF TEST ได้ผ่านการประเมินเทคโนโลยีของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม และ 28 กันยายน 2564 ตามลำดับ โดยมี บริษัท อินโนไบโอเทค จำกัด รับถ่ายทอดเทคโนโลยี และมีภาคเอกชนที่อยู่ระหว่างหารือร่วมกันอีกด้วย ดร.วรรณี ฉินศิริกุล  ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ด้วยตนเอง หรือแบบ SELF TEST จะเป็นฟันเฟืองสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิต และทำกิจกรรมต่างๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด ที่สอดรับกับนโยบายภาครัฐที่เตรียมพร้อมในการเปิดประเทศ รวมถึงมาตรการผ่อนปรนต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อน ผู้ประกอบการ สถานที่ต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องมีชุดตรวจคัดกรองนี้ เพื่อวางแผนการจัดกิจกรรม หรืองานต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าร่วม และลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้ออีกด้วย “สิ่งที่สำคัญคือ ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ด้วยตนเองที่มีประสิทธิภาพสูงจะเป็นตัวช่วยสำคัญของระบบสาธารณสุขของประเทศ ช่วยคัดกรองอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าสู่กระบวนกักตัว หรือการรักษาพยาบาลได้อย่างทันท่วงที ลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น” ผู้อำนวยการ นาโนเทค ย้ำ  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
พนักงาน สวทช. ร่วมกันบำรุงรักษาต้นไม้อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เนื่องใน “วันรักต้นไม้”
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำพนักงาน สวทช. ร่วมกันบำรุงรักษาต้นไม้ภายในสวนหน้าอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เนื่องในวันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ วันที่ 21 ตุลาคม และเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยพนักงาน สวทช.ได้ร่วมกันพรวนดิน กำจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ยและรดน้ำต้นกระทิง จำนวน 33 ต้น โดยปุ๋ยที่ใส่เป็นปุ๋ยที่ฝ่ายอาคารของ สวทช.ทำขึ้นเอง.
ข่าวประชาสัมพันธ์