ผลการค้นหา :
คณะผู้บริหารสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เยี่ยมชมงาน สวทช.
วันที่ 11 ก.พ.2565 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) , นางเกศวรงค์ หงส์ลดารมภ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. , ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) , ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) และผู้บริหาร สวทช. ให้การต้อนรับ พลเอก พอพล มณีรินทร์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ , พลเอก ชูชาติ บัวขาว ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พร้อมคณะผู้บริหารจากสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมชมสถานที่ปฏิบัติงานของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประกอบด้วย ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ศูนย์ทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่ ตามมาตรฐาน Military Standard MIL-STD 461 MIL-STD 810 และศูนย์ทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่ ตามมาตรฐาน Military Standard MIL-STD 461 MIL-STD 810
ในการเยี่ยมชมครั้งนี้ ดร.ณรงค์ ได้แนะนำหน่วยงานและพันธกิจหลักของ สวทช. จากนั้นคณะผู้บริหาร สวทช. และ สทป. ได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือด้านการบริการรับรอง ทดสอบ และสอบเทียบยุทโธปกรณ์ทางทหาร (Military Equipment) รวมทั้งผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ใช้ได้สองทาง (Duo-use Technology) หรือเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศทุกรูปแบบ ขณะเดียวกันสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ ลดการนำเข้า สร้างทั้งรายได้และความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ประเทศ ซึ่งจะมีความร่วมมือกันในอนาคตต่อไป.
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผู้ว่าฯ “ณรงค์ศักดิ์” ชื่นชมนวัตกรรมไทย MagikTuch ลิฟต์ไร้สัมผัส
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาและต่อยอดนวัตกรรม ปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส MagikTuch พร้อมเดินหน้าส่งมอบและติดตั้งให้กับสถานที่อาคารของหน่วยงานต่างๆ เป็นนวัตกรรมที่จะช่วยลดการสัมผัสปุ่มกดลิฟต์ที่ต้องใช้ร่วมกัน เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19
ล่าสุด วช. ร่วมกับ สวทช. ได้นำนวัตกรรมปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส MagikTuch ส่งมอบและติดตั้งที่ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี โดยมีนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นผู้รับมอบ ซึ่งกล่าวชื่นชมนักวิจัยไทยที่คิดค้นพัฒนานวัตกรรมปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์อย่างมากในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. เปิดรับสมัครอบรมออนไลน์ หัวข้อ “ความเข้าใจข้อกำหนดและแนวทางปฏิบัติตามเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียว”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดย โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับ กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ขอเชิญชวนผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจ สมัครเข้าร่วมการอบรมในหัวข้อ “ความเข้าใจข้อกำหนดและแนวทางปฏิบัติตามเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียว” ในวันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 09.00 – 16.30 น. ผ่านระบบออนไลน์
โดยการอบรมในครั้งได้รับเกียรติจาก คุณพัฒน์พงษ์ บุตรราช ผู้เชี่ยวชาญด้าน Green Industry บรรยายเรื่อง ความสำคัญและประโยชน์ที่ได้รับจากอุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ BCG พร้อมด้วยภาพรวมข้อกำหนดและแนวทางปฏิบัติตามเกณฑ์กำหนดอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 1-5 และขั้นตอนการให้การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว พร้อมแบ่งการจับกลุ่มเพื่อฝึกปฏิบัติทบทวน และนำเสนอกิจกรรมต่อไป
ทั้งนี้ผู้ประกอบและผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมการอบรมออนไลน์ในครั้งนี้สมัครที่ได้ bit.ly/3Ll6Jaw หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) โทรศัพท์ 02 564 7000 ต่อ 1371 , 1301 เบอร์มือถือ 096 128 8826 (คุณภาวิณี) หรือ 063 915 6656 (พนิตา) E-mail : pavinee@nstda.or.th , panita@nstda.or.th
ข้อมูลประกอบ
BCG Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) คือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นแนวคิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curves) ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมพลังงานและวัสดุ อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ โดยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ผลิตที่เป็นฐานการผลิตเดิม เช่น เกษตรกรและชุมชน ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงหรือนวัตกรรม
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน คือ สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุด (Eco-design & Zero-Waste) ส่งเสริมการใช้ซ้ำ (Reuse, Refurbish, Sharing) และให้ความสำคัญกับการจัดการของเสียจากการผลิตและบริโภค ด้วยการนำวัตถุดิบที่ผ่านการผลิตและบริโภคแล้วเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพเพื่อกลับมาใช้ใหม่ (Recycle, Upcycle) ซึ่งต่างจากระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม ที่เน้นการใช้ทรัพยากร การผลิต และการสร้างของเสีย (Linear Economy)
ปฏิทินกิจกรรม
วช. – สวทช. ส่งมอบนวัตกรรม MagikTuch ‘ลิฟต์ไร้สัมผัส’ แก่ผู้ว่าจังหวัดปทุมฯ เพื่อลดความเสี่ยง เลี่ยงสัมผัสเชื้อโควิด
9 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรมผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. พร้อมด้วยนางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นำ นวัตกรรม MagikTuch ปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส แบบ 2 in 1 ส่งมอบพร้อมติดตั้งภายในอาคาร ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี
โดยมีนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และคณะรับมอบนวัตกรรมพร้อมขอบคุณนักวิจัยและผู้บริหารหน่วยงานวิจัยภายใต้กระทรวง อว. ที่คิดค้นและผลิตนวัตกรรมปุ่มกดลิฟต์แบบไร้สัมผัสเพื่อช่วยลดความเสี่ยง เลี่ยงการสัมผัสเชื้อโควิดแก่ประชาชนที่ใช้บริการและเจ้าหน้าที่ ที่เข้ามาทำงานภายในอาคารศาลากลางจังหวัดปทุมธานี
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า กว่า 2 ปีที่สังคมไทยต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวง อว. ได้มีส่วนร่วมในการคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 โดย วช. ได้รวบรวมนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คน มาทำการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อช่วยลดผลกระทบจากโควิด-19 มุ่งเน้นผลงานเชิงสุขภาพให้หลากหลาย โดยผลงานนวัตกรรม “MagikTuch” ปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส แบบ 2 in 1 ถือเป็นหนึ่งในผลงาน ที่ วช. ให้การสนับสนุนนักวิจัย สวทช. เพื่อขยายผลสู่การใช้งานจริงเพื่อบรรเทาวิกฤตการระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศ ด้วยการแปลงระบบลิฟต์ทั่วไปให้เป็นลิฟต์แบบไร้สัมผัส เนื่องจากลิฟต์ในที่สาธารณะมีประชาชนใช้งานจำนวนมาก ดังนั้นการมีนวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงของประชาชนในการสัมผัสเชื้อโรคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
ด้าน ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันมีโรคระบาดเกิดขึ้นจำนวนมาก และหลายโรคสามารถติดต่อกันผ่านการสัมผัสสิ่งของต่างๆ ที่มีสารคัดหลั่งหรือเชื้อโรคจากผู้ป่วยติดค้างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งของต่างๆ ที่มีคนใช้งานร่วมกัน เช่น ที่จับประตู ราวบันไดเลื่อน ก๊อกน้ำ รวมถึงปุ่มกดลิฟต์โดยสารซึ่งเป็นระบบขนส่งที่มีผู้คนใช้ร่วมกันจำนวนมาก ทีมวิจัยจึงพัฒนานวัตกรรมเมจิกทัช (MagikTuch) เพื่อเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ลดการเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคความเสี่ยงจากการสัมผัสกับปุ่มกดลิฟต์ที่อาจมีสารคัดหลั่งหรือเชื้อโรคต่างๆ ของผู้ป่วยติดค้างอยู่ สามารถช่วยลดการแพร่กระจายโรคโควิด-19 ได้
“MagikTuch มีจุดเด่น 3 ข้อ คือ
1. Touchless เป็นระบบการทำงานแบบไร้สัมผัส สั่งการด้วยเซนเซอร์ วิธีใช้งานง่ายคือใช้นิ้วมือวางเหนือปุ่มลิฟต์ของชั้นที่ต้องการระยะห่าง 1-3 เซนติเมตร เซนเซอร์จะตรวจจับข้อมูลชั้นที่ต้องการเลือกและสั่งการลิฟต์โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งมีระบบการตรวจจับเพื่อป้องกันการสั่งการพร้อมกันหลายปุ่ม ขณะเดียวกันหากระบบเกิดการขัดข้อง หรือผู้ใช้งานไม่สะดวกใช้งานแบบไร้สัมผัส สามารถใช้วิธีกดปุ่มลิฟต์แบบเดิม เนื่องจากระบบออกแบบให้ทำงานได้ 2 แบบ คือ แบบไร้สัมผัสและการกดปุ่ม
2. Safe from Infection ปลอดภัยจากการติดเชื้อโรค เพราะเมื่อไม่มีการสัมผัสจะลดการแพร่กระจายเชื้อโรคในลิฟต์
3. Easy Installation คือติดตั้งได้ง่ายและมีความยืดหยุ่น โดยชุดอุปกรณ์ MagikTuch สามารถติดตั้งเข้าไปบนลิฟต์ตัวเดิม โดยไม่ต้องดัดแปลงหรือเชื่อมต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของตัวลิฟต์ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะการรับประกันระบบของบริษัทผู้ติดตั้งและผู้ดูแลลิฟต์ อีกทั้งยังออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสามารถรองรับจำนวนชั้นได้ตามที่ต้องการสำหรับลิฟต์โดยสารหลากหลายยี่ห้อ อีกทั้งมีระบบป้องกันทางไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน และผ่านการทดสอบมาตรฐานด้าน EMC/EMI”
ดร.ศิวรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา สวทช. ได้ดำเนินการติดตั้งใช้งานระบบ MagikTuch ตามสถานที่ต่างๆ แล้วมากกว่า 10 แห่ง เช่น ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ และจากการสนับสนุนเพิ่มเติมจาก วช. ทำให้เกิดการขยายผลและอยู่ระหว่างการติดตั้ง MagikTuch ให้มีการนำไปใช้งานเพิ่มเติมในสถานที่ที่มีคนไปใช้งานจำนวนอีกกว่า 12 จุดติดตั้ง อาทิ ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาวิกฤตเร่งด่วนของประเทศได้พอสมควร
ปัจจุบันทีมวิจัยได้ขยายผลการพัฒนานวัตกรรม MagikTuch สำหรับแปลงระบบลิฟต์ทั่วไปให้เป็นระบบลิฟต์แบบไร้สัมผัสเพื่อบรรเทาปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากการใช้ลิฟต์ในที่สาธารณะที่มีประชาชนมาใช้จำนวนมาก โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยเเห่งชาติ (วช.) ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. เบอร์โทรศัพท์: 02 564 6900 ต่อ 2521 E-mail: siwaruk.siw@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์
เนคเทค สวทช. จับมือเครือข่ายพันธมิตร เสริมแกร่งเยาวชนในยุค New Normal เฟ้นหาสุดยอดนวัตกรน้อยด้านเกษตรอัจฉริยะ HandySense ตามเศรษฐกิจใหม่ BCG Model
(7 กุมภาพันธ์ 2565) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดประกวดโครงการประยุกต์ใช้ระบบเกษตรอัจฉริยะ HandySense ใช้งานได้จริงในโรงเรียนรอบชิงชนะเลิศในรูปแบบออนไลน์ สำหรับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ชิงรางวัลอุปกรณ์ HandySense พร้อมทุนพัฒนาโครงการฯ หวังเป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีเกษตรที่ช่วยเติมเต็ม ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อโรงเรียน และชุมชนอย่างยั่งยืน
คุณกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของสวทช. คือการนำผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ในการดำเนินงานให้เกิดผล ตอบโจทย์ไปสู่การใช้งานจริง ในรูปแบบ BCG economy Model ซึ่งเป็นโมเดลที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมนำทางเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่รระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้สังคมต้องปรับเปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนทั้งรูปแบบการใช้ชีวิต การบริโภค รวมทั้งการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ทั้งคนเมืองและต่างจังหวัด
การนำเอาแนวBCG Economy Model ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) คือการใช้ทรัพยากรชีวภาพที่มีมากมายและหลากหลายอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์อย่างที่สุดด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี นำมาสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คือ การนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ใหม่หรือใช้ให้ยาวนานที่สุดอย่างคุ้มค่า และสุดท้ายก็คือเรื่องของ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกันนั้น สวทช.จึงได้นำผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการดำเนินงานให้เกิดผลบรรลุดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือ การส่งเสริมเรื่องเกษตรสมัยใหม่ ซึ่งผลงานวิจัยและพัฒนาที่ชื่อว่า HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ โดย เนคเทค สวทช.
ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า “โครงการส่งเสริมสวนเกษตรอัจฉริยะในโรงเรียนยุคปกติใหม่ (New Normal) มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการปลูกฝังแนวความคิด สร้างแรงจูงใจของการนำเทคโนโลยีด้านการเกษตรไปประยุกต์ใช้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่วัยเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รู้จัก เข้าใจ และทดลองปฏิบัติจริง โดยเริ่มต้นจาก HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ ที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค สวทช. ได้ตั้งเป้าหมายให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ หรือผู้สนใจทั่วไปนำไปผลิตเพื่อใช้หรือจำหน่ายได้ โดยไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ (License Fee) และค่าตอบแทนการใช้สิทธิรายปี (Royalty Fee) ภายใต้แนวคิด Smart Farming Open Innovation มุ่งหวังให้เกษตรกรไทยยุคใหม่ได้มีเครื่องมือที่ทันสมัย ใช้งานในราคาที่จับต้องได้ ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือทางด้านสมาร์ตฟาร์มโดยผู้ประกอบการไทย เพื่อขับเคลื่อน Smart Farm สู่สังคมไทย สร้างระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีเพื่อการเกษตร สนับสนุนการเกษตรสมัยใหม่ ตอบโจทย์ BCG Model
HandySense เป็นชุดอุปกรณ์ที่ผนวกเทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อมทางการเกษตรและระบบควบคุมการทำงานอัตโนมัติ ได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม จึงเป็นนวัตกรรมที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มต้นของนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา เพื่อนำไปสู่การสร้างทัศนคติ หรือ มุมมองใหม่ ที่ส่งเสริมการประยุกต์ใช้ หรือบูรณาการเทคโนโลยีทางด้านเกษตรกับกิจกรรมในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน
โครงการฯ นี้ได้รับความสนใจจากโรงเรียนทั่วประเทศ ถึงแม้ว่าในระยะแรกจะกำหนดพื้นที่โครงการในภาคกลาง และ ภาคตะวันออกเท่านั้น โดยมีโรงเรียนส่งข้อเสนอโครงการเข้ามาร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 36 ทีม 24 โรงเรียน จาก 17 จังหวัด และคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศทั้งสิ้น 31 ทีม จาก 20 โรงเรียน 14 จังหวัด โดยทุกข้อเสนอโครงการที่ส่งเข้ามาแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีการเกษตรเพื่อพัฒนาพื้นที่เกษตรที่โรงเรียนมีอยู่เดิมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
คุณนิติ เมฆหมอก นายกสมาคมไทยไอโอที กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมสนับสนุนในโครงการดีๆ เช่นนี้ ก่อนอื่นต้องขอเล่าถึงวัตถุประสงค์หลักทั้ง 4 ข้อของสมาคมไทยไอโอที คือ 1) สร้างการรับรู้ในด้านเทคโนโลยีไอโอทีให้สังคม ไม่ว่าท่านจะอยู่ในบทบาทไหน นิสิต นักศึกษานักพัฒนานักวิจัยคณาจารย์ ให้รับรู้ประโยชน์และความสำคัญของเทคโนโลยีไอโอที 2) สมาคมฯ พร้อมสนับสนุนองค์ความรู้ เทคนิคทักษะต่างๆ ทางด้านเทคโนโลยี เพื่อมุ่งมั่นที่จะสร้างผู้เชี่ยวชาญให้เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดการพัฒนาสังคมและประเทศต่อไป 3) การสร้างเครือข่ายไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหรือหน่วยงานทางการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ 4) มุ่งมั่นที่จะสร้าง Use case สร้างงานให้เกิดขึ้นได้จริงไม่ว่าจะเป็นโครงการจากภาครัฐและเอกชน
หลังจากการจัดตั้งสมาคมไทยไอโอที ได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น และในครั้งนี้สมาคมฯ ได้พิจารณาและเห็นศักยภาพของนักวิจัย เนคเทค สวทช. ที่ได้วิจัยออกแบบและพัฒนา HandySense ที่ปัจจุบันได้เปิดเป็น Open Hardware Open Platform ซึ่งมีคุณประโยชน์ในหลายๆ บริบท ไม่ว่าจะใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการเกษตรให้เป็นการเกษตรอัจฉริยะ หรือนำมาใช้ในการศึกษาทดลองให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษาซึ่งสามารถเป็นอุปกรณ์พื้นฐานเพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดในหมู่นักพัฒนาโดยมีการตั้งกลุ่มนักพัฒนาและผู้สนใจทาง Social Network ที่เรียกว่า HandySense Community ทางสมาคมฯ ตั้งใจสนับสนุนโครงการนี้ในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการร่วมพัฒนาและผลิตงานให้พร้อมสำหรับเชิงพาณิชย์ หรือการประชาสัมพันธ์ผลงานผ่านช่องทางสื่อต่างๆของสมาคมฯ สำหรับกิจกรรมการประกวดโครงงานในครั้งนี้ทางสมาคมไทยไอโอทีและบริษัทซีนเนอร์ยี่เทคโนโลยีจำกัด บริษัทซูปร้าเทคโนโลยีจำกัด ได้ร่วมสนับสนุนของรางวัลทั้งหมดเป็นมูลค่า 10,000 บาท
ผลการแข่งขัน
รางวัลชนะเลิศ
โครงการเกษตรอัจฉริยะด้วย HandySense
จากโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์วิทยาเขตกําแพงแสน จังหวัดนครปฐม
ได้รับอุปกรณ์ HandySense ครบชุด ประกอบด้วย บอร์ด เซนเซอร์แสง อุณหภูมิ ความชื้น และทุนสนับสนุน จำนวน 3,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1
โครงการตู้เย็นมีชีวิต จากโรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์ จังหวัดปทุมธานี
ได้รับอุปกรณ์ HandySense ประกอบด้วย บอร์ด และ เซนเซอร์ความชื้น และทุนสนับสนุน จำนวน 2,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2
โครงการสวนเกษตรอัจฉริยะอนาคตใหม่ของโรงเรียนวัดห้วยจรเข้วิทยาคม จากโรงเรียนวัดห้วยจรเข้วิทยาคม จังหวัดนครปฐม
ได้รับบอร์ด HandySense และทุนสนับสนุนจำนวน 1,000 บาท
รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล
โครงการพัฒนาระบบ Smart Farm บูรณาการร่วมกับโรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียงและโรงเรียนปลอดขยะ จากโรงเรียนวังโมกข์พิทยาคม จังหวัดพิจิตร
โครงการระบบอัตโนมัติในการปลูกสะระแหน่จากน้ำทิ้งตู้เลี้ยงปลาควบคุมด้วย HandySense จากโรงเรียนศึกษานารี กรุงเทพมหานคร
ได้รับ ได้รับทุนสนับสนุนรางวัลละ 1,000 บาท
สามารถศึกษารายละเอียด https://handysense.io
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ นัทธ์หทัย ทองนะ (เน) 093 598 2496
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เชิญชวนร่วม Workshop ออนไลน์ เรื่อง“การปลูกมะเขือเทศแบบครบวงจรให้ได้คุณภาพ” วันที่ 14-16 มีนาคม 2565
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีเพื่อการเกษตร (สท.) ได้มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศและผู้สนใจปลูกมะเขือเทศ โดยการส่งเสริมความรู้ทางการเพาะปลูกมะเขือเทศในสายพันธุ์ที่เหมาะสม ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดี รวมทั้งการให้ความรู้ในด้านการดูแลบำรุงรักษาและเก็บเกี่ยวผลผลิตทั้งในและนอกโรงเรือน รวมถึงการให้ความรู้ทางด้านโรคและแมลงศัตรูในมะเขือเทศอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงและยกระดับองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร จึงได้จัดการอบรมออนไลน์ เรื่อง“การปลูกมะเขือเทศแบบครบวงจรให้ได้คุณภาพ” ซึ่งเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ระหว่างวันที่ 14-16 มีนาคม 2565 โดยหวังให้เกษตรกรและผู้สนใจ รู้และเข้าใจในการผลิตมะเขือเทศผลสดในระบบแปลงเปิด และระบบโรงเรือนอัจฉริยะ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและหลักวิชาการร่วมกับการใช้องค์ความรู้ที่มีอยู่เดิม รวมถึงเข้าใจในด้านโรคและแมลง มีการบริหารจัดการแปลงอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ขอเรียนเชิญเกษตรกรและผู้ที่สนใจร่วมสมัครได้ที่ bit.ly/3L9L3HE ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 2 มีนาคม 2565
ปฏิทินกิจกรรม
เพิ่ม GDP 2 แสนล้านบาท ลดความเหลื่อมล้ำ 10 ล้านคน ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในปี 2566
ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล 7 กุมภาพันธ์ 2565 - พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ครั้งที่ 1/2565
นายกรัฐมนตรี แสดงความเชื่อมั่นว่าการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาประยุกต์ใช้ภายใน 2 ปี จะเพิ่ม GDP ได้เป็น 2 แสนล้านบาท จากการลงทุนของภาคเอกชน โดย 9 เดือนแรกของปี 2564 มูลค่าโครงการที่ขอรับการการส่งเสริมการลงทุนสูงกว่า 128,000 ล้านบาท ตัวอย่าง เช่น บริษัท เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด ซึ่งมีแผนลงทุน 15,000 ล้านบาท เพื่อการผลิตพอลิเมอร์ย่อยสลายได้ด้วยเทคโนโลยีการผลิตพลาสติกชีวภาพที่ดีที่สุดในโลก และบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ลงทุนเพิ่ม 3 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่ลงทุนในกิจการโปรตีนทางเลือก และกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ เช่น บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด ซึ่งผลิตผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัดเพื่อการรักษาโรคสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด รวมถึงการออกมาตรการส่งเสริมการอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์แปลงสภาพ และการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแต่กิจการ BCG ที่ลงทุนในภูมิภาค
ตั้งเป้าลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนให้ได้ 10 ล้านคน เป็นต้นว่า การปรับเปลี่ยนจากการผลิตพืชไปสู่การผลิตเมล็ดพันธุ์ ซึ่งที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรจำนวน 30,000 ครัวเรือน มีรายได้เฉลี่ย 120,000 บาท/ครัวเรือน ทำรายได้ให้ประเทศ 7,400 ล้านบาท ทั้งนี้การมีเมล็ดพันธุ์ดีเป็นพื้นฐานสำคัญในการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของผลผลิตเกษตร นอกจากนี้ มีเป้าหมายพัฒนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ก้าวพ้นความยากจน พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ครอบคลุมพื้นที่ 13 อำเภอ ใน 5 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร มีเกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 20,000 คน และมีคนจนในมิติเศรษฐกิจ 2,329 คน ด้วยการนำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าไปพัฒนาทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม ตลอดจนพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ นวัตกรชุมชน เชื่อมโยงการตลาดกับภาคเอกชน รวมถึงยกระดับเกษตรกรเพื่อการเป็นผู้ประกอบการ โดยมุ่งหวังว่าจะลดคนจนในมิติเศรษฐกิจลงได้ร้อยละ 50 ในระยะเวลา 3 ปี
เพิ่มจำนวนผู้เข้าถึงยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือราคาแพงจำนวน 100,000 คน ซึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ประเทศไทยพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นทุนในการรักษาต่ำลง ดังเห็นได้จากการที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีมติเห็นชอบให้สิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับ BCG ใหม่ 2 รายการ ได้แก่ 1) การตรวจยีน BRCA1/BRCA2 ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 2) การผ่าตัดใส่รากฟันเทียม การรักษาที่มีความแม่นยำสูงจากการใช้ประโยชน์จากโครงการจีโนมิกไทยแลนด์ และระบบบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine)
เพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานไม่น้อยกว่า 1,000 ชุมชน โดยการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นชีวมวล หรือพลังงานแสงอาทิตย์ ดังกรณีตัวอย่างของวัดศรีแสงธรรมและหมู่บ้านศรีแสงธรรมที่สามารถผลิตไฟฟ้าใช้ได้เพียงพอและส่วนที่เหลือที่สามารนำไปสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชน
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า จากการปรับเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) ในระบบการผลิต การใช้พลังงานทางเลือกในภาคขนส่ง ลดการสูญเสียขยะอาหาร การนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้เพื่อให้ลดการใช้ การนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการปลูกป่า
การเพิ่มพื้นที่ป่า 1 ล้านไร่ โดยเน้นการปลูกในพื้นที่เป้าหมายของรัฐ ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจำนวน 2 แสนไร่ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง Society for Mangrove Ecosystems (ISME) World Climate Foundation 1 แสนไร่
พัฒนาให้มีผู้มีทักษะสูงเพิ่มขึ้นทั้งในเกษตรกร แรงงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และผู้ประกอบการโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs รวมกันไม่น้อยกว่า 3 แสนคน นอกจากนี้เป้าหมายการพัฒนาสตาร์ทอัพและผู้ประกอบที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG จำนวน 1,000 ราย
นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อน 4 ด้านที่สำคัญ ได้แก่
การจัดสรรงบประมาณ ได้มอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ พัฒนาแนวทางการจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อน BCG ให้สอดคล้องกับแนวทาง มาตรการและโครงการบูรณาการสำคัญที่บรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการ BCG เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้สูงสุด สามารถเก็บเกี่ยวผลของการลงทุนที่ได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว และขยายแบบอย่างความสำเร็จไปในวงกว้างเพื่อให้สามารถผลักดันให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติได้สำเร็จ
ภาครัฐปรับยุทธศาสตร์บูรณาการ BCG เพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ ในเรื่องนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่บูรณาการการทำงานในลักษณะจตุภาคีเพื่อพัฒนาโครงการ BCG เชิงพื้นที่โดยให้นำความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้งเพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ และสร้างความมั่งคั่งแบบทั่วถึง
การสร้างระบบนิเวศเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน มีมาตรการที่เกี่ยวข้องรวม 7 มาตรการ ได้แก่
การปลดล็อกอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์แปลงสภาพ เพื่อการต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับเอทานอลสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เรื่องนี้จะได้มอบให้กรมสรรพสามิตไปดำเนินการ
การลงทุนโครงสร้างคุณภาพเพิ่มเติม เพื่อผลักดันสินค้าไทยสู่มาตรฐานสากลหรือเป็นสินค้าพรีเมียม โดยเน้นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพที่สำคัญ
เร่งรัดการออก พ.ร.บ. ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ… เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชีวภาพ สำหรับอุตสาหกรรม BCG ที่ไม่ใช่อาหาร เพื่อให้มีกลไกการกำกับดูแลกิจกรรมที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (LMOs) และเพิ่มความเชื่อมั่นของภาคเอกชนจากความชัดเจนของนโยบาย
การให้อุตสาหกรรมนวัตกรรม BCG ในพื้นที่นำร่องได้รับสิทธิประโยชน์การลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อการกระตุ้นให้ภาคเอกชนที่พร้อมลงทุนในธุรกิจ BCG โดยเฉพาะกลุ่มนวัตกรรมเร่งรัดการลงทุนที่มีแผนลงทุนมูลค่าไม่น้อยกว่า 150,000 ล้านบาท ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวจะกระตุ้นการใช้วัตถุดิบและการจ้างในพื้นที่
การสนับสนุนการผลิตและการใช้ออโต้จีเนียสวัคซีน (Autogenous Vaccine) หรือ วัคซีนที่ผลิตจากเชื้อโรค (เชื้อไวรัสและแบคทีเรีย) ในร่างกายของสัตว์ที่ป่วย สำหรับปศุสัตว์และสัตว์น้ำที่ได้มาตรฐานเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด ด้วยการสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการผลิต Autogenous vaccine สำหรับปศุสัตว์และสัตว์น้ำที่ได้มาตรฐาน GMP รวมถึงประกาศ Sandbox
การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ฉลากสินค้า BCG เพื่อการขยายตลาด เพื่อให้ง่ายในการจดจำ เช่นเดียวกับฉลากสินค้าประหยัดไฟเบอร์ 5
การสนับสนุนให้ TAGTHAi เป็น Thailand Digital Tourism Platform หลักของประเทศ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมการท่องเที่ยวคุณภาพสูง
4 การสนับสนุนภาคประชาสังคม ด้วยการให้การสนับสนุนการ จัดตั้ง National Food Bank การจัดตั้งเครือข่ายผู้ประกอบการผลิตอาหาร การให้ภาคเอกชนร่วมกันพัฒนาระบบสนับสนุนต่าง ๆ เช่น ระบบ Logistics และระบบบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน รวมถึงปรับกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการบริจาคอาหารส่วนเกินในลักษณะเดียวกับ พ.ร.บ. บริจาคอาหารของประเทศเกาหลีใต้
นายกรัฐมนตรี ฝากทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม (จตุภาคี) ร่วมกันดำเนินงานขับเคลื่อน BCG ให้เกิดผลโดยเร็ว รวมถึงทำงาน BCG เชื่อมโยงกันเพื่อการเป็นเจ้าภาพ APEC ที่สัมฤทธิ์ผล ทั้งนี้ผลของมาตรการดังกล่าวจะเอื้อให้ทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานได้อย่างเป็นเอกภาพ ผลักดันให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต ภายใต้การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนอันเป็นหลักการสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจ BCG
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
Thai PBS MOOC จัดทำบทเรียนออนไลน์เพื่อการผลิตสื่อ
Thai PBS MOOC ขอขอบคุณเสียงตอบรับเป็นอย่างดีในรายวิชาแรก เรายังคงทำหน้าที่สื่อสารประเด็นเรื่องราวสาธารณะทั้งในมิติเชิงประเด็นและเชิงพื้นที่ เปิดโอกาสให้ท่านเป็นนักข่าวพลเมือง มาเรียนรู้ร่วมกันในรายวิชาสื่อพลเมือง โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเนื้อหาภาคพลเมืองของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
ลงทะเบียนวิชาสื่อพลเมือง คลิก https://bit.ly/3CHsbKt
หรือค้นหาวิชาอื่นๆ คลิก https://thaipbs.thaimooc.org
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ฝ่ายศูนย์การเรียนรู้สื่อสาธารณะ
เบอร์โทร 02-790-2437
อีเมล ilc@thaipbs.or.th
ข่าวหน่วยงานภายนอก
ทีมวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงฯ คว้ารางวัลนักวิจัยดีเด่น และ 3รางวัลประดิษฐ์คิดค้น
ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (National Security and Dual-Use Technology Center: NSD) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแสดงความยินดีกับทีมวิจัย NSD ที่ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ซึ่งสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)จัดขึ้นภายในงาน “งานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2564 - 2565 Thailand Inventors’ Day 2021 - 2022” ภายใต้แนวคิด “วิถีใหม่ ใส่ใจชีวิต สู่สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม” ระหว่างวันที่ 2 - 6 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (บางนา) เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักประดิษฐ์ไทยและเยาวชนรุ่นใหม่ ที่สร้างสรรค์ผลงานประดิษฐ์และนวัตกรรมอันทรงคุณค่า
โดยนักวิจัยศูนย์ NSD ที่ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ได้แก่ ดร. อดิสร เตือนตรานนท์ นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงฯ สวทช. ได้รับรางวัลประเภทรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจำปีงบประมาณ 2565 ในสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ ภายหลังจาก วช. ได้ประกาศเชิญชวนให้องค์กรและหน่วยงานต่างๆ เสนอชื่อบุคคล ซึ่งเป็นนักวิจัยดีเด่นที่ได้อุทิศตนเพื่องานวิจัยอย่างต่อเนื่องในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือหลายเรื่องในกลุ่มวิชาการหรือสหวิทยาการ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์จนเป็นที่ยอมรับและยกย่องในวงวิชาการนั้นๆ โดยปีนี้ วช.มีการประกาศเกียรติคุณนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2565 จำนวนทั้งสิ้น 10 คน จาก 7 สาขาวิชาการ
นอกจากนี้ทีมวิจัย NSD ยังได้รับรางวัลประเภทรางวัลประดิษฐ์คิดค้นอีก 3 รางวัล: ประกอบด้วย
1. ผลงาน “หอมข้าว: อุปกรณ์ตรวจสอบความหอมในข้าวหอมมะลิแบบพกพาด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” โดย ดร. อดิสร และคณะนักวิจัย
2. ผลงาน “เครื่องกรองฝุ่นละอองและกำจัดเชื้อโรคในอากาศ” โดย ดร. พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ และคณะนักวิจัยฝ่ายนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WISRD) และ
3. ผลงาน “หมึกนำไฟฟ้ากราฟีน - ของเหลวไออนิก” โดย ดร. จันทร์เพ็ญ ครุวรรณ์ และคณะนักวิจัย ฝ่ายวิจัยกราฟีนและนวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (GPERD)
ทั้งนี้ สวทช. ได้จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ ในปี 2562 เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความมั่นคงของประเทศที่สามารถประยุกต์ใช้งานทั้งในหน่วยงานด้านความมั่นคงและในภาคประชาชนทั่วไปเชิงพาณิชย์
ข่าวประชาสัมพันธ์
เอนก เร่งเครื่อง BCG ผ่านความร่วมมือของ สวทช. และ ปตท. มุ่งวิจัยต่อยอดนวัตกรรมสุขภาพการแพทย์แก้วิกฤติสุขภาพ
(4 กุมภาพันธ์ 2565) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และ ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ อดีตปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธาน BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ ร่วมแถลงข่าวพิธีลงนามความร่วมมือการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย การลงนามสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยี น้ำยาเคลือบวัสดุคอมพอสิทของ ไฮดรอกซีอะพาไทต์และไทเทเนียมไดออกไซค์บนแผ่นนอนวูฟเวนเพื่อใช้เป็นแผ่นกรองสำหรับการผลิตหน้ากากอนามัย Safie Plus และ การลงนามความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาวัสดุฝังในทางการแพทย์ (Implant devices)
โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการลงนามและร่วมแสดงความยินดี พร้อมด้วยศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารนักวิจัยของ 2 หน่วยงานเข้าร่วมงานแถลงข่าว
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ เป็นหนึ่งในสาขาสำคัญของ BCG Economy Model ที่ต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ภายในปี 2570 ผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ โดยสนับสนุนให้มีการพัฒนาเครื่องมือแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานเทียบเท่าสากล ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศมีปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากอัตราการเจ็บป่วยของประชาชนที่เพิ่มขึ้น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุรวมทั้งผลกระทบของโรคระบาดโคโรนาไวรัส 19 ในปี 2563 จนถึงปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากการติดเชื้อเกือบ 6 ล้านคนทั่วโลก ทำให้เกิดวิกฤตการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ ทั้งในแง่ของวัตถุดิบ อุปกรณ์ วัสดุทางการแพทย์ที่ไม่สามารถนำเข้าหรือผลิตได้ทันตามความต้องการในประเทศ ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นตัวเร่งความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงและทันสมัย ซึ่งต้องอาศัยความต้องการเครื่องมือทางการแพทย์ในการให้บริการที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานของบริการที่สูงขึ้นด้วย
“รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน ซึ่งการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีประสิทธิภาพและเป็นองค์รวม ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ และภาคเอกชนในการพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งอุตสาหกรรมการแพทย์ภายในประเทศที่จะสนับสนุนระบบบริการ ดังนั้นกระทรวง อว. พร้อมให้การสนับสนุนภาคธุรกิจที่ผลิตนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์จากการวิจัยอย่างเต็มที่ เพราะเป็นงานที่ต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน โดยกระทรวง อว. มีหน้าที่สนับสนุนนโยบายและเดินหน้ายุทธศาสตร์กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพตามนโยบาย BCG Economy Model เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าว
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. โดยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (Assistive Technology and Medical Devices Research Center: A-MED) ซึ่งเป็นทีมวิจัยที่วิจัยและพัฒนาเครื่องมือแพทย์ นวัตกรรมสุขภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทุกคนเข้าถึงได้ โดยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา สวทช. ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมโดยการดำเนินการส่งมอบหน้ากากอนามัย Safie Plus กว่า 300,000 ชิ้น เป็นนวัตกรรมผลงานวิจัยโดยทีมวิจัยไทยเพื่อคนไทย แก่โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลสนาม หน่วยงานของรัฐทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนคนไทยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงหน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพดีได้มาตรฐานระดับสากล และนำมาสู่การขยายผลความร่วมมือครั้งนี้การถ่ายทอดเทคโนโลยีงานวิจัยน้ำยาเคลือบแผ่นกรองหน้ากาก Safie Plus ที่มีคุณสมบัติในการกรองไวรัส แบคทีเรีย และฝุ่น PM 2.5 ที่มีประสิทธิภาพสูง สำหรับน้ำยาเคลือบแผ่นกรองหน้ากาก Safie Plus เป็นการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีดักจับจุลินทรีย์และฝุ่นละอองโดยสารเคลือบไฮดรอกซีอะพาไทต์และไททาเนียมไดออกไซค์บนแผ่นนอนวูฟเวนของเส้นใยธรรมชาติผสมพอลิเอสเตอร์ที่มีรูพรุนระหว่างเส้นใยขนาดเล็กและเนื่องจากมีเส้นใยธรรมชาติเป็นองค์ประกอบจึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถย่อยสลายได้ง่ายที่มีประสิทธิภาพการกรองไวรัสและ PM2.5 ตามมาตรฐาน ASTM F2101 และ ASTM F2299 ตามลำดับได้มากถึง 99% ซึ่งผลงานวิจัยนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง ทีมวิจัยเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ฝังใน ของ A-MED และทีมวิจัยสิ่งทอ ของ MTEC สวทช. ที่ผสมผสานความรู้ทางด้านวัสดุทางการแพทย์กับสิ่งทอเข้าด้วยกันในการพัฒนาเทคโนโลยี
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตเครื่องมือแพทย์และวัสดุฝังในร่างกายมนุษย์ ถือเป็น 1 ในแผนหลักเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ในอาเซียน (Medical Hub) ในปี 2570 ซึ่ง สวทช. ได้มีความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ฝังในทางการแพทย์ (Implant devices) ร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในวันนี้ถือเป็นก้าวแรกของการร่วมมือกันในการขยายผลและการร่วมวิจัยพัฒนา ทดสอบ ออกแบบและผลิตต้นแบบผลิตภัณฑ์จากเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษ โดยสามารถนำมาพัฒนาให้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ทางการแพทย์สำหรับวัสดุฝังใน เช่น กะโหลกศีรษะเทียม เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย โดยเป็นการลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้คนไทยสามารถเพิ่มการเข้าถึงการรักษาด้วยวัสดุฝังในที่ผลิตในประเทศ และได้มาตรฐานทางการแพทย์ระดับสากล สอดคล้องกับเป้าหมายนโยบาย BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ โดยทีมวิจัยเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ฝังในของ A-MED มีประสบการณ์ยาวนานในการพัฒนาอุปกรณ์ฝังในทางการแพทย์หลากหลายชนิดเข้าสู่เชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ธุรกิจด้านสุขภาพและการแพทย์จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เติบโตขึ้นในโลกหลังโควิด-19 และถือเป็น 1 ใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้นโยบาย BCG ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ
นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน ปตท. กล่าวว่า กลุ่ม ปตท. ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย จึงเร่งพัฒนาธุรกิจทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต หรือ Life Science ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเทคโนโลยีของโลก เพิ่มโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลได้มากขึ้น รวมทั้ง ปตท. ได้ลงทุนผ่านบริษัท อินโนโพลีเมด ในการสร้างโรงงานผลิตผ้าไม่ถักทอ (Non-woven Fabric) มีลักษณะเส้นใยขนาดเล็กและละเอียดในระดับไมโครเมตร ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากาก อุปกรณ์ PPE ทางการแพทย์ และแผ่นกรองประสิทธิภาพสูง โดยมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้นประมาณ 5,000 ตันต่อปี ด้วยการใช้เม็ดพลาสติกที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทยจากบริษัทในกลุ่ม ปตท. เอง เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนในสังคมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ประเทศยังคงต้องเผชิญอยู่ ปตท. โดยสถาบันนวัตกรรม เล็งเห็นโอกาสในการช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าว ด้วยการร่วมมือกับ สวทช. ในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ตอบโจทย์ BCG เพื่อนำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ไปสร้างเป็นนวัตกรรมหน้ากากอนามัยและหน้ากากอเนกประสงค์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะสำหรับใช้งานจริง ให้มีความพร้อมในการผลิตและการจำหน่ายเชิงพาณิชย์
นอกจากนั้นแล้ว ปตท. ยังให้ความสนใจในการลงทุนการวิจัยและพัฒนาวัสดุทางการแพทย์ชนิดอื่น ๆ ซึ่งส่วนมากในปัจจุบันประเทศไทยยังคงต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจากต่างประเทศอยู่ ตัวอย่างเช่น วัสดุฝังใน (Implant devices) โดยทำการคัดเลือกพลาสติกชนิดต่าง ๆ ที่มีสมบัติเหมาะสมจากกลุ่ม ปตท. มาประยุกต์ใช้งาน ด้วยฝีมือและองค์ความรู้ของคนไทย เพื่อช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ และเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขของประเทศร่วมกัน ยกระดับงานวิจัยสู่นวัตกรรมทางการแพทย์ เพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพของนักวิจัยไทย ตลอดจนส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป
“การดำเนินการทั้งสองโครงการดังกล่าวนับเป็นการต่อยอดองค์ความรู้ของนักวิจัยไทยให้สามารถนำไปผลิตเป็นนวัตกรรมที่สามารถจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้จริง ทั้งยังเป็นการตอบโจทย์กลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG สาขาเครื่องมือแพทย์เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางทางด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพของอาเซียนในอนาคต”
ข่าวประชาสัมพันธ์
“ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคจากออร์แกนิคซิงค์ไอออน” และ “วัสดุนาโนรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า” ผลงานนักวิจัยนาโนเทค สวทช. คว้ารางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ 2565
2 นักวิจัยนาโนเทค สวทช. คว้ารางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2565 คือ รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น รางวัลประกาศเกียรติคุณจาก "ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสจากออร์แกนิคซิงค์ไอออน" และรางวัลผลงานวิจัย ระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช จาก "อนุภาคนาโนพอลิเมอร์ห่อหุ้มสารประกอบเอซา – บอดิปี้สำหรับใช้เป็นระบบนำส่งสำหรับการรักษามะเร็งแบบใช้แสงกระตุ้น" ที่ตอบความต้องการด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงทิศทางและแนวโน้มทางการตลาดของโลก สร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขให้กับประเทศรับลูกโมเดล BCG
ฆ่าเชื้อด้วยออร์แกนิคซิงค์ไอออน
ดร.วรายุทธ สะโจมแสง ทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งเเวดล้อม กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) กล่าวว่า ทีมวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. ได้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสจากธรรมชาติด้วยไอออนประจุบวกของซิงค์เพื่อทดแทนและลดการใช้ยาปฏิชีวนะหรือสารเคมีที่เป็นอันตรายอันเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาเชื้อดื้อยา และยังตอบโจทย์หลักของรัฐบาลในเชิงเศรษฐกิจแบบ BCG ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก โดยไอออนประจุบวกของซิงค์สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียทั้งแกรมบวกและแกรมลบ
“จากการสำรวจพบว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์มากกว่า 80% ในไทยเลือกใช้ยาปฏิชีวนะตลอดวงจรการเลี้ยงสัตว์ในการรักษา-ป้องกันโรค และเร่งการเจริญเติบโตในสัตว์ ทำให้มูลค่าการใช้ยาปฏิชีวนะของไทยมากกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่า มีการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ถูกต้องส่งผลให้ยาปฏิชีวนะตกค้างในเนื้อสัตว์รวมทั้งมีการพบจุลชีพดื้อยา (Superbug) หรือเชื้อมีความดื้อยาปฏิชีวนะมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุขในระดับโลก ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่ามหาศาล หลายประเทศมีความกังวลต่อการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มปศุสัตว์ รวมทั้งมีการออกกฎหมายห้ามใช้หรือการควบคุมที่เข้มงวดสำหรับยาปฏิชีวนะ ส่งผลให้มีการระงับการนำเข้าและส่งคืนสินค้าที่มาจากประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสการส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์เศรษฐกิจ” ดร.วรายุทธกล่าวถึงที่มา
นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของสารฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเกิดการขาดแคลนเนื่องจากผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบดังกล่าวต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่
ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสจากออร์แกนิคซิงค์ไอออน เป็นนวัตกรรมสารฆ่าเชื้อโรคที่ใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความคงตัวให้กับซิงค์ไอออน และเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้อย่างรวดเร็ว และออกฤทธิ์การฆ่าเชื้อได้ยาวนาน นับเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาจากงานวิจัยไทย และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้แก่ บริษัท ยูนิซิล กรุ๊ป จํากัด ทำให้เกิดการต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยผลิตภัณฑ์ซิงค์ไอออน ซึ่งผ่านการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมสัตว์และอาหารสัตว์ โดยนำไปประยุกต์ใช้เป็นแร่ธาตุอาหารเสริมสัตว์ที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ โดยใช้ฉีดพ่นเพื่อฆ่าเชื้อในวัตถุดิบอาหารสัตว์ พร้อมกันนี้ ได้ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสจากออร์แกนิคซิงค์ไอออนที่สามารถใช้ตามบ้านเรือนได้ จึงร่วมกับทีมวิจัยจากนาโนเทคพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สารฆ่าเชื้อสำหรับทำความสะอาดพื้นผิว ซึ่งได้รับการรับรองคุณภาพความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว
วัสดุนาโนรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า
ปัจจุบัน มีการคิดค้นวิธีการมากมายในการรักษามะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นการทำเคมีบำบัด (chemotherapy) การฉายรังสี (Radiotherapy) หรือแม้กระทั่งการผ่าตัด ซึ่งวิธีเหล่านี้ต่างส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยมะเร็งทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัด เช่น ผมร่วง คลื่นไส้ อาเจียน การทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียงจากการฉายรังสี หรืออาการบาดเจ็บจากการผ่าตัด ล้วนแล้วได้ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดความทุกข์ทรมาน
ดร.กันตพัฒน์ จันทร์แสนภักดิ์ ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จากวิธีการต่างๆ ข้างต้น ทางทีมวิจัยได้คิดค้นการรักษามะเร็งแนวทางใหม่ คือ การรักษามะเร็งผ่านการกระตุ้นด้วยแสง (Photodynamic therapy) โดยวิธีดังกล่าวนี้ต่างจากการฉายรังสีตรงที่ การฉายรังสีจะใช้แสงพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง แต่การรักษามะเร็งแบบการกระตุ้นด้วยแสงจะใช้แสงพลังงานต่ำโดยเฉพาะแสงในย่านใกล้รังสีอินฟราเรด (Near infrared region) ซึ่งมีคุณสมบัติในการแทรกตัวผ่านผิวหนังได้ลึก (High penetration depth) และไม่ทำลายเซลล์ข้างเคียง โดยแสงพลังงานต่ำดังกล่าวจะไปกระตุ้นสารก่อภาวะไวแสง (Photosensitizer) ให้เปลี่ยนโมเลกุลออกซิเจนทั่วไป เป็นโมเลกุลออกซิเจนที่ว่องไวต่อปฏิกิริยา (Reactive oxygen species) และมีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง โดยสารก่อภาวะไวแสงจะถูกฉีดเข้าตัวผู้ป่วย และแทรกซึมอยู่ในเซลล์มะเร็งก่อนการกระตุ้น โดยหลังการกระตุ้นด้วยแสง โมเลกุลออกซิเจนที่ว่องไวจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างในร่างกายของผู้ป่วยซึ่งเป็นข้อดีที่เหนือกว่าการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัด
งานวิจัยนี้นำไปสู่ “วัสดุนาโนห่อหุ้มสารประกอบเอซา-บอดิปี้ชนิดใหม่ ที่สามารถรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า ด้วยเทคนิคการกระตุ้นด้วยแสงพลังงานต่ำ” ซึ่งเป็นการรักษามะเร็งแนวใหม่ที่กำลังมีการวิจัยอย่างกว้างขว้างในต่างประเทศ ซึ่งวัสดุนาโนดังกล่าวได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการยังยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมทั้งในระดับเซลล์ และในหนูทดลอง ซึ่งเป็นการยืนยันได้ว่า วัสดุนาโนดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูงที่จะนำมาใช้รักษามะเร็งในมนุษย์
ในขณะนี้มีการพัฒนาต้นแบบของกล้องสำหรับถ่ายภาพฟลูออเรสเซนต์ในหนูทดลองขึ้นในระดับมหาวิทยาลัย โดยความร่วมมือกับ ผศ.ดร. อัญญานี คำแก้ว ภายใต้กลุ่มวิจัยด้านเทคโนโลยีโฟตอนนิกส์และการประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อปูทางสู่ความร่วมมือกับภาคเอกชน หรือ หน่วยงานภายในสถาบันวิจัย ในการพัฒนาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษามะเร็งโดยใช้แสงช่วงใกล้อินฟราเรด ซึ่งมีความปลอดภัยกว่าวิธีที่ใช้ในการรักษามะเร็งในปัจจุบัน
“สำหรับประโยชน์ในระยะยาวคือ การเชื่อมโยงความรู้ทางเคมีวัสดุกับเทคนิคทางการแพทย์ ซึ่งเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่เพื่อช่วยในการเพิ่มตัวเลือกในการรักษามะเร็ง นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนานักวิทยาศาสตร์ นักศึกษา และขยายความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มวิจัย และเพิ่มศักยภาพงานวิจัยแนวหน้าให้กับประเทศไทย อีกทั้งยังสามารถขยายองค์ความรู้เพื่อพัฒนาเครื่องมือวิทยาศาสตร์และการแพทย์เพื่อใช้ประโยชน์ในประเทศได้” ดร.กันตพัฒน์กล่าว
ตอบโมเดล BCG เพื่อความยั่งยืนของไทย
นาโนเทค สวทช. ยังได้รับอีก 2 รางวัล คือ รางวัลวิทยานิพนธ์ ระดับดีเด่น จากงานวิจัย “การประดิษฐ์อนุภาค อสมมาตรนาโนยานูซและอนุภาคแซทเทิลไลต์ เพื่อนำส่งสารชีวโมเลกุล และรักษาโรคมะเร็ง” โดย ดร.กนกวรรณ ศันสนะพงษ์ปรีชา และรางวัลวิทยานิพนธ์ ระดับดี จากงานวิจัย “การศึกษาผลของสนามแม่เหล็กที่มีต่อปฏิกิริยาการเติมก๊าซไฮโดรเจนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา เหล็กและทองแดงบนตัวรองรับซิลิกาเมโซพอร์ชนิด MCM-41” โดย ดร.ศิรภัสสร เกียรติพึ่งพร
นอกเหนือจากรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2565 การวิจัยและพัฒนาทางด้านสุขภาพและการแพทย์ของนาโนเทคยังตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) ด้วยงานวิจัยที่สร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขให้กับประเทศ ลดการพึ่งพาและนำเข้าเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์
HI PETE เต็นท์ความดันลบ ลดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
การระบาดของไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่กระจายเชื้อรวดเร็วและหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา และกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศแทนสายพันธุ์เดลตาเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในอนาคตยังรับประกันไม่ได้ว่าจะมีไวรัส SARS-CoV-2 กลายพันธุ์สู่สายพันธุ์ที่น่ากังวลเพิ่มขึ้นหรือไม่ ดังนั้นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และหน่วยงานพันธมิตร พัฒนา “HI PETE” เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อก่อโรคโควิด-19 และอำนวยความสะดวกในการแยกหรือกักตัวให้แก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล
[caption id="attachment_29798" align="aligncenter" width="642"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม (DIST) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.[/caption]
[caption id="attachment_29799" align="aligncenter" width="700"] ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม (DIST) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.[/caption]
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม (DIST) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. อธิบายว่า จากการที่ทีมวิจัยได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอุปกรณ์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้แก่ประเทศมาตลอด 2 ปี ทำให้ตระหนักว่าปัจจุบันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศยังคงมีความต้องการห้องความดันลบสำหรับใช้แยกผู้ป่วยสูง เพราะนอกจากผู้ป่วยโรคโควิด-19 แล้ว ยังมีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ที่ติดต่อได้ง่ายและมีความร้ายแรงอย่าง วัณโรค ซาร์ส และเมอร์ส ที่จำเป็นต้องใช้เช่นกัน ทีมจึงได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการสร้างระบบความดันลบ (Negative pressure unit) หรือระบบป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ จากการพัฒนา “PETE เปลปกป้อง (Patient Isolation and Transportation Chamber)” อุปกรณ์สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย มาต่อยอดในการผลิตอุปกรณ์สำหรับกักตัว โดยระบบสร้างความดันลบที่ทีมพัฒนาขึ้นมีจุดเด่นเรื่องระบบควบคุมการไหลเวียนของอากาศภายในพื้นที่ปิดที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกสบาย และอากาศจากภายในพื้นที่กักตัวผู้ป่วยจะผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV-C และกรองด้วย HEPA Filter แผ่นกรองคุณภาพสูง ซึ่งสามารถกรองอนุภาคได้ถึง 99.995% ทำให้มั่นใจได้ว่าอากาศที่ปล่อยสู่ภายนอกสะอาดและปลอดภัย
[caption id="attachment_29806" align="aligncenter" width="701"] PETE เปลปกป้อง (Patient Isolation and Transportation Chamber)[/caption]
“เต็นท์ความดันลบหรือผลิตภัณฑ์ HI PETE ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมี 3 รูปแบบหลัก คือ เต็นท์สนาม เต็นท์แอร์ และเต็นท์พองลม เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งเรื่องขนาดพื้นที่และการดูแลผู้ป่วย ซึ่งการพัฒนา HI PETE ทีมวิจัยได้เลือกนำเต็นท์สำเร็จรูปมาออกแบบการติดตั้งระบบป้องกันการรั่วไหลของอากาศและระบบสร้างความดันลบ เพื่อช่วยลดต้นทุนในการผลิต และช่วยให้ผู้ติดตั้งประกอบอุปกรณ์ได้ง่ายเพราะเป็นเต็นท์รูปแบบมาตรฐานที่มีการใช้งานทั่วไป”
[caption id="attachment_29804" align="aligncenter" width="700"] “HI PETE” เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ[/caption]
ดร.ศราวุธ อธิบายถึงรูปแบบการใช้งานและจุดเด่นของเต็นท์ HI PETE ทั้ง 3 แบบว่า เต็นท์สนามมีจุดเด่นคือมีขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ในการติดตั้งอุปกรณ์ประมาณ 2 x 1.5 เมตร ติดตั้งง่ายด้วยคนเพียงคนเดียว เหมาะแก่การใช้งานในสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัด แบบที่สองคือเต็นท์แอร์จะมีขนาดใหญ่กว่า มีลักษณะเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณ 2 x 2.5 เมตร สามารถวางฟูกขนาด 3.5 ฟุต มีพื้นที่ให้ผู้ป่วยลุกขึ้นยืนหรือเดินภายในเต็นท์ มีช่องพลาสติกใสให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลสื่อสารกันได้สะดวก ส่วนด้านอื่นๆ ของเต็นท์มีลักษณะปิดทึบเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความเป็นส่วนตัว เต็นท์รูปแบบนี้ใช้คนในการติดตั้ง 3-4 คน เต็นท์ทั้งสองรูปแบบข้างต้นเหมาะแก่การใช้งานในโรงพยาบาลสนาม พื้นที่กักตัวของชุมชน รวมถึงที่พักอาศัยของผู้ป่วย โดยต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท
[caption id="attachment_29805" align="aligncenter" width="701"] “HI PETE” เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ[/caption]
“ส่วนรูปแบบที่สามคือเต็นท์พองลม เต็นท์ชนิดนี้มีขนาดประมาณ 2 x 1.5 เมตร เหมาะแก่การใช้เป็นห้องความดันลบฉุกเฉินในสถานพยาบาล เพราะติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถติดตั้งได้ด้วยคนเดียว และใช้เวลาในการติดตั้งไม่เกิน 5 นาที มีช่องสำหรับทำหัตถการ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วยได้สะดวกลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ระบบความดันลบของเปลประเภทนี้จะมี Smart Controller เพิ่มเติมเข้ามา เพื่อควบคุมแรงดันภายในเปลแบบอัตโนมัติ ตรวจจับการรั่วไหลของอากาศสู่ภายนอก และมีระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศเมื่อถึงกำหนด ราคาต้นทุนในการผลิตเต็นท์รูปแบบนี้อยู่ที่ประมาณ 150,000 บาท ซึ่งถูกกว่าเต็นท์ความดันลบที่จำหน่ายทั่วไปในตลาด 2-3 เท่า และถูกกว่าการสร้างห้องความดันลบที่ได้มาตรฐานอย่างมาก
HI PETE ทั้ง 3 รูปแบบที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นผ่านการทดสอบมาตรฐานการรั่วซึม ISO14644 มาตรฐานความปลอดภัยทางไฟฟ้า IEC 6001-1: 2012 ความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า IEC 60601-1-2 และผ่านการทดสอบใช้งานจริงโดยผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่า HI PETE เป็นอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ผู้ป่วยและผู้ดูแลรักษาได้รับความสะดวกสบายในการใช้งานตามความเหมาะสม”
ดร.ศราวุธ เสริมว่า หากสถานพยาบาลใดไม่มีห้องความดันลบหรือมีความเสี่ยงว่าห้องความดันลบจะไม่เพียงพอต่อการใช้งาน สามารถใช้เต็นท์ความดันลบ HI PETE เพื่อทดแทนห้องความดันลบได้ทันที เพราะ HI PETE ผ่านการทดสอบมาตรฐานทางการแพทย์เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนา HI PETE ยังอยู่ในระดับสาธารณประโยชน์ มุ่งบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นหลัก อย่างไรก็ดีในอนาคตทีมวิจัยมีความตั้งใจที่จะพัฒนาสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทเอกชนเพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้งานไปสู่วงกว้างเพื่อสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป
ผู้ที่สนใจสนับสนุนการส่งมอบ “เต็นท์ความดันลบ HI PETE” ให้แก่สถานพยาบาล ติดต่อได้ที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. หรืออีเมล์ pete@mtec.or.th ร่วมสนับสนุนการเข้าถึงอุปกรณ์การแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้แก่คนไทย
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


