ผลการค้นหา :

เอ็มจี เดินหน้าหนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทยจับมือ สวทช. กำหนดมาตรฐานสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าพร้อมเตรียมเปิดให้บริการสถานีชาร์จ MG SUPER CHARGE
For English-version news, please visit : MG-NSTDA partnership to establish standards for EV charging stations
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เร่งผลักดันการใช้รถยนต์พลังานไฟฟ้าในประเทศให้เติบโต อย่างแข็งแกร่ง แถลงความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาระบบการรับรองและมาตรฐาน EV Charging Station และเดินหน้าทยอยเปิดให้บริการสถานีชาร์จ MG SUPER CHARGE หลังบรรลุแผนติดตั้งสถานีชาร์จที่โชว์รูมเอ็มจีทั่วประเทศแล้วเสร็จจำนวนทั้งสิ้น 108 แห่ง พร้อมเดินแผนขยายเพิ่มอย่างต่อเนื่องอีก 500 แห่งภายในปีนี้
เอ็มจี ถือเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ให้ความสำคัญกับสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV Ecosystem) ของประเทศไทย โดยได้เดินหน้าแผนงานด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อน ประเทศไทยให้เข้าใกล้สังคมยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งการแนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด รวมทั้งการสนับสนุนและทำงานร่วมกับหน่วยงานของทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและเอกชน เพื่อให้สังคม ยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยที่ผ่านมามีการลงนามความร่วมมือกับ การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ในการร่วมกันขยายจุดชาร์จไฟเพื่อรองรับปริมาณยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการร่วมกันส่งเสริมและสร้างสรรค์สังคมยานยนต์ไฟฟ้าให้มีความแพร่หลาย โดยได้ลงนามบันทึกข้อตกลงด้านการพัฒนาระบบการรับรองและมาตรฐานสำหรับ EV Charging Station ผ่านการทดสอบสถานีอัดประจุไฟฟ้าของเอ็มจี หรือ MG SUPER CHARGE เพื่อให้เป็นต้นแบบในการศึกษาวิจัยและใช้งานสถานีชาร์จอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดมาตรฐานที่เป็นหนึ่งเดียวกันให้กับระบบการชาร์จไฟฟ้าของประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี
มร. จาง ไห่โป กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยว่า “การร่วมมือกันในครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเมืองไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่มีเป้าหมายเดียวกันเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทย ถือเป็นการยกระดับองค์ความรู้ สร้างบรรทัดฐานระบบการชาร์จและเสริมความแข็งแกร่งให้กับ EV Ecosystem วันนี้เราต่างต้องการให้คนไทยมีความสบายใจในการเลือกและใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า’ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของระบบนิเวศรถยนต์พลังงานไฟฟ้า สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ มีเป้าหมายหลักเพื่อรับรองความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และ “มาตรฐาน” ของสถานีชาร์จเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ามากขึ้นและให้คนไทยรู้ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าใช้งานง่ายเพียงใด ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศและยกระดับประเทศไทยไปสู่สังคมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไปอีกขั้น”
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “จากนโยบายของภาครัฐ โดยกระทรวงพลังงานที่มีการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าให้เป็นส่วนหนึ่งในแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2558-2579 (Energy Efficiency Plan: EEP 2015) มีเป้าหมายให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 1.2 ล้านคันภายในปี พ.ศ. 2579 ดังนั้น การร่วมมือกันระหว่าง สวทช. และ เอ็มจี ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างครั้งสำคัญ ในการยกระดับมาตรฐานให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next Generation Automotive) ให้มีศักยภาพและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของไทย และขับเคลื่อนให้เกิดสังคมยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
เราเห็นถึงความตั้งใจของเอ็มจีในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า โดยได้ให้ความสำคัญกับมาตรฐาน ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ EV Charger ทั้งระดับประเทศไทย และระดับสากล โดย สวทช. ได้ร่วมดำเนินการผ่านการทดสอบของศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC พร้อมกันนี้ สวทช. ยังได้ตั้งเป้าหมายให้เกิดการใช้งานห้องปฏิบัติการทดสอบแบตเตอรี่ และ EV Charger ในประเทศไทย รวมถึงการพัฒนาทักษะองค์ความรู้ของผู้ปฏิบัติงานทดสอบในประเทศ เพื่อสนองนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรม ยานยนต์สมัยใหม่ให้ครบวงจรอีกด้วย นอกจากนี้ ทางเอ็มจียังได้ดำเนินการติดตั้งสถานีชาร์จจำนวน 3 แห่ง ให้กับ สวทช. ซึ่งจะกระจายติดตั้งที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี อาคารวิจัยโยธี ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ และศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อสนับสนุนการให้บริการผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างครอบคลุม”
มร. จาง ไห่ โป กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับความคืบหน้าของแผนงานการขยายสถานีชาร์จของเอ็มจีที่ประกาศไว้ เมื่อปีที่ผ่านมา ล่าสุดได้บรรลุแผนระยะที่ 1 มีการติดตั้งสถานีชาร์จ จำนวน 108 สถานีที่โชว์รูมและศูนย์บริการเอ็มจีเรียบร้อยแล้ว โดยมีความพร้อมเปิดให้บริการแล้ว 67 สถานี ซึ่งราคาค่าบริการในช่วง Off Peak* จะอยู่ที่ 6.5 บาท ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง และในช่วงเวลา Peak* จะอยู่ที่ 7.5 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง พร้อมเดินหน้าสู่แผนระยะที่ 2 ในการติดตั้งสถานีชาร์จ MG SUPER CHARGE อีก 500 จุดทั่วประเทศด้วยงบลงทุนมูลค่า 500 ล้านบาท ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อลดความกังวลเกี่ยวกับสถานีชาร์จ และเพิ่มความมั่นใจในการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าด้วยจำนวน สถานีชาร์จที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”
MG SUPER CHARGE ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดที่ใช้งานง่าย ลูกค้าสามารถใช้เครื่องชาร์จได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถตรวจสอบเวลาการทำงานและความพร้อมใช้งานของ MG SUPER CHARGE ค้นหา จอง และเติมเงินก่อนเริ่มชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้จากโทรศัพท์มือถือผ่านแอพพลิเคชั่น i-SMART ซึ่งลูกค้าสามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่นใหม่ของ i-SMART ได้แล้วตั้งแต่วันนี้
สำหรับ เอ็มจี ถือเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยด้วยความสำเร็จด้านยอดขายหลังจากการเปิดตัว MG ZS EV ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อีก 2 รุ่น ได้แก่ MG HS PHEV และ MG EP เมื่อปีที่แล้ว โดยทั้งสองโมเดลได้รับการตอบรับที่ดีเกินความคาดหมายเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ เอ็มจีพร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์และพัฒนายนตรกรรมที่มีคุณภาพที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านเทคโนโลยี (Technology) ความทันสมัย (Fashion) และความคุ้มค่า (Value) เพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนบริการที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าของเอ็มจี ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตและยกระดับอุตสาหกรรม ยานยนต์ไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้นต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. คว้ารางวัล “The Most Startup Friendly Technology Institute of ASIA” ในงาน WBAF 2021
For English-version news, please visit : NSTDA named the Most Startup-Friendly Technology Institute of Asia
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ได้รับมอบรางวัล “The Most Startup Friendly Technology Institute of ASIA” ภายในงาน WORLD CONGRESS OF ANGEL INVESTORS – WBAF 2021 ซึ่งเป็นงานสัมมนาประจำปีด้านการลงทุนระดับโลก
ที่รวมผู้นํา นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมาร่วมกัน เพื่อสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความคิดเห็น ด้านการรวมทุนและตลาดทุนในระยะเริ่มต้น (Early Stage Equity and Capital Markets) รวมถึงกิจกรรมการนำเสนอผลงานจากสุดยอดสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกจากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก (The Global Fundraising Stage: GFRS) เพื่อสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจาก WBAF Angel Investment Fund
ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมา สวทช. ได้ร่วมมือกับ WBAF จัดตั้ง WBAF Thailand Country Office ซึ่งจะเป็น WBAF Country Office แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน เพื่อช่วยผลักดันให้เกิดการยกระดับขีดความสามารถของนักลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในไทย ควบคู่กับการเป็นศูนย์กลางเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่ลงทุนและต่อยอดผลงานวิจัยรวมถึงธุรกิจเทคโนโลยีในประเทศไทย
รางวัล “The Most Startup Friendly Technology Institute of ASIA” สืบเนื่องมาจาก สวทช. ให้ความสำคัญกับการเร่งสร้างและบ่มเพาะธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ (New S-curves) ของประเทศ พร้อมทั้งความท้าทายจากโอกาสในการลงทุน (Investment) ทั้งจากการลงทุนร่วมทุน (Venture Capital) นักลงทุนบุคคล (Angel) และนักลงทุนบริษัทขนาดใหญ่ (Corporate Venture Capital) ในวิสาหกิจเริ่มต้น ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตไปได้ในระยะยาว จึงให้ความสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือของกลุ่มนักลงทุนบุคคล (Thailand Business Angel Network) เพื่อเข้ามีบทบาทในการร่วมทุนในระยะตั้งต้น ควบคู่กับการให้คำปรึกษา เชื่อมโยงเครือข่ายทางธุรกิจ ร่วมเติบโตไปพร้อมกับสตาร์ทอัพที่ร่วมลงทุนต่อไป ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมเครือข่าย Angel Investor สามารถติดต่อสอบถามข้อมลเพิ่มเติมได้ที่ งานส่งเสริมธุรกิจซอฟต์แวร์ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หมายเลขโทรศัพท์ 02 583-9992 ต่อ 1481-1484
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. เผย อย. ไฟเขียว โคซี่-แอมป์ ‘COXY-AMP’ ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ผ่านมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยี คัดกรองโควิด-19 เชิงรุก
For English-version news, please visit : COVID-19 test kit COXY-AMP approved by FDA Thailand
สวทช. พัฒนาผลงานวิจัย 'COXY-AMP' ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว สำหรับวินิจฉัยโรคโควิด-19 แบบคัดกรองรายบุคคล ซึ่งล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกใบรับรองผ่านการประเมินเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ นับเป็นชุดตรวจโควิด-19 ชิ้นแรกที่ผลิตและผ่านการรับรองในประเทศไทย เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการ ภาคเอกชนที่สนใจ เพื่อผลิตชุดตรวจฯ ใช้คัดกรองเชิงรุกควบคุมโรคโควิด-19 และโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ได้เองในประเทศ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดยกระดับอุตสาหกรรมสู่การผลิตเพื่อส่งออกในอนาคต ที่สำคัญคุณภาพของ 'COXY-AMP' ชุดตรวจโควิด-19 ยังการันตีด้วยการเป็นหนึ่งเดียวจากภูมิภาคเอเชียที่ผ่านการเข้ารอบ 1 ใน 20 ทีมสุดท้าย ในการประกวดของมูลนิธิ XPRIZE ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับโลก
ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกใบรับรองผ่านการประเมินเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ ให้แก่ผลงานวิจัย 'COXY-AMP' ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ซึ่งพัฒนาโดยทีมวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
“การผ่านการประเมินครั้งนี้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องเครื่องมือแพทย์ที่ต้องมีการประเมินเทคโนโลยี พ.ศ. 2563 โดยผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องมีการประเมินเทคโนโลยีเพื่อให้การใช้เครื่องมือแพทย์ดังกล่าวเป็นไปอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพปัญหาทางด้านสุขภาพของประชาชน สภาวะเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการประเมินเทคโนโลยีชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อ SARS-CoV-2 หรือ เชื้อก่อโรคโควิด-19 ระบุไว้ว่า แบบตรวจหาสารพันธุกรรม และแบบตรวจหาแอนติบอดี หรือ แอนติเจน ต้องประเมินตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข เช่น ความไว ความจำเพาะ และมาตรฐานอื่นๆ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกำหนด”
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า ล่าสุด ทีมวิจัยได้รับการติดต่อจากภาคเอกชนไทยที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว เพื่อนำไปใช้พัฒนาและขยายผลการผลิตระดับอุตสาหกรรม ทำให้ประเทศไทยมีชุดตรวจโควิด-19 ที่ผลิตเองในประเทศ ราคาถูก และสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 เชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รับมือการระบาดของโรคได้ดีขึ้น รวมทั้งเป็นการสนับสนุนความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทย ที่สำคัญแม้การระบาดของโรคโควิด-19 จะยุติลงในอนาคต เทคโนโลยีหลักของชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็ว ยังนำไปประยุกต์ดัดแปลงให้มีความเหมาะสมต่อการตรวจเชื้อโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย
นางวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. ผู้พัฒนาชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็ว กล่าวว่า 'COXY-AMP' ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ที่ ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดลพัฒนาขึ้น ใช้เทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ซึ่งเทคนิคแลมป์คือการเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรมของเชื้อโรคอย่างจำเพาะเจาะจงภายใต้อุณหภูมิที่คงที่ จึงทำได้ง่ายในกล่องให้ความร้อนซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง
“ส่วนขั้นตอนการใช้งานชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็ว สามารถทำได้ง่าย เพียงแค่ผู้ใช้ใส่สารพันธุกรรม RNA ที่สกัดได้ในหลอดปฏิกิริยาทดสอบ และนำไปบ่มที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 75 นาที หากมีการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สีของสารในหลอดปฏิกิริยาจะเปลี่ยนอัตโนมัติ คือเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีเหลือง ซึ่งสามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า ไม่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการประมวลผล สำหรับประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 จากการทดสอบชุดตรวจนี้กับตัวอย่างเริ่มต้น 146 ตัวอย่าง พบว่ามีความความไว (sensitivity) 92% ความจำเพาะ (Specificity) 100% และมีความแม่นยำ (accuracy) ที่ 97% อีกทั้งยังสามารถแสดงผลได้ภายใน 75 นาที ซึ่งเร็วกว่าวิธี RT-PCR ถึง 2 เท่า นอกจากนี้ในเรื่องของราคา ชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็วมีต้นทุนในการตรวจคัดกรองเพียง 300 บาทต่อตัวอย่าง ขณะที่ RT-qPCR มีต้นทุนสูงกือบ 1,000 บาท นั่นเท่ากับมีราคาถูกกว่าถึง 3 เท่า
วรรณสิกา กล่าวต่อว่า นอกจากชุดตรวจดังกล่าวฯ จะผ่านมาตรฐานจาก อย. แล้ว อีกหนึ่งความภูมิใจของทีม คือทีมนักวิจัยไทยได้ส่ง 'COXY-AMP' ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียวเข้าร่วมประกวดกับมูลนิธิ XPRIZE (องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลก ดำเนินการระดมทุนแบบ Crowd Funding เพื่อแก้ปัญหาระดับโลกในมิติต่างๆ) ในโครงการจัดการแข่งขันเอกซ์ไพรซ์เพื่อการตรวจสอบโควิดอย่างรวดเร็ว (XPrize Rapid Covid Testing) เพื่อค้นหาเทคโนโลยีชุดตรวจโควิด-19 ที่ใช้งานง่าย ตรวจได้รวดเร็ว แม่นยำ และราคาถูก ไปใช้ผลิตและขยายผลชุดตรวจในวงกว้างเพื่อช่วยยับยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ภายใต้ชื่อทีม 19-Xolution ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้มีผู้ที่สนใจส่งผลงานเข้าประกวดจากทั่วโลกมากกว่า 702 ทีม จาก 70 ประเทศทั่วโลก โดยทีม 19-Xolution สามารถผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย
“เป็นที่น่ายินดีอย่างมากที่ทีม 19-Xolution จากประเทศไทยเป็น 1 ใน 20 ทีมที่เข้ารอบสุดท้าย (Finalists) ซึ่งถือเป็นผลงานหนึ่งเดียวจากภูมิภาคเอเชียที่ได้รับคัดเลือก ร่วมกับทีมนักประดิษฐ์จากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเยอรมนี จากนั้นทีมวิจัยได้ส่งชุดตรวจโควิด-19 แบบรวดเร็ว ที่พัฒนาโดยคนไทยทั้งหมด พร้อมกระบวนการ (Protocol) ไปยังห้องปฏิบัติการวิจัยของ XPRIZE จำนวน 2 แห่ง ณ สหรัฐอเมริกา เพื่อทดสอบทางคลินิกและความเป็นไปได้ในการขยายผล เพื่อคัดเลือกให้เหลือผู้ชนะเพียง 5 ทีม อย่างไรก็ดีที่สุดแล้วผลงานของนักวิจัยไทยแม้จะเป็นเพียงผู้เข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายในการแข่งขันครั้งนี้ แต่ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จ ที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทยและงานวิจัยไทยที่มีคุณภาพทัดเทียมกับเทคโนโลยีในระดับสากล
ข่าวประชาสัมพันธ์

ประกาศรับสมัครคัดเลือกนักศึกษาเพื่อรับพระราชทานทุนการศึกษาจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ปีการศึกษา 2564
ด้วยมหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin : UCD) สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานให้แก่นักศึกษาที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดของมหาวิทยาลัยไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตร ๑ ปี จำนวน ๒ ทุน โดยไม่มีภาระผูกพัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ระดับการศึกษา: ระดับปริญญาโท
จำนวนทุนการศึกษา: จำนวน 2 ทุน
หมดเขตรับสมัคร : วันอังคารที่ 27 เมษายน 2564
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.princess-it.org/th/scholarship/ucd/
สาขาที่เปิดรับสมัคร
1. College of Engineering and Architecture
2. College of Health and Agricultural Sciences
3. College of Science
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
โทรศัพท์ 02 564 7000 ต่อ 81813 (คุณเยาวลักษณ์) หรือ 81922 (คุณสมอนงค์)
โทรศัพท์เคลื่อนที่ 089 452 4244
e-mail : info@princess-it.org
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. สนับสนุน โนวากรีน เพาเวอร์ซิสเต็ม พัฒนาระบบวัดอุณหภูมิ-ความชื้นตู้เก็บวัคซีนโควิด-19 ภายใต้โครงการ “FTI ช่วยชาติสู้ COVID-19″
(11 มีนาคม 2564) ณ กระทรวงสาธารณสุข : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดงานแถลงข่าว “โครงการ FTI ช่วยชาติสู้โควิด-19” ส่งมอบตู้เก็บวัคซีนและชุดอุปกรณ์ Monitoring ให้แก่สถานพยาบาลรัฐ 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้การสนับสนุนและพัฒนาระบบวัดอุณหภูมิ-ความชื้นตู้เก็บวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท โนวากรีน เพาเวอร์ซิสเต็ม จำกัด หนึ่งในสมาชิกประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยระบบดังกล่าวได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานจากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) เพื่อให้คนไทยทั้งประเทศได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีรับมอบ พร้อมด้วย ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ และนายจิรเดช อ่อนชุม กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนวากรีน เพาเวอร์ซิสเต็ม จำกัด เข้าร่วมในพิธีครั้งนี้
(more…)
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ผนึก วช. เฟ้นหา ‘เยาวชนคนเก่ง’ แข่งขันผลงานด้าน ‘วิทย์ฯ -เทคโนโลยี-นวัตกรรม’ บนเวที ‘NSTIF 2021’ ครั้งแรก เพื่อพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศ
For English-version news, please visit : NSTDA and NRCT to host the 1st National Science Technology and Innovation Fair 2021
11 มีนาคม 2564 ที่โถงชั้น 1 อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถนนโยธี : ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือ “สวทช. ผนึก วช. สร้างเยาวชนคนเก่ง เปิดเวที “การประกวดผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1” หรือ ‘NSTIF 2021 ผู้บริหารของทั้ง 2 หน่วยงาน รวมทั้งเปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘ความร่วมมือในการพัฒนากำลังคนและความสำเร็จจากวันวาน..สู่วันนี้’ จากศิษย์เก่าโครงการการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ หรือ YSC และศิษย์เก่าการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย หรือ NSC
ได้แก่ รศ.ดร.ทวีธรรม ลิมปานุภาพ หัวหน้าสาขาวิชาเคมีจากวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี 2563 พร้อมด้วย นายณัฎฐ์ ปิยะปราโมทย์ Senior Software Engineer บริษัท Agoda Services Co., Ltd. เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ที่เคยอยู่ในแวดวงนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์จนถึงความสำเร็จในวันนี้กับหน้าที่การงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับแนวหน้าของไทย (more…)
ข่าว 30 ปี สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์

ตู้เก็บวัคซีน COVID-19 ไฮเทคแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิผิดปกติ
เพื่อรองรับวัคซีนโควิด-19 ที่เตรียมพร้อมฉีดให้กับประชาชนคนไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มอบตู้เก็บวัคซีนโควิด-19 ให้กับกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 77 ตู้ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับสถานพยาบาลของรัฐ 77 จังหวัดทั่วประเทศ
ความพิเศษของตู้เก็บวัคซีนโควิด-19 นี้มีความไฮเทคติดตั้งระบบ Monitoring เป็นเซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นภายในตู้ และมีระบบที่สามารถแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลได้ทันทีหากอุณหภูมิภายในตู้เกิดความผิดปกติ ซึ่งวัคซีนโควิด-19 ถูกกำหนดให้เก็บรักษาไว้ในที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้วัคซีนเสื่อมสภาพ โดยระบบ Monitoring ดังกล่าวพัฒนาโดย บ.โนวากรีน เพาเวอร์ซิสเต็ม จำกัด และสนับสนุนโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช. จัด TAIST – Tokyo Tech Virtual Graduation Ceremony 2020 เพื่อแสดงความยินดีแก่มหาบัณฑิตนักเรียนทุน TAIST-Tokyo Tech ในรูปแบบออนไลน์
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (TAIST-Tokyo Tech: Thailand Advanced Institute of Science and Technology – Tokyo Institute of Technology) จัดพิธี “TAIST - Tokyo Tech Virtual Graduation Ceremony 2020” เพื่อแสดงความยินดีและมอบประกาศนียบัตรจบการศึกษาแก่มหาบัณฑิตนักเรียนทุน TAIST-Tokyo Tech ประจำปี 2563 โดยมี ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และร่วมแสดงความยินดีในครั้งนี้ โดยมีนักเรียนทุน TAIST-Tokyo Tech ที่จบการศึกษาทั้งสิ้น 42 คนจาก 3 หลักสูตร ได้แก่ 1.หลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์ (AE: Automotive Engineering) 2.หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อระบบสมองกลฝังตัว (ICTES: Information and Communication Technology for Embedded Systems ) 3.หลักสูตรวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน (SERE: Sustainable Energy and Resources Engineering)
(more…)
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน

(11 มีนาคม 2564) Facebook Live การแถลงข่าว “สวทช. ผนึก วช. สร้างเยาวชนคนเก่ง เปิดเวทีการประกวดผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1”
ขอเชิญรับชมการถ่ายทอดสด Facebook Live “สวทช. ผนึก วช. สร้างเยาวชนคนเก่ง เปิดเวที “การประกวดผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1” วันที่ 11 มีนาคม 2564 เวลา 13.00-15.00 น.ติดตามชมได้ที่ https://www.facebook.com/NSTDATHAILAND
รับฟังการเสวนา “ความร่วมมือในการพัฒนากำลังคน และความสำเร็จจากวันวาน..สู่วันนี้” โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมประสบการณ์จาก 2 เยาวชนที่ประสบความสำเร็จจากการเข้าร่วมโครงการ YSC/NSC รศ.ดร.ทวีธรรม ลิมปานุภาพ (วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล/นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปีพ.ศ. 2563) และ คุณณัฎฐ์ ปิยะปราโมทย์ (Senior Software Engineer บริษัท Agoda Services Co., Ltd.)
ปฏิทินกิจกรรม

ไบโอเทค สวทช. – มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาแพลตฟอร์มการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนต่อสภาวะเครียด
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินโครงการวิจัย “Investigating the potential adaptive responses of the Thai rice resource to biotic and abiotic stresses under future climate change conditions” เพื่อศึกษาการปรับตัวของข้าวต่อสภาวะเครียดทั้งทางกายภาพและชีวภาพที่เกิดจากสาเหตุของสภาวะโลกร้อน เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนต่อสภาวะเครียดต่าง ๆ โดยใช้เครื่องหมายโมเลกุล เพื่อรองรับผลกระทบการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต่อการผลิตข้าวของประเทศในอนาคต
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการ ไบโอเทค และหัวหน้าโครงการฯ ให้ข้อมูลว่า โครงการวิจัยนี้จะเป็นการใช้ประโยชน์จากเชื้อพันธุกรรมข้าวไทยจำนวน 270 พันธุ์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้มาจากการรวบรวมพันธุกรรมข้าวของไบโอเทค และกรมการข้าว มาใช้ในการศึกษากลไกการปรับตัวของข้าวต่อระบบนิเวศวิทยา (Ecology-flexible rice) เพื่อค้นหายีนที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกของลักษณะทางกายวิภาคของรากและปากใบเมื่อตอบสนองต่อความเครียดที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะ การขาดน้ำ ความชื้นในดิน และอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม โดยการพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลเพื่อใช้ในการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์ข้าวต้นแบบ Eco-Flexi ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและระบบนิเวศที่แตกต่างกันได้ รวมถึงการศึกษาลักษณะหน้าที่และปฏิสัมพันธ์ระหว่างยีนต้านทานโรคไหม้ซึ่งเกิดจากรา Magnaporthe oryzae และโรคขอบใบแห้งซึ่งเกิดจากเชื้อรา Xanthomonas oryzae pv. oryzae ในข้าวพันธุ์พื้นเมืองและข้าวจากการปรับปรุงพันธุ์ เพื่อค้นหาตำแหน่งยีนต้านทานโรคแบบกว้างและมีความยั่งยืนโดยใช้เทคโนโลยี Genome-wide association study (GWAS) นอกจากนั้นจะมีการพัฒนาระบบ CRISPR-Cas9 โดยจะศึกษาการทำงานของยีนและพัฒนาระบบการปรับแต่งยีน (gene editing) ด้วยเทคนิค Cas9 ในยีนเป้าหมายที่สนใจอีกด้วย (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือ มจษ. พัฒนาสื่อสาระความรู้ดิจิทัลสนับสนุนการเรียนรู้แบบเปิด เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน
(5 มีนาคม 2564) อาคาร สวทช. ถ.พระราม 6 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) ร่วมกับ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม (มจษ.) จัดพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ “ด้านวิชาการและด้านการบริหารจัดการสื่อดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม” เพื่อสร้างความร่วมมือในการดำเนินงานทางด้านวิชาการและการบริหารจัดการสื่อดิจิทัล โดยให้การสนับสนุนด้านเทคนิคการถ่ายทอดความรู้เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบฐานข้อมูลเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งการพัฒนาสื่อสาระความรู้ในรูปแบบดิจิทัลที่เหมาะสมเพื่อเผยแพร่เป็นสาธารณะ สร้างประโยชน์ต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต นำไปสู่การพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ของไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาความร่วมมือเป็นเวลา 3 ปี โดยมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิทธิ วงศ์ทองคำ คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มจษ. เป็นผู้ลงนาม และมี คุณวรวัจน์ สุวคนธ์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด SCB Academy เป็นสักขีพยาน
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับ มจษ. ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนและการวิจัยและพัฒนาของประชาคมทั้ง 2 หน่วยงาน ตลอดจนเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของประชาชน โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย 1. สนับสนุนด้านเทคนิคการถ่ายทอดความรู้เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งการพัฒนาสื่อสาระดิจิทัล และ e-Learning 2. พัฒนาสื่อสาระความรู้ในรูปแบบดิจิทัลที่เหมาะสมเพื่อเผยแพร่เป็นสาธารณะ และประโยชน์ต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3.ร่วมกันจัดบริการวิชาการสำหรับบุคลากร นักศึกษา ที่อยู่ในความดูแลของคณะวิทยาการจัดการ มจษ.รวมทั้งบุคคลทั่วไป ให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการ เพื่อนำไปพัฒนาการปฏิบัติงานและนำไปสู่การพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ของไทยอย่างยั่งยืน 4. ร่วมสนับสนุนกิจกรรมของ STKS ในการผลิตสื่อ และเผยแพร่องค์ความรู้ที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะวิทยาการจัดการ มจษ. ภายใต้โครงการระบบสื่อสาระออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ทางไกลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558
"STKS" เป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้ สวทช. มีหน้าที่เป็นห้องสมุดกลาง สวทช. โดยให้บริการห้องสมุดและฐานข้อมูลความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกทั้งช่วยสนับสนุนการจัดการความรู้ขององค์กร เพื่อสนับสนุนพันธกิจของ สวทช. รวมทั้งออกแบบและพัฒนาสื่อสาระดิจิทัล ตลอดจนศึกษาและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีแบบเปิดเพื่อการจัดการและการเผยแพร่สารสนเทศและความรู้แบบเปิดที่เข้าถึงได้ทุกคน ทุกที่ และทุกเวลา เพื่อรองรับการศึกษาแบบเปิดและการเรียนรู้ตลอดชีวิต สอดคล้องกับคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ที่ต้องการผลิตและเผยแพร่สื่อความรู้ และบทเรียนออนไลน์แบบเปิด (Massive Open Online Course: MOOC) เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะเกี่ยวกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการในชุมชนสำหรับประชาชนที่สนใจ อีกทั้งยังต้องการขยายความร่วมมือการให้บริการวิชาการและสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน และการวิจัยและพัฒนาของสถาบัน ตลอดจนเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของคนทั่วไปในสังคม” ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิทธิ วงศ์ทองคำ คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มจษ. กล่าวว่า มจษ. มีพันธกิจในการผลิตบัณฑิตให้มีความรู้ มีคุณธรรม และคุณภาพในการเป็นนักปฏิบัติสู่สังคม รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาการสร้างงานวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ พัฒนาการเรียนการสอน ให้เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม อีกทั้งยังมีเรื่องของบริการวิชาการเพื่อพัฒนาชุมชน ท้องถิ่น และสังคม โดยเน้นการมีส่วนร่วม ซึ่งนอกจากจะมุ่งผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพแล้ว ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพทางวิชาการมากขึ้น โดย มจษ. มีโครงการที่ทำร่วมกับ SCB Academy ในการพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นชื่อ “Community Content marketing” โดยใช้ความรู้ความสามารถทางวิชาการของคณะวิทยาการจัดการ มจษ. ร่วมกับประสบการณ์จริงของผู้บริหารและพนักงานของไทยพาณิชย์ที่มีความรู้และประสบการณ์เรื่อง Digital Marketing มาร่วมมือกันออกแบบหลักสูตรและนำออกเผยแพร่ให้ทางชุมชนเพื่อให้มีทักษะใหม่ในการนำไปใช้ประกอบอาชีพหรือทำงานรูปแบบใหม่ ซึ่งความร่วมมือกับ สวทช. ในครั้งนี้จะช่วยให้หลักสูตรนี้สามารถเปิดกว้างสู่สังคมได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจาก สวทช. มีแพลตฟอร์มที่มีมาตรฐาน และได้รับการยอมรับที่หลากหลาย ดังนั้น จะช่วยสร้างโครงการที่ดีออกสู่สังคมให้คนในสังคมได้ใช้ประโยชน์อีกมากมายในอนาคต
“เราไม่สามารถก้าวไปด้วยตัวคนเดียวได้ เราต้องมีพันธมิตรทางวิชาการที่จะดำเนินการร่วมกัน ซึ่งความร่วมมือกับ สวทช. ในครั้งนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดีและจะเป็นก้าวสำคัญที่จะมาช่วยพัฒนาในอนาคต และเชื่อว่าพลังของพันธมิตรในครั้งนี้จะสามารถต่อยอดกับองค์กรอื่น ๆ ได้อีกมาก เพื่อช่วยทำให้สังคม ชุมชน และประเทศของเราเกิดการพัฒนาและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้” ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิทธิ วงศ์ทองคำ คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มจษ. กล่าว
Download-Press-Release-NSTDA-MOU-Chandrakasem
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. เชิญชวนผู้ประกอบการที่ต้องการต่อยอดผลงานสุดไฮเทค “รถเข็นนวัตกรรมรักษ์โลก”
สวทช. เชิญชวนผู้ประกอบการที่ต้องการต่อยอดผลงานสุดไฮเทค “ รถเข็นนวัตกรรมรักษ์โลก”
สมัครเข้าร่วมคัดเลือกเป็นผู้รับอนุญาตสิทธิเพื่อผลิตรถเข็น รับ IP พร้อมโอกาสต่อยอดธุรกิจในอนาคต
ข้อมูลเพิ่มเติม "รถเข็นนวัตกรรมรักษ์โลก" http://www.decc.or.th/streetfood/
ขั้นตอนการสมัคร
ลงทะเบียนออนไลน์ที่ shorturl.at/louOW
แนบเอกสารเพิ่มเติม โดยส่งเอกสารได้ที่อีเมล marketing@decc.or.th
ทางคณะกรรมการจะพิจารณาคุณสมบัติและประกาศผลผู้รับอนุญาติสิทธิเพื่อผลิต"รถเข็นนวัตกรรมรักษ์โลก”
ภายในวันที่ 2 เมษายน 2564
สอบถามเพิ่มเติม
โทร: 02564 6310 ต่อ 101 และ 123
ไลน์: https://lin.ee/gtqQI22
ปฏิทินกิจกรรม