หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. เชิญชวนรับฟังสัมมนาเรื่อง “ชุดระบบส่งกำลัง – หัวใจสำคัญของการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดสัมมนาออนไลน์เรื่อง “ชุดระบบส่งกำลัง – หัวใจสำคัญของการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย” ในวันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2565 เวลา 09.00 – 11.30 น. ภายใต้งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022: NSTDA Annual Conference 2022) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 – 31 มีนาคม 2565 ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้ทราบถึงความรู้พื้นฐานในการออกแบบและพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ในกลุ่มของชุดระบบส่งกำลัง (Powertrain System) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา ได้เข้าใจถึงความรู้พื้นฐานทางเทคโนโลยีการออกแบบและผลิต นำไปต่อยอดสู่การออกแบบและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของตนเอง ภายใต้โอกาสที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียานยนต์ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า การออกแบบและพัฒนาชุดระบบส่งกำลังสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการให้ความรู้ในด้านการทดสอบ ทั้งทดสอบเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ในด้านประสิทธิภาพ สมรรถนะ และความปลอดภัย และทดสอบเพื่อรับรองสำหรับจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ นำไปสู่การเติบโตทางธุรกิจในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าต่อไป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหรือผู้ที่สนใจร่วมรับฟังสัมมนาในหัวข้อดังกล่าวฯ สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่ https://bit.ly/3wrSGUz ตั้งแต่บัดนี้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. เชิญชวนรับฟังเสวนาเรื่อง “ปูนากับวิถีชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร-เศรษฐกิจชุมชน” ลงทะเบียนฟรีไม่มีค่าจ่าย!!
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จัดเสวนาออนไลน์เรื่อง “ปูนา กับวิถีชีวิต-ความมั่นคงทางอาหาร-เศรษฐกิจ” ในวันที่ 29 มีนาคม 2565 เวลา 13.00 – 16.00 น. ภายใต้งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022: NSTDA Annual Conference 2022) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 – 31 มีนาคม 2565 ผู้เข้าร่วมเสวนาจะได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการเลี้ยงปูนาด้วยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ โดยใช้กลไกการสนับสนุนให้ชุมชนนำความรู้ตามภูมิปัญญาท้องถิ่น มาประยุกต์ใช้ร่วมกับองค์ความรู้ทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับชนิดพันธุ์ วงจรชีวิต สูตรอาหารธรรมชาติ การจัดการระบบนิเวศและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมอย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวทาง BCG ให้ชุมชนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพของชุมชน (Bioeconomy) สนับสนุนให้เกิดการส่งต่อภูมิปัญญาและองค์ความรู้จากผู้เฒ่าผู้แก่ไปสู่คนรุ่นใหม่ ทั้งนี้เกษตรกรหรือผู้ที่สนใจร่วมรับฟังการเสวนาในหัวข้อดังกล่าวฯ สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่ https://bit.ly/3HEZSPo ตั้งแต่บัดนี้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. – พันธมิตร เยี่ยมชมผลสำเร็จ ผลงานการพัฒนาศักยภาพครูและนักเรียนโรงเรียน ตชด. บ้านหม่องกั๊วะ
(19 มีนาคม 2565) ณ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา (บ้านหม่องกั๊วะ) อ.อุ้มผาง จ.ตาก : นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานเปิดนิทรรศการเผยแพร่ผลงานการพัฒนาศักยภาพครูและนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการพัฒนาการศึกษา และการพัฒนาทักษะอาชีพด้านการตลาดดิจิทัล ภายใต้ โครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบประจำปี 2564    โดยมี พ.ต.อ.ศุภวัฒน์ ศรีชัยชนะ ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดน 34 ให้การต้อนรับและทำหน้าที่แทน พล.ต.ต. สมกูล กาญจนอุดมการ ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวฯ เกิดขึ้นสืบเนื่องจาก สวทช. ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เปิดการอบรมหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพครูและนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการพัฒนาการศึกษา และการพัฒนาทักษะอาชีพด้านการตลาดดิจิทัล ประจำปี 2564  โดยมีหน่วยงานพันธมิตรทั้งจากภาครัฐและเอกชนร่วมสนับสนุนโครงการฯ ประกอบด้วย กองทุนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทยร่วมเป็นคณะทำงาน ให้คำปรึกษาและติดตามผลการดำเนินงานร่วมกันทั้งในรูปแบบออนไลน์และการลงพื้นที่นิเทศติดตาม และเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษาตลอดกิจกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนและช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สำหรับการเปิดกิจกรรมครั้งนี้มีการรายงานผลการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะดิจิทัล : เพื่อเพิ่มสมรรถนะการเรียนรู้และส่งเสริมทักษะอาชีพด้านการตลาดดิจิทัลโดย ครูใหญ่สมดุลย์ โพอ้น นายดาบตำรวจชำนาญการพิเศษ ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา (บ้านหม่องกั๊วะ จ.ตาก) การบรรยายสรุปผลการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล : กิจกรรมพัฒนาการศึกษา โดยรศ. ดร.สุรพล บุญลือ ที่ปรึกษาโครงการ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  การบรรยายสรุปผลการพัฒนาผู้เรียนการพัฒนาทักษะอาชีพด้านการตลาดดิจิทัล  โดย ผศ. บุญเลี้ยง แก้วนาพันธ์ ที่ปรึกษาโครงการ ประธานหลักสูตรมีเดียอาตส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นอกจากนี้มีการเปิดนิทรรศการเผยแพร่ผลงานของครู ผู้เรียน และชาวบ้านในชุมชนบ้านหม่องกั๊วะ ประกอบด้วย การแปรรูปผลิตภัณฑ์ (ไผ่) กลุ่มแปรรูปอาหาร (พริก,กาแฟ) กลุ่มผ้าทอ นิทรรศการผลิตไฟฟ้าส่องสว่างด้วย LED แบบพึ่งพาตนเอง และการแสดงผลงานนักเรียนด้านการพัฒนาสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ และร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากทางโรงเรียน รวมทั้งมีการเปิดตัวเว็บไซต์ช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์บ้านหม่องกั๊วะ อย่างไรก็ดี โครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบ ดำเนินงานตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีความห่วงใยต่อโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในด้านการศึกษา ซึ่งมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ ร่วมกับ สวทช. ได้ดำเนินโครงการนำร่องการบริหารระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบ ค้นหาแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศอย่างเป็นระบบ โดยจุดเริ่มต้นโครงการฯ มาจากพระราชกระแส ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี  โรงเรียนในพื้นที่ชายขอบยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งเมื่อเขามีไฟฟ้าใช้จะทำให้มีโอกาสด้านการเรียนมากขึ้น เด็กก็จะมีคอมพิวเตอร์ใช้ มีแท็บเลตใช้ และโรงเรียนก็มีช่องทางสื่อสารกับเรามากขึ้น การสื่อสารที่ดีทำให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งด้านความรู้ ด้านการแพทย์ การอาชีพและอื่น ๆ โดยมีเป้าหมายสำคัญ 4 ประการคือ 1. เพื่อการพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพครู ตชด. ด้านการประยุกต์ใช้ไอซีที 2. เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพด้านการตลาดดิจิทัล (มีพื้นที่นำร่อง 1 แห่ง) 3.เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการการพบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และ 4. เพื่อส่งเสริมศักยภาพชุมชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเรื่อง “การผลิตไฟฟ้าส่องสว่างด้วย LED แบบพึ่งพาตนเอง”  มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 23 แห่ง คือ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 14 แห่ง ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวง จำนวน 8 แห่ง และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 1 แห่ง โดยมีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสนับสนุนการดำเนินงานด้านการบำรุงรักษาระบบผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และระบบโทรมาตร และบริษัทแอดวานซ์ อินโฟว์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ให้การสนับสนุนด้านระบบโทรคมนาคมเพื่อการสื่อสาร
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“ถุงมือยางธรรมชาติโปรตีนต่ำ” เพื่อบุคลากรทางการแพทย์ลดแพ้โปรตีน
ทีมนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. พัฒนา #ถุงมือยางธรรมชาติโปรตีนต่ำ มีปริมาณโปรตีนที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้น้อย เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ISO 11193-1:2008, EN 455 และ ASTM D3578-05 ช่วยลดปริมาณโปรตีนที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติ ช่วยยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติให้สามารถแข่งขันได้กับผลิตภัณฑ์ถุงมือยางสังเคราะห์ และรักษาความเป็นผู้นำด้านการผลิตยางและผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติของประเทศไทย   * * * * * ติดตามตัวอย่างผลงานวิจัยได้ในงาน : การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG" วันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ร่วมกับ ธนาคารยูโอบี และหน่วยงานพันธมิตร ดึง HUBBA เสริมแกร่งโครงการ Smart Business Transformation ปี 2565
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ITAP สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เปิดตัวพันธมิตรรายใหม่ HUBBA ผู้นำด้านแพลตฟอร์มนวัตกรรมและผู้ประกอบการรายแรกของประเทศไทยที่ได้ให้คำแนะนำสนับสนุนผู้ประกอบการมามากกว่า 2,000 ราย อาทิ Bitkub ยูนิคอร์น รายที่สองของประเทศไทย ผ่านงาน Virtual Press Conference ในรูปแบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อร่วมเสริมแกร่งผู้ประกอบการผ่านโครงการ Smart Business Transformation ปี 2565 และเพื่อแบ่งปันเทรนด์รวมถึงข้อมูลเชิงลึกในเรื่องการปรับองค์กรและธุรกิจสู่ดิจิทัล นางสาวสิรินันท์ จิรดิลก ผู้อำนวยการอาวุโส Digital Engagement and FinTech Innovation ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจซึ่งได้เน้นย้ำให้ธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ดิจิทัล จากผลสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เน้นไปที่การปรับตัวเป็นดิจิทัล การตลาดดิจิทัล และการส่งมอบประสบการณ์แก่ลูกค้าเพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยมากกว่าหนึ่งในสองเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความคงทนยั่งยืนอันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของลูกหลานในอนาคต ไม่เพียงแต่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ความเป็นดิจิทัลมีความสำคัญต่อการเติบโตในระยะยาว สิ่งสำคัญที่ SMEs ต้องตระหนักคือการผสานความยั่งยืนเข้าไปในกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและเสริมประสิทธิภาพรากฐานทางธุรกิจ นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีบริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการสรรหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้าให้คำปรึกษาเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล ผ่านโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ITAP (Innovation and Technology Assistance Program) โดยตลอดระยะเวลา 3 ปี ของความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เราประสบความสำเร็จในการสนับสนุน SMEs ไทยจำนวน 35 ราย ให้มีแนวคิดในการปรับปรุงพัฒนาธุรกิจด้วยนวัตกรรม และสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยมีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท และคาดว่าจะเกิดการลงทุนจากภาคเอกชนเพิ่มขึ้นกว่า 20 ล้านบาท ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ITAP ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนไปแล้ว 5 ล้านบาท โดยเป็นการช่วยเหลือร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา เพื่อช่วยเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลให้กับองค์กร นอกจากนี้ยังมีอีกสองหน่วยงานพันธมิตรที่มีความร่วมมือกับโครงการ SBTP ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ สสว. และ depa โดย สสว. ในฐานะที่เป็นผู้กำหนดนโยบายในการสนับสนุน SMEs ของประเทศไทย ได้กำหนดนโยบายและแผนการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในการยกระดับทางเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า “ประเทศไทยมีผู้ประกอบการ SMEs ประมาณ 3.2 ล้านราย ส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนพวกเขาให้มีศักยภาพสูงขึ้นและสามารถแข่งขันในตลาดต่อไปได้ คือการได้ประชาสัมพันธ์ให้พวกเขาเข้าร่วมโครงการ SBTP ซึ่งเปรียบเสมือนช่องทางด่วนพิเศษในการพัฒนาทักษะดิจิทัล เร่งความสามารถในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และเข้าถึงการให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล” depa ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนด้านโซลูชันเทคโนโลยีแก่ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการ นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่า “ระยะเวลาความร่วมมือกว่า 3 ปีของ depaกับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัลของ SMEs รวมถึงการขยายโอกาสทางการตลาดสำหรับผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีชาวไทย เราเชื่อว่า SMEs ที่เข้าร่วมจะไม่เพียงสามารถปรับตัวเข้ากับโซลูชันที่เป็นดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน SBTP เท่านั้น แต่โครงการยังเปิดกว้างสำหรับโอกาสในการจับคู่ทางธุรกิจระหว่าง SMEs และผู้ให้บริการโซลูชัน การสร้างเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ความเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลได้” นายชาล เจริญพันธ์ CEO & Co-Founder HUBBA กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2555 HUBBA ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น ผ่านเครือข่ายและการบ่มเพาะทางธุรกิจเพื่อให้ผู้ประกอบการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมตอบโจทย์ของตลาดและประสบความสำเร็จออกสู่ตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และจากการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่ามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคและพบว่านี่คือโอกาสของ SMEs ที่จะปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจและกลยุทธ์ในการทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า ยิ่งธุรกิจสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกได้มากขึ้นเท่าไร ความได้เปรียบในการแข่งขันทางการตลาดก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น นอกจากการปรับตัวสู่ดิจิทัลแล้ว SMEs ยังต้องการคำแนะนำในด้านการบริหารองค์กรและทรัพยากรบุคคลด้วยจากการเห็นเจ้าของธุรกิจจำนวนมากต้องเผชิญปัญหาด้านนี้ จึงรวบรวมเอาหลักสูตรการฝึกอบรมในด้านการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมองค์กรเข้ามา เนื่องจากเรื่องนี้มีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อทัศนคติและแรงจูงใจของพนักงาน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า โครงการ SBTP เริ่มต้นในปี 2562 เพื่อสนับสนุนและพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศไทยให้สามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ซึ่งได้รับความสนใจจาก SMEs ในประเทศไทยมากกว่า 4,000 ราย ในการเข้าร่วมโครงการ SMEs จะสามารถระบุปัญหาในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงได้รับคำแนะนำการใช้งานเครื่องมือต่าง ๆ ความรู้และแนวทางการทำงานในการปรับตัว เกิดความเชื่อมั่นในการใช้นวัตกรรมใหม่ พร้อมได้ทดลองใช้ดิจิทัลโซลูชันที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีไปทดลองแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้ โครงการ SBTP เปิดรับเจ้าของธุรกิจ SMEs หรือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ที่พร้อมเปิดรับแนวคิดใหม่ในการทำธุรกิจมีความกระตือรือร้นในการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและความพร้อมในการลงทุนด้านเครื่องมือดิจิทัล และสามารถให้เวลากับโครงการได้อย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลาสามเดือนของโครงการ ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความสนใจ ไม่จำกัดสาขาธุรกิจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ SBTP ได้ที่ www.facebook.com/uob.th หรือ https://thefinlab.com/th/thailand  จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565   //////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รู้ทันป้องกันโรคใบด่างมันสำปะหลัง ง่าย ๆ ด้วยชุดตรวจ strip test
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาเทคนิคการตรวจกรองไวรัสใบด่างในต้นพันธุ์มันสำปะหลัง โดยได้พัฒนาน้ำยาแอนติบอดีสำหรับตรวจไวรัสใบด่างมันสำปะหลังสายพันธุ์ที่พบในประเทศไทยโดยใช้เทคนิคอิไลซ่า (ELISA) พบว่า น้ำยาแอนติบอดีที่พัฒนาขึ้นมีความไว (sensitivity) ในการตรวจมากกว่าน้ำยาที่มีการขายในเชิงการค้า และมีราคาต่อตัวอย่างถูกกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ   อย่างไรก็ตาม การตรวจด้วยเทคนิคอิไลซ่าจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างนำมาตรวจสอบภายในห้องปฏิบัติการและต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องอ่านผล ใช้เวลาในการตรวจสอบจนทราบผลประมาณ 1-2 วัน ทางทีมนักวิจัยจึงได้พัฒนาชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test สามารถพกพาไปใช้ในภาคสนาม โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างส่งมาตรวจยังห้องปฏิบัติการ ทราบผลได้ภายใน 15 นาที และตรวจสอบได้เองโดยไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการและเครื่องมือวัดอ่านผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังในประเทศไทย รวมถึงการตรวจหาเชื้อในขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการผลิตต้นพันธุ์ปลอดเชื้อต่อไป   * * * * * ติดตามตัวอย่างผลงานวิจัยได้ในงาน : การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG" วันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
อะไรอยู่ที่ไหน? หาได้ง่าย ๆ ด้วยเทคโนโลยี Plug UNAI
นักวิจัยเนคเทค สวทช.​ พัฒนา #PlugUNAI แพลตฟอร์มอัจฉริยะเพื่อติดตามตำแหน่งและวัดอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ภายในอาคาร จุดเด่น คือ การใช้เทคโนโลยีบลูทูธพลังงานต่ำ สามารถติดตามตำแหน่งของอุปกรณ์พร้อมเก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า   ปัจจุบัน Plug UNAI ถูกพัฒนาและนำไปใช้งานจริงที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เป็นอุปกรณ์ต้นแบบเพื่อติดตามตำแหน่งเครื่องมือแพทย์ด้วยแพลตฟอร์ม “อยู่ไหน (UNAI)” และบันทึกการใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงพยาบาลเพื่อทำระบบ Utilization Management ของงานเครื่องมือแพทย์ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการบริหารจัดการเครื่องมือแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด   * * * * * ติดตามตัวอย่างผลงานวิจัยได้ในงาน : การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG" วันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
รัฐบาลจีนประกาศมอบรางวัลแห่งมิตรภาพ “The 2021 Chinese Government Friendship Award” ให้กับ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผอ.สวทช.
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ Science and Technology Daily ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับวันที่ 17 มีนาคม 2565 ได้เผยแพร่ว่า รัฐบาลจีนได้ประกาศมอบรางวัลแห่งมิตรภาพ "The 2021 Chinese Government Friendship Award" ให้กับ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะที่เป็นผู้บริหารองค์กรที่ตระหนักถึงคุณูปการสำคัญต่อความร่วมมือของ สาธารณรัฐประชาชนจีน และราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการแลกเปลี่ยนระหว่างบุคลากรของทั้งสองประเทศ             LONG Yun ผู้เขียนรายงานข่าวชิ้นนี้ได้เปิดหัวเรื่องไว้น่าสนใจว่า Sustainability Shaping Great Collaboration  โดยได้รายงานข่าวถึง ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นผู้บริหารองค์กรที่มีภารกิจหลักในการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีระดับโลก ในด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนให้อุตสาหกรรมของประเทศมีความทันสมัย ​​และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย “ประเทศไทยได้รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เช่น ความร่วมมือจีน-อาเซียน”  ดร.ณรงค์ ได้กล่าวกับ Science and Technology Daily เมื่อเร็วๆ นี้ โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในด้านต่างๆ ดร.ณรงค์  ศิริเลิศวรกุล เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการจัดตั้งคณะทำงาน “ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีไทย-จีน” โดยมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีจีน - อาเซียน (China-ASEAN Technology Transfer Center หรือ CATTC) ดำเนินการโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมความรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการค้าของทั้งสองประเทศ ในปี พ.ศ. 2558 ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีไทย-จีน ได้จัดตั้งขึ้นที่ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางในการอำนวยความสะดวกในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการเจรจาธุรกิจระหว่างไทยและจีน รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยและจีนในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนนักวิจัยระหว่างไทยและจีน การจัดฝึกอบรมระยะสั้น และการจัดกิจกรรมเสาะหาเทคโนโลยีและจับคู่ธุรกิจระหว่างไทยและจีน ตามความต้องการของนักวิจัยและผู้ประกอบการทั้งไทยและจีน ตัวอย่างผลสำเร็จของความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม อาทิ การสร้างโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจไทยในการสร้างความร่วมมือกับจีนในงาน China Intelligent Equipment Industry ระหว่างปี 2560-2562 การส่งบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยเข้าร่วมโครงการฝึกอบรมระหว่างประเทศสำหรับนักจัดการด้านเทคโนโลยีในภูมิภาคจีน-อาเซียน และการส่งนักวิจัยไทยเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ในประเทศจีน ดร.ณรงค์  ศิริเลิศวรกุล ได้กล่าวในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันประเทศไทยให้ความสำคัญกับ โมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG และความร่วมมือในกลุ่มอาเซียน ซึ่งคาดว่าแนวคิดนี้มีความสอดคล้องกับแผนระดับชาติในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย อีกด้วย *** หมายเหตุ อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ http://www.stdaily.com/English/Service/202203/c083087c1bf945b7ac0a69075014cac3.shtml
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รู้ทัน! สารปนเปื้อนในน้ำนมดิบ ด้วยชุดตรวจ Peroxide Test Strip
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ต่อยอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาเซนเซอร์ทางไฟฟ้าเคมีสู่ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบ Peroxide Test Strip ที่มีความไวสูง สามารถตรวจไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในน้ำนมดิบได้แม้มีความเข้มข้นน้อย ราคาถูก ใช้งานง่าย ตรวจวัดและวิเคราะห์ผลเร็ว มีความจำเพาะเจาะจงและความถูกต้องสูง ลดการสูญเสียน้ำนมดิบที่ไม่มีคุณภาพ และลดผลกระทบต่อกระบวนการแปรรูปน้ำนมดิบ ส่งมอบ อ.ส.ค. สำหรับใช้ในศูนย์รับน้ำนม อ.ส.ค ทั่วประเทศ หวังเป็นตัวช่วยยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์นม และอุตสาหกรรมโคนมของไทย   * ** * * ติดตามตัวอย่างผลงานวิจัยได้ในงาน : การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG" วันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ขอเชิญผู้สนใจร่วมงานสัมมนา “เทคโนโลยีและโอกาสทางธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงในประเทศไทย”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สอวช.) และ หน่วยบริหารจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เปิดเวทีสัมมนาวิชาการในหัวข้อ “เทคโนโลยีและโอกาสทางธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงในประเทศไทย (EVs Conversion in Thailand, Technology, and Opportunities)” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงเทคโนโลยีในการดัดแปลงรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (BEV) ในวันที่ 28 มีนาคม 2565 เวลา 13.30 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม Jupiter 8-9 ในงาน THE 43rd BANGKOK INTERNATIONAL MOTOR SHOW   พบกับการบรรยายพิเศษหัวข้อ EV conversion industrialization in Thailand โดย นายปริพัตร บูรณสิน คณะทำงานพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และ คณะทำงานพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง EEC เทคโนโลยีการทดสอบยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (กรณีศึกษารถโดยสารไฟฟ้า) โดย นายเศรษฐลัทธ์ แปงเครื่องนักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยียานยนต์และการขับขี่ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ นโยบายและการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง โดย ดร.ธนาคาร วงษ์ดีไทย คณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มระบบคมนาคมแห่งอนาคต หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)   การเสวนาหัวข้อ “การเติบโตของอุตสาหกรรมการดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้า” โดย     นายไพศาล ตั่งยะฤทธิ์     กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีวี คาร์ (ไทยแลนด์) จำกัด นายพลพจน์ วรรณภิญโญชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีซียู ช็อป จำกัด นายพนัส วัฒนชัย         ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พนัสแอสเซมบลีย์ จำกัด นายศรีวัฏ ไตรจักรภพ     กรรมการผู้จัดการ บริษัท พานทองอัลไลแอนซ์ จำกัด นายศรัณย์พงศ์ พันธ์สุวรรณ วิศวกรระดับ 10 ฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย   ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/3q9830x   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางโทรศัพท์ 02-564-7000 ต่อ 1472 คุณนันท์ชญาน์ ชำนิ (ต๊อบ) หรืออีเมล nunchaya.chu@nstda.or.th หมายเหตุ : ผู้เข้าร่วมงานต้องลงทะเบียน และแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ และมีผลตรวจ ATK เป็นลบภายใน 72 ชั่วโมง  
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช.จับมือ GPSC ดันงานวิจัย-นวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน นำร่องน่าน-ระยอง ใช้สมาร์ทฟาร์มมิ่งหนุนเกษตรวิถีใหม่ตอบ BCG
For English-version news, please visit : NSTDA and GPSC to pilot smart farming projects in Nan and Rayong สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมกับ GPSC ผสานงานวิจัยด้านนวัตกรรมพลังงาน และเทคโนโลยี IoT พัฒนา "การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) ภายใต้โครงการ "ผลักดันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์ในชุมชนอย่างยั่งยืน”  หวังยกระดับและเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจชุมชน ตามโมเดลเศรษฐกิจแบบ BCG เพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน นำร่องด้วยโครงการ GPSC Smart Farming โดยพัฒนาโรงเรือนอัจฉริยะใน 2 ชุมชนคือ บ้านสวนต้นน้ำ อ.เขาชะเมา จ.ระยอง และ บ้านห้วยขาบ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ขับเคลื่อนเกษตรวิถีใหม่ด้วยนวัตกรรม พร้อมเตรียมขยายผลสู่ชุมชนเครือข่ายในพื้นที่ทั่วประเทศ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การลงนาม (MOU) บันทึกข้อตกลงด้านการดำเนินงาน “โครงการผลักดันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์ในชุมชนอย่างยั่งยืน”ระหว่าง สวทช. และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่จะมาร่วมสนับสนุนการขยายผลงานวิจัยของ สวทช.ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการแพทย์มาประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อน โดยมีโครงการ GPSC Smart Farming (เกษตรอัจฉริยะ) เป็นโครงการนำร่อง 2 ชุมชน ในการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน และมีเป้าหมายการดำเนินงานภายในกรอบระยะเวลา 3 ปี (ต.ค.64 - ต.ค.67) สวทช. ในฐานะหน่วยงานภายใต้กระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เรามีบทบาทหลักในการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยบูรณาการองค์ความรู้ครอบคลุม 4 สาขาเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ สาขาพันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ สาขาเทคโนโลยีโลหะและวัสดุ สาขาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ คอมพิวเตอร์ และสาขานาโนเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบผลงานไปสู่การใช้ประโยชน์ สร้างมูลค่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และด้วยโมเดลเศรษฐกิจแบบ BCG หรือโมเดลเศรษฐกิจแบบองค์รวม ซึ่งมีมติอย่างเป็นทางการจาก ครม. กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ถือเป็นกลไกที่มีศักยภาพสูงในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศอย่างทั่วถึง สามารถกระจายโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ปัจจุบัน สวทช. มีบทบาทในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจแบบ BCG ที่พัฒนาบนพื้นฐานของความเข้มแข็งของประเทศไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจ BCG ที่เติบโต แข่งขันได้ในระดับโลก เกิดโอกาสการกระจายรายได้อย่างทั่วถึงสู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ขณะเดียวกันสามารถรักษาฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้อย่างสมดุล ซึ่งความร่วมมือกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่จะนำนวัตกรรมไปถึงมือผู้ใช้ ช่วยชุมชน โดยเฉพาะด้านการเกษตรที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน” ดร.ณรงค์กล่าว “โครงการผลักดันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) สู่การใช้ประโยชน์ในชุมชนอย่างยั่งยืน” ระหว่าง บริษัทโกลบอลเพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และ สวทช. ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในกลุ่มเทคโนโลยีด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การเกษตร การแพทย์และสาธารณสุข ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่ชุมชนเป้าหมายของโครงการฯ  ทั่วประเทศ ซึ่งดร.ณรงค์ชี้ว่า สวทช. พร้อมที่จะนำเอาองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์วิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกว่า 30 ปี บูรณาการให้เกิดนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์และขยายผลไปสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน “ความร่วมมือครั้งนี้ เราก็จะนำเทคโนโลยี นวัตกรรม องค์ความรู้ รวมถึงบุคลากรผู้เชี่ยวชาญของ สวทช. มาผนึกกำลังให้โครงการ GPSC Smart Farming (เกษตรอัจฉริยะ) ที่ใช้งานวิจัยและนวัตกรรมของ สวทช. อาทิ IoT ในระบบโรงเรือนอัจฉริยะ, นวัตกรรมฟิล์มคลุมโรงเรือน MultiTech และ MultiTech-Ultra, ถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวนเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร, เมล็ดพันธุ์ เพื่อส่งเสริมการปลูกพืชหมุนเวียน, ปุ๋ยนาโนคีเลต, แอพพลิเคชั่นวัดความสุกของทุเรียน  รวมถึงเครื่องย่อยสลายขยะอินทรีย์นาโน สำหรับผลิตสารคาร์บอน และสารปรับปรุงดิน เป็นต้น ซึ่งเป็นการบูรณาการองค์ความรู้ในทุกมิติ เพื่อขับเคลื่อนชุมชนและประเทศอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีคุณภาพและยั่งยืนด้วย วทน.” ดร.ณรงค์ กล่าว นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท  โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. กล่าวว่า กรอบความร่วมมือครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในการนำผลงานวิจัย นวัตกรรม และนาโนเทคโนโลยีของ สวทช. ไปประยุกต์ใช้ในงานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบที่เป็นแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อนำไปใช้ได้จริงในชุมชนในพื้นที่ห่างไกล และที่ขาดแคลนด้านสาธารณูโภค รวมไปถึงการส่งเสริมอาชีพภายในชุมชนที่มีความพร้อมในการพัฒนาและต่อยอดการผลิตเพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่เข้มแข็ง ซึ่งสวทช. มีโครงการวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆ ขณะที่ GPSC พร้อมเข้าไปสนับสนุนขยายผลงานวิจัย ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี  ด้านการบริหารจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม  เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ และนำผลงานไปใช้ประโยชน์ในชุมชนที่ GPSC เข้าไปสนับสนุน รวมทั้งจัดหาทรัพยากรด้านต่างๆ ทั้งบุคลากร อุปกรณ์ เทคโนโลยีด้านพลังงาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาในชุมชนเป้าหมายอื่นๆ ต่อไป หลังจากที่มีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้กับชุมชนนำร่อง 2 แห่งแรกนี้ สำหรับการพัฒนาโครงการนำร่อง  GPSC Smart Farming (เกษตรอัจฉริยะ) ได้มีการนำแพลตฟอร์มนวัตกรรมนาโนเพื่อพลังงานและสิ่งแวดล้อมมาพัฒนาใน 2 ชุมชน โดยชุมชนนำร่องแรกได้แก่ พื้นที่บ้านห้วยขาบ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ที่ประกอบด้วย 3 โครงการย่อย คือ 1.1 การส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน มุ่งเน้นการจัดอบรมให้ความรู้และประโยชน์ของการปลูกพืชหมุนเวียนตลอดจนพันธุ์พืชที่เหมาะสมการเพาะปลูกในแต่ละฤดูกาล (Training & Workshop) และ 1.2 ระบบเกษตรอัจฉริยะในโรงเรือน โดยพัฒนาระบบอัจฉริยะที่เหมาะสมกับพื้นที่ ติดตั้งระบบและทดสอบการใช้งาน ประกอบด้วย การติดตั้งพลังงานหมุนเวียน (RE)  การปลูกพืชด้วยแสง LED  ระบบการให้น้ำอัจฉริยะ และระบบเซนเซอร์สำหรับการติดตามสภาพแวดล้อม ในส่วนของชุมชนนำร่องที่ 2 ได้แก่ พื้นที่บ้านสวนต้นน้ำ อ.เขาชะเมา จังหวัดระยอง  ประกอบด้วย 2 โครงการ คือ 2.1 ‘Magik Growth’ นวัตกรรมถุงห่อทุเรียนแทนการฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช และช่วยทำให้เปลือกบาง-เนื้อหนาขึ้น เป็นการช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) โดยจากงานวิจัยพบว่าทุเรียนที่ห่อด้วยถุง Magik Growth จะมีเปลือกบางลง 30% ทำให้น้ำหนักรวมของผลทุเรียนเพิ่มขึ้น 10% ขณะที่เนื้อจะแน่นขึ้นและมีสีเหลืองขึ้น และ 2.2 Application ตรวจวัดความสุกของทุเรียน พัฒนาจากการตรวจวัดด้วยคลื่นเสียง แสดงผลใน Application บนมือถือ เพื่อแสดงระดับความสุกของทุเรียนแต่ละลูก ช่วยให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวทุเรียนในระยะเวลาที่เหมาะสม ทำให้ขายได้ราคาดีขึ้นเนื่องจากทุเรียนมีความสุกพอดี “Smart Farming จะสอดรับกับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดโควิด 19 ซึ่งมีแรงงานที่มีความรู้กลับไปอยู่ภูมิลำเนาจำนวนมาก เพื่อไปพัฒนาการเกษตรโดยนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้มาต่อยอดสู่ความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต โดยการยกระดับปัจจัย 4 ด้าน ได้แก่ 1.ลดต้นทุนในกระบวนการผลิต 2.เพิ่มคุณภาพมาตรฐานการผลิตและมาตรฐานสินค้า 3.ลดความเสี่ยงในเรื่องการระบาดของศัตรูพืชและภัยธรรมชาติ และ 4. ถ่ายทอดองค์ความรู้โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาโดยใช้พลังงาน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณภาพ และมาตรฐานที่จะนำไปสู่การสร้างโอกาส อาชีพ และรายได้อย่างยั่งยืนในภูมิภาคต่างๆ ของไทย โดย GPSC สนับสนุนการจัดหาทรัพยากรทั้งอุปกรณ์ บุคลากร และสวทช. พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้งาน” นายวรวัฒน์กล่าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GPSC ย้ำว่า GPSC มุ่งมั่นดำเนินงานที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม  เพราะเชื่อว่าการที่ธุรกิจจะพัฒนาอย่างยั่งยืนได้นั้น ชุมชนและสังคมจะต้องเติบโตไปพร้อมกัน ประกอบกับให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาพัฒนา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนและสังคมไทย ดังนั้นโครงการ GPSC Smart Farming ซึ่งเป็นการนำนวัตกรรมพลังงานเพื่อชุมชนและระบบ IoT มาประยุกต์ใช้ในด้านการเกษตร ทั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานความร้อน บูรณาการในรูปแบบพลังงานหมุนเวียน ล้วนแล้วแต่เป็นพลังงานสะอาดที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำเกษตรกรรม และช่วยยกระดับเศรษฐกิจชุมชน อีกทั้งยังส่งเสริมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีให้กับชุมชน จึงมีส่วนช่วยสนับสนุนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ของ GPSC เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการเปลี่ยนแปลงทิศทางพลังงานโลก และแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ของไทยที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาดด้วยเช่นกัน  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ดูง่าย! ค่าการหมุนเวียนวัสดุก่อสร้าง ด้วยแบบจำลอง 3D Circularity model
นักวิจัย สวทช. พัฒนาแบบจำลองสามมิติค่าการหมุนเวียน เพื่อความยั่งยืนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง (3D Circularity model) เป็นเครื่องมือสำหรับประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและตัวเลขการหมุนเวียนของวัสดุ (Material Circularity Indicator: MCI) ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนของวัสดุก่อสร้าง สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจสำหรับนักออกแบบผลิตภัณฑ์และผู้ซื้อในการพิจารณาเพื่อเลือกวัสดุที่เป็นไปตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ   * * * * * ติดตามตัวอย่างผลงานวิจัยได้ในงาน : การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG" วันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ออนไลน์เต็มรูปแบบที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์