หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ครั้งแรกในไทย! เปิดตัว ‘รถโดยสารไฟฟ้า’ 4 คัน จากองค์ความรู้นักวิจัยไทย พัฒนาโดยภาคเอกชนไทย
ถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับ 4 ต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าฝีมือคนไทยทำ ซึ่งดัดแปลงจากรถเมล์ ขสมก. ใช้แล้ว 20 ปีที่ถูกปลดระวางไปแล้ว และนำมาปรับปรุงและพัฒนาเป็นรถโดยสารไฟฟ้าให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ลดต้นทุนการนำเข้าร้อยละ 30 หรือลดต้นทุนได้ 7 ล้านบาทต่อคันด้วยมูลค่าสัดส่วนการผลิตชิ้นส่วนในประเทศร้อยละ 40 ทั้งนี้ภายหลังทีมวิจัยและผู้ประกอบการภาคเอกชนไทยนำมาวิ่งบนเส้นทางให้บริการจริงของ ขสมก. นานกว่า 3 เดือน ทีมวิจัย สวทช. และภาคีเครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมรถโดยสารไฟฟ้าไทยที่ร่วมกันพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า ได้ส่งมอบต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า ให้กับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ ขสมก. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. นำไปทดลองขับใช้งานเต็มประสิทธิภาพ เพื่อการออกแบบรูปแบบการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะในระยะยาว เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ ที่สำคัญคือได้เห็นโอกาสและศักยภาพภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศ โดยทั้ง 4 คัน ทีมวิจัย สวทช. ยังให้เสนอแนวทางและองค์ความรู้ต่างๆ ในการออกแบบและพัฒนา ซึ่งมีใช้วัสดุในประเทศช่วยประหยัดต้นทุนรถบัสนำเข้า 30 % การผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและทำการส่งมอบครั้งนี้ เกิดขึ้นภายใต้โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า จากรถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก. (City transit E-buses) โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดแถลงข่าว “เปิดตัวและส่งมอบผลงานโครงการการพัฒนาต้นแบบอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าภายใต้โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า จากรถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก. (City transit E-buses)” หรือ EV BUS ครั้งแรกในไทย จำนวน 4 คัน ณ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมี ดร.พัชรินรุจา จันทโรนานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รศ. ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ประธานคณะกรรมการพิจารณาและติดตามโครงการภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา โครงการการพัฒนารถโดยสารประจำทางใช้แล้วฯ ร่วมแถลงข่าว พร้อมส่งมอบต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าให้แก่ 4 หน่วยงานประกอบด้วย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดร.พัชรินรุจา จันทโรนานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะประธานแถลงข่าวส่งมอบรถโดยสารไฟฟ้าฯ กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีและน่าชื่นชม ที่โครงการฯ ดังกล่าว เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการออกแบบ พัฒนา และผลิตรถโดยสารไฟฟ้า ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมการผลิต พลังงาน สิ่งแวดล้อม และกฎหมายข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทำให้โครงการฯ ประสบความสำเร็จกระทั่งได้เปิดตัวและส่งมอบเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการฯ ที่เป็นตัวอย่างของการบูรณาการทำงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เป็นรูปแบบหนึ่งตัวอย่างสำคัญในการผลักดันงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมไปสู่ผู้ใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อผลักดันให้งานวิจัยและพัฒนาด้านยานยนต์ไฟฟ้าต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ ช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมระบบคมนาคมไทย ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่มีความสามารถไม่แพ้ชาติอื่น ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่าในช่วงระยะเวลา 2 – 3 ปียานยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากประโยชน์ในการลดต้นทุนด้านพลังงาน และที่สำคัญที่สุดคือการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มรถโดยสารสาธารณะถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าลงทุนและน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าระดับอุตสาหกรรม จึงถูกพัฒนาขึ้นด้วยความร่วมมือ (Consortium) ภาคีเครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมรถโดยสารไฟฟ้าไทย ที่ดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย ประกอบไปด้วยสมาชิกจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันยานยนต์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งจราจร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) บริษัทเอกชนผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ทั้งนี้ สวทช. ได้รับการสนับสนุนงบประมาณภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา โครงการการพัฒนารถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก. เป็นรถโดยสารไฟฟ้าเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย ระหว่าง สวทช. กฟผ. กฟภ. กฟน. และ ขสมก. ซึ่งภายใต้โครงการฯ ดังกล่าวใช้ความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าที่มีคุณภาพ สามารถใช้งานได้ดี มีมาตรฐานและต้นทุนต่ำ ซึ่งต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 4 รุ่น ถูกพัฒนาจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี ถูกแจ้งปลดระวางไปแล้ว นำมาปรับปรุงและพัฒนาเป็นรถโดยสารไฟฟ้า ให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ลดต้นทุนการนำเข้าหรือผลิตรถโดยสารไฟฟ้าใหม่ ด้วยมูลค่าสัดส่วนการผลิตชิ้นส่วนจากในประเทศมากกว่าร้อยละ 40 และมีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตและนำเข้ารถโดยสารไฟฟ้าใหม่มากกว่าร้อยละ 30 หรือประมาณ 7 ล้านบาทต่อคัน ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้เพิ่มขีดความสามารถในการออกแบบและผลิตรถโดยสารไฟฟ้าได้มีคุณภาพภายใต้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเชิงวิศวกรรมจากความเชี่ยวชาญของนักวิจัยของ สวทช.และพันธมิตร “สวทช. โดยทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ได้ร่วมให้คำปรึกษาการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า พัฒนาต้นแบบสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับรถโดยสารไฟฟ้าที่มุ่งเน้นให้มีต้นทุนต่ำ ออกแบบวิธีการประเมิน วิเคราะห์คุณลักษณะ ทดสอบประสิทธิภาพ สมรรถนะ รวมถึงพัฒนาสนามทดสอบน้ำท่วมขังร่วมกับ มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี และรับการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกอย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์การใช้งาน และได้ประเมินประสิทธิภาพการให้บริการ ความเหมาะสมผ่านการทดลองให้บริการบนเส้นทางให้บริการจริงของ ขสมก. เป็นระยะเวลา 3 เดือน นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือกับ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า จากรถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก.”  ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้มีภาคเอกชนร่วมพัฒนารถโดยสารใช้แล้วของ ขสมก. เป็นรถโดยสารไฟฟ้า ก่อนส่งมอบให้กับหน่วยงานผู้สนับสนุน กฟน. กฟภ. กฟผ. และ ขสมก. นำไปใช้งานจริง ประกอบด้วย1. บริษัท โชคนำชัย-ไฮเทคเพลสซิ่ง จำกัด พัฒนารถโดยสารไฟฟ้า (CNC EV BUS) สัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% ที่มุ่งเน้นการพัฒนาตัวถังจากวัสดุน้ำหนักเบา ด้วยตัวถังอลูมิเนียม ลดน้ำหนักตัวถังเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ เพื่อส่งมอบให้กับ กฟน. 2. บริษัท พานทอง กลการ จำกัด พัฒนารถโดยสารไฟฟ้า (PTM EV BUS) สัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 60% โดยมีความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายชุดแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนภายในประเทศเพื่อส่งมอบให้กับ กฟผ. 3. บริษัท รถไฟฟ้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พัฒนารถโดยสารไฟฟ้า (EVT EV BUS) สัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% มีจุดเด่นที่ใช้ชิ้นส่วนสำคัญจากผู้ผลิตชั้นนำจากต่างประเทศโดยตรง ทำให้มีความเชื่อมั่นในการใช้งานและรับประกัน เพื่อส่งมอบให้กับ กฟภ. และ 4. บริษัท สบายมอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด พัฒนา รถโดยสารไฟฟ้า (SMT EV BUS) ที่มีจุดเด่นในความเชี่ยวชาญด้านวิศกรรมการออกแบบระบบขับเคลื่อน จากประสบการณ์พัฒนารถโดยสารไฟฟ้าและทดสอบใช้งานบนสภาวะการขับขี่จริง บนระยะทางกว่า 25,000 กิโลเมตร เพื่อส่งมอบให้กับ ขสมก. โดยทั้ง ขสมก. กฟผ. กฟน.และ กฟภ. ในฐานะผู้สนับสนุนการพัฒนาจะนำรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 4 รุ่นไปทดลองขับใช้งานเต็มประสิทธิภาพ เพื่อการออกแบบรูปแบบการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะในระยะยาว สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศ ที่สำคัญทำงานร่วมกับของหน่วยงานต่างๆ แบบจตุภาคี ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำตามแนวนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่สามารถผลิตรถโดยสารไฟฟ้าใช้เองในประเทศ ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับคนไทย ทั้งนี้ภายในงานแถลงข่าวนอกจากการส่งมอบรถโดยสารไฟฟ้าแล้ว คณะผู้บริหาร แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน ได้ชมและทดสอบนั่งรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 4 รุ่น ระยะทาง 5 กิโลเมตร ซึ่งประสิทธิภาพและสมรรถนะของรถโดยสารไฟฟ้า สามารถวิ่งทดสอบได้อย่างราบรื่น ไม่ก่อมลพิษทั้งทางเสียง และทางอากาศ ภายในกว้างขวางมีสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยต่อผู้โดยสารตามมาตรฐานสากล ถือเป็นมิติใหม่ของการวิจัยและพัฒนารวมทั้งแสดงให้เห็นศักยภาพของผู้ประกอบการไทยที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันของในอุตสาหกรรมรถบัสไฟฟ้าที่ผลิตและประกอบชิ้นส่วนได้เองภายในประเทศ
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เพิ่มมูลค่า ‘ผ้าทอทุ่งกุลาร้องไห้’ ย้อมติดสีไว ให้กลิ่นหอมดอกลำดวน
  ทุ่งกุลาร้องไห้ไม่เพียงขึ้นชื่อเรื่องข้าวหอมมะลิที่นุ่มหอมไม่เหมือนใคร แต่ทุ่งราบกว้างใหญ่แห่งนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องของผ้าทอที่มีความวิจิตรงดงาม มีลวดลายการทอผ้าที่แตกต่างหลากหลายตามภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าที่เข้มแข็งของผู้คนจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ อีกทั้งกรรมวิธีการย้อมสีธรรมชาติยังเป็นมีความเป็นอัตลักษณ์ ดังเช่น ‘ผ้าทอเบญจศรี’ ของจังหวัดศรีสะเกษอันเลื่องชื่อ ที่นำวัตถุดิบสำคัญของจังหวัด 5 ชนิด ได้แก่ ผลมะเกลือ ดินปลูกทุเรียนภูเขาไฟ ดินทุ่งกุลา ใบลำดวน เปลือกไม้มะดัน มาใช้ย้อมสีผ้าให้มีสีสันหลากหลาย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ กระทรวง อว. มุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ขนทัพนักวิจัยลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ภายใต้กิจกรรม สวทช. เสริมแกร่งภูมิภาค ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG “ขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” เพื่อนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าไปต่อยอดพัฒนาฐานทุนอันเป็นจุดแข็งของทุ่งกุลาร้องไห้ให้สามารถสร้างมูลค่า สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศษฐกิจ BCG ที่มุ่งให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีรายได้พ้นความยากจน   [caption id="attachment_32937" align="aligncenter" width="600"] ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)[/caption]   ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ทุ่งกุลาร้องไห้เวลานี้ไม่ร้องไห้แล้ว แต่เป็นกุลาม่วนชื่น ซึ่งประชาชนมีความเข้มแข็งในการสร้างอาชีพในพื้นถิ่นของตนเองจากฐานทุนทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์มาช้านาน ประกอบกับกระทรวง อว. ได้นำงานวิจัยและนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ้าทอในพื้นที่ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเอนไซม์เอนอีซ (ENZease) สารชีวภาพที่ผลิตได้จากเชื้อจุลินทรีย์ทดแทนการใช้สารเคมี ที่ช่วยทำความสะอาดเส้นใย และเพิ่มประสิทธิภาพการติดสีธรรมชาติได้ดีขึ้น ทำให้ลดเวลาการย้อมสีและลดต้นทุนในการฟอกย้อมรวมทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังได้นำนาโนเทคโนโลยีเพิ่มสมบัติพิเศษให้ผ้าทอมีกลิ่นหอมของดอกลำดวน ดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ เพิ่มอัตลักษณ์ให้แก่ผ้าทอเบญจศรีของดีศรีสะเกษให้พิเศษเพิ่มขึ้นไปอีก ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อเย็บมือผ้าไหมลายลูกแก้ว ย้อมมะเกลืออบสมุนไพรบ้านเมืองหลวง อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งแหล่งผลิตผ้าไหมที่ได้รับการส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผ้าทอด้วยนวัตกรรม ผ้าไหมลายลูกแก้วแห่งนี้โดดเด่นด้วยผ้าทอที่ย้อมสีดำธรรมชาติด้วยมะเกลือที่มีความเงางาม แต่กว่าผ้าจะมีสีดำสนิทต้องใช้เวลามากกว่า 1-2 เดือน เพราะภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวอีสานใต้กว่าจะได้ผ้าทอสีดำขลับต้องย้อมซ้ำหลายครั้งและใช้เวลานาน   [caption id="attachment_32942" align="aligncenter" width="600"] นางฉลวย ชูศรีสัตยา ประธานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาหม่อนไหมผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง (ซ้าย)[/caption]   นางฉลวย ชูศรีสัตยา ประธานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาหม่อนไหมผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง กล่าวว่า แต่ก่อนใช้ระยะเวลายาวนานในการย้อมผ้า ก็คิดว่าทำอย่างไรจะลดเวลาในการย้อมผ้าได้บ้าง กระทั่งทางนักวิชาการและนักวิจัยจาก สวทช. ได้เข้ามาส่งเสริมการใช้ ‘เอนไซม์เอนอีซ’ ก็ถือว่าได้ผลดี ช่วยลดระยะเวลา ลดขั้นตอน ที่สำคัญผ้าที่ได้ยังติดสีสม่ำเสมอ สีผ้ามีความเข้ม และเงางาม เพิ่มโอกาสในการขายผ้าทอได้มากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ได้นวัตกรรมตัวใหม่มาเสริมกับภูมิปัญญา “จากเดิมย้อมผ้าด้วยมะเกลือซึ่งให้สีดำกว่าจะย้อมผ้าได้สีดำสนิทต้องจุ่มผ้ากับมะเกลือแล้วก็เอาไปตาก ทำแบบนี้สลับไปเรื่อยๆ ใช้เวลากว่า 2 เดือน พอมาใช้เอนไซม์เอนอีซในการทำความสะอาดผ้าก่อนการย้อม ก็ช่วยให้การย้อมผ้าติดสีไวดีขึ้น จากต้องตากถึง 60 แดด 300 จุ่ม เหลือแค่ 30 แดด ประมาณ 1 เดือน”     เช่นเดียวกับ กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการถักทอผ้าไหมลายลูกแก้วและผ้าทอเบญจศรี ซึ่งผ้าทอแห่งนี้ไม่เพียงใช้เอนไซม์เอนอีซในการย้อมผ้า แต่ยังเตรียมนำนาโนเทคโนโลยีมาเพิ่มความนุ่มลื่น และกลิ่นหอมของดอกลำดวน ให้ผ้าทอด้วย   [caption id="attachment_32943" align="aligncenter" width="600"] สิทธิศักดิ์ ศรีแก้ว ประธานกลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง (กลาง)[/caption]   สิทธิศักดิ์ ศรีแก้ว ประธานกลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง กล่าวว่า กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้างเป็นทายาทหม่อนไหมรุ่นที่ 4 ผ้าทอที่ทำจะเป็นผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติจากวัตถุดิบในจังหวัดศรีสะเกษ เช่น ดอกลำดวน มะเกลือ ไม้มะดัน แต่ก่อนจะย้อมตามวิถีชาวบ้าน บางครั้งสีที่ได้ก็ไม่สม่ำเสมอ ใช้เวลานาน แต่กระทรวง อว. และ สวทช. ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนเอนไซม์เอนอีซ ทำให้ผ้าไหมติดสีดี ติดทน อีกทั้งไม่มีสารเคมีที่มาทำลายคุณภาพเส้นไหม ทำให้ผ้าไหมที่ได้มีความนุ่มเงา ถูกใจลูกค้ามาก “นอกจากนั้นแล้วอัตลักษณ์ที่สำคัญ คือ ศรีสะเกษ เป็นเมืองดอกลำดวนบาน กระทรวง อว. ยังได้เข้ามาช่วยพัฒนาเรื่องกลิ่นหอมให้ผ้าทอ โดยใช้นาโนเทคโนโลยีมาเคลือบกลิ่นดอกลำดวนไว้บนผ้า ทำให้เวลาเราสวมใส่ เราสัมผัส หรือเวลาเดิน ผ้าจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลำดวนด้วย ถือเป็นอีกอรรถรสหนึ่งที่ช่วยเพิ่มมูลค่าผ้าทอเบญจศรีของดีศรีสะเกษได้ดียิ่งขึ้น”   [caption id="attachment_32945" align="aligncenter" width="600"] ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]   ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล  ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า การทำงานในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ตนอยากฝากนักวิจัย นักวิชาการและคณาจารย์ไว้กับเกษตรกรชาวบ้านในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ ให้มองพวกเขาเป็นลูกหลานแล้วทำงานด้วยกัน เพื่อนำสิ่งดีๆ เข้ามาในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ แล้วเปลี่ยนสิ่งที่ทำไม่ได้ ให้ทำได้ต่อไป นับเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยผสมผสานภูมิปัญญา พัฒนาผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ ให้มีเสน่ห์และคงความเป็นอัตลักษณ์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ    
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สนับสนุนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน
  ช่วงปีที่ผ่านมามีข่าวที่น่าตื่นเต้นในวงการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ เช่น นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันสามารถโคลนนิงเฟอร์เรตตีนดำ (Black-footed Ferret) สัตว์ใกล้สูญพันธุ์จากตัวอย่างเนื้อเยื่อที่เก็บรักษาไว้นานกว่า 30 ปี และนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียสามารถคืนชีวิตให้ต้น ไซลีน สเต็นโอฟิลลา (Silene stenophylla) ที่สูญพันธุ์ไปแล้วจากเมล็ดที่ผ่านการแช่แข็งตามธรรมชาติมานานนับหมื่นปี ทรัพยากรธรรมชาติในโลกนี้ต่างมีแนวโน้มที่จะเสียงต่อการสูญพันธุ์สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะดีหรือไม่หากประเทศไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพของประเทศในระยะยาวได้เช่นกัน   [caption id="attachment_32162" align="aligncenter" width="500"] ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) สวทช.[/caption]   ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ทำให้ไทยมีความมั่นคงด้านอาหาร สามารถนำทรัพยากรชีวภาพมาใช้ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้หลากหลาย แต่การคงอยู่ของทรัพยากรชีวภาพอาจไม่ยั่งยืน เนื่องด้วยพฤติกรรมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพของมนุษย์ และการต้องเผชิญเหตุภัยธรรมชาติหลายครั้งที่ผ่านมา ทำให้ทรัพยากรหลายชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ ส่งผลให้ระบบนิเวศขาดความสมดุล ประเทศไทยอาจสูญเสียความมั่นคงด้านอาหาร และต้องเผชิญกับภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆ ในอนาคต “เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ สวทช. ได้ก่อตั้งธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) ขึ้นในปี 2562 เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในการสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาว (Long-term Conservation) และเป็นคลังทรัพยากรชีวภาพสำรองให้แก่ประเทศ (Long-term Biobanking Facility) สำหรับรับมือกับวิกฤติการณ์ต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรชีวภาพไปอย่างถาวร ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานนี้จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงการรักษาฐานทรัพยากรชีวภาพและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมดุล โดย NBT ได้พัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องและใช้เทคโนโลยีมาตรฐานเพื่อยกระดับการอนุรักษ์ในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้เกิดการนำข้อมูลทรัพยากรชีวภาพที่จัดเก็บไปใช้ประโยชน์ต่อยอดในภาคส่วนต่างๆ อย่างยั่งยืน”     การทำงานเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาว ทรัพยากรชีวภาพในไทยมีทั้งที่เป็นทรัพยากรท้องถิ่นและทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายมาจากพื้นที่อื่น ทรัพยากรแต่ละชนิดมีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ไม่เท่ากัน NBT จึงมีเกณฑ์ในการจัดเก็บตัวอย่างทรัพยากรชีวภาพรวมถึงข้อมูลต่างๆ ของตัวอย่างเหล่านี้ เพื่อการอนุรักษ์อย่างมีประสิทธิภาพ     ดร.ศิษเฎศ อธิบายว่า NBT ดำเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพของประเทศโดยการทำงานร่วมกันของนักวิจัยจาก 3 ธนาคารหลัก คือ ธนาคารพืช (Plant Bank) ธนาคารจุลินทรีย์ (Microbe Bank) และธนาคารข้อมูล (Data Bank)  โดยธนาคารพืชจะให้ความสำคัญต่อการจัดเก็บพืชถิ่นเดียว พืชที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์​ และพืชที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยจัดเก็บส่วนขยายของพืช เมล็ดพันธุ์ (Seed) และเนื้อเยื่อ (Tissue Culture) และมีการจัดเก็บตัวอย่างพรรณไม้แห้ง (Herbarium Specimen) เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงทางวิชาการ ธนาคารจุลินทรีย์จะให้ความสำคัญกับการเก็บสำรองจุลินทรีย์ที่ค้นพบในไทย ที่มีศักยภาพในการนำไปใช้ประโยชน์และเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีของประเทศ โดยจัดเก็บตัวอย่างจุลินทรีย์ในรูปแบบและอุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นที่ยอมรับในวงการวิชาการ และมีแนวโน้มที่จะนำไปใช้เป็นมาตรฐานสากลในอนาคต ซึ่ง NBT มีความพร้อมด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยีสำหรับจัดเก็บตัวอย่างทรัพยากรชีวภาพในรูปแบบคงสภาพหรือคงความมีชีวิตที่อุณหภูมิเยือกแข็ง 2 ระดับ ระดับ -20 องศาเซลเซียส จัดเก็บเมล็ดพืชได้ 100,000 หลอดที่ขนาด 25 มิลลิลิตร และระดับ -80 องศาเซลเซียส จัดเก็บจุลินทรีย์และตัวอย่างชีววัสดุอื่นๆ ได้ 300,000 หลอดที่ขนาด 2.5 มิลลิลิตร และมีความสามารถในการจัดเก็บตัวอย่างเซลล์ในถังไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen) ขนาด 1,770 ลิตร”   ร่วมวิจัยและพัฒนาเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน นอกจากการให้บริการการจัดเก็บทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาวแล้ว อีกหนึ่งการทำงานที่ NBT ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การวิจัยและพัฒนาด้านข้อมูลทรัพยากรชีวภาพ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นบทบาทของธนาคารข้อมูลชีวภาพ (Data Bank) เป็นโครงสร้างที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีค่าของทรัพยากรชีวภาพของประเทศ ดร.ศิษเฎศ อธิบายว่าในการจัดเก็บทรัพยากรชีวภาพแต่ละชนิด นักวิจัยของ NBT จะรวบรวมข้อมูลหลากหลายมิติของตัวอย่าง อาทิ สารสำคัญของทรัพยากรชนิดนั้นๆ รูปแบบและวิธีการจัดเก็บทรัพยากรที่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์และข้อมูลรหัสพันธุกรรรม เพื่อทำให้การจัดเก็บเป็นระบบและถูกต้อง NBT ได้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการข้อมูลตัวอย่าง Specimen Management System หรือ SMS ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกำกับให้การจัดเก็บเป็นระบบ สามารถตรวจสอบคุณภาพการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดให้หน่วยงานของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกันใช้งานเพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการทรัพยากร โดยฐานข้อมูลเหล่านี้จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงเพื่อประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และต่อยอดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในภาคการอนุรักษ์และการต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่มของภาคอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมเกษตร อาหาร การแพทย์     ดร.ศิษเฎศ เสริมว่า ตัวอย่างงานวิจัยสำคัญที่ NBT มีส่วนร่วมในการพัฒนาฐานข้อมูลอ้างอิง คือ การร่วมมือกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ในการพัฒนาฐานข้อมูลสารออกฤทธิ์ที่สำคัญของสมุนไพรเพื่อใช้ในการผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ภายนอก และการดำเนินงานโครงการ Genomics Thailand ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ทางด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทย ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงเพื่อการประมวลผลข้อมูลจีโนมมนุษย์ และการพัฒนาเครื่องมือชีวสารสนเทศเพื่อการสนับสนุนกิจกรรมเวชพันธุศาสตร์ (Genomic Medicine) เพื่อช่วยเหลือแพทย์ในการพยากรณ์โรค (Prognosis) การวินิจฉัย (Diagnosis) และการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม (Treatment Selection) ให้แก่ผู้ป่วย     “NBT มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนประเทศให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างเจ้าของทรัพยากร นักวิจัย และองค์กรทั้งภายในและต่างประเทศ ด้วยการพัฒนาระบบนิเวศที่เข้มแข็งในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรชีวภาพ โดยปัจจุบันนอกจากที่ NBT ได้ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐแล้ว NBT ยังได้ร่วมงานกับผู้ประกอบการรายใหญ่ของประเทศอีกหลายรายในการสนับสนุนการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการแพทย์ เวชสำอาง และอาหารทางเลือก เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมและอุตสาหกรรมใหม่ รวมถึงก่อให้เกิดรายได้กลับเข้าสู่องค์กรสำหรับวิจัยและอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ ตามนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ” ดร.ศิษเฎศ กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ NBT พร้อมแล้วที่จะสนับสนุนการยกระดับการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ และยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NBT ได้ที่ www.nbt.or.th หรือติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล biobank@biobank.in.th   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ทุเรียนห่อถุง Magik Growth ลดสารเคมี สู่ต้นแบบ ‘ทุเรียนพรีเมี่ยม’ เพื่อการส่งออก
ในเดือนพฤษภาคมภาคตะวันออกของไทยจะคึกคักเป็นพิเศษ ด้วยเป็นช่วงที่ฤดูกาลผลไม้ไทยกำลังถูกเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเฉพาะทุเรียนจะออกสู่ตลาดมากกว่า 3.6 แสนตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของทุเรียนทั้งหมด แม้ว่าทุเรียนส่งออกปีนี้ยังคุมเข้มในมาตรการ Zero COVID ของจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยทว่าเพื่อรักษามาตรฐานของทุเรียนส่งออก สมาคมทุเรียนไทยฝากเตือนไปยังเกษตรกรให้ตรวจทุเรียนก่อนส่งโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ตามมาตรฐานทั้ง GAP และ GMP+ เพื่อการส่งออกอย่างเคร่งครัด มาตรฐานทุเรียนไทยยังเป็นที่ยอมรับของการส่งออก หากเกษตรกรดูแลเอาใจใส่ทุเรียนอย่างดีตั้งแต่ต้นทาง โดยเฉพาะลดการใช้สารเคมี เพราะนอกจากจะช่วยรักษามาตรฐานไว้ได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มช่องทางการขายที่มีคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้ไม่ยาก จุดเริ่มต้น ‘ทุเรียนห่อ’ ลดการใช้สารเคมี ดังตัวอย่างของ คุณนวลนภา เจริญรวย หรือ ‘คุณจุ๋ม’ ชาวสวนทุเรียนมือใหม่ ต.วังหว้า อ.แกลง จ.ระยอง จากที่เริ่มปลูกทุเรียนเมื่อปี 2554 ด้วยความตั้งใจและมีประสบการณ์จนถึงปัจจุบันกว่า 10 ปี เขาได้เรียนรู้ว่า ทุเรียนเป็นพืชที่ต้องอาศัยความใส่ใจดูแลทุกขั้นตอน โดยเฉพาะระยะพัฒนาผลซึ่งต้องใช้ปัจจัยการผลิต ทั้งสารเคมีและยาฆ่าแมลงฉีดพ่นป้องกันไม่ให้ถูกหนอนเจาะผลทุเรียน หนอนรัง เพลี้ยแป้ง และราดำเข้าทำลาย ซึ่งจะทำให้ผลทุเรียนเล็กแคระแกร็นไม่เจริญเติบโตและไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ความตั้งใจลดการใช้สารเคมีของ คุณจุ๋ม มาปิ๊งไอเดีย การใช้ถุงตาข่ายทางการเกษตร (ถุงสีฟ้าตาถี่) เพื่อเป็นแนวทางลดการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง จากที่เขาเห็นคุณแม่ใช้ห่อผลขนุนที่ต้น จึงลองนำมาใช้ห่อผลทุเรียนระยะพัฒนาผล (อายุผล 65-70 วัน มีขนาดเท่าขวดน้ำอัดลม 1.5 ลิตร) ซึ่งถือเป็นระยะสำคัญที่ผลทุเรียนมีการสะสมแป้ง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเมื่อผลสุก (อายุ 110-120 วัน) แต่การใช้ถุงตาข่ายทางการเกษตร ช่วยบรรเทาแค่การเข้าทำหลายของหนอนเจาะผลทุเรียนเท่านั้น เพราะไม่สามารถป้องกันเพลี้ยแป้ง กับราดำได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผิวทุเรียนไม่สวยและส่งผลให้ราคาทุเรียนตก จนกระทั่งทีมนักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และอาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้นำถุงห่อทุเรียน Magik Growth มาให้ทดลองใช้แทนถุงตาข่ายทางการเกษตรตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ผลลัพธ์คือคุณสมบัติของถุงห่อทุเรียน Magik Growth นอกจากช่วยป้องกันหนอนเจาะผลทุเรียน และเพลี้ยแป้ง ราดำ ตอบโจทย์การลดสารเคมีได้ดีมีประสิทธิภาพแล้ว เมื่อฤดูการผลิตปี 2564 ได้ผลทดสอบการใช้นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากห้องปฏิบัติการพบว่าคุณภาพของผลทุเรียนดีขึ้น ทั้งผิวผลทุเรียนสวย ผลได้น้ำหนักดีและมีปริมาณเนื้อทุเรียนเพิ่มขึ้นด้วย โดยฤดูกาลผลิตปีนี้ห่อทุเรียนทั้งสวนรวม 11 ไร่ พร้อมส่งออกสู่เชิงพาณิชย์แล้ว ถุงห่อ Magik Growth ตอบโจทย์ทุเรียนพรีเมี่ยม และเป็นที่น่ายินดีว่าฤดูกาลเก็บเกี่ยวทุเรียนจากสวนนวลนภา ปี 2565 จะเป็นปีแรกที่ ‘คุณจุ๋ม’ ขายทุเรียน ซึ่งเป็นผลผลิตจากถุงห่อทุเรียน Magik Growth โดยจะทดลองส่งไปที่ประเทศจีนซึ่งมีการติดต่อขอจองซื้อแล้ว แล้วถุงห่อทุเรียน Magik Growth คืออะไร ทำมาจากอะไร แล้วทำไมจึงทำให้ผลทุเรียนมีคุณภาพขึ้น ? เรื่องนี้ ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. บอกว่า ทีมวิจัยนำองค์ความรู้เรื่องวัสดุศาสตร์โดยพัฒนาสูตรผสมเม็ดพลาสติก (polymer compound) ร่วมกับเทคโนโลยีการขึ้นรูปนอนวูฟเวน เพื่อให้วัสดุนอนวูฟเวนมีสมบัติให้น้ำและอากาศผ่านเข้าออกได้โดยง่าย รวมถึงมีสมบัติการคัดเลือกช่วงแสงที่เหมาะสมกับเซลล์รับแสงที่ผิวผลไม้ โดยได้ผลิตเป็นนวัตกรรมวิจัยต้นแบบชื่อทางการค้าว่า Magik Growth หรือ นวัตกรรมถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวน ช่วยให้ทุเรียนที่ถูกห่อด้วยถุงห่อ Magik Growth สามารถสร้างสารสำคัญในผลไม้ทั้งแป้ง น้ำตาล สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ โดยได้ทดลองทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและระดับภาคสนามร่วมกับ ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. ในพื้นที่สวนทุเรียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน และมีการจัดเก็บข้อมูลผลวิจัยอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้การห่อทุเรียนด้วยถุงห่อทุเรียน Magik Growth มีข้อดีเรื่องน้ำหนักผลทุเรียนเพิ่มขึ้น โดยผลการทดสอบเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา น้ำหนักทุเรียนเพิ่มขึ้น 17.7 % จากจำนวนสวนทุเรียน 6 สวนในจังหวัดระยอง และน้ำหนักเพิ่มขึ้น 14.4% จากจำนวนสวนทุเรียน 4 สวนในพื้นที่ จังหวัดนราธิวาส ผศ. ดร.ลำแพน ขวัญพูล อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. กล่าวเสริมว่า ข้อมูลจากการทดสอบปี 2564 ทุเรียนที่ห่อด้วยถุง Magik Growth มีความหนาของเปลือกบางลง 30% ทำให้ได้น้ำหนักรวมผลทุเรียน เพิ่มขึ้น 10% มีความแน่นเนื้อมากขึ้น สีเนื้อเหลืองขึ้น อย่างไรก็ดีการห่อผลด้วยถุง Magik Growth ไม่มีผลต่อการแก่ของผลทุเรียนบนต้น โดยผลที่ห่อมีการสะสมน้ำหนักแห้งเพิ่มขึ้น และเมื่อนำมาเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องพบว่า ผลทุเรียนที่ห่อด้วยถุง Magik Growth มีการสุกช้ากว่าผลที่ไม่ได้ห่อประมาณ 2 วัน ซึ่งเป็นผลดีต่อการส่งออกที่ต้องใช้ระยะเวลาในการขนส่ง อรทัย เอื้อตระกูล อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนำเข้าและส่งออกสินค้าพืชและปัจจัยการผลิต กล่าวว่า การห่อผลทุเรียน ถือเป็นการตอบโจทย์เรื่องการส่งออก โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัยพืชซึ่งต่างประเทศให้การยอมรับระดับหนึ่ง โดยการใช้ถุงห่อทุเรียนช่วยลดการใช้สารเคมีได้อย่างชัดเจน ดังนั้นควรส่งเสริมให้ทำต่อเนื่องเพื่อรักษามาตรฐานการส่งออก อย่างไรก็ตามขณะนี้ประเทศจีนและญี่ปุ่นติดต่อขอซื้อทุเรียนที่ใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากสวนของคุณนวลนภาแล้ว เนื่องจากเชื่อมั่นในมาตรฐานและการลดสารเคมีในกระบวนการผลิต ถุงห่อใช้ซ้ำได้ ลดต้นทุน ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม การลดสารเคมีเป็นแนวทางที่ดีกับทุกฝ่ายโดยเฉพาะกับสิ่งแวดล้อม แม้เกษตรกรชาวสวนอาจจะเหนื่อยกายกับการทะนุถนอมทุเรียน แต่ผลลัพธ์คือผลผลิตทุเรียนคุณภาพจากการต่อยอดใช้งานวิจัยของคนไทย โดยเกษตรกรไทย กุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มุ่งพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีต่างๆ นำมาขยายผลพื้นที่สาธิตเทคโนโลยีเพื่อการทดสอบประสิทธิภาพและเพิ่มมูลค่าทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่มีการส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เช่น นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth ซึ่งสวทช.ได้ร่วมมือกับคณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. ทำการทดสอบภาคสนามหลายฤดูกาลผลิตจนเป็นที่มั่นใจแก่เกษตรกร เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและประชาชนมีรายได้มากขึ้น สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ยังสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ถึง 2 ฤดูกาลผลิต เป็นการช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดใช้สารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืช ตอบโจทย์ ‘ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน’ ที่สามารถนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด รวมทั้งตอบโจทย์ ‘ระบบเศรษฐกิจสีเขียว’ ที่มีการมุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก ทั้งนี้นวัตกรรมถุงห่อ Magik Growth เมื่อปี 2564 ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อผลิตและจำหน่ายในประเทศแล้ว เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน พีรพันธ์ จิวะพรทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี Magik Growth กล่าวว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้วทางบริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ฯ ได้เลือกนวัตกรรมของเอ็มเทค โดยถุงห่อทุเรียน Magik Growth ซึ่งมีการทดลองร่วมกับเกษตรกรชาวสวนทุเรียนในเครือข่ายของ เอ็มเทค สวทช. มานานเกือบ 4 ปี ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทั้งเรื่องคุณภาพของถุงที่ใช้ได้นานใช้ซ้ำได้ถึง 2 ปี และประสิทธิภาพของถุงห่อยังช่วยให้ทุเรียนมีคุณภาพมากขึ้น ปัจจุบันได้มีการผลิตถุงห่อทุเรียน Magik Growth สำหรับจำหน่ายแก่ชาวสวนทุเรียนแล้ว ผู้สนใจสามารถหาซื้อถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากบริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ฯ โดยในเร็วๆ นี้กำลังพัฒนาช่องทางจำหน่ายในห้างโมเดิร์นเทรด เช่น โฮมโปร เป็นต้น “เดิมทีบริษัทจะรับนวัตกรรมมาจากต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งถุง Magik Growth ถือเป็นนวัตกรรมไทยผลงานแรกที่บริษัทซื้อสิทธิ์มาผลิตเพื่อจำหน่าย เพราะบริษัทเชื่ออย่างหนึ่งว่าสินค้านวัตกรรม ต้องมีพาร์ทเนอร์ที่เห็นตรงกัน ซึ่งทางเอ็มเทค สวทช. สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้” พีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย นับเป็นการพัฒนาภาคการเกษตรตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG แก้ปัญหามลพิษในการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อโลก โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เป็นกลไกลสำคัญที่จะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเดิมจาก ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ไปสู่ ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เอ็มเทคพัฒนา “Well-Living Systems” ระบบดูแลผู้สูงอายุ ผู้ช่วยของลูกหลาน
For English-version news, please visit : Well-Living Systems to support independent living for seniors   ผ่านพ้นมาไม่นานสำหรับ “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้ตรงกับวันขึ้นปีใหม่ไทย หรือ วันสงกรานต์ คือวันที่ 13 เมษายนของทุกปี วันสำคัญที่ชักชวนให้คนไทยหันมาใส่ใจผู้สูงอายุมากขึ้น ยิ่งเฉพาะในปี 2565 นี้ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ระบุว่าเป็นปีที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” เนื่องจากมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ดังนั้นการเร่งปรับตัว และเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุมีความสำคัญอย่างมาก ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนา “ระบบดูแลผู้พักอาศัยเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัย หรือ Well-Living Systems” เพื่อช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้ลูกหลานดูแลผู้สูงอายุได้อย่างปลอดภัยและอุ่นใจมากขึ้น   [caption id="attachment_31280" align="aligncenter" width="600"] ดร.สิทธา สุขกสิ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช.[/caption] ดร.สิทธา สุขกสิ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยเอ็มเทคได้พัฒนาระบบ Well-Living Systems ที่จะเข้ามาเป็น “ผู้ช่วย” ของลูกๆ หลานๆ ในการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้านภายใต้แนวคิด “ทุกคนที่บ้านสบายดี (All is well at home)” เพื่อสร้างความอุ่นใจให้ทั้งผู้ใหญ่ที่บ้านและลูกหลานที่ต้องออกไปทำงาน โดยระบบมีศูนย์กลาง LANAH (Learning and Need-Anticipating Hub) ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ LANAH AI (Artificial Intelligence) ที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย และแจ้งเตือนผู้ดูแลเมื่อผู้สูงอายุเกิดเหตุฉุกเฉินหรือมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ผ่านแอปพลิเคชัน LANAH App เพื่อช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย “ระบบจะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตรวจวัดต่างๆ (Sensors) ที่ไม่มีกล้อง ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย เพราะทีมวิจัยมุ่งหวังให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด เน้นสร้างความมั่นใจว่าหากมีเหตุฉุกเฉินจะมีผู้เข้ามาช่วยเหลือได้ทันที เป็นการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย สร้างความสบายใจ ลดการพึ่งพาผู้ดูแล สนับสนุนการเป็น “สูงวัยอย่างมีคุณภาพ หรือ Active aging” ให้ได้นานที่สุด”     ดร.สิทธา กล่าวว่า สำหรับการทำงานของระบบแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. กรณีไม่ฉุกเฉิน ใช้ AI เรียนรู้รูปแบบพฤติกรรมกิจวัตรประจำวันของผู้อยู่อาศัยเพื่อบ่งบอกถึงปัญหา ซึ่งมีตัวอย่างอุปกรณ์ 4 ระบบในแอปพลิเคชัน ได้แก่ 1) Occupancy sensor เครื่องมือสังเกตการณ์บุคคลที่อยู่ในแต่ละพื้นที่ของบ้าน เรียนรู้พฤติกรรมการใช้เวลาในบ้านของผู้อยู่อาศัย เช่น ช่วงสายวันอาทิตย์มักมีคนอยู่ในครัว 2) Door sensor เรียนรู้พฤติกรรมการเปิด-ปิดประตูต่างๆ เช่น ปกติประตูห้องน้ำถูกเปิดกี่ครั้งในช่วงดึก 3) Gate sensor ใช้สังเกตระยะเวลาการเข้าไปแต่ละพื้นที่ เช่น ระยะเวลาการอยู่ในห้องน้ำปกติหรือนานกว่าปกติ และ 4) Logger ปุ่มกดช่วยบันทึกเวลาการทำกิจกรรม เช่น เวลากินยา และช่วยเตือนเมื่อผู้อยู่อาศัยอาจลืม ด้วยการส่งเสียงผ่าน Wireless Speakers “ส่วนกรณีฉุกเฉิน มีอุปกรณ์ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ได้แก่ 1) Emergency Button ปุ่มฉุกเฉินขนาดเล็กที่พกพาได้สะดวก ใช้ขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลที่อยู่ไกล 2) Bell กระดิ่งเรียกคนอื่นในบ้าน และแจ้งเตือนเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลที่อยู่ไกล 3) Fall detection sensor ช่วยตรวจจับเมื่อผู้อยู่อาศัยเกิดการหกล้ม เป็นอุปกรณ์รูปแบบสวมใส่ หรือติดผนังแบบไม่มีกล้อง เหมาะใช้งานในพื้นที่ส่วนตัว เช่น ห้องน้ำ และแจ้งเตือนเพื่อขอความช่วยเหลือ 4) Check-In ผู้อยู่อาศัยใช้ทักทายคนในครอบครัวหรือเพื่อนที่อยู่ไกลแบบเงียบๆ ไม่รบกวนเวลา 5) Wireless Speakers ลำโพงไร้สายที่วางได้ทุกที่ในบ้านทำงานร่วมกับ LANAH App เพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้รับฟังข้อความเสียงจากผู้ดูแลที่อยู่ไกลมาที่บ้านในกรณีฉุกเฉิน”     ดร.สิทธา กล่าวว่า ปัจจุบันระบบ LANAH App และอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ในขั้นตอนการทดลองในห้องปฏิบัติการและขยายผลสู่ภาคสนาม ซึ่งกำลังมองหาพาร์ทเนอร์เพื่อทดสอบการใช้งานจริง โดยคาดว่าจะต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้ภายในปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 ทั้งนี้ตัวระบบนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลายแบบ เช่น บ้านผู้สูงอายุ คอนโดที่มีผู้อยู่อาศัยคนเดียว สถานดูแลผู้สูงอายุ โรงพยาบาล ซึ่งหวังว่าระบบที่พัฒนาขึ้นจะเป็นประโยชน์ในการดูแลผู้สูงอายุ ทำให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาผู้ดูแล และช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีในที่พักอาศัยที่อุ่นใจและปลอดภัย นับเป็นตัวอย่างผลงานการวิจัยและพัฒนาของนักวิจัยไทยจาก สวทช. ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตพึ่งพาตนเองได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข สอดคล้องกับนโยบายโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) วาระแห่งชาติ ที่มุ่งส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยและเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ไบโอเทค สวทช. พัฒนา ‘ไวรัสตัวแทน’ ทดสอบสูตรวัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 แบบเชิงรุก
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA develops a pseudotyped virus for testing COVID vaccines   ที่ผ่านมาการศึกษาวิจัยพัฒนาวัคซีน ประเมินประสิทธิภาพวัคซีน และยารักษาโรคโควิด-19 นักวิจัยต้องแยกไวรัส SARS-CoV-2 จากสารคัดหลั่งของผู้ป่วยในประเทศและเพิ่มปริมาณไวรัสให้ได้จำนวนมากพอเพื่อใช้ศึกษาทดลอง ซึ่งทราบกันดีว่าไวรัส SARS-CoV-2 ก่อโรคโควิด-19 แพร่ระบาดได้รวดเร็วและมีความรุนแรง นักวิจัยต้องทำงานบนความเสี่ยงสูง รวมทั้งต้องมีห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (BSL3) ซึ่งในประเทศไทยมีไม่มากนัก จึงทำให้ยากต่อการพัฒนายาและวัคซีนให้ทันต่อการระบาดของโรค อีกทั้งยังไม่นับรวมการเตรียมรับมือกับไวรัสที่กลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา   [caption id="attachment_31106" align="aligncenter" width="750"] ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า เพื่อให้ประเทศไทยรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนา ‘Pseudotyped Virus’ หรือ ‘ไวรัสตัวแทน’ ที่มีกลไกในการติดเชื้อเข้าสู่เซลล์ได้เหมือนไวรัสตัวจริงแต่ตัวไวรัสเองถูกปรับให้มีคุณสมบัติที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อมนุษย์ เป็นเทคโนโลยีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมถึงมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน มาใช้พัฒนา ‘ไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคโควิด-19’ สำเร็จเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยเทคโนโลยีที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นนี้สามารถใช้ผลิตไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคโควิด-19’ จากข้อมูลรหัสพันธุกรรมได้ทุกสายพันธุ์   [caption id="attachment_31107" align="aligncenter" width="650"] Pseudotyped Virus หรือ ไวรัสตัวแทน[/caption]   “ไวรัสตัวแทนเป็นเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบไวรัสก่อโรคโควิด-19 จากที่ทราบกันดีว่าไวรัส SARS-CoV-2 ใช้โปรตีนตรงส่วนหนามในการจับและเข้าสู่เซลล์ ทีมวิจัยได้นำโปรตีนหนามของไวรัส SARS-CoV-2 มาใส่ไว้ในไวรัสอีกตัวหนึ่งซึ่งมีความปลอดภัยและไม่อันตราย โดยจุดเด่นของไวรัสตัวแทนที่สำคัญอันดับแรกคือช่วยให้นักวิจัยสามารถทำงาน ‘เชิงรุก’ เมื่อมีการค้นพบการกลายพันธุ์ของไวรัสก่อโรคโควิด-19 นักวิจัยสามารถนำข้อมูลรหัสพันธุกรรมมาสร้างไวรัสตัวแทนเพื่อใช้ดำเนินงานได้ทันที ไม่ต้องรอให้มีการติดเชื้อของสายพันธุ์นั้นในประเทศแล้วค่อยแยกออกมาจากผู้ป่วย สองคือ ‘ปลอดภัย’ ไวรัสตัวแทนไม่ก่อให้เกิดโรค นักวิจัยหรือเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการไม่ต้องทำงานภายใต้ความเสี่ยงสูง และนำไปใช้ในห้องปฏิบัติการของสถานพยาบาลทั่วไปได้ สามคือ ‘ทดสอบได้รวดเร็ว’ ไวรัสตัวแทนสามารถแสดงผลการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ให้เห็นอย่างชัดเจนภายใน 48 ชั่วโมง ต่างจากไวรัสของจริงที่ต้องใช้เวลา 5-6 วัน นอกจากนี้การทดสอบด้วยไวรัสตัวแทนยังทำได้มากถึงครั้งละ 90 ตัวอย่าง ขณะที่การทดสอบด้วยไวรัสของจริงทำได้เพียงครั้งละ 6 ตัวอย่างเท่านั้น สี่คือ ‘ผลิตได้ปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็ว’ ทำให้มีปริมาณไวรัสมากพอในการทดสอบ วิจัยได้อย่างประสิทธิภาพมากขึ้น และสุดท้ายคือ ‘ลดค่าใช้จ่าย’ ในการปฏิบัติงานได้มากถึง 20-30 เท่า” ดร.อนันต์ กล่าวเสริมว่า ด้วยจุดเด่นของไวรัสตัวแทนที่กล่าวถึงข้างต้น ทำให้การวิจัยและพัฒนาวัคซีน สูตรการฉีดวัคซีน รวมถึงยารักษาโรคจากไวรัสต่างๆ ของประเทศไทยนับจากนี้จะมีความราบรื่นและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังใช้สร้างไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์กลายพันธุ์ที่น่ากังวลใหม่ๆ ในการศึกษาวิจัย เพื่อเตรียมรับมือการระบาดรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต “ทั้งนี้ที่ผ่านมาไบโอเทคได้นำไวรัสตัวแทนที่พัฒนาขึ้นให้บริการการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในประเทศแล้ว ทั้งการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่มีการฉีดภายในประเทศ การทดสอบสูตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับบุคคลกลุ่มต่างๆ และการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตขึ้นในประเทศ อาทิ วัคซีน Chula-CoV-19 วัคซีนใบยา และวัคซีน HXP–GPOVac” อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีการผลิตไวรัสตัวแทนที่ไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้น ไม่เพียงนำมาใช้ได้กับการพัฒนายาและวัคซีนโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังใช้ผลิตไวรัสตัวแทนไวรัสก่อโรคชนิดอื่นๆ รวมถึงการป้องกันการระบาดของโรคจากสัตว์สู่คนแบบเชิงรุก ช่วยให้นักวิจัยไทยดำเนินงานสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นคงทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้แก่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น  
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘Functional Food’ นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต
  วิกฤตการณ์การระบาดโรคโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ หรือแม้แต่สถานการณ์โลกที่กำลังเข้าสู่ศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ ล้วนเป็นตัวเร่งให้ประชาชนหันมาตระหนักถึงการใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้   เทรนด์ ‘ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ’ และ ‘อาหารฟังก์ชัน (Functional Food)’ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สร้างโอกาสทองให้ผู้ประกอบการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง หากแต่ผู้บริโภคจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเหล่านั้นมีคุณภาพดีและปลอดภัยสมตามสรรพคุณที่กล่าวอ้างจริง แน่นอนว่าผลงานการศึกษาวิจัยคือหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันในเรื่องนี้ ทว่าการลงทุนทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการวิจัยเชิงคลินิกนั้นต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากรซึ่งมีต้นทุนค่อนข้างสูง จึงอาจเป็นข้อจำกัดหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ด้วยเหตุนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ได้จัดทำ ‘โครงการการวิจัย พัฒนา และทดสอบทางคลินิกสำหรับอาหารฟังก์ชัน’ เพื่อสนับสนุนบ่มเพาะผู้ประกอบการไทยในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันและการวิจัยทางคลินิก ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจและความเชื่อมั่นถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันได้   รัฐร่วมเอกชนวิจัยพัฒนา ‘นวัตกรรมอาหารฟังก์ชัน’ อาหารฟังก์ชัน หรือ Functional Foods คืออาหารที่ประกอบด้วยสารสำคัญหรือสารออกฤทธิ์ที่ไม่ได้มีเพียงคุณค่าทางโภชนาการพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ยังมีส่วนช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเรสเตอรอล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูสภาพร่างกาย อาหารฟังก์ชันยังรวมถึงการพัฒนาอาหารที่มีความเหมาะสมกับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ โดยกลไกที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการพัฒนายกระดับวัตถุดิบที่มีสู่ผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันได้สำเร็จคือ ‘การวิจัยพัฒนา’   [caption id="attachment_31002" align="aligncenter" width="750"] รศ. ดร.สุวิมล ทรัพย์วโรบล ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[/caption]   รศ. ดร.สุวิมล ทรัพย์วโรบล ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า โครงการการวิจัย พัฒนา และทดสอบทางคลินิกสำหรับอาหารฟังก์ชัน นับเป็นโครงการดีๆ ที่เข้ามาช่วยให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารได้มีโอกาสมาร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารฟังก์ชันร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ จากหน่วยงานภาครัฐหรือสถาบันการศึกษา “ขั้นตอนการทำงานคือผู้ประกอบการจะมีวัตถุดิบและโจทย์ที่สนใจอยู่แล้วว่าอยากพัฒนาอาหารฟังก์ชันแบบใด เพื่อใช้กับกลุ่มเป้าหมายใด เมื่อทีมวิจัยได้รับโจทย์มาก็จะศึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ยกตัวอย่างโครงการที่ได้ดำเนินการร่วมกับบริษัทไบโอบอร์น จำกัด ทางผู้ประกอบการมีโจทย์ว่า มีวัตถุดิบคือผงไข่ขาว หรือ อัลบูมินอยู่ และต้องการพัฒนาเป็นอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยล้างไต พอได้โจทย์แบบนี้ สิ่งที่นักวิจัยต้องทำคือศึกษาข้อมูลก่อนว่า ผู้ป่วยล้างไตต้องการพลังงานปริมาณเท่าไหร่ นอกจากโปรตีนจากไข่ขาวแล้ว ยังต้องการสารอาหารอะไรในปริมาณสูง หรือต้องจำกัดสารอาหารประเภทใด เพื่อวางแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่เหมาะสม” ความท้าทายในการวิจัยไม่ใช่เพียงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ตอบโจทย์ผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ตัวผลิตภัณฑ์ยังต้อง ‘ได้รับความพึงพอใจ’ จากกลุ่มเป้าหมาย และตรงตามความต้องการของตลาด “ทีมวิจัยต้องไปดูด้วยว่ากลุ่มผู้ป่วยล้างไตชอบรสชาติแบบใด ต้องนำอัลบูมินมาเติมสารอาหารอะไรบ้าง เติมรสชาติอย่างไร ความเข้มข้นเท่าไหร่ กระทั่งเมื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบเสร็จ เรามีการนำไปทดสอบกับกลุ่มคนปกติก่อนว่า รสชาติ ความข้นหนืด เป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ ถ้าเป็นที่ยอมรับจะนำไปทดสอบในผู้ป่วยล้างไตอีกครั้งว่า ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมา ซึ่งปัจจุบันมี 5 รสชาติ และมีทั้งรูปแบบชงดื่มและซุปนั้น ผลิตภัณฑ์แบบใด รสชาติแบบไหน ที่เข้ากับผู้ป่วยล้างไตได้ดีที่สุด”   [caption id="attachment_30997" align="aligncenter" width="500"] ผลิตภัณฑ์ Albupro Plus ซุปไข่ขาวสำหรับผู้ป่วยล้างไต ชนิดผง[/caption]   ผลจากการร่วมวิจัยนำมาสู่ ผลิตภัณฑ์ Albupro Plus ซุปไข่ขาวสำหรับผู้ป่วยล้างไต ชนิดผง ซุปจากไข่ขาวเจ้าแรกในท้องตลาด โดยใช้ไข่ขาวสกัดด้วยกระบวนการพิเศษ ขจัดสารอะวิดินและไลโซไซม์ ทำให้ไม่ขัดขวางกระบวนการดูดซึมวิตามินบี รวมถึงมีโปรตีนอัลบูมินสูง ตรงตามความต้องการของผู้ป่วยล้างไต รศ. ดร.สุวิมล เล่าว่า จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ Albupro Plus คือเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ป่วยล้างไตโดยเฉพาะ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่ได้มีแค่โปรตีนสูง แต่ยังมีสารอาหารครบถ้วนทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ ในปริมาณที่เหมาะสม ตอบโจทย์ผู้ป่วยล้างไตที่มักจะเกิดภาวะ ทุพโภชนาการ อีกทั้งยังมีรสชาติอร่อย รับประทานง่าย และเป็นที่พึงพอใจของกลุ่มผู้ป่วย “การที่ ITAP สวทช. และ TCELS สนับสนุนทุนวิจัยให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้วิจัยร่วมกัน มีส่วนสำคัญอย่างมากในการผลักดันให้ผลงานวิจัยออกสู่เชิงพาณิชย์ได้จริง ไม่ต้องเก็บไว้บนหิ้ง อีกทั้งผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันที่เกิดขึ้นยังเกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อุตสาหกรรมผู้ผลิตไข่ก็ได้รับประโยชน์ ผู้ประกอบการได้ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ผู้ป่วยล้างไตได้รับผลิตภัณฑ์ที่ดี มีสารอาหารครบถ้วนในการเสริมโภชนาการ ขณะที่นักวิจัยก็ได้ใช้ความรู้ความสามารถในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์” ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Albupro Plus อยู่ระหว่างการขอรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการวิจัยทางคลินิก (Clinical Trial) ในกลุ่มผู้ป่วยโรคไตของโครงการฯ ต่อไป     ‘วิจัยเชิงคลินิก’ พิสูจน์คุณภาพผลิตภัณฑ์ ทุกวันนี้คุณประโยชน์หรือสรรพคุณของอาหารฟังก์ชันและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพส่วนใหญ่ล้วนมาจากการอ้างอิงงานวิจัยหรือข้อมูลสารสำคัญที่ใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น หากผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบของขิง จะเชื่อว่ามีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลิตภัณฑ์จะมีผลต่อร่างกายเช่นนั้นจริงหรือไม่ ต้องอาศัย ‘การวิจัยทางคลินิก’   [caption id="attachment_31000" align="aligncenter" width="750"] ผศ. ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล[/caption]   ผศ. ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าว่า การนำผลงานวิจัยถึงสารสำคัญต่างๆ มาใช้อ้างอิงไม่สามารถยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้ทั้งหมด เพราะอย่าลืมว่าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการจะนำสาระสำคัญหรือวัตถุดิบ ซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน มาผสมกับส่วนผสมต่างๆ และยังผ่านกระบวนการผลิต รวมถึงการเก็บรักษาที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นต่อร่างกายอาจจะแตกต่างกันไปด้วย การวิจัยเชิงคลินิกกับผลิตภัณฑ์โดยตรงจึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีผลต่อร่างกายตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ “งานวิจัยเชิงคลินิกเป็นงานวิจัยที่ศึกษาในมนุษย์ เป็นการศึกษาว่าหลังจากที่รับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งเข้าไปแล้ว ในระยะเวลาต่างๆ อาจเป็นการศึกษากลไกการดูดซึมหรือศึกษาผลที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับเข้าไปแล้วระยะเวลาหนึ่ง เช่น 30 วัน 60 วัน หรือ 120 วัน จะมีผลเปลี่ยนแปลงต่อระบบต่างๆ ของร่างกายอย่างไรบ้าง มีความปลอดภัยหรือไม่ มีผลต่อตับ ไต หรือเปล่า ยกตัวอย่างโครงการที่ทีมวิจัยทำร่วมกับบริษัทฟอร์แคร์ จำกัด ภายใต้การสนับสนุนของ ITAP และ TCELS ต้องการวิจัยว่าผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มดาร์กช็อกโกแลตผสมคาเคาออร์แกนิก (เมล็ดโกโก้ดิบ) มีผลช่วยพัฒนาในเรื่องของการผ่อนคลายสมอง ร่างกาย และช่วยให้ความทรงจำได้ดีขึ้นตามเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่” ในการทำงาน ทีมวิจัยได้ร่วมกันวางแผนออกแบบกระบวนการวิจัยเชิงคลินิกซึ่งต้องมีความรอบคอบอย่างมาก รวมทั้งยังมีการทดสอบและเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายในส่วนต่างๆ จากอาสาสมัครต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ “กลุ่มอาสาสมัครจะต้องบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น การรับประทานอาหาร การขับถ่าย การนอนหลับ รวมทั้งเรามีการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ความจำ การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ การตอบสนองของสมอง การเปลี่ยนแปลงของสารชีวเคมีต่างๆ เช่น ระดับคอเลสเตอรอล ไขมัน ตัวชี้วัดการอักเสบของร่างกายอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้วิเคราะห์ผล ซึ่งผลการวิจัยในเชิงคลินิกของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มดาร์กช็อกโกแลตผสมคาเคาออร์แกนิกที่นำมาทดสอบพบว่า ได้ผลค่อนข้างดี ที่เห็นได้ชัดคือช่วยให้ความจำดีขึ้น ความเหนื่อยล้าลดลง ความดันโลหิตลดลง แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ยังไม่เห็นผลชัดเจนตามที่ผู้ประกอบการตั้งเป้าไว้ ซึ่งทีมวิจัยได้ให้คำแนะนำถึงแนวทางปรับสูตรเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามเป้าหมายในอนาคต”   [caption id="attachment_30998" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มดาร์กช็อกโกแลตผสมคาเคาออร์แกนิก[/caption]   อย่างไรก็ดีกว่าจะได้ผลวิจัยเชิงคลินิกของผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผศ. ดร.ฉัตรภา สะท้อนถึงความยากในการวิจัยให้ฟังว่า ด้วยเป็นงานวิจัยในมนุษย์จึงต้องผ่านคณะกรรมการจริยธรรมก่อน ถึงจะทำการทดสอบได้ ซึ่งกว่างานวิจัยจะผ่านออกมาได้ต้องมีการตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีความปลอดภัย มีงานวิจัยที่รองรับสนับสนุน อีกทั้งกระบวนการต่างๆ มีทั้งการเจาะเลือด การบันทึกผลอย่างละเอียด ผู้เข้าร่วมโครงการต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี การออกแบบงานวิจัยต้องมีความรัดกุม กลุ่มเป้าหมายต้องมีจำนวนมากพอ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนตามที่ต้องการและมีความน่าเชื่อถือ “กระบวนการวิจัยเชิงคลินิกต้องใช้ระยะเวลานานและมีค่าใช้จ่ายในงานวิจัยสูง จึงเป็นเรื่องยากในการลงทุนของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การที่หน่วยงานภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนภาคเอกชนในการวิจัยเชิงคลินิกนับว่าเป็นประโยชน์มากที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาอาหารฟังก์ชันที่มีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย มีผลวิจัยที่ยืนยันถึงความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยรับรองถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ในการส่งออกไปยังต่างประเทศ นอกจากนี้ การที่ผู้ประกอบการได้ร่วมทำงานวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญ ยังช่วยให้กลุ่มวิจัยและพัฒนาของบริษัทได้ร่วมเรียนรู้ และนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ช่วยให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีต่อไปในอนาคต”     นวัตกรรมสร้างความต่าง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ในโลกยุคปัจจุบันที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างเร็ว ประกอบกับเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารในรูปแบบเดิมคงไม่เพียงพอ การใช้นวัตกรรมเพื่อต่อยอดสู่อาหารฟังก์ชันอาจเป็นหนทางที่สร้างความแตกต่างและโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอย่างก้าวกระโดด   [caption id="attachment_31001" align="aligncenter" width="450"] ดร.สรวง สมานหมู่ ผู้เชี่ยวชาญดำเนินโครงการวิจัย[/caption]   ดร.สรวง สมานหมู่ ผู้เชี่ยวชาญดำเนินโครงการวิจัย (ปัจจุบันเป็นอนุกรรมการสภาความร่วมมือด้านผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์แห่งประเทศไทย (MPCT) / คณะกรรมการบริษัท Cannabi Biosciences (ฮ่องกง ประเทศจีน) เล่าว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราแตกต่างจากสินค้าในตลาดทั่วไปก็คืองานวิจัย ซึ่ง ITAP สวทช. ได้ให้ทุนสนับสนุนการขับเคลื่อนงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์มาโดยตลอด และสำหรับการพัฒนาอาหารฟังก์ชัน พิเศษกว่า เมื่อ ITAP ได้ร่วมกับ TCELS ให้ทุนผู้ประกอบการในการพัฒนาส่วนผสมเชิงหน้าที่ (Functional Ingredient) จากผลผลิตทางการเกษตร เพื่อให้ได้สารชีวภาพที่ให้คุณสมบัติพิเศษสำหรับนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อาหารเสริมสุขภาพ อาหารฟังก์ชัน เครื่องสำอางและยา ซึ่งตรงตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ “ตัวอย่างงานวิจัยที่ได้พัฒนาให้ บริษัทแอดวาเทค จำกัด คือ Cell Synapse Enhancer เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นสาร Co-Supplement สำหรับใช้เติมในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ หรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพต่างๆ ซึ่ง Cell Synapse Enhancer มีสมบัติช่วยเพิ่มการดูดซึมสารสกัดจากธรรมชาติให้เข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น ดังนั้นในกลุ่มผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ เมื่อมีการเติม Cell Synapse Enhancer ลงในผลิตภัณฑ์แล้ว จะช่วยให้เติมสารสกัดจากธรรมชาติหรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพในปริมาณที่น้อยลง เพราะร่างกายดูดซึมได้มากขึ้น เรียกว่ารับประทานน้อยได้มาก ประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการผลิต อีกทั้งยังเป็นสารตั้งต้นที่นำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย”   [caption id="attachment_30999" align="aligncenter" width="750"] Cell Synapse Enhancer[/caption]   Cell Synapse Enhancer ได้รับรางวัลเหรียญทองจากงานประกวดนวัตกรรมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งได้มีการต่อยอดนำผลิตภัณฑ์ Cell Synapse ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทรีวาน่าของบริษัทอินนาเธอร์ จำกัด ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจนของบริษัท มานา เนเจอร์อินโนเวชั่น จำกัด  และมีพันธมิตรที่สนใจจะนำสาร Cell Enhancer ไปต่อยอดใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายผลิตภัณฑ์ ดร.สรวง เล่าว่า จากทุนของโครงการ ITAP สวทช. และ TCELS ช่วยสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ เป็นจุดเริ่มต้นในการวิจัย ทำให้ผู้ประกอบการและนักวิจัยร่วมกันผลักดันงานวิจัยให้ก้าวข้ามหุบเหวมรณะ (Valley of Death) สามารถพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ และยังต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่แตกกิ่งก้านสาขาได้เยอะมาก เป็นการเพิ่มมูลค่าความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ให้กลายเป็นสินค้า ที่นำรายได้กลับเข้าประเทศได้สำเร็จ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระของชาติ “หลังจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เราเริ่มเห็นผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อการวิจัยมากขึ้น ถามว่าทำไมต้องทำงานวิจัย เพราะว่างานวิจัยจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีมูลค่าเพิ่มขึ้นและแตกต่าง จากที่เคยแข่งขันกันในตลาดที่เรียกว่า Red Ocean ซึ่งเป็นตลาดที่มีของคล้ายๆ กัน มุ่งแข่งขันทางด้านราคา ซึ่งต้องบอกว่าใครสายป่านยาวคนนั้นก็ชนะ แต่วันนี้เราจะไม่พูดแบบนั้นแล้ว เพราะเราจะทำให้คนที่มีสายป่านสั้นๆ สามารถชนะในตลาดนี้ได้ด้วยนวัตกรรม เป็น Blue Ocean ฉะนั้นวันนี้ต้องถามตัวเองแล้วว่า เราจะยืนในพื้นที่ไหนระหว่างทะเลเลือด หรือว่ามหาสมุทรสีฟ้าที่กว้างใหญ่” ปลายทางความสำเร็จในการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถพัฒนาอาหารฟังก์ชันใหม่ๆ คงไม่ใช่แค่ตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารที่จะสร้างกำไรหรือโอกาสทางการตลาดให้แก่อุตสาหกรรมอาหารเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดประชาชนจะได้ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย และมั่นใจถึงความปลอดภัยได้อย่างแท้จริง  
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
REMI แชตบอตติดตามสุขภาพหญิงตั้งครรภ์จากทางไกล
จากปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ประกอบกับการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีหญิงตั้งครรภ์จำนวนหนึ่งหลุดจากระบบการตรวจติดตามสุขภาพโดยแพทย์ระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งการขาดการประเมินสุขภาพและการได้รับคำแนะนำจากสูตินารีแพทย์ตามการนัดหมาย อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เป็นอันตรายร้ายแรงแก่ทั้งแม่และทารกในครรภ์ อาทิ ครรภ์เป็นพิษ คลอดก่อนกำหนด การแท้ง   [caption id="attachment_30790" align="aligncenter" width="750"] ดร.พิมพ์วดี เชาวลิต อาหวาด ทีมวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช.[/caption]   [caption id="attachment_30791" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยแชตบอต "REMI"[/caption]   ดร.พิมพ์วดี เชาวลิต อาหวาด ทีมวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า หลังจากทีมวิจัยได้มีโอกาสรับทราบปัญหาจากสูตินารีแพทย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จึงได้ร่วมมือกันนำความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาวิจัยและพัฒนาระบบติดตามสุขภาพหญิงตั้งครรภ์จากทางไกล (Telemedicine) จนได้เป็น “REMI (Robot for Expecting Mother’s Information) ระบบตอบกลับอัตโนมัติ (แชตบอต) สำหรับหญิงตั้งครรภ์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์” “REMI แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือระบบสำหรับให้บริการหญิงตั้งครรภ์​ โดยหลังจากการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว แพทย์ผู้ดูแลจะเป็นผู้แนะนำการใช้งานระบบแชตบอตเพื่อใช้ติดตามประเมินสุขภาพตลอดช่วงตั้งครรภ์ การเริ่มต้นใช้งานผู้ใช้จะต้องลงทะเบียนและใส่รายละเอียดที่สำคัญ อาทิ น้ำหนัก ส่วนสูง อายุครรภ์ โรคประจำตัว หลังจากนั้นทุกสัปดาห์จึงเข้ามาบันทึกข้อมูลน้ำหนัก อาหารที่บริโภค รวมถึงการออกกำลังกาย เพื่อให้ระบบช่วยประเมินความเหมาะสมของน้ำหนักตามอายุครรภ์ เพราะน้ำหนักที่น้อยหรือมากเกินเกณฑ์อาจเป็นข้อบ่งชี้ถึงการมีโรคแทรกซ้อนหรือการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมาะสมได้ สำหรับการบริโภคของหญิงตั้งครรภ์ระบบจะช่วยแนะนำปริมาณพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน รวมถึงประเภทอาหารที่ควรบริโภคตามความเหมาะสมของแต่ละคน นอกจากนี้หากผู้ใช้งานมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ อาทิ อาหารที่ไม่ควรบริโภค การออกกำลังกาย การมีเพศสัมพันธ์ การบริโภคยา หรืออาการผิดปกติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ สามารถพูดคุยกับแชตบอตเสมือนพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่งเพื่อให้แชตบอตแนะนำข้อมูลทางด้านการแพทย์ รวมถึงข้อมูลสำหรับศึกษาเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตามแชตบอตไม่สามารถทำหน้าที่ประเมินอาการผิดปกติหรือโรคแทนแพทย์ผู้ดูแล”​     ดร.พิมพ์วดี อธิบายต่อว่า ส่วนที่สองของระบบ REMI คือส่วนของแพทย์ผู้ดูแล หลังจากหญิงตั้งครรภ์บันทึกข้อมูลเข้าระบบแล้ว เซิร์ฟเวอร์จะประมวลผลข้อมูลและแสดงผลไปยังแดชบอร์ด โดยจะแสดงข้อมูลของหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในการดูแลทุกคนพร้อมโคดสีที่สื่อถึงความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ อิงตามเกณฑ์การประเมินสุขภาพทางการแพทย์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตามผล และหากแพทย์ผู้ดูแลพบความผิดปกติสามารถแชตเพื่อพูดคุยกับหญิงตั้งครรภ์ผ่านระบบนี้ได้   “ระบบ REMI เป็นระบบการตรวจสุขภาพที่เหมาะแก่การใช้ประเมินสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์เบื้องต้นในช่วงที่ไม่มีความจำเป็นต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล ซึ่งนอกจากจะช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ดูแลตนเองได้มีประสิทธิภาพ ลดเวลา ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงในการติดโรคจากการเดินทางมายังสถานพยาบาล โดยเฉพาะในสภาวะวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 แล้ว ยังช่วยลดภาระงานให้กับแพทย์ได้อีกด้วย ปัจจุบันมีการทดสอบการใช้งานระบบ REMI แล้วที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และจะมีการประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการ รวมถึงพัฒนาให้ระบบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป” ดร.พิมพ์วดี ทิ้งท้ายว่า สำหรับผู้ที่สนใจทั้งผู้ประกอบการและสถานพยาบาล เนคเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีรวมถึงร่วมทำวิจัยเพื่อพัฒนาระบบ Telemedicine สำหรับให้บริการผู้ป่วยโรคต่างๆ เพื่อหนุนเสริมให้คนไทยเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขให้กับคนไทยตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติในปัจจุบัน          ผลงาน ‘REMI (Robot for Expecting Mother’s Information) ระบบตอบกลับอัตโนมัติ (แชตบอต) สำหรับหญิงตั้งครรภ์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์’ เป็นหนึ่งในผลงานที่เผยแพร่ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้หัวข้องาน ‘พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG’ ซึ่งในปีนี้จะมีการจัดงานแบบออนไลน์ในวันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ติดตามงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
จบปัญหามะนาวแพง ! “มะนีมะนาว” นวัตกรรมน้ำมะนาวแช่แข็งเกรดพรีเมียมในราคาจับต้องได้
  “มะนาวราคาผันผวน” คือ ปัญหาที่เกษตรกร ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้บริโภคต้องเผชิญกันเป็นประจำเกือบทุกปี เพราะประเทศไทยไม่ได้ปลูกมะนาวได้ดีทุกฤดูกาล ตรงข้ามกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีอยู่ตลอด ช่วงมะนาวติดดอกออกผลมากจนล้นตลาดราคาก็ตกต่ำ ช่วงนอกฤดูกาลก็ต้องพึ่งพาสารเคมีให้ออกผล จนต้นทุนการผลิตพุ่งสูงลิ่ว จะดีกว่าไหม ถ้ามีทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตได้ราคาดีในช่วงฤดูกาล และมีผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวคุณภาพเยี่ยมให้ผู้บริโภคได้รับประทานแบบปลอดภัยในราคาที่จับต้องได้ตลอดทั้งปี   ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์ “มะนีมะนาว” ให้เก็บในช่องแช่แข็งได้นาน 2 ปี และเก็บในช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน โดยคงกลิ่นและรสชาติที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสด เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงน้ำมะนาวสำเร็จรูปคุณภาพสูงที่มีราคาใกล้เคียงกับการใช้มะนาวผลสดในช่วงราคาปกติ   [caption id="attachment_30755" align="aligncenter" width="750"] ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีบริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เป็นผู้ผลิตน้ำมะนาวแช่แข็งเพื่อจำหน่ายแบบ B2B ให้แก่ร้านอาหารเชนใหญ่ที่มีห้องแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาวัตถุดิบเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่บริษัทติดปัญหาว่าไม่สามารถขยายการจำหน่ายไปยังผู้ประกอบการรายย่อยหรือผู้บริโภคทั่วไป เพราะแม้ผลิตภัณฑ์จะมีกลิ่นและรสชาติดี แต่มีจุดอ่อนเรื่องอายุการใช้งานหลังนำออกจากห้องแช่แข็งสั้น ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้หมดภายใน 1-2 วัน ทางบริษัทจึงได้ร่วมมือกับทีมวิจัยในการคิดค้นกระบวนการยืดอายุผลิตภัณฑ์ “โดยทั่วไปน้ำมะนาวคั้นสดที่มีการจำหน่ายในตลาดจะผ่านกระบวนการการพาสเจอไรซ์หรือใช้ความร้อนในการหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้น้ำมะนาวเสียสภาพ เพื่อยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้เก็บรักษาได้นานขึ้น แต่วิธีการนี้มีจุดอ่อนสำคัญคือทำให้น้ำมะนาวมีกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนกับน้ำมะนาวคั้นสด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นัก ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสด โดยใช้ความเย็นระดับเยือกแข็งในการปรับเปลี่ยนรูปร่างของเอนไซม์ในน้ำมะนาวไม่ให้สามารถทำงานได้ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยืดอายุด้วยวิธีนี้จัดเก็บที่อุณหภูมิ -18°C หรือช่องแช่แข็งได้นานถึง 2 ปี และจัดเก็บที่อุณหภูมิ 0-5°C หรือช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ยังคงจุดแข็งของแบรนด์มะนีมะนาวในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสดเอาไว้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”   [caption id="attachment_30756" align="aligncenter" width="750"] วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด[/caption]   วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด อธิบายเสริมข้อมูลว่า มะนาวที่นำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ เป็นมะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องรสชาติคงที่ น้ำเยอะ ไร้เมล็ด อีกทั้งต้นมะนาวยังแข็งแรงทนทานต่อโรค ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีในการดูแล ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้เป็นเรื่องดีต่อทั้งบริษัท เกษตรกร และผู้บริโภค อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเกษตรกรไม่ค่อยนิยมปลูกมะนาวพันธุ์นี้เท่าไหร่นัก เพราะขาดกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการผลผลิตอย่างชัดเจน และยังต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาตลาดในแต่ละปี “ทางบริษัทจึงได้ทำสัญญารับซื้อกับเกษตรกร โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกษตรกรเครือข่ายหลายร้อยครัวเรือนในภาคเหนือช่วยดำเนินการผลิตมะนาวสายพันธุ์นี้ตามมาตรฐานเกษตรปลอดภัยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แล้วจัดส่งให้แก่บริษัทเพื่อนำผลผลิตมะนาวคุณภาพดีมาใช้ผลิตสินค้ามาตรฐาน GMP และ HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการส่งออกระดับสากล”   [caption id="attachment_30753" align="aligncenter" width="750"] มะนาวพันธุ์ตาฮิติ[/caption]   วิริยาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหลังจากร่วมทำวิจัยกับนาโนเทค สวทช. จนสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว บริษัทจึงได้วางจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศในราคาที่จับต้องได้ และล่าสุดบริษัทได้ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีมาตรฐานการนำเข้าสินค้าสูงมากสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวได้รับการยอมรับจากเชฟอาหารไทยในญี่ปุ่นทั้งด้านความคงที่ของรสชาติและความสะดวกในการใช้งาน หลังจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการทำตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีร้านอาหารไทยต่อไป “การยกระดับผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ไม่เพียงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจให้เติบโต แต่ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ลดการใช้สารเคมี เพิ่มคุณภาพชีวิต ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีทางเลือกในการจับจ่ายน้ำมะนาวคุณภาพดีมาใช้ประกอบอาหารมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในอนาคตผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวอาจเป็นหนึ่งในสินค้าไทยที่สามารถตีตลาดอาหารโลกก็เป็นได้”   [caption id="attachment_30751" align="aligncenter" width="750"] มะนีมะนาว[/caption]   ผลงานการวิจัยกระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์มะนีมะนาวเป็นหนึ่งในผลงานที่เผยแพร่ใน “งานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022)” ภายใต้หัวข้องาน “พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG” ซึ่งในปีนี้จะมีการจัดงานแบบออนไลน์ในวันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ติดตามงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
นาโนเทคร่วมชุมชนบ้านไหนหนังยกระดับพืชท้องถิ่น ‘ขลู่’ สู่สินค้านวัตกรรม
  ‘ขลู่’ คือ พืชท้องถิ่นที่พบได้ในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นพืชที่คนชุมชนบ้านไหนหนัง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ คุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมีการนำมาใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ สร้างรายได้เสริมมายาวนาน โดยในวันนี้ผลิตภัณฑ์จากขลู่จะผ่านการยกระดับไปอีกขั้น เมื่อชุมชนไหนหนังร่วมมือกับนักวิจัยไทยพัฒนาขลู่สู่ ‘สินค้านวัตกรรม’ ที่คนในชุมชนสามารถผลิตได้ด้วยตัวเอง   [caption id="attachment_30453" align="aligncenter" width="500"] “ขลู่” ที่มาภาพ Forest & Kim Starr, CC BY 3.0, via Wikimedia Commons[/caption]   วลีวัลย์ เอกนัยน์ นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อธิบายว่า ขลู่ หรือ Pluchea indica (L.) Less เป็นไม้พุ่ม วงศ์ Asteraceae พบได้บริเวณพื้นที่ชื้นแฉะของประเทศแถบเอเชีย ในใบขลู่มีสารสำคัญที่มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารสำคัญในการดูแลร่างกาย คนในพื้นที่จึงนิยมนำมาแปรรูปเป็นชา และทำเป็นอาหาร เช่น ยำไหนหนังหรือยำใบขลู่ สำรับท้องถิ่นเพื่อสุขภาพสำหรับต้อนรับแขกผู้มาเยือน   [caption id="attachment_30455" align="aligncenter" width="750"] ชาขลู่ ชุมชนบ้านไหนหนัง[/caption]   “ทั้งนี้ชุมชนบ้านไหนหนังมีความต้องการให้ทีมวิจัยนำขลู่มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้โจทย์  'กระบวนการผลิตที่คนในชุมชนคุ้นเคย’ และผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นจะต้อง ‘เหมาะแก่การวางจำหน่ายในสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ของชุมชน’ จึงได้วิจัยและพัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมอาบน้ำที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจากใบขลู่ในรูปอนุภาคนาโนเป็นส่วนประกอบ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวสายดูแลสุขภาพที่มองหาผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผิวกาย และเป็นการเพิ่มประเภทของสินค้าเพื่อสุขภาพที่มีจุดเด่นเรื่องการนำพืชท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม”   [caption id="attachment_30454" align="aligncenter" width="750"] วลีวัลย์ เอกนัยน์ ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส นาโนเทค สวทช.[/caption]   ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ วลีวัลย์อธิบายว่า ทีมวิจัย (รวิวรรณ ถิรมนัส, ชุติกร พึ่งบุญ และสุภัชยา แจ่มใส) พัฒนากระบวนการสกัดสารต้านอนุมูลอิสระจากใบขลู่ให้อยู่ในรูปอนุภาคนาโน เพื่อลดจุดอ่อนของการนำสารสกัดจากสมุนไพรมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ทั้งเรื่องการแยกชั้น การตกตะกอนของสมุนไพร หรือการทำให้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสี นอกจากนี้การพัฒนาสารสำคัญให้อยู่ในรูปอนุภาคนาโนยังช่วยให้สารออกฤทธิ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงช่วยลดปริมาณการใช้สารสำคัญในผลิตภัณฑ์ให้เหลือเพียง 1% แตกต่างจากการใช้สารสำคัญทั่วไปที่ต้องใช้ในสัดส่วน 2-3% ซึ่งจะส่งผลดีในเรื่องในเรื่องการไม่กระทบต่อสูตรการผลิตผลิตภัณฑ์ และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี “กระบวนการสกัดสารต้านอนุมูลอิสระจากใบขลู่และพัฒนาให้อยู่ในรูปอนุภาคนาโน (Nano encapsulation) ทำได้ง่าย เพียงต้มวัตถุดิบในอุณหภูมิที่เหมาะสมและนำไปผสมกับองค์ประกอบอื่นๆ ตามสัดส่วนที่กำหนด จากนั้นจึงนำอนุภาคนาโนขลู่ที่ได้มาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมอาบน้ำโดยใช้กระบวนการกวน ซึ่งกระบวนการผลิตส่วนใหญ่ คนในชุมชนมีทักษะ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีอุปกรณ์เป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว”     วลีวัลย์เสริมข้อมูลว่า ปัจจุบันนาโนเทคได้ทำวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการเตรียมถ่ายทอดกระบวนการผลิตสู่ชุมชน โดยในอนาคตชุมชนตั้งเป้าผลิตเป็นสินค้านวัตกรรมเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม และใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมจุดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวของชุมชน อาทิ ให้บริการแก่ลูกค้าในโรงแรมและสปา และใช้เป็นหนึ่งในสินค้าของฝากที่ชูอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านไหนหนัง เพื่อหนุนเสริมการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน “นาโนเทคพร้อมให้บริการการวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ผลิต โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาที่สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” วลีวัลย์กล่าวทิ้งท้าย   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘eLysozyme’ สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาว สร้างความปลอดภัยทั้งในอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์
  เมื่อต้นทางของอาหารส่วนใหญ่มาจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ การทำให้วัตถุดิบสะอาด ปลอดภัย ไร้การปนเปื้อนตั้งแต่ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่เพียงช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการสูญเสียสัตว์เศรษฐกิจจากโรคต่างๆ ในฟาร์มด้วย ล่าสุดนับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของนักวิจัยไทย เมื่อผลงานวิจัยเรื่อง “eLysozyme (เอนฮานซ์ ไลโซไซม์) สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์” ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ประเภทผลงานประดิษฐ์คิดค้น ระดับดีมาก สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา ในงานวันนักประดิษฐ์แห่งชาติ 2564-2565 พัฒนาโดย ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหงชาติ (สวทช.) และคณะวิจัยไบโอเทค ประกอบด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. ดร.สิทธิรักษ์ รอยตระกูล นางจันทิมา จเรสิทธิกุลชัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีโปรตีโอมิกส์เชิงหน้าที่ กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร นายสุรพล เค้าภูไทย บริษัทโอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด และ Dr. Fabien De Meester บริษัทดีเอ็มเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด   [caption id="attachment_30120" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัย eLysozyme สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์[/caption]   ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ เปิดเผยว่า ผลงานดังกล่าวเป็นการพัฒนาสารยับยั้งแบคทีเรียจากธรรมชาติ โดยใช้ไลโซไซม์ที่แยกจากไข่ไก่เป็นวัตถุดิบตั้งต้น ทำการปรับปรุงคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรียให้ดีขึ้นจนได้เป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ eLysozyme ซึ่งประกอบด้วยโปรตีนและเปปไทด์หลายชนิดที่เสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน ช่วยในการยับยั้งแบคทีเรียทั้งแกรมบวกและแกรมลบ โดยแบคทีเรียแกรมลบ เช่น เชื้ออีโคไล เชื้อซาลโมเนลลา เชื้อวิบริโอ ยังเป็นปัญหาใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์ ขณะที่ไลโซไซม์ที่มีจำหน่ายทั่วไปในปัจจุบันยังไม่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแกรมลบเหล่านี้ได้ โดยฟังก์ชันเดิมของไลโซไซม์จะเร่งการย่อยสลายผนังเซลล์แบคทีเรียอย่างเดียวเท่านั้น แต่ด้วยองค์ความรู้ของทีมวิจัยไบโอเทค สามารถศึกษาและคิดค้นดัดแปลงให้ไลโซไซม์ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียผ่านกลไกอื่นนอกเหนือจากการเร่งการย่อยสลายผนังเซลล์แบคทีเรียได้ด้วย เช่น การเจาะและสร้างรูพรุนบนผนังเซลล์แบคทีเรีย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการยับยั้งแบคทีเรียแกรมลบได้ดีทั้งในอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์ โดย eLysozyme ที่ทีมวิจัยคิดค้นขึ้นขณะนี้มี 2 สูตร ได้แก่ eLysozyme-T2 (eLYS-T2) สำหรับใช้ควบคุมเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในการเพาะเลี้ยงสัตว์ สามารถผสมกับอาหารสัตว์ เพื่อใช้ลดปริมาณเชื้อวิบริโอในลำไส้กุ้ง กระตุ้นการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันและการต้านอนุมูลอิสระในกุ้ง เพิ่มอัตราการรอด และควบคุมอาการขี้ขาวได้อย่างมีนัยสำคัญ   [caption id="attachment_30121" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบ eLysozyme ในห้องปฏิบัติการ[/caption]   “ช่วงที่ทีมทำวิจัยนั้น กุ้งในฟาร์มเลี้ยงเป็นโรคตายด่วนค่อนข้างมาก ซึ่ง eLysozyme-T2 ที่เราพัฒนาขึ้นมา สามารถยับยั้งเชื้อวิบริโอในลำไส้กุ้งที่เป็นสาเหตุของโรคตายด่วนในกุ้งได้ด้วย แม้ภายหลังโรคตายด่วนในกุ้งลดลงจนไม่ได้เป็นปัญหาในอุตสาหกรรมแล้ว แต่ก็มีโรคขี้ขาวเข้ามาแทน ซึ่งสาเหตุเกิดจากเชื้อวิบริโอเช่นกัน ทำให้ทีมวิจัยประยุกต์ใช้ eLysozyme-T2 ไปจัดการโรคขี้ขาวในกุ้งในฟาร์มเลี้ยงทั้งภาคตะวันออกและภาคกลาง โดยทดลองให้กุ้งที่มีอาการขี้ขาวได้กินอาหารที่มีส่วนผสมของ eLysozyme-T2 พบว่าช่วยหยุดอาการขี้ขาวได้ภายใน 3-5 วัน จากการเก็บข้อมูลหลายฟาร์ม ช่วยเพิ่มอัตราการรอดของกุ้งได้ 200 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 500 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเทียบกับบ่อกุ้งที่ไม่ได้ใช้ eLysozyme-T2 ในการแก้ไขปัญหาโรคขี้ขาว ที่สำคัญ eLysozyme-T2 ยังทำหน้าที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันของกุ้งเลี้ยงทำให้กุ้งแข็งแรงและป้องกันเชื้อโรคใหม่ที่จะเข้ามาได้ดีขึ้น”   [caption id="attachment_30122" align="aligncenter" width="750"] การทดลองใช้ eLysozyme กับกุ้งขาว[/caption]   [caption id="attachment_30123" align="aligncenter" width="750"] การทดลองใช้ eLysozyme ในบ่อเลี้ยงกุ้งขาว[/caption]   ปัจจุบันผลงานวิจัยดังกล่าวได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์ให้แก่ บริษัทโอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด เป็นผู้ผลิต และบริษัทไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่าย ภายใต้ผลิตภัณฑ์ ‘เมจิค ดีพลัส’ (Magic DePlus) ช่วยสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมอาหาร อาหารสัตว์ และการเพาะเลี้ยงสัตว์ โดยสามารถเพิ่มมูลค่าส่วนผสมฟังก์ชันจากโปรตีนไข่ขาว 400 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มผลตอบแทนให้แก่การเพาะเลี้ยงกุ้งขาวกว่า 300 เปอร์เซ็นต์ เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นแล้วอย่างน้อย 36.5 ล้านบาท ซึ่งทีมวิจัยและผู้ประกอบการเตรียมนำทดลองไปใช้ในอุตสาหกรรมสัตว์ประเภทอื่นๆ เช่น ไก่ สุกร ต่อไป   [caption id="attachment_30124" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ eLysozyme[/caption]   [caption id="attachment_30125" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ eLysozyme[/caption]   [caption id="attachment_30126" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ eLysozyme[/caption]   ดร.วีระพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้พัฒนา eLysozyme อีก 1 สูตร โดยร่วมวิจัยกับ บริษัทโอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด คือ eLysozyme-T1 (eLYS-T1) สำหรับใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร มีประสิทธิภาพยับยั้งแบคทีเรียสูงกว่าไลโซไซม์ที่พบได้ในไข่ขาวทั่วไป 2–100 เท่า (ขึ้นอยู่กับชนิดของแบคทีเรีย) สามารถทดแทนวัตถุกันเสียเพื่อใช้ควบคุมเชื้อแบคทีเรียในผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์ โดยสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ไข่รวมเหลวพาสเจอร์ไรซ์ในระหว่างการเก็บรักษาแบบแช่เย็นจากเดิม 4 สัปดาห์ เป็น 8 สัปดาห์ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติเชิงหน้าที่ของไข่รวมเหลวพาสเจอร์ไรซ์ “ไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์ คือ การนำไข่ไก่ไปผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนในอุณภูมิพอเหมาะ ช่วยให้การเก็บรักษาไข่เหลวอยู่ได้ประมาณ 4 สัปดาห์ หลังจากครบกำหนดแล้วอาจมีเชื้อแบคทีเรียต่างๆ เจริญเติบโตขึ้น แต่ทีมวิจัยอาศัยความเชี่ยวชาญโดยใช้ eLysozyme ซึ่งมีต้นกำเนิดจากไข่ไก่ ผสมกลับไปเพื่อช่วยควบคุมไม่ให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ จากการทดลองพบว่าช่วยยืดอายุไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 4 สัปดาห์ รวมเป็น 8 สัปดาห์ ทำให้ยืดอายุสินค้าวางขายบนเชลฟ์วางสินค้าได้นานขึ้น เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อไปใช้ในครัวเรือนได้นานขึ้น โดยไม่ต้องรีบใช้ให้หมดในครั้งเดียว ถือเป็นการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ลดการใช้สารเคมีกันเสียหรือสารกันบูด สร้างความปลอดภัยในการบริโภคอาหาร โดยใช้ไลโซไซม์ซึ่งเป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์มาช่วยยืดอายุอาหาร” eLysozyme นับเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในสัตว์เพื่อทำให้สุขภาพสัตว์ดี มีความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทางที่ฟาร์มเพาะเลี้ยง สู่ความปลอดภัยในการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง  
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
HI PETE เต็นท์ความดันลบ ลดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
  การระบาดของไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่กระจายเชื้อรวดเร็วและหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา และกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศแทนสายพันธุ์เดลตาเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในอนาคตยังรับประกันไม่ได้ว่าจะมีไวรัส SARS-CoV-2 กลายพันธุ์สู่สายพันธุ์ที่น่ากังวลเพิ่มขึ้นหรือไม่ ดังนั้นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และหน่วยงานพันธมิตร พัฒนา “HI PETE” เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อก่อโรคโควิด-19 และอำนวยความสะดวกในการแยกหรือกักตัวให้แก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล   [caption id="attachment_29798" align="aligncenter" width="642"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม (DIST) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.[/caption] [caption id="attachment_29799" align="aligncenter" width="700"] ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม (DIST) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.[/caption]   ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม (DIST) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. อธิบายว่า จากการที่ทีมวิจัยได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอุปกรณ์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้แก่ประเทศมาตลอด 2 ปี ทำให้ตระหนักว่าปัจจุบันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศยังคงมีความต้องการห้องความดันลบสำหรับใช้แยกผู้ป่วยสูง เพราะนอกจากผู้ป่วยโรคโควิด-19 แล้ว ยังมีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ที่ติดต่อได้ง่ายและมีความร้ายแรงอย่าง วัณโรค ซาร์ส และเมอร์ส ที่จำเป็นต้องใช้เช่นกัน ทีมจึงได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการสร้างระบบความดันลบ (Negative pressure unit) หรือระบบป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ จากการพัฒนา “PETE เปลปกป้อง (Patient Isolation and Transportation Chamber)” อุปกรณ์สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย มาต่อยอดในการผลิตอุปกรณ์สำหรับกักตัว โดยระบบสร้างความดันลบที่ทีมพัฒนาขึ้นมีจุดเด่นเรื่องระบบควบคุมการไหลเวียนของอากาศภายในพื้นที่ปิดที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกสบาย และอากาศจากภายในพื้นที่กักตัวผู้ป่วยจะผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV-C และกรองด้วย HEPA Filter แผ่นกรองคุณภาพสูง ซึ่งสามารถกรองอนุภาคได้ถึง 99.995% ทำให้มั่นใจได้ว่าอากาศที่ปล่อยสู่ภายนอกสะอาดและปลอดภัย   [caption id="attachment_29806" align="aligncenter" width="701"] PETE เปลปกป้อง (Patient Isolation and Transportation Chamber)[/caption]   “เต็นท์ความดันลบหรือผลิตภัณฑ์ HI PETE ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมี 3 รูปแบบหลัก คือ เต็นท์สนาม เต็นท์แอร์​ และเต็นท์พองลม เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งเรื่องขนาดพื้นที่และการดูแลผู้ป่วย ซึ่งการพัฒนา HI PETE ทีมวิจัยได้เลือกนำเต็นท์สำเร็จรูปมาออกแบบการติดตั้งระบบป้องกันการรั่วไหลของอากาศและระบบสร้างความดันลบ เพื่อช่วยลดต้นทุนในการผลิต และช่วยให้ผู้ติดตั้งประกอบอุปกรณ์ได้ง่ายเพราะเป็นเต็นท์รูปแบบมาตรฐานที่มีการใช้งานทั่วไป”   [caption id="attachment_29804" align="aligncenter" width="700"] “HI PETE” เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ[/caption]   ดร.ศราวุธ อธิบายถึงรูปแบบการใช้งานและจุดเด่นของเต็นท์ HI PETE ทั้ง 3 แบบว่า เต็นท์สนามมีจุดเด่นคือมีขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ในการติดตั้งอุปกรณ์ประมาณ 2 x 1.5 เมตร ติดตั้งง่ายด้วยคนเพียงคนเดียว เหมาะแก่การใช้งานในสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัด แบบที่สองคือเต็นท์แอร์จะมีขนาดใหญ่กว่า มีลักษณะเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณ 2 x 2.5 เมตร สามารถวางฟูกขนาด 3.5 ฟุต มีพื้นที่ให้ผู้ป่วยลุกขึ้นยืนหรือเดินภายในเต็นท์ มีช่องพลาสติกใสให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลสื่อสารกันได้สะดวก ส่วนด้านอื่นๆ ของเต็นท์มีลักษณะปิดทึบเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความเป็นส่วนตัว เต็นท์รูปแบบนี้ใช้คนในการติดตั้ง 3-4 คน เต็นท์ทั้งสองรูปแบบข้างต้นเหมาะแก่การใช้งานในโรงพยาบาลสนาม พื้นที่กักตัวของชุมชน รวมถึงที่พักอาศัยของผู้ป่วย โดยต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท   [caption id="attachment_29805" align="aligncenter" width="701"] “HI PETE” เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ[/caption]   “ส่วนรูปแบบที่สามคือเต็นท์พองลม เต็นท์ชนิดนี้มีขนาดประมาณ 2 x 1.5 เมตร เหมาะแก่การใช้เป็นห้องความดันลบฉุกเฉินในสถานพยาบาล เพราะติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถติดตั้งได้ด้วยคนเดียว และใช้เวลาในการติดตั้งไม่เกิน 5 นาที มีช่องสำหรับทำหัตถการ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วยได้สะดวกลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ระบบความดันลบของเปลประเภทนี้จะมี Smart Controller เพิ่มเติมเข้ามา เพื่อควบคุมแรงดันภายในเปลแบบอัตโนมัติ ตรวจจับการรั่วไหลของอากาศสู่ภายนอก และมีระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศเมื่อถึงกำหนด ราคาต้นทุนในการผลิตเต็นท์รูปแบบนี้อยู่ที่ประมาณ 150,000 บาท ซึ่งถูกกว่าเต็นท์ความดันลบที่จำหน่ายทั่วไปในตลาด 2-3 เท่า และถูกกว่าการสร้างห้องความดันลบที่ได้มาตรฐานอย่างมาก HI PETE ทั้ง 3 รูปแบบที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นผ่านการทดสอบมาตรฐานการรั่วซึม ISO14644 มาตรฐานความปลอดภัยทางไฟฟ้า IEC 6001-1: 2012 ความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า IEC 60601-1-2 และผ่านการทดสอบใช้งานจริงโดยผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่า HI PETE เป็นอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ผู้ป่วยและผู้ดูแลรักษาได้รับความสะดวกสบายในการใช้งานตามความเหมาะสม” ดร.ศราวุธ เสริมว่า หากสถานพยาบาลใดไม่มีห้องความดันลบหรือมีความเสี่ยงว่าห้องความดันลบจะไม่เพียงพอต่อการใช้งาน สามารถใช้เต็นท์ความดันลบ HI PETE เพื่อทดแทนห้องความดันลบได้ทันที เพราะ HI PETE ผ่านการทดสอบมาตรฐานทางการแพทย์เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนา HI PETE ยังอยู่ในระดับสาธารณประโยชน์ มุ่งบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นหลัก อย่างไรก็ดีในอนาคตทีมวิจัยมีความตั้งใจที่จะพัฒนาสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทเอกชนเพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้งานไปสู่วงกว้างเพื่อสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป ผู้ที่สนใจสนับสนุนการส่งมอบ “เต็นท์ความดันลบ HI PETE” ให้แก่สถานพยาบาล ติดต่อได้ที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. หรืออีเมล์ pete@mtec.or.th ร่วมสนับสนุนการเข้าถึงอุปกรณ์การแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้แก่คนไทย     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น