ผลการค้นหา :
สวทช. – องค์การสวนสัตว์ฯ ผนึกความร่วมมือ เตรียมสร้างฐานข้อมูลกลาง ด้านทรัพยากรชีวภาพสัตว์ของไทย
(25 สิงหาคม 2565) ณ ห้อง 403 อาคารศูนย์ประชุม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี : ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนา และ วิชาการ เกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพและฐานข้อมูลของประเทศไทย ระหว่าง องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยมี ดร. ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ นักวิจัยและนักวิชาการทั้งสองหน่วยงานร่วมงาน
ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ(National Biobank of Thailand: NBT) เป็นหนึ่งในกิจกรรมโครงสร้างพื้นฐานของ สวทช. ที่ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ชั้นนำสนับสนุนกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพอันมีค่าของประเทศแบบระยะยาว เพื่อเป็นฐานที่สำคัญของการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสภาวะวิกฤตและการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่นำไปสู่การสูญเสียทรัพยากรชีวภาพอย่างถาวรในธรรมชาติ นอกจากนี้ NBT ยังเป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลทรัพยากรชีวภาพที่น่าเชื่อถือพร้อมกับการนำเอาข้อมูลระดับจีโนมและสารสนเทศอื่นๆ ที่เกิดจากการวิจัยบนทรัพยากรชีวภาพเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดให้เกิดเป็นระบบสารสนเทศเพื่อการใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำไปสู่การค้นพบองค์ความรู้ใหม่ นอกจากนั้นแล้ว NBT ยังสนับสนุนการเชื่อมโยงของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน องค์กรในประเทศและนานาชาติ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยยังสามารถเก็บรักษาหรืออนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพไว้ได้อย่างยั่งยืน
สำหรับความร่วมมือกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพและนำข้อมูลทรัพยากรชีวภาพอันมีค่ามาใช้ประโยชน์ จะมีการพัฒนาต่อยอดเป็นระบบสารสนเทศที่เป็นฐานข้อมูลกลางด้านทรัพยากรชีวภาพสัตว์ของประเทศไทย สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลทรัพยากรชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ก่อให้เกิดความก้าวหน้าในงานวิจัยใหม่ๆ นำไปสู่การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกิดการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ สังคมและสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ และยังสามารถรักษาสมดุลในการใช้ทรัพยากรตามกรอบความคิด ‘BCG model’ อันเป็นวาระแห่งชาติของประเทศไทย
ด้าน นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้พัฒนาความร่วมมือด้านการวิจัย และการเก็บรักษาทรัพยากรชีวภาพ เพื่อการอนุรักษ์สัตว์อย่างยั่งยืน ซึ่งมีสวนสัตว์ 6 แห่งในความดูแลรับผิดชอบ ได้แก่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา สวนสัตว์ขอนแก่น สวนสัตว์อุบลราชธานี และอีก 1 โครงการ คชอาณาจักรสุรินทร์ โดยมีสัตว์ที่อยู่ในความดูแลกว่า 600 ชนิด 8,000 กว่าตัว ที่มีคุณค่าและส่วนใหญ่เป็นสัตว์ป่าหายาก ซึ่งอยู่ในภาวะถูกคุกคามที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และบางชนิดไม่สามารถพบได้แล้วในธรรมชาติ
ดังนั้นจึงถือได้ว่าสัตว์ป่าในสวนสัตว์ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์ องค์การสวนสัตว์ฯ จึงมุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งด้านบริหารจัดการ อนุรักษ์ วิจัยสัตว์ป่า ทั้งในถิ่น และนอกถิ่นอาศัย โดยพัฒนาการอนุรักษ์วิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านสัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างนวัตกรรมที่สนับสนุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเผยแพร่ผลงานวิจัย ให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์แก่สาธารณชน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สัตว์ป่าเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้เพื่อเตรียมรับมือกับวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่คุกคามการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าในปัจจุบัน ความเชี่ยวชาญของนักวิทยาศาสตร์ และองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านสุขภาพ พันธุศาสตร์ โภชนศาสตร์ สัตวศาสตร์ และวิทยาการสืบพันธุ์ จึงมีความสำคัญและต้องบูรณาการร่วมกันฟื้นฟูประชากรสัตว์ป่าและสนับสนุนให้การอนุรักษ์สัตว์ป่าในธรรมชาติให้มีความยั่งยืน (viable population) ต่อไป
“ตัวอย่างโครงการนกกระเรียนคืนถิ่นที่พลิกวิกฤตการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าในธรรมชาติกลับมาสมบูรณ์ ด้วยศาสตร์หลายแขนง และความร่วมมือของหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน นอกจากนี้องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยฯ โดยสถาบันอนุรักษ์และวิจัยสัตว์ ได้รวบรวมและเก็บรักษาเซลล์สืบพันธุ์ เซลล์ร่างกาย และสเต็มเซลล์ของสัตว์ป่าหายากในรูปแบบการแช่แข็ง เพื่อเป็นแหล่งสำรองความหลากหลายทางพันธุกรรมและชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าไว้ไม่ให้สูญพันธุ์ ซึ่งจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการศึกษา วิจัยและขยายพันธุ์ต่อไปในอนาคต”
อย่างไรก็ตามจากความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและความต้องการในการพัฒนาองค์ความรู้ในการรักษาทรัพยากรชีวภาพดังกล่าว และนำมาสู่ความร่วมมือกับทาง สวทช. ในการนำเทคโนโลยีซึ่งเป็นจุดเด่นมาใช้เพื่อการเก็บรักษาทรัพยากรสัตว์ที่มีค่าของประเทศร่วมกันครั้งนี้ องค์การสวนสัตว์ฯ หวังว่าจะก่อให้เกิดการสร้างองค์ความรู้จาก การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักวิจัยร่วมกันเพื่อการอนุรักษ์ที่ยั่งยืนต่อไป
///////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ส่งมอบผักสดคุณภาพจาก Plant Factory แก่ 4 หน่วยงานโรงพยาบาล-โรงเรียน จ.ปทุมธานี
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2565 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นำผักสดคุณภาพ Premium Veggies จากการเพาะปลูกด้วยเทคโนโลยีทันสมัยในโรงงานผลิตพืช หรือ Plant Factory ของ สวทช. ประกอบด้วย ผักกรีนปัตตาเวีย, ผักเรดคอรัล , คะน้าฮ่องกง และเคล รวมจำนวน 160 ชุด ส่งมอบให้กับ 4 หน่วยงานโรงพยาบาลและโรงเรียนในพื้นที่ จ.ปทุมธานี เพื่อนำไปประกอบอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับเด็กนักเรียน และผู้ป่วย
โดย 4 หน่วยงานที่ได้รับมอบ ได้แก่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มี ผศ.นพ.ปรีดิ์ นิมมานิตย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและงบประมาณ และ นางสุกัญญา คุณกิตติ หัวหน้างานการพยาบาลคัดกรองและรับผู้ป่วยใน เป็นผู้แทนรับมอบ, โรงพยาบาลคลองหลวง มีนางวารุณี แหลมภู่ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ และ น.ส.จรรยาณี ภูนางดาว นักโภชนาการปฏิบัติการ เป็นผู้แทนรับมอบ, โรงเรียนจารุศรบำรุง มีนางกันทิตา บุญมี และ น.ส.ดารุณี ปันคำ เป็นผู้แทนรับมอบ และ โรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีนางธิติมา บุญมี ผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นผู้รับมอบ
สำหรับผัก Premium Veggies เป็นผลิตภัณฑ์ BCG Product ปลูกในโรงงานผลิตพืช Plant Factory ของ สวทช. ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำและปลูกพืชด้วยระบบปิด สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมและปัจจัยต่างๆ ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ช่วงคลื่นแสง ความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น แร่ธาตุต่าง ๆ รวมถึงปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งปราศจากการใช้สารเคมีและการปนเปื้อนจากสภาพแวดล้อม ส่งผลให้ผลผลิตผักและพืชชนิดต่างๆ มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยต่อผู้บริโภค.
ข่าวประชาสัมพันธ์
ประธาน BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ ร่วมบรรยายพิเศษในเวทีการประชุม APEC Health Week
For English-version news, please visit : Thailand presents BCG Health program to APEC Health Working Group
(24 สิงหาคม 2565) ณ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ : ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ อดีตปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ ได้รับเกียรติให้นำเสนอในเวทีการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส (Senior Officials’ Meeting: SOM) ของคณะทำงานสุขภาพ APEC ถึงแนวทางการพัฒนาและขับเคลื่อน BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ในด้านการพึ่งพาตนเองและการลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุขของไทย พร้อมกันนี้ได้นำเสนอตัวอย่างผลงานด้านเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์แก่ทีมผู้บริหารและผู้แทนสมาชิกเขตเศรษฐกิจ APEC จำนวนกว่า 80 คน ที่เยี่ยมชมศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในประเด็นการขับเคลื่อนด้านการแพทย์และสาธารณสุขในรูปแบบเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวหน้าทันสมัย สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy model : BCG) ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมการประชุม APEC Health Week ของคณะทำงานด้านสุขภาพ (Health Working Group : HWG) APEC ที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการแพทย์และสาธารณสุขระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคม 2565
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธาน BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ ได้รับเชิญให้บรรยายพิเศษในหัวข้อ Bio-Circular-Green Economy and Health โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า การขับเคลื่อนงานด้านสาธารณสุขและเครื่องมือแพทย์นั้นถือเป็น 1 ใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้นโยบาย BCG ซึ่งรัฐบาลไทยได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ภายในปี 2570 ผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ โดยสนับสนุนให้มีการพัฒนาเครื่องมือแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานเทียบเท่าสากล ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศมีปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากอัตราการเจ็บป่วยของประชาชนที่เพิ่มขึ้น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุรวมทั้งผลกระทบของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ยังได้บรรยายสรุปถึงแนวทางพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Model ในภาพรวม ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญ และผลักดันอย่างเต็มที่ ในส่วนของสาขาเครื่องมือแพทย์ได้มุ่งเน้นการขับเคลื่อนใน 4 มิติ ได้แก่ สร้างการพึ่งพาตนเองเพื่อความมั่นคงทางสาธารณสุข ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในการดูแลสุขภาพ เพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และ เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ไทย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศได้อย่างยั่งยืน
สำหรับการศึกษาดูงานของคณะทำงานสุขภาพ APEC มีการนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยที่มีความสอดคล้องกับนโยบาย BCG ใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.ศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นอาคารใต้ดินลึก 15 เมตร ให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งทางรังสีด้วยอนุภาคโปรตอน นับเป็นแห่งแรกในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการรักษาจะใช้เครื่องเร่งอนุภาคไซโคลตรอน ซึ่งจะเร่งอนุภาคโปรตอนไปทำลายก้อนมะเร็ง โดยเนื้อเยื่อปกติที่อยู่หน้าก้อนมะเร็งจะได้รับปริมาณรังสีน้อย และเนื้อเยื่อที่อยู่หลังก้อนมะเร็งแทบไม่ได้รับรังสีเลย ทำให้การรักษามีความแม่นยำสูง ช่วยลดผลข้างเคียง เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยาวนานขึ้น
2.ศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ นับเป็นศูนย์กลางการแก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้การดูแลช่วยเหลือผู้ที่มีความผิดปกติบนใบหน้าตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดจากอุบัติเหตุ ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตที่มีคุณภาพในสังคมได้ โดยมีผู้ป่วยส่งต่อมาจากสถาบันทางการแพทย์ทั่วประเทศ ให้การดูแลรักษาผ่าตัดผู้ป่วยที่มีความผิดปกติบนใบหน้าและศีรษะหลากหลายประเภทมากกว่า 3,000 ราย จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ของบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางการรักษาผู้ป่วยโรคงวงช้าง โดยมีเทคนิคการผ่าตัดแก้ไขความพิการด้วยวิธี “จุฬาเทคนิค” และถูกนำไปใช้ทั่วโลก
3.สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ให้การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยอย่างครบวงจร ทั้งการเตรียมพร้อมก่อนเกิดภัย การจัดการขณะเกิดภัย และการฟื้นฟูบูรณะสู่ภาวะปกติ บรรเทาทุกข์ผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนการประชานามัยพิทักษ์ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้มั่นคง ทัดเทียม อย่างยั่งยืน สอดคลองกับยุทธศาสตร์สภากาชาดไทยในด้านบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เป็นเลิศครบวงจร โดยให้บริการทางการแพทย์ผ่านทางสถานีกาชาด 13 แห่ง ให้บริการด้านรักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ ส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคแก่ประชาชน อีกทั้งการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ด้านจักษุศัลยกรรมฯ ศัลยกรรมตกแต่งแก้ไขปากแหว่งเพดานโหว่ และความพิการอื่นๆ รวมถึงหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ เป็นต้น
4.หมอพร้อม แอปพลิเคชัน เป็นการพัฒนาด้านสาธารณสุขดิจิทัลที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงแรกเพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารกับประชาชนในช่วงการระบาด ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลวัคซีนของตนเองได้ พร้อมประเมินติดตามอาการภายหลังการรับวัคซีน โดยปัจจุบัน “หมอพร้อม” ถือว่าเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในด้านสาธารณสุขของประเทศไทย มีประชาชนมากกว่า 32 ล้านคน เข้าถึงแพลตฟอร์มนี้ทั้งแอปพลิเคชันและ Line OA และมีการพัฒนาต่อยอดอย่างไม่สิ้นสุด
ทั้งนี้การประชุมคณะทำงานสุขภาพ APEC ถือเป็นการประชุมด้านสุขภาพระดับนานาชาติครั้งแรกในประเทศไทย หลังจากการระบาดของโรคโควิด 19 โดยมีเป้าหมายคือการช่วยสร้างความตื่นตัวในระดับสากลทั่วภูมิภาคเอเปค เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสุขภาพหลังวิกฤตโควิด 19
///////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
“หอมสยาม” ข้าวหอมพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่ ตอบโจทย์เกษตรกรไทย ถูกใจผู้บริโภค
For English-version news, please visit : Hom Siam: A new fragrant rice variety
ต้นเตี้ย ผลผลิตสูง ต้านทานโรค เก็บเกี่ยวง่าย คือลักษณะเด่นของ “ข้าวหอมสยาม” ข้าวเจ้านาปีพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาพันธุ์โดยทีมนักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และหน่วยงานพันธมิตร เพื่อให้ได้พันธุ์ข้าวหอมต้นเตี้ยทนแล้ง ต้านทานต่อโรคใบไหม้และโรคไหม้คอรวงได้ดี ช่วยลดการใช้สารเคมี ที่สำคัญเมื่อหุงสุกแล้วข้าวสวยมีความหอม นุ่ม อร่อยเทียบเคียงข้าวหอมมะลิ ตอบโจทย์ทั้งเกษตรกร โรงสี และผู้บริโภค ช่วยยกระดับการผลิตและการส่งออกข้าวไทยในอนาคต
พัฒนาพันธุ์ 10 ปี ได้ข้าวหอม นุ่ม สู้โรคภัย ให้ผลผลิตสูง
ดร.โจนาลิซา แอล เซี่ยงหลิว นักวิจัยไบโอเทค ผู้พัฒนาพันธุ์ข้าวหอมสยาม เปิดเผยว่าทีมวิจัยใช้เวลากว่า 10 ปีในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมให้มีความทนแล้ง ต้านทานโรคไหม้ ให้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพการหุงต้มดีเหมือนข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยใช้วิธีการปรับปรุงพันธุ์แบบผสมกลับร่วมกับการใช้เทคโนโลยีเครื่องหมายดีเอ็นเอช่วยในการคัดเลือก ระหว่างข้าวสายพันธุ์แม่ “RGD03068-2-9-1-B (RGD03068)” ซึ่งเป็นข้าวเจ้าหอมนุ่มที่มีลักษณะทนแล้ง กับข้าวสายพันธุ์พ่อ “แก้วเกษตร” ซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานต่อโรคไหม้ ทรงกอตั้ง จนกระทั่งได้พันธุ์ข้าวหอมสยามในที่สุด
[caption id="attachment_35196" align="aligncenter" width="650"] ดร.โจนาลิซา แอล เซี่ยงหลิว นักวิจัยไบโอเทค[/caption]
“ข้าวหอมสยามมีคุณลักษณะเด่น 3 ประการ หนึ่ง เราพัฒนาให้ความสูงของต้นข้าวมีลักษณะเตี้ยลง ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ปกติมีความสูงที่ประมาณ 150 เซนติเมตร มีปัญหาหักล้มง่าย สร้างความเสียหายต่อผลผลิต แต่เราทำให้ข้าวหอมสยามมีความสูงลดลงเหลือ 120 เซนติเมตร และมีลำต้นแข็งแรง เพื่อให้ทนทานต่อการหักล้ม สอง ความต้านทานต่อโรคไหม้ ซึ่งปกติแล้วข้าวขาวดอกมะลิ 105 และ กข 15 อ่อนแอต่อโรคไหม้ แต่เราพัฒนาข้าวหอมสยามให้ต้านทานต่อโรคไหม้ และสาม เราทำให้ข้าวหอมสยามมีผลผลิตสูง สูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105ประมาณ 2 เท่า ซึ่งปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมาจากการแตกกอดีของข้าวหอมสยามเมื่อเทียบกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 แล้วก็มีจำนวนเมล็ดต่อรวงมากกว่าด้วย นอกจากนี้ข้าวหอมสยามยังมีระบบรากลึก สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย จึงเหมาะสมสำหรับพื้นที่ปลูกข้าวอาศัยน้ำฝนซึ่งมักประสบปัญหาน้ำแล้ง”
[caption id="attachment_35189" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม ต้นเตี้ย ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ต้านทานโรคใบไหม้ และให้ผลผลิตสูง[/caption]
พันธุ์ข้าวดี เกษตรกรยอมรับ โรงสีรับซื้อ
ในปี 2563 ทีมวิจัยได้ทำงานร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรของบริษัทบางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด นำพันธุ์ข้าวหอมสยามไปปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ และ จ.ศรีสะเกษ ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 530 กิโลกรัมต่อไร่ (ความชื้น 14%) สูงกว่าข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ประมาณ 2.1 เท่าที่ปลูกในแปลงเดียวกัน ต่อมาในปี 2564 ได้มีการขยายผลการปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย จ.พะเยา จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ จ.ศรีสะเกษ จ.สกลนคร จ.นครพนม จ.ยโสธร จ.ร้อยเอ็ด จ.สุรินทร์ จ.มหาสารคาม และ จ.บุรีรัมย์ รวมพื้นที่ 21 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมทดสอบพันธุ์ จำนวน 31 คน
[caption id="attachment_35195" align="aligncenter" width="650"] ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ผู้เชี่ยวชาญการปรับปรุงพันธุ์และทดสอบพันธุ์ข้าวในแปลงนาโดยเกษตรกรมีส่วนร่วม[/caption]
ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ผู้เชี่ยวชาญการปรับปรุงพันธุ์และทดสอบพันธุ์ข้าวในแปลงนาโดยเกษตรกรมีส่วนร่วม กล่าวว่า พันธุ์ข้าวหอมสยาม ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นพันธุ์ข้าวหอมต้นเตี้ย ผลผลิตสูง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ทำให้ลดการสูญเสียผลผลิตจากการหักล้ม และลดต้นทุนในการเก็บเกี่ยว คุณสมบัติเด่นอีกประการของข้าวหอมสยามคือมีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และโรคไหม้คอรวงได้ดีเมื่อเทียบกับข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข15 เป็นการลดการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดโรค
[caption id="attachment_35190" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยามในแปลงปลูกของเกษตรกร[/caption]
[caption id="attachment_35191" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม[/caption]
“พอเราได้พันธุ์แล้ว เรายังไม่เรียกว่าสำเร็จ ความสำเร็จต้องอยู่ที่การยอมรับของผู้ประกอบการโรงสี ผู้ค้าข้าว เกษตรกร และเข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้นได้อย่างดีจริง ซึ่งข้าวหอมสยามก็ได้พิสูจน์แล้ว โดยผ่านกระบวนการทดสอบในเชิงวิจัยมา 2 ปีก่อนหน้า และก็เข้าสู่กระบวนการทดสอบในแปลงเกษตรกรทั้งหมด 31 แปลง 12 จังหวัด ทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การปรับปรุงพันธุ์จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเกษตรกรยอมรับ และเมื่อเกษตรกรยอมรับแล้วนั้นก็ต้องส่งต่อให้กับผู้ประกอบการ โรงสี และกระบวนการทางการตลาด เพราะฉะนั้นพันธุ์ข้าวที่ดีต้องให้ประโยชน์ต่อชาวนาได้ แล้วต้องส่งต่อให้กับภาคอุตสาหกรรม ส่งต่อให้กับประเทศได้”
“หอมสยาม” ความหวังของชาวนาและประเทศไทย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ข้าวไทย” มีชื่อเสียงและคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก โดยเฉพาะ “ข้าวหอมมะลิ” ซึ่งมีรางวัลการันตีหลายปีต่อเนื่องว่าเป็นข้าวคุณภาพดีที่สุดในโลกจากการประกวดข้าวโลก (World’s Best Rice Award) แต่สถานการณ์การผลิตและส่งออกข้าวไทยกลับไม่เป็นดังหวัง เพราะปัญหาภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทำให้ข้าวไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่ง
[caption id="attachment_35194" align="aligncenter" width="650"] ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร[/caption]
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร และหัวหน้าทีมพัฒนาพันธุ์ข้าวของ ไบโอเทค กล่าวว่า ในสถานการณ์วิกฤตของข้าวไทย การพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมนุ่ม ผลผลิตสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ทีมวิจัยได้พัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ “หอมสยาม” ที่มีคุณภาพการหุงต้มใกล้เคียงกับข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เป็นข้าวเจ้าหอมพื้นนุ่ม ผลผลิตสูง ไวต่อช่วงแสง ต้นเตี้ยทนการหักล้ม ปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย ลำต้นแข็ง ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวได้ง่าย สอดรับกับการทำนาสมัยใหม่และแนวโน้มการทำนาในอนาคตที่ใช้เครื่องจักรมากขึ้น
[caption id="attachment_35192" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม[/caption]
[caption id="attachment_35193" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม ข้าวเจ้านาปีพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพการหุงต้มใกล้เคียงกับข้าวขาวดอกมะลิ 105[/caption]
“เราต้องการให้มีข้าวที่ตอบโจทย์ประเทศ คือข้าวที่มีคุณภาพดี ผลผลิตสูง เพื่อแข่งขันได้ เรารู้จักข้าวขาวดอกมะลิ เรายอมรับว่านี่คือข้าวคุณภาพดีที่หนึ่ง เราก็อยากได้ข้าวที่เหมือนขาวดอกมะลิ แต่ว่าไม่ล้มได้มั้ย ผลผลิตสูงได้มั้ย ใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยวได้มั้ย ต้านทานโรคไหม้ได้มั้ย นั่นคือเป้าหมายที่เราพัฒนาข้าวหอมสยาม เพื่อแก้ประเด็นปัญหาของพันธุ์ข้าวดีที่เรามีอยู่ ในเรื่องของคุณภาพ เรามีพันธุ์ข้าวคุณภาพใกล้เคียงกัน แต่ลดปัญหาความเสียหายจากโรค การหักล้ม และเหมาะสำหรับการทำเกษตรสมัยใหม่”
ปัจจุบันทาง ไบโอเทค สวทช. ได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนพันธุ์พืช ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 กับกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้ว โดยข้าวพันธุ์หอมสยามนี้ จะเป็นข้าวหอมไทยคุณภาพอีกพันธุ์หนึ่งที่สามารถส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการข้าวหอมคุณภาพดีในราคาที่ไม่สูงเกินไป สามารถแข่งขันในตลาดได้ ทั้งยังช่วยยกระดับรายได้ให้เกษตรกร สร้างเศรษฐกิจชุมชมเข้มแข็ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
“ไมโครสไปก์” นวัตกรรมแผ่นเข็มจิ๋วออกแบบได้ตามสั่ง เจาะตลาดสุขภาพและความงาม
For English-version news, please visit : Microspike Technology: Instant Production of Microneedle Fabrics with Customizable Features
“ไมโครสไปก์” นวัตกรรมแผ่นเข็มจิ๋วออกแบบได้ตามสั่ง เจาะตลาดสุขภาพและความงาม
เทคโนโลยี “ไมโครนีดเดิล” เป็นเข็มที่มีขนาดเล็กมากกว่า 10 ไมโครเมตร หรือเล็กกว่าเส้นผมเกือบ 10 เท่า สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังได้อย่างง่ายดาย โดยเข็มนี้ทำหน้าที่นำส่งสารสำคัญต่างๆ เข้าสู่ชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สร้างความเจ็บปวดหรือก่อให้เกิดร่องรอยถาวร สามารถนำไปประยุกต์ใช้ทั้งในด้านอุตสาหกรรมความงาม สุขภาพและการแพทย์อนาคต โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีไมโครนีดเดิลเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับทั่วโลก ถือเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่น่าจับตา สามารถพัฒนาไปได้ไกลและมีโอกาสทางการตลาดสูง
[caption id="attachment_35138" align="aligncenter" width="550"] ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ นาโนเทค สวทช. และ CTO บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด[/caption]
ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ หัวหน้าทีมวิจัยเข็มระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเข็มขนาดไมโครเมตรบนผืนผ้าอย่างรวดเร็ว ที่เรียกว่า “เทคโนโลยีไมโครสไปก์” เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดของเทคโนโลยีการผลิตเข็มไมโครนีดเดิลที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เทคโนโลยีไมโครนีดเดิลเริ่มเป็นที่แพร่หลายในระดับโลกมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ดี ดร.ไพศาลเผยว่า เทคโนโลยีนี้ยังไม่ค่อยพบมากในบ้านเรา เนื่องจากปัญหาคอขวดเรื่องการผลิตในระดับอุตสาหกรรมที่ยังมีราคาค่อนข้างสูง และยังมีตัวเลือกไม่มาก ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการผลิตที่เรียกว่า เทคโนโลยีไมโครสไปก์ ที่สามารถลดข้อจำกัดดังกล่าว ด้วยการออกแบบที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้งานและสมบัติของสารที่ต้องการให้ซึมสู่ชั้นผิวหนัง
“เทคโนโลยีไมโครสไปก์ เป็นการออกแบบ พัฒนา ผลิตและประยุกต์โครงสร้างคล้ายเข็มขนาดเล็กเพื่อสร้างช่องทางนำส่งสารสำคัญผ่านผิวหนังชั้น โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือเกิดร่องรอยถาวร จุดเด่นของเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนี้คือ เราสามารถผลิตไมโครสไปก์บนผืนผ้าหรือวัสดุอื่นที่มีความยืดหยุ่นได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และยังกำหนดลักษณะจำเพาะได้ตามต้องการ ทั้งรูปร่าง จำนวน และความหนาแน่นต่อพื้นที่ เพื่อให้ได้แผ่นแปะที่มีลักษณะเฉพาะตามความต้องการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งมีศักยภาพอย่างมากในการนำไปใช้งานด้านสุขภาพและความงาม หรือแม้แต่การใช้ควบคู่กับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเดิมเพื่อเสริมประสิทธิภาพการนำส่งสารสำคัญได้อย่างแม่นยำ” ดร.ไพศาลกล่าว
การขึ้นรูปบนผ้าได้เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีหลักที่ยังไม่เคยมีใครทำได้และช่วยปลดล็อคการผลิตสู่เชิงพาณิชย์ เนื่องจากการผลิตเข็มแบบทั่วไปจำเป็นต้องใส่สารสำคัญเข้าไประหว่างการผลิตเข็ม ด้วยความแตกต่างของสารแต่ละประเภท ทำให้ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารที่หลากหลายได้ แต่การขึ้นรูปเข็มบนผืนผ้าทำให้เข็มขนาดไมครอนสามารถใช้ได้กับสารทุกประเภท และทำหน้าที่เสมือนรูขุมขนจำลองจำนวนมาก เป็นช่องทางให้สารซึมผ่านลงใต้ผิวหนัง ซึ่งเมื่อสารซึมหมด ช่องทางบนผิวหนังเหล่านั้นก็จะคืนสภาพแทบจะทันที
ทั้งนี้ ผลงานนวัตกรรม “กระบวนการผลิตเข็มขนาดไมครอนบนผืนผ้าแบบรวดเร็วและสามารถปรับเปลี่ยนฟีเจอร์” (Instant production of microneedle fabrics with customizable features) โดย ดร.ไพศาลและคณะ ได้รับรางวัลเหรียญทองจากการประกวด ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมในเวที SPECIAL EDITION 2022–INVENTION GENEVA EVALUATION DAYS ณ สมาพันธรัฐสวิส โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
ซึ่งปัจจุบัน ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ได้ต่อยอดผลิตเข็มขนาดไมครอนได้อย่างรวดเร็ว มีกำลังการผลิตสูงกว่าผู้ผลิตเข็มขนาดไมครอนเดิมที่มีอยู่ในตลาดโลกถึง 25 เท่า และผลิตแผงเข็มได้ขนาดใหญ่สุดที่ 2,000 ตารางเซนติเมตร ถือว่า ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้
“เทคโนโลยีไมโครสไปก์เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาและต่อยอดในเชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งมีระดับความพร้อมของเทคโนโลยีต้นแบบที่ประยุกต์ใช้ในหลายแอปพลิเคชัน และจากแนวโน้มในเรื่องการดูแลสุขภาพที่มีมากขึ้น ทำให้เราวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไมโครนีดเดิลเพื่อต่อยอดต่อไปได้ โดยในระยะแรก เรามองไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยความเป็นนวัตกรรมนี้จะปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สุขภาพ รวมถึงขยายไปสู่การใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ในอนาคต เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงนวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ให้ความสำคัญการดูแลสุขภาพเป็นลำดับต้นๆ” ดร.ไพศาลกล่าว
จากความสำเร็จของการวิจัยพัฒนาและความโดดเด่นของเทคโนโลยีไมโครสไปก์ จึงนำมาสู่การจัดตั้ง บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด ซึ่งเป็น 1 ใน 9 บริษัทดีปเทคสตาร์ตอัป (Deep Tech Startup) ภายใต้โครงการ “NSTDA Startup” ของ สวทช. เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีไมโครสไปก์สู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม
[caption id="attachment_35146" align="aligncenter" width="550"] นายต่อตระกูล พูลโสภา CEO บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด[/caption]
นายต่อตระกูล พูลโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน เทคโนโลยีไมโครนีดเดิลในประเทศยังมีข้อจำกัดด้านการผลิตที่ไม่สามารถผลิตได้นายต่อตระกูล พูลโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด จำนวนมากพอที่จะรองรับความต้องการของตลาด ตลอดจนมีการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีเดียวกันนี้จากต่างประเทศซึ่งมีบริษัทผู้ผลิตไมโครนีดเดิลในเชิงพาณิชย์อยู่จำนวนน้อยราย เราจึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะดำเนินการผลิตสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไมโครนีดเดิลและผลักดันออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ โดยมุ่งเน้นที่จะเป็นผู้ผลิตไมโครนีดเดิลในกับผู้ประกอบการที่สนใจนวัตกรรมไมโครนีดเดิลในอุตสาหกรรมความงามและสุขภาพ และยังมีแผนที่จะขยายไปสู่การแพทย์ในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่แม่นยำและรวดเร็วที่สุดในโลก
เทคโนโลยีไมโครสไปก์สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามที่ต้องการเพิ่มมูลค่าหรือสร้างอัตลักษณ์ให้แก่สินค้า โดยบริษัทสไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การให้คำแนะนำและปรึกษาเกี่ยวกับความสามารถและขีดจำกัดของนวัตกรรม รวมไปถึงการผลิตไมโครสไปก์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภค อาทิ แผ่นแปะขนาดเล็กแก้ปัญหาเฉพาะจุด (spot patches) แผ่นแปะสำหรับใต้ตา (under eye patches) และแผ่นแปะสำหรับใบหน้า (facial mask) หรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบการสนใจ
“เราคาดหวังที่จะเป็นสื่อกลางในการผลักดันนวัตกรรมไทยที่มีโอกาสทางการตลาดสูง เป็นตัวเลือกใหม่ให้ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจที่สนใจเทคโนโลยีและมองเห็นโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจ นำไปประยุกต์ใช้งานเพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจด้านอุตสาหกรรมความงาม ลดการพึ่งพาหรือนำเข้าเทคโนโลยีเดิมจากต่างประเทศ และสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มตลาดอุตสาหกรรมด้านความงาม สุขภาพและการแพทย์อนาคตที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตร รูปแบบไฮบริด พร้อมร่วมแสดงความยินดีแก่ ผู้สำเร็จการศึกษาโครงการ TAIST-Tokyo Tech ประจำปี 2022
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : นำโดย ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. ประธานกล่าวเปิดพิธีสำเร็จการศึกษาในโหมดไฮบริดครั้งแรกของโครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (TAIST-Tokyo Tech) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.จุนอิจิ อิมูระ รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษา สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว กล่าวต้อนรับและขานชื่อผู้สำเร็จการศึกษา และนายทาเคชิ อูชิดะ เลขานุการเอกสถานทูตประเทศญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดีต่อผู้สำเร็จการศึกษา จำนวน 47 คน จาก 3 หลักสูตร ดังนี้ 1.หลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์ (AE: Automotive Engineering) 12 คน 2.หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อระบบสมองกลฝังตัว (ICTES: Information and Communication Technology for Embedded Systems) 17 คน และหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (AIoT : Artificial Intelligence and Internet of Things program) 1 คน รวม 18 คน 3.หลักสูตรวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน (SERE: Sustainable Energy and Resources Engineering) 17 คน
ทั้งนี้มีผู้สำเร็จการศึกษา ระดับประกาศนียบัตรในหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งระบบราง จำนวน 23 คนโครงการ TAIST-Tokyo Tech ดำเนินการโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยไทย 5 สถาบัน ดังนี้ 1) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 2) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 3) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 4) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และ 5) มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีผู้แทนแต่ละสถาบันได้เข้าร่วมและแสดงความยินดีแก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “โครงการ TAIST-Tokyo Tech ดำเนินการในรูปแบบพันธมิตรมายาวนานกว่า 15 ปี และขณะนี้กำลังเข้าสู่ระยะที่ 4 โครงการไม่สามารถมาไกลถึงขนาดนี้ได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากคณาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียวซึ่งได้อุทิศเวลา และความรู้ในการวางแผนรายวิชา การบรรยาย และการกำกับดูแลนักศึกษา ทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก สำหรับประเทศไทย ได้มีมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งดังที่กล่าวข้างต้นร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการวางแผนและดำเนินโครงการ TAIST-Tokyo Tech ในโอกาสนี้จึงขอขอบคุณคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ของ Tokyo Tech และมหาวิทยาลัยพันธมิตรของไทยที่ทุ่มเทและสนับสนุนโครงการนี้ อีกทั้ง ขอบคุณภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนทั้งด้านการเงินและอื่นๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โครงการ TAIST-Tokyo Tech ประสบความสำเร็จในการผลิตผู้สำเร็จการศึกษามากกว่า 497 คน และส่วนใหญ่ได้งานในสถาบันชั้นนำในภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย ประมาณ 90 คน ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยทั้งภายในและต่างประเทศ นอกจากนี้ขอขอบคุณไปยังนักวิจัยศูนย์ต่างๆ ในสังกัดสวทช.ดังนี้ MTEC, NECTEC, NANOTEC, BIOTEC และศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ คือ ENTEC ที่สละเวลาอันมีค่า ในการให้คำปรึกษาในการทำงานวิจัยของนักศึกษา
สำหรับผู้สำเร็จการศึกษา กว่าจะมาถึงวันนี้เราทราบดีว่าไม่ง่าย นักศึกษาต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการศึกษาในรูปแบบโมดูล การบ้าน การสอบ โครงการวิจัย และอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ทั่วโลก ถึงกระนั้นนักศึกษาก็ยังคงมุ่งมั่นจนสำเร็จการศึกษาได้ ทุกคนจึงควรภาคภูมิใจในความสำเร็จนี้ ท้ายนี้ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ TAIST-Tokyo Tech ทั้ง 47 คน ขอให้บัณฑิตทุนทุกคนประสบความสำเร็จและมีความสุขในสิ่งที่ทำต่อจากนี้ไป และขอให้ทุกคนพบโอกาสในการใช้ความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมานี้ในการทำให้สังคมและโลกดีขึ้นต่อไป”
ซึ่งในช่วงท้ายของพิธีมอบใบประกาศฯ นายอิทธิชัย กาญจนกุล ตัวแทนนักศึกษารุ่นน้องจากหลักสูตร SERE ได้กล่าวคำอำลารุ่นพี่ที่สำเร็จการศึกษา โครงการ TAIST-Tokyo Tech ครั้งนี้ด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เจ๋ง!! คว้า 2 รางวัลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในงาน PRIME MINISTER AWARDS Thailand Cybersecurity Excellence Award 2022
ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย นางสาววารุณี ลีละธนาวิทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านสารสนเทศ เข้ารับมอบโล่รางวัลดีเด่น จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ หน่วยงานที่มีการดำเนินการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สาขาความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น และ สาขาการพัฒนาศักยภาพบุคลากรดีเด่น มอบโดยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ภายในพิธีมอบโล่รางวัลและประกาศเกียรติคุณ PRIME MINISTER AWARDS Thailand Cybersecurity Excellence Award 2022 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวแสดงความยินดีต่อหน่วยงานที่ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณ และได้กล่าวถึงความสำคัญของระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ว่าเป็นระบบสำคัญจากที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายสู่การเป็น Thailand 4.0 และเป็นประเทศทันสมัยที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกธุรกิจ ทำให้ภาครัฐและเอกชนต้องปรับตัวและใช้ Digital Transformation ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่จะทำให้ประชาชน รวมถึงนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนและระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ธุรกิจต่างๆ ในประเทศสามารถเติบโตและเดินหน้าต่อไปได้
พลเอก ดร.ปรัชญา เฉลิมวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวว่า งานในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานและกำกับดูแลให้หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานอื่นๆ ยกระดับขีดความสามารถในการป้องกัน รับมือและรับความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์และให้สอดคล้องกับแนวทางพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ปี 2562 และเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยการคัดเลือกหน่วยงานที่มีการดำเนินงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ดีเด่นในระดับชาติ ประจำปี 2565 ด้วยวิธีการใช้แบบสอบถามข้อมูลการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ประกอบกับหลักฐานดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ ในลักษณะเดียวกับการประเมินตัวชี้วัด The Global Cybersecurity Index (GCI) ซึ่งจัดขึ้นโดยวัดขีดความสามารถด้านไซเบอร์ของประเทศต่างๆ โดย The International Telecommunication Union (ITU) ซึ่งแบบสอบถามจะมีเกณฑ์การประเมินด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ด้านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับประเทศและระดับภูมิภาค และด้านการพัฒนาศักยภาพความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งในปีนี้รางวัล PRIME MINISTER AWARDS Thailand Cybersecurity Excellence Award 2022 มีหน่วยงานที่เข้าร่วมทั้งสิ้น 113 หน่วยงาน โดยมีหน่วยงานที่ได้รับโล่รางวัลทั้งสิ้น 21 หน่วยงาน
โดย สวทช. ได้รับรางวัล หน่วยงานที่มีการดำเนินการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สาขาความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น และ สาขาการพัฒนาศักยภาพบุคลากรดีเด่น ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการ และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการสร้างนโยบาย มาตรฐาน และความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ทั้งภายในและภายนอกองค์กรมาโดยตลอด
/////////////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
พาชม! บูทกิจกรรม สวทช. ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2565
พาไปชม! บูทกิจกรรม สวทช. ในงาน มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2565 โดยในปีนี้ สวทช. นำผลงานวิจัยและนวัตกรรม ไปจัดเป็นกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน ประกอบด้วย กิจกรรมแมวน้อยนักสำรวจ ที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ , กิจกรรมการปั้น Para Dough ดินน้ำมันทำจากยางพารา , และกิจกรรมการทำกับดักยุงด้วยวิธีการง่ายๆ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่เด็กๆ จะได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินไปพร้อมกับความรู้ใหม่ๆ และยังได้ของที่ระลึกกลับบ้านทุกคนด้วย
สำหรับงาน "มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2565" จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 13-21 สิงหาคม 2565 เวลา 09.00-19.00 น. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอล์ 9-10
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
งดแชร์ข้อมูล….”ข้าวสุกที่ผ่านการแช่ตู้เย็น ส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าข้าวหุงสุกใหม่”
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ประเด็นนักวิทยาศาสตร์วิจัยพบว่าข้าวสุกที่ผ่านการแช่ตู้เย็น ส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าข้าวหุงสุกใหม่
สวทช. ขอชี้แจงว่าการวิจัยดังกล่าวเป็นการทดลองในหนู โดยพบว่าข้าวสุกแช่เย็นจะเกิดการเปลี่ยนโครงสร้างของแป้ง ทำให้แป้งทนต่อการย่อยในกระเพาะหนูเพิ่มขึ้นจริง แต่ยังไม่ได้มีการทดลองในมนุษย์อย่างเป็นระบบ ซึ่งจำเป็นต้องมีการควบคุมระดับอุณหภูมิ วิธีการเก็บรักษา และพันธุ์ข้าวที่นำมาทดลอง
ทั้งนี้ ข้อมูลเบื้องต้นจากนักโภชนาการระบุว่า แม้จะส่งผลในลักษณะเดียวกันในมนุษย์ ข้าวที่หุงสุกแล้วแช่เย็น จะทำให้ปริมาณ Resistant Starch เพิ่มขึ้นและเมื่อนำมาอุ่นจะทำให้ปริมาณ RS ลดลงไปได้บ้าง และปริมาณ RS จะยังขึ้นอยู่กับพันธ์ุข้าวด้วย โดยข้าวแข็ง (แอมิโลสสูง) จะมีปริมาณ RS มากกว่า มีแนวโน้มให้ประโยชน์เหมือนไฟเบอร์ ก็อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีนัยสำคัญมากพอต่อผู้มีปัญหาการควบคุมน้ำหนัก หรือควบคุมระดับน้ำตาล รวมไปถึงคอเลสเตอรอลในเลือด อีกทั้งยังต้องกินข้าวแบบแช่เย็นนั้น โดยห้ามนำมาอุ่นซ้ำก่อน จึงไม่สะดวกหรือไม่น่ารับประทาน
ดังนั้น จึงขอความร่วมมือโปรดงดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลที่ยังไม่แน่ชัด หรือไม่ได้ส่งผลดีอย่างชัดเจนอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก! ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้
สวทช. เปิดตัวนวัตกรรม “ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ” พัฒนาโดยทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ตอบโจทย์เรื่องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
ปัจจุบัน มูลนิธิโครงการหลวง ได้นำฟิล์มดังกล่าวไปใช้บรรจุผักสลัดพร้อมทาน วางจำหน่ายภายในงาน “โครงการหลวง 53” จัดขึ้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 4-14 สิงหาคม 2565 และพร้อมวางจำหน่ายในร้านค้าของมูลนิธิโครงการหลวงทั้ง 18 สาขาทั่วประเทศ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช.- หนุน สร้างองค์ความรู้ บน ‘นวนุรักษ์’ แพลตฟอร์ม ชูจุดเด่น ด้านความหลากหลายทางชีวภาพฯ ของ ‘อุทยานธรณีโลกสตูล’ ช่วยชุมชนสร้างอาชีพ-รายได้เสริมจากการท่องเที่ยว ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG
For English-version news, please visit : Navanurak platform supports the preservation of natural and cultural heritage in Satun Geopark
สวทช. นำ นวนุรักษ์ แพลตฟอร์ม หนุน ให้นักวิจัย ม.สงขลานครินทร์ ม.ราชภัฏสงขลา และวิทยาลัยชุมชนสตูล ใช้เป็นเครื่องมือ จัดเก็บรวบรวมองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรม เพื่อให้ชาวบ้านทั้ง 4 อำเภอ (อ.เมือง อ.ควนโดน อ.ละงูและอ.ทุ่งหว้า) ในพื้นที่ ‘อุทยานธรณีโลกสตูล’ ศึกษา และใช้ประโยชน์จากความหลากหลาย ในรูปแบบเรื่องเล่าสื่อความหมาย และสื่อประชาสัมพันธ์ ช่วยชุมชนให้เกิดความเข้าใจในระบบนิเวศเขาหินปูน ระบบนิเวศสัตว์ในถ้ำ และระบบนิเวศสัตว์ชายฝั่งทะเลที่มีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และเป็นประโยชน์ต่อชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล
วันที่ 8-9 สิงหาคม 2565 ณ สำนักงานอทุยานธรณีโลกสตูล ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จังหวัดสตูล นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. นำคณะสื่อมวลชน พร้อมด้วยนายอเล็กซ์ เรนเดลล์ ดารานักแสดง ลงพื้นที่ในกิจกรรม สื่อมวลชนสัญจร (Press Tour) สตูลจีโอพาร์ค การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของ ระบบนิเวศชายฝั่งทะเล และสิ่งมีชีวิตในถ้ำอุทยานธรณีโลกสตูลเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
พร้อมด้วยคณะนักวิจัยและอาจารย์จาก ม.สงขลานครินทร์ ม.ราชภัฏสงขลา และวิทยาลัยชุมชนสตูล โดยมี นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ ผู้อำนวยการอุทยานธรณีโลกสตูล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า นายกเทศมนตรีตำบลทุ่งหว้า ให้การต้อนรับ
นายเอกรัฐ หลีเส็น กล่าวว่า ในปี 2565 จังหวัดสตูลให้ความสำคัญกับการโปรโมตอุทยานธรณีโลกสตูล (Satun Global Geopark) มากขึ้น โดยก่อนหน้านี้จังหวัดสตูลได้รับการอนุมัติจากยูเนสโก เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2561 ให้เป็นพื้นที่อุทยานธรณีโลก และจะต้องมีการตรวจประเมินซ้ำทุก 4 ปี (ครบวาระ 4 ปี เมื่อปี 2564) ซึ่งหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาจากยูเนสโก ได้มีการตรวจประเมินซ้ำเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมาแล้ว จังหวัดสตูลให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์อุทยานธรณีโลกสตูล
เพื่อให้คนสตูล คนไทยและคนทั่วโลกได้รับทราบความสำคัญของเมืองที่พบฟอสซิลดึกดำบรรพ์ ในยุคพาเลโอโซอิก (Palaeozoic era) คือช่วง 545 – 245 ล้านปีก่อน เป็นมหายุคเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตทั้งในมหาสมุทรและบนบกถือเป็นจุดเด่นด้านธรณีวิทยา เนื่องจากจังหวัดสตูลเป็นจังหวัดใต้สุดฝั่งอันดามัน มีความสวยงามทั้งเรื่องธรรมชาติท้องทะเล และป่าภูเขา ที่สำคัญยังมีเรื่องราวของสัตว์ดึกดำบรรพ์ และสัตว์ทะเลโบราณจำนวนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานทางธรณีวิทยาที่บ่งชี้ว่าจังหวัดสตูลเป็นจังหวัดที่มีวิวัฒนาการมานานและเก่าแก่น่าค้นหาทั้งด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในจังหวัดสตูล
นอกจากนั้นแล้วการมีองค์ความรู้และงานวิจัยจาก สวทช. นักวิจัยมหาวิทยาลัยและองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาต่างๆ มาสนับสนุนในรูปแบบ การเก็บรวบรวมองค์ความรู้ไว้ในระบบดิจิทัล ที่เรียกว่า ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมหลักฐานด้านต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมายทั้งในอดีตปัจจุบันและอนาคต ของจังหวัดสตูลเก็บไว้ให้คนในชุมชนนำไปศึกษาใช้ประโยชน์และเชื่อมโยงกับชีวิตความเป็นอยู่ เกิดอาชีพและสร้างรายได้จากแหล่งท่องเที่ยวบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพในจังหวัดสตูลและความยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. โดยโปรแกรมการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ ได้สนับสนุนงานวิจัยจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1. การนำข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของสิ่งมีชีวิตในถ้ำอุทยานธรณีโลกสตูลเข้าในแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ ซึ่งโครงการนี้เป็นการนำแพลตฟอร์มดิจิทัล “นวนุรักษ์” ของศูนย์เนคเทค สวทช. มาใช้ต่อยอดการบริหารจัดการข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่นในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล
โดยมีเป้าหมายพัฒนาระบบบริหารจัดการ ภาพถ่าย ไฟล์วีดีโอ คลิปเสียง และเรื่องราวนำชม (story telling) ไม่น้อยกว่า 3,000 รายการ รวมถึงการฝึกอบรมให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการข้อมูลได้ด้วยตัวเอง การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อใช้ในการประเมินซ้ำในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้านอุทยานธรณี และการบริหารจัดการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
“นอกจากนั้นแล้วมีการอบรมถ่ายทอดความรู้ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลนวนุรักษ์ ให้กับหน่วยงานในท้องถิ่นและชุมชนให้มีทักษะและเข้าถึงข้อมูลดิจิทัล รวมถึงจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์สำหรับเผยแพร่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล เช่น Hologram 3 มิติ, ป้ายประชาสัมพันธ์พร้อม QR Code, คลิปวีดีโอสั้น, หนังสือความหลากหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรมในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล”
สำหรับโครงการที่ 2. คือ การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของสิ่งมีชีวิตในถ้ำ ในอุทยานธรณีโลกสตูลเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน ซึ่งโครงการนี้มุ่งเน้นการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์และจุลินทรีย์ในถ้ำที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล
ได้แก่ ถ้ำเลสเตโกดอน (ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า) ถ้ำอุไรทอง (ตำบลกำแพง อำเภอละงู) และถ้ำทะลุ (ตำบลเขาขาว อำเภอละงู) ตลอดจนการศึกษาด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวฐานชีวภาพในพื้นที่อุทยานธรณีโลก โดยข้อมูล ภาพถ่าย ไฟล์วีดีโอ และคลิปเสียง ถูกรวบรวมไว้ในแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘นวนุรักษ’ เพื่อใช้ในการประเมินซ้ำในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้านอุทยานธรณี พัฒนาไกด์ท้องถิ่น และการบริหารจัดการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
นางกุลประภา กล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นแล้วโครงการที่ คือ 3. โครงการการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของระบบนิเวศชายฝั่งทะเลในอุทยานธรณีโลกสตูล เพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน มุ่งเน้นการรวบรวมสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทางทะเล วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล จังหวัดสตูล โดยเน้นศึกษาในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ หาดราไวย์ หาดแหลมสน บุโบย หาดบางศิลา ในทอน ท่าอ้อย สันหลังมังกร เกาะสะบัน เขาทะนาน หอสี่หลัง เกาะตะรุเตา เกาะลิดี และเกาะอาดัง ราวี หลีเป๊ะ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวฐานชีวภาพในพื้นที่อุทยานธรณีโลก โดยรวบรวมไว้ในแพลตฟอร์มดิจิทัล “นวนุรักษ์”
“ในพื้นที่หอสี่หลัง ซึ่งเป็นนิเวศชายฝั่ง ทีมวิจัย ม.สงขลานครินทร์ ได้บัญชีรายการความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หาดหิน หาดทราย หาดเลน แนวหญ้าทะเล แนวปะการังน้ำตื้น ป่าชายเลน 566 ชนิด พบพืชมีสถานภาพเกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ (Vulnerable) 1 ชนิด คือ หญ้าใบพาย ในสัตว์พบ นกน็อทใหญ่ มีสถานภาพใกล้การสูญพันธุ์ (Endangered) และนกกะเต็นใหญ่ปีกสีน้าตาล มีสถานภาพเกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ (Vulnerable)
นอกจากนี้ยังได้รวบรวมองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้อีก 517 รายการ โดยแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจตามแนวชายฝั่ง คือ บริเวณหอสี่หลัง สันหลังมังกร หาดแหลมสน บุโบย พบสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ เช่น หญ้าใบพาย, ปูก้ามดาบก้ามขาว, ปูทหารก้ามโค้ง, นกน็อทใหญ่, นกกะเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล เป็นต้น ส่วนบริเวณเกาะลิดี เกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดัง ราวี พบสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ คือ หญ้าใบมะกรูด, ปลิงดำแข็ง, ดำวแดงหนำมใหญ่, แนวปะกำรังน้ำตื้น,เหยี่ยวแดง, ลิงแสม” นางกุลประภา กล่าว
ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. กล่าวว่า สำหรับจุดเด่นของแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘นวนุรักษ์’ คือ ผู้ใช้งานสามารถบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงาน หรือชุมชน ที่ต้องการจัดเก็บข้อมูล และเป็นเจ้าของข้อมูล เข้ามาเพิ่มหรือ update ข้อมูลได้ด้วยตนเอง สามารถใส่ชื่อวัตถุ รหัส ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ ลักษณะการเก็บรักษา สถานที่ ข้อมูลกายภาพ ข้อมูลทางชีวภาพ บทบรรยายสำหรับนำชม ขนาด ลักษณะ ประวัติ สถานที่จัดเก็บได้ โดยสามารถเลือกได้ว่าต้องการเผยแพร่ข้อมูลหรือไม่ และ upload media ต่างๆ เช่น ภาพ เสียง วิดีโอ ภาพ 360 องศาได้ นอกจากนี้ระบบสามารถเลือกแสดงผลรายการวัตถุจัดแสดงในรูปแบบของ QR Code สามารถนำไปประยุกต์สำหรับใช้ทำสื่อเรียนรู้ต่างๆ รวมถึงจัดทำแบบสอบถามผ่านทาง QR Code เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมสามารถแสดงความคิดเห็น และวิเคราะห์ผลเชิงสถิติ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่ เก็บข้อมูลได้ระยะยาว ทำให้หน่วยงานต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลได้ ช่วยยกระดับและพัฒนาทักษะของชุมชนให้สามารถบริหารจัดการข้อมูลดิจิทัลและการสื่อความหมายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ประชาชนที่สนใจข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งท่องเที่ยว ศาสนสถาน และวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล สามารถศึกษาได้ที่เว็บไซต์ https://www.navanurak.in.th/satungeopark
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. รับมอบใบรับรองระบบบริหารคุณภาพ (ISO 9001:2015) และระบบการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัย (ISO 45001:2018)
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. รับมอบใบรับรองระบบบริหารคุณภาพ (ISO 9001:2015) และใบรับรองระบบมาตรฐานการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัย (ISO 45001:2018) จากนายจงรักษ์ โรจน์พลาเสถียร ผู้อำนวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.)
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้รับการรับรองระบบบริหาร ISO 9001 ครั้งแรกเมื่อปี 2538 และได้รับการรับรองระบบการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัยในปี 2555 โดย สวทช. ในฐานะองค์กรวิจัยเล็งเห็นถึงความสำคัญของระบบบริหารคุณภาพ และระบบการจัดการอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเสมอมา เพราะมาตรฐานเหล่านี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหน่วยงานที่มีกระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐานซึ่งจะส่งผลไปยังผลลัพธ์องค์กร พร้อมยืนยัน สวทช. จะยังเดินหน้าพัฒนาทั้ง 2 ระบบนี้ให้มีการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐานต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์


